เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (3)

สิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นบันทึกพระวจนะที่พระเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองเสมอไป  พระคัมภีร์เพียงบันทึกพระราชกิจสองช่วงระยะก่อนหน้าของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นบันทึกการพยากรณ์ของบรรดาผู้เผยพระวจนะ และส่วนหนึ่งเป็นประสบการณ์และความรู้ที่เขียนขึ้นโดยผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งานตลอดทั้งยุคสมัย  ประสบการณ์ของมนุษย์เจือปนไปด้วยความคิดเห็นและความรู้ของมนุษย์ และนี่คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในหนังสือหลายเล่มของพระคัมภีร์มีมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ อคติของมนุษย์ และการจับใจความอันไร้สาระของมนุษย์  แน่นอนว่าข้อความส่วนใหญ่เป็นผลจากความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และข้อความเหล่านี้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง—แต่ก็ยังไม่สามารถพูดได้ว่าข้อความเหล่านี้เป็นการแสดงออกถึงความจริงอย่างถูกต้องแม่นยำทั้งหมด  ทรรศนะของท่านทั้งหลายเหล่านั้นเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ส่วนตัว หรือความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  การพยากรณ์ของบรรดาผู้เผยพระวจนะนั้นพระเจ้าเป็นผู้ให้คำแนะนำด้วยพระองค์เอง นั่นคือ  การเผยพระวจนะของผู้คนเช่นอิสยาห์ ดาเนียล เอสรา เยเรมีย์ และเอเสเคียลมาจากคำแนะนำโดยตรงของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้คนเหล่านี้คือผู้มองเห็น ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้รับพระวิญญาณแห่งการเผยพระวจนะ และท่านทั้งหมดเป็นผู้เผยพระวจนะของพันธสัญญาเดิม  ในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติ ผู้คนที่ได้รับการดลใจจากพระยาห์เวห์เหล่านี้พูดการเผยพระวจนะมากมายซึ่งได้รับคำแนะนำโดยตรงจากพระยาห์เวห์  แล้วเหตุใดพระยาห์เวห์จึงทรงพระราชกิจในท่านทั้งหลายเหล่านั้น?  เพราะผู้คนอิสราเอลคือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และงานของผู้เผยพระวจนะต้องดำเนินการในหมู่ประชากรเหล่านั้น นั่นคือเหตุผลที่ผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นสามารถได้รับวิวรณ์เช่นนั้น  อันที่จริง ท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่ได้เข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงวิวรณ์แก่ท่านด้วยตัวท่านเอง  พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสพระวจนะผ่านปากของพวกท่าน เพื่อให้ผู้คนในอนาคตสามารถจับใจความสิ่งเหล่านั้นได้ และมองเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณของพระเจ้า ของพระวิญญาณบริสุทธิ์จริงๆ และไม่ได้มาจากมนุษย์ และเพื่อให้พวกเขาได้รับการยืนยันถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ พระเยซูทรงปฏิบัติพระราชกิจทั้งหมดนี้แทนผู้เผยพระวจนะด้วยพระองค์เอง ดังนั้นผู้คนจึงไม่พูดการเผยพระวจนะอีกต่อไป  ดังนั้นพระเยซูทรงเป็นผู้เผยพระวจนะหรือไม่?  แน่นอนว่าพระเยซูทรงเป็นผู้เผยพระวจนะท่านหนึ่ง แต่พระองค์ยังมีความสามารถที่จะทรงงานของบรรดาอัครทูตได้ด้วย—พระองค์ทั้งสามารถตรัสการเผยพระวจนะและเทศนาและสอนผู้คนทั่วแผ่นดิน  กระนั้น พระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติและพระอัตลักษณ์ที่พระองค์ทรงเป็นตัวแทนก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน  พระองค์เสด็จมาเพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งมวล เพื่อไถ่มนุษย์จากบาป พระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระวจนะ และอัครทูต แต่ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์  ผู้เผยพระวจนะอาจพูดการเผยพระวจนะ แต่ไม่สามารถพูดได้ว่าผู้เผยพระวจนะเช่นนั้นคือพระคริสต์  ณ เวลานั้น พระเยซูได้ตรัสการเผยพระวจนะมากมาย และดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระวจนะ แต่ไม่สามารถกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระวจนะและดังนั้นจึงไม่ใช่พระคริสต์  นั่นเป็นเพราะว่าพระองค์ทรงเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระองค์เองในการดำเนินพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งให้เสร็จสิ้น และพระอัตลักษณ์ของพระองค์แตกต่างจากอัตลักษณ์ของอิสยาห์ นั่นคือ  พระองค์เสด็จมาเพื่อทำพระราชกิจแห่งการไถ่ให้ครบบริบูรณ์ และพระองค์ยังได้ทรงจัดเตรียมเพื่อชีวิตของมนุษย์ และพระวิญญาณของพระเจ้าได้เสด็จมาสู่พระองค์โดยตรง  ในพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำไม่มีการดลใจจากพระวิญญาณของพระเจ้าหรือคำแนะนำจากพระยาห์เวห์  แต่พระวิญญาณทรงพระราชกิจโดยตรง—ซึ่งเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าพระเยซูไม่ทรงเหมือนกับผู้เผยพระวจนะ  พระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำคือพระราชกิจแห่งการไถ่ พระราชกิจที่สองนั้นคือการตรัสการเผยพระวจนะ  พระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระวจนะ เป็นอัครทูต แต่ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่  ในขณะเดียวกัน ผู้พยากรณ์สามารถเพียงพูดการเผยพระวจนะเท่านั้น และไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระวิญญาณของพระเจ้าในการทรงพระราชกิจอื่นใดได้  เนื่องเพราะพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดทำมาก่อน และได้ทรงพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงแตกต่างจากผู้คนเช่นอิสยาห์  การที่บางคนไม่ยอมรับกระแสของวันนี้นั้นเป็นเพราะนี่ได้ทำให้เกิดอุปสรรคสำหรับพวกเขา  พวกเขาพูดว่า “ในพันธสัญญาเดิม ผู้เผยพระวจนะมากมายก็ได้พูดคำพูดมากมายเช่นเดียวกัน—ดังนั้นแล้ว เหตุใดพวกเขาจึงไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์?  พระเจ้าของวันนี้ตรัสพระวจนะต่างๆ—นั่นเพียงพอที่จะพิสูจน์หรือว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์?  ท่านไม่ได้ยกย่องพระคัมภีร์ อีกทั้งท่านยังไม่ได้ศึกษาพระคัมภีร์—ดังนั้นแล้วท่านมีสิ่งใดเป็นพื้นฐานที่พูดว่าพระองค์ทรงเป็นการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า?  ท่านพูดว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้รับคำแนะนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และท่านเชื่อว่าพระราชกิจช่วงระยะนี้คือพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำด้วยพระองค์เอง—แต่ท่านมีสิ่งใดเป็นพื้นฐานสำหรับการกล่าวเช่นนี้?  ท่านมุ่งเน้นความสนใจของท่านไปที่พระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ และดูเสมือนว่าท่านได้ปฏิเสธพระคัมภีร์ และละวางพระคัมภีร์ไว้ด้านหนึ่ง”  และดังนั้น พวกเขาจึงพูดว่าเจ้าเชื่อในความนอกคอกและความนอกรีต

หากเจ้าปรารถนาที่จะเป็นพยานต่อพระราชกิจของพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องเข้าใจเรื่องราวภายในของพระคัมภีร์ โครงสร้างของพระคัมภีร์ และเนื้อแท้ของพระคัมภีร์  วันนี้ ผู้คนเชื่อว่าพระคัมภีร์คือพระเจ้า และพระเจ้าคือพระคัมภีร์  ดังนั้น พวกเขาจึงเชื่อเช่นกันว่าข้อความทั้งหมดในพระคัมภีร์เป็นพระวจนะทั้งหมดทั้งสิ้นที่พระเจ้าตรัส และว่าข้อความทั้งหมดนั้นพระเจ้าเป็นผู้ตรัส  บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าคิดแม้กระทั่งว่า ถึงแม้ว่าหนังสือพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ทั้งหมดหกสิบหกเล่มได้รับการเขียนขึ้นโดยผู้คน แต่หนังสือทุกเล่มได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นบันทึกถ้อยดำรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์  นี่คือการจับใจความที่ผิดพลาดของมนุษย์ และไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงอย่างครบบริบูรณ์  อันที่จริงแล้ว นอกเหนือจากหนังสือการเผยพระวจนะแล้ว เนื้อหาส่วนใหญ่ของพันธสัญญาเดิมคือบันทึกทางประวัติศาสตร์  จดหมายฝากบางส่วนของพันธสัญญาใหม่มาจากประสบการณ์ของผู้คน และบางส่วนมาจากความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ตัวอย่างเช่น จดหมายฝากของเปาโลเกิดขึ้นจากงานของมนุษย์ จดหมายฝากเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผลจากความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทั้งหมดได้รับการเขียนขึ้นเพื่อคริสตจักร และเป็นคำพูดเตือนสติและหนุนใจสำหรับพี่น้องชายหญิงของคริสตจักร  คำพูดเหล่านั้นไม่ใช่พระวจนะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัส—เปาโลไม่อาจพูดในนามของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ แล้วเขาก็ไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะเช่นกัน แล้วนับประสาอะไรที่เขาจะมองเห็นนิมิตที่ยอห์นได้พบเห็น  จดหมายฝากของเขาเขียนขึ้นเพื่อคริสตจักรเอเฟซัส โครินธ์ กาลาเทีย และคริสตจักรอื่นๆ  และด้วยเหตุนี้ จดหมายฝากของเปาโลแห่งพันธสัญญาใหม่จึงเป็นจดหมายฝากที่เปาโลเขียนขึ้นเพื่อคริสตจักร และไม่ใช่การดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ อีกทั้งไม่ใช่ถ้อยดำรัสโดยตรงของพระวิญญาณบริสุทธิ์  จดหมายฝากเหล่านี้เป็นเพียงคำพูดเตือนสติ ความชูใจ และการหนุนใจ ซึ่งเขาเขียนขึ้นเพื่อคริสตจักรในระหว่างที่งานของเขาดำเนินไป  ดังนั้น จดหมายฝากเหล่านี้จึงเป็นบันทึกเกี่ยวกับงานของเปาโลส่วนใหญ่ในขณะนั้นด้วยเช่นกัน  บันทึกเหล่านี้เขียนขึ้นเพื่อทุกคนที่เป็นพี่น้องชายหญิงทุกคนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้พี่น้องชายหญิงของคริสตจักรทั้งหลายในเวลานั้นจะได้ทำตามคำแนะนำของเขาและปฏิบัติตามหนทางแห่งการกลับใจขององค์พระเยซูเจ้า  เปาโลไม่ได้พูดแต่อย่างใดว่าคริสตจักรทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคริสตจักรในเวลานั้นหรือคริสตจักรในอนาคต ต้องกินและดื่มสิ่งต่างๆ ที่เขาเขียนขึ้น อีกทั้งเขาไม่ได้พูดว่าคำพูดทั้งหมดของเขามาจากพระเจ้า  ตามรูปการณ์แวดล้อมต่างๆ ของคริสตจักรในเวลานั้น เขาเพียงเข้าสนิทกับพี่น้องชายหญิง และเตือนสติพวกเขาเหล่านั้น และบันดาลใจให้เกิดการเชื่อในพวกเขา และเขาเพียงเทศนาหรือเตือนจำผู้คนให้ระลึกถึงและเตือนสติพวกเขาเท่านั้น  คำพูดของเขามีพื้นฐานมาจากภาระของเขาเอง และเขาสนับสนุนผู้คนโดยผ่านทางคำพูดเหล่านี้  เขาทำงานของอัครทูตคนหนึ่งของคริสตจักรในเวลานั้น เป็นคนงานที่องค์พระเยซูเจ้าทรงใช้งาน และด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องรับผิดชอบคริสตจักรต่างๆ และต้องรับภาระงานของคริสตจักร เขาต้องเรียนรู้เกี่ยวกับสภาวะของพี่น้องชายหญิง—และเพราะเหตุนี้ เขาจึงได้เขียนจดหมายฝากให้กับพี่น้องชายหญิงทุกคนในองค์พระผู้เป็นเจ้า  ทุกสิ่งที่เขาพูดซึ่งเป็นสิ่งที่เสริมสร้างและเป็นบวกสำหรับผู้คนล้วนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวแทนของพระดำรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสิ่งที่เขาพูดไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้  การที่ผู้คนปฏิบัติต่อบันทึกประสบการณ์ของมนุษย์และจดหมายฝากของมนุษย์เสมือนเป็นพระวจนะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสต่อคริสตจักรทั้งหลายคือความเข้าใจที่ผิดมหันต์และเป็นการหมิ่นประมาทอย่างยิ่ง!  ซึ่งข้อนี้เป็นจริงโดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องของจดหมายฝากที่เปาโลเขียนให้กับคริสตจักรทั้งหลาย เพราะจดหมายฝากของเขาเขียนขึ้นเพื่อพี่น้องชายหญิงตามรูปการณ์แวดล้อมต่างๆ และสถานการณ์ของคริสตจักรแต่ละแห่งในเวลานั้น และเป็นไปเพื่อเตือนสติพี่น้องชายหญิงในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้พวกเขาสามารถได้รับพระคุณขององค์พระเยซูเจ้าได้  จดหมายฝากของเขาเป็นไปเพื่อปลุกเร้าพี่น้องชายหญิงในเวลานั้น  สามารถกล่าวได้ว่านี่คือภาระของเขาเอง และยังเป็นภาระที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานแก่เขาอีกด้วย  อย่างไรเสีย เขาก็เป็นอัครทูตผู้นำคริสตจักรในเวลานั้น ผู้เขียนจดหมายฝากให้กับคริสตจักรทั้งหลายและเตือนสติพวกเขา—นั่นคือความรับผิดชอบของเปาโล  อัตลักษณ์ของเขาเป็นแค่อัตลักษณ์ของอัครทูตที่ทำงานเท่านั้น และเขาเป็นเพียงอัครทูตคนหนึ่งที่พระเจ้าได้ทรงส่งมาเท่านั้น ไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะ อีกทั้งไม่ใช่ผู้พยากรณ์  สำหรับเขาแล้ว งานของเขาเองและชีวิตของพี่น้องชายหญิงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด  ด้วยเหตุนี้ เปาโลจึงไม่สามารถพูดแทนพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้  คำพูดของเขาไม่ใช่พระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นับประสาอะไรที่จะสามารถพูดได้ว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นพระวจนะของพระเจ้า เพราะเปาโลไม่ได้เป็นอื่นใดมากไปกว่าสิ่งทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า และแน่นอนว่าท่านไม่ใช่การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า  อัตลักษณ์ของเขาไม่ได้เหมือนกับพระอัตลักษณ์ของพระเยซู  พระวจนะของพระเยซูคือพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวจนะของพระองค์คือพระวจนะของพระเจ้า เพราะพระอัตลักษณ์ของพระองค์คือพระอัตลักษณ์ของพระคริสต์—พระบุตรของพระเจ้า  เปาโลจะสามารถเทียบเท่ากับพระองค์ได้อย่างไร?  หากผู้คนเห็นว่าจดหมายฝากหรือคำพูดเช่นของเปาโลเป็นถ้อยดำรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนมัสการคำพูดเหล่านั้นเป็นพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็สามารถพูดได้ว่าพวกเขาขาดวิจารณญานมากเกินไปเท่านั้นเอง  หากพูดอย่างกระด้างขึ้นก็คือ นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การหมิ่นประมาทหรอกหรือ?  มนุษย์จะสามารถพูดแทนพระเจ้าได้อย่างไร?  แล้วผู้คนจะสามารถกราบไหว้ต่อหน้าบันทึกของจดหมายฝากของเขา และคำพูดที่เขาพูดเสมือนเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์หรือหนังสือจากสวรรค์ได้อย่างไร?  มนุษย์คนหนึ่งสามารถเปล่งพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างไม่ต้องคิดมากหรือ?  มนุษย์จะสามารถพูดในนามของพระเจ้าได้อย่างไร?  ดังนั้นแล้ว เจ้าจะพูดว่าอย่างไร—จดหมายฝากที่เขาเขียนเพื่อคริสตจักรไม่สามารถด่างพร้อยไปด้วยแนวคิดของเขาเองได้อย่างนั้นหรือ?  สิ่งเหล่านั้นจะไม่ด่างพร้อยไปด้วยแนวคิดของมนุษย์ได้อย่างไร?  เขาได้เขียนจดหมายฝากสำหรับคริสตจักรโดยมีพื้นฐานอยู่ที่ประสบการณ์ส่วนตัวของเขา และความรู้ของเขาเอง  ตัวอย่างเช่น เปาโลได้เขียนจดหมายฝากถึงคริสตจักรกาลาเทีย ซึ่งประกอบด้วยความคิดเห็นบางประการ และเปโตรได้เขียนจดหมายฝากอีกฉบับซึ่งมีอีกทรรศนะหนึ่ง  ความคิดเห็นใดที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์?  ไม่มีใครสามารถพูดได้อย่างแน่นอน  ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถพูดได้เพียงว่าเขาทั้งสองแบกภาระสำหรับคริสตจักรเท่านั้น แต่จดหมายของพวกเขาย่อมแสดงถึงของวุฒิภาวะของพวกเขา จดหมายของพวกเขาแสดงถึงการจัดเตรียมและการสนับสนุนเพื่อพี่น้องชายหญิง และภาระที่พวกเขามีต่อคริสตจักรทั้งหลาย และจดหมายของพวกเขาเป็นตัวแทนของงานของมนุษย์เท่านั้น—จดหมายเหล่านั้นไม่ได้เป็นของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง  หากเจ้าพูดว่าจดหมายฝากของเขาเป็นพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไร้สาระ และเจ้ากำลังกระทำการหมิ่นประมาท!  จดหมายฝากของเปาโลและจดหมายฝากอื่นๆ ของพันธสัญญาใหม่เทียบเท่ากับชีวประวัติของบุคคลสำคัญด้านจิตวิญญาณเมื่อไม่นานมานี้ นั่นคือ  จดหมายเหล่านั้นอยู่ระดับเดียวกับหนังสือของวอทช์แมน นี หรือประสบการณ์ของลอว์เรนซ์ เป็นต้น  เป็นเพียงแค่ว่าหนังสือของบุคคลสำคัญด้านจิตวิญญาณเมื่อไม่นานมานี้ไม่ได้รับการรวบรวมลงในพันธสัญญาใหม่ แต่เนื้อแท้ของผู้คนเหล่านี้นั้นเหมือนกัน นั่นคือ  ผู้คนเหล่านี้คือผู้ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานในช่วงระหว่างช่วงเวลาหนึ่งๆ และผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้โดยตรง

พระกิตติคุณมัทธิวในพันธสัญญาใหม่บันทึกลำดับพงศ์ของพระเยซู  ในตอนแรก หนังสือเล่มนี้ระบุว่าพระเยซูทรงเป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมและของดาวิด และบุตรของโยเซฟ ต่อมาหนังสือเล่มนี้ระบุว่าพระเยซูทรงปฏิสนธิในครรภ์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และประสูติจากหญิงพรหมจารี—ซึ่งจะหมายความว่าพระองค์ไม่ได้ทรงเป็นบุตรของโยเซฟหรือพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมและของดาวิด  อย่างไรก็ตาม ลำดับพงศ์ยืนกรานที่จะเชื่อมโยงพระเยซูเข้ากับโยเซฟ  ต่อมาลำดับพงศ์เริ่มบันทึกกระบวนการที่พระเยซูประสูติ  โดยหนังสือเล่มนี้ระบุว่าพระเยซูทรงปฏิสนธิในครรภ์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ว่าพระองค์ประสูติจากหญิงพรหมจารี และไม่ใช่บุตรของโยเซฟ  แต่ในลำดับพงศ์มีการเขียนอย่างชัดเจนว่าพระเยซูทรงเป็นบุตรของโยเซฟ และเพราะลำดับพงศ์นี้ได้รับการเขียนขึ้นเพื่อพระเยซู ลำดับพงศ์นี้จึงบันทึกข้อมูลของสี่สิบสองชั่วคน  เมื่อไปถึงชั่วคนรุ่นของโยเซฟ หนังสือระบุอย่างเร่งรีบว่าโยเซฟเป็นสามีของมารีย์ ซึ่งเป็นคำพูดที่ระบุเพื่อพิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม  นี่ไม่ใช่ความขัดแย้งในตัวเองหรือ?  ลำดับพงศ์บันทึกต้นตระกูลของโยเซฟอย่างชัดเจน  ลำดับพงศ์นี้เป็นลำดับพงศ์ของโยเซฟอย่างชัดเจน แต่มัทธิวยืนกรานว่านี่คือลำดับพงศ์ของพระเยซู  นี่ไม่ได้ปฏิเสธข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปฏิสนธิในครรภ์ของพระเยซูโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์หรอกหรือ?  ดังนั้นแล้ว ลำดับพงศ์ที่มัทธิวเขียนขึ้นไม่ได้เป็นแนวคิดของมนุษย์หรอกหรือ?  มันช่างไร้สาระ!  นี่คือวิธีที่เจ้าจะสามารถรู้ได้ว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งหมด  อาจมีบางคนที่คิดว่าพระเจ้าทรงต้องมีลำดับพงศ์บนโลก เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงกำหนดให้พระเยซูเป็นชั่วคนรุ่นที่สี่สิบสองของอับราฮัม  นั่นช่างไร้สาระเสียจริง!  หลังจากที่เสด็จมาบนแผ่นดินโลก พระเจ้าจะสามารถมีลำดับพงศ์ได้อย่างไร?  หากเจ้าพูดว่าพระเจ้าทรงมีลำดับพงศ์ เจ้าไม่ได้จัดอันดับพระองค์อยู่ท่ามกลางสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้าหรอกหรือ?  เพราะพระเจ้าไม่ได้เสด็จมาจากแผ่นดินโลก พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของสิ่งทรงสร้าง และถึงแม้ว่าพระองค์ทรงมีเนื้อหนัง พระองค์ก็ไม่ได้ทรงมีแก่นแท้เหมือนกันกับมนุษย์  เจ้าจะสามารถจัดอันดับพระเจ้าว่าอยู่ในประเภทเดียวกันกับสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าได้อย่างไร?  อับราฮัมไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้า ท่านทรงเป็นเป้าหมายของพระราชกิจของพระยาห์เวห์ในเวลานั้น ท่านเป็นเพียงผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อและได้รับการรับรองจากพระยาห์เวห์เท่านั้น และท่านเป็นหนึ่งในผู้คนอิสราเอล  ท่านจะสามารถเป็นต้นตระกูลของพระเยซูได้อย่างไร?

ใครเป็นผู้เขียนลำดับพงศ์ของพระเยซู?  พระเยซูทรงเขียนลำดับพงศ์ด้วยพระองค์เองหรือ?  พระองค์ตรัสแก่พวกเขาด้วยพระองค์เองว่า “จงเขียนลำดับพงศ์ของเรา” หรือ?  มัทธิวเป็นผู้บันทึกลำดับพงศ์หลังจากที่พระเยซูทรงถูกตอกตรึงกับกางเขน  ในเวลานั้นพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายที่สาวกของพระองค์ไม่สามารถจะจับใจความได้ และไม่ได้ทรงให้คำอธิบายใดๆ  หลังจากที่พระองค์เสด็จจากไปแล้ว บรรดาสาวกของพระองค์เริ่มต้นเทศนาและทำงานทุกที่ และเพื่อประโยชน์ของพระราชกิจช่วงระยะนั้น พวกท่านได้เริ่มเขียนจดหมายฝากและหนังสือพระกิตติคุณ  หนังสือพระกิตติคุณของพันธสัญญาใหม่ได้รับการบันทึกยี่สิบถึงสามสิบปีหลังจากที่พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนแล้ว  ก่อนหน้านั้น ผู้คนอิสราเอลอ่านเพียงพันธสัญญาเดิมเท่านั้น  กล่าวคือ ผู้คนอ่านพันธสัญญาเดิมในช่วงต้นของยุคพระคุณ  พันธสัญญาใหม่เพิ่งจะปรากฏในช่วงระหว่างยุคพระคุณเท่านั้น  พันธสัญญาใหม่ไม่ได้มีอยู่เมื่อพระเยซูทรงพระราชกิจ ผู้คนบันทึกพระราชกิจของพระองค์หลังจากที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์  หนังสือหมวดพระกิตติคุณสี่เล่มมีขึ้นก็ในเวลานั้นเท่านั้น ซึ่งเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากจดหมายฝากของเปาโลและเปโตร ตลอดจนหนังสือวิวรณ์  พันธสัญญาใหม่แห่งพระคัมภีร์มีขึ้นกว่าสามร้อยปีหลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ซึ่งเป็นเวลาที่คนยุคต่อมาได้ตรวจทานบันทึกของพวกเขาอย่างเลือกเฟ้นระมัดระวัง  พันธสัญญาใหม่มีขึ้นหลังจากที่พระราชกิจนี้ได้ครบบริบูรณ์แล้วเท่านั้น พันธสัญญาใหม่ไม่ได้มีมาก่อนหน้านั้น  พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจทั้งหมดนั้น และเปาโลกับอัครทูตท่านอื่นๆ ได้เขียนจดหมายฝากมากมายหลายเล่มถึงคริสตจักรทั้งหลายในพื้นที่ต่างๆ  ผู้คนหลังจากพวกท่านได้รวมจดหมายฝากของพวกท่านเข้าไว้ด้วยกันและได้ผนวกนิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ยอห์นได้บันทึกไว้บนเกาะปัทมอส ซึ่งในนั้นได้มีการเผยพระวจนะถึงพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย  ผู้คนได้ทำลำดับเหตุการณ์นี้ ซึ่งแตกต่างไปจากถ้อยดำรัสของวันนี้  สิ่งที่ได้รับการบันทึกในวันนี้เป็นไปตามขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่ผู้คนไปมีส่วนเกี่ยวข้องในวันนี้คือพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำด้วยพระองค์เอง และพระวจนะที่พระองค์ดำรัสด้วยพระองค์เอง  เจ้า—มวลมนุษย์—ไม่จำเป็นต้องเข้าแทรกแซง  พระวจนะที่มาจากพระวิญญาณโดยตรงได้รับการจัดการเตรียมการอย่างเป็นขั้นตอน และแตกต่างจากการจัดการเตรียมการบันทึกของมนุษย์  สิ่งที่พวกเขาบันทึกนั้นสามารถกล่าวได้ว่าเป็นไปตามระดับการศึกษาของพวกเขาและขีดความสามารถของมนุษย์  สิ่งที่พวกเขาบันทึกคือประสบการณ์ของมนุษย์ และแต่ละคนมีวิถีทางในการบันทึกและรับรู้ของตนเอง และแต่ละบันทึกมีความแตกต่างกัน  ด้วยเหตุนี้ หากเจ้านมัสการพระคัมภีร์เป็นพระเจ้า เจ้าก็ไม่รู้เท่าทันและโง่เขลาอย่างยิ่ง!  เหตุใดเจ้าจึงไม่แสวงหาพระราชกิจของพระเจ้าของวันนี้?  มีเพียงพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดได้  พระคัมภีร์ไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดได้ ผู้คนสามารถอ่านพระคัมภีร์เป็นเวลาหลายพันปีแต่ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงในตัวพวกเขาเลยแม้แต่น้อย และหากเจ้านมัสการพระคัมภีร์ เจ้าจะไม่มีวันได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พระราชกิจทั้งสองช่วงระยะของพระเจ้าในอิสราเอลได้รับการบันทึกในพระคัมภีร์ และดังนั้นท่ามกลางบันทึกเหล่านี้ ชื่อทั้งหมดจึงเป็นชื่อของอิสราเอล และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็มาจากอิสราเอล แม้กระทั่งชื่อ “พระเยซู” ก็เป็นชื่อภาษาอิสราเอล  หากเจ้ายังคงอ่านพระคัมภีร์ต่อไปในวันนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ใช่กำลังถือปฏิบัติตามธรรมเนียมอยู่หรอกหรือ?  สิ่งที่บันทึกอยู่ในพันธสัญญาใหม่ของพระคัมภีร์เป็นเรื่องของยูเดีย  ข้อความดั้งเดิมอยู่ในทั้งภาษากรีกและฮีบรู และพระวจนะของพระเยซูและชื่อที่พระองค์ทรงได้รับการเรียกขานในเวลานั้นทั้งหมดต่างอยู่ในภาษาของมนุษย์  เมื่อพระองค์ทรงถูกตอกตรึงกับกางเขน พระเยซูตรัสว่า  “เอลี เอลี ลามา สะบักธานี”  นี่ไม่ใช่ภาษาฮีบรูหรือ?  นี่เป็นเพียงเพราะพระเยซูได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในยูเดีย แต่นั่นไม่ได้พิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงเป็นคนยิว  วันนี้ พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์แล้วในประเทศจีน และดังนั้นทุกอย่างที่พระองค์ตรัสจึงอยู่ในภาษาจีนอย่างไม่ต้องสงสัย  กระนั้น นั่นก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับภาษาจีนที่แปลจากพระคัมภีร์ได้ เพราะแหล่งที่มาของพระวจนะเหล่านี้แตกต่างกัน นั่นคือ  พระวจนะหนึ่งมาจากภาษาฮีบรูที่มนุษย์ได้บันทึกไว้ ส่วนอีกพระวจนะหนึ่งมาจากถ้อยดำรัสโดยตรงของพระวิญญาณ  เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีความแตกต่างกันเลย?

ก่อนหน้า: เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (2)

ถัดไป: เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (4)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger