12. เป็นอิสระจากพันธะของความอิจฉา

โดย จอยลีน, ประเทศฟิลิปปินส์

เดือนมกราคม ค.ศ. 2018 ฉันยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และไม่นานฉันก็ได้รับหน้าที่ในคริสตจักรเป็นนักร้องนำในมิวสิกวิดีโอเพลงสรรเสริญ  ตอนแรกพี่น้องชายหญิงหลายคนให้ความสนใจฉัน บอกว่าฉันร้องได้ไพเราะ ไม่ว่าฉันไปที่ไหน พวกเขาก็จำฉันได้  นี่ทำให้ฉันมีความสุข  ไม่กี่เดือนต่อมา ฉันก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ต้องให้น้ำผู้มาใหม่หลายคน และติดตามงานข่าวประเสริฐมากมาย  เพื่อที่จะจัดการปัญหาของผู้มาใหม่ให้ดีขึ้น ฉันมักจะดูภาพยนตร์ข่าวประเสริฐเพื่อเตรียมตัวเองให้มีความจริงเกี่ยวกับการรู้จักพระราชกิจของพระเจ้า ทุกครั้งที่ผู้มาใหม่มีมโนคติอันหลงผิดบางอย่างหรือเผชิญปัญหาที่ไม่เข้าใจ ฉันก็สามัคคีธรรมได้อย่างแข็งขันและแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้  พี่น้องชายหญิงมักจะยกย่องฉันว่ามีขีดความสามารถและความเข้าใจที่ดี  ฉันมีความสุขมากที่ได้รับการเห็นชอบจากพวกเขา  อย่างไรก็ตาม งานข่าวประเสริฐของฉันไม่เคยมีประสิทธิผลมากนัก  ในตอนนั้นพี่น้องหญิงแคลร์ถูกย้ายมาคริสตจักรของพวกเราเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ  เธอลงมือทำงานของเธออย่างรวดเร็ว สามารถสามัคคีธรรมและริเริ่มแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่คนอื่นพบเจอตอนทำหน้าที่ แถมยังสามัคคีธรรมอย่างแข็งขันในการชุมนุมด้วย  ฉันควรดีใจเมื่อฉันเห็นว่าแคลร์มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่มากขนาดนั้น แต่ไม่รู้เพราะอะไร ฉันกลับไม่ชอบเธอ  ทุกครั้งที่เธอสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิง ฉันไม่อยากเห็นเธอด้วยซ้ำไป  โดยเฉพาะเวลาได้ยินพวกเขาพูดว่า “แคลร์เก่งมาก เธอเป็นมัคนายกข่าวประเสริฐได้นะ”  ฉันก็ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้น  ฉันคิดว่า “ก่อนที่แคลร์จะมาที่คริสตจักรของพวกเรา พี่น้องชายหญิงมากมายต่างก็ยกย่องฉันว่ามีขีดความสามารถ ความเข้าใจ และการให้น้ำผู้มาใหม่ที่ดี ทุกคนต่างนับถือฉัน แต่ตอนนี้ทุกคนคิดว่าเธอเก่งที่สุดและพากันนับถือเธอ  แล้วทีนี้ใครจะนับถือฉันล่ะ?”  ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็เริ่มอิจฉาแคลร์ กังวลว่าเธอจะสามารถแทนที่ฉันในหัวใจของพี่น้องชายหญิง

หลังจากนั้นฉันเห็นว่าแคลร์มักจะโทรมาถามถึงสภาวะของผู้มาใหม่ และเห็นว่าผู้มาใหม่หลายคนก็ไปหาเธอเพื่อแก้ปัญหา  ครั้งหนึ่งพี่สาวที่ฉันให้น้ำเผชิญกับความลำบากยากเย็นในงานข่าวประเสริฐ และถามความเห็นฉัน  หลังจากที่ฉันสามัคคีธรรมกับเธอแล้ว เธอก็ไปหาแคลร์  พอฉันรู้ว่าเธอไปหาแคลร์ ฉันก็เศร้าใจ  ฉันคิดกับตัวเองว่า “เธอคงไม่จริงจังกับคำแนะนำของฉัน เธอต้องคิดว่าแคลร์เก่งกว่าฉันเป็นแน่ และไม่นับถือฉันอีกแล้ว  เพราะฉันทำงานข่าวประเสริฐได้แย่มาก ฉันต้องทำงานให้หนักเพื่อชดเชยข้อบกพร่องของตัวเอง  ถึงตอนนั้นฉันก็จะไม่ด้อยกว่าแคลร์ วันหน้าถ้าพี่น้องชายหญิงมีปัญหา พวกเขาก็จะมาหาฉันแทนเธอ”  ในวันต่อๆ มา ฉันจึงเริ่มแข่งขันกับแคลร์อย่างเงียบๆ  ฉันเห็นว่าแคลร์กินมื้อเย็นช้าทุกวัน เพราะเธอยุ่งอยู่กับหน้าที่ บางครั้งก็ทำงานทั้งคืน  ฉันจึงลองอยู่ดึกเพื่อทำหน้าที่ พี่น้องชายหญิงจะได้เห็นว่าฉันก็มีความรับผิดชอบและไม่ด้อยกว่าเธอ  ต่อมาคริสตจักรจัดการคัดเลือกมัคนายกข่าวประเสริฐ  เมื่อพิจารณาทุกๆ ด้านแล้ว แคลร์เหมาะที่จะทำหน้าที่นี้ที่สุด แต่ฉันก็ไม่อยากเลือกเธอ  ฉันคิดว่าเธอมีความสามารถมากกว่าฉัน และคิดว่าถ้าเธอกลายเป็นมัคนายกข่าวประเสริฐ ทุกคนจะค่อยๆ เบนความสนใจไปที่เธอ  แต่เมื่อคิดว่าผู้นำคริสตจักรทำงานทั้งหมดคนเดียวไม่ได้ และต้องการมัคนายกมาแบ่งเบางานบางส่วน ฉันก็คิดกับตัวเองว่า “ควรเลือกเธอดีไหม?  ถ้าฉันเลือกเธอ พี่น้องชายหญิงจะแห่กันไปหาเธอแน่นอน และฉันก็จะถูกทิ้ง”  แต่ก็ต้องยอมรับว่าแคลร์มีขีดความสามารถสูงมาก และเธอสามารถดูแลงานมัคนายกข่าวประเสริฐได้  ฉันคิดเรื่องนี้อยู่นาน และในที่สุดฉันก็เลือกเธออย่างไม่เต็มใจ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง คริสตจักรมองหาพี่น้องหญิงที่เก่งภาษาฟิลิปปินส์และภาษาอังกฤษเพื่อรับบทในมิวสิกวิดีโอ  แคลร์เก่งทั้งภาษาฟิลิปปินส์และภาษาอังกฤษ สุดท้ายพี่น้องชายหญิงก็เลือกเธอ ฉันผิดหวังมากว่า “ภาษาฟิลิปปินส์กับภาษาอังกฤษของฉันก็ดีเหมือนกัน ทำไมพี่น้องชายหญิงถึงเลือกเธอแทนฉัน?”  ฉันอิจฉาเธอมาก แถมรู้สึกเกลียดชังเธออยู่ในใจ  ตอนนั้นเอง เพราะแคลร์เปิดเผยอุปนิสัยที่ค่อนข้างโอหัง เหล่าผู้นำของพวกเราจึงตรวจสอบการทำหน้าที่ของเธอ และขอให้ฉันเขียนประเมินเธอ  ฉันดีใจมาก อยากเขียนถึงข้อบกพร่องของเธอเพิ่มอีก เหล่าผู้นำจะได้ย้ายเธอไปทำหน้าที่อื่น ฉันจะได้ไม่ต้องทำหน้าที่กับเธออีกต่อไป  แม้ว่าสุดท้ายฉันจะไม่ได้ทำสิ่งนี้ แต่ฉันก็ยังอยากให้เธอจากไป  เมื่อฉันคิดถึงการที่พี่น้องชายหญิงต่างไปหาเธอเพื่อแสวงหาคำตอบ และการที่พวกเขาไม่นับถือฉันอีกต่อไป ฉันก็รู้สึกเสียใจและทุกข์ใจ  แม้แต่ตอนที่พวกเราทำหน้าที่ด้วยกัน ฉันก็ไม่อยากมองเธอ  ในตอนนั้นฉันเต็มไปด้วยความอิจฉา และอุปนิสัยที่เสื่อมทรามก็ครอบงำหัวใจของฉันแล้วจริงๆ

หลังจากนั้น ฉันก็ไม่สามารถรู้สึกถึงพระราชกิจและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหน้าที่ของตัวเองได้  เวลาฉันประสบปัญหาบางอย่าง ฉันไม่อาจเข้าใจแก่นแท้ของปัญหาเหล่านั้นได้ และฉันไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างไร  ฉันยังทำหน้าที่อย่างไร้ประสิทธิผลอีกด้วย  ฉันไม่ได้ตระหนักเลยว่าสภาวะที่เป็นลบของฉันได้ส่งผลกระทบต่อหน้าที่แล้ว จนกระทั่งฉันได้เห็นพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ความว่า “ในฐานะผู้นำคริสตจักร เจ้าไม่เพียงจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเท่านั้น เจ้ายังจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะค้นพบและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษ และเจ้าต้องไม่ริษยาหรือกดขี่คนเหล่านี้เด็ดขาด  การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมเป็นผลดีต่องานของคริสตจักร  หากเจ้าสามารถบ่มเพาะให้ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงสักสองสามคนร่วมมือกับเจ้าได้และทำงานทั้งปวงได้ดี และในท้ายที่สุดพวกเจ้าทุกคนก็มีคำพยานจากประสบการณ์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมเป็นผู้นำหรือคนทำงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสม  หากเจ้าสามารถรับมือทุกสิ่งได้ตามหลักธรรม เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จงรักภักดี  บางคนกลัวอยู่เสมอว่าผู้อื่นจะเก่งกว่าตนหรืออยู่เหนือตน ว่าผู้อื่นจะได้รับการยอมรับขณะที่ตนถูกมองข้าม และนี่ก็พาให้พวกเขาเล่นงานและกีดกันผู้อื่น  นี่เป็นเรื่องของการอิจฉาผู้คนที่มีความสามารถพิเศษมิใช่หรือ?  นั่นย่อมเห็นแก่ตัวและควรดูหมิ่นมิใช่หรือ?  นี่คืออุปนิสัยจำพวกใด?  นี่คือความมุ่งร้าย!  ผู้ที่คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น เอาแต่ตอบสนองความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัวของตนเองเท่านั้น ไม่นึกถึงผู้อื่นหรือคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ย่อมมีอุปนิสัยที่ไม่ดี และพระเจ้าก็ไม่ทรงรักพวกเขา  หากเจ้าสามารถคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เจ้าย่อมจะสามารถปฏิบัติต่อผู้อื่นได้อย่างเป็นธรรม  หากเจ้าแนะนำคนที่ดีและเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้ารับการฝึกอบรมและปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการเพิ่มคนที่มีความสามารถพิเศษให้แก่พระนิเวศของพระเจ้า นั่นย่อมจะทำให้งานของเจ้าง่ายขึ้นมิใช่หรือ?  เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะแสดงให้เห็นความจงรักภักดีในหน้าที่ของเจ้ามิใช่หรือ?  นั่นคือการทำดีเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เป็นมโนธรรมและเหตุผลขั้นต่ำสุดซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่ผู้นำควรมี(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  หลังอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่าฉันปฏิบัติหน้าที่เพื่อความมีหน้ามีตาและสถานะ เพื่อให้ผู้คนนับถือและชื่นชม  พอแคลร์มาที่คริสตจักร และฉันมองเห็นว่าเธอสามัคคีธรรมถึงความจริงและแก้ปัญหาได้ และเห็นว่าผู้อื่นจะไปหาเธอเพื่อให้สามัคคีธรรมแทนฉัน ฉันก็อิจฉาและกลัวว่าแคลร์จะมาแทนที่ฉัน ฉันเลยเริ่มแข่งขันกับเธอทุกครั้งที่มีโอกาส ใช้ความอุตสาหะอย่างมากเพื่อชดเชยข้อบกพร่องของฉันในความพยายามที่จะแซงหน้าเธอ  ตอนที่คริสตจักรจำเป็นต้องคัดเลือกมัคนายกข่าวประเสริฐ ฉันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแคลร์สามารถทำงานนี้ แต่ฉันกลัวว่าเธอจะขโมยสถานะของฉันไป ฉันจึงไม่อยากเลือกเธอ ในหัวใจฉันนั้นทั้งเกลียดและดูหมิ่นเธอ  พอเห็นเธอเปิดเผยความเสื่อมทราม ฉันก็ดีใจ และมีเจตนามุ่งร้ายเมื่อสบโอกาสเขียนประเมินเธอ  ฉันอยากเขียนถึงข้อบกพร่องทั้งหมดของเธอเพื่อให้เธอถูกส่งไปที่อื่น เพื่อที่ฉันจะไม่ต้องกลัวว่าพี่น้องชายหญิงจะนับถือเธอ  และเพราะการเปิดเผยในพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงตระหนักว่าฉันอิจฉาความสามารถของเธอ และทนไม่ได้ที่เธอเก่งกว่า แล้วสิ่งที่ฉันเปิดโปงก็คืออุปนิสัยอันชั่วช้าของตัวเอง  ภายนอกนั้น ฉันปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน แต่ในหัวใจ ฉันไม่ได้คำนึงถึงงานของคริสตจักรเลย  แคลร์เก่งในเรื่องงานข่าวประเสริฐ และฉันควรจับคู่กับเธอเพื่อทำให้งานข่าวประเสริฐมีประสิทธิผลมากขึ้น  แต่ฉันกลับคิดเพียงว่าจะเก่งกว่าเธอได้อย่างไร จะทำให้เธอออกไปได้อย่างไร และจะปกป้องสถานะของตัวฉันเองได้อย่างไร  พระเจ้าทรงตรวจสอบหัวใจของพวกเราและท่าทีที่พวกเรามีต่อหน้าที่  ฉันปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ยำเกรงพระเจ้า และสนใจแต่การไล่ตามไขว่คว้าชื่อ ผลประโยชน์ และสถานะ  พระเจ้าทรงรังเกียจและขยะแขยงพฤติกรรมเช่นนี้

ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอน ความว่า “เมื่อเป็นเรื่องของสิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับความมีหน้ามีตา สถานะ หรือโอกาสที่จะฉายแสง—ตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าได้ยินว่าพระนิเวศของพระเจ้าวางแผนที่จะบำรุงเลี้ยงผู้ที่มีความสามารถพิเศษหลากหลายสาขา—หัวใจของพวกเจ้าทุกคนก็ทะยานขึ้นมาด้วยความคาดหวัง พวกเจ้าแต่ละคนอยากจะสร้างชื่อให้ตนเองและก้าวออกไปเป็นจุดสนใจอยู่เสมอ  พวกเจ้าทุกคนอยากจะต่อสู้เพื่อสถานะและความมีหน้ามีตา  เจ้าละอายใจที่เป็นเช่นนี้ แต่เจ้าก็จะรู้สึกไม่ดีหากว่าเจ้าไม่ทำเช่นนั้น  เจ้ารู้สึกอิจฉา เกลียดชัง และพร่ำบ่นทุกครั้งที่เจ้าเห็นใครบางคนโดดเด่นขึ้นมา แล้วเจ้าก็คิดไปว่านั่นไม่เป็นธรรม ว่า ‘ทำไมฉันถึงโดดเด่นบ้างไม่ได้?  ทำไมคนอื่นถึงเป็นจุดสนใจอยู่เสมอ?  ทำไมไม่เคยถึงทีของฉันบ้าง?’  และพอเจ้ารู้สึกขุ่นเคือง เจ้าก็พยายามจะข่มโทสะเอาไว้ แต่เจ้าก็ทำไม่ได้  เจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าและรู้สึกดีขึ้นชั่วระยะหนึ่ง แต่เมื่อเจ้าเผชิญสถานการณ์แบบนี้อีก เจ้าก็เอาชนะมันไม่ได้อยู่ดี  นี่คือสิ่งที่สำแดงให้เห็นวุฒิภาวะที่ไม่เป็นผู้ใหญ่มิใช่หรือ?  เมื่อผู้คนตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ พวกเขาย่อมตกอยู่ในกับดักของซาตานแล้วมิใช่หรือ?  เหล่านี้คือโซ่ตรวนแห่งธรรมชาติอันเสื่อมทรามของซาตานที่พันธนาการมนุษย์เอาไว้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยสภาวะของฉัน ฉันอิจฉาพี่เขาเพราะฉันมีความปรารถนาอันแรงกล้าเพื่อชื่อและสถานะ และเพราะฉันอยากจะโดดเด่นจากฝูงชนและมีที่อยู่ในหัวใจของผู้คน  ฉันจำได้ตอนเรียนวิทยาลัย เพื่อให้ได้รับการยกย่องและชื่นชมจากผู้อื่น ฉันจึงแข่งขันกับเพื่อนร่วมชั้น และตราบใดที่มีความเป็นไปได้ที่จะโดดเด่น ก็ไม่สำคัญว่าฉันจะทำร้ายพวกเขาหรือไม่  หลังจากฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันก็กระทำการไล่ตามเสาะหาในคริสตจักรในแบบเดียวกันอีกครั้ง  พอฉันเห็นว่าแคลร์เก่งกว่า ฉันก็อยากจะเหนือกว่าเธอมาก เพราะฉันอยากจะได้รับการสรรเสริญจากผู้คนมากขึ้น และหวังด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงว่าจะให้คนเลื่อมใสเทิดทูน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฉันโอหังแค่ไหน  ฉันไล่ตามความมีหน้ามีตาและสถานะอยู่ตลอด ฉันจึงไม่อาจได้รับงานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหน้าที่ของตัวเอง และร่วงหล่นลงสู่ความมืดมิด  เหล่านี้คือโซ่ตรวนแห่งธรรมชาติอันเสื่อมทรามของซาตานที่ผูกมัดและทำร้ายฉัน  ต่อมา ฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนที่ช่วยให้ฉันเข้าใจแก่นแท้เล็กน้อยและผลที่ตามมาของการไล่ตามเสาะหาชื่อ ผลประโยชน์ และสถานะ  พระเจ้าตรัสว่า “ผู้คนบางคนเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาดำรงชีวิตไปตามเนื้อหนังอยู่เสมอ ละโมบในความยินดีทางเนื้อหนัง ตอบสนองความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของพวกเขาเองอยู่เสมอ  ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามานานกี่ปี  พวกเขาก็จะไม่มีวันเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  นี่คือเครื่องหมายของการนำความเสื่อมเสียมาสู่พระเจ้า  เจ้าพูดว่า ‘ฉันยังไม่ได้ทำอะไรที่ต้านทานพระเจ้าเลย  แล้วฉันนำความเสื่อมเสียมาให้พระองค์อย่างไรกัน?’  แนวคิดทั้งหมดและความคิดทั้งปวงของเจ้านั้นเลวทั้งสิ้น  เจตนา เป้าหมาย และเหตุจูงใจเบื้องหลังสิ่งที่เจ้าทำ และผลสืบเนื่องจากการกระทำของเจ้า ทำให้ซาตานพอใจเสมอ ทำให้เจ้าเป็นตัวตลกของมัน และเปิดโอกาสให้มันเอาเปรียบเจ้า  เจ้าไม่ได้เป็นคำพยานดังที่คริสตชนควรเป็น  เจ้าเป็นพวกของซาตาน  เจ้านำความเสื่อมเสียมาสู่พระนามของพระเจ้าในทุกเรื่อง และเจ้าก็ไม่มีคำพยานที่แท้จริง  พระเจ้าจะทรงจดจำสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไปหรือไม่?  สุดท้ายแล้ว พระเจ้าจะทรงวินิจฉัยการกระทำ พฤติกรรม และหน้าที่ที่เจ้าทำว่ากระไร?  บางสิ่งหรือถ้อยแถลงบางอย่างจำเป็นต้องเกิดขึ้นจากการนั้นมิใช่หรือ?  ในพระคัมภีร์ องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?”  เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า “เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”’ (มัทธิว 7:22-23) เหตุใดเล่าองค์พระเยซูเจ้าจึงได้ตรัสเช่นนี้? เหตุใดผู้คนมากมายที่ประกาศ ที่ขับผีปีศาจ และแสดงการอัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงกลายเป็นคนทำชั่ว?  เพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริงที่องค์พระเยซูเจ้าทรงแสดง พวกเขาไม่รักษาพระบัญญัติของพระองค์ และหัวใจของพวกเขาก็ไม่รักความจริง  พวกเขาเพียงต้องการนำงานที่ตนทำ ความทุกข์ยากที่พวกเขาสู้ทน และการพลีอุทิศที่พวกเขาได้ทำเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า มาแลกเปลี่ยนเป็นพรแห่งราชอาณาจักรสวรรค์  ในการนี้พวกเขาได้พยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า และพวกเขาพยายามใช้พระเจ้าและล่อลวงให้พระเจ้าหลงกล ด้วยเหตุนั้นองค์พระเยซูเจ้าจึงทรงเคืองพวกเขา ชิงชังพวกเขา และกล่าวโทษพวกเขาว่าเป็นคนทำชั่ว  ในวันนี้ผู้คนกำลังยอมรับการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า ทว่าบางคนยังคงไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ ปรารถนาที่จะโดดเด่นตลอดเวลา ต้องการเป็นผู้นำและคนทำงานและอยากมีหน้ามีตาและสถานะอยู่เสมอ  แม้พวกเขาทุกคนจะกล่าวว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า พวกเขาตัดขาดและสละเพื่อพระเจ้า  แต่พวกเขาก็ทำหน้าที่ของตนเพื่อให้ได้ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ และพวกเขาก็มีกลอุบายของตนอยู่เสมอ  พวกเขาไม่ได้นบนอบหรือจงรักภักดีต่อพระเจ้า พวกเขาสามารถก่อความวุ่นวายและทำชั่วโดยไม่ทบทวนตนเองแต่อย่างใด ดังนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นคนทำชั่ว  พระเจ้าทรงเกลียดชังคนชั่วเหล่านี้ และพระเจ้าย่อมไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันรู้สึกละอายใจ  แนวคิด ความคิด เจตนา และแรงจูงใจของฉันไม่ใช่เพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัยสักนิด ทั้งหมดนี้เพื่อให้ผู้อื่นชื่นชมฉัน พอฉันเห็นว่าพี่น้องชายหญิงสนใจแคลร์มากกว่าฉัน ฉันก็รู้สึกอิจฉา ฉันแข่งขันกับเธอ ฉันอยากจะเหนือกว่าเธอ ถึงกับหวังว่าเธอจะถูกย้ายไปคริสตจักรอื่น  ในฐานะผู้นำคริสตจักร ฉันไม่ได้มุ่งเน้นการบ่มเพาะผู้คน หรือทำงานคริสตจักรให้ดี แต่ฉันกลับละเลยหน้าที่ อิจฉาความสามารถ แข่งขันเพื่อชื่อและผลประโยชน์  ฉันเหมือนผู้ที่กระทำความชั่วที่ถูกองค์พระเยซูเจ้าทรงกล่าวโทษ  ความพยายามที่พวกเขาสละก็เพื่อรักษาความมีหน้ามีตาและสถานะของตน ทำให้ผู้อื่นเคารพ  ฉันก็เหมือนกัน  ความพยายามที่ฉันสละก็เพื่อให้พี่น้องชายหญิงยกย่อง เพื่อให้ได้รับความมีหน้ามีตาและสถานะเช่นกัน  ขณะที่ฉันมัวยุ่งกับการอวดตัว เจตนาในหน้าที่ฉันมันไม่ถูกต้องอีกต่อไป ทำให้ฉันไม่มีทางได้รับงานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  สามัคคีธรรมของฉันไร้ความสว่าง และฉันไม่อาจแก้ปัญหาให้พี่น้องชายหญิงได้ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าการไล่ตามเสาะหาชื่อ ผลประโยชน์ และสถานะเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายจริงๆ และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงดูหมิ่น  องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’  เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’(มัทธิว 7:22-23)  พระเจ้าทรงเกลียดชังผู้ที่ภายนอกดูเหมือนเดินทางและทนทุกข์เพื่อพระเจ้า แต่ที่จริงแล้วแค่ทำงานเพื่อสนองเจตนาและแรงจูงใจของตนเท่านั้น  สิ่งที่พวกเขาทำคือเพื่อประโยชน์ของตนเอง  ไม่ใช่เพื่อเป็นพยานยืนยันหรือทำให้พระเจ้าพอพระทัยเลย  นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขาทำงานมากมาย แต่พระเจ้ากลับไม่ทรงรับทราบ  ฉันเห็นตัวเองทำเช่นเดียวกัน  ภายนอก ฉันปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่ได้แสวงหาความจริง หรือพยายามทบทวนและรู้จักตัวเอง ฉันไม่ได้พยายามเรียนรู้จากจุดแข็งของคู่ทำงาน  แต่ฉันกลับใช้เส้นทางที่ผิดในการไล่ตามความมีหน้ามีตาและสถานะ ดังนั้นฉันเองก็ไม่ต่างจากคนทำชั่วพวกนั้น ฉันนึกถึงเรื่องที่เปาโลยอมสละและทนทุกข์มากมาย แค่เพื่อให้ผู้อื่นเคารพนับถือเขา  เขามักจะยกย่องตัวเองและอวดตัวว่าเขาทนทุกข์มามากขนาดไหน และเขาวิ่งวุ่นมามากขนาดไหน เขาพูดว่าเขา “ไม่น้อยหน้าไปกว่าสาวกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” จนถึงจุดที่พูดว่าเขาคือพระคริสต์ตอนที่เขามีชีวิตอยู่  งานและคำพูดของเขาไม่เคยเป็นพยานยืนยันต่อพระเจ้า แต่เป็นพยานยืนยันต่อตัวเอง  นี่นำให้ผู้คนนับถือเขาและยังบูชาเขาในสองพันปีต่อมา จนถึงจุดที่ปฏิบัติกับถ้อยคำของเขาราวกับเป็นพระวจนะของพระเจ้า  สุดท้าย พระเจ้าก็ทรงลงโทษเขาที่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์ ถ้าฉันยังไล่ตามชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ และให้คนอื่นนับถือฉันในหน้าที่ของฉัน ฉันจะกลายเป็นเหมือนกับเปาโลโดยไม่รู้ตัว เดินบนเส้นทางที่ผิด กลายเป็นคนชั่ว และถูกพระเจ้าปฏิเสธและขับออก  เมื่อตระหนักดังนี้ ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์ไม่อยากให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามมาขวางทางหน้าที่ อยากแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ทำงานกับพี่สาวให้ดีให้หน้าที่ลุล่วง  โปรดทรงนำให้ข้าพระองค์แก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยเถิด”

ครั้งหนึ่ง ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง ความว่า “จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าคำนึงถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ และอย่าได้คำนึงถึงความภาคภูมิใจ ความมีหน้ามีตา และสถานะของตัวเจ้าเอง  ก่อนอื่นเจ้าต้องคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นอันดับแรก  เจ้าควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่ามีสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์อยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือไม่ เจ้าจงรักภักดี ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และทุ่มเททั้งหมดที่เจ้ามีหรือยัง  รวมทั้งเจ้าได้คำนึงถึงหน้าที่ของเจ้าและงานของคริสตจักรด้วยหัวใจทั้งดวงหรือไม่  เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้  หากเจ้าคิดคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้อยู่เนืองๆ และคิดออก ก็ย่อมจะง่ายขึ้นที่เจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี  หากเจ้ามีขีดความสามารถต่ำ หากประสบการณ์ของเจ้าตื้นเขิน หรือหากเจ้าไม่ชำนาญในงานสายอาชีพของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ก็อาจมีข้อผิดพลาดหรือความขาดตกบกพร่องบางอย่างในงานของเจ้า และเจ้าอาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี—แต่เจ้าย่อมจะทำอย่างดีที่สุดแล้ว  เจ้าไม่ตอบสนองความอยากได้อยากมีหรือความชอบอันเห็นแก่ตัวของเจ้าเอง  แทนที่จะทำเช่นนั้น เจ้าคำนึงถึงงานของคริสตจักรและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ  แม้เจ้าอาจไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่ของเจ้า แต่หัวใจของเจ้าก็ย่อมจะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว หากว่านอกจากนี้เจ้ายังสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาในหน้าที่ของเจ้า การทำหน้าที่ของเจ้าก็ย่อมจะได้มาตรฐาน และพร้อมกันนั้นเจ้าก็จะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  นี่คือความหมายของการมีคำพยาน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันพบเส้นทางปฏิบัติ  พวกเราไม่ควรทำหน้าที่ต่อหน้าผู้อื่น เพื่อให้พวกเขาเทิดทูนและบูชา  แต่พวกเราควรละวางความมีหน้ามีตาและสถานะ และคำนึงถึงผลประโยชน์ของคริสตจักร ให้หน้าที่ของพวกเรามาก่อน  นี่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  แคลร์ทำงานข่าวประเสริฐได้ดี มีความรับผิดชอบในหน้าที่  ฉันไม่ควรอิจฉาเธอ  ฉันควรเรียนรู้จากจุดแข็งของเธอเพื่อชดเชยข้อบกพร่องของตัวเอง และร่วมมือกับเธอเพื่อทำหน้าที่ของพวกเราให้ลุล่วงอย่างเหมาะสม

ครั้งหนึ่ง ฉันอยากจะประกาศข่าวประเสริฐแก่ลูกพี่ลูกน้องของฉัน แต่เขามีมโนคติอันหลงผิดทางศาสนามากมาย  ฉันกังวลว่าสามัคคีธรรมของฉันจะไม่ชัดเจน และกังวลว่าฉันจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของเขาได้ ฉันเลยอยากหาพี่สาวสักคนหนึ่งมาเป็นคู่ทำงาน  ฉันนึกถึงว่าแคลร์ประกาศข่าวประเสริฐเก่งขนาดไหน และการไปหาเธอจะเป็นสิ่งที่เหมาะสม แต่ก็ลังเล  ฉันคิดว่า “ถ้าฉันให้เธอเป็นคู่ทำงาน ก็แสดงว่าฉันด้อยกว่าเธอไม่ใช่หรือ?  แสดงว่าฉันไม่อาจเป็นพยานยืนยันงานของพระเจ้า หรือแก้ไขมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาได้ไม่ใช่หรือ?  ถ้าพี่น้องชายหญิงรู้เข้า พวกเขาจะดูแคลนฉันไหม? ถ้าแคลร์แก้ไขมโนคติอันหลงผิดของลูกพี่ลูกน้องฉันได้ พี่น้องชายหญิงคงจะนับถือเธอยิ่งขึ้นไปอีกแน่”  พอฉันมีความคิดแบบนั้น ฉันก็ตระหนักว่ากำลังแข่งขันกับเธออีกครั้งเพื่อชื่อและผลประโยชน์ ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ  ต่อมา ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง ความว่า “เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยมือและวางสิ่งเหล่านี้ เรียนรู้ที่จะเสนอแนะผู้อื่น และเปิดโอกาสให้พวกเขาโดดเด่น  จงอย่าดิ้นรนหรือเร่งร้อนที่จะฉวยโอกาสโดดเด่นและเปล่งประกาย  เจ้าต้องสามารถวางสิ่งเหล่านี้ได้ แต่เจ้าก็ต้องไม่ประวิงเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วย  จงเป็นบุคคลที่ทำงานอยู่เบื้องหลังอย่างเงียบๆ และไม่อวดตนกับผู้อื่นในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยความจงรักภักดี  ยิ่งเจ้าปล่อยมือจากความหยิ่งทะนงและสถานะของเจ้า ปล่อยมือจากผลประโยชน์ของเจ้ามากเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกมีสันติสุขมากขึ้น มีความสว่างในหัวใจของเจ้ามากขึ้น และสภาวะของเจ้าก็จะพัฒนามากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งเจ้าดิ้นรนและแข่งขันมากขึ้นเท่าใด สภาวะของเจ้าก็จะยิ่งมืดมนเท่านั้น  หากเจ้าไม่เชื่อเรา ก็จงลองดู!(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  พระวจนะของพระเจ้าให้ความรู้แจ้งแก่ฉัน ฉันต้องลดทิฐิลงและปล่อยวางสถานะ และริเริ่มที่จะให้ความร่วมมือกับแคลร์  การทำแบบนี้จะเป็นประโยชน์ต่อหน้าที่ฉัน  ถ้าฉันยังคงอิจฉาและแข่งขันกับเธอต่อไปเพื่อชื่อและผลประโยชน์ สภาวะของฉันจะยิ่งเป็นลบและมืดมนมากขึ้นเท่านั้น เพราะการไล่ตามชื่อและสถานะคือเส้นทางของซาตาน  ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ข้าพระองค์อิจฉาพี่สาว แข่งขันกับเธอเพื่อชื่อและผลประโยชน์ แต่ข้าพระองค์เต็มใจจะละทิ้งเนื้อหนังและละทิ้งตนเองเพื่อทำงานคู่กับแคลร์ เพื่อที่ข้าพระองค์อาจปฏิบัติความจริงเพื่อให้ทรงพอพระทัย”  หลังจากอธิษฐาน ฉันรู้สึกผ่อนคลายขึ้น และไปอธิบายสถานการณ์กับแคลร์  เธอตกลงทันทีและหารือกับฉันว่าพวกเราควรทำงานคู่กันและเป็นพยานยืนยันพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าให้แก่ลูกพี่ลูกน้องของฉันอย่างไร  ฉันคิดถึงที่การที่ฉันอิจฉาแคลร์เนื่องจากความมีหน้ามีตาและสถานะ และการที่ฉันแสร้งทำเป็นมิตรกับเธอ แต่เธอไม่เคยรู้ความคิดจริงๆ ของฉัน ฉันจึงตัดสินใจเปิดใจกับแคลร์  หลังมื้อค่ำ ฉันก็พูดเปิดใจกับแคลร์ สามัคคีธรรมถึงความเสื่อมทรามทั้งหมดที่ฉันได้เปิดโปง และสิ่งที่ฉันตระหนักจากการทบทวนตัวเองในตอนนั้น  พอได้ยินเธอก็พูดว่า “ไม่เป็นไร ฉันก็เสื่อมทรามมากในเรื่องนี้เหมือนกัน  การเปิดใจแบบนี้ดีมาก”  พอฉันได้เปิดใจ ก็รู้สึกโล่งใจทีเดียว  ตอนนี้ฉันปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับแคลร์อย่างปรองดองได้ และฉันรู้สึกถึงความปลอดภัยและการปลดปล่อยอย่างมาก  ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 11. การทบทวนเรื่อง การแสวงหาชื่อเสียง และผลประโยชน์

ถัดไป: 13. ฉันรู้วิธีแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทราม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger