7. พระวจนะว่าด้วยพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น

255. พระเจ้าทรงเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและพระองค์ทรงมีสิ่งที่พระองค์ทรงมี ทั้งหมดซึ่งพระองค์ทรงแสดงออกและเปิดเผยเป็นการแสดงให้เห็นถึงเนื้อแท้ของพระองค์และของพระอัตลักษณ์ของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและสิ่งที่พระองค์ทรงมี เช่นเดียวกับเนื้อแท้และพระอัตลักษณ์ของพระองค์ เป็นสิ่งต่างๆ ซึ่งไม่สามารถถูกแทนที่ได้โดยมนุษย์คนใด พระอุปนิสัยของพระองค์ครอบคลุมถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อมวลมนุษย์ การปลอบใจมวลมนุษย์ ความเกลียดชังมวลมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้นคือ ความเข้าใจถ้วนทั่วในมวลมนุษย์ อย่างไรก็ดี บุคลิกลักษณะของมนุษย์อาจมีลักษณะมองโลกในแง่ดี มีชีวิตชีวา หรือปราศจากความรู้สึก พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือพระอุปนิสัยของผู้ปกครองแห่งสรรพสิ่งต่างๆ และสิ่งมีชีวิตทั้งมวล เป็นพระอุปนิสัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการสร้างทั้งปวง พระอุปนิสัยของพระองค์แสดงให้เห็นถึงพระเกียรติ ฤทธานุภาพ ความสูงศักดิ์ ความยิ่งใหญ่ และเหนือสิ่งอื่นใด ความยิ่งใหญ่สูงสุด พระอุปนิสัยของพระองค์เป็นสัญลักษณ์แห่งสิทธิอำนาจ สัญลักษณ์แห่งทุกสิ่งซึ่งชอบธรรม สัญลักษณ์แห่งทุกสิ่งซึ่งสวยงามและดีงาม ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของพระองค์ผู้ซึ่งไม่สามารถถูก[ก]พิชิตหรือถูกรุกรานได้โดยความมืดและกองกำลังศัตรูใดๆ รวมทั้งยังเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของพระองค์ผู้ซึ่งไม่สามารถถูกทำให้ขุ่นเคืองได้ (อีกทั้งพระองค์จะไม่ทรงยอมผ่อนปรนให้กับการถูกทำให้ขุ่นเคือง)[ข] โดยสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ พระอุปนิสัยของพระองค์เป็นสัญลักษณ์แห่งฤทธานุภาพสูงสุด ไม่มีบุคคลหรือเหล่าบุคคลใดสามารถหรืออาจรบกวนพระราชกิจของพระองค์หรือพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ แต่บุคลิกภาพของมนุษย์ไม่ใช่สิ่งใดที่มากไปกว่าแค่สัญลักษณ์หนึ่งของความเหนือกว่าสัตว์เดียรัจฉานเล็กน้อยของมนุษย์เท่านั้นเอง ในตัวมนุษย์และจากตัวเขาเองนั้นไม่มีสิทธิอำนาจ ไม่มีอิสรภาพในการปกครองตนเอง และไม่มีความสามารถที่จะอยู่เหนือตนเอง แต่ในธาตุแท้ของเขานั้นเป็นผู้หนึ่งที่หดหัวอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้คน เหตุการณ์ต่างๆ และสิ่งต่างๆ ทุกลักษณะ ความชื่นบานยินดีของพระเจ้านั้นเป็นเพราะการดำรงอยู่และการปรากฏของความชอบธรรมและความสว่าง เนื่องจากการทำลายล้างความมืดและความชั่ว พระองค์ทรงยินดีในการนำความสว่างและชีวิตที่ดีมาสู่มวลมนุษย์ ความชื่นบานยินดีของพระองค์เป็นความชื่นบานยินดีอันชอบธรรม เป็นสัญลักษณ์ของการดำรงอยู่ของทุกสิ่งที่เป็นด้านบวก และยิ่งไปกว่านั้นคือ เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมงคล พระพิโรธของพระเจ้านั้นเป็นเพราะอันตรายซึ่งการมีอยู่และการแทรกแซงความอยุติธรรมนำมาสู่มวลมนุษย์ของพระองค์ เป็นเพราะการมีอยู่ของความชั่วและความมืด เป็นเพราะการมีอยู่ของสิ่งต่างๆ ซึ่งขับเคลื่อนความจริง และยิ่งไปกว่านั้นคือ เป็นเพราะการมีอยู่ของสิ่งต่างๆ ซึ่งต่อต้านสิ่งที่ดีและสวยงาม พระพิโรธของพระองค์เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งว่าทุกสรรพสิ่งที่เป็นด้านลบไม่มีอยู่อีกต่อไป และยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ความเศร้าของพระองค์นั้นเป็นเพราะมวลมนุษย์ เนื่องจากผู้ที่พระองค์ทรงมีความหวังแต่เขาเป็นผู้ที่ตกสู่ความมืด เพราะพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์นั้นไม่เป็นผลตามที่พระองค์ทรงคาดหวัง และเป็นเพราะมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงรักไม่สามารถใช้ชีวิตในความสว่างได้ทั้งหมด พระองค์ทรงรู้สึกเศร้ากับมวลมนุษย์ผู้บริสุทธิ์ กับมนุษย์ผู้ซื่อสัตย์แต่ไม่รู้เท่าทัน และกับมนุษย์ผู้ที่ดีแต่ขาดมุมมองต่างๆ ของเขาเอง ความเศร้าของพระองค์เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความดีงามของพระองค์และของความปรานีของพระองค์ เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความสวยงามและความใจดีมีเมตตา แน่นอนว่า ความสุขของพระองค์มาจากการพิชิตบรรดาศัตรูของพระองค์และการได้รับความจริงใจของมนุษย์ มากกว่านี้ก็คือ มันเกิดขึ้นจากการการขับไล่และการทำลายล้างกองกำลังศัตรูทั้งหมด และเพราะมวลมนุษย์ได้รับชีวิตที่ดีและสันติสุข ความสุขของพระเจ้าไม่เหมือนกับความชื่นบานยินดีของมนุษย์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันกลับเป็นความรู้สึกของการเก็บรวบรวมผลไม้ที่ดี เป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่กว่าความชื่นบานยินดีเสียอีก ความสุขของพระองค์เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของมวลมนุษย์ที่หลุดพ้นจากความทุกข์นับจากเวลานี้ไป และเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของมวลมนุษย์ที่เข้าสู่โลกของความสว่าง ในทางกลับกัน อารมณ์ต่างๆ ของมนุษยชาติล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของเขาเอง ไม่ใช่เพื่อความชอบธรรม ความสว่าง หรือสิ่งที่สวยงาม และที่น้อยที่สุดก็คือเพื่อพระคุณที่สวรรค์ได้ประทานลงมา อารมณ์ต่างๆ ของมนุษยชาติมีลักษณะที่เห็นแก่ตัวและเป็นของโลกแห่งความมืด อารมณ์เหล่านั้นไม่ได้มีอยู่เพื่อเห็นแก่น้ำพระทัย นับประสาอะไรที่จะเห็นแก่แผนการของพระเจ้า และดังนั้นมนุษย์และพระเจ้าจึงไม่มีวันที่จะสามารถถูกพูดถึงในขณะเดียวกันได้ พระเจ้าทรงสูงสุดตลอดกาลและทรงเกียรติเสมอ ในขณะที่มนุษย์นั้นต่ำช้าตลอดกาล ไร้ค่าตลอดกาล นี่เป็นเพราะพระเจ้ากำลังทรงเสียสละและทรงอุทิศพระองค์เองต่อมวลมนุษย์ตลอดกาล อย่างไรก็ดี มนุษย์นั้นรับเอาและเพียรพยายามเพื่อตัวเขาเองเท่านั้นตลอดกาล พระเจ้ากำลังทรงรับความเจ็บปวดเพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์ตลอดกาล กระนั้นมนุษย์กลับไม่เคยมีส่วนร่วมในอะไรเลยเพื่อประโยชน์ของความสว่างหรือเพื่อความชอบธรรม ต่อให้มนุษย์พยายามชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็อ่อนแอมากกระทั่งมนุษย์ไม่สามารถทนการโจมตีแม้สักครั้งได้ ด้วยเหตุที่ความพยายามของมนุษย์มักจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของเขาเองเสมอและไม่ใช่เพื่อผู้อื่น มนุษย์เห็นแก่ตัวเสมอ ในขณะที่พระเจ้าทรงไม่เห็นแก่พระองค์เองตลอดกาล พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของทุกอย่างซึ่งยุติธรรม ดีงาม และสวยงาม ในขณะที่มนุษย์คือผู้ที่สืบทอดและสำแดงความน่าเกลียดและความชั่วทุกอย่าง พระเจ้าจะไม่มีวันทรงเปลี่ยนแปลงเนื้อแท้ของความชอบธรรมและความงามของพระองค์ ทว่ามนุษย์กลับมีความสามารถอย่างสมบูรณ์แบบในการที่จะทรยศต่อความชอบธรรมและไถลห่างไปจากพระเจ้าในเวลาใดก็ตามและในสถานการณ์ใดก็ตาม

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสำคัญมาก

256. เราชอบธรรม เราไว้วางใจได้ และเราคือพระเจ้าผู้ตรวจดูหัวใจด้านในสุดของมนุษย์! เราจะเผยให้เห็นทันทีว่าผู้ใดเที่ยงแท้และผู้ใดเทียมเท็จ จงอย่าตระหนก ทุกสรรพสิ่งทำงานสอดคล้องกับเวลาของเรา ผู้ใดต้องการเราอย่างจริงใจ และใครไม่ต้องการ—เราจะบอกพวกเจ้า ทีละคน พวกเจ้าเพียงแต่ดูแลเรื่องการกินให้หมด ดื่มให้หมด และเข้ามาใกล้ชิดเราเมื่อเจ้าเข้ามาอยู่ต่อหน้าเรา และเราจะทำงานของเราด้วยตัวเราเอง จงอย่าวิตกเกินไปกับการให้เกิดผลลัพธ์อันรวดเร็ว งานของเราไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้ในทันที ภายในงานนั้นมีขั้นตอนต่างๆ ของเราและสติปัญญาของเรา และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมสติปัญญาของเราจึงสามารถเผยให้เห็นได้ เราจะให้พวกเจ้าได้เห็นสิ่งที่กระทำโดยมือของเรา—คือการลงโทษคนชั่วและมอบบำเหน็จรางวัลแก่คนดี แน่นอนที่สุดว่าเราไม่โปรดปรานใครคนใด เจ้าผู้ซึ่งรักเราอย่างจริงใจ เราก็จะรักเจ้าอย่างจริงใจ และสำหรับพวกที่ไม่รักเราอย่างจริงใจ ความโกรธของเราจะเกิดกับพวกเขาเรื่อยไป เพื่อที่พวกเขาอาจจะจดจำไปจนชั่วกัลปาวสานว่าเราคือพระเจ้าเที่ยงแท้ พระเจ้าผู้ตรวจดูหัวใจด้านในสุดของมนุษย์ จงอย่ากระทำการวิธีหนึ่งต่อหน้าผู้อื่น แต่กระทำการอีกวิธีหนึ่งลับหลังพวกเขา เรามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำอย่างชัดเจน และแม้ว่าเจ้าอาจจะหลอกผู้อื่นได้ แต่เจ้าไม่สามารถหลอกเราได้ เราเห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจน เป็นไปไม่ได้สำหรับเจ้าที่จะปกปิดสิ่งใด ทุกสิ่งล้วนอยู่ภายในมือของเรา อย่าคิดว่าตัวเจ้าเองเฉลียวฉลาดมากนักที่ทำการคำนวณเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าออกมาเพื่อความได้เปรียบของเจ้า เราบอกเจ้าว่า ไม่ว่ามนุษย์อาจจะคิดวางแผนการมากมายเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าแผนเหล่านั้นจะเป็นจำนวนพันหรือเป็นจำนวนหมื่น ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่สามารถหนีรอดจากฝ่ามือของเราได้ สรรพสิ่งและวัตถุทั้งหมดถูกควบคุมโดยมือของเรา นับประสาอะไรกับคนๆ เดียว! จงอย่าพยายามหลบเลี่ยงเราหรือหลบซ่อน จงอย่าพยายามฉอเลาะหรือปกปิด เป็นไปได้หรือที่เจ้ายังคงไม่เห็นว่าใบหน้าอันรุ่งโรจน์ของเรา ความโกรธของเราและการพิพากษาของเรา ได้รับการเผยต่อสาธารณะแล้ว? ใครก็ตามที่ไม่ต้องการเราอย่างจริงใจ เราก็จะพิพากษาพวกเขาทันทีและโดยไม่มีความปรานี ความสงสารของเราได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ไม่มีเหลืออีกแล้ว จงอย่าเป็นพวกคนหน้าซื่อใจคดอีกต่อไป และหยุดวิถีทางต่างๆ อันป่าเถื่อนและบุ่มบ่ามของเจ้าเสีย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 44

257. เราเป็นปฐมและเราเป็นอวสาน เราคือพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เดียวที่ครบบริบูรณ์และคืนพระชนม์ เรากล่าวคำพูดของเราต่อหน้าพวกเจ้า และพวกเจ้าต้องเชื่อในสิ่งที่เรากล่าวอย่างมั่นคง ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกอาจล่วงไป แต่หนึ่งตัวอักษรหรือหนึ่งขีดของสิ่งที่เรากล่าวจะไม่มีวันสูญหายไปเลย จงจำการนี้ไว้! จงจำมันไว้! ทันทีที่เราได้เปล่งถ้อยคำออกไป ไม่มีสักคำเดียวที่เคยได้ถูกนำกลับมา และแต่ละคำจะได้รับการทำให้ลุล่วง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 53

258. จักรวาลและสรรพสิ่งทั้งหมดอยู่ในมือของเรา หากเราพูดสั่งมัน มันจะเป็นตามนั้น หากเรากำหนดมัน มันก็จะเป็นไปตามนั้น ซาตานอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเรา มันอยู่ในบาดาลลึก! เมื่อเสียงของเราได้เปล่งออกไป ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะล่วงไปและจะไม่มีอีกต่อไป! สรรพสิ่งทั้งปวงจะได้รับการสร้างขึ้นใหม่ นี่คือความจริงอันมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ที่ถูกต้องอย่างแน่นอน เราได้พิชิตโลกแล้ว รวมทั้งมารร้ายทั้งปวงด้วย เรากำลังนั่งคุยกับพวกเจ้าอยู่ ณ ที่นี้ และทุกคนที่มีหูควรจะฟังไว้ และทุกคนที่กำลังมีชีวิตอยู่ควรยอมรับไว้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 15

259. เรายืนหยัดในสิ่งที่เรากล่าว และสิ่งที่เรายืนหยัดเรานำไปสู่การเสร็จสมบูรณ์เสมอ และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้—นี่ถือเป็นเด็ดขาด ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นวจนะที่เราได้กล่าวไว้ในอดีตหรือวจนะที่เราจะกล่าวในอนาคต เราจะทำให้วจนะเหล่านั้นทั้งหมดเป็นจริงทีละคำ และยอมให้มวลมนุษย์ทั้งหมดเห็นวจนะเหล่านั้นเป็นจริง นี่คือหลักการที่อยู่เบื้องหลังวจนะและงานของเรา…ในบรรดาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาล ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย มีสิ่งใดที่ไม่ได้อยู่ในมือของเราหรือ? สิ่งใดก็ตามที่เรากล่าวย่อมได้รับการทำให้เสร็จสิ้น และมีผู้ใดท่ามกลางมนุษย์ที่สามารถเปลี่ยนใจของเราได้? สิ่งนี้จะเป็นพันธสัญญาที่เราทำบนแผ่นดินโลกได้หรือไม่? ไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางแผนของเราจากการก้าวไปข้างหน้าได้ เราปรากฏอยู่ในงานของเราเสมอเช่นเดียวกับในแผนการบริหารจัดการของเรา ผู้ใดท่ามกลางมนุษย์สามารถสอดมือของเขาเข้ามาก้าวก่ายได้? ไม่ใช่เราหรอกหรือที่ลงมือจัดการเตรียมการเหล่านี้ด้วยตัวเราเอง? การเข้าสู่อาณาจักรนี้ในวันนี้ไม่ได้พลัดออกนอกแผนของเราหรือนอกสิ่งที่เราได้คาดการณ์ไว้ ทั้งหมดได้รับการกำหนดโดยเรามานานแล้ว ผู้ใดท่ามกลางพวกเจ้าที่สามารถหยั่งลึกถึงขั้นตอนนี้ของแผนของเราได้? ประชากรของเราจะฟังเสียงของเราอย่างแน่นอน และบรรดาผู้ที่รักเราอย่างจริงใจทุกคนจะกลับคืนมายังเบื้องหน้าบัลลังก์ของเราอย่างแน่นอน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 1

260. เรารักทุกคนที่สละตนเองเพื่อเราอย่างจริงใจ และอุทิศตนเองแก่เรา เราเกลียดชังทุกคนที่เกิดจากเรา ทว่ากลับไม่รู้จักเรา และถึงกับต่อต้านเรา เราจะไม่ละทิ้งใครก็ตามที่อยู่เพื่อเราอย่างจริงใจ ตรงกันข้ามเราจะเพิ่มพรแก่คนผู้นั้นเป็นทวีคูณ เราจะลงโทษพวกที่อกตัญญูและฝ่าฝืนความใจดีมีเมตตาของเราเป็นทวีคูณ และเราจะไม่ปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ ในราชอาณาจักรของเราไม่มีความคดโกงหรือความหลอกลวง และไม่มีความเจนโลก นั่นคือไม่มีกลิ่นอายแห่งความตาย ตรงกันข้าม ทุกสิ่งคือความถูกต้องและความชอบธรรม ทุกสิ่งคือความบริสุทธิ์และความเปิดเผย โดยไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนเร้นหรือปกปิด ทุกสิ่งล้วนสดชื่น ทุกสิ่งคือความชื่นชมยินดี และทุกสิ่งคือความเจริญใจ ใครก็ตามที่มีกลิ่นคนตาย ไม่มีทางสามารถคงอยู่ในราชอาณาจักรของเราได้ และจะถูกปกครองด้วยคทาเหล็กของเราแทน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 70

261. เราคือไฟที่เผาผลาญหมดและเราไม่ทนยอมรับการทำให้ขุ่นเคือง เพราะพวกมนุษย์ทั้งหมดล้วนถูกเราสร้างขึ้น ไม่ว่าเราจะพูดหรือทำสิ่งใด พวกเขาต้องเชื่อฟัง และพวกเขาไม่อาจก่อการกบฏได้ ผู้คนไม่มีสิทธิที่จะก้าวก่ายในงานของเรา และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะวิเคราะห์ว่าสิ่งใดถูกต้องหรือผิดในงานของเราและในวจนะของเรา เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง และสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายควรสัมฤทธิ์ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพึงประสงค์ด้วยหัวใจแห่งการเคารพที่มีให้เรา พวกเขาไม่ควรพยายามที่จะชี้แจงเหตุผลกับเรา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาไม่ควรต้านทาน เราปกครองคนของเราด้วยสิทธิอำนาจของเรา และพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่เป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของเราควรนบนอบต่อสิทธิอำนาจของเรา แม้ว่าวันนี้พวกเจ้าจะใจกล้าและอวดดีต่อหน้าเรา แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่เชื่อฟังวจนะซึ่งเราใช้สอนพวกเจ้าและไม่รู้จักยำเกรง เราเพียงเผชิญกับความเป็นกบฏของพวกเจ้าด้วยความยอมผ่อนปรน เราจะไม่สูญเสียการควบคุมอารมณ์ของเราและส่งผลกระทบต่องานของเราเพราะบรรดาหนอนแมลงตัวเล็กๆ ที่ไร้ความสำคัญได้กวนฝุ่นผงในกองมูลสัตว์ขึ้นมา เราทนยอมรับการดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องของทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเกลียดชังและสิ่งทั้งหมดที่เราชิงชังเพื่อประโยชน์ของน้ำพระทัยพระบิดาของเรา และเราจะทำเช่นนั้นจนกว่าถ้อยคำของเราจะครบบริบูรณ์ จนกว่าจะถึงชั่วขณะสุดท้ายจริงๆ ของเรา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เมื่อใบไม้ที่ร่วงหล่นกลับคืนสู่รากของพวกมัน เจ้าจะเสียใจกับความชั่วทั้งหมดที่เจ้าทำลงไป

262. ในเมื่อเจ้าได้สร้างปณิธานไว้แล้วว่าจะรับใช้เรา เราก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป เราเป็นพระเจ้าที่เกลียดชังความชั่ว และเราเป็นพระเจ้าที่หวงแหนมนุษยชาติ ในเมื่อเจ้าได้วางคำพูดของเจ้าไว้บนแท่นบูชาแล้ว เราก็จะไม่ยอมผ่อนปรนต่อการที่เจ้าวิ่งจากไปต่อหน้าต่อตาเรา อีกทั้งเราจะไม่ยอมผ่อนปรนต่อการที่เจ้ารับใช้เจ้านายสองคน เจ้าได้คิดหรือว่าเจ้าจะสามารถมีความรักครั้งที่สองได้หลังจากได้วางคำพูดของเจ้าไว้บนแท่นบูชาของเราและต่อหน้าต่อตาเราแล้ว? เราจะสามารถให้โอกาสแก่ผู้คนเพื่อทำให้เราเป็นเหมือนคนโง่ด้วยวิธีเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้าได้คิดหรือว่าเจ้าจะสามารถสร้างคำปฏิญญาและคำปฏิญาณอย่างลวกๆ กับเราด้วยลิ้นของเจ้าได้? เจ้าจะสามารถสบถคำปฏิญาณข้างบัลลังก์ของเราได้อย่างไร บัลลังก์ของเราผู้ซึ่งอยู่สูงที่สุด? เจ้าได้คิดหรือว่าคำปฏิญาณของเจ้าได้ล่วงลับไปแล้ว? เราขอบอกพวกเจ้าว่า แม้ว่าเนื้อหนังของพวกเจ้าอาจล่วงลับไป แต่คำปฏิญาณของพวกเจ้าไม่สามารถล่วงลับไปได้ ในท้ายที่สุดเราจะกล่าวโทษพวกเจ้าบนพื้นฐานของคำปฏิญาณของพวกเจ้า อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าเชื่อว่าเจ้าสามารถจัดการกับเราได้โดยการวางคำพูดของพวกเจ้าไว้เบื้องหน้าเรา และเชื่อว่าหัวใจของพวกเจ้าสามารถรับใช้จิตวิญญาณสกปรกและจิตวิญญาณชั่วได้ ความโกรธของเราจะสามารถยอมผ่อนปรนต่อผู้คนที่คล้ายสุนัข คล้ายสุกรเหล่านี้ที่โกงเราได้อย่างไร? เราต้องดำเนินการตามประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา และแย่งชิงพวกที่ “เคร่งศาสนา” หัวโบราณเหล่านั้นทั้งหมดที่มีศรัทธาในเรากลับจากมือของจิตวิญญาณสกปรก เพื่อที่พวกเขาอาจจะ “คอยรับใช้” เราในรูปแบบที่มีวินัย เป็นโคของเรา เป็นอาชาของเรา และอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงการสังหารหมู่ของเรา เราจะให้เจ้าหยิบความมุ่งมั่นก่อนหน้านี้ของเจ้า และรับใช้เราอีกครั้ง เราจะไม่ยอมผ่อนปรนต่อสิ่งทรงสร้างใดๆ ที่โกงเรา เจ้าได้คิดหรือว่าเจ้าจะสามารถเพียงแค่ทำการเรียกร้องและโกหกต่อหน้าเราอย่างหยาบโลนได้? เจ้าได้คิดหรือว่าเราไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นคำพูดและความประพฤติทั้งหลายของเจ้า? คำพูดและความประพฤติทั้งหลายของเจ้าจะไม่ได้สามารถอยู่ในสายตาของเราได้อย่างไร? เราจะสามารถเคยให้ผู้คนหลอกลวงเราเช่นนั้นได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกเจ้าทั้งหมดมีบุคลิกลักษณะต่ำช้าเหลือเกิน!

263. เราคือพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เอง และที่มากยิ่งกว่าคือ เราเป็นสภาวะบุคคลองค์หนึ่งและองค์เดียวของพระเจ้า ที่มากไปกว่านั้นด้วยซ้ำก็คือ เรา ที่มีเนื้อหนังอันครบถ้วนบริบูรณ์นี้ เป็นการสำแดงที่ครบบริบูรณ์ถึงพระเจ้า ผู้ใดก็ตามที่กล้าไม่เคารพเรา ผู้ใดก็ตามที่กล้าแสดงออกถึงการต้านทานในสายตาของพวกเขา และผู้ใดก็ตามที่กล้ากล่าวคำเยาะเย้ยท้าทายต่อเราจะต้องตายจากคำสาปแช่งและความโกรธกริ้วของเราอย่างแน่นอน (จะมีการสาปแช่งเพราะความโกรธกริ้วของเรา) ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใดก็ตามที่กล้าไม่จงรักภักดีหรืออกตัญญูต่อเรา และผู้ใดก็ตามที่กล้าพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมกับเรา ก็จะตายอย่างแน่นอนจากความเกลียดชังของเรา ความชอบธรรม บารมีและการพิพากษาของเราจะสู้ทนไปตลอดกาล ในคราแรก เรารักใคร่และเปี่ยมปรานี แต่นี่ไม่ใช่อุปนิสัยแห่งเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ของเรา ความชอบธรรม บารมีและการพิพากษาแค่ประกอบกันเป็นอุปนิสัยของเรา พระเจ้าพระองค์เองที่ครบบริบูรณ์ ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ เรารักใคร่และเปี่ยมปรานี เนื่องจากงานที่เราต้องทำให้แล้วเสร็จ เราจึงครองความเมตตาและความปรานี อย่างไรก็ตาม ภายหลังนั้น ก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับสิ่งต่างๆ เช่นนั้นอีกต่อไป (และนับจากนั้นมาก็ยังไม่มีความจำเป็นอีกเลย) ทั้งหมดเป็นความชอบธรรม บารมีและการพิพากษา และนี่คืออุปนิสัยที่ครบบริบูรณ์แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเราควบคู่กันกับเทวสภาพอันครบบริบูรณ์ของเรา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 79

264. เราปกครองสรรพสิ่ง เราคือพระเจ้าผู้ทรงปัญญา ผู้กุมสิทธิอำนาจเต็ม และเราไม่กรุณาต่อผู้ใด เรานั้นใจแข็งอย่างยิ่งยวด ไร้ซึ่งความรู้สึกส่วนตัวโดยสมบูรณ์ เราปฏิบัติต่อทุกคน (ไม่ว่าเขาจะพูดจาดีอย่างไร เราก็จะไม่ปล่อยเขาไป) ด้วยความชอบธรรม ความถูกต้อง และบารมีของเรา ขณะเดียวกันก็ทำให้ทุกคนมองเห็นความอัศจรรย์แห่งกิจการของเราดีขึ้น รวมทั้งความหมายแห่งกิจการของเราด้วย เราได้ลงโทษพวกวิญญาณชั่วทีละตน สำหรับการกระทำทุกชนิดที่พวกเขาทำผิดไว้ ทิ้งพวกเขาแต่ละตนลงในบาดาลลึก งานนี้เราได้ทำจนแล้วเสร็จก่อนที่กาลเวลาจะเริ่มต้น ปล่อยให้พวกเขาไร้ตำแหน่ง ปล่อยให้พวกเขาไร้สถานที่ที่จะทำการงานของพวกเขา ไม่มีใครในประชากรที่เราเลือกสรร—บรรดาผู้ที่ได้รับการลิขิตไว้ล่วงหน้าและคัดสรรไว้โดยเรา—จะสามารถถูกพวกวิญญาณชั่วครอบงำได้ และกลับจะบริสุทธิ์อยู่เสมอแทน ส่วนพวกที่เราไม่ได้ลิขิตไว้ล่วงหน้าและคัดสรรไว้ เราจะส่งตัวพวกเขาให้ไปอยู่ในมือซาตาน และไม่ยอมให้พวกเขาหลงเหลืออยู่อีกต่อไป ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราเกี่ยวข้องกับความชอบธรรมของเราและบารมีของเราในทุกๆ ด้าน เราจะไม่ปล่อยพวกที่ถูกซาตานทำงานไปเลยแม้แต่คนเดียว แต่จะทิ้งพวกเขาพร้อมร่างกายของพวกเขาลงไปในแดนคนตาย เพราะเราเกลียดชังซาตาน เราจะไม่มีทางผ่อนผันให้มันง่ายๆ แต่จะทำลายมันให้สิ้น ไม่ให้มันมีโอกาสแม้แต่น้อยที่จะทำงานของมัน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 70

265. เราจะตีสอนทุกคนที่เกิดจากเราผู้ซึ่งถึงกระนั้นก็ยังไม่รู้จักเรา เพื่อที่จะทำการสำแดงความโกรธทั้งปวงของเรา ฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเรา และสติปัญญาอันเต็มเปี่ยมของเรา ในตัวเรา ทั้งหมดนั้นชอบธรรม และไม่มีความไม่ชอบธรรมโดยสิ้นเชิง ไม่มีเล่ห์ลวง และไม่มีความคดโกง ผู้ใดก็ตามที่คดโกงและเล่ห์ลวงต้องเป็นบุตรนรก ซึ่งเกิดในแดนคนตาย ในตัวเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเปิดออก สิ่งใดก็ตามที่เรากล่าวว่าจะได้รับการทำให้สำเร็จลุล่วงได้ ก็จะได้รับการทำให้สำเร็จลุล่วงจริงๆ สิ่งใดก็ตามที่เรากล่าวว่าจะถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะถูกจัดตั้งขึ้น และไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงหรือเลียนแบบสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะเราคือพระเจ้าพระองค์เององค์หนึ่งเดียวและเพียงผู้เดียว

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 96

266. เราจะลงโทษคนเลวและให้บำเหน็จคนดี และเราจะนำพาความชอบธรรมของเรามาบังคับใช้ และเราจะดำเนินการพิพากษาของเราให้เสร็จสิ้น เราจะใช้วจนะของเราเพื่อสำเร็จลุล่วงทุกสิ่งทุกอย่าง โดยทำให้ผู้คนทั้งหมดและทุกสรรพสิ่งได้รับประสบการณ์กับมือที่ตีสอนของเรา และเราจะทำให้ผู้คนทั้งหมดได้เห็นสง่าราศีอันเต็มเปี่ยมของเรา ปรีชาญาณอันเต็มเปี่ยมของเรา และความอารีอันเต็มเปี่ยมของเรา ไม่มีบุคคลใดจะกล้าลุกขึ้นในการพิพากษา เพราะในเรานั้น ทุกสรรพสิ่งสำเร็จลุล่วงแล้ว และในที่นี้ ให้มนุษย์ทุกคนได้เห็นความทรงเกียรติอันเต็มเปี่ยมของเรา และลิ้มรสชาติชัยชนะอันเต็มเปี่ยมของเรา เพราะในเรานั้นทุกสรรพสิ่งได้รับการสำแดงแล้ว จากการนี้ เป็นไปได้ที่จะเห็นฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเราและสิทธิอำนาจของเรา ไม่มีผู้ใดจะกล้าทำให้เราขุ่นเคือง และไม่มีผู้ใดที่จะกล้าเป็นอุปสรรคต่อเรา ในเรานั้น ทั้งหมดได้รับการทำให้เปิดกว้าง ใครเล่าจะกล้าซ่อนเร้นสิ่งใดไว้? เรามั่นใจว่าจะไม่แสดงให้บุคคลนั้นได้เห็นความปรานี! พวกตัวเคราะห์ร้ายเช่นนั้นต้องรับการลงโทษอันรุนแรงของเราไว้ และเดนมนุษย์เช่นนั้นต้องได้รับการชำระล้างจากสายตาของเรา เราจะปกครองพวกเขาด้วยคทาเหล็กและเราจะใช้สิทธิอำนาจของเราเพื่อพิพากษาพวกเขา โดยไม่มีความปรานีแม้แต่น้อย และโดยไม่ถนอมความรู้สึกของพวกเขาเลย เพราะเราคือพระเจ้าพระองค์เอง ผู้ที่ปราศจากอารมณ์และเปี่ยมบารมีและไม่สามารถถูกทำให้ขุ่นเคืองได้ ทั้งหมดควรเข้าใจและเห็นการนี้ มิฉะนั้นอาจเสี่ยงต่อการที่พวกเขาจะมาถูกเรากำราบและถูกทำให้ย่อยยับลงไป “โดยไม่มีสาเหตุหรือเหตุผล” เพราะคทาของเราจะกำราบทุกคนที่ทำให้เราขุ่นเคือง เราไม่ใส่ใจว่าพวกเขารู้จักประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราหรือไม่ นั่นจะไม่มีความสำคัญเลยสำหรับเรา เนื่องจากตัวตนของเราไม่ทนยอมรับการถูกทำให้ขุ่นเคืองโดยใครก็ตาม นี่คือเหตุผลที่กล่าวกันว่าเราคือสิงโต ใครก็ตามที่เราสัมผัส เราจะกำราบ นั่นคือเหตุผลที่กล่าวกันว่า ตอนนี้ถือเป็นการหมิ่นประมาทหากจะพูดว่าเราคือพระเจ้าแห่งความเมตตาสงสารและความรักมั่นคง ในแก่นแท้แล้ว เราไม่ใช่แกะ แต่เป็นสิงโต ไม่มีใครเลยกล้าที่จะทำให้เราขุ่นเคือง ใครก็ตามที่ทำให้เราขุ่นเคือง เราจะลงโทษด้วยความตาย ทันทีและโดยปราศจากความปรานี

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 120

267. เสียงของเราคือการพิพากษาและความโกรธเคือง เราไม่ปฏิบัติอย่างอ่อนโยนต่อผู้ใดและไม่แสดงความปรานีต่อผู้ใด เพราะเราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ชอบธรรม และเราถูกครอบงำด้วยความโกรธเคือง เราถูกครอบงำด้วยการเผาไหม้ การชำระให้สะอาด และการทำลายล้าง ภายในเรานั้นไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้นหรือใช้อารมณ์ แต่ในทางตรงกันข้าม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปิดเผย ชอบธรรม และไม่ลำเอียง เนื่องจากบรรดาบุตรหัวปีของเราอยู่กับเราบนบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว โดยปกครองชนชาติทั้งปวงกับกลุ่มชนทั้งหมด บัดนี้สิ่งต่างๆ กับผู้คนที่ไม่เที่ยงธรรมและไม่ชอบธรรมเหล่านั้นกำลังเริ่มถูกพิพากษา เราจะไต่สวนพวกเขาทีละคน โดยไม่พลาดสิ่งใดและเผยพวกเขาอย่างครบบริบูรณ์ เนื่องจากการพิพากษาของเราได้เผยอย่างเต็มที่และเปิดกว้างอย่างเต็มที่ และเราไม่ได้ปิดบังสิ่งใดไว้เลย เราจึงจะโยนทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่สอดคล้องกับเจตจำนงของเราทิ้ง และให้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นพินาศอยู่ในบาดาลลึกจนชั่วนิรันดร์ ที่นั่นเราจะอนุญาตให้ทุกสิ่งทุกอย่างเผาไหม้ไปตลอดกาล นี่คือความชอบธรรมของเรา และนี่คือความเที่ยงตรงของเรา ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงการนี้ได้ และทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้การบัญชาของเรา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 103

268. ทุกประโยคที่เราเปล่งออกไปมีสิทธิอำนาจและการพิพากษา และไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงวจนะของเราได้ ทันทีที่วจนะของเราถูกส่งออกไป สิ่งทั้งหลายถูกทำให้สำเร็จลุล่วงโดยสอดคล้องกับวจนะของเราอย่างแน่นอน นี่คืออุปนิสัยของเรา วจนะของเราคือสิทธิอำนาจและใครก็ตามที่แก้ไขวจนะเหล่านี้ก็ทำให้การตีสอนของเราขุ่นเคือง และเราต้องบดขยี้พวกเขาจนคว่ำลงไป ในกรณีที่รุนแรงพวกเขานำพาความล่มสลายมาสู่ชีวิตของพวกเขาเองและพวกเขาก็ไปสู่แดนคนตาย หรือไปสู่บาดาลลึก นี่คือวิธีเดียวเท่านั้นที่เราใช้จัดการกับมวลมนุษย์ และมนุษย์ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนมันได้—นี่คือประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา จงจำการนี้ไว้! ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ทำให้ประกาศกฤษฎีกาของเราขุ่นเคือง สิ่งทั้งหลายต้องกระทำให้สอดคล้องกับเจตจำนงของเรา! ในอดีต เราเมตตาพวกเจ้ามากเกินไปและเจ้าเผชิญกับวจนะของเราเท่านั้น วจนะที่เรากล่าวเกี่ยวกับการบดขยี้ผู้คนจนคว่ำลงไปยังไม่ได้เกิดขึ้น แต่นับจากวันนี้ไป ความวิบัติทั้งหมด (ความวิบัติเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา) จะมาถึงทีละอย่างทีละอย่างเพื่อลงโทษพวกคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ไม่สอดคล้องกับเจตจำนงของเรา ต้องมีการกำเนิดขึ้นของข้อเท็จจริงทั้งหลาย—หาไม่แล้วผู้คนก็คงจะไม่สามารถมองเห็นความโกรธกริ้วของเราแต่ก็คงจะพาตัวเองให้กระทำชั่วครั้งแล้วครั้งเล่า นี่คือขั้นตอนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการของเรา และเป็นวิธีที่เราใช้กระทำขั้นตอนถัดไปของงานของเรา เรากล่าวการนี้ต่อพวกเจ้าล่วงหน้าเพื่อที่ว่าพวกเจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงการทำให้ขุ่นเคืองและการทนทุกข์กับความพินาศไปตลอดกาล นั่นกล่าวได้ว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป เราจะทำให้ผู้คนทั้งปวงยกเว้นบรรดาบุตรหัวปีของเราอยู่ในที่ที่เหมาะสมของพวกเขาโดยสอดคล้องกับเจตจำนงของเรา และเราจะตีสอนพวกเขาทีละคน เราจะไม่ปล่อยให้แม้กระทั่งพวกเขาคนหนึ่งคนใดรอดไปได้ เพียงแค่พวกเจ้ากล้ากระทำชั่วอีกครั้ง! เพียงแค่พวกเจ้ากล้าเป็นกบฏอีกครั้ง! เราได้กล่าวมาก่อนแล้วว่าเราชอบธรรมต่อคนทั้งปวง ว่าเราไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของอารมณ์ความรู้สึก และการนี้ทำหน้าที่เพื่อแสดงให้เห็นว่าอุปนิสัยของเราต้องไม่ถูกทำให้ขุ่นเคือง นี่คือสภาวะบุคคลของเรา ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงการนี้ได้ ผู้คนทั้งปวงได้ยินวจนะของเราและผู้คนทั้งปวงเห็นโฉมหน้าอันเปี่ยมสง่าราศีของเรา ผู้คนทั้งปวงต้องเชื่อฟังเราอย่างสมบูรณ์และอย่างแน่นอน—นี่คือประกาศกฤษฎีการบริหารของเรา ผู้คนทั้งปวงทั่วทั้งจักรวาลและที่สุดปลายแผ่นดินโลกควรสรรเสริญและถวายเกียรติแด่เรา ด้วยว่าเราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ เพราะเราเป็นสภาวะบุคคลของพระเจ้า ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงวจนะและถ้อยคำของเรา วาทะและท่าทางของเราได้ ด้วยว่าเหล่านี้เป็นเรื่องสำหรับเราเพียงผู้เดียว และเหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่เราได้ครองจากช่วงเวลาโบราณกาลที่สุด และจะดำรงอยู่ไปตลอดกาล

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 100

269. ทั้งหมดย่อมจะสำเร็จลุล่วงโดยวจนะของเรา ไม่มีมนุษย์คนใดอาจมีส่วนร่วม และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำงานที่เราจะดำเนินการ เราจะเช็ดอากาศของแผ่นดินทั้งหมดจนสะอาดและกำจัดร่องรอยทั้งหมดของพวกมารบนแผ่นดินโลก เราได้เริ่มต้นแล้ว และเราจะตั้งต้นขั้นตอนแรกของงานแห่งการตีสอนของเราในที่อาศัยของพญานาคใหญ่สีแดง ด้วยเหตุนั้น จะเห็นได้ว่าการตีสอนของเราได้บังเกิดแก่ทั่วทั้งจักรวาล และจะเห็นได้ว่าพญานาคใหญ่สีแดงกับพวกวิญญาณที่มีมลทินทุกประเภทจะไม่มีพลังอำนาจที่จะหลีกหนีจากการตีสอนของเรา เพราะเราเฝ้ามองแผ่นดินทั้งหมด เมื่องานของเราบนแผ่นดินโลกเสร็จสิ้น นั่นคือ เมื่อยุคสมัยแห่งการพิพากษามาถึงบทอวสาน เราจะตีสอนพญานาคใหญ่สีแดงอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ผู้คนของเราจะได้เห็นการที่เราตีสอนพญานาคใหญ่สีแดงด้วยความชอบธรรมอย่างแน่นอน พวกเขาจะรินการสรรเสริญออกมาเพราะความชอบธรรมของเราอย่างแน่นอน และจะถวายสาธุการนามอันบริสุทธิ์ของเราตลอดกาลอย่างแน่นอนเพราะความชอบธรรมของเรา ด้วยเหตุนี้ พวกเจ้าย่อมจะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าอย่างเป็นทางการ และย่อมจะสรรเสริญเราอย่างเป็นทางการทั่วทั้งแผ่นดินต่างๆ ตลอดชั่วกาลนาน!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 28

270. บัดนี้เป็นเวลาที่เรากำหนดพิจารณาบทอวสานสำหรับแต่ละบุคคล ไม่ใช่ช่วงระยะซึ่งเราเริ่มทำงานกับมนุษย์ เราจดบันทึกคำพูดและการกระทำทั้งหลายของแต่ละบุคคล เส้นทางซึ่งพวกเขาได้ติดตามเรามา คุณลักษณะเฉพาะโดยกำเนิดของพวกเขา และวิธีที่พวกเขาประพฤติตนในท้ายที่สุด ลงในสมุดบันทึกของเราทีละคน เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นบุคคลประเภทใด ย่อมไม่มีใครจะหลบพ้นมือของเรา และทุกคนจะรวมอยู่กับบุคคลประเภทเดียวกันตามที่เราจัดให้ เราตัดสินใจเรื่องบั้นปลายของแต่ละบุคคลโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอายุ ความอาวุโส ปริมาณความทุกข์ และที่น้อยที่สุดคือ ระดับความชวนสังเวชของพวกเขา แต่เป็นไปโดยสอดคล้องกับการที่ว่า พวกเขาครองความจริงหรือไม่ ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้ พวกเจ้าจำต้องตระหนักว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะถูกลงโทษด้วยเช่นกัน นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ถูกลงโทษได้ถูกทำการลงโทษไปเช่นนั้นก็เพื่อความชอบธรรมของพระเจ้า และเป็นการลงทัณฑ์อันสาสมแล้วกับการกระทำชั่วอันนับไม่ถ้วนของพวกเขา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า

271. หากเจ้าได้อยู่ในความเชื่อมาเป็นเวลาหลายปีและได้สมาคมกับเรามานานแล้ว แต่ก็ยังคงอยู่ห่างจากเรา เช่นนั้นแล้วเราย่อมพูดว่า มันจะต้องเป็นว่าเจ้ากระทำให้ขุ่นเคืองต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้าบ่อยๆ และปลายทางของเจ้าจะพิจารณาได้ยากมาก หากเวลาหลายปีในการสมาคมกับเราไม่ได้เพียงล้มเหลวในการเปลี่ยนเจ้าให้เป็นบุคคลคนหนึ่งซึ่งมีสภาวะความเป็นมนุษย์และความจริงเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ได้ฝังหนทางอันชั่วร้ายของเจ้าแน่นอยู่ในธรรมชาติของเจ้า และเจ้าไม่เพียงมีความโอหังเป็นสองเท่าของก่อนหน้านี้เท่านั้น แต่ความเข้าใจผิดต่างๆ ของเจ้าเกี่ยวกับเรายังได้ทวีคูณด้วยเช่นกัน ถึงขั้นที่ว่าเจ้ามาคำนึงถึงเราว่าเป็นผู้ช่วยตัวน้อยของเจ้า เช่นนั้นแล้วเราก็ย่อมพูดว่าความทุกข์ร้อนของเจ้าไม่ได้อยู่เพียงแค่ผิว อีกต่อไปแล้ว แต่กลับได้เจาะเข้าไปถึงกระดูกที่แท้จริงของเจ้าแล้ว ทั้งหมดที่เหลืออยู่ก็เพื่อให้เจ้าได้รอที่จะจัดการเตรียมงานศพของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอ้อนวอนเราให้เป็นพระเจ้าของเจ้า ด้วยเหตุที่เจ้าได้กระทำบาปอย่างหนึ่งซึ่งสมควรแก่ความตาย บาปอันไม่สามารถยกโทษให้ได้ ต่อให้เราอาจปรานีต่อเจ้า พระเจ้าบนสวรรค์จะทรงยืนกรานที่จะเอาชีวิตเจ้า ด้วยเหตุที่การกระทำให้ขุ่นเคืองของพวกเจ้าต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นไม่ใช่ปัญหาธรรมดา แต่เป็นปัญหาซึ่งมีลักษณะร้ายแรงมาก เมื่อเวลานั้นมาถึง จงอย่าตำหนิเราที่ไม่ได้บอกเจ้าก่อนล่วงหน้า ทุกอย่างจะกลับมาสู่จุดนี้: เมื่อเจ้าสมาคมกับพระคริสต์—พระเจ้าบนแผ่นดินโลก—ในฐานะสามัญชนคนหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าองค์นี้ไม่ใช่อะไรนอกจากบุคคลคนหนึ่ง เมื่อนั้นก็เป็นเวลาที่เจ้าจะพินาศ นี่คือการตักเตือนเพียงครั้งเดียวของเราต่อเจ้าทุกคน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักพระเจ้าบนแผ่นดินโลก

272. ความปรานีของเรานั้นแสดงออกต่อบรรดาผู้ที่รักเราและปฏิเสธตัวพวกเขาเอง ในขณะเดียวกัน การลงโทษที่ได้ไปเยือนคนเลว ก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงอุปนิสัยที่ชอบธรรมของเราอย่างชัดเจน และยิ่งไปกว่านั้นคือ พิสูจน์คำพยานแห่งความโกรธเคืองของเรา เมื่อความวิบัติมาเยือน ทุกคนที่ต่อต้านเราจะวิปโยคร่ำไห้ในขณะที่พวกเขาตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของการกันดารอาหารและภัยพิบัติ บรรดาผู้ที่ได้กระทำความเลวในทุกลักษณะ เว้นแต่ผู้ที่ได้ติดตามเรามาเป็นเวลาหลายปี จะไม่มีทางหลบพ้นการชำระชดใช้ให้กับบาปของตน พวกเขาอีกเช่นกัน ที่จะดิ่งพรวดลงสู่ความวิบัติ ในแบบที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นกันในตลอดระยะเวลาหลายล้านปี และพวกเขาจะดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะแห่งความอกสั่นขวัญผวาและหวาดกลัวตลอดเวลา และบรรดาผู้ติดตามของเราทั้งหลายที่ได้แสดงความจงรักภักดีต่อเราจะชื่นบานและปรบมือให้กับอิทธิฤทธิ์ของเรา พวกเขาจะผ่านประสบการณ์กับความพอใจอันเกินพรรณนา และดำรงชีวิตท่ามกลางความชื่นบานยินดีอย่างที่เราไม่เคยมอบให้มวลมนุษย์ เพราะเราถนอมความล้ำค่าของความประพฤติที่ดีงามของมนุษย์และชิงชังความประพฤติชั่วของพวกเขา ตั้งแต่เมื่อเราเริ่มต้นนำทางมวลมนุษย์ เรามุ่งหวังอย่างใจจดใจจ่อมาตลอดว่าจะได้รับผู้คนสักกลุ่มที่มีจิตใจเดียวกับเรา ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้ที่ไม่ได้มีจิตใจเดียวกับเรานั้น เราก็ไม่เคยลืม เราเกลียดพวกเขาในหัวใจของเราเสมอ รอคอยโอกาสที่จะนำพาการลงทัณฑ์อันสาสมมาสู่พวกเขา อันเป็นสิ่งซึ่งเราจะเพลิดเพลินที่ได้เห็น บัดนี้วันของเราได้มาถึงแล้วในที่สุด และเราไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไปแล้ว!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า

273. เราจะแก้ไขความไม่เป็นธรรมของโลกมนุษย์ เราจะทำงานของเราด้วยมือของเราเองทั่วทั้งโลก โดยห้ามซาตานทำร้ายประชากรของเราอีก ห้ามศัตรูทำสิ่งใดตามอำเภอใจพวกเขาอีก เราจะกลายเป็นกษัตริย์บนแผ่นดินโลกและย้ายบัลลังก์ของเราไปที่นั่น ทำให้ศัตรูของเราทั้งหมดล้มลงกับพื้นดินและสารภาพความผิดของพวกเขาเบื้องหน้าเรา ในความเศร้าใจของเรา ความโกรธถูกผสมผสานเข้าไป เราจะเหยียบย่ำทั้งจักรวาลให้แบนราบ โดยไม่ละเว้นผู้ใด และบดขยี้ความหวาดกลัวเข้าใส่หัวใจของศัตรูของเรา เราจะทำให้ทั้งแผ่นดินโลกย่อยยับเป็นซากปรักหักพัง และทำให้ศัตรูของเราตกลงไปในซากปรักหักพังนั้น เพื่อที่จากนี้ไปพวกเขาจะไม่อาจทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอีกต่อไป แผนการของเราถูกกำหนดลงตัวแล้ว และไม่มีผู้ใดต้องเปลี่ยนแปลงมันไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร เมื่อเราท่องไปเหนือจักรวาลในงานพิธีอันเอิกเกริกและเปี่ยมบารมี มนุษย์ทั้งปวงจะถูกทำให้ใหม่ และทุกสิ่งทุกอย่างจะได้รับการฟื้นฟู มนุษย์จะไม่ร่ำไห้อีกต่อไป จะไม่ร้องเรียกเราให้ช่วยเหลืออีกต่อไป เมื่อนั้นหัวใจของเราจะชื่นบาน และผู้คนจะกลับมาเฉลิมฉลองให้กับเรา ทั้งจักรวาล จากเบื้องบนจรดเบื้องล่าง จะรื่นเริงด้วยความยินดีปรีดา…

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 27

274. ศิโยน! จงชื่นบาน! ศิโยน! จงขับร้องออกมา! เราได้หวนคืนด้วยความมีชัย เราได้หวนคืนอย่างได้รับชัยชนะ! กลุ่มชนทั้งผอง! จงรีบเข้าแถวเป็นลำดับเถิด! ทุกสรรพสิ่งแห่งการสร้างโลก! บัดนี้จงมาหยุดเถิด เพราะภาวะบุคคลของเราเผชิญหน้ากับทั้งจักรวาลและปรากฏในทิศตะวันออกของโลก! ใครเล่ากล้าที่จะไม่คุกเข่าในการนมัสการ? ใครเล่ากล้าที่จะไม่เรียกเราว่าพระเจ้าเที่ยงแท้? ใครเล่ากล้าที่จะไม่มองด้วยความเคารพ? ใครเล่ากล้าที่จะไม่ให้การสรรเสริญ? ใครเล่ากล้าที่จะไม่ชื่นบาน? ประชากรของเราจะได้ยินเสียงของเรา และบุตรทั้งหลายของเราจะรอดชีวิตในราชอาณาจักรของเรา! ภูเขา แม่น้ำ และทุกสรรพสิ่งจะเปล่งเสียงไชโยอย่างมิรู้จบสิ้น และกระโดดโลดเต้นโดยไม่หยุดหย่อน ณ เวลานี้ ไม่มีผู้ใดเลยจะกล้าถอยกลับ และไม่มีผู้ใดเลยที่กล้าลุกขึ้นเพื่อต้านทาน นี่คือกิจการอันน่าอัศจรรย์ของเรา และยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า นั่นคือฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเรา! เราจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเคารพเราในหัวใจของมัน และนอกเหนือจากการนี้อีกก็คือ เราจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างสรรเสริญเรา! นี่คือจุดมุ่งหมายท้ายที่สุดของแผนการบริหารจัดการแห่งหกพันปีของเรา และมันคือสิ่งที่เราได้ลิขิตไว้แล้ว ไม่มีบุคคลสักคนเดียวหรือวัตถุสักสิ่งเดียวหรือเหตุการณ์สักเหตุการณ์เดียวกล้าที่จะลุกขึ้นเพื่อต้านทานเราหรือต่อต้านเรา ประชากรทั้งหมดของเราจะหลั่งไหลไปยังภูเขาของเรา (กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พิภพที่เราจะสร้างในภายหลัง) และพวกเขาจะนบนอบต่อหน้าเรา เพราะเรามีบารมีและการพิพากษา และเราถือสิทธิอำนาจ (การนี้อ้างอิงถึงตอนที่เราอยู่ในร่างกาย เรายังมีสิทธิอำนาจในเนื้อหนังด้วยเช่นกัน แต่เพราะข้อจำกัดทั้งหลายของเวลาและพื้นที่ไม่สามารถที่จะก้าวข้ามได้เมื่ออยู่ในเนื้อหนัง จึงไม่สามารถกล่าวได้ว่าเราได้มาซึ่งสง่าราศีอันครบบริบูรณ์แล้ว ถึงแม้ว่าเราได้รับบุตรหัวปีทั้งหลายในเนื้อหนัง ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่าเราได้รับสง่าราศีแล้ว เป็นเพียงเมื่อเราหวนคืนสู่ศิโยนและเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเราแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถกล่าวได้ว่าเราถือสิทธิอำนาจ—นั่นคือ กล่าวได้ว่าเราได้มาซึ่งสง่าราศีแล้ว) ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะยากสำหรับเรา โดยวจนะจากปากของเรา ทั้งหมดจะถูกทำลาย และโดยวจนะจากปากของเรา ทั้งหมดจะมาดำรงอยู่และได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ เช่นนั้นคือฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเราและเช่นนั้นคือสิทธิอำนาจของเรา เพราะเราเต็มไปด้วยฤทธานุภาพและเต็มอิ่มไปด้วยสิทธิอำนาจ ไม่มีบุคคลใดจะสามารถกล้าเป็นอุปสรรคต่อเรา เราได้มีชัยเหนือทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว และเราได้ชัยชนะเหนือบุตรทั้งปวงแห่งการกบฏแล้ว

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 120

275. พระเจ้าได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาได้ถูกทำให้เสื่อมทรามหรือไม่หรือว่าพวกเขาติดตามพระองค์หรือไม่ พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์ในฐานะที่เป็นผู้ที่พระองค์ทรงรักทรงทะนุถนอมที่สุด—หรืออย่างที่มนุษย์จะพูดว่าผู้คนที่เป็นที่รักที่สุดของพระองค์—และไม่ใช่ของเล่นของพระองค์ แม้ว่าพระเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง และว่ามนุษย์คือสิ่งทรงสร้างของพระองค์ ซึ่งอาจฟังคล้ายกับว่ามีความแตกต่างเล็กน้อยในระดับตำแหน่ง แต่ความเป็นจริงก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำเพื่อมวลมนุษย์เหนือล้ำกว่าสัมพันธภาพในลักษณะนี้มากนัก พระเจ้าทรงรักมวลมนุษย์ ใส่พระทัยมวลมนุษย์ และทรงแสดงความห่วงใยต่อมวลมนุษย์ ตลอดจนการจัดเตรียมให้มนุษย์อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดหย่อน พระองค์ไม่มีวันทรงรู้สึกในพระทัยของพระองค์ว่านี่เป็นพระราชกิจเพิ่มเติม หรือบางสิ่งที่สมควรได้รับความเชื่อถือมากมาย พระองค์ไม่ทรงรู้สึกว่าการช่วยมนุษยชาติให้รอด การหล่อเลี้ยงพวกเขา และการประทานทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกเขา เป็นการมีส่วนร่วมสนับสนุนมวลมนุษย์อย่างมหาศาล พระองค์เพียงทรงจัดเตรียมให้มวลมนุษย์อย่างเงียบๆ และสงบ ด้วยวิธีของพระองค์เองและโดยผ่านทางแก่นแท้ของพระองค์เอง และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ไม่สำคัญว่ามวลมนุษย์ได้รับการจัดเตรียมมากเพียงใด และความช่วยเหลือมากเพียงใดจากพระองค์ พระเจ้าก็ไม่มีวันทรงนึกถึงหรือทรงพยายามที่จะได้รับความเชื่อถือ การนี้ถูกกำหนดโดยแก่นแท้ของพระเจ้า และยังเป็นการแสดงออกที่แท้จริงถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างแม่นยำอีกด้วย

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1

276. พระเจ้าได้ทรงสู้ทนกับค่ำคืนที่ไม่ได้หลับมากมายหลายคืนเพื่อประโยชน์แห่งงานของมวลมนุษย์ จากที่สูงถึงส่วนลึกต่ำสุด พระองค์ได้เสด็จลงสู่นรกที่มีชีวิตซึ่งมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่เพื่อผ่านวันเวลาของพระองค์ไปกับมนุษย์ พระองค์ไม่เคยได้ทรงพร่ำบ่นถึงความโกโรโกโสท่ามกลางมนุษย์ และพระองค์ไม่เคยได้ทรงตำหนิมนุษย์สำหรับการไม่เชื่อฟังของเขา แต่ทรงสู้ทนความอัปยศอดสูอันยิ่งใหญ่ที่สุดขณะที่พระองค์ทรงดำเนินงานของพระองค์ด้วยพระองค์เองจนเสร็จสิ้น พระเจ้าจะทรงสามารถเป็นส่วนหนึ่งของนรกได้อย่างไร? พระองค์จะทรงสามารถใช้ชีวิตของพระองค์ในนรกได้อย่างไร? แต่เพื่อประโยชน์แห่งมวลมนุษย์ทั้งปวง เพื่อที่มวลมนุษย์ทั้งหมดจะสามารถพบกับการหยุดพักได้เร็วขึ้น พระองค์ได้ทรงสู้ทนความอัปยศอดสูและทรงทนทุกข์กับความไม่ยุติธรรมเพื่อเสด็จมายังแผ่นดินโลก และได้เสด็จเข้าสู่ “นรก” กับ “แดนคนตาย” เข้าสู่ถ้ำเสือ ด้วยพระองค์เอง เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด มนุษย์มีคุณสมบัติที่จะต่อต้านพระเจ้าอย่างไร? เขามีเหตุผลใดที่จะพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า? เขาสามารถกล้าที่จะเพ่งมองพระเจ้าได้อย่างไร? พระเจ้าแห่งสวรรค์ได้เสด็จมายังแผ่นดินแห่งความชั่วช้าที่โสโครกที่สุดแห่งนี้ และไม่เคยได้ทรงระบายความคับข้องพระทัยของพระองค์หรือพร่ำบ่นเกี่ยวกับมนุษย์ แต่กลับทรงยอมรับการย่ำยีทั้งหลาย[1] และการกดขี่ของมนุษย์อย่างเงียบๆ แทน พระองค์ไม่เคยทรงตอบโต้ข้อเรียกร้องที่ไร้เหตุผลของมนุษย์ พระองค์ไม่เคยทรงทำการเรียกร้องมากเกินไปกับมนุษย์ และพระองค์ไม่เคยทรงกำหนดข้อเรียกร้องที่ไร้เหตุผลให้กับมนุษย์ พระองค์เพียงทรงพระราชกิจทั้งหมดที่มนุษย์พึงต้องใช้โดยไม่ทรงพร่ำบ่น ได้แก่ การสอน การให้ความรู้แจ้ง การตำหนิ กระบวนการถลุงวาจา การเตือนจำ การเตือนสติ การปลอบโยน การพิพากษา และการเปิดเผย ขั้นตอนใดของพระองค์หรือที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อชีวิตของมนุษย์? ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงลบความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้และชะตากรรมของมนุษย์ออกไป แต่ขั้นตอนใดที่พระเจ้าได้ทรงดำเนินการจนเสร็จสิ้นแล้วนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งชะตากรรมของมนุษย์หรือ? ขั้นตอนใดหรือที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งการอยู่รอดของมนุษย์? ขั้นตอนใดหรือที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากความทุกข์นี้ และจากการกดขี่ของพลังมืดที่ดำเหมือนกลางคืน? ขั้นตอนใดหรือที่ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของมนุษย์? ผู้ใดสามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้าได้ ซึ่งเป็นเสมือนหัวใจของแม่ที่รักใคร่? ผู้ใดสามารถจับใจความพระทัยที่แรงกล้าของพระเจ้าได้?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (9)

277. เมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นของโลก และพระองค์ไม่ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อชื่นชมโลก สถานที่ที่การทรงพระราชกิจจะเผยพระอุปนิสัยของพระองค์และมีความหมายมากที่สุดคือสถานที่ที่พระองค์ประสูติ ไม่ว่าแผ่นดินนั้นจะบริสุทธิ์หรือสกปรกโสมม และไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงพระราชกิจที่ใดก็ตาม แต่พระองค์ก็ทรงบริสุทธิ์ พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างในโลก แม้ว่าทั้งหมดนั้นได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้วก็ตาม กระนั้น ทุกสรรพสิ่งยังคงเป็นของพระองค์ สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์เสด็จมาแผ่นดินที่สกปรกโสมมและทรงพระราชกิจที่นั่นเพื่อเผยความบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์ทรงทำสิ่งนี้เพื่อประโยชน์ของพระราชกิจของพระองค์ ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงสู้ทนการเหยียดหยามที่ยิ่งใหญ่เพื่อทรงพระราชกิจดังกล่าวเพื่อที่จะช่วยผู้คนแห่งแผ่นดินที่สกปรกโสมมนี้ให้รอด การนี้ได้กระทำไปเพื่อเป็นพยาน เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ทั้งหมด สิ่งที่พระราชกิจดังกล่าวแสดงให้ผู้คนเห็นคือความชอบธรรมของพระเจ้า และสามารถแสดงถึงมไหศวรรย์ของพระเจ้าได้ดีขึ้น ความยิ่งใหญ่และความซื่อตรงของพระองค์ได้รับการสำแดงในความรอดของกลุ่มคนต่ำต้อยที่ผู้อื่นดูถูก การเกิดในแผ่นดินที่สกปรกโสมมไม่ได้พิสูจน์แต่อย่างใดเลยว่าพระองค์ทรงต่ำต้อย นั่นเพียงทำให้สรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดสามารถมองเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์และความรักที่แท้จริงที่พระองค์ทรงมีให้กับมวลมนุษย์เท่านั้น ยิ่งพระองค์ทรงทำเช่นนั้นมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งเผยความรักที่บริสุทธิ์ของพระองค์ ความรักที่ไร้จุดบกพร่องที่พระองค์ทรงมีให้กับมนุษย์ออกมามากยิ่งขึ้นเท่านั้น พระเจ้าทรงบริสุทธิ์และชอบธรรม ถึงแม้ว่าพระองค์ประสูติในแผ่นดินที่สกปรกโสมม และถึงแม้ว่าพระองค์ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับบรรดาผู้คนที่เต็มไปด้วยความสกปรกโสมมเช่นเดียวกับพระเยซูที่ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับคนบาปในยุคพระคุณ แต่ทุกๆ เศษเสี้ยวของพระราชกิจของพระองค์ไม่ได้ดำเนินการเพื่อประโยชน์ของการมีชีวิตรอดของมวลมนุษย์ทั้งหมดหรอกหรือ? ทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อให้มวลมนุษย์สามารถได้รับความรอดที่ยิ่งใหญ่หรอกหรือ? สองพันปีก่อน พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับคนบาปเป็นเวลาหลายปี นั่นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการไถ่ วันนี้ พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับกลุ่มคนที่สกปรกโสมมและต่ำต้อย นี่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของความรอด พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของพวกมนุษย์อย่างพวกเจ้าหรอกหรือ? หากไม่ใช่เพื่อการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดแล้ว เหตุใดพระองค์จึงได้ดำรงพระชนม์ชีพและทนทุกข์กับคนบาปเป็นเวลาหลายปีหลังจากที่ประสูติในรางหญ้าเล่า? และหากไม่ใช่เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดแล้ว เหตุใดพระองค์จึงเสด็จกลับมาหามนุษย์เป็นครั้งที่สอง ประสูติในแผ่นดินนี้ที่เหล่าปีศาจรวมตัวกัน และดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับผู้คนเหล่านี้ที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้ง? พระเจ้ามิได้ทรงสัตย์ซื่อหรอกหรือ? ส่วนใดในพระราชกิจของพระองค์ที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อมวลมนุษย์? ส่วนใดไม่ได้เป็นไปเพื่อลิขิตชีวิตของพวกเจ้า? พระเจ้าทรงบริสุทธิ์—สิ่งนี้มิอาจเปลี่ยนแปลงได้! พระองค์ไม่ทรงเปรอะเปื้อนไปด้วยความสกปรกโสมม แม้ว่าพระองค์ได้เสด็จมายังแผ่นดินที่สกปรกโสมมก็ตาม ทั้งหมดนี้สามารถมีความหมายได้เพียงอย่างเดียวว่าความรักที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์นั้นไม่เห็นแก่พระองค์เองอย่างที่สุด และความทุกข์และการดูหมิ่นเหยียดหยามที่พระองค์ทรงสู้ทนช่างยิ่งใหญ่อย่างที่สุด! พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าการดูหมิ่นเหยียดหยามที่พระองค์ทรงทนทุกข์เพื่อพวกเจ้าทั้งหมดและเพื่อลิขิตชีวิตของพวกเจ้านั้นใหญ่หลวงเพียงใด? แทนที่จะช่วยผู้คนที่ยิ่งใหญ่หรือบุตรของครอบครัวที่ร่ำรวยและมีอำนาจให้รอด พระองค์ตั้งพระทัยที่จะช่วยพวกที่ต่ำต้อยและโดนดูถูกแทน ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ของพระองค์หรือ? ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความชอบธรรมของพระองค์หรือ? เพื่อประโยชน์ของการมีชีวิตรอดของมวลมนุษย์ทั้งหมดแล้วนั้น พระองค์ทรงยินดีที่จะประสูติในแผ่นดินที่สกปรกโสมมและทนทุกข์กับทุกๆ การดูหมิ่นเหยียดหยาม พระเจ้าทรงแท้จริงยิ่งนัก—พระองค์ไม่ทรงพระราชกิจที่เท็จ ทุกๆ ช่วงระยะของพระราชกิจไม่ได้กระทำไปในวิธีที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเช่นนั้นหรอกหรือ? ถึงแม้ว่าผู้คนทั้งหมดใส่ร้ายพระองค์และกล่าวว่าพระองค์ประทับนั่งร่วมโต๊ะกับคนบาป ถึงแม้ว่าผู้คนทั้งหมดเย้ยหยันพระองค์และพูดว่าพระองค์ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับบุตรของความสกปรกโสมม ว่าพระองค์ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับผู้คนที่ต่ำต้อยที่สุด แต่พระองค์ยังคงอุทิศพระองค์เองอย่างไม่เห็นแก่พระองค์เอง และด้วยเหตุนี้พระองค์จึงยังคงทรงถูกปฏิเสธท่ามกลางมวลมนุษย์ ความทุกข์ที่พระองค์ทรงสู้ทนไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่าของพวกเจ้าหรอกหรือ? พระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำไม่ได้มากกว่าราคาที่พวกเจ้าได้จ่ายไปหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นัยสำคัญของการช่วยพงศ์พันธุ์ของโมอับให้รอด

278. พระเจ้าได้ถ่อมพระทัยพระองค์เองจนถึงระดับที่พระองค์ทรงพระราชกิจอยู่ในผู้คนที่โสมมและเสื่อมทรามเหล่านี้ และทรงทำให้ผู้คนกลุ่มนี้มีความเพียบพร้อม พระเจ้าไม่เพียงแค่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อดำรงชีวิตและกินอยู่ท่ามกลางผู้คน เพื่อเป็นผู้เลี้ยงให้กับผู้คน และเพื่อจัดเตรียมสิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องมี ที่สำคัญกว่านั้นคือพระองค์ทรงพระราชกิจอันทรงฤทธิ์แห่งความรอดและการพิชิตชัยของพระองค์กับผู้คนที่เสื่อมทรามจนถึงขั้นมิอาจทนได้เหล่านี้ พระองค์ได้ทรงมาที่หัวใจของพญานาคใหญ่สีแดงเพื่อช่วยผู้คนที่เสื่อมทรามที่สุดเหล่านี้ให้รอด เพื่อที่ผู้คนทั้งหมดอาจถูกเปลี่ยนแปลงและทำให้ใหม่ได้ ความยากลำบากมหึมาที่พระเจ้าทรงสู้ทนไม่ใช่เพียงแค่ความยากลำบากที่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงสู้ทนเท่านั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันคือการที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงทนทุกข์กับการดูหมิ่นเหยียดหยามอันสุดขั้ว—พระองค์ถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้นพระองค์เองมากเสียจนพระองค์ทรงกลายเป็นบุคคลธรรมดาสามัญผู้หนึ่ง พระเจ้าได้ทรงจุติเป็นมนุษย์และได้ทรงรูปทรงของเนื้อหนังเพื่อให้ผู้คนมองเห็นว่าพระองค์ทรงมีชีวิตมนุษย์ที่เป็นปกติและมีความจำเป็นทั้งหลายของมนุษย์ปกติ นี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าพระเจ้าถ่อมพระองค์เองลงในขอบข่ายที่ใหญ่ยิ่ง พระวิญญาณของพระเจ้าทรงได้รับการทำให้เป็นจริงในเนื้อหนัง พระวิญญาณของพระองค์ทรงสูงส่งและยิ่งใหญ่ยิ่งนัก แต่ทว่าพระองค์กลับยังทรงรูปทรงของมนุษย์ทั่วไป รูปทรงของมนุษย์ที่ถูกละเลยมองข้ามได้คนหนึ่ง เพื่อที่จะทรงพระราชกิจของพระวิญญาณของพระองค์ ขีดความสามารถ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก สำนึกรับรู้ สภาวะความเป็นมนุษย์ และชีวิตของพวกเจ้าแต่ละคนแสดงให้เห็นว่าพวกเจ้าไม่ควรค่าจริงๆ ที่จะรับพระราชกิจประเภทนี้ของพระเจ้า พวกเจ้าไม่ควรค่าจริงๆ ที่จะปล่อยให้พระเจ้าสู้ทนความยากลำบากเช่นนี้เพื่อประโยชน์ของเจ้า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหลือเกิน พระองค์ทรงสูงสุดเหลือเกิน และผู้คนก็ต่ำต้อยเหลือเกิน ถึงกระนั้น พระองค์ก็ยังคงทรงพระราชกิจกับพวกเขา พระองค์ไม่เพียงแค่ได้ทรงจุติเป็นมนุษย์เพื่อทรงจัดเตรียมให้ผู้คน เพื่อตรัสกับผู้คน แต่พระองค์ยังถึงกับทรงใช้ชีวิตร่วมกับผู้คน พระเจ้าถ่อมพระทัยเหลือเกิน ทรงควรค่าที่จะรักเหลือเกิน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะบรรดาผู้มุ่งเน้นการปฏิบัติเท่านั้นที่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้

279. ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำสัมพันธ์กับชีวิตจริง และไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ทรงทำว่างเปล่า และพระองค์ทรงได้รับประสบการณ์กับสิ่งนั้นทั้งหมดด้วยพระองค์เอง พระเจ้าทรงจ่ายราคาของประสบการณ์ของพระองค์เองเกี่ยวกับความทุกข์โดยแลกกับบั้นปลายของมนุษยชาติ นี่ไม่ใช่พระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรอกหรือ? บิดามารดาอาจจ่ายราคาที่จริงจังจริงใจเพื่อประโยชน์ของลูกหลานของพวกเขา และนี่เป็นตัวแทนของความจริงใจของพวกเขา ในการทรงทำการนี้ แน่นอนว่าพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงจริงใจและสัตย์ซื่อที่สุดต่อมวลมนุษย์ เนื้อแท้ของพระเจ้านั้นสัตย์ซื่อ พระองค์ทรงทำสิ่งที่พระองค์ตรัส และสิ่งใดก็ตามที่พระองค์ทรงทำนั้นสัมฤทธิ์ผล ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำเพื่อพวกมนุษย์นั้นจริงใจ พระองค์ไม่เพียงมีพระดำรัส เมื่อพระองค์ตรัสว่าพระองค์จะทรงจ่ายราคา พระองค์ทรงจ่ายราคาอย่างแท้จริง เมื่อพระองค์ตรัสว่าพระองค์จะทรงยอมรับความทุกข์ของมนุษยชาติและทนทุกข์แทนพวกเขา พระองค์เสด็จมาเพื่อใช้ชีวิตท่ามกลางพวกเขาอย่างแท้จริง โดยทรงรู้สึกและได้รับประสบการณ์กับความทุกข์นี้ด้วยพระองค์เอง หลังจากนั้น ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลจะยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้องและชอบธรรม ว่าทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำนั้นเป็นไปได้จริง กล่าวคือ นี่คือหลักฐานชิ้นหนึ่งที่ทรงพลัง นอกจากนี้ มวลมนุษย์จะมีบั้นปลายที่สวยงามในอนาคต และคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ยังคงอยู่จะสรรเสริญพระเจ้า พวกเขาจะกล่าวสรรเสริญว่ากิจการของพระเจ้าจริงๆ แล้วกระทำไปจากความรักของพระองค์ที่มีต่อมนุษยชาติ พระเจ้าเสด็จมาท่ามกลางมนุษย์อย่างถ่อมพระทัย ในฐานะบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง พระองค์มิได้แค่ทรงปฏิบัติพระราชกิจบางอย่าง ตรัสพระวจนะบางคำ แล้วเสด็จจากไป ในทางกลับกัน พระองค์เสด็จมาท่ามกลางมนุษย์และทรงรับประสบการณ์กับความเจ็บปวดของโลกอย่างแท้จริง ต่อเมื่อพระองค์ทรงเสร็จสิ้นการรับประสบการณ์กับความเจ็บปวดนี้เท่านั้นพระองค์จึงจะเสด็จจากไป นี่คือวิธีที่พระราชกิจของพระเจ้าเป็นจริงและสัมพันธ์กับชีวิตจริง ทุกคนที่ยังคงอยู่จะสรรเสริญพระองค์เนื่องจากการนี้ และพวกเขาจะมองเห็นความสัตย์ซื่อของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์และความใจดีมีเมตตาของพระองค์ เนื้อแท้ของพระเจ้าเกี่ยวกับความงามและความดีสามารถเห็นได้ในนัยสำคัญแห่งการจุติเป็นมนุษย์ของพระองค์ในเนื้อหนัง สิ่งใดก็ตามที่พระองค์ทรงทำนั้นจริงใจ สิ่งใดก็ตามที่พระองค์ตรัสนั้นจริงจังจริงใจและสัตย์ซื่อ ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ พระองค์ทรงทำการนั้นอย่างแท้จริง และเมื่อทรงจ่ายราคา พระองค์ทรงจ่ายราคาการนั้นอย่างแท้จริง พระองค์ไม่เพียงทรงเอ่ยถ้อยดำรัสเท่านั้น พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, แง่มุมที่สองของนัยสำคัญแห่งการจุติเป็นมนุษย์

280. พระเจ้าทรงพิจารณากรณีการบริหารจัดการมวลมนุษย์นี้ของพระองค์ กรณีความรอดของมวลมนุษย์ของพระองค์ ว่ามีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ทรงทำสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ด้วยจิตใจของพระองค์เท่านั้น ไม่เพียงแต่ด้วยพระวจนะของพระองค์เท่านั้น และแน่นอนว่าไม่ใช่ด้วยท่าทีที่ไม่ใส่พระทัย—แต่พระองค์ทรงทำสิ่งทั้งหมดเหล่านี้ด้วยแผนการหนึ่ง ด้วยเป้าหมายหนึ่ง ด้วยมาตรฐานต่างๆ และด้วยน้ำพระทัยของพระองค์ เห็นได้ชัดเจนว่าพระราชกิจในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทั้งพระเจ้าและมนุษย์ ไม่ว่าพระราชกิจนี้จะลำบากยากเย็นเพียงใด ไม่ว่าอุปสรรคจะยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่ว่ามนุษย์จะอ่อนแอเพียงใด หรือไม่ว่าความกบฏของมนุษย์จะล้ำลึกเพียงใด ไม่มีสิ่งใดในนี้ที่ลำบากยากเย็นสำหรับพระเจ้า พระเจ้าทรงทำพระองค์เองให้ยุ่งอยู่เสมอ โดยทรงทุ่มเทความมานะพยายามอย่างพากเพียรของพระองค์ และทรงบริหารจัดการพระราชกิจที่พระองค์เองมีพระประสงค์จะดำเนินการ พระองค์ยังกำลังทรงจัดการเตรียมการทุกสิ่งและใช้อำนาจอธิปไตยของพระองค์เหนือผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดที่พระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจ และเหนือพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ให้ครบบริบูรณ์—ทั้งหมดนี้ไม่มีสิ่งใดที่เคยได้รับการทำมาก่อน นี่คือครั้งแรกที่พระเจ้าทรงใช้วิธีการเหล่านี้และที่ทรงจ่ายราคามากมายเช่นนั้นเพื่อโครงการอันสำคัญยิ่งในการบริหารจัดการและช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนี้ ในขณะที่พระเจ้ากำลังทรงดำเนินพระราชกิจนี้ พระองค์กำลังทรงแสดงออกและทรงปลดปล่อยความมานะพยายามอย่างพากเพียรของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น พระปรีชาญาณและความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ และทุกแง่มุมของพระอุปนิสัยของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ทีละเล็กละน้อยอย่างไม่ตั้งข้อแม้ใดๆ พระองค์ทรงปลดปล่อยและแสดงออกสิ่งเหล่านี้เพราะพระองค์ไม่เคยทรงทำมาก่อน ดังนั้น ในทั้งจักรวาล นอกเหนือจากผู้คนที่พระเจ้าทรงมุ่งหมายที่จะจัดการและช่วยให้รอดนั้น ไม่เคยมีสิ่งทรงสร้างใดๆ ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าเช่นนั้น ที่ได้มีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมเช่นนั้นกับพระองค์ ในพระทัยของพระองค์ มวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะจัดการและช่วยให้รอดนั้นมีความสำคัญที่สุด พระองค์ทรงให้คุณค่ากับมวลมนุษย์นี้เหนือสิ่งอื่นทั้งหมด ถึงแม้ว่าพระองค์จะได้ทรงจ่ายราคามากมายเพื่อพวกเขา และถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงเจ็บปวดและถูกพวกเขาไม่เชื่อฟังอย่างต่อเนื่อง แต่พระองค์ก็ไม่เคยทรงล้มเลิกกับพวกเขา และทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยไม่มีการร้องทุกข์หรือความเสียใจใดๆ นี่เป็นเพราะว่าพระองค์ทรงรู้ว่าอีกไม่ช้าไม่นาน ผู้คนจะตื่นรับการทรงเรียกของพระองค์และได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวจนะของพระองค์ ระลึกได้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง และกลับมาเคียงข้างพระองค์…

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

281. เมื่อเจ้าสามารถซึ้งคุณค่ากับพระดำริและท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ได้อย่างแท้จริง เมื่อเจ้าสามารถเข้าใจอารมณ์และความกังวลที่พระเจ้าทรงมีให้กับแต่ละสิ่งที่ทรงสร้าง เจ้าจะสามารถเข้าใจการอุทิศพระองค์และความรักที่ใช้ไปกับทุกๆ ผู้คนที่พระผู้สร้างได้ทรงสร้างขึ้น เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น เจ้าจะใช้คำสองคำเพื่อพรรณนาความรักของพระเจ้า คำสองคำนั้นคืออะไร? บางคนพูดว่า “ไม่เห็นแก่พระองค์เอง” และบางคนพูดว่า “ใจบุญสุนทาน” ในสองคำนี้ “ใจบุญสุนทาน” เป็นคำที่เหมาะสมน้อยที่สุดในการพรรณนาความรักของพระเจ้า นี่คือคำที่ผู้คนใช้พรรณนาถึงคนบางคนที่เผื่อแผ่หรือใจกว้าง เราเกลียดคำนี้ เพราะมันอ้างอิงถึงการให้การกุศลโดยไร้แบบแผน โดยไม่เลือกหน้า โดยไม่พิจารณาถึงหลักการ มันคือความโน้มเอียงที่ใช้อารมณ์มากเกินไป ซึ่งพบได้มากในผู้คนที่โง่เขลาและสับสน เมื่อใช้คำนี้พรรณนาถึงความรักของพระเจ้า มีความหมายแฝงที่เป็นการดูหมิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรามีคำสองคำที่อธิบายความรักของพระเจ้าได้อย่างเหมาะสมมากกว่า ได้แก่อะไรบ้าง? คำแรกคือ “มหาศาล” คำนี้ไม่ได้ทำให้เห็นภาพเป็นอย่างมากหรอกหรือ? คำที่สองคือ “กว้างใหญ่ไพศาล” มีความหมายที่แท้จริงอยู่เบื้องหลังคำเหล่านี้ ซึ่งเราใช้พรรณนาความรักของพระเจ้า เมื่อตีความหมายตามตัวอักษร “มหาศาล” พรรณนาถึงปริมาตรหรือความสามารถของสิ่งหนึ่ง แต่ไม่ว่าสิ่งนั้นจะใหญ่เพียงใด มันคือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนสามารถจับต้องและมองเห็นได้ นี่เป็นเพราะมันมีอยู่—มันไม่ใช่วัตถุที่เป็นนามธรรม แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่สามารถให้แนวความคิดแก่ผู้คนในลักษณะที่ค่อนข้างถูกต้องแม่นยำและสัมพันธ์กับชีวิตจริง ไม่ว่าเจ้าจะมองมันจากมุมมองสองมิติหรือสามมิติ เจ้าไม่จำเป็นต้องจินตนาการถึงการมีอยู่ของมัน เพราะมันคือสิ่งที่มีอยู่จริงๆ ในลักษณะที่เป็นจริง ถึงแม้ว่าการใช้คำว่า “มหาศาล” ในการอธิบายความรักของพระเจ้าจะสามารถทำให้รู้สึกเหมือนความพยายามที่จะระบุปริมาณความรักของพระองค์ แต่คำนี้ยังให้ความรู้สึกว่าความรักของพระองค์ไม่อาจระบุปริมาณได้เช่นเดียวกัน เราพูดว่าความรักของพระเจ้าสามารถระบุปริมาณได้ เพราะความรักของพระองค์ไม่ว่างเปล่า อีกทั้งไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นตำนานเล่าขาน แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ทุกสิ่งภายใต้การปกครองของพระองค์มีเหมือนกัน บางสิ่งบางอย่างที่สิ่งทรงสร้างทั้งปวงได้สุขสำราญจนถึงระดับที่หลากหลายและจากมุมมองที่แตกต่าง ถึงแม้ว่าผู้คนไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสความรักของพระองค์ได้ แต่ความรักนี้นำการบำรุงเลี้ยงและชีวิตมายังทุกสรรพสิ่งในขณะที่ความรักนี้ได้รับการเผยทีละเล็กละน้อยในชีวิตของทุกสรรพสิ่ง และสิ่งเหล่านั้นนับและเป็นพยานต่อความรักของพระเจ้าที่สิ่งเหล่านั้นได้สุขสำราญในแต่ละชั่วขณะที่ผ่านไป เราพูดว่าความรักของพระเจ้าไม่สามารถระบุปริมาณได้เพราะความล้ำลึกของพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมและบำรุงเลี้ยงทุกสรรพสิ่งคือบางสิ่งบางอย่างที่พวกมนุษย์หยั่งลึกได้ยาก เช่นเดียวกับพระดำริที่พระเจ้าทรงมีให้กับทุกสรรพสิ่ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ให้กับมวลมนุษย์ นั่นจึงกล่าวได้ว่า ไม่มีผู้ใดรู้ถึงพระโลหิตและน้ำพระเนตรที่พระผู้สร้างได้ทรงหลั่งออกมาเพื่อมวลมนุษย์ ไม่มีผู้ใดสามารถจับใจความ ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจความลึกซึ้งหรือน้ำหนักของความรักที่พระผู้สร้างทรงมีให้กับมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง การพรรณนาความรักของพระเจ้าว่ามหาศาลคือการช่วยให้ผู้คนซึ้งคุณค่าและเข้าใจความกว้างของความรักของพระเจ้า และความจริงของการดำรงอยู่ของความรักของพระเจ้า นอกจากนี้การพรรณนานี้ยังเป็นไปเพื่อให้ผู้คนสามารถจับใจความถึงความหมายจริงๆ ของคำว่า “พระผู้สร้าง” ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเพื่อให้ผู้คนสามารถได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับความหมายที่แท้จริงของสมญา “การทรงสร้าง” คำว่า “กว้างใหญ่ไพศาล” มักพรรณนาถึงสิ่งใด? โดยทั่วไป คำนี้นำมาใช้พรรณนาถึงมหาสมุทรหรือจักรวาล ตัวอย่างเช่น: “จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล” หรือ “มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล” ความไพศาลและความลึกที่เงียบสงัดของจักรวาลอยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ คือบางสิ่งบางอย่างที่จับจินตนาการของมนุษย์ บางสิ่งบางอย่างที่พวกเขารู้สึกมีความเลื่อมใสอย่างยิ่งใหญ่ให้ ความลึกลับและความลึกล้ำของมันมองเห็นได้ แต่เกินเอื้อมถึง เมื่อเจ้านึกถึงมหาสมุทร เจ้านึกถึงความกว้างของมัน และเจ้าสามารถรู้สึกถึงความลึกลับและความสามารถในการเก็บสิ่งต่างๆ ได้ยอดเยี่ยมของมัน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงได้ใช้คำว่า “กว้างใหญ่ไพศาล” ในการพรรณนาถึงความรักของพระเจ้า เพื่อช่วยให้ผู้คนรู้สึกว่าความรักของพระเจ้าล้ำค่าเพียงใด เพื่อให้รู้สึกว่าความงดงามอย่างลุ่มลึกของความรักของพระองค์นั้นไม่สิ้นสุดและครอบคลุมกว้างขวาง เราใช้คำนี้เพื่อช่วยให้ผู้คนรู้สึกถึงความบริสุทธิ์ของความรักของพระองค์ และความทรงเกียรติและความมิอาจถูกทำให้ขุ่นเคืองได้ของพระเจ้าที่ได้รับการเผยโดยผ่านทางความรักของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

282. มีบางสิ่งในแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้าซึ่งง่ายอย่างเหลือเกินต่อการมองข้าม เป็นบางสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นทรงครอบครองและไม่มีบุคคลใดมี รวมถึงพวกที่คนอื่นๆ คิดว่าเป็นผู้คนที่ยิ่งใหญ่ ผู้คนที่ดี หรือพระเจ้าแห่งจินตนาการของพวกเขา สิ่งนี้คืออะไร? คือความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้า เมื่อพูดถึงความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เจ้าก็อาจคิดว่าเจ้าก็ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากเช่นกัน เพราะเมื่อพูดถึงลูกหลานของเจ้า เจ้าไม่มีวันต่อรองราคาหรือต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขา หรือเจ้าคิดว่าเจ้าก็ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากเช่นกันเมื่อพูดถึงบิดามารดาของเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าจะคิดอะไร อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็มีมโนทัศน์เกี่ยวกับคำว่า “ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน” และคิดว่ามันเป็นคำในเชิงบวก และคิดว่าการเป็นบุคคลที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนนั้นสูงศักดิ์มาก เมื่อเจ้าไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เจ้าจะนับถือตัวเจ้าเองอย่างสูงส่ง แต่ไม่มีใครสักคนที่สามารถเห็นความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ท่ามกลางผู้คน เหตุการณ์ และวัตถุต่างๆ และในพระราชกิจของพระองค์ได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เพราะมนุษย์เห็นแก่ตัวเกินไป! เหตุใดเราจึงพูดเช่นนั้น? มวลมนุษย์อาศัยอยู่ในโลกแห่งวัตถุ เจ้าอาจติดตามพระเจ้า แต่เจ้าไม่มีวันเห็นหรือซาบซึ้งในวิธีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เจ้า รักเจ้า และแสดงความห่วงใยต่อเจ้า ดังนั้นเจ้าเห็นอะไร? เจ้าเห็นญาติสายโลหิตที่รักเจ้าหรือหลงใหลในตัวเจ้า เจ้าเห็นสิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อเนื้อหนังของเจ้า เจ้าใส่ใจเกี่ยวกับผู้คน และสิ่งต่างๆ ที่เจ้ารัก นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่าความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่ “ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน” เช่นนี้ไม่มีวันห่วงใยเกี่ยวกับพระเจ้าที่ทรงให้ชีวิตแก่พวกเขา ตรงกันข้ามกับของพระเจ้า ความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของมนุษย์กลายเป็นเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ ความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนที่มนุษย์เชื่อนั้นว่างเปล่าและไม่สมจริง ปลอมปน เข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า และไม่เกี่ยวโยงกับพระเจ้า ความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของมนุษย์มีไว้สำหรับตัวเอง ในขณะที่ความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้าเป็นการเปิดเผยแก่นแท้ของพระองค์ที่แท้จริง เป็นเพราะความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้านั่นเอง มนุษย์จึงได้รับการจัดเตรียมให้โดยพระองค์ตลอดเวลา พวกเจ้าอาจจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างลึกล้ำจากหัวข้อนี้ที่เรากำลังพูดถึงในวันนี้ และเพียงกำลังพยักหน้าด้วยความเห็นชอบ แต่เมื่อเจ้าพยายามซาบซึ้งในพระหทัยของพระเจ้าในหัวใจของเจ้า เจ้าจะค้นพบการนี้โดยไม่รู้ตัวว่า ท่ามกลางผู้คน เรื่องสำคัญและสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่เจ้าสามารถสำนึกรับรู้ได้ในโลกนี้ มีเพียงความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นจริงและเป็นรูปธรรม เพราะมีเพียงความรักของพระเจ้าต่อเจ้าเท่านั้นที่ปราศจากเงื่อนไขและไร้ที่ติ นอกเหนือจากพระเจ้าแล้ว ที่เรียกว่าความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของคนอื่นใดนั้นแสร้งทำ ผิวเผิน ไม่แท้จริง มันมีจุดประสงค์ เจตนาบางอย่าง มีการแลกเปลี่ยน และไม่สามารถทนทานต่อการทดสอบได้ เจ้าถึงกับสามารถพูดได้ว่ามันโสมมและน่ารังเกียจ

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1

283. พระเจ้าได้ทรงดูหมิ่นมนุษย์เพราะมนุษย์เป็นปรปักษ์กับพระองค์ แต่ในพระทัยของพระองค์นั้น ความใส่ใจ ความห่วงใย และความกรุณาของพระองค์ต่อมนุษยชาติยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้ในเวลาที่พระองค์ได้ทรงทำลายมวลมนุษย์ พระทัยของพระองค์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อมนุษยชาติเต็มไปด้วยความเสื่อมทรามและการไม่เชื่อฟังพระเจ้าในระดับที่มีเจตนาร้าย พระเจ้าก็ต้องทรงทำลายมนุษยชาตินี้ เพราะพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์ และโดยสอดคล้องกับหลักการของพระองค์ แต่เพราะแก่นแท้ของพระเจ้า พระองค์ยังคงทรงสงสารมวลมนุษย์ และทรงถึงกับต้องการใช้วิธีสารพัดเพื่อไถ่บาปมวลมนุษย์เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถมีชีวิตต่อไปได้ อย่างไรก็ตามมนุษย์ได้ต่อต้านพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้าต่อไป และปฏิเสธที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้า นั่นคือ ปฏิเสธที่จะยอมรับเจตนารมณ์ดีของพระองค์ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าได้ทรงเรียกหาพวกเขา เตือนความจำพวกเขา หล่อเลี้ยงพวกเขา ช่วยเหลือพวกเขา หรือยอมผ่อนปรนต่อพวกเขาอย่างไร มนุษย์ก็ไม่ได้เข้าใจหรือซาบซึ้ง และพวกเขาก็ไม่ให้ความสนใจด้วย ในความเจ็บปวดของพระองค์ พระเจ้ายังคงไม่ทรงลืมที่จะประทานความยอมผ่อนปรนสูงสุดของพระองค์แก่มนุษย์ เพื่อรอให้มนุษย์เลี้ยวกลับ หลังจากพระองค์ได้ทรงไปถึงขีดจำกัดแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงทำในสิ่งที่พระองค์ต้องทรงทำโดยไม่มีความลังเลอันใด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีช่วงเวลาและกระบวนการเฉพาะเจาะจงตั้งแต่ชั่วขณะที่พระเจ้าได้ทรงวางแผนที่จะทำลายมวลมนุษย์จนถึงจุดเริ่มต้นของพระราชกิจของพระองค์ในการทำลายมวลมนุษย์ กระบวนการนี้ได้ดำรงอยู่เพื่อจุดประสงค์ในการทำให้มนุษย์สามารถเลี้ยวกลับได้ และนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่พระเจ้าได้ทรงให้แก่มนุษย์ ดังนั้นพระเจ้าได้ทรงทำอะไรในช่วงเวลานี้ก่อนที่จะทำลายมวลมนุษย์? พระเจ้าได้ทรงทำพระราชกิจแห่งการเตือนความจำและเตือนสติในปริมาณมาก ไม่สำคัญว่าพระทัยของพระเจ้าได้อยู่ในความเจ็บปวดและความเศร้าโศกมากเพียงใด พระองค์ก็ยังทรงมอบความใส่พระทัย ความห่วงใย และความกรุณาอันอุดมของพระองค์ให้แก่มนุษยชาติต่อไป พวกเราเห็นอะไรจากการนี้? ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเราเห็นว่าความรักของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์นั้นเป็นจริงและไม่ใช่บางสิ่งที่พระองค์เพียงตรัสสนับสนุนอย่างไม่จริงใจ ความรักของพระเจ้าเป็นจริง จับต้องได้ และซาบซึ้งได้ ไม่ถูกปลอมแปลง ไม่มีสิ่งเจือปน ไม่หลอกลวงหรือเสแสร้ง พระเจ้าไม่มีวันทรงใช้การหลอกลวงอันใด หรือสร้างภาพเท็จเพื่อทำให้ผู้คนเห็นว่าพระองค์ทรงน่ารักน่าชื่นชอบ พระองค์ไม่มีวันทรงใช้คำพยานเท็จเพื่อให้ผู้คนเห็นความน่ารักน่าชื่นชมของพระองค์ หรือเพื่ออวดความน่ารักน่าชื่นชมและความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ แง่มุมเหล่านี้ของพระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่มีค่าคู่ควรกับความรักของมนุษย์หรอกหรือ? ไม่มีค่าคู่ควรต่อการนมัสการหรอกหรือ? ไม่มีค่าคู่ควรต่อการทะนุถนอมหรอกหรือ? ณ จุดนี้เราต้องการถามพวกเจ้าว่า หลังจากได้ยินพระวจนะเหล่านี้ พวกเจ้าคิดว่าความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นเพียงคำพูดไร้สาระบนกระดาษแผ่นหนึ่งหรือไม่? ความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าเป็นเพียงคำพูดไร้สาระหรือไม่? ไม่ใช่! ไม่ใช่อย่างแน่นอน! พระอำนาจสูงสุด ความยิ่งใหญ่ ความศักดิ์สิทธิ์ ความยอมผ่อนปรน ความรัก และอื่นๆ ของพระเจ้า—ทุกรายละเอียดของทุกๆ ด้านที่แตกต่างกันของพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าได้รับการแสดงออกในทางปฏิบัติทุกครั้งที่พระองค์ทรงทำพระราชกิจของพระองค์ ถูกรวบรวมอยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์ต่อมนุษย์ และได้ถูกทำให้ลุล่วงและสะท้อนอยู่ในทุกๆ ผู้คนอีกด้วย โดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้าได้รู้สึกถึงมันมาก่อนหรือไม่ พระเจ้ากำลังใส่พระทัยในบุคคลทุกคนในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ โดยใช้พระทัยที่จริงใจ พระปรีชาญาณ และวิธีการทั้งหลาย ของพระองค์ เพื่อทำให้หัวใจของแต่ละบุคคลอบอุ่น และปลุกวิญญาณของแต่ละบุคคลให้ตื่น นี่คือข้อเท็จจริงที่เถียงไม่ได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1

เชิงอรรถ:

1. “การย่ำยีทั้งหลาย” ใช้เพื่อเปิดโปงการไม่เชื่อฟังของมวลมนุษย์

ก. ข้อความเดิมคือ “มันเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการไม่สามารถถูก”

ข. ข้อความเดิมคือ “รวมทั้งยังเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการไร้ความสามารถที่จะถูกทำให้ขุ่นเคืองได้ (และการไม่ยอมผ่อนปรนให้กับการถูกทำให้ขุ่นเคือง)”

ก่อนหน้า: 6. พระวจนะว่าด้วยพระคัมภีร์

ถัดไป: 8. พระวจนะว่าด้วยการรู้จักพระราชกิจของพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger