65. ความอยากสบายเกือบทำลายฉัน

โดย โนเอล, ประเทศเกาหลีใต้

ใน ค.ศ. 2019 ฉันมีหน้าที่รับผิดชอบงานวิดีโอ ขณะเดียวกันกับที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำคริสตจักรไปด้วย  ฉันปฏิญาณตนไว้ว่าจะทำหน้าที่ของตนให้ดี  หลังจากนั้นฉันก็ทุ่มเทแรงใจอย่างเต็มที่ให้กับหน้าที่และเรียนรู้วิธีการทำงานของคริสตจักรจากพี่น้องหญิงที่เป็นคู่ทำงานของฉัน  ฉันพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดในการเข้าร่วมการชุมนุมทุกครั้ง ไม่ว่าการชุมนุมนั้นจะเล็กหรือใหญ่ และเมื่อพี่น้องชายหญิงอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่ ฉันก็จะไปค้นหาในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อที่จะสามัคคีธรรมกับพวกเขาและแก้ปัญหาของพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น ฉันยังได้ตรวจทานวิดีโอที่พี่น้องชายหญิงของฉันได้ทำเสร็จลงในทุกๆ วัน  ในแต่ละวัน ฉันจึงมีอะไรที่ต้องทำแน่นไปหมด  หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็เริ่มรู้สึก  เหนื่อยและความแน่วแน่ที่มีในตอนแรกก็ค่อยๆ หายไป  ฉันรู้สึกทนไม่ไหวมากขึ้นทุกทีกับชีวิตที่วุ่นวายแบบนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ฉันกำลังตรวจทานวิดีโอ ฉันต้องรอบคอบและต้องใช้ความคิดอย่างมาก จากนั้นจึงจะให้ข้อเสนอแนะที่เหมาะสมเพื่อที่จะจัดการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ฉันพบได้  ฉันได้พบว่านี่เป็นอะไรที่น่าเหน็ดเหนื่อยและยุ่งยากใจมากเกินไป  เมื่อฉันคิดแบบยนี้ ฉันก็เริ่มทำไปแบบลวกๆ ในเวลาที่ตรวจทานวิดีโอ และบางวิดีโอ ฉันก็แค่ดูผ่านๆ แล้วก็ส่งกลับไป  บางครั้งเวลามีปัญหาที่ชัดเจนฉันก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะไม่เช่นนั้นฉันก็จะต้องคิดหาทางแก้ไข ฉันจึงแค่ปริปากเงียบไม่พูดอะไร  ฉันเริ่มละเลยหน้าที่ของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าวิดีโอถูกส่งกลับไปกลับมาเพื่อแก้ไขอยู่ตลอดเวลา  นั่นทำให้ ผู้คนมากมายต้องเสียแรงพยายามไปเปล่าๆ  สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงตามมา แต่ฉันก็ไม่ได้ทบทวนตนเอง  ฉันกลับรู้สึกด้วยซ้ำว่านั่นไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับตัวฉัน และว่านั่นก็เป็นเพราะวิดีโอของคนอื่นๆ มีปัญหามากเกินไป

ครั้งหนึ่ง ฉันไปเจอเข้ากับปัญหาติดขัดทางเทคนิคจริงๆ ของวิดีโอหนึ่งที่กำลังรับผิดชอบคามืออยู่ ซึ่งจำเป็นต้องได้แนวคิดใหม่ๆ  พี่น้องชายหญิงของฉันต่างให้แนวคิดกันมาสารพัดแบบ ซึ่งมีแต่ทำให้ฉันคิดจนวิงเวียนไปหมด  ฉันคิดว่า “นี่มันเหนื่อยเกินไปแล้วที่จะคิด ฉันจะปล่อยให้พวกเขาวางแผนกันเองละนะ!”  ฉันจึงได้มอบหมายงานต่อให้คนอื่นโดยมีข้อแก้ตัวว่าฉันมีหน้าที่ควบคุมดูแลงานโดยรวม ดังนั้นฉันจึงมีเหตุผลพอที่จะไม่ไปคอยกำกับดูแลและติดตามงานวิดีโอ  แต่เนื่องจากไม่มีใครเคยเจอปัญหาแบบนี้มาก่อน และพวกเขาก็ไม่เข้าใจหลักธรรมบางประการดีพอ พวกเขาจึงไม่รู้วิธีที่จะรับมือกับงานที่ซับซ้อนเช่นนี้  ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย และสุดท้ายวิดีโอก็ถูกพับเก็บไป  ลีอาห์ที่เป็นคู่ทำงานของฉันเห็นว่าเรากำลังขาดประสิทธิภาพและก้าวหน้าไปได้ช้า  เธอจึงสะกิดเตือนและเร่งให้เราขยับเดินหน้าให้งานเร็วขึ้น  ฉันจึงติไปว่าเธอทำกับพวกเรามากเกินไป และพี่น้องคนอื่นๆ ก็พลอยไปด้วยกับฉัน โดยขัดขืนไม่ทำตามการจัดเตรียมงานของเธอ  นี่ทำให้ลีอาห์รู้สึกเหมือนถูกบีบอย่างหนัก และเธอก็กลายเป็นคนระมัดระวังตัวทุกครั้งที่ต้องหารือเรื่องการจัดเตรียมงานกับเรา  สิ่งนี้ทำให้เกิดความล่าช้าซ้ำซ้อนขึ้นไปอีก ซึ่งทำให้ความคืบหน้าของเราหยุดชะงัก  โดยปกติแล้ว ฉันไม่ค่อยกังวลมากนักในเรื่องการเรียนรู้ทักษะเชิงวิชาชีพ และฉันแค่รู้สึกว่าการรวบรวมสื่อการสอนเป็นเรื่องยุ่งยากมากจริงๆ ฉันจึงหลอกปัดงานนั้นให้ลีอาห์เสมอ  บางครั้งฉันก็ไม่ได้เข้าร่วมการอบรมด้วยข้อแก้ตัวที่ว่าฉันยุ่งมากเหลือเกินกับงานในหน้าที่ของฉัน  แบบนี้เอง ฉันจึงกลายเป็นหย่อนยานและเฉื่อยชาในหน้าที่ขึ้นทุกวัน  มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันถึงกับไม่เตรียมตัวล่วงหน้าสำหรับการหารือเรื่องงาน ซึ่งก็ทำให้ทุกคนเสียเวลา

จากนั้นอยู่มาวันหนึ่ง ฉันก็ก้าวพลาดตอนลงบันได จนหกล้มข้อเท้าแพลง  ฉันไม่ได้ทบทวนถึงเหตุผลที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับฉัน และฉันก็แค่คิดว่าฉันคงจะได้พักสบายๆ เพราะข้อเท้าของฉันเจ็บ  ลีอาห์ได้เปิดโปงและตัดแต่งฉันหลายครั้ง โดยบอกว่าฉันไม่รับภาระอะไรสักอย่างในหน้าที่ของฉัน บอกว่านั่นกำลังทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าและส่งผลเสียต่อผู้อื่น  หลังการสามัคคีธรรมของเธอ ฉันก็จะกระตือรือร้นขึ้นมาได้อยู่สองสามวัน แล้วฉันก็เริ่มย่อหย่อนลงไปอีก  ฉันไม่ได้คิดว่านั่นเป็นประเด็นร้ายแรงเกินไป และเอาแต่คิดเข้าข้างตัวเองว่า “ฉันก็แค่ขี้เกียจไปนิดเดียว แต่ก็ไม่โอหัง บีบบังคับ หรือกดขี่ผู้อื่นด้วยการเป็นเผด็จการ  ดังนั้น มันย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่โต  อย่างไรก็ตามที ฉันมีขีดความสามารถและทักษะเชิงวิชาชีพบางอย่าง ดังนั้นฉันจะไม่ถูกปลดออกแน่”  เพราะเหตุนี้ คำเตือนทั้งหลายของลีอาห์จึงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา และฉันก็ไม่ได้ยึดถือคำเตือนเหล่านั้นเป็นจริงเป็นจังอะไรเลย  ฉันยังคงย่อหย่อนในหน้าที่และถึงกับเห็นงานบางอย่างเป็นภาระและเป็นสัมภาระ  การหย่อนยานฉาบฉวยอย่างมากย่อมหมายความว่าวิดีโอจำนวนมากต้องถูกส่งกลับไปทำใหม่ และนั่นก็ใช้นานโขกว่าวิดีโอเหล่านั้นจะถูกปล่อยออกมา

เช้าวันหนึ่ง ผู้นำระดับสูงคนหนึ่งแวะมาหาอย่างไม่คาดฝัน และบอกว่าหน้าที่ของเราไม่ได้กำลังผลิตผลงานใดๆ ออกมาเลย และประเด็นปัญหาทั้งหลายที่เคยพูดถึงไปแล้วก็ยังคงปรากฏให้เห็นต่อไป  เธอถามเราว่าปัญหาคืออะไรกันแน่  เธอยังถามอีกว่าเราจะยังมีความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่นี้หรือไม่ และพูดว่าหากสิ่งต่างๆ ยังคงดำเนินต่อไปในหนทางนั้น เราทุกคนจะถูกปลดออก  ฉันรู้สึกกลัวเมื่อได้ยินแบบนั้น  ฉันเป็นผู้นำคริสตจักรและฉันก็กำลังเป็นหัวหน้างานของเราด้วย ดังนั้นฉันจึงต้องรับผิดชอบต่อความวุ่นวายทุกอย่างโดยตรง  ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะความหย่อนยานของฉันเอง  ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหานี้มากขึ้นเท่านั้น  จากนั้นไม่นาน ผู้นำระดับสูงก็เกิดรู้เข้าว่า ตลอดมานั้น ฉันทำหน้าที่ของฉันอย่างไรและเธอก็ปลดฉันออก  เธอตัดแต่งฉันอย่างรุนแรงเช่นกัน โดยกล่าวว่า “คริสตจักรได้ไว้วางใจมอบหมายงานสำคัญให้คุณ แต่พอคุณมองเห็นปัญหาและความลำบากยากเย็นมากมายเหลือเกิน คุณก็กลับไม่ใส่ใจ  คุณใส่ใจแค่ความสบายที่สนองตัณหาของคุณเอง ขวางกั้นความคืบหน้าในงานวิดีโอมาหลายเดือน  คุณไม่มีจิตสำนึกโดยสิ้นเชิง!  คริสตจักรได้บ่มเพาะคุณตลอดมา แต่คุณไม่ใส่ใจเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าเลย และนั่นเป็นสิ่งที่น่าผิดหวังอย่างที่สุด  คุณเป็นผู้นำแต่กลับไม่ทำหน้าที่ของคุณให้ดี  คุณไม่ได้กำลังเรียนรู้อะไรเลย และไร้ความสามารถที่จะก้าวหน้า และไม่คู่ควรที่จะได้รับการบ่มเพาะ  คุณจะถูกกำจัดออกไป  ถ้าคุณยังไม่กลับใจและเปลี่ยนแปลง”  คำพูดของเธอทำร้ายฉันอย่างเจ็บแสบจริงๆ  ความรู้สึกนึกคิดของฉันว่างเปล่าไปเลย และฉันเฝ้าถามตัวเองว่า ฉันทำอะไรลงไปตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานี้?  สิ่งต่างๆ มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?  การได้ยินเธอพูดว่าฉันไม่คู่ควรแก่การบ่มเพาะนั้นทำให้ฉันรู้สึกเหมือนคนไม่มีอนาคต  ฉันกลัดกลุ้มมากและรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงกำลังได้ถูกดูดออกไปจากตัวฉันจนหมด  ฉันเกลียดตัวเองที่ไม่ทะนุถนอมหน้าที่ของตัวเองตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้มันก็สายเกินไปเสียแล้ว

หลังจากถูกปลด ฉันก็จมอยู่ในสภาวะด้านลบที่สิ้นหวัง  ฉันรู้สึกเหมือนว่าทุกคนมองฉันออกแน่แล้ว และจะเมินฉันในฐานะตัวอย่างที่ไม่ดี และพระเจ้าก็จะทรงเกลียดชังฉันด้วย  การคิดถึงสิ่งที่ผู้นำพูดตอนตัดแต่งฉันทำให้ฉันเจ็บปวดจริงๆ  ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเปิดโปงและกำจัดออกมาแล้ว  ช่วงนั้นเป็นวันเวลาที่เจ็บปวดมากสำหรับฉัน  แล้ววันหนึ่งฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ทำให้ฉันซึ้งใจเป็นอย่างมาก  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “หากเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยความจริงใจ เจ้าจะยังคงคิดลบและอ่อนแอเมื่อถูกตัดแต่งหรือไม่?  เช่นนั้นแล้วควรทำเช่นใดหากเจ้าคิดลบและอ่อนแอจริงๆ?  (พวกเราควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้า พยายามคิดในสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ คิดทบทวนในสิ่งที่พวกเราขาดพร่อง สิ่งผิดพลาดที่พวกเราได้ทำลงไป ในบริเวณที่เราได้ร่วงหล่น นั่นเป็นจุดที่พวกเราควรไต่กลับขึ้นมาอีกครั้ง)  ถูกต้อง  การคิดลบและความอ่อนแอไม่ใช่ปัญหาใหญ่  พระเจ้าไม่ได้ทรงกล่าวโทษพวกเขา  ตราบเท่าที่ใครบางคนสามารถไต่กลับขึ้นมายังจุดพวกเขาได้ตกลงไป และเรียนรู้บทเรียนของพวกเขา และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้เป็นปรกติ ก็แค่เพียงเท่านั้นเอง  ไม่มีใครจะตำหนิเจ้า ดังนั้นจงอย่าคิดลบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  หากเจ้าละทิ้งหน้าที่ของเจ้าและหลบหนีจากหน้าที่นั้น เจ้าก็จะทำลายตัวเองให้ย่อยยับโดยสิ้นเชิง  ทุกคนคิดลบและอ่อนแอได้เป็นบางครั้ง—เพียงแค่ค้นหาความจริง ความคิดลบและความอ่อนแอย่อมจะถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย  สภาวะของผู้คนบางคนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าหนึ่งบทหรือร้องเพลงนมัสการเพียงสองสามเพลง พวกเขาสามารถเปิดหัวใจของพวกเขาในการอธิษฐานถึงพระเจ้า และพวกเขาสามารถสรรเสริญพระองค์  เช่นนั้นแล้วปัญหาของพวกเขาจะไม่ได้รับการแก้ไขหรือ?  ที่จริงแล้ว การถูกตัดแต่งเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง  ถึงแม้พระวจนะที่ตัดแต่งเจ้าจะกร้าวกระด้าง จะกัดกร่อนไปบ้าง นั่นเพราะเจ้ากระทำการโดยไม่ใคร่มีเหตุผล และเจ้าได้ละเมิดหลักธรรมโดยไม่มีแม้แต่การตระหนักรู้—เจ้าจะไม่ถูกตัดแต่งในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้นได้อย่างไร?  การตัดแต่งเจ้าด้วยวิธีนี้เป็นการช่วยเหลือเจ้าอย่างแท้จริง นี่คือความรักสำหรับเจ้า  เจ้าควรเข้าใจเรื่องนี้และไม่พร่ำบ่น  ดังนั้น หากการตัดแต่งก่อให้เกิดความคิดลบและการพร่ำบ่น นั่นคือความโง่เขลาและการไม่รู้ความอันเป็นพฤติกรรมของใครบางคนที่ไม่มีเหตุผล(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  เมื่อได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า น้ำตาก็เอาแต่ไหลพรากอาบแก้มของฉัน  ผู้นำพูดถูกทุกอย่างตอนที่ตัดแต่งและเปิดโปงฉัน และฉันถูกตัดแต่งและเปิดโปงหนักอย่างนั้นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำลงไปชวนให้ขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก  แต่ฉันก็ไม่ควรที่จะหยุดปรับปรุงตัวเองเพียงเท่านี้  ฉันต้องคิดทบทวนจริงๆ แล้วว่าทำไมฉันถึงล้มเหลว แล้วก็ต้องเปลี่ยนแปลงและกลับใจโดยเร็วที่สุด  นั่นคือวิธีที่ถูกต้องที่ฉันควรจะใช้  ดังนั้นฉันจึงกล่าวคำอธิษฐานขอให้พระเจ้าโปรดนำทางฉันในการทบทวนตัวเองและรู้จักตัวเองจากความล้มเหลวในครั้งนี้

อยู่มาวันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงและชำแหละผู้นำจอมปลอมซึ่งช่วยให้ฉันเข้าใจตัวเองขึ้นมาบ้าง  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง แต่พวกเขารู้วิธีเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ  สิ่งแรกที่พวกเขาทำทันทีที่ได้เป็นผู้นำคืออะไร?  พวกเขาเริ่มพยายามเอาชนะใจผู้คน  พวกเขาใช้แนวทาง ‘ผู้จัดการคนใหม่ย่อมกระตือรือร้นที่จะสร้างความประทับใจ’ กล่าวคือ ก่อนอื่นพวกเขาทำบางสิ่งเพื่อประจบเอาใจผู้คน และจัดการบางเรื่องที่ทำให้ชีวิตของผู้คนง่ายดายขึ้น  เริ่มแรกพวกเขาพยายามทำให้ผู้คนเกิดความประทับใจ แสดงให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาเข้ากันได้กับมวลชน เพื่อให้ทุกคนยกย่องพวกเขาและพูดว่า ‘พวกเขาเป็นเหมือนพ่อแม่ของพวกเราเลย!’  จากนั้นพวกเขาก็เข้าควบคุมอย่างเป็นทางการ  พวกเขารู้สึกว่าตอนนี้พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่และตำแหน่งของพวกเขาก็มั่นคง และแล้วพวกเขาก็เริ่มสุขสำราญกับผลประโยชน์จากสถานะ ราวกับเป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้อยู่แล้ว  คติพจน์ของพวกเขาคือ ‘ชีวิตคือการกินดีและแต่งตัวสวยเท่านั้น’ ‘ชีวิตนี้สั้น ดังนั้นควรสุขสำราญกับชีวิตเมื่อยังทำได้’ และ ‘จงดื่มเหล้าองุ่นของวันนี้ในวันนี้ และจงกังวลถึงพรุ่งนี้ในวันพรุ่งนี้เถิด’  พวกเขาสุขสำราญกับแต่ละวันที่มาถึง พวกเขาสนุกให้มากเท่าที่จะทำได้ และพวกเขาไม่คิดถึงอนาคต และยิ่งไม่คำนึงว่าผู้นำควรลุล่วงความรับผิดชอบอันใดและพวกเขาควรทำหน้าที่ใดบ้าง  พวกเขาประกาศวาจาและคำสอนไม่กี่คำและทำกิจไม่กี่อย่างเพื่อรักษาภาพลักษณ์ตามปกติ แต่พวกเขาไม่ได้ทำงานจริงแต่อย่างใด  พวกเขาไม่พยายามค้นหาปัญหาที่แท้จริงในคริสตจักรเพื่อที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้นให้หมดสิ้น  การทำงานอย่างผิวเผินเช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด?  นี่ไม่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงหรอกหรือ?  จะสามารถไว้วางใจมอบความรับผิดชอบที่จริงจังให้ผู้นำเทียมเท็จแบบนี้ได้หรือ?  พวกเขาเป็นไปตามหลักธรรมและเงื่อนไขของพระนิเวศของพระเจ้าในการคัดสรรผู้นำและคนทำงานหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนเหล่านี้ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลใดๆ พวกเขาไร้ซึ่งสำนึกรับผิดชอบใดๆ แต่ก็ยังคงปรารถนาที่จะรับใช้ในฐานะผู้นำคริสตจักรอย่างเป็นทางการ—เหตุใดพวกเขาจึงไร้ยางอายขนาดนี้?  ส่วนบางคนที่มีสำนึกรับผิดชอบ ถ้าพวกเขามีขีดความสามารถอ่อนด้อย ก็ไม่อาจเป็นผู้นำได้ และยิ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำเข้าไปใหญ่—นั่นยังไม่รวมถึงขยะมนุษย์ที่ไม่มีสำนึกรับผิดชอบอะไรเลย  ผู้นำเทียมเท็จที่เกียจคร้านเช่นนี้เกียจคร้านเพียงใด?  พวกเขาค้นพบประเด็นปัญหาและตระหนักรู้ว่านี่คือประเด็นปัญหา แต่พวกเขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรและไม่สนใจประเด็นปัญหานั้น  พวกเขาไร้ความรับผิดชอบเหลือเกิน!  แม้พวกเขาอาจจะพูดเก่งและดูเหมือนมีขีดความสามารถอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ในงานของคริสตจักรได้ ทำให้การทำงานหยุดชะงัก ปัญหาทั้งหลายกองสุมขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ผู้นำเหล่านี้ก็ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น และดึงดันที่จะดำเนินงานบางอย่างที่ไม่สำคัญต่อไปตามปกติ  แล้วผลสุดท้ายจะเป็นเช่นใด?  พวกเขาทำให้งานของคริสตจักรยุ่งเหยิงและเสียงานมิใช่หรือ?  พวกเขาก่อให้เกิดความวุ่นวายและแตกแยกในคริสตจักรมิใช่หรือ?  นี่คือจุดจบที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (8))  “ผู้นำเทียมเท็จทุกคนไม่เคยทำงานจริง พวกเขาทำเหมือนบทบาทผู้นำของตนคือตำแหน่งบางอย่างของรัฐ สุขสำราญกับผลประโยชน์ที่มากับสถานะ  พวกเขาถือว่าหน้าที่ที่ผู้นำควรจะปฏิบัติและงานที่ผู้นำควรจะทำนั้นเป็นภาระ เป็นสิ่งกวนใจ  ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาเปี่ยมล้นไปด้วยการท้าทายงานของคริสตจักร กล่าวคือ หากเจ้าให้พวกเขาจับตาดูงานและมองหาปัญหาที่มีอยู่ในงาน ซึ่งจำเป็นต้องติดตามและแก้ไข พวกเขาก็จะเต็มไปด้วยความไม่สมัครใจ  นี่คืองานที่ผู้นำและคนทำงานพึงทำ นี่คืองานของพวกเขา  ถ้าพวกเขาไม่ทำงานนั้น—ถ้าพวกเขาไม่เต็มใจทำงานนั้น—เหตุใดพวกเขาจึงอยากเป็นผู้นำหรือคนทำงานอยู่อีก?  พวกเขาทำหน้าที่ของตนเพื่อที่จะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและสุขสำราญกับผลประโยชน์จากสถานะ?  หากพวกเขาแค่อยากดำรงตำแหน่งบางอย่างของรัฐ การเป็นผู้นำก็ย่อมไร้ความละอายมิใช่หรือ?  ไม่มีผู้ใดมีบุคลิกที่ต่ำต้อยกว่านี้แล้ว—ผู้คนเหล่านี้ไม่มีความเคารพตนเอง พวกเขาไม่มีความละอาย(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (8))  เมื่อได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกละอายใจมาก  ฉันไม่ได้เป็นอย่างผู้นำจอมปลอมที่เกียจคร้านแบบที่พระเจ้ากำลังตรัสถึงอยู่หรอกหรือ?  ตั้งแต่ตอนแรก ฉันก็รู้สึกว่าคนดูแลงานไม่เพียงมีอำนาจชี้ขาดเท่านั้น แต่ยังเป็นที่เคารพนับถือของคนอื่นอีกด้วย ดังนั้นฉันจึงทำงานอย่างหนักและยอมทุกข์ทนเพื่อสถานะนี้  ฉันทำให้ทุกคนมีภาพจำที่ผิด ทำให้พวกเขาคิดว่าฉันสามารถที่จะรับผิดชอบอะไรได้มากมาย  เมื่อฉันเข้ามาอยู่ในตำแหน่งนี้และคนอื่นไว้วางใจในตัวฉันแล้ว ฉันก็แสดงตัวตนที่แท้จริงของฉันออกมา  ฉันเริ่มอยากได้เครื่องตกแต่งสถานะ และเมื่อฉันเห็นปริมาณของงานและความยากลำบากทั้งหมดนั้น ฉันก็ไม่ได้นึกอยากที่จะใส่ใจ  ฉันกลับรู้สึกว่ามันเป็นภาระ ดังนั้นฉันจึงคิดว่าจะแบ่งเบาภาระและลดความกังวลเหล่านี้ได้อย่างไร  ฉันเกลียดการตรวจทานวิดีโอที่น่าเหนื่อยใจ ฉันจึงให้คำแนะนำตามใจชอบซึ่งเอาไปใช้ไม่ได้จริง และให้คนอื่นแก้งานซ้ำๆ ทำให้สิ้นเปลืองกำลังคน  เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับวิดีโอที่ฉันรับผิดชอบอยู่ ฉันก็ไม่ได้พยายามใช้สมองคิดแก้ปัญหา แต่กลับใช้สถานะของฉันเพื่อออกอุบาย ให้คนอื่นรับมือปัญหา และฉันก็แค่มองข้ามและไม่สนใจ  นั่นทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขและงานของพวกเราก็ไม่คืบหน้า  ฉันหาข้ออ้างต่างๆ นานา เพื่อหลีกเลี่ยงการฝึกอบรมด้านเทคนิคและทุกครั้งที่เป็นไปได้ก็จะส่งต่อให้คนอื่น  นอกจากนี้ฉันยังโอ้เอ้ในการวางแผนงานที่เร่งด่วนและมีแต่เรื่องบ่น บีบคั้นคู่ทำงานของฉัน  ความก้าวหน้าของพวกเราถูกขัดขวางเพราะฉันไม่ได้จัดการงานจำนวนมากอย่างทันท่วงที  เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งที่ฉันได้ทำลงไป ฉันก็อยากจะตีตัวเองจริงๆ  เมื่อฉันพอจะมีสถานะบ้างแล้ว ฉันก็ต้องการแต่ความสบาย คิดคดทรยศและกลิ้งกลอกตลอดเวลา  ฉันเห็นงานของตนเองเป็นของเด็กเล่นและไม่มีความรับผิดชอบแม้แต่น้อย  ฉันไม่แก้ปัญหาในทันทีและยังคงไม่แยแสเมื่อเห็นงานของคริสตจักรมีปัญหา  การกระทำของฉันต่างจากการกระทำของเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ตรงไหน?  พวกเขาใช้ชั้นเชิงสารพัดอย่างเพื่อช่วงชิงสถานะ และเมื่อพวกเขาทำสำเร็จแล้ว พวกเขาก็ไม่แก้ไขปัญหาของผู้คนทั่วไป  พวกเขาแค่ต้องการฉ้อโกงเพื่อให้มีกินมีดื่มเท่านั้น และใช้อำนาจของตนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว  ทั้งชั่วร้ายและไม่มีความละอาย  ฉันก็เป็นเช่นนั้น  คริสตจักรมอบหมายงานที่สำคัญเช่นนั้นให้ฉันทำ แต่ฉันก็กังวลสนใจเพียงความสะดวกและสบายทางเนื้อหนัง และฉันก็ไม่ได้ทำงานอะไรจริง  ตอนนี้เป็นเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งยวดในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และยิ่งวิดีโอคำพยานเหล่านี้ได้เผยแพร่ทางออนไลน์เร็วเท่าใด ผู้คนก็ยิ่งสามารถแสวงหาและสืบค้นหนทางที่แท้จริงได้มากเท่านั้น  แต่ฉันก็ไม่ได้คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าเลย  ฉันละเลยหน้าที่ของตน ทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าออกไปมาก  ฉันเห็นแก่ตัวและเลวทราม ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์อย่างสิ้นเชิง  และแล้วฉันก็มองเห็นชัดเจนว่าฉันเป็นคนเกียจคร้าน เห็นแก่ตัว และน่าดูหมิ่นเพียงใด  ฉันโกงมาเรื่อยจนได้ตำแหน่ง แต่ไม่ทำงานอะไรที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ฉันมีลักษณะนิสัยที่แย่และไม่มีค่าควรแก่การเชื่อถือ  ฉันไม่มีสำนึกทางศีลธรรมจริงๆ  การคิดทบทวนทั้งหมดนี้สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจของฉันครั้งแล้วครั้งเล่า  ฉันอธิษฐานว่า “โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์เอาเสียเลย  ข้าพระองค์รับหน้าที่นี้มา แต่ไม่ได้ทำงานของตนให้ถูกต้องเหมาะสม กลายเป็นอุปสรรคต่องานของคริสตจักร  ข้าแต่พระเจ้า การที่ข้าพระองค์ถูกปลดคือความชอบธรรมของพระองค์  ข้าพระองค์อยากกลับใจและเปลี่ยนแปลง—โปรดทรงนำให้ข้าพระองค์รู้จักตัวเองด้วยเถิด”

ในการคิดทบทวนของฉัน ฉันนึกถึงการที่คนอื่นได้สามัคคีธรรมกับฉันแล้วหลายครั้ง ชี้ให้เห็นปัญหาของฉัน และแม้กระทั่งตัดแต่งฉัน เปิดโปงฉัน แต่ฉันไม่ได้เอามาใส่ใจเลย ทั้งยังรู้สึกว่าการเกียจคร้านและกังวลเรื่องความสุขสบายทางเนื้อหนังไม่ใช่ปัญหาใหญ่ขนาดนั้น รู้สึกว่าฉันไม่ได้ทำร้ายหรือไปบีบคั้นใคร  ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากฉันมีขีดความสามารถและรู้งาน ฉันจึงคิดว่าคริสตจักรจะไม่ปลดฉันเพราะความเกียจคร้าน  ฉันไม่ได้ตระหนักว่านี่เป็นแค่มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของฉันเอง จนกระทั่งฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ผู้ใดมีปัญหาที่ร้ายแรงกว่ากัน ผู้คนที่เกียจคร้านหรือผู้คนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อย?  (ผู้คนที่เกียจคร้าน)  เหตุใดผู้คนที่เกียจคร้านจึงมีปัญหาที่ร้ายแรง?  (ผู้คนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยเป็นผู้นำหรือคนทำงานไม่ได้ แต่พวกเขาสามารถสร้างประสิทธิผลได้บ้างเมื่อทำหน้าที่ที่ตรงกับความสามารถของตน  อย่างไรก็ดี ผู้คนที่เกียจคร้านไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ต่อให้พวกเขามีขีดความสามารถ พวกเขาก็ไม่นำขีดความสามารถนั้นมาใช้)  ผู้คนที่เกียจคร้านไม่สามารถทำอะไรได้  สรุปแล้ว พวกเขาคือขยะ ถูกความเกียจคร้านทำให้ใช้การไม่ได้  ไม่ว่าขีดความสามารถของผู้คนที่เกียจคร้านจะดีเพียงใด ก็เป็นเพียงแค่ผักชีโรยหน้า ขีดความสามารถที่ดีของพวกเขาไม่มีประโยชน์  นี่เป็นเพราะพวกเขาเกียจคร้านเกินไป พวกเขารู้ว่าตนพึงทำสิ่งใด แต่ไม่ทำ ต่อให้พวกเขารู้ว่ามีบางสิ่งที่เป็นปัญหา พวกเขาก็ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข พวกเขารู้ว่าตนควรทุกข์ทนกับความยากลำบากอันใดเพื่อให้งานมีประสิทธิผล แต่ก็ไม่เต็มใจสู้ทนความทุกข์อันมีค่าเช่นนี้  ผลก็คือพวกเขาไม่ได้รับความจริงใดๆ และไม่ทำงานจริงแต่อย่างใด  พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะสู้ทนความยากลำบากที่ผู้คนพึงสู้ทน พวกเขารู้จักแต่ความโลภในความสะดวกสบาย ความสุขสำราญกับช่วงเวลาอันชื่นบานและการพักผ่อนหย่อนใจ และความสุขสำราญของชีวิตที่เป็นอิสระและผ่อนคลาย  พวกเขาไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?  ผู้คนที่สู้ทนความยากลำบากไม่ได้ย่อมไม่เหมาะที่จะมีชีวิตอยู่  ผู้ใดก็ตามที่อยากมีชีวิตเยี่ยงกาฝากอยู่เสมอย่อมเป็นคนที่ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล พวกเขาคือสัตว์ป่าชนิดที่ไม่เหมาะแม้แต่จะทำงานใช้แรง  เนื่องจากพวกเขาสู้ทนความยากลำบากไม่ได้ แม้ในยามที่พวกเขาทำงานใช้แรง ผลลัพธ์ที่ได้จึงอ่อนด้อย และหากพวกเขาปรารถนาที่จะได้รับความจริง ก็ยิ่งไม่มีหวังในเรื่องนี้  คนที่ทนทุกข์ไม่ได้และไม่รักความจริงก็คือขยะ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะทำงานใช้แรงด้วยซ้ำไป  พวกเขาคือสัตว์ป่า ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อย  มีเพียงการกำจัดผู้คนเช่นนี้ออกไปเท่านั้นที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (8))  “วิธีที่เจ้าคำนึงถึงพระบัญชาทั้งหลายของพระเจ้านั้นสำคัญอย่างยิ่งยวด และนี่เป็นเรื่องที่จริงจังมาก  หากเจ้าไม่สามารถทำสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่ผู้คนให้ครบบริบูรณ์ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เหมาะที่จะดำรงชีวิตอยู่ในการสถิตของพระองค์และเจ้าก็ควรถูกลงโทษ  นี่คือสิ่งที่เป็นธรรมชาติและสมควรอย่างยิ่งที่มนุษย์ควรทำพระบัญชาไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้แก่พวกเขาให้เสร็จสมบูรณ์  นี่คือความรับผิดชอบสูงสุดของมนุษย์ และสำคัญพอกันไม่มีผิดกับชีวิตจริงๆ ของพวกเขา  หากเจ้าไม่จริงจังกับพระบัญชาของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทรยศพระองค์ในหนทางที่ร้ายแรงที่สุด  ในการนี้ เจ้าน่าวิปโยคกว่ายูดาส และควรถูกสาปแช่ง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันก็ตระหนักว่าแม้จะไม่ได้ดูเหมือนว่าฉันทำร้ายใคร แต่ฉันก็ทำหน้าที่ของตนเองไม่เต็มที่และยังถ่วงงานของคริสตจักร  นั่นคือการทรยศพระเจ้าอย่างร้ายแรง น่ารังเกียจยิ่งกว่ายูดาสเสียอีก  ฉันตัวสั่นเมื่อนึกถึงทุกสิ่งที่ฉันได้ทำลงไปในหน้าที่ของตน  ฉันไม่สนใจการสามัคคีธรรมและคำแนะนำของคนอื่นมาหลายครั้งแล้ว ถึงกับคิดผิดๆ ว่าเพราะฉันรู้งานและมีขีดความสามารถ คริสตจักรย่อมจะไม่ปลดฉันเพราะความเกียจคร้านของฉัน  ฉันเฉื่อยชาและว่ายากมาก  ทั้งน่าสมเพชและน่าหัวเราะ และฉันก็มองไม่เห็นด้วยว่านั่นอันตรายขนาดไหน  พระเจ้าตรัสอย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงเกลียดชังผู้คนที่มีขีดความสามารถ แต่เกียจคร้านและคิดคดทรยศ และว่าพวกเขาน่าดูหมิ่นและมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี และไม่คู่ควรกับความไว้วางพระทัยของพระเจ้า  ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำกว่า แต่ติดดิน ขยัน และเต็มใจที่จะทนทุกข์ย่อมดีกว่าพวกเขา  ผู้คนเหล่านี้จริงใจในหน้าที่ของตน ทุ่มเทหัวใจให้หน้าที่ มีสติและมีความรับผิดชอบ  แต่สำหรับตัวฉันแล้ว ฉันดูมีขีดความสามารถอยู่บ้าง แต่อันที่จริง แม้แต่เรื่องพื้นฐานง่ายๆ ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำในหน้าที่ของตน ฉันก็ทำไม่ได้  นั่นคือสภาวะความเป็นมนุษย์และขีดความสามารถแบบไหนกัน?  ในชั่วขณะนั้น ฉันจึงมองเห็นความจริงเกี่ยวกับตัวเองจริงๆ และเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้นำถึงบอกว่าฉันไม่คู่ควรกับการบ่มเพาะ และว่าฉันจะถูกกำจัดออกไปถ้าฉันไม่กลับใจและเปลี่ยนแปลง  ด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นนั้น ทั้งเกียจคร้านและหลอกลวง ไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน ฉันจึงไม่คู่ควรแก่ความไว้วางใจและควรถูกปลดและกำจัดออกไป  เมื่อย้อนนึกถึงวันเวลาที่ฉันปล่อยให้สูญเปล่า ฉันก็รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าจริงๆ  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉันอยากแต่จะไล่ตามเสาะหาความจริงให้ดี และทำหน้าที่ของฉันอย่างถูกต้องเหมาะสมเพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า

ต่อมา ฉันเริ่มงานเกี่ยวกับข้อเขียน  มีหลายสิ่งหลายอย่างให้ทำและทุกวันก็ยุ่งมาก ฉันจึงคอยเตือนตัวเองให้ทำหน้าที่ของฉันให้ดีและไม่ยอมจำนนให้กับเนื้อหนังอีก  ในตอนแรก ฉันก็รับผิดชอบหน้าที่ของตน  ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองพอจะเปลี่ยนไปบ้าง  แต่เมื่อปริมาณงานของพวกเราเพิ่มมากขึ้น เกิดความยุ่งยากและปัญหาบางอย่างขึ้นมา ธรรมชาติของฉันก็แสดงตัวให้เห็นอีกครั้ง  ฉันคิดไปว่า “การแก้ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่เหนื่อยใจมาก แค่กวาดตามองผ่านๆ สักครั้งก็น่าจะพอ แล้วฉันค่อยปล่อยให้คนอื่นแก้ปัญหาที่ซับซ้อนกว่านี้”  พี่น้องหญิงคนหนึ่งพูดบ่อยๆ ว่าฉันกำลังสักแต่ทำพอเอาหน้ารอด และเตือนให้ฉันจริงจังกับหน้าที่ให้มากขึ้น  ฉันก็บอกไปว่าฉันจะทำตามนั้น และก็ทำตัวดีขึ้นอยู่สองสามวัน แต่แล้วฉันก็เริ่มวิตกกังวลเมื่อมีอะไรที่ซับซ้อนเกิดขึ้นและคิดว่ามันยุ่งยากเกินไป ชวนให้เหน็ดเหนื่อยเกินกว่าที่จะรับมือได้ ดังนั้นฉันจึงปล่อยไว้อย่างที่เป็นอยู่  วันแล้ววันเล่าผ่านไปอย่างนั้น  ต่อมามีพี่น้องหญิงสองคนในทีมของพวกเราถูกย้าย เพราะพวกเธอไม่มีผลงานที่ดี และฉันก็รู้สึกทันทีว่านี่เป็นลางไม่ดี  ฉันเองก็ไม่ได้ทำหน้าที่ดีกว่าพวกเธอมากนัก และฉันสังเกตเห็นว่าคนอื่นมีความก้าวหน้ามากกว่าฉันกันทั้งนั้น  ฉันคงจะกลายเป็นคนที่แย่ที่สุดในทีม  ถึงแม้ว่าฉันจะยังทำหน้าที่ของฉันอยู่ แต่ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ และกังวลว่าตัวเองจะถูกย้ายเป็นคนต่อไป  ฉันได้คุยกับพี่น้องหญิงคนหนึ่งเกี่ยวกับสภาวะของฉัน และเธอบอกว่าสาเหตุที่ฉันทำหน้าที่ไม่ได้ผลดี ไม่ใช่เพราะฉันไม่มีขีดความสามารถ แต่เป็นเพราะฉันเหลวไหลเกินไป  ฉันทำหน้าที่นั้นมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ฉันก็ยังคงทำผิดพลาดในเรื่องพื้นฐานอยู่ ดังนั้นนั่นก็ต้องหมายความว่าท่าทีที่ฉันมีต่อหน้าที่นั้นมีปัญหา  สิ่งที่เธอพูดได้ปลุกเร้าความรู้สึกบางอย่างในตัวฉันขึ้นมาจริงๆ  ฉันนึกว่าตัวเองตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำหน้าที่ของตนให้ดี แล้วทำไมฉันถึงยังทำหน้าที่ในแนวทางนี้อยู่อีก?  ฉันจึงมาอธิษฐานและแสวงหาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า

วันหนึ่ง ฉันได้อ่านบทตอนหนึ่งในพระวจนะของพระเจ้าซึ่งทำให้ฉันชัดเจนกับปัญหาข้อนี้ของตัวเองมากขึ้น  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ไม่ว่าผู้คนบางคนจะทำงานอะไรหรือปฏิบัติหน้าที่อะไร พวกเขาก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จในงานหรือหน้าที่นั้นได้ พวกเขาไม่สามารถแบกรับ และไม่สามารถทำให้ภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบใดๆ ที่ผู้คนควรจะทำนั้นลุล่วง  พวกเขาไม่ใช่ขยะหรอกหรือ?  พวกเขายังคู่ควรที่จะได้ชื่อว่ามนุษย์อยู่อีกหรือ?  ยกเว้นพวกคนเขลา ผู้พิการทางสติปัญญา และผู้ที่ทุกข์ทนจากความบกพร่องทางร่างกายแล้ว คนที่ยังมีชีวิตนั้นมีผู้ใดบ้างที่ไม่ควรทำหน้าที่ของตนและทำให้ความรับผิดชอบของตนลุล่วง?  แต่คนแบบนี้ก็กลับกลอกและอู้งานอยู่เสมอ และไม่อยากลุล่วงความรับผิดชอบของตน ความหมายโดยนัยคือพวกเขาไม่อยากประพฤติปฏิบัติตนให้ถูกควร  พระเจ้าประทานโอกาสในการเป็นมนุษย์แก่พวกเขา และพระองค์ก็ประทานขีดความสามารถและพรสวรรค์แก่พวกเขา แต่พวกเขากลับไม่สามารถใช้สิ่งเหล่านี้ทำหน้าที่ของตน  พวกเขาไม่ทำอะไร แต่ก็อยากดื่มด่ำอยู่ในความสุขสำราญทุกครั้งที่มีโอกาส  บุคคลเช่นนี้เหมาะที่จะได้ชื่อว่ามนุษย์กระนั้นหรือ?  ไม่ว่าจะให้งานอะไรแก่พวกเขา—จะเป็นงานสำคัญหรือธรรมดา ยากหรือเรียบง่าย—พวกเขาก็สุกเอาเผากินและกลับกลอกอยู่เสมอ  เมื่อเกิดปัญหาขึ้น พวกเขาก็พยายามผลักความรับผิดชอบในปัญหาเหล่านั้นไปให้ผู้อื่น ไม่ยอมรับผิดชอบอะไร แต่กลับอยากใช้ชีวิตเยี่ยงกาฝากของตนไปเรื่อยๆ  พวกเขาคือขยะที่ไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?  ในสังคม มีผู้ใดไม่ต้องพึ่งพาตนเองเพื่อความอยู่รอด?  เมื่อบุคคลผู้หนึ่งโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาต้องดูแลตนเอง  บิดามารดาของพวกเขาได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้ว  ต่อให้บิดามารดาของพวกเขาเต็มใจสนับสนุนพวกเขา พวกเขาก็จะไม่สบายใจในเรื่องนี้  พวกเขาควรที่จะสามารถตระหนักรู้ว่าพ่อแม่เสร็จสิ้นงานเลี้ยงดูพวกเขาไปแล้ว  พวกเขาควรตระหนักว่าในฐานะผู้ใหญ่ที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ พวกเขาควรที่จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นเอกเทศ  นี่คือเหตุผลขั้นต่ำสุดที่ผู้ใหญ่พึงมีมิใช่หรือ?  หากใครบางคนมีเหตุผลอย่างแท้จริง พวกเขาย่อมไม่สามารถเกาะกินบิดามารดาของตนต่อไป พวกเขาจะกลัวเสียงหัวเราะของผู้อื่น กลัวที่จะละอายใจ  แล้วคนที่รักความสบายและเกลียดงานการนั้นมีเหตุผลหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาต้องการบางสิ่งมาเปล่าๆ อยู่เสมอ ไม่เคยอยากรับผิดชอบอะไร อยากให้ขนมหวานร่วงหล่นลงมาจากฟ้าและตกใส่ปากตัวเองเท่านั้น พวกเขาอยากได้อาหารครบหมู่สามมื้อต่อวันอยู่ตลอดเวลา อยากให้มีคนคอยบริการพวกเขา อยากกินและดื่มของอร่อยได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องทำงานแม้แต่น้อย  นี่คือวิธีคิดของกาฝากมิใช่หรือ?  แล้วผู้คนที่เป็นกาฝากมีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่?  พวกเขามีศักดิ์ศรีและความซื่อตรงหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่มี  พวกเขาล้วนเป็นคนไร้ประโยชน์ที่เอาแต่ได้ เป็นสัตว์ป่าที่ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล  ไม่มีใครในหมู่พวกเขาเหมาะที่จะคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (8))  ฉันเรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้าว่าผู้คนที่มีมโนธรรมและมีเหตุผลทุ่มเททุกสิ่งที่ตนมีให้กับหน้าที่ของตนและทำหน้าที่ให้ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสม  ส่วนผู้คนที่ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์และเหตุผลที่ปกติก็ไม่มีวันเต็มใจที่จะทนทุกข์หรือยอมไม่สะดวกสบาย และพวกเขาเอาแต่ใช้เล่ห์เหลี่ยมและทำเท่าที่ทำได้โดยไม่คิดถึงความรับผิดชอบหรือภาระผูกพัน  ต่อให้พระเจ้าประทานขีดความสามารถ พรสวรรค์ และโอกาสที่จะทำหน้าที่แก่พวกเขา แต่เนื่องจากพวกเขาไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ต้องการที่จะสุขสำราญกับความสะดวกสบายทางเนื้อหนังเท่านั้น และไม่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบอะไร สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็จะไม่สามารถทำอะไรได้และจะกลายเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์  ฉันก็เป็นหนึ่งในผู้คนที่พระเจ้าทรงบรรยายเอาไว้ หลังจากที่ถูกปลด คริสตจักรก็ให้ฉันทำงานเกี่ยวกับข้อเขียน ซึ่งเป็นการให้โอกาสฉันกลับใจ แต่ฉันไม่รู้จักทะนุถนอมสิ่งนี้ไว้  ฉันไม่ต้องการที่จะทำได้ดีขึ้นในหน้าที่ของตน และเมื่อเผชิญปัญหายุ่งยากเข้าจริงๆ ฉันก็เอาแต่โยนให้คนอื่นทำ ไม่เต็มใจอย่างสิ้นเชิงที่จะใช้พลังใจหรือเวลาในการคิดทบทวนสิ่งต่างๆ  ผลที่ตามมาก็คือ ฉันไม่มีความก้าวหน้าในหน้าที่  ฉันกลุ้มใจมากว่าทำไมฉันถึงถอยห่างจากความยุ่งยากและซ่อนตัวจากความยากลำบากทั้งหลาย?

ครั้งหนึ่งฉันได้อ่านพระวจนะบางส่วนของพระเจ้าในการเฝ้าเดี่ยวของฉัน ซึ่งทำให้ฉันเข้าใจรากเหง้าของปัญหาอยู่บ้าง  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “วันนี้ เจ้าไม่เชื่อวจนะที่เรากล่าว และเจ้าไม่ใส่ใจกับมันเลย เมื่อถึงวันที่พระราชกิจนี้เผยแผ่ออกไป และเจ้ามองเห็นทั้งหมดทั้งสิ้นของมัน เจ้าจะเสียใจ และ ณ เวลานั้น เจ้าจะอึ้งและงงงัน  พรทั้งหลายนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่รู้ว่าจะชื่นชมพวกมันอย่างไร และความจริงนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหามัน  นี่เจ้าไม่ได้ทำให้ตัวเองน่าเหยียดหยามหรอกหรือ?  วันนี้ ถึงแม้ว่าขั้นตอนถัดไปแห่งพระราชกิจของพระเจ้ายังไม่ได้เริ่มขึ้น ก็ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับข้อเรียกร้องที่ขอจากเจ้าและเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าถูกขอให้ใช้ดำเนินชีวิต  มีพระราชกิจมากมายเหลือเกินและความจริงมากมายเหลือเกิน พวกมันไม่มีค่าคู่ควรที่เจ้าจะรู้หรอกหรือ?  การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะปลุกจิตวิญญาณของเจ้าให้ตื่นขึ้นมาหรือ?  การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะทำให้เจ้าเกลียดชังตัวเจ้าเองหรือ?  เจ้าพอใจที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานพร้อมกับสันติสุขและความชื่นบาน และสิ่งชูใจเล็กน้อยทางเนื้อหนังอย่างนั้นหรือ?  เจ้าไม่ได้ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งหมดหรอกหรือ?  ไม่มีใครเลยที่โง่เขลาไปกว่าพวกที่มองดูความรอดแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาที่จะได้รับมัน กล่าวคือ เหล่านี้เป็นผู้คนที่มูมมามไปกับเนื้อหนังจนเกินขนาดและสุขสำราญไปกับซาตาน  เจ้าหวังว่าความเชื่อของเจ้าในพระเจ้าจะไม่พ่วงเอาความท้าทายหรือความทุกข์ลำบากอันใด หรือความยากลำบากแม้เพียงน้อยนิดมาด้วย  เจ้าไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นซึ่งไร้ค่าเสมอ และเจ้าไม่ให้คุณค่ากับชีวิต แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับให้ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเจ้าเองมาก่อนความจริง  เจ้าช่างไร้ค่ายิ่งนัก!  เจ้ามีชีวิตอยู่เหมือนสุกรตัวหนึ่ง—มีความแตกต่างอะไรเล่าระหว่างตัวเจ้า และพวกสุกรกับพวกสุนัข?  พวกที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับรักเนื้อหนัง ไม่ใช่สัตว์ร้ายทั้งหมดหรอกหรือ?  พวกที่ตายไปแล้วและปราศจากจิตวิญญาณไม่ใช่ซากศพที่เดินได้หรอกหรือ?  วจนะมากมายเพียงใดแล้วที่ได้กล่าวไปท่ามกลางพวกเจ้า?  งานที่ได้ถูกกระทำไปท่ามกลางพวกเจ้ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นอย่างนั้นหรือ?  เราได้จัดเตรียมไปมากเพียงใดแล้วท่ามกลางพวกเจ้า?  แล้วเหตุใดเจ้ายังไม่ได้รับมัน?  เจ้ามีอะไรให้ต้องร้องทุกข์หรือ?  นี่ไม่ใช่กรณีที่เจ้าไม่ได้รับสิ่งใดเลยเพราะเจ้าหลงรักเนื้อหนังมากเกินไปหรอกหรือ?  และนี่ไม่ใช่เพราะความคิดของเจ้านั้นฟุ้งซ่านเกินไปหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าโง่เง่าเกินไปหรอกหรือ?  หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะได้รับพรเหล่านี้ เจ้าสามารถติเตียนพระเจ้าเพราะการที่ไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอดได้อย่างนั้นหรือ?… คนขี้ขลาดอย่างเจ้าผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาเนื้อหนังเสมอนั้น—เจ้ามีหัวใจ เจ้ามีจิตวิญญาณหรือไม่?  เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกหรือ?  เราให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้าโดยไม่ได้ขออะไรกลับคืน กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา  เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  เรามอบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา  เจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากสุกรหรือสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ?  พวกสุกรไม่เสาะหาชีวิตของมนุษย์ พวกมันไม่ไล่ตามเสาะหาการได้รับการชำระให้สะอาด และพวกมันไม่เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร  ในแต่ละวัน หลังจากที่พวกมันกินกันจนอิ่มแปล้ มันก็แค่หลับไป  เราได้ให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้รับมัน เจ้าเป็นคนมือเปล่า  เจ้าเต็มใจที่จะดำเนินต่อไปในชีวิตนี้ ชีวิตของสุกรตัวหนึ่งหรือไม่?  อะไรคือนัยสำคัญของการที่ผู้คนเช่นนั้นมีชีวิตอยู่?  ชีวิตของเจ้าช่างน่าเหยียดหยามและต่ำศักดิ์ เจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความโสมมและความเสเพล และเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดเลย ชีวิตของเจ้าไม่ได้ต่ำศักดิ์ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดหรอกหรือ?  เจ้ากล้าดีที่จะมองพระเจ้าหรือ?  หากเจ้ามีประสบการณ์ในหนทางนี้ต่อไป เจ้าย่อมจะไม่ได้สิ่งใดเลยไม่ใช่หรือ?  หนทางที่แท้จริงได้ถูกมอบให้เจ้าไปแล้ว แต่การที่เจ้าจะสามารถรับไว้จนถึงที่สุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาส่วนบุคคลของตัวเจ้าเอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)  ฉันอ่านบทตอนนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก  ทุกครั้งที่ฉันอ่านคำว่า “สัตว์ร้าย” “สุกรหรือสุนัข” และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า “ต่ำศักดิ์” ฉันรู้สึกเหมือนโดนตบหน้า  ฉันถามตัวเองว่า “จริงๆ แล้วทำไมฉันถึงเชื่อในพระเจ้า?  เพื่อที่จะเพลิดเพลินอยู่กับความสุขสบายเท่านั้นหรือ?  ทำไมฉันถึงมีการไล่ตามเสาะหาที่ต้อยต่ำเช่นนั้นในชีวิต แม้จะอ่านพระวจนะของพระเจ้ามามากมายแล้วก็ตาม?”  ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำ  ฉันใช้ชีวิตตามถ้อยคำในปรัชญาของซาตานอย่าง “ชีวิตเป็นแค่เรื่องของการกินและการแต่งตัว” “เพราะชีวิตนั้นแสนสั้น จงทำวันนี้ให้เป็นวันที่น่ายินดีที่สุด” และ “จงดื่มเหล้าองุ่นของวันนี้ในวันนี้ และจงกังวลถึงพรุ่งนี้ในวันพรุ่งนี้เถิด”  ฉันเห็นความสะดวกสบายและความสุขสำราญทางกายเป็นการไล่ตามเสาะหาที่สำคัญในชีวิต  ฉันจำได้ว่าเพื่อนร่วมชั้นทุกคนตั้งใจเรียนกันเหมือนคนบ้าก่อนการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย แต่ฉันรู้สึกว่านั่นเคร่งเครียดเกินไป ฉันเลยไปเล่นที่สนามเพื่อผ่อนคลาย  ฉันรู้สึกว่าในชีวิต ฉันควรปฏิบัติต่อตัวเองให้ดีและมีความสุขกับแต่ละช่วงเวลาที่มาถึง ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม  เพื่อนร่วมชั้นของฉันบอกว่าฉันเป็นคนสบายๆ จริงๆ และฉันก็รู้สึกว่านั่นเป็นวิถีชีวิตที่ดี  ฉันมีความสุขทุกวัน ไม่มีความเครียดหรือความกังวลใดๆ  นั่นคือชีวิตที่ฉันต้องการ  ฉันไม่ได้เปลี่ยนมุมมองนี้หลังจากที่รับเชื่อและรับทำหน้าที่  เมื่อมีอะไรที่ซับซ้อนหรือยากเกิดขึ้น ฉันก็จะคิดว่าเป็นเรื่องยุ่งยากและต้องการที่จะหลีกเลี่ยง  ไม่เต็มใจที่จะมีความไม่สบายกายหรือความตึงเครียดแม้แต่น้อย  ฉันชอบที่จะไม่ต้องทำอะไร เที่ยวเตร่ไปเรื่อยๆ อิสระและสบายๆ  แต่จริงๆ แล้วฉันได้อะไรจากการใช้ชีวิตแบบนั้น?  ฉันไม่ก้าวหน้าในหน้าที่ และสูญเสียบุคลิกและศักดิ์ศรีของตนไปเพราะฉันไม่รับผิดชอบและถ่วงงานของคริสตจักร  ฉันทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจ และพี่น้องชายหญิงก็พากันรำคาญ  มุมมองเยี่ยงซาตานเกี่ยวกับการมีชีวิตรอดเหล่านี้ทำความเสียหายอย่างมาก!  เมื่อใช้ชีวิตแบบนี้ ฉันจึงไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตหรือศักดิ์ศรีเอาเสียเลย และไม่มีเป้าหมายที่ถูกต้องในชีวิต  นี่ต่ำทรามมาก!  ในความเป็นจริง เมื่อฉันประสบความยุ่งยากในหน้าที่ น้ำพระทัยของพระเจ้าย่อมจะให้ฉันแสวงหาความจริง เข้าใจ และได้รับความจริง  แต่ฉันไม่เห็นความล้ำค่าของสิ่งนี้และทิ้งโอกาสมากมายที่จะได้รับความจริงไป  พระคัมภีร์บอกว่า “การที่คนโง่หลงเพลิดเพลินก็ทำลายตนเอง” (สุภาษิต 1:32)  นั่นจริงอย่างยิ่ง  มีการกล่าวไว้ในพระวจนะของพระเจ้าว่า  “เนื้อหนังของมนุษย์ก็เป็นดั่งเจ้างูตัวนี้ กล่าวคือ เนื้อแท้ของมันคือการทำอันตรายชีวิตของพวกเขา—และเมื่อมันได้ดั่งใจมันอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ชีวิตของเจ้าก็กลายเป็นของที่ถูกริบ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง)  ฉันนึกถึงที่ฉันปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนอย่างไม่จริงจังครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้งานเสียหายอย่างไรบ้าง และฉันก็รู้สึกติดหนี้พระเจ้า  ฉันเต็มไปด้วยความทุกข์และความสำนึกผิด และเริ่มร้องไห้ไม่หยุด  สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความด่างพร้อยในประวัติศาสตร์แห่งความเชื่อที่ฉันมีในพระเจ้าและจะไม่มีวันถูกลบล้างออกไปได้ ฉันจะรู้สึกเสียใจอยู่เสมอ!  ฉันดูหมิ่นตัวเองจากก้นบึ้งของหัวใจ  ฉันอธิษฐานทั้งน้ำตาว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ทำให้พระองค์ผิดหวัง  ข้าพระองค์เป็นผู้เชื่อมาหลายปีโดยที่ไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริงเลย ไล่ตามไขว่คว้าแต่ความสุขสบายชั่วครั้งชั่วคราวของเนื้อหนังเท่านั้น  ข้าพระองค์เลวทรามเหลือเกิน!  ข้าแต่พระเจ้า ในที่สุดข้าพระองค์ก็มองเห็นแก่นแท้ของเนื้อหนังแล้ว และถึงแม้ข้าพระองค์อาจจะไม่สามารถชดเชยการฝ่าฝืนของตนได้ แต่ข้าพระองค์ก็อยากจะกลับใจ ไล่ตามเสาะหาความจริง และเริ่มต้นใหม่”

ในเวลาต่อมา มีพี่น้องหญิงคนหนึ่งส่งพระวจนะของพระเจ้ามาให้ฉันหนึ่งบทตอน ซึ่งเปิดโอกาสให้ฉันได้พบเส้นทางของการปฏิบัติและการเข้าสู่  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เมื่อผู้คนมีความคิด พวกเขาก็มีตัวเลือก  หากบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขาและพวกเขาเลือกผิด พวกเขาก็ควรหันตัวเองกลับมาและเลือกให้ถูก พวกเขาต้องไม่ยึดติดอยู่กับข้อผิดพลาดของตนเป็นอันขาด  ผู้คนเช่นนี้คือคนมีปัญญา  แต่หากพวกเขารู้ว่าพวกเขาเลือกผิดและไม่หันตัวเองกลับมา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็คือคนที่ไม่รักความจริง และบุคคลเช่นนี้แท้จริงแล้วไม่ต้องการพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าอยากทำแบบสุกเอาเผากิน  เจ้าพยายามอู้งานและพยายามหลีกเลี่ยงการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า  ในช่วงเวลาเช่นนี้ จงรีบอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และคิดทบทวนว่านี่คือหนทางที่ถูกต้องในการลงมือกระทำการหรือไม่  จากนั้นจงคิดดูว่า ‘ทำไมฉันถึงเชื่อในพระเจ้า?  การทำอะไรสุกเอาเผากินเช่นนี้อาจรอดสายตาผู้คน แต่จะรอดสายพระเนตรของพระเจ้าหรือ?  ยิ่งไปกว่านั้น การที่ฉันเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่เพื่อที่จะอู้งาน—แต่เพื่อให้ได้รับการช่วยให้รอด  การที่ฉันทำเช่นนี้จึงไม่ใช่การแสดงออกถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงรัก  ไม่ละ ฉันอาจหย่อนยานและทำตามใจชอบได้ในโลกภายนอก แต่ตอนนี้ฉันอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า ภายใต้การพินิจพิเคราะห์ในสายพระเนตรของพระเจ้า  ฉันคือคนคนหนึ่ง ฉันต้องกระทำการตามมโนธรรมของฉัน  ฉันจะทำตามใจชอบไม่ได้  ฉันต้องกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้า ฉันต้องไม่สุกเอาเผากิน ฉันจะย่อหย่อนไม่ได้  ดังนั้นฉันควรทำอย่างไรจึงจะไม่อู้งาน ไม่สุกเอาเผากิน?  ฉันต้องทุ่มเทความพยายามลงไปบ้าง  เมื่อกี้ฉันรู้สึกว่าการทำเช่นนี้ลำบากเกินไป ฉันต้องการหลีกเลี่ยงความยากลำบาก แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าการทำแบบนั้นอาจลำบากมาก แต่มีประสิทธิผล และดังนั้นนั่นคือวิธีที่ควรทำ’  เมื่อเจ้าทำงานและยังคงรู้สึกกลัวความยากลำบาก ในช่วงเวลาเช่นนั้นเจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า ‘โอ พระเจ้า!  ข้าพระองค์ช่างเป็นคนที่เกียจคร้านและกลิ้งกลอก  ขอพระองค์บ่มวินัยและตำหนิข้าพระองค์เถิด เพื่อให้มโนธรรมของข้าพระองค์รู้สึกอะไรบ้างและให้ข้าพระองค์มีสำนึกละอายแก่ใจ  ข้าพระองค์ไม่อยากสุกเอาเผากิน  ขอวิงวอนให้พระองค์ทรงนำและประทานความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ แสดงให้ข้าพระองค์เห็นความเป็นกบฏและความอัปลักษณ์ของตน’  เมื่อเจ้าอธิษฐานเช่นนี้ ทบทวนตนเองและพยายามรู้จักตนเอง การนี้ย่อมจะทำให้เกิดความรู้สึกเสียใจขึ้นมา และเจ้าจะสามารถเกลียดชังความอัปลักษณ์ของตน และสภาวะที่ผิดของเจ้าก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลง และเจ้าจะสามารถใคร่ครวญสิ่งนี้และพูดกับตนเองว่า ‘ทำไมฉันถึงสุกเอาเผากิน?  ทำไมฉันถึงพยายามที่จะอู้งานอยู่เสมอ?  การกระทำเช่นนี้ไร้ซึ่งมโนธรรมหรือเหตุผลใดๆ—ฉันยังคงเป็นใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าอยู่อีกหรือ?  ทำไมฉันจึงไม่จริงจังกับสิ่งทั้งหลาย?  ฉันเพียงจำเป็นต้องทุ่มเทเวลาและความพยายามเพิ่มขึ้นอีกนิดไม่ใช่หรือ?  นี่ไม่ใช่ภาระหนักหนาอะไร  นี่คือสิ่งที่ฉันควรทำ ถ้าฉันทำสิ่งนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันจะสมควรได้ชื่อว่ามนุษย์หรือ?’  ผลก็คือเจ้าจะตั้งปณิธานและกล่าวคำปฏิญาณว่า ‘โอ พระเจ้า! ข้าพระองค์ทำให้พระองค์ผิดหวัง  ข้าพระองค์เสื่อมทรามเกินไปโดยแท้ ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะกลับใจ  และขอวิงวอนให้พระองค์ทรงยกโทษให้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน  ถ้าข้าพระองค์ไม่กลับใจ ขอให้พระองค์ทรงลงโทษข้าพระองค์’  หลังจากนั้นวิธีคิดของเจ้าจะหันกลับมา และเจ้าจะเริ่มเปลี่ยนไป  เจ้าจะกระทำการและปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างมีสติ สุกเอาเผากินน้อยลง และเจ้าจะสามารถทนทุกข์และยอมลำบากได้  เจ้าจะรู้สึกว่าการทำหน้าที่ของตนในหนทางนี้แสนวิเศษ และเจ้าจะมีสันติสุขและความชื่นบานยินดีอยู่ในหัวใจ(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าคือรากฐานของการเชื่อในพระเจ้า)  ฉันได้เห็นจากพระวจนะของพระเจ้าว่าสิ่งพื้นฐานที่สุดที่พวกเราควรทำในฐานะที่เป็นคนคือการทุ่มเทตัวเองให้กับหน้าที่ของตน  ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใด ไม่ว่าจะง่ายหรือซับซ้อน พวกเราควรทำหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบให้ลุล่วงและลงมือทำอย่างจริงจังและสุดหัวใจ  พวกเราควรทำทุกอย่างที่ทำได้  นั่นคือท่าทีที่ถูกต้องต่อการปฏิบัติหน้าที่  พระวจนะของพระเจ้าชี้เส้นทางปฏิบัติให้เห็น  เมื่อไรที่พวกเราเริ่มคิดคดทรยศและกลิ้งกลอก พวกเราก็ต้องยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า อธิษฐาน และละทิ้งเนื้อหนัง  เมื่อใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันรู้สึกได้ถึงความเข้าอกเข้าใจและความสงสารที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์  พระองค์ทรงอธิบายไว้ชัดเจนมากเกี่ยวกับเส้นทางปฏิบัติและเส้นทางเข้าสู่เหล่านี้ เพื่อที่พวกเราจะสามารถมีชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ได้  หลังจากที่เข้าใจน้ำพระทัยและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าแล้ว ฉันก็กล่าวคำอธิษฐานและตั้งใจละทิ้งเนื้อหนังของฉัน

ครั้งหนึ่ง เมื่อฉันเจอปัญหาที่ยุ่งยากมากอีกครั้ง และในตอนนั้นฉันนึกอยากจะสักแต่ทำให้เสร็จและอย่างขอไปทีเท่านั้น  ฉันก็กล่าวคำอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์คิดจะทำตัวกลอกกลิ้งในหน้าที่อีกแล้ว แต่นั่นไม่ใช่วิธีการที่ข้าพระองค์อยากจะใช้  ได้โปรดทรงนำให้ข้าพระองค์ละทิ้งเนื้อหนัง ปฏิบัติความจริง และทำหน้าที่ของตนให้ดีด้วยเถิด”  หลังจากอธิษฐานแล้ว ฉันก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าแม้คนอื่นอาจจะไม่เห็นว่าฉันคิดคดทรยศและกลอกกลิ้ง แต่พระเจ้าย่อมจะทรงเห็น  พระองค์จะทรงเห็นว่าฉันกำลังปฏิบัติความจริงหรือกำลังคล้อยตามเนื้อหนัง  เมื่อคิดได้อย่างนี้ ฉันก็สงบใจเพื่อใคร่ครวญว่าควรจะแก้ปัญหาอย่างไร และโดยที่ฉันไม่ทันรู้ตัว หลักธรรมบางข้อก็ชัดเจนขึ้นสำหรับฉัน  ปัญหาก็ได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วมาก  หลังจากปฏิบัติเช่นนั้นอยู่สองสามครั้ง หัวใจของฉันก็สงบลงจริงๆ และฉันรู้สึกว่านี่เป็นวิธีที่ดียิ่งในการทำหน้าที่ของฉัน  นอกจากนี้แล้ว ช่วงเวลาในอดีตที่ฉันเคยตื่นตระหนกว่าจะถูกโยกย้ายจากหน้าที่ก็หายไป

การสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้บ้างคือความรอดที่พระเจ้าประทานแก่ฉัน และฉันก็ตื่นขึ้นทีละเล็กทีละน้อยด้วยการพิพากษา การเปิดเผย และเสบียงบำรุงเลี้ยงแห่งพระวจนะของพระเจ้า  ขอคำขอบคุณจงมีแด่พระเจ้า!

ก่อนหน้า: 64. สิ่งที่ผมได้รับจากการเป็นคนที่ซื่อสัตย์

ถัดไป: 66. การตัดสินใจที่มิอาจลบเลือน

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger