ก) วิธีแยกแยะพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด
พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย
พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าอันที่จริงแล้วฟาริสีคืออะไร? มีพวกฟาริสีรอบตัวพวกเจ้าบ้างหรือไม่? เหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงถูกเรียกว่า “พวกฟาริสี”? มีการบรรยายถึงพวกฟาริสีไว้ว่าอย่างไร? พวกเขาเป็นผู้คนที่หน้าซื่อใจคด ปลอมอย่างสิ้นเชิง และเล่นละครตบตาในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาแสดงละครอันใด? พวกเขาแสร้งทำตัวเป็นคนดี ใจดี และเป็นบวก พวกเขาเป็นเช่นนี้จริงๆ หรือไม่? ไม่ใช่อย่างแน่นอนที่สุด ด้วยเหตุว่าพวกเขาเป็นพวกหน้าซื่อใจคด ทุกสิ่งทุกอย่างที่สำแดงและเปิดเผยในตัวพวกเขาจึงเทียมเท็จ เป็นการเสแสร้งทั้งสิ้น—ไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขา ใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาซ่อนอยู่ที่ใด? ซ่อนเร้นอยู่ลึกๆ ภายในหัวใจของพวกเขา โดยที่ผู้อื่นไม่มีวันพบเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกคือการแสดง ล้วนเทียมเท็จทั้งสิ้น แต่พวกเขาก็หลอกได้เฉพาะผู้คนเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถหลอกพระเจ้า หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง หากพวกเขาไม่ปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่สามารถเข้าใจความจริงได้อย่างแท้จริง และดังนั้นไม่ว่าวาจาของพวกเขาจะฟังดูดีเพียงใด คำพูดเหล่านี้ก็ไม่ใช่ความเป็นจริงความจริง แต่เป็นคำพูดและหลักคำสอน ผู้คนบางคนเน้นแต่การท่องคำพูดและหลักคำสอนเหมือนนกแก้วนกขุนทองเท่านั้น พวกเขาเลียนแบบผู้ใดก็ตามที่ประกาศคำเทศนาที่สูงส่งที่สุด ส่งผลให้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี การท่องบ่นคำพูดและหลักคำสอนของพวกเขาก็ยิ่งก้าวหน้าขึ้นทุกที และพวกเขาก็เป็นที่เลื่อมใสและเทิดทูนของผู้คนมากมาย แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มอำพรางตนเอง และให้ความสนใจอย่างมากกับสิ่งที่พวกเขาพูดและทำ แสดงตัวว่าเป็นฝ่ายวิญญาณและเคร่งศาสนาเป็นพิเศษ พวกเขาใช้สิ่งที่เรียกว่าทฤษฎีฝ่ายจิตวิญญาณเหล่านี้มาอำพรางตนเอง ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พวกเขาพูดถึงในทุกที่ที่พวกเขาไป สิ่งลวงโลกที่เข้ากับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน แต่ไม่มีความเป็นจริงความจริงแต่อย่างใด และด้วยการประกาศสิ่งเหล่านี้—สิ่งที่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความนิยมชมชอบของผู้คน—พวกเขาก็ชักพาให้ผู้คนมากมายหลงผิด สำหรับผู้อื่นแล้ว ผู้คนเช่นนี้ดูเหมือนจะเปี่ยมศรัทธาและถ่อมใจอย่างมาก แต่อันที่จริงแล้วเป็นเท็จ พวกเขาดูเหมือนยอมผ่อนปรน อดกลั้น และเปี่ยมรัก แต่อันที่จริงแล้วกลับเป็นการเสแสร้ง พวกเขาบอกว่าตนรักพระเจ้า แต่ที่จริงแล้วนี่คือการแสดงละคร ผู้อื่นคิดไปว่าผู้คนเช่นนี้บริสุทธิ์ แต่ตามจริงแล้วนี่เป็นเท็จ จะหาบุคคลที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริงพบได้ในที่ใดกัน? ความบริสุทธิ์ของมนุษย์ล้วนปลอมทั้งสิ้น ทั้งหมดคือการแสดง การเสแสร้ง ภายนอกแล้วพวกเขาดูเหมือนจงรักภักดีต่อพระเจ้า แต่อันที่จริงแล้ว พวกเขาเพียงแค่กำลังแสดงให้ผู้อื่นมองเห็น เมื่อไม่มีใครกำลังมองดูอยู่ พวกเขาก็ไม่จงรักภักดีแม้แต่น้อย และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำก็เป็นแบบขอไปที ดูภายนอกแล้ว พวกเขาสละตนเองเพื่อพระเจ้าและยอมทิ้งครอบครัวและอาชีพของพวกเขา แต่พวกเขากำลังลอบทำสิ่งใดอยู่? พวกเขากำลังทำโครงการของตนเองและดำเนินงานของพวกเขาเองอยู่ในคริสตจักร หากำไรจากคริสตจักร และลอบลักเครื่องบูชาโดยแสร้งทำเป็นว่ากำลังทำงานเพื่อพระเจ้า… ผู้คนเหล่านี้คือพวกฟาริสียุคใหม่ที่หน้าซื่อใจคด พวกฟาริสี—ผู้คนเหล่านี้มาจากที่ใด? พวกเขาอุบัติขึ้นมาท่ามกลางผู้ไม่เชื่อหรือ? เปล่าเลย พวกเขาทั้งหมดอุบัติขึ้นมาท่ามกลางบรรดาผู้เชื่อ เหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงกลายเป็นพวกฟาริสี? มีใครบางคนทำให้พวกเขาเป็นเช่นนั้นหรือไม่? เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เช่นนั้น สิ่งใดคือสาเหตุ? สาเหตุคือแก่นแท้และธรรมชาติของพวกเขาเป็นเช่นนี้ และนี่ก็เป็นเพราะเส้นทางที่พวกเขาเลือก พวกเขาใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นเครื่องมือในการประกาศและหากำไรจากคริสตจักรเท่านั้น พวกเขาเอาพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นอาวุธให้กับความรู้สึกนึกคิดและปากของตนเอง พวกเขาประกาศทฤษฎีทางฝ่ายวิญญาณที่เป็นเท็จและแสดงตัวว่าบริสุทธิ์ จากนั้นก็ใช้สิ่งนี้เป็นต้นทุนเพื่อให้สัมฤทธิ์จุดประสงค์ที่จะหากำไรจากคริสตจักร พวกเขาเพียงแค่ประกาศหลักคำสอน แต่ไม่เคยได้นำความจริงไปปฏิบัติ ผู้คนชนิดใดที่เป็นพวกที่ประกาศพระวจนะและหลักคำสอนต่อไปทั้งๆ ที่ไม่เคยได้ติดตามหนทางของพระเจ้า? เหล่านี้คือพวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด สิ่งที่พูดกันว่าเป็นพฤติกรรมที่ดีและการประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม และสิ่งน้อยนิดที่พวกเขาได้ยอมทิ้งและสละเป็นการฝืนทำทั้งสิ้น ทั้งหมดนั่นเป็นเพียงแค่ละครที่พวกเขาเล่นตบตาอยู่ สิ่งเหล่านั้นปลอมทั้งสิ้น การกระทำทั้งหมดนั้นล้วนเป็นการเสแสร้ง ในหัวใจของผู้คนเหล่านี้ไม่มีความเคารพพระเจ้าแม้แต่น้อย อีกทั้งพวกเขาก็ไม่มีความเชื่อที่จริงแท้ในพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคือผู้ปราศจากความเชื่อ หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะเดินในเส้นทางชนิดนี้ และพวกเขาก็จะกลายเป็นพวกฟาริสี นั่นไม่น่าขวัญผวาหรือ? สถานที่ทางฝ่ายวิญญาณที่พวกฟาริสีไปรวมตัวกันกลายเป็นตลาดขายของ ในสายพระเนตรของพระเจ้า นี่คือศาสนา ไม่ใช่คริสตจักรของพระเจ้า อีกทั้งไม่ใช่สถานที่ซึ่งพระองค์ทรงได้รับการนมัสการ ด้วยเหตุนั้น หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพวกเขาจะพรั่งพร้อมไปด้วยความหมายตามตัวอักษรและหลักคำสอนที่ผิวเผินเกี่ยวกับถ้อยดำรัสของพระเจ้ามากเพียงใด ก็จะไม่มีประโยชน์เลย
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หกข้อบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตในชีวิต
สิ่งใดคือการสำแดงที่สำคัญที่สุดของความหน้าซื่อใจคดของพวกฟาริสี? พวกเขาเพียงได้ตั้งใจอ่านข้อพระคัมภีร์เท่านั้น และไม่ได้แสวงหาความจริง เมื่อพวกเขาได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่ได้อธิษฐานหรือแสวงหา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับได้ศึกษาพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาได้ศึกษาสิ่งที่พระเจ้าตรัสและทรงทำ และจึงได้แปรสภาพพระวจนะของพระองค์ไปเป็นทฤษฎีประเภทหนึ่ง ไปเป็นหลักคำสอนที่พวกเขาได้สอนให้ผู้อื่น นี่คือสิ่งที่การตั้งใจอ่านพระวจนะของพระเจ้าเป็น ดังนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงได้ทำการนั้น? สิ่งใดคือสิ่งที่พวกเขาตั้งใจอ่าน? ในสายตาของพวกเขา เหล่านี้ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้า เหล่านี้ไม่ใช่การแสดงออกของพระเจ้า นับประสาอะไรที่พระวจนะเหล่านี้จะใช่ความจริง แต่กลับเป็นการศึกษาวิจัยรูปแบบหนึ่งเสียมากกว่า ในสายตาของพวกเขา การศึกษาวิจัยเช่นนี้ควรได้รับการส่งต่อ ควรได้รับการเผยแพร่ และการนี้เท่านั้นจึงจะได้เป็นการเผยแพร่หนทางของพระเจ้าและข่าวประเสริฐ นี่คือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “การประกาศ” และคำเทศนาที่พวกเขาได้ประกาศก็คือเทววิทยา
…พวกฟาริสีได้ปฏิบัติต่อเทววิทยาและทฤษฎีที่พวกเขาช่ำชองในฐานะความรู้ประเภทหนึ่ง เป็นเครื่องมือสำหรับกล่าวโทษผู้คนและประเมินวัดว่าผู้คนถูกหรือผิด พวกเขาถึงกับได้ใช้เครื่องมือนี้กับองค์พระเยซูเจ้า—นั่นคือวิธีที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงถูกกล่าวโทษ การประเมินค่าผู้คนของพวกเขา และหนทางที่พวกเขาปฏิบัติต่อผู้คน ไม่เคยได้อยู่บนพื้นฐานของธาตุแท้ของพวกเขา หรือบนพื้นฐานของการที่ว่าสิ่งที่พวกเขาได้พูดไปถูกหรือผิด นับประสาอะไรกับพื้นฐานของแหล่งที่มาและต้นกำเนิดของคำพูดของพวกเขา พวกเขาเพียงแค่ได้กล่าวโทษและประเมินวัดผู้คนบนพื้นฐานของคำพูดและหลักคำสอนที่ไม่ยอมอ่อนข้อซึ่งพวกเขาช่ำชอง และดังนั้น ถึงแม้ว่าพวกฟาริสีเหล่านี้รู้ว่าสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำไม่ได้เป็นความบาป และไม่ได้ฝ่าฝืนกฎหมาย แต่พวกเขาก็ยังคงกล่าวโทษพระองค์ เพราะสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสดูเหมือนจะไม่ลงรอยกับความรู้และการศึกษาวิจัยที่พวกเขาช่ำชอง และทฤษฎีทางเทววิทยาที่พวกเขาได้ขยายความไว้ และพวกฟาริสีเพียงแค่ไม่ยอมคลายกำมือจากคำและวลีเหล่านี้ พวกเขาได้เกาะติดความรู้นี้ และจะไม่ปล่อยมือ ในท้ายที่สุดบทอวสานที่เป็นไปได้หนึ่งเดียวคือสิ่งใด? พวกเขาจะไม่ยอมรับรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเมสสิยาห์ที่จะเสด็จมา หรือไม่ยอมรับรู้ว่ามีความจริงในสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัส นับประสาอะไรที่จะยอมรับรู้ว่าสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำนั้นสอดคล้องกับความจริง พวกเขาได้พบข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลบางอย่างเพื่อกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า—แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว ในหัวใจพวกเขา พวกเขาได้รู้หรือไม่ว่าความบาปเหล่านี้ที่พวกเขาใช้กล่าวโทษพระองค์ใช้ได้หรือไม่? พวกเขารู้ ดังนั้นแล้ว เหตุใดพวกเขาจึงยังคงกล่าวโทษพระองค์เช่นนี้? (พวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะเชื่อว่าพระเจ้าผู้ทรงสูงส่งและทรงฤทธิ์ในจิตใจของพวกเขาจะสามารถเป็นองค์พระเยซูเจ้า เป็นพระฉายาของบุตรมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่งนี้) พวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะยอมรับข้อเท็จจริงนี้ และสิ่งใดคือลักษณะที่แท้จริงของการปฏิเสธของพวกเขาที่จะยอมรับการนี้เล่า? ได้มีบางสิ่งเกี่ยวกับการพยายามใช้เหตุผลกับพระเจ้าในการนี้หรือไม่? สิ่งที่พวกเขาหมายถึงก็คือ “พระเจ้าจะสามารถทำการนั้นได้หรือ? หากพระเจ้าได้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ต้องทรงกำเนิดจากเชื้อสายที่โด่งดังอย่างแน่นอน ที่มากกว่านั้นก็คือพระองค์ทรงต้องยอมรับการสอนสั่งของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เรียนรู้ความรู้นี้ และอ่านข้อพระคัมภีร์มากๆ เพียงหลังจากพระองค์ทรงครองความรู้นี้แล้วเท่านั้น พระองค์จึงจะสามารถรับตำแหน่งของ ‘การจุติเป็นมนุษย์’ ได้” พวกเขาเชื่อว่า ประการแรก พระองค์ไม่ทรงมีคุณสมบัติเช่นนั้น ดังนั้นแล้ว พระองค์จึงไม่ทรงเป็นพระเจ้า ประการที่สอง หากปราศจากความรู้นี้ พระองค์ก็จะไม่สามารถทรงพระราชกิจของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรที่พระองค์จะสามารถเป็นพระเจ้าได้ ประการที่สาม พระองค์ไม่สามารถทรงพระราชกิจนอกพระวิหารได้—ตอนนี้พระองค์ไม่ทรงอยู่ในพระวิหาร พระองค์ทรงอยู่ท่ามกลางพวกคนบาปเสมอ ดังนั้นแล้วพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำจึงอยู่เหนือโพ้นวงเขตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า พื้นฐานของการกล่าวโทษของพวกเขามาจากที่ใด? จากข้อพระคัมภีร์ จากจิตใจของมนุษย์ และจากการศึกษาด้านเทววิทยาที่พวกเขาได้รับ เพราะพวกเขาพองโตด้วยมโนคติที่หลงผิด จินตนาการ และความรู้ พวกเขาจึงเชื่อว่าความรู้นี้ถูกต้อง เป็นความจริง เป็นพื้นฐาน และไม่มีวันที่พระเจ้าจะสามารถฝ่าฝืนสิ่งเหล่านี้ได้ พวกเขาได้แสวงหาความจริงหรือไม่? พวกเขาไม่ได้แสวงหา สิ่งที่พวกเขาได้แสวงหาคือมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของพวกเขาเอง และประสบการณ์ของพวกเขาเอง และพวกเขาได้พยายามใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อนิยามพระเจ้าและกำหนดพิจารณาว่าพระองค์ทรงถูกหรือผิด สิ่งใดคือบทอวสานท้ายสุดของการนี้? พวกเขาได้กล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าและตอกตรึงพระองค์กับกางเขน
—พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เจ็ด: พวกเขาเลว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (ภาคที่สาม)
พวกฟาริสีเก่งที่สุดในการประกาศคำสอนและท่องคำขวัญ พวกเขามักยืนอยู่ตามมุมถนนและร้องตะโกนว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!” หรือ “พระเจ้าผู้ควรนมัสการ!” ในสายตาผู้อื่น พวกเขาดูเหมือนเคร่งศาสนาเป็นพิเศษ และไม่ได้ทำสิ่งใดที่ขัดต่อกฎหมาย ว่าแต่พระเจ้าได้ทรงเห็นชอบพวกเขาหรือเปล่า? เปล่าเลย พระองค์ได้กล่าวโทษพวกเขาอย่างไร? โดยการให้ฉายานามพวกเขาว่า พวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด ในกาลก่อนนั้น พวกฟาริสีเป็นชนชั้นที่ได้รับความเคารพในประเทศอิสราเอล แล้วเหตุใดหรือชื่อนี้จึงกลายเป็นสิ่งตราหน้าในปัจจุบัน? นี่เป็นเพราะพวกฟาริสีได้กลายเป็นตัวแทนของบุคคลชนิดหนึ่ง สิ่งใดคือคุณลักษณะเฉพาะของบุคคลชนิดนี้? พวกเขามีทักษะในการเทียมเท็จ ในการประดับตบแต่ง ในการเสแสร้ง และพวกเขาแสร้งแสดงความสูงศักดิ์ยิ่งใหญ่ ความบริสุทธิ์และความเที่ยงธรรมยิ่งใหญ่ และความดีพร้อมที่โปร่งใสและคำขวัญที่พวกเขาโห่ร้องก็ฟังดูดี แต่ตามที่ผลปรากฏออกมาก็คือพวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงแม้แต่น้อย พวกเขามีพฤติกรรมดีอะไรหรือ? พวกเขาก็อ่านบทคัมภีร์ และประกาศ พวกเขาสอนผู้อื่นให้ค้ำจุนธรรมบัญญัติและข้อบังคับทั้งหลาย และไม่ขัดขืนพระเจ้า ทั้งหมดนี้เป็นพฤติกรรมที่ดี ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดฟังดูดี แต่ทว่า เมื่อผู้อื่นหันหลังให้ พวกเขาก็แอบขโมยของถวาย องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่าพวกเขา “กรองลูกน้ำออกแต่กลืนตัวอูฐเข้าไป” (มัทธิว 23:24) นี่หมายความว่าพฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขาดูดีที่ผิวภายนอก—พวกเขาสวดท่องคำขวัญอย่างโอ้อวด พวกเขาพูดถึงทฤษฎีที่สูงส่ง และคำพูดของพวกเขาฟังดูน่ายินดี แต่ทว่าความประพฤติของพวกเขาเป็นความรกรุงรังที่ไร้ระเบียบ และเป็นการขัดขืนต่อพระเจ้าทั้งสิ้น พฤติกรรมภายนอกของพวกเขาล้วนเป็นการเสแสร้ง ล้วนเป็นการต้มตุ๋น ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่มีความรักแม้แต่น้อยสำหรับความจริงหรือสำหรับสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก พวกเขาชิงชังความจริง สิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก และทั้งหมดที่มาจากพระเจ้า พวกเขารักสิ่งใดหรือ? พวกเขารักความเป็นธรรมและความชอบธรรมหรือไม่? (ไม่) เจ้าสามารถบอกได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่รักสิ่งเหล่านี้? (องค์พระเยซูเจ้าทรงเผยแผ่ข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ที่พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ยอมที่จะยอมรับเท่านั้น แต่ยังกล่าวโทษอีกด้วย) หากพวกเขาไม่ได้กล่าวโทษการนั้น เราจะบอกได้หรือ? ไม่ได้หรอก การทรงปรากฎและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าเปิดเผยพวกฟาริสีทั้งหมดแล้ว และเพียงเพราะการกล่าวโทษกับการขัดขืนต่อองค์พระเยซูเจ้านั่นเองที่ทำให้ผู้อื่นสามารถเห็นถึงความหน้าซื่อใจคดของพวกเขา หากไม่ได้เป็นเพราะการทรงปรากฎตัวและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า ก็คงจะไม่มีใครรู้ทันพวกฟาริสี และหากผู้คนมองพวกฟาริสีแค่การประพฤติปฏิบัติภายนอก ก็คงจะทำให้พวกเขาถึงกับรู้สึกอิจฉา การที่พวกฟาริสีใช้พฤติกรรมดีที่เทียมเท็จเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้คนนั้นไม่จริงใจและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมิใช่หรือ? ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเช่นนี้สามารถรักความจริงได้หรือ? พวกเขาไม่สามารถอย่างแน่นอน อะไรคือจุดประสงค์เบื้องหลังการอวดแสดงการประพฤติปฏิบัติที่ดีของพวกเขา? อย่างหนึ่งที่แน่นอนคือเพื่อหลอกให้ผู้อื่นหลงกล อีกอย่างคือเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดและเอาชนะใจเพื่อให้ผู้คนคิดกับพวกเขาอย่างสูงส่งและเทิดทูนพวกเขา และท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาต้องการที่จะได้รับบำเหน็จ ช่างเป็นกลฉ้อฉลอะไรเช่นนั้น! เหล่านี้เป็นกลอุบายอันแยบคายหรอกหรือ? ผู้คนเช่นนั้นได้รักความเป็นธรรมและความชอบธรรมหรือ? แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้รัก สิ่งที่พวกเขารักคือสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ และสิ่งที่พวกเขาต้องการคือบำเหน็จกับมงกุฎ พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าที่ทรงสอนผู้คน และพวกเขาไม่เคยใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริงทั้งหลายเลยแม้แต่น้อย พวกเขาทุกคนกำลังปลอมแปลงตัวเองด้วยการประพฤติปฏิบัติดี หลอกให้ผู้คนหลงกลและเอาชนะใจผู้คนโดยหนทางแบบหน้าซื่อใจคด เพื่อที่จะรักษาความปลอดภัยให้กับสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขาเอง ซึ่งจากนั้นพวกเขาก็ได้ใช้ในการหาเงินทุนและหาเลี้ยงชีพต่อไป นั่นไม่น่าดูหมิ่นหรือ? จากการประพฤติปฏิบัตินี้ทั้งหมดของพวกเขา เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าโดยแก่นแท้แล้วพวกเขาไม่ได้รักความจริง เพราะพวกเขาไม่เคยปฏิบัติความจริง อะไรหรือคือบางสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่เคยปฏิบัติความจริง? สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือการที่องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาเพื่อพระราชกิจแห่งการไถ่ และการที่พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าทุกคำเป็นความจริงและมีสิทธิอำนาจ พวกฟาริสีมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการนี้เล่า? ถึงแม้พวกเขาได้รับรู้ว่าพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้ามีสิทธิอำนาจและพลังอำนาจ พวกเขาไม่เพียงไม่ยอมรับพระวจนะเท่านั้น แต่พวกเขายังกล่าวโทษและหมิ่นประมาทพระวจนะเหล่านั้นอีกด้วย นั่นมันเกี่ยวกับอะไรเล่า? นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่รักความจริงและในหัวใจของพวกเขา พวกเขาชิงชังและเกลียดความจริง พวกเขารับรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้านั้นถูกต้องในทุกสิ่งที่พระองค์ตรัส รับรู้ว่าพระวจนะของพระองค์มีสิทธิอำนาจและพลังอำนาจ รับรู้ว่าพระองค์ไม่ได้ผิดแต่อย่างใดเลย และพวกเขาไม่มีอะไรมางัดข้อกับพระองค์เลย แต่พวกเขาก็ต้องการกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาจึงปรึกษาและรวมหัวกัน และพูดว่า “ตรึงกางเขนเขา เพราะไม่เขาก็เราที่จะต้องตาย” และนี่คือวิธีที่พวกฟาริสีท้าทายองค์พระเยซูเจ้า ณ เวลานั้นไม่มีใครเข้าใจความจริงและไม่มีใครสามารถระลึกได้ว่าองค์พระเยซูเจ้าเป็นพระเจ้าที่ทรงปรากฎในรูปมนุษย์ แม้ว่าจากมุมมองแบบมนุษย์นั้น องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงแสดงความจริงไว้มากมาย ทรงขับไล่ปีศาจ และช่วยรักษาคนป่วย พระองค์ได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์ไปมากมาย ทรงเลี้ยงอาหารผู้คน 5000 คนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว ทรงทำกิจการที่ดีงามไปนับไม่ถ้วน และประทานพระคุณมากมายเหลือเกินให้กับผู้คน มีผู้คนน้อยเหลือเกินที่ดีและชอบธรรมเช่นนี้ แล้วเหตุใดพวกฟาริสีจึงต้องการกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า? เหตุใดพวกเขาจึงมีเจตนาแรงกล้าเหลือเกินที่จะตรึงกางเขนพระองค์? การที่พวกเขาเลือกที่จะปล่อยอาชญากรให้เป็นอิสระมากกว่าจะปล่อยพระองค์ไปแสดงให้เห็นว่าพวกฟาริสีแห่งโลกศาสนานั้นชั่วและมุ่งร้ายเพียงไร พวกเขาช่างเลวเหลือเกิน! ระหว่างโฉมหน้าชั่วที่พวกฟาริสีปิดไว้ไม่มิด กับความเมตตากรุณาภายนอกที่พวกเขาแสร้งตีสีหน้าไว้นั้นช่างแตกต่างกันใหญ่หลวงเสียจนผู้คนมากมายไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอันไหนแท้จริงอันไหนเท็จ แต่การทรงปรากฎและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าเปิดเผยสิ่งเหล่านั้นออกมาจนหมดสิ้น โดยปกติแล้วพวกฟาริสีมักปลอมแปลงตัวเองไว้เป็นอย่างดีเหลือเกินและปรากฏให้เห็นภายนอกว่าตนเป็นเสมือนพระเจ้ามากเสียจนไม่มีใครจะจินตนาการไปว่าพวกเขาสามารถขัดขืนและข่มเหงองค์พระเยซูเจ้าอย่างโหดร้ายเหลือเกินหากข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้ถูกเปิดเผย ก็จะไม่มีใครสามารถได้มองเห็นพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งเลย การแสดงความจริงของพระเจ้าผู้ทรงปรากฎในรูปมนุษย์ช่างเป็นการเปิดเผยเกี่ยวกับมนุษย์จริงๆ!
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
นอกจากนี้ยังมีบางคนที่สามารถรับความสว่างใหม่ได้ แต่วิธีการปฏิบัติของพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขานำมโนคติอันหลงผิดเก่าๆ ทางศาสนามากับตัวพวกเขาในขณะที่พวกเขามองหาว่าจะได้รับพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาได้รับจึงยังคงเป็นคำสอนที่แต้มสีไปด้วยมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา พวกเขาไม่ได้รับความสว่างของวันนี้เลย ผลก็คือการปฏิบัติของพวกเขาด่างพร้อย การปฏิบัติของพวกเขาเป็นการปฏิบัติเก่าๆ เดิมๆ ในรูปลักษณ์ใหม่ ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติได้ดีเพียงใดก็ตาม พวกเขาก็เป็นพวกคนหน้าซื่อใจคด พระเจ้าทรงนำผู้คนให้ทำสิ่งใหม่ๆ ทุกวัน ทรงเรียกร้องให้พวกเขาได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและความเข้าใจใหม่ๆ ในแต่ละวัน และทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาไม่ล้าสมัยและทำสิ่งใดซ้ำซาก หากเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว แต่วิธีการปฏิบัติของเจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย และหากเจ้ายังคงกระตือรือร้นและติดธุระวุ่นวายกับเรื่องภายนอก แต่เจ้ายังไม่มีหัวใจที่สงบที่จะนำมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อชื่นชมพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้รับสิ่งใดเลย เมื่อเป็นเรื่องของการยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า หากเจ้าไม่วางแผนให้แตกต่างออกไป ไม่เริ่มทำการปฏิบัติของเจ้าในหนทางใหม่ และไม่ไล่ตามเสาะหาความเข้าใจใหม่ใดๆ แต่ยังเกาะติดกับสิ่งเก่าๆ และได้รับความสว่างใหม่เพียงจำกัดอยู่บ้าง โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงหนทางที่เจ้าปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วผู้คนเช่นเจ้าจะอยู่ในกระแสนี้แต่ในนามเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว ผู้คนเหล่านั้นเป็นพวกฟาริสีของศาสนาที่อยู่นอกกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ
ผู้คนบางคนมีใจชอบที่จะดึงดูดความสนใจมาสู่ตัวเอง ยามอยู่ต่อหน้าพี่น้องชายหญิงของพวกเขา พวกเขาอาจกล่าวว่าพวกเขาเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า แต่ลับหลังคนเหล่านั้น พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงและกระทำการแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เหล่านี้มิใช่พวกฟาริสีทางศาสนาหรอกหรือ? บุคคลหนึ่งซึ่งรักพระเจ้าอย่างแท้จริงและครองความจริงก็คือผู้ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้า แต่ไม่อวดแสดงท่าออกมาภายนอกว่าเป็นคนเช่นนั้น บุคคลเช่นนั้นเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริงเมื่อเกิดสถานการณ์ทั้งหลายขึ้น และไม่พูดหรือกระทำการในแบบที่ขัดแย้งกับมโนธรรมของพวกเขา บุคคลเช่นนี้สาธิตแสดงสติปัญญาเมื่อเกิดเรื่องราวทั้งหลายขึ้น และมีหลักธรรมอยู่ในความประพฤติทั้งหลายของเขาหรือของเธอไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมจะเป็นเช่นไร บุคคลประเภทนี้สามารถจัดเตรียมการปรนนิบัติที่แท้จริงได้ มีบางคนที่พูดแต่ปากว่าตนเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า วันๆ พวกเขาเอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดในความวิตกกังวล ทำตัวเศร้าสร้อย และแสร้งทำเป็นน่าสงสาร ช่างน่าดูหมิ่นเสียจริง! หากเจ้าจะถามพวกเขาว่า “คุณบอกฉันได้ไหมเกี่ยวกับว่าคุณเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าอย่างไร?” พวกเขาก็จะพูดไม่ออก หากเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้าแล้วไซร้ ก็จงอย่าพูดออกไปภายนอกเกี่ยวกับการนี้ แต่จงสาธิตแสดงความรักของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าโดยหนทางแห่งการปฏิบัติแบบลงมือจริงแทน และจงอธิษฐานต่อพระองค์ด้วยหัวใจที่แท้จริง พวกที่แค่จัดการพระเจ้าด้วยคำพูดและจัดการพอเป็นพิธีล้วนเป็นคนหน้าซื่อใจคดกันทั้งนั้น! บางคนพูดถึงการเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าทุกครั้งที่พวกเขาอธิษฐาน และเริ่มร่ำไห้ทุกครั้งที่พวกเขาอธิษฐาน โดยปราศจากการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยซ้ำ ผู้คนเช่นนี้ถูกครอบงำโดยพิธีกรรมและมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายทางศาสนา พวกเขาดำเนินชีวิตโดยพิธีกรรมและมโนคติที่หลงผิดแบบนั้น โดยเชื่อเสมอว่าพระเจ้าทรงยินดีในการกระทำเหล่านั้น และว่าพระองค์ทรงโปรดปรานการอยู่ในทางพระเจ้าแบบผิวเผินหรือน้ำตาอันเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า สิ่งดีอันใดหรือที่จะสามารถมาจากผู้คนที่ไร้สาระแบบนั้น? เพื่อที่จะสาธิตแสดงความถ่อมใจ บ้างก็แสร้งทำเป็นอ่อนโยนมีมารยาทยามพูดจาอยู่ต่อหน้าผู้อื่น บ้างก็จงใจประจบประแจงยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น โดยทำท่าทางเหมือนลูกแกะที่ไร้เรี่ยวแรง นี่เป็นลักษณะที่เหมาะสมกับประชากรแห่งราชอาณาจักรหรือ? ประชากรแห่งราชอาณาจักรนั้นควรมีชีวิตชีวาและเป็นอิสระ ไร้เดียงสาและเปิดเผย ซื่อสัตย์และน่ารัก และดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะแห่งอิสรภาพ พวกเขาควรมีความซื่อสัตย์สุจริตและศักดิ์ศรี และสามารถยืนหยัดเป็นพยานได้ไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด ผู้คนเช่นนั้นเป็นที่รักของทั้งพระเจ้าและมนุษย์ บรรดาผู้ที่ใหม่ต่อความเชื่อนั้นมีพิธีปฏิบัติภายนอกมากเกินไป พวกเขาต้องก้าวผ่านช่วงเวลาของการถูกตัดแต่งและถูกปราบพยศเสียก่อน ผู้คนที่มีความเชื่อในพระเจ้าอยู่ลึกๆ นั้นไม่อาจแยกออกจากผู้อื่นได้เมื่อดูภายนอก แต่การกระทำและความประพฤติทั้งหลายของพวกเขานั้นน่ายกย่อง ผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถถือได้ว่าดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าประกาศข่าวประเสริฐทุกวันแก่ผู้คนหลากหลายในความพยายามที่จะนำพวกเขามาสู่ความรอด ทว่าในท้ายที่สุดก็ยังกำลังดำเนินชีวิตโดยกฎเกณฑ์และคำสอนทั้งหลายอยู่ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมไม่สามารถนำพระสิริมาสู่พระเจ้าได้ ผู้คนเช่นนั้นก็คือพวกบุคคลสำคัญทางศาสนา ตลอดจนพวกคนหน้าซื่อใจคดนั่นเอง เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนทางศาสนาเหล่านั้นมารวมตัวกัน พวกเขาอาจถามว่า “พี่สาว หมู่นี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง?” เธออาจตอบกลับไปว่า “ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า และว่าฉันไม่สามารถสนองเจตนารมณ์ของพระองค์ได้” อีกคนอาจกล่าวว่า “ฉันก็รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าเหมือนกัน และรู้สึกว่าฉันไม่สามารถทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์ได้” ลำพังไม่กี่ประโยคและคำพูดเหล่านี้แสดงให้เห็นสิ่งถ่อยๆ ทั้งหลายที่อยู่ลึกภายในพวกเขา นั่นคือ คำพูดทั้งหลายดังกล่าวนั้นน่าเกลียดที่สุด และน่าเดียดฉันท์เหลือเกิน ธรรมชาติของผู้คนแบบนั้นย่อมต่อต้านพระเจ้า บรรดาผู้คนที่มุ่งเน้นที่ความเป็นจริงย่อมสื่อสารสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา และเปิดหัวใจของพวกเขาออกมาในการสามัคคีธรรม พวกเขาไม่ทำกิจกรรมที่เป็นเท็จแม้สักครั้ง ไม่อวดแสดงทั้งความสุภาพมีมารยาทมากมายเกินขนาดและการหยอกล้อคุยเล่นอันว่างเปล่าไม่จริงใจ พวกเขาตรงไปตรงมาอยู่เสมอ และไม่ถือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่ไม่อิงศาสนา ผู้คนบางคนมีใจชอบการแสดงออกมาภายนอก จนถึงจุดที่ขาดสำนึกอย่างถึงที่สุดด้วยซ้ำ เมื่อใครบางคนร้องเพลง พวกเขาก็เริ่มเต้นรำ ไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่าข้าวในหม้อของพวกเขาไหม้เสียแล้ว ผู้คนเช่นนั้นไม่ได้อยู่ในทางพระเจ้าหรือมีเกียรติ และพวกเขาเหลาะแหละมากเกินไป สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นการสำแดงทั้งหลายของการขาดพร่องความเป็นจริง เมื่อผู้คนบางคนสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่พูดเรื่องความเป็นหนี้บุญคุณอะไรเลยต่อพระเจ้า แต่ลึกลงไปนั้น พวกเขายังคงไว้ซึ่งความรักที่แท้จริงต่อพระองค์ ความรู้สึกของเจ้าในเรื่องการเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับผู้คนอื่นๆ เจ้าเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า ไม่ใช่มนุษยชาติ มีประโยชน์อะไรที่เจ้าจะพูดถึงเรื่องนี้กับคนอื่นอยู่เนืองนิตย์? เจ้าต้องให้ความสำคัญแก่การเข้าสู่ความเป็นจริง ไม่ใช่แก่ความคึกคักกระตือรือร้นหรือการอวดแสดงภายนอกใดๆ ความประพฤติดีแบบผิวเผินของมนุษย์ทั้งหลายเป็นตัวแทนของอะไรหรือ? สิ่งเหล่านั้นเป็นตัวแทนของเนื้อหนัง และแม้แต่พิธีปฏิบัติภายนอกที่ดีที่สุดก็ไม่ใช่ตัวแทนของชีวิต สิ่งเหล่านั้นสามารถแสดงออกได้เพียงภาวะอารมณ์แบบปัจเจกบุคคลของเจ้าเองเท่านั้น พิธีปฏิบัติภายนอกของมนุษยชาติไม่สามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ เจ้าพูดถึงการเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าของเจ้าอยู่เนืองนิตย์ ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่สามารถจัดหาให้กับชีวิตของผู้อื่น หรือกระตุ้นหัวใจที่รักพระเจ้าของพวกเขาได้ เจ้าเชื่อหรือว่าการกระทำเหล่านั้นของเจ้าจะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย? เจ้ารู้สึกว่าพระเจ้ามีเจตนารมณ์ที่จะให้เจ้ากระทำการในหนทางนี้ รู้สึกว่าการกระทำของเจ้าอยู่ฝ่ายวิญญาณ แต่ที่จริงแล้ว การกระทำเหล่านั้นช่างไร้สาระทั้งสิ้น! เจ้าเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้เจ้ายินดีและสิ่งที่เจ้าเต็มใจที่จะทำคือสิ่งเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงปีติยินดีเป็นแน่แท้ ความชอบทั้งหลายของเจ้าเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้หรือ? บุคลิกลักษณะของบุคคลหนึ่งเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้หรือ? สิ่งที่เจ้ายินดีก็คือสิ่งที่พระเจ้าทรงชิงชังโดยแท้ และนิสัยทั้งหลายของเจ้าก็คือนิสัยที่พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์ หากเจ้ารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ เช่นนั้นแล้ว จงไปอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ไม่มีความจำเป็นที่จะพูดถึงการนั้นกับคนอื่นๆ หากเจ้าไม่อธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และกลับดึงความสนใจมาสู่ตัวเจ้าเองอยู่เนืองนิตย์ต่อหน้าผู้อื่นแทน นี่จะสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้หรือ? หากการกระทำทั้งหลายของเจ้ามีจริงอยู่เสมอในการปรากฏภายนอกเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว นี่ก็หมายความว่าเจ้าไร้ประโยชน์อย่างสุดขั้ว พวกที่เพียงดำเนินความประพฤติดีแบบผิวเผินและไร้ความเป็นจริงเป็นมนุษย์ลักษณะใดหรือ? ผู้คนเช่นนั้นก็เป็นแค่พวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคดและบุคคลสำคัญทางศาสนาเท่านั้นเอง! หากพวกเจ้าไม่สลัดพิธีปฏิบัติภายนอกของพวกเจ้าทิ้งและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่นนั้นแล้ว องค์ประกอบเหล่านั้นของความหน้าซื่อใจคดในพวกเจ้าก็จะเติบโตมากยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งองค์ประกอบของความหน้าซื่อใจคดของเจ้ามีมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีการต้านทานพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุด ผู้คนเช่นนั้นย่อมจะถูกกำจัดออกไปอย่างแน่นอน!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในความเชื่อ คนเราต้องมุ่งความสนใจไปที่ความเป็นจริง—การมีส่วนในพิธีกรรมทางศาสนาหาใช่ความเชื่อไม่
มีผู้คนบางคนที่เตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงเพียงเพื่อที่จะทำงานและประกาศ เพื่อที่จะจัดเตรียมให้แก่ผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อแก้ไขปัญหาของตนเอง และยิ่งไม่นำความจริงไปปฏิบัติ การสามัคคีธรรมของพวกเขาอาจมีความเข้าใจที่ถ่องแท้ และสอดคล้องกับความจริง แต่พวกเขาไม่เอาความจริงมาประเมินวัดตนเอง และพวกเขาไม่ปฏิบัติหรือมีประสบการณ์กับความจริง ปัญหาในที่นี้คืออะไร? พวกเขายอมรับความจริงเสมือนเป็นชีวิตของตนอย่างแท้จริงแล้วหรือ? ไม่เลย พวกเขาไม่เคยยอมรับ คำสอนที่คนเราประกาศ ไม่ว่าจะถ่องแท้เพียงใดก็ไม่ได้หมายความว่าคนเรามีความเป็นจริงความจริง การที่จะถึงพร้อมด้วยความจริงนั้น คนเราต้องเข้าสู่ความจริงด้วยตนเองเสียก่อน และเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริงแล้ว ก็นำความจริงไปปฏิบัติ หากคนเราไม่มุ่งเน้นที่การเข้าสู่ของตนเอง แต่มุ่งที่จะอวดตนด้วยการประกาศความจริงแก่ผู้อื่น เจตนาของพวกเขาย่อมผิด มีผู้นำเทียมเท็จมากมายที่ทำงานเช่นนี้ สามัคคีธรรมกับผู้อื่นไม่หยุดหย่อนเกี่ยวกับความจริงที่ตนเข้าใจ จัดเตรียมให้แก่ผู้เชื่อใหม่ สอนผู้คนให้ปฏิบัติความจริง ให้ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี ไม่คิดลบ คำพูดเหล่านี้ล้วนดีงาม—เปี่ยมรักด้วยซ้ำไป—แต่เหตุใดผู้ที่กล่าวคำพูดเหล่านี้จึงไม่ปฏิบัติความจริง? เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีการเข้าสู่ชีวิต? แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นในที่นี้? อันที่จริงบุคคลเช่นนี้รักความจริงหรือไม่? เรื่องนี้พูดยาก นี่คือวิธีที่พวกฟาริสีในอิสราเอลขยายความพระคัมภีร์ให้แก่ผู้อื่น แต่ทว่าพวกเขาไม่สามารถรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยตนเองได้ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจ พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่ก็ต้านทานองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาตรึงกางเขนองค์พระเยซูเจ้าและถูกพระเจ้าสาปแช่ง เพราะฉะนั้นผู้คนทั้งหมดที่ไม่ยอมรับความจริงหรือปฏิบัติความจริง ย่อมจะถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษ พวกเขาช่างเลวร้าย! หากคำพูดและคำสอนที่พวกเขาประกาศสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ เหตุใดจึงช่วยเหลือพวกเขาไม่ได้? พวกเราควรเรียกบุคคลเช่นนี้ว่าคนหน้าซื่อใจคดที่ไม่มีความเป็นจริง พวกเขาจัดเตรียมความหมายตามตัวอักษรเกี่ยวกับความจริงให้แก่ผู้อื่น พวกเขาให้ผู้อื่นปฏิบัติความจริง แต่พวกเขาไม่ยอมปฏิบัติความจริงด้วยตนเองแม้แต่น้อย บุคคลเช่นนี้ไม่ไร้ยางอายหรอกหรือ? พวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริง แต่ทว่าในการประกาศคำพูดและคำสอนแก่ผู้อื่น พวกเขากลับแสร้งทำเป็นว่ามี นี่คือการจงใจหลอกลวงและทำร้ายมิใช่หรือ? หากบุคคลเช่นนี้ถูกเปิดโปงและขับออกไป พวกเขาย่อมจะมีแต่ตัวเองให้ติเตียนเท่านั้น พวกเขาไม่ควรค่าที่จะได้รับความสงสาร
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม
ฉากตัดตอนจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง
เหตุใดวิบัติจึงได้บังเกิดแก่พวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด?