18. ได้รับอันตรายจากความเข้าใจผิดและความระแวดระวังของฉัน
นานมาแล้ว ผู้นำคริสตจักรของพวกเราเสียตำแหน่งของเธอไปเพราะเธอไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และบรรดาพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ได้เลือกฉันให้แทนที่เธอ ผลลัพธ์ของการเลือกนี้ทิ้งให้ฉันเป็นกังวล การเป็นผู้นำพึงต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงและความสามารถที่จะแก้ไขความลำบากยากเย็นของคนอื่นๆ ในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา นั่นยังหมายถึงแบกรับภาระและการทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงด้วยเช่นกัน ฉันได้ทำหน้าที่เป็นผู้นำมาแล้วสองสามครั้งก่อนหน้านี้ แต่ลงเอยด้วยการถูกแทนที่เสมอ เพราะฉันไล่ตามเสาะหาชื่อและสถานภาพ และล้มเหลวที่จะทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ฉันรู้ว่าหากฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของฉันให้ดีในครั้งนี้ นอกเหนือไปจากการเหนี่ยวรั้งพระราชกิจของพระนิเวศของพระเจ้าและการเข้าสู่ชีวิตของสมาชิกของคริสตจักรแล้ว อย่างดีที่สุดฉันก็คงจะถูกปลด และอย่างแย่ที่สุดฉันก็อาจถูกเปิดโปงและถูกกำจัด ฉันไม่ได้มีความสนใจในการเป็นผู้นำอีก ในการเสาะแสวงสถานภาพที่สูงขึ้น ฉันแค่ต้องการที่จะสงบเสงี่ยมไว้และทำหน้าที่ของฉันอย่างถูกต้องเหมาะสม ดังนั้น ฉันจึงปฏิเสธตำแหน่งนี้ทันทีทันใด โดยพูดว่า “ไม่ล่ะ ฉันไม่ดีพอสำหรับภารกิจนี้” และคิดหาข้อแก้ตัวร้อยแปด ฉันรู้สึกเชื่อมั่นว่านั่นเป็นสิ่งที่จะต้องทำซึ่งสมเหตุสมผลและตระหนักรู้ในตนเอง แต่นั่นเป็นเพียงโดยผ่านทางการสามัคคีธรรมที่ตามมาภายหลังกับบรรดาพี่น้องชายหญิงเท่านั้นที่ฉันได้ตระหนักว่า ความไม่เต็มใจที่จะแบกภาระบทบาทการเป็นผู้นำของฉันนั้น เป็นเพราะฉันอยู่ภายใต้การควบคุมของพิษเยี่ยงซาตานดังเช่น “ตัวใหญ่ล้มดัง” และ “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” ฉันรู้สึกเหมือนว่าการเป็นผู้นำนั้นเป็นอันตราย รู้สึกว่านั่นคงจะวางฉันไว้ในความเสี่ยงที่จะถูกเปิดโปงและถูกกำจัดทุกชั่วขณะ โดยหลักการแล้วฉันเข้าใจว่า การแบกภาระนั้นของฉันไม่อยู่ในแนวเดียวกับความจริง และฉันยอมรับหน้าที่การเป็นผู้นำ แต่ฉันไม่สามารถเขย่าความกระวนกระวายของฉันซึ่งแวดล้อมหน้าที่ของฉันได้ เพราะฉันยังไม่ได้แก้ไขสภาวะนั้นของฉัน ฉันกลัวว่าจะปฏิบัติหน้าที่ได้แย่และกลัวว่าจะถูกปลดและกำจัด ดังนั้น ฉันจึงใช้ชีวิตอยู่ในภาวะของความระแวดระวังและความเข้าใจผิด ในระหว่างเวลานั้น สภาวะของฉันยังเสื่อมโทรมต่อไปเท่านั้น คำอธิษฐานของฉันไม่ได้รับแรงบันดาลใจ ฉันไม่ได้รับความสว่างใดจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้า และฉันไม่สามารถรวบรวมความมีใจกระตือรือร้นอันใดสำหรับหน้าที่ของฉันได้ ฉันใช้ชีวิตอยู่ในภาวะที่งงงวยเต็มที่ ในความเจ็บปวดของฉัน ฉันร้องเรียกหาพระเจ้าว่า “โอ พระเจ้า! ข้าพระองค์เป็นกบฏเหลือเกิน ข้าพระองค์ไม่สามารถนบนอบในยามที่เผชิญหน้ากับหน้าที่นี้ได้ ขอทรงโปรดนำข้าพระองค์ ขอทรงโปรดอนุญาตให้ข้าพระองค์รู้จักตัวข้าพระองค์เองและเชื่อฟัง”
ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้หลังการอธิษฐานของฉัน ความว่า “เรามีความพอใจในบรรดาผู้ที่ไม่ระแวงผู้อื่น และเราชอบบรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงอย่างไม่ลังเล เราแสดงความใส่ใจอย่างมากต่อผู้คนสองประเภทนี้ ด้วยเหตุที่ในสายตาของเราพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์ หากเจ้าเป็นคนหลอกลวง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะระมัดระวังและมีความระแวงต่อผู้คนและเรื่องต่างๆ ทั้งหมดทั้งมวล และด้วยเหตุนี้ความเชื่อของเจ้าในเราจะถูกสร้างขึ้นบนรากฐานแห่งความระแวง เราไม่มีวันสามารถรับรู้ความเชื่อเช่นนั้นได้ เมื่อขาดความเชื่อที่แท้จริง เจ้าก็ยิ่งไร้ซึ่งความรักที่แท้จริงขึ้นไปอีก และหากเจ้ามีแนวโน้มที่จะสงสัยในพระเจ้าและคาดเดาพระองค์ตามอำเภอใจ เช่นนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เจ้าย่อมเป็นผู้ที่หลอกลวงที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งมวล เจ้าคาดเดาว่าพระเจ้าสามารถทรงเป็นเช่นมนุษย์ได้หรือไม่: มีบาปซึ่งไม่สามารถอภัยให้ได้ มีลักษณะนิสัยที่ใจแคบ ไร้ซึ่งความเที่ยงธรรมและเหตุผล ขาดสำนึกรับรู้แห่งความยุติธรรม หมกมุ่นในยุทธวิธีที่ชั่วร้าย ทรยศและเจ้าเล่ห์ พอใจในความชั่วและความมืด เป็นต้น เหตุผลที่ผู้คนมีความคิดเช่นนั้นไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาไร้ซึ่งความรู้ในพระเจ้าแม้แต่เพียงเล็กน้อยหรอกหรือ? ความเชื่อเช่นนั้นไม่ต่างอะไรไปจากบาป! มีกระทั่งบางคนที่เชื่อว่าบรรดาผู้ที่ทำให้เราพอใจก็คือบรรดาผู้ที่ยกยอปอปั้นและเลียแข้งเลียขานั่นเอง และเชื่อว่าบรรดาผู้ที่ขาดทักษะต่างๆ เช่นนั้นจะไม่ได้รับการต้อนรับในพระนิเวศของพระเจ้า และจะสูญเสียที่ของพวกเขาที่นั่น นี่คือความรู้เพียงอย่างเดียวที่พวกเจ้าได้รับเอาไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรือ? นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าได้รับไว้หรือ? และความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับเราไม่ได้หยุดที่ความเข้าใจผิดต่างๆ เหล่านี้ ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือการที่พวกเจ้าหมิ่นประมาทพระวิญญาณของพระเจ้าและกล่าวร้ายสวรรค์ นี่คือเหตุผลที่เราพูดว่า ความเชื่อเช่นเดียวกับของพวกเจ้านั้นมีแต่จะทำให้พวกเจ้าไถลห่างจากเรามากขึ้นและอยู่ในสภาวะของการต่อต้านเรามากขึ้นเท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักพระเจ้าบนแผ่นดินโลก) พระวจนะแห่งการพิพากษาและคำวิวรณ์ของพระเจ้าทำให้เกิดความในหัวใจของฉัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่พระองค์ตรัสว่า “และความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับเราไม่ได้หยุดที่ความเข้าใจผิดต่างๆ เหล่านี้ ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือการที่พวกเจ้าหมิ่นประมาทพระวิญญาณของพระเจ้าและกล่าวร้ายสวรรค์” นั่นสะเทือนอารมณ์อย่างเหลือเชื่อสำหรับฉัน การอยู่ในสภาวะของความไม่ยอมรับผิดและความหลงผิดนั้น คือการที่ฉันต้านทานและหมิ่นประมาทพระเจ้า ฉันคิดเกี่ยวกับว่า ทุกครั้งที่ฉันได้ถูกปลดจากบทบาทของผู้นำก็ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นเพราะฉันไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ฉันแค่กำลังไล่ตามชื่อและสถานภาพ โดยลองพยายามที่จะให้ผู้คนชื่นชมบูชาฉันและเชิดชูบูชาฉัน ฉันอยู่บนเส้นทางที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า หลังจากถูกย้ายออกจากตำแหน่งของฉัน เป็นพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่ได้นำทางฉันให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่ได้นำฉันออกจากความล้มเหลวและความคิดลบของฉัน และแม้กระทั่งหลังจากนั้น พระเจ้ายังคงมอบโอกาสให้ฉันในการทำหน้าที่ของฉันต่อไป ในการไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุความรอดของพระองค์ตลอดช่วงเวลาของการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน ฉันได้ตระหนักว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงมีเจตนารมณ์ที่จะเปิดโปงและกำจัดฉัน แต่ฉันนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยการคาดเดาและข้อกังขา โดยคิดว่าพระเจ้ากำลังจะทรงใช้การปรนนิบัติของฉันในฐานะผู้นำเพื่อเปิดโปงและกำจัดฉัน นั่นเป็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าทั้งสิ้น—นั่นเป็นการหมิ่นประมาท! ในที่สุดแล้วการนี้ได้ปั่นป่วนหัวใจอันเป็นกบฏของฉันเล็กน้อย และฉันได้เห็นว่า แม้ว่าฉันได้ถูกปลดมาแล้วสองสามครั้ง แต่ฉันไม่เคยได้ใช้ประสบการณ์เหล่านั้นเป็นโอกาสเหมาะที่จะแสวงหาความจริงและทบทวนตัวเองเลย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของฉันและความระแวดระวังของฉันกลับเติบโตขึ้นเท่านั้น ฉันได้กลายเป็นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความเสียใจ
ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งหลังจากนั้น ความว่า “ในชั่วขณะที่ผู้คนที่เสื่อมทรามได้รับสถานะ—ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม—เมื่อนั้นพวกเขากลายเป็นศัตรูของพระคริสต์หรือไม่? (หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ แต่หากพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะไม่กลายเป็นศัตรูของพระคริสต์) นี่ไม่ใช่เรื่องที่แน่นอนแต่อย่างใด ดังนั้นพวกที่เดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ใช้เส้นทางนั้นเพื่อสถานะหรือไม่? การนั้นเกิดขึ้นเมื่อผู้คนไม่ใช้เส้นทางที่ถูกต้อง พวกเขามีเส้นทางที่ดีให้ติดตาม กระนั้นพวกเขาก็ไม่ติดตามเส้นทางนั้น แต่พวกเขากลับดึงดันที่จะติดตามเส้นทางอันชั่วแทน นี่ก็เหมือนกับวิธีที่ผู้คนกิน กล่าวคือ บางคนไม่บริโภคอาหารที่สามารถทะนุบำรุงร่างกายของพวกเขาและค้ำจุนการดำรงอยู่อย่างปกติได้ แต่กลับดึงดันที่จะบริโภคสิ่งทั้งหลายที่เป็นอันตรายต่อพวกเขาแทน ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วเป็นการทำตัวเองแท้ๆ นี่ไม่ใช่ตัวเลือกของพวกเขาเองหรอกหรือ? อะไรหรือที่พวกซึ่งเคยทำหน้าที่เป็นผู้นำแล้วถูกกำจัดทิ้งบางคนเที่ยวเผยแพร่ไปเรื่อย? ‘จงอย่าเป็นผู้นำ และอย่าปล่อยให้ตัวเธอเองได้รับสถานะ ผู้คนตกอยู่ในอันตรายทันทีที่พวกเขาได้รับสถานะใดๆ และพระเจ้าจะทรงเปิดโปงพวกเขา! ทันทีที่พวกเขาถูกเปิดโปง พวกเขาจะไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมแม้แต่จะเป็นผู้เชื่อธรรมดา และจะไม่มีโอกาสอันใดอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม’ นั่นเป็นการกล่าวเรื่องแบบใดออกมา? อย่างดีที่สุด นั่นคือการแสดงให้เห็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า อย่างแย่ที่สุดก็เป็นการหมิ่นประมาทพระองค์ หากเจ้าไม่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ติดตามทางแห่งพระเจ้า แต่เจ้ากลับยืนกรานที่จะไปตามหนทางของศัตรูของพระคริสต์ และลงเอยบนเส้นทางของเปาโล โดยพบจุดจบเดียวกัน บทอวสานเดียวกันกับเปาโลในที่สุด ทั้งยังคงติเตียนพระเจ้าและตัดสินพระเจ้าว่าไม่ชอบธรรม เช่นนั้นแล้ว เจ้าไม่ใช่พวกศัตรูของพระคริสต์โดยแท้หรอกหรือ? พฤติกรรมเช่นนั้นย่อมถูกสาป!” (“เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา คนเราต้องมีเส้นทางการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ได้แสดงให้ฉันเห็นว่า เมื่อผู้คนใช้เส้นทางของศัตรูของพระคริสต์และถูกกำจัด นั่นไม่ได้เป็นเพราะพวกเขาได้รับความเสียหายจากเครื่องประกอบแห่งสถานภาพ นั่นหยั่งรากอยู่ในความล้มเหลวในการที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นหยั่งรากเป็นนิตย์อยู่ในการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและผลกำไร ในการโอ้อวดและการต้องการที่จะได้รับการยกยอ บางครั้งถึงจุดที่ทำความชั่วและขัดขวางงานของคริสตจักรด้วยซ้ำ เมื่อมองดูอย่างถี่ถ้วน ฉันได้เห็นว่าความล้มเหลวก่อนหน้านั้นของฉันไม่ได้เป็นเพราะตำแหน่งของฉัน แต่เป็นเพราะฉันมีอุปนิสัยโอหังและไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงในหน้าที่ของฉัน แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันกลับไล่ตามเสาะหาชื่อและสถานภาพ และไม่ได้ค้ำจุนหน้าที่ของฉันอย่างถูกต้องเหมาะสม บรรดาพี่น้องชายหญิงจำนวนมากได้มีตำแหน่งของผู้นำเช่นกัน แต่พวกเขาได้ใช้เส้นทางที่ถูกต้อง พวกเขาได้มุ่งเน้นไปที่การทบทวนตนเองและการรู้จักตนเองเมื่อพวกเขาได้เปิดเผยความเสื่อมทราม ได้รับประสบการณ์กับความล้มเหลว หรือได้กระทำการฝ่าฝืน พวกเขาได้มุ่งเน้นไปที่การแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาเอง มุ่งเน้นไปที่การทำสิ่งทั้งหลายไปตามความจริงหลักธรรม พวกเขายังได้กลายเป็นประสบความสำเร็จในงานของพวกเขามากขึ้นทุกทีเมื่อเวลาผ่านไปด้วยเช่นกัน การมีสถานภาพแสดงตัวตนที่แท้จริงของใครบางคนจริงๆ สำหรับใครบางคนซึ่งไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่สำคัญว่าพวกเขาครองตำแหน่งสูงเพียงใด พวกเขาจะไม่ถูกผลักดันให้ทำชั่ว แต่สำหรับพวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง สุดท้ายแล้วพวกเขาจะถูกกำจัดทิ้งต่อให้พวกเขาไม่อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจก็ตาม การได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับทั้งหมดนี้ ยังได้ช่วยให้ฉันตระหนักอีกเช่นกัน ถึงเหตุผลที่ฉันต้านทานยิ่งนักกับการถูกเลือกให้เป็นผู้นำ และเหตุผลที่ฉันได้สร้างข้อแก้ตัวที่จะไม่รับหน้าที่นั้น โดยหลักแล้ว เป็นเพราะแม้กระทั่งหลังจากที่ถูกปลดสองสามครั้ง ฉันยังคงไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือทบทวนรากเหง้าของความล้มเหลวของฉัน แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันกลับคิดว่า เป็นสถานภาพที่ฉันครองนั่นเอง ที่เป็นสาเหตุให้ฉันสะดุดครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันยังได้เกาะติดเหตุผลวิบัติดังเช่น “ตัวใหญ่ล้มดัง” และ “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” อีกเช่นกัน ราวกับว่าเหตุผลวิบัติเหล่านั้นคือความจริง ดังนั้นแล้ว เมื่อบรรดาพี่น้องชายหญิงได้เลือกฉันให้เป็นผู้นำอีกครั้ง ฉันจึงไม่ได้นบนอบและรับหน้าที่นั้นอย่างมีความสุข แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับได้ลองพยายามที่จะปกป้องตัวฉันเอง โดยเกรงว่าหากฉันได้รับใช้ในฐานะผู้นำ ฉันคงจะถูกเปิดโปงและถูกปลดอีกไปแล้ว หรือไม่ก็ฉันคงจะลงเอยด้วยการทำชั่วและถูกขับออกไป ฉันไร้สาระเสียจริง!
ฉันอ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้าเช่นกัน ความว่า “ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพระพรหรือถูกสาปแช่งหรือไม่ หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำให้ลุล่วง มันเป็นวิชาชีพที่สวรรค์ส่งมาของเขา และไม่ควรขึ้นอยู่กับการตอบแทน สภาพเงื่อนไขต่างๆ หรือเหตุผล เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา การได้รับพระพรคือเมื่อใครบางคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้ชื่นชมกับพระพรของพระเจ้าหลังได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา การถูกสาปแช่งคือเมื่ออุปนิสัยของใครบางคนไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาแล้ว คือตอนที่พวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแต่ถูกลงโทษ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพระพรหรือถูกสาปแช่งก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่เป็นสิ่งที่น้อยที่สุดที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำ เจ้าไม่ควรทำหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพระพรเท่านั้น และเจ้าไม่ควรปฏิเสธที่จะกระทำเพราะกลัวถูกสาปแช่ง เราขอบอกสิ่งเดียวนี้กับพวกเจ้า: การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์) ฉันสามารถเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้าว่า หน้าที่ของบุคคลหนึ่งไม่ใช่ปัจจัยตัดสินสำหรับการที่ว่า ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาได้รับการอวยพรหรือถูกสาป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น โดยหลักแล้วนั่นมีพื้นฐานอยู่บนการที่ว่า พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงในความเชื่อของพวกเขาหรือไม่ ว่าพวกเขาลงเอยด้วยการได้รับความจริงและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยหรือไม่ ฉันรู้สึกละอายใจยิ่งนักเมื่อพิจารณาพระวจนะของพระเจ้า และฉันเห็นว่าในหลายปีที่ผ่านมาแห่งความเชื่อของฉัน ฉันก็แค่ได้ไล่ตามอนาคตส่วนตัวและบั้นปลายของฉันอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น ตอนแรก ฉันคิดว่าการมีตำแหน่งผู้นำในพระนิเวศของพระเจ้าจะได้รับความเคารพนับถือจากผู้อื่นและการรับรองจากพระเจ้า คิดว่าฉันคงจะลงเอยด้วยการได้รับการอวยพรและการมีบั้นปลายสุดท้ายที่ดี การนั้นได้ขับเคลื่อนฉันให้ทุ่มเทตัวฉันเองอย่างกระตือรือร้น ให้ทนทุกข์เพื่อหน้าที่ของฉัน แต่หลังจากถูกปลดหลายครั้ง ฉันได้กลายเป็นกลัวการถูกเปิดโปงและถูกกำจัดในฐานะผู้นำ ดังนั้น ฉันจึงได้กลายเป็นไม่เต็มใจที่จะรับหน้าที่นั้น ฉันได้ตระหนักว่าฉันกำลังทำหน้าที่ของฉันในหนทางเชิงแลกเปลี่ยน เพื่อจะได้มั่นใจได้ถึงบั้นปลายที่ดีจากพระเจ้า ฉันถึงขั้นได้ต้องการให้พระเจ้าทรงรับประกันด้วยพระองค์เองว่า ฉันจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ ก่อนที่ฉันเต็มใจที่จะทำการพลีอุทิศบางอย่างและทุ่มเทความพยายามบางส่วน ฉันได้บอกปัดพระบัญชาของพระเจ้าที่มีต่อฉันเพื่อที่จะปกป้องตัวฉันเอง บิดเบือนตรรกะและไขว่คว้าหาข้อแก้ตัว โดยพูดว่าฉันกลัวที่จะยืนขวางทางงานของคริสตจักร ฉันถึงขั้นคิดว่าฉันมีเหตุผลอย่างสมบูรณ์แบบ—มันเป็นตรงกันข้ามจริงๆ! ณ จุดนั้น ฉันรู้สึกแย่มากเมื่อฉันอ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา” มันเป็นเพียงแค่ข้อเท็จจริงที่ว่า ฉันขาดพร่องความจริงความเป็นจริงและวุฒิภาวะของฉันไม่พอเพียง การที่พระเจ้าทรงมอบโอกาสที่จะปฏิบัติตนในฐานะผู้นำให้ฉัน ไม่ใช่เพราะฉันสามารถรับบทบาทนั้นได้ แต่เป็นเพราะด้วยหวังว่าฉันจะไล่ตามเสาะหาความจริงโดยผ่านทางการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน ว่าฉันจะปรับปรุงข้อตำหนิส่วนตัวของฉัน และปฏิบัติหน้าที่ของฉันได้สำเร็จเป็นที่น่าพึงพอใจ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันกลับเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่น โดยคิดถึงตัวเองเท่านั้น กลัวว่าหากฉันถูกเปิดโปงและถูกแทนที่ในฐานะผู้นำ ฉันคงจะพลาดโอกาสในผลลัพธ์และบั้นปลายที่ดี และดังนั้น ฉันจึงบีบเค้นสมองของฉันเพื่อออกจากการนั้น ฉันเป็นกบฏอย่างเหลือเชื่อ—ฉันจะสามารถกล่าวอ้างได้อย่างไรว่า มีการนบนอบที่พอควรต่อพระเจ้า?
ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกสองบทตอนในการแสวงหาของฉัน “งานของเปโตรเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า เขาไม่ได้ทำงานในบทบาทของอัครทูต แต่ได้ทำงานในขณะที่ไล่ตามเสาะหาความรักที่มีแด่พระเจ้า ครรลองของงานของเปาโลยังมีการไล่ตามเสาะหาส่วนตัวของเขาอีกด้วย นั่นคือ การไล่ตามเสาะหาของเขาไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเพื่อประโยชน์ของความหวังสำหรับอนาคตของเขา และความพึงปรารถนาของเขาสำหรับบั้นปลายที่ดี เขาไม่ได้ยอมรับกระบวนการถลุงในช่วงระหว่างงานของเขา อีกทั้งไม่ได้ยอมรับการตัดแต่งและการจัดการ เขาได้เชื่อว่าตราบเท่าที่งานที่เขาทำนั้นทำให้สมดังที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนา และทั้งหมดที่เขาทำนั้นเป็นที่น่ายินดีต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้วบำเหน็จย่อมรอเขาอยู่ในท้ายที่สุด ไม่มีประสบการณ์ส่วนตัวเลยในงานของเขา—ทั้งหมดเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสิ่งนั้นนั่นเอง และไม่ได้ถูกดำเนินการเสร็จสิ้นท่ามกลางการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งทุกอย่างในงานของเขาเป็นธุรกรรมอย่างหนึ่ง นั่นไม่ได้มีหน้าที่หรือการนบนอบของสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้าบรรจุอยู่เลย ในช่วงระหว่างครรลองแห่งงานของเขานั้น ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดในอุปนิสัยแต่เดิมของเปาโล งานของเขาเป็นเพียงการปรนนิบัติต่อผู้อื่น และไม่สามารถที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของเขา เปาโลได้ดำเนินงานของเขาจนเสร็จสิ้นโดยตรง โดยปราศจากการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหรือการจัดการ และเขาได้รับแรงจูงใจจากบำเหน็จ เปโตรนั้นแตกต่างออกไป นั่นคือ เขาเป็นใครบางคนที่ได้ก้าวผ่านการตัดแต่งและการจัดการและได้ก้าวผ่านกระบวนการถลุง จุดมุ่งหมายและแรงจูงใจของงานของเปโตรโดยพื้นฐานแล้วแตกต่างไปจากจุดมุ่งหมายและแรงจูงใจของงานของเปาโล” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน) ฉันยังอ่านบทตอนนี้ด้วยเช่นกัน ความว่า “ในฐานะสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า มนุษย์ควรพยายามปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า และพยายามรักพระเจ้าโดยไม่สร้างตัวเลือกอื่น เพราะพระเจ้าทรงคู่ควรกับความรักของมนุษย์ บรรดาผู้ที่พยายามรักพระเจ้าไม่ควรแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวใดๆ หรือแสวงหาสิ่งซึ่งพวกเขาถวิลหาเป็นการส่วนตัว นี่คือวิถีทางที่ถูกต้องที่สุดของการไล่ตามเสาะหา หากสิ่งที่เจ้าแสวงหาคือความจริง หากสิ่งที่เจ้านำไปปฏิบัติคือความจริง และหากสิ่งที่เจ้าบรรลุคือการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า เช่นนั้นแล้วเส้นทางที่เจ้าย่ำเท้าก็เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง หากสิ่งที่เจ้าแสวงหาคือพระพรของเนื้อหนัง และสิ่งที่เจ้านำไปปฏิบัติคือความจริงแห่งมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง และหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า และเจ้าไม่เชื่อฟังพระเจ้าในเนื้อหนังเลย และเจ้ายังคงใช้ชีวิตในความคลุมเครือ เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าแสวงหาก็จะนำเจ้าไปสู่นรกอย่างแน่นอน เพราะเส้นทางที่เจ้าเดินนั้นคือเส้นทางแห่งความล้มเหลว การที่เจ้าจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหรือถูกกำจัดทิ้งนั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของเจ้าเอง ซึ่งก็เป็นการกล่าวอีกด้วยว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน) การอ่านบทตอนเหล่านี้ได้ช่วยให้ฉันเข้าใจเส้นทางสู่ความสำเร็จของเปโตรและเส้นทางสู่ความล้มเหลวของเปาโลดีขึ้น ฉันได้เห็นว่าเปโตรได้เสาะแสวงที่จะทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเขาได้นบนอบต่อพระเจ้าไม่ว่าหน้าที่ของเขาจะนำพาพระพรมาให้เขาหรือไม่ก็ตาม เขาได้ปฏิบัติตนดังเช่นพยานที่กังวานก้องต่อพระเจ้า เชื่อฟังจนถึงจุดที่ต้องตาย ในทางกลับกัน เปาโลได้แสวงหาพระพรและบำเหน็จ และการทำงานหนักของเขาก็เพื่อจะได้รับมงกุฎแห่งความชอบธรรม เขาได้ใช้งานของเขาเป็นทุนในการเจรจาต่อรองกับพระเจ้า โดยรับเอาเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ และในท้ายที่สุดแล้วได้รับการลงโทษจากพระเจ้า เมื่อฉันได้ทบทวนตัวเอง ฉันได้เห็นว่าในความเชื่อของฉัน ฉันไม่ได้กำลังลองพยายามที่จะทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่ฉันกำลังทำหน้าที่เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของพระพรและบั้นปลายที่ดี ฉันยังต้องการที่จะจ่ายราคาต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อแลกกับพระพรของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์อีกด้วย เมื่อฉันได้เห็นว่าหน้าที่ของการเป็นผู้นำเกี่ยวข้องกับหน้าที่ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ฉันคิดว่าหากฉันไม่ลงเอยด้วยการยืนอยู่ในหนทางแห่งพระราชกิจของพระนิเวศของพระเจ้า ฉันคงจะสูญเสียโอกาสของฉันที่จะได้ผลลัพธ์และบั้นปลายที่ดี นั่นคือสาเหตุที่ฉันต้านทานการนั้นจริงๆ ฉันไม่ได้อยู่บนเส้นทางแห่งความล้มเหลวเดียวกันกับเปาโลอย่างแน่นอนหรอกหรือ? โดยผ่านทางความเชื่อของฉัน ฉันได้ชื่นชมความจริงซึ่งพระเจ้าได้ทรงแสดงมากมายเหลือเกิน แต่ฉันไม่เคยได้คิดที่จะมอบบางสิ่งกลับคืนเลย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันกลับแค่กำลังลองพยายามที่จะขบคิดให้ออกว่าอนาคตของฉันเองจะเป็นอย่างไร โดยคิดคำนวณและลองพยายามที่จะฉ้อโกงพระเจ้า ฉันเห็นแก่ตัว น่าดูหมิ่น เจ้าเล่ห์ และเลวยิ่งนัก! หลังจากฉันได้ตระหนักทั้งหมดนี้ ฉันไม่ได้ต้องการที่จะใช้ชีวิตในหนทางนั้นอีกต่อไป แต่ต้องการที่จะติดตามตัวอย่างของเปโตรและก้าวไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง เพื่อสละมอบตัวฉันเองแด่พระเจ้า และนบนอบต่อการปกครองและการจัดการเตรียมการของพระองค์
ฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระองค์ ซึ่งได้แก้ไขมโนคติอันหลงผิดเทียมเท็จของฉันที่ว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” และได้เปิดโอกาสให้ฉันเห็นอย่างชัดเจนว่า ฉันอยู่บนเส้นทางที่ผิดพลาดในความเชื่อของฉัน เส้นทางของการไล่ตามเสาะหาพระพร และได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับธรรมชาติอันฉลาดแกมโกงเยี่ยงซาตานของฉัน ตั้งแต่นั้นมา ฉันได้หยุดลองพยายามที่จะละทิ้งหน้าที่ของฉันในฐานะผู้นำ และได้แบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบ ฉันได้เริ่มที่จะมุ่งเน้นไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริง และการเสาะแสวงที่จะทำหน้าที่ของฉันในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง