บั้นปลายและบทอวสาน

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 580

ในแสงสว่างวาบของฟ้าแลบ รูปร่างอันแท้จริงของสัตว์ทุกตัวถูกเปิดเผย  ดังนั้น เมื่อได้รับความกระจ่างจากความสว่างของเรา มนุษย์จึงได้รับความสะอาดบริสุทธิ์ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยครอบครองคืนมา  โอ โลกเก่าอันเสื่อมทราม!  ในที่สุด มันก็ล้มคว่ำลงไปในน้ำโสโครก และเมื่อจมลงไปใต้ผิวน้ำก็ละลายเป็นโคลนตม!  โอ มวลมนุษย์ทั้งปวงแห่งการสร้างของเราเอง!  ในที่สุดพวกเขาก็กลับมามีชีวิตอีกครั้งในความสว่าง ได้พบรากฐานของการดำรงอยู่ และเลิกดิ้นทุรนอยู่ในโคลน!  โอ สรรพสิ่งแห่งการสร้างมากมายเหลือคณานับ ซึ่งเราประคองอยู่ในมือทั้งสองของเรา!  พวกมันจะไม่เริ่มต้นใหม่โดยผ่านทางถ้อยคำของเราได้อย่างไร?  พวกมันจะไม่แสดงบทบาทหน้าที่ของพวกมันในความสว่างได้อย่างไร?  แผ่นดินโลกไม่หยุดนิ่งและเงียบสงัดเป็นตายอีกต่อไป สวรรค์ไม่อ้างว้างและเศร้าโศกอีกต่อไป  สวรรค์และแผ่นดินโลกไม่ถูกพื้นที่ว่างแยกออกจากกันอีกต่อไป รวมกันเป็นหนึ่ง ไม่มีวันถูกแยกจากกันอีก  ในวาระอันน่ายินดีปรีดานี้ ณ ชั่วขณะแห่งความปราโมทย์นี้ ความชอบธรรมของเราและความบริสุทธิ์ของเราได้แผ่ขยายไปทั่วทั้งจักรวาล และมวลมนุษย์ทั้งปวงสดุดีความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของเรากันอย่างไม่หยุดหย่อน  เมืองสวรรค์ทั้งหลายพากันหัวเราะด้วยความชื่นบานยินดี และราชอาณาจักรแห่งแผ่นดินโลกก็เต้นรำด้วยความชื่นบานยินดี  ณ เวลานี้ ใครเล่าที่ไม่ชื่นชมยินดี?  และใครเล่าที่ไม่ร่ำไห้?  แผ่นดินโลกในสภาวะแรกเริ่มของมันนั้นเป็นของสวรรค์ และสวรรค์ก็รวมเข้ากับแผ่นดินโลก  มนุษย์คือสายใยที่รวมสวรรค์และแผ่นดินโลกเข้าด้วยกัน และเนื่องแต่ความสะอาดบริสุทธิ์ของมนุษย์ เนื่องแต่การเริ่มต้นใหม่ของมนุษย์ สวรรค์จึงไม่ถูกปกปิดจากแผ่นดินโลกอีกต่อไป และแผ่นดินโลกก็ไม่นิ่งเงียบต่อสวรรค์อีกต่อไป  ใบหน้าทั้งหลายของมวลมนุษย์ประดับรอยยิ้มแห่งความรื่นรมย์สมอุรา และที่ซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจของพวกเขาทุกคนคือความหวานชื่นอันไร้ขอบเขต  มนุษย์ไม่ทะเลาะวิวาทกับมนุษย์ และมนุษย์ไม่มาชกต่อยกัน  มีผู้ใดบ้างที่ไม่ใช้ชีวิตกับคนอื่นอย่างมีสันติสุขในความสว่างของเรา?  มีผู้ใดบ้างที่ทำให้นามของเราเสื่อมเสียในวันของเรา?  มนุษย์ทั้งปวงจ้องมองเราด้วยสายตาอันเปี่ยมความเคารพนับถือของพวกเขา และในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาแอบเพรียกร้องหาเรา  เราได้ตรวจค้นทุกการกระทำของมวลมนุษย์ กล่าวคือ ท่ามกลางมนุษย์ที่ได้รับการชำระให้สะอาด ไม่มีสักคนที่ไม่เชื่อฟังเรา ไม่มีสักคนที่ตัดสินเรา  มวลมนุษย์ทั้งปวงถูกอุปนิสัยของเราซึมซ่านไปทั่ว  มนุษย์ทั้งปวงกำลังจะมารู้จักเรา กำลังเข้ามาใกล้ชิดเรายิ่งขึ้นและรักบูชาเรา  เรายืนหยัดมั่นคงอยู่ในวิญญาณของมนุษย์ ได้รับการยกย่องสูงสุดในสายตาของมนุษย์ และไหลไปพร้อมกับโลหิตในเส้นเลือดของมนุษย์  ทุกหนแห่งบนพื้นผิวของแผ่นดินโลกเต็มเปี่ยมไปด้วยการยกย่องอันชื่นบานยินดีในหัวใจของมนุษย์ อากาศแจ่มใสและสดชื่น หมอกหนาไม่ปกคลุมพื้นดินอีกต่อไป และดวงอาทิตย์ฉายแสงอันโชติช่วงชัชวาล

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 18

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 581

ราชอาณาจักรกำลังแผ่ขยายในท่ามกลางมนุษยชาติ ราชอาณาจักรกำลังเป็นรูปเป็นร่างในท่ามกลางมนุษยชาติ และกำลังยืนหยัดขึ้นมาในท่ามกลางมนุษยชาติ ไม่มีกำลังบังคับใดที่สามารถทำลายราชอาณาจักรของเราได้  ในบรรดาประชากรของเราในราชอาณาจักรของวันนี้ มีพวกเจ้าคนใดที่มิใช่มนุษย์ท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย?  มีพวกเจ้าคนใดอยู่นอกภาวะของมนุษย์?  เมื่อจุดเริ่มต้นใหม่ของเราถูกประกาศแก่มหาชน มนุษยชาติจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?  พวกเจ้ามองเห็นสภาวะของมวลมนุษย์ด้วยตาของพวกเจ้าเองแล้ว  แน่ใจหรือว่าพวกเจ้ามิใช่ยังคงเก็บงำความหวังในการคงอยู่ตลอดไปในโลกนี้?  บัดนี้เรากำลังเดินไปอย่างกว้างไกลท่ามกลางประชากรของเราและเราใช้ชีวิตในท่ามกลางพวกเขา  วันนี้ บรรดาผู้ที่มีความรักแท้ต่อเรา—ผู้คนเช่นนั้นได้รับการอวยพร  บรรดาผู้ที่นบนอบต่อเราย่อมได้รับพร พวกเขาจะพักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรของเราอย่างแน่นอน  บรรดาผู้ที่รู้จักเราย่อมได้รับพร พวกเขาจะกุมฤทธานุภาพในราชอาณาจักรของเราอย่างแน่นอน  บรรดาผู้ที่แสวงหาเราย่อมได้รับพร พวกเขาจะหนีพ้นพันธนาการของซาตานและได้ชื่นชมพรของเราอย่างแน่นอน  บรรดาผู้ที่สามารถละทิ้งตัวพวกเขาเองย่อมได้รับพร พวกเขาจะได้เข้าสู่สิ่งที่เราครองและสืบทอดความไพบูลย์แห่งราชอาณาจักรของเราอย่างแน่นอน  เราจะจดจำบรรดาผู้ที่วิ่งวุ่นเพื่อเรา เราจะโอบกอดบรรดาผู้ที่ทำการสละเพื่อเราเอาไว้อย่างชื่นบาน และเราจะมอบความชื่นชมยินดีให้แก่บรรดาผู้ที่มอบเครื่องบูชาแก่เรา  เราจะอวยพรบรรดาผู้ที่พบความชื่นชมยินดีในวจนะของเรา พวกเขาจะเป็นเสาหลักที่ค้ำชูสันหลังคาในราชอาณาจักรของเราอย่างแน่นอน พวกเขาจะมีความอุดมที่มิอาจหาใดเทียบในนิเวศของเราอย่างแน่นอน และจะไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงพวกเขาได้  พวกเจ้าเคยยอมรับพรทั้งหลายที่พวกเจ้าได้รับหรือไม่?  พวกเจ้าเคยแสวงหาสัญญาทั้งหลายที่ทำไว้ให้แก่พวกเจ้าหรือไม่?  ภายใต้การนำแห่งความสว่างของเรา พวกเจ้าจะฝ่าพ้นอำนาจกดขี่แห่งกำลังบังคับของความมืดอย่างแน่นอน  พวกเจ้าจะไม่สูญเสียความสว่างที่นำทางพวกเจ้าในท่ามกลางความมืดอย่างแน่นอน  พวกเจ้าจะเป็นนายแห่งสิ่งสร้างทั้งปวงอย่างแน่นอน  พวกเจ้าจะเป็นผู้ชนะต่อหน้าซาตานอย่างแน่นอน  เมื่อราชอาณาจักรของพญานาคใหญ่สีแดงล่มสลาย พวกเจ้าจะยืนหยัดท่ามกลางฝูงชนมากมายนับไม่ถ้วนเพื่อเป็นพยานให้แก่ชัยชนะของเราอย่างแน่นอน  พวกเจ้าจะตั้งมั่นและไม่หวั่นไหวอย่างแน่นอนในแผ่นดินแห่งซีนิม  พวกเจ้าจะสืบทอดพรของเราโดยผ่านทางความทุกข์ที่พวกเจ้าทนฝ่า และจะฉายสง่าราศีของเราไปทั่วทั้งจักรวาลอย่างแน่นอน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 19

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 582

ขณะที่วจนะของเราถูกทำให้เป็นจริง ราชอาณาจักรก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นบนแผ่นดินโลกและมนุษย์ก็ค่อยๆ กลับสู่ความเป็นปกติ และด้วยเหตุนี้ราชอาณาจักรในหัวใจของเราจึงถูกสถาปนาขึ้นบนแผ่นดินโลก  ในราชอาณาจักรนั้น ประชากรทั้งหมดของพระเจ้าฟื้นคืนชีวิตของมนุษย์ที่ปกติ  ฤดูหนาวที่จับตัวเป็นน้ำแข็งได้จากไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยโลกที่เต็มไปด้วยนครแห่งฤดูใบไม้ผลิ ที่ซึ่งฤดูใบไม้ผลินั้นยาวนานตลอดปี  ผู้คนไม่ต้องเผชิญกับโลกที่มืดมนและยากแค้นของมนุษย์อีกต่อไป และพวกเขาไม่ต้องสู้ทนความหนาวเย็นยะเยือกของโลกมนุษย์อีกต่อไป  ผู้คนไม่ต่อสู้กัน ประเทศไม่ทำสงครามกัน ไม่มีการสังหารหมู่และเลือดที่ไหลนองจากการสังหารหมู่อีกต่อไป แผ่นดินทั้งมวลเต็มไปด้วยความสุข และทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความอบอุ่นระหว่างมนุษย์  เราเคลื่อนไหวไปทั่วโลก เราชื่นชมจากบนยอดบัลลังก์ของเรา และเราดำรงชีวิตท่ามกลางมวลดารา  บรรดาทูตสวรรค์นำเสนอบทเพลงใหม่ๆ และการเต้นรำใหม่ๆ แก่เรา  ความบอบบางของพวกเขาเองไม่เป็นเหตุให้น้ำตาไหลรินอาบใบหน้าของพวกเขาอีกต่อไป  เราไม่ได้ยินเสียงทูตสวรรค์ร่ำไห้ต่อหน้าเราอีกต่อไป และไม่มีผู้ใดพร่ำบ่นกับเราถึงความยากลำบากอีกต่อไป  วันนี้ พวกเจ้าทั้งหมดมีชีวิตอยู่ต่อหน้าเรา พรุ่งนี้ พวกเจ้าทั้งหมดจะดำรงอยู่ในราชอาณาจักรของเรา  นี่ไม่ใช่พรอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่เรามอบให้มนุษย์หรอกหรือ?  เนื่องแต่ราคาที่เจ้าจ่ายในวันนี้ เจ้าย่อมจะสืบทอดพรแห่งอนาคตและจะดำรงชีวิตท่ามกลางสง่าราศีของเรา  พวกเจ้ายังคงไม่ปรารถนาที่จะมีส่วนร่วมกับแก่นแท้แห่งวิญญาณของเราหรอกหรือ?  พวกเจ้ายังคงปรารถนาที่จะฆ่าตัวเจ้าเองกระนั้นหรือ?  ผู้คนเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาสัญญาที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้ แม้ว่าสัญญาเหล่านั้นจะไม่จีรัง กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดเต็มใจที่จะยอมรับสัญญาของวันพรุ่งนี้ แม้ว่าสัญญาเหล่านี้จะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์  สิ่งที่ปรากฏแก่ตาของมนุษย์คือสิ่งที่เราจะทำลายล้าง และสิ่งที่มนุษย์มิอาจสัมผัสได้คือสิ่งที่เราจะทำให้สำเร็จลุล่วง  นี่คือความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 20

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 583

ในความสว่างของเรา ผู้คนมองเห็นความสว่างไสวอีกครั้ง  ในวจนะของเรา ผู้คนพบสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาชื่นชม  เรามาจากทิศตะวันออก เรามีภูมิลำเนาอยู่ทางทิศตะวันออก  เมื่อสง่าราศีของเราโชติช่วงขึ้นมา ชนชาติทั้งปวงก็สว่างไสว ทั้งหมดถูกนำเข้าสู่ความสว่าง ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ยังคงอยู่ในความมืด  ในราชอาณาจักร ชีวิตที่ประชากรของพระเจ้าดำเนินร่วมกับพระเจ้านั้นมีความสุขเหลือคณานับ  ห้วงน้ำทั้งหลายเต้นรำด้วยความชื่นบานยินดีในชีวิตที่ได้รับพรของผู้คน ภูเขาชื่นชมความไพบูลย์ของเราร่วมกับผู้คน  มนุษย์ทั้งมวลเพียรพยายาม ทำงานหนัก แสดงความจงรักภักดีของพวกเขาในราชอาณาจักรของเรา  ในราชอาณาจักร การกบฏไม่มีอีกต่อไป การต้านทานไม่มีอีกต่อไป ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกต่างพึ่งพากันและกัน มนุษย์กับเราเข้ามาใกล้ชิดกันในความรู้สึกอันลึกซึ้งผ่านทางความปลื้มปีติแสนหวานของชีวิต อิงแอบกัน… ณ เวลานี้ เราเริ่มชีวิตของเราในสวรรค์อย่างเป็นทางการ  การรบกวนของซาตานไม่มีอีกต่อไป และผู้คนก็เข้าสู่การหยุดพัก  ทั่วทั้งจักรวาล ผู้คนที่เราเลือกสรรมีชีวิตในสง่าราศีของเรา ได้รับพรเกินจะหาใดเปรียบ ไม่ใช่ในฐานะผู้คนที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่ในฐานะผู้คนที่มีชีวิตอยู่กับพระเจ้า  มนุษยชาติทั้งมวลได้ล่วงผ่านความเสื่อมทรามของซาตาน และได้ดื่มความขมและความหวานแห่งชีวิตจนถึงหยดสุดท้าย  บัดนี้เมื่อมีชีวิตอยู่ในความสว่างของเรา คนเราจะไม่ชื่นบานได้อย่างไร?  คนเราจะสามารถละทิ้งช่วงเวลาที่สวยงามนี้และปล่อยให้หลุดลอยไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร?  ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย!  จงร้องเพลงในหัวใจของพวกเจ้าและเต้นรำด้วยความชื่นบานยินดีเพื่อเรา!  จงยกชูและส่งมอบหัวใจที่จริงใจของพวกเจ้าให้แก่เรา!  จงตีกลองของพวกเจ้าและบรรเลงอย่างชื่นบานเพื่อเรา!  เราแผ่รัศมีแห่งความปีติยินดีของเราไปทั่วจักรวาลทั้งปวง!  เราเปิดเผยใบหน้าที่เปี่ยมสง่าราศีของเราต่อผู้คน!  เราจะร้องเรียกด้วยเสียงอันดัง!  เราจะอยู่เหนือพ้นจักรวาล!  เราได้ปกครองในหมู่ผู้คนแล้ว!  เราได้รับการยกย่องจากผู้คน!  เราล่องลอยอยู่ในฟ้าสวรรค์สีครามเบื้องบนและผู้คนก็เดินไปพร้อมกับเรา  เราเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนและผู้คนของเราห้อมล้อมเรา!  หัวใจของผู้คนชื่นบาน เพลงของพวกเขาสะเทือนจักรวาล กึกก้องถึงสวรรค์ชั้นสูงสุด!  จักรวาลไม่มีหมอกปกคลุมอีกต่อไป ไม่มีโคลนตมอีกต่อไป ไม่มีสิ่งปฏิกูลพอกพูนขึ้นมาอีกต่อไป  ผู้คนบริสุทธิ์แห่งจักรวาลเอ๋ย!  ภายใต้การตรวจสอบของเรา เจ้าแสดงโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้า  พวกเจ้าไม่ใช่มนุษย์ที่ถูกสิ่งสกปรกโสมมปกคลุม แต่เป็นวิสุทธิชนที่บริสุทธิ์ราวกับหยก พวกเจ้าทั้งหมดเป็นที่รักของเรา พวกเจ้าทั้งหมดคือความปีติยินดีของเรา!  สรรพสิ่งกลับมีชีวิตขึ้นมา!  วิสุทธิชนทั้งหมดได้กลับมารับใช้เราบนสวรรค์ เข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของเรา ไม่ร่ำไห้อีกต่อไป ไม่กระวนกระวายอีกต่อไป ส่งมอบตัวพวกเขาเองให้เรา กลับมาที่บ้านของเรา และในบ้านเกิดของพวกเขา พวกเขาจะรักเราอย่างไม่สิ้นสุด!  ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์!  ความโศกเศร้าอยู่ที่ใด!  น้ำตาอยู่ที่ใด!  เนื้อหนังอยู่ที่ใด!  แผ่นดินโลกล่วงลับไป แต่ฟ้าสวรรค์คงอยู่ตลอดกาล  เราปรากฏต่อผู้คนทั้งปวงและผู้คนทั้งปวงสรรเสริญเรา  ชีวิตนี้ ความงดงามนี้ ตั้งแต่เพรงกาลจนถึงจุดจบแห่งกาลเวลา จะไม่เปลี่ยนแปลง  นี่คือชีวิตแห่งราชอาณาจักร

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงชื่นบานเถิด!

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 584

เราได้ทำงานไปมากมายท่ามกลางพวกเจ้า และแน่นอนว่า ได้กล่าวถ้อยคำไปมากพอสมควรด้วยเช่นกัน  กระนั้นเราก็ยังอดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่า วจนะของเราและงานของเรานั้นยังไม่ได้ลุล่วงตามจุดประสงค์ของงานของเราโดยครบถ้วนบริบูรณ์ในยุคสุดท้าย  เพราะว่าในยุคสุดท้ายนั้น งานของเราไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะ หรือผู้คนกลุ่มใดโดยเฉพาะ แต่เพื่อเป็นการสาธิตให้เห็นอุปนิสัยประจำตัวของเรา  กระนั้นด้วยเหตุผลมากมายเหลือคณานับ—บางทีอาจจะเป็นเรื่องของการไม่ค่อยมีเวลาหรือตารางงานอันวุ่นวาย—ผู้คนจึงยังไม่ได้รับความรู้อันใดเกี่ยวกับเราจากอุปนิสัยของเรา  ด้วยเหตุนั้น เราจึงเริ่มดำเนินแผนการใหม่ของเรา งานสุดท้ายของเรา และเปิดหน้าใหม่ในงานของเรา เพื่อที่ทุกคนซึ่งมองเห็นเราจะต้องตีอกชกหัวตัวเองและร่ำไห้และครวญคร่ำรำพันไม่หยุดอันเนื่องมาจากการดำรงอยู่ของเรา  นี่เป็นเพราะเรานำบทอวสานของมวลมนุษย์มาสู่โลก และจากจุดนี้ไป เรานำอุปนิสัยทั้งสิ้นของเรามาแผ่วางต่อหน้ามวลมนุษย์ เพื่อที่ทุกคนซึ่งรู้จักเราและบรรดาผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักเราอาจได้รับอาหารตาและมองเห็นว่า เราได้มาสู่โลกมนุษย์แล้วจริงๆ ได้มาสู่โลกที่ซึ่งทุกสรรพสิ่งเพิ่มทบทวีคูณ  นี่คือแผนการของเรา และเป็น “การสารภาพ” เพียงครั้งเดียวเท่านั้นของเรานับตั้งแต่การสร้างมวลมนุษย์ของเรา  พวกเจ้าจงให้ความสนใจที่พร้อมมูลแก่ทุกการเคลื่อนไหวของเรา เพราะไม้เรียวของเรากดลงมาใกล้มวลมนุษย์อีกครั้ง ใกล้ผู้คนทุกคนที่ต่อต้านเรา

เราเริ่มงานที่เราต้องทำ โดยร่วมกันกับฟ้าสวรรค์ทั้งหลาย  และดังนั้นเราจึงค่อยๆ ลัดเลาะกระแสผู้คนไปอย่างระมัดระวัง และเคลื่อนไหวระหว่างสวรรค์และแผ่นดินโลก โดยที่ไม่มีใครเคยล่วงรู้การเคลื่อนไหวของเรา หรือสังเกตเห็นวจนะของเรา  ดังนั้น แผนงานของเราจึงยังคงก้าวหน้าต่อไปอย่างราบรื่น  มีก็เพียงตรงที่ สำนึกของพวกเจ้าทั้งหมดนั้นได้กลายเป็นด้านชามากจนถึงขั้นที่พวกเจ้าหลงลืมขั้นตอนทั้งหลายแห่งงานของเรา  แต่วันหนึ่งที่พวกเจ้าจะระลึกได้ถึงเจตนารมณ์ของเรา จะมาถึงอย่างแน่นอน  วันนี้เราดำรงชีวิตอยู่กับพวกเจ้าและทนทุกข์ไปด้วยกันกับพวกเจ้า และนานมาแล้วที่เราได้มาเข้าใจท่าทีที่มวลมนุษย์มีต่อเรา  เราไม่ปรารถนาที่จะพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป นับประสาอะไรที่เราจะปรารถนาที่จะนำความน่าอับอายมาสู่พวกเจ้าโดยการยกตัวอย่างเพิ่มเติมในหัวเรื่องที่เจ็บปวดนี้  เราหวังแค่เพียงว่าพวกเจ้าจะจดจำทั้งหมดที่เจ้าได้ทำไว้ในหัวใจของพวกเจ้า เพื่อที่พวกเราอาจจะได้เอาบัญชีของเรามาเทียบประกบกันในวันที่พวกเราพบกันอีกครั้ง  เราไม่ปรารถนาที่จะกล่าวหาใครก็ตามท่ามกลางพวกเจ้าอย่างผิดๆ เพราะเรานั้นปฏิบัติอย่างเป็นธรรม อย่างยุติธรรม และด้วยเกียรติเสมอ  แน่นอนที่เรายังหวังอีกด้วยว่าพวกเจ้าจะสามารถรักษาความดีงาม และไม่ทำอะไรที่เป็นการต่อต้านสวรรค์และแผ่นดินโลกหรือมโนธรรมของตัวเจ้าเอง  นี่คือสิ่งเดียวเท่านั้นที่เราขอจากพวกเจ้า  ผู้คนจำนวนมากรู้สึกทุรนทุรายและไม่สบายใจเพราะพวกเขาได้กระทำความผิดอันเลวร้ายน่ากลัว และหลายคนรู้สึกละอายใจในตัวเองเพราะพวกเขาไม่เคยทำความประพฤติที่ดีงามเลยแม้เพียงอย่างเดียว  กระนั้นก็ยังมีหลายคนที่ห่างไกลจากการรู้สึกเสื่อมเสียจากบาปของตน เปลี่ยนจากแย่ไปเป็นแย่กว่า อันเป็นการกระชากหน้ากากที่ปกปิดคุณสมบัติหลักอันน่าเกลียดน่ากลัวของพวกเขา—ซึ่งยังไม่เคยถูกตีแผ่อย่างเต็มที่—ออกอย่างครบบริบูรณ์เพื่อทดสอบอุปนิสัยของเรา  เราไม่สนใจและไม่ใส่ใจในการกระทำทั้งหลายของบุคคลหนึ่งบุคคลใด  ในทางตรงกันข้าม เราทำงานที่เราควรจะทำ ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมข้อมูล หรือการเดินทางไปในแผ่นดิน หรือทำอะไรบางอย่างที่อยู่ในความสนใจของเรา  ในเวลาสำคัญๆ เราเดินหน้าไปกับงานของเราท่ามกลางมนุษย์ตามที่ได้วางแผนไว้แต่เดิม ไม่ช้าเกินไปหรือเร็วเกินไปแม้แต่หนึ่งวินาที และด้วยทั้งความง่ายดายและความฉับไว  อย่างไรก็ตาม ด้วยทุกขั้นตอนของงานของเรา บางคนได้ถูกปัดทิ้งเพราะเราดูหมิ่นหนทางยกยอสารพัดของพวกเขา และการอ่อนน้อมแบบจอมปลอมของพวกเขา  บรรดาผู้ที่น่าชิงชังสำหรับเราจะถูกละทิ้งอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม  พูดให้สั้นก็คือ เราประสงค์จะให้ทุกคนที่เราดูหมิ่นนั้นอยู่ห่างเราไกลแสนไกล  คงไม่ต้องพูดว่า เราจะไม่ละเว้นคนเลวซึ่งยังคงอยู่ในบ้านของเรา  เนื่องจากวันลงโทษมนุษย์นั้นอยู่ใกล้แล้ว เราจึงไม่ได้เร่งรีบที่จะขับทุกดวงจิตอันน่าดูหมิ่นเหล่านั้นออกจากบ้านของเรา  เพราะเรามีแผนการของเราเอง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 585

บัดนี้เป็นเวลาที่เรากำหนดพิจารณาบทอวสานสำหรับแต่ละบุคคล ไม่ใช่ช่วงระยะซึ่งเราเริ่มทำงานกับมนุษย์  เราจดบันทึกคำพูดและการกระทำทั้งหลายของแต่ละบุคคล เส้นทางซึ่งพวกเขาได้ติดตามเรามา คุณลักษณะเฉพาะโดยกำเนิดของพวกเขา และวิธีที่พวกเขาประพฤติตนในท้ายที่สุด ลงในสมุดบันทึกของเราทีละคน  เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นบุคคลประเภทใด ย่อมไม่มีใครจะหลบพ้นมือของเรา และทุกคนจะรวมอยู่กับบุคคลประเภทเดียวกันตามที่เราจัดให้  เราตัดสินใจเรื่องบั้นปลายของแต่ละบุคคลโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอายุ ความอาวุโส ปริมาณความทุกข์ และที่น้อยที่สุดคือ ระดับความชวนสังเวชของพวกเขา แต่เป็นไปโดยสอดคล้องกับการที่ว่า พวกเขาครองความจริงหรือไม่  ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้  พวกเจ้าจำต้องตระหนักว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะถูกลงโทษด้วยเช่นกัน  นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ถูกลงโทษได้ถูกทำการลงโทษไปเช่นนั้นก็เพื่อความชอบธรรมของพระเจ้า และเป็นการลงทัณฑ์อันสาสมแล้วกับการกระทำชั่วอันนับไม่ถ้วนของพวกเขา  เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงแผนการของเราเลยแม้แต่อย่างเดียวนับตั้งแต่แรกเริ่มแผนการ เพียงแต่ว่า หากพิจารณาจากฝั่งของมนุษย์ บรรดาผู้ที่เราชี้นำด้วยวจนะของเราดูเหมือนจะมีจำนวนลดน้อยถอยลง เช่นเดียวกันกับบรรดาผู้ที่เราเห็นชอบอย่างแท้จริง  อย่างไรก็ตาม เรายังคงยืนยันว่าแผนการของเราไม่เคยเปลี่ยนแปลง ในทางตรงกันข้าม ความเชื่อและความรักของมนุษย์ต่างหากที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ลดถอยลงตลอดเวลา จนถึงขอบข่ายที่เป็นไปได้ว่า แต่ละบุคคลจะเปลี่ยนแปลงจากป้อยอเรา ไปเป็นเย็นชาต่อเรา และถึงขั้นขับเราออกไป  ท่าทีของเราที่มีต่อพวกเจ้าจะไม่เป็นทั้งร้อนและเย็น จนกว่าเราจะรู้สึกถึงความน่าขยะแขยงและความชิงชัง และในท้ายที่สุดจึงสั่งตัดสินลงโทษไป  ไม่ว่าจะอย่างไร ในวันแห่งการลงโทษพวกเจ้า เราจะยังคงมองเห็นพวกเจ้าอยู่ แต่พวกเจ้าจะไม่สามารถมองเห็นเราได้อีกต่อไปแล้ว  เนื่องจากชีวิตท่ามกลางพวกเจ้าได้กลายมาเป็นสิ่งที่น่าเบื่อและจืดชืดไปแล้วสำหรับเรา ดังนั้น คงไม่ต้องบอกว่า เราได้เลือกแล้วที่จะดำรงชีวิตในสิ่งรายล้อมที่ต่างออกไป สิ่งที่ดีกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดจากวาจาที่คิดร้ายนานาของพวกเจ้า และหลีกให้พ้นพฤติกรรมอันเลวทรามเหลือทนของพวกเจ้า ที่พวกเจ้าไม่อาจหลอกเราหรือปฏิบัติต่อเราอย่างขอไปทีอีกต่อไป  ก่อนที่เราจะจากพวกเจ้าไป เรายังคงจำต้องเตือนสติพวกเจ้า ให้เว้นจากการกระทำในสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความจริง  ในทางตรงกันข้าม เจ้าควรทำสิ่งซึ่งเป็นที่พอใจของทุกคน สิ่งซึ่งนำประโยชน์มาสู่ทุกคน และสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์ต่อบั้นปลายของเจ้าเอง มิฉะนั้นแล้วผู้ที่ทนทุกข์อยู่ท่ามกลางความวิบัติ จะไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวเจ้าเอง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 586

ความปรานีของเรานั้นแสดงออกต่อบรรดาผู้ที่รักเราและปฏิเสธตัวพวกเขาเอง  ในขณะเดียวกัน การลงโทษที่ได้ไปเยือนคนเลว ก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงอุปนิสัยที่ชอบธรรมของเราอย่างชัดเจน และยิ่งไปกว่านั้นคือ พิสูจน์คำพยานแห่งความโกรธเคืองของเรา เมื่อความวิบัติมาเยือน ทุกคนที่ต่อต้านเราจะวิปโยคร่ำไห้ในขณะที่พวกเขาตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของการกันดารอาหารและภัยพิบัติ  บรรดาผู้ที่ได้กระทำความเลวในทุกลักษณะ เว้นแต่ผู้ที่ได้ติดตามเรามาเป็นเวลาหลายปี จะไม่มีทางหลบพ้นการชำระชดใช้ให้กับบาปของตน พวกเขาอีกเช่นกัน ที่จะดิ่งพรวดลงสู่ความวิบัติ ในแบบที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นกันในตลอดระยะเวลาหลายล้านปี และพวกเขาจะดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะแห่งความอกสั่นขวัญผวาและหวาดกลัวตลอดเวลา  และบรรดาผู้ติดตามของเราทั้งหลายที่ได้แสดงความจงรักภักดีต่อเราจะชื่นบานและปรบมือให้กับอิทธิฤทธิ์ของเรา  พวกเขาจะผ่านประสบการณ์กับความพอใจอันเกินพรรณนา และดำรงชีวิตท่ามกลางความชื่นบานยินดีอย่างที่เราไม่เคยมอบให้มวลมนุษย์  เพราะเราถนอมความล้ำค่าของความประพฤติที่ดีงามของมนุษย์และชิงชังความประพฤติชั่วของพวกเขา  ตั้งแต่เมื่อเราเริ่มต้นนำทางมวลมนุษย์ เรามุ่งหวังอย่างใจจดใจจ่อมาตลอดว่าจะได้รับผู้คนสักกลุ่มที่มีจิตใจเดียวกับเรา  ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้ที่ไม่ได้มีจิตใจเดียวกับเรานั้น เราก็ไม่เคยลืม เราเกลียดพวกเขาในหัวใจของเราเสมอ รอคอยโอกาสที่จะนำพาการลงทัณฑ์อันสาสมมาสู่พวกเขา อันเป็นสิ่งซึ่งเราจะเพลิดเพลินที่ได้เห็น  บัดนี้วันของเราได้มาถึงแล้วในที่สุด และเราไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไปแล้ว!

งานขั้นสุดท้ายของเราไม่ใช่แค่เพื่อลงโทษมนุษย์เท่านั้น แต่เพื่อการจัดการเตรียมบั้นปลายของมนุษย์อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นไปเพื่อที่ผู้คนทั้งหมดอาจรับรู้กิจการและการกระทำของเรา เราต้องการให้แต่ละบุคคลได้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำมานั้นถูกต้อง และได้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำมานั้นเป็นการแสดงออกของอุปนิสัยของเรา  ที่ให้กำเนิดมวลมนุษย์นั้นไม่ใช่การกระทำของมนุษย์ นับประสาอะไรที่จะเป็นการกระทำของธรรมชาติ แต่เป็นเรา ผู้บำรุงเลี้ยงทุกสิ่งมีชีวิตซึ่งอยู่ในการสร้าง  หากปราศจากการดำรงอยู่ของเรา มวลมนุษย์ย่อมมีแต่จะพินาศและทุกข์ทนจากการหวดเฆี่ยนแห่งหายนะเท่านั้น  ไม่มีมนุษย์คนใดจะได้เห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อันสวยงาม หรือโลกอันเขียวขจีอีกเลย มวลมนุษย์จะเผชิญเพียงค่ำคืนอันเยือกเย็นและหุบเขาแห่งเงามรณะซึ่งไร้ปรานี  เราคือความรอดเดียวเท่านั้นของมวลมนุษย์ เราคือความหวังเดียวเท่านั้นของมวลมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้นคือ เราก็คือพระองค์ผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งแห่งการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ทั้งปวง  หากไม่มีเรา—มวลมนุษย์จะหยุดนิ่งลงในทันที  หากไม่มีเรา—มวลมนุษย์จะทุกข์ทนกับมหันตภัยและถูกบรรดาผีสางทุกลักษณะเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า กระนั้นก็ยังไม่มีใครใส่ใจเรา  เราได้ทำงานที่ไม่มีใครอื่นทำได้ และหวังเพียงแค่ว่ามนุษย์จะสามารถตอบแทนเราด้วยความประพฤติที่ดีงามบ้าง  แม้จะมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถตอบแทนเราได้ เราก็จะยังคงยุติการเดินทางไกลของเราในโลกมนุษย์ลง และเริ่มต้นขั้นตอนถัดไปของงานของเราที่กำลังคลี่คลายออกมา เนื่องจากการเร่งรุดไปมาของเราทั้งหมดท่ามกลางมนุษย์ในช่วงหลายปีมานี้ให้ดอกผลดี และเราก็ยินดีมาก  สิ่งที่เราสนใจไม่ใช่จำนวนผู้คน แต่เป็นความประพฤติที่ดีงามของพวกเขาเสียมากกว่า  ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม เราหวังว่าพวกเจ้าจะตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของตัวเจ้าเอง  เมื่อนั้นเราจึงจะพึงพอใจ มิฉะนั้นแล้ว ไม่มีใครเลยในบรรดาพวกเจ้าที่จะสามารถหนีรอดจากความวิบัติที่จะตกมาถึงเจ้าได้  ความวิบัตินั้นมีจุดกำเนิดอยู่ที่เราและแน่นอนว่าถูกจัดวางเรียบเรียงโดยเรา  หากพวกเจ้าไม่สามารถปรากฏว่าดีงามได้ในสายตาของเรา เช่นนั้นพวกเจ้าก็จะไม่อาจหนีรอดจากความทุกข์ของความวิบัติไปได้  ในท่ามกลางความทุกข์ลำบากความประพฤติและการกระทำโดยเจตนาทั้งหลายของพวกเจ้าไม่ได้ถูกพิจารณาว่าสมควรไปเสียทั้งหมด เนื่องจากความเชื่อและความรักของพวกเจ้านั้นกลวงเป็นโพรง และเจ้าเพียงแค่แสดงให้เห็นว่า ตัวตนของพวกเจ้าขลาดหรือไม่ก็ทรหดเท่านั้นเอง  ในเรื่องนี้ เราจะพิพากษาสิ่งที่ดีและสิ่งที่แย่เท่านั้น  ความกังวลสนใจของเรายังคงเป็นเรื่องของหนทางที่พวกเจ้าแต่ละคนปฏิบัติและแสดงตัวตนของเจ้าออกมา อันเป็นพื้นฐานที่เราจะใช้กำหนดพิจารณาบทอวสานของพวกเจ้า  อย่างไรก็ตาม เราจำต้องพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจนว่า กับบรรดาผู้ที่ไม่ได้แสดงให้เราเห็นความจงรักภักดีแม้แต่น้อยในระหว่างช่วงเวลาของความทุกข์ลำบาก เราจะไม่ปรานีอีกต่อไป เพราะความปรานีของเราขยายเวลามาเพียงถึงตอนนี้เท่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่มีความชอบให้กับใครก็ตามที่ครั้งหนึ่งเคยทรยศเรา นับประสาอะไรที่เราจะชอบเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดาผู้ที่ขายผลประโยชน์ของผองเพื่อนของตน นี่คืออุปนิสัยของเรา  ไม่ว่าบุคคลคนนั้นอาจเป็นใครก็ตาม เราจำต้องบอกเรื่องนี้กับพวกเจ้าว่า ใครก็ตามที่ทำให้เราเสียใจจะไม่ได้รับความเมตตาผ่อนผันจากเราเป็นครั้งที่สอง และใครก็ตามที่สัตย์ซื่อต่อเราตลอดมาจะยังคงอยู่ในหัวใจของเราตลอดกาล

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 587

ในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ มหาสมุทรเหือดแห้งตกตะกอนกลายเป็นท้องทุ่ง ท้องทุ่งถูกน้ำท่วมจนกลายเป็นมหาสมุทร ครั้งแล้วครั้งเล่า  ไม่มีใครสามารถนำทางและชี้นำเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้ได้ เว้นแต่พระองค์ผู้ทรงปกครองทุกสิ่งทุกอย่างท่ามกลางทุกสรรพสิ่งในจักรวาลพระองค์เดียวเท่านั้น  ไม่มีผู้ทรงฤทธิ์ใดที่จะตรากตรำทำงานหรือทำการตระเตรียมให้กับมนุษยชาตินี้ ที่ยิ่งน้อยกว่านั้นก็คือ ไม่มีใครที่สามารถนำทางเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้สู่บั้นปลายแห่งความสว่างและปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากความอยุติธรรมทางโลกได้  พระเจ้าทรงกำสรดต่ออนาคตของมวลมนุษย์ พระองค์ตรมพระทัยกับการตกต่ำของมวลมนุษย์ และทรงเจ็บปวดที่มวลมนุษย์กำลังเดินตบเท้าทีละก้าวเข้าหาความเสื่อมสลายและเส้นทางที่ไม่อาจหวนคืน  มีใครเคยคิดหรือไม่ว่า มวลมนุษย์เช่นนี้ที่ได้ทำร้ายพระทัยของพระเจ้าและประกาศตัดสัมพันธ์กับพระองค์เพื่อแสวงหามารร้าย อาจมุ่งหน้าไปในทิศทางใด?  ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำไมจึงไม่มีใครสำนึกถึงพระพิโรธของพระเจ้า ทำไมจึงไม่มีใครแสวงหาหนทางที่จะทำให้พระเจ้าทรงยินดี หรือพยายามเข้าใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น และที่มากยิ่งกว่านั้นคือ ทำไมจึงไม่มีใครพยายามจับใจความในความตรมพระทัยและความเจ็บปวดของพระเจ้า  แม้กระทั่งหลังจากได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า มนุษย์ก็ยังคงเดินไปบนเส้นทางของตนต่อไป ยืนกรานในการหันเหไปจากพระเจ้า เลี่ยงหนีพระคุณและการดูแลของพระเจ้า และหลบเลี่ยงความจริงของพระองค์ เลือกชอบที่จะขายตนเองให้กับซาตาน—ศัตรูของพระเจ้า—มากกว่า  และมีใครหรือไม่ที่เคยคิดว่า หากมนุษย์ยังยืนกรานในความดื้อดึงต่อไป พระเจ้าจะทรงทำอย่างไรกับมนุษยชาติพวกนี้ที่ผลักไสพระองค์ออกห่างอย่างไร้เยื่อใย?  ไม่มีใครรู้ว่าเหตุผลที่พระเจ้าทรงเตือนความจำและเคี่ยวเข็ญซ้ำๆ นั่นก็เป็นเพราะ ในพระหัตถ์ของพระองค์นั้น พระองค์ได้ทรงตระเตรียมหายนะอย่างหนึ่งซึ่งไม่เคยมีอันใดเสมอเหมือนมาก่อนเอาไว้แล้ว เป็นหายนะที่เนื้อหนังและจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นมิอาจจะทนรับได้เลย  หายนะนี้ไม่ใช่แค่การลงโทษต่อเนื้อหนัง แต่ต่อดวงจิตด้วยเช่นกัน  เจ้าจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ว่า เมื่อแผนการของพระเจ้าเป็นอันล้มเหลวไป และเมื่อคำเตือนความจำและการเคี่ยวเข็ญของพระองค์ไม่ได้รับการตอบแทน พระโทสะแบบใดเล่าที่พระองค์จะทรงปลดปล่อยออกมา?  มันจะไม่เหมือนกับสิ่งใดเลยที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดได้เคยผ่านประสบการณ์หรือได้ยินมาก่อน  เราจึงจะกล่าวว่า หายนะนี้ไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีซ้ำอีก  เพราะว่าแผนการของพระเจ้านั้นก็คือ การสร้างมวลมนุษย์เพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น  นี่เป็นครั้งแรก และก็เป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน  เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครสามารถจับใจความเจตนารมณ์อันอุตสาหะและความมุ่งหวังอันแรงกล้าที่พระเจ้าจะทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดในครั้งนี้ได้เลย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 588

มนุษย์มีความเข้าใจน้อยนิดเกี่ยวกับพระราชกิจของวันนี้และพระราชกิจแห่งอนาคต แต่เขาไม่เข้าใจบั้นปลายที่มวลมนุษย์จะเข้าสู่  ในฐานะสิ่งทรงสร้างหนึ่ง มนุษย์ควรปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งทรงสร้าง นั่นคือ มนุษย์ควรติดตามพระเจ้าในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ พวกเจ้าควรดำเนินการในหนทางใดก็ตามที่เราบอกให้พวกเจ้าทำ  เจ้าไม่มีทางบริหารจัดการสิ่งทั้งหลายให้ตัวเจ้าเอง และเจ้าไม่มีความเป็นนายเหนือตัวเจ้าเอง ทั้งหมดนั้นต้องปล่อยให้อยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  หากพระราชกิจของพระเจ้าได้จัดเตรียมปลายทางให้มนุษย์ไว้ล่วงหน้า เป็นบั้นปลายอันน่าอัศจรรย์ และหากพระเจ้าทรงใช้สิ่งนี้มาชักจูงมนุษย์และทำให้มนุษย์ติดตามพระองค์—หากพระองค์ทรงทำข้อตกลงกับมนุษย์—เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมจะไม่ใช่การพิชิตชัย แล้วก็จะไม่ใช่การปรับปรุงชีวิตของมนุษย์  หากพระเจ้าต้องทรงใช้ปลายทางของมนุษย์มาควบคุมเขาและเพื่อให้ได้หัวใจของเขามา เช่นนั้นแล้ว ในการนี้พระองค์ย่อมจะไม่ได้กำลังทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม และพระองค์ก็จะไม่สามารถได้มนุษย์มา แต่กลับจะกำลังใช้บั้นปลายมาควบคุมเขาแทน  มนุษย์ไม่ใส่ใจเรื่องอื่นใดมากไปกว่าปลายทางในอนาคต บั้นปลายสุดท้าย และการที่ว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ดีให้หวังหรือไม่  หากมนุษย์ได้รับความหวังอันสวยงามในระหว่างพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย และหากว่าก่อนการพิชิตมนุษย์ เขาได้รับมอบบั้นปลายที่ถูกต้องเหมาะสมให้ไล่ตามเสาะหา เช่นนั้นแล้ว ไม่เพียงการพิชิตมนุษย์จะไม่สัมฤทธิ์ผลเท่านั้น แต่ผลของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยก็จะพลอยได้รับอิทธิพลไปด้วย  กล่าวคือ พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยสัมฤทธิ์ผลโดยการนำเอาชะตากรรมและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ไปจากมนุษย์ และโดยการพิพากษาและตีสอนอุปนิสัยที่เป็นกบฏของมนุษย์  พระราชกิจนี้ไม่ได้สัมฤทธิ์ด้วยการทำข้อตกลงกับมนุษย์ ซึ่งก็คือด้วยการให้พรและพระคุณแก่มนุษย์ แต่กลับสัมฤทธิ์ผลด้วยการเปิดเผยความจงรักภักดีของมนุษย์โดยเอา “อิสรภาพ” ของเขาไปจากเขา และทำลายความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเขาให้สิ้นไปต่างหาก  นี่คือแก่นแท้ของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย  หากมนุษย์ได้รับความหวังที่สวยงามตั้งแต่แรก และพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาดำเนินไปในภายหลัง เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ก็จะยอมรับการตีสอนและการพิพากษานี้บนพื้นฐานที่ว่าเขามีความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ และในที่สุดสรรพสิ่งทรงสร้างของพระองค์ก็จะไม่สัมฤทธิ์การเชื่อฟังและการนมัสการพระผู้สร้างอย่างไม่มีเงื่อนไข จะมีก็เพียงการเชื่อฟังที่มืดบอดไม่รู้เท่าทัน หรือมิฉะนั้นมนุษย์ก็จะมีข้อเรียกร้องกับพระเจ้าอย่างมืดบอด และย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะพิชิตหัวใจมนุษย์ได้อย่างเต็มที่  ผลที่ตามมาคือย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยเช่นนั้นจะได้มนุษย์มา หรือที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นไปไม่ได้ที่พระราชกิจเช่นนั้นจะเป็นคำพยานให้พระเจ้า  สิ่งทรงสร้างเช่นนั้นจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ และจะเอาแต่ทำข้อตกลงกับพระเจ้าเท่านั้น นี่ย่อมจะไม่ใช่การพิชิตชัย แต่เป็นความกรุณาและพรต่างหาก  ปัญหาใหญ่ที่สุดของมนุษย์ก็คือว่า เขาไม่คิดถึงสิ่งใดนอกจากชะตากรรมและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเขา และปลาบปลื้มหลงใหลในสิ่งเหล่านี้  มนุษย์ไล่ตามเสาะหาพระเจ้าเพื่อชะตากรรมและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเขา เขามิได้นมัสการพระเจ้าเพราะความรักที่เขามีต่อพระองค์  และดังนั้นในการพิชิตมนุษย์ ความเห็นแก่ตัว ความโลภของมนุษย์ และสิ่งทั้งหลายที่เป็นอุปสรรคต่อการนมัสการพระเจ้าของเขามากที่สุดจึงต้องถูกจัดการและถูกกำจัดทิ้งทั้งหมดด้วยการนั้น  ในการทำเช่นนั้นจึงจะสัมฤทธิ์ผลของการพิชิตมนุษย์  ผลลัพธ์ก็คือในช่วงระยะแรกของการพิชิตมนุษย์จำเป็นต้องชำระล้างความทะเยอทะยานอันเตลิดไร้ทิศทางและจุดอ่อนอันร้ายแรงปางตายที่สุดของมนุษย์เสียก่อน และจำเป็นต้องเผยความรักที่มนุษย์มีต่อพระเจ้าและเปลี่ยนแปลงความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ทรรศนะที่เขามีเกี่ยวกับพระเจ้า และความหมายแห่งการดำรงอยู่ของเขาโดยผ่านทางการนี้  ในหนทางนี้ ความรักที่มนุษย์มีต่อพระเจ้าย่อมได้รับการชำระให้สะอาด ซึ่งหมายความว่าหัวใจของมนุษย์ได้รับการพิชิต  แต่ในท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อสรรพสิ่งทรงสร้าง พระเจ้ามิได้ทรงพิชิตเพียงเพื่อการพิชิตเท่านั้น ตรงกันข้าม พระองค์ทรงพิชิตเพื่อให้ได้มนุษย์มา เพื่อพระสิริของพระองค์เอง และเพื่อฟื้นฟูสภาพเสมือนดั้งเดิมแรกสุดของมนุษย์ต่างหาก  หากพระองค์ทรงพิชิตเพียงเพื่อการพิชิตเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว ความสำคัญของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยก็จะสูญสิ้นไป  นั่นหมายถึงว่าหากหลังจากที่พิชิตมนุษย์แล้ว พระเจ้าล้างพระหัตถ์ของพระองค์จากมนุษย์และไม่ใส่พระทัยในความเป็นหรือความตายของมนุษย์ เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมจะไม่ใช่การบริหารจัดการมวลมนุษย์ และการพิชิตมนุษย์ก็จะไม่ได้เป็นไปเพื่อความรอดของเขา  มีเพียงการได้มนุษย์มาหลังจากที่พิชิตเขาและการที่เขามาถึงบั้นปลายอันน่าอัศจรรย์ในท้ายที่สุดเท่านั้นที่เป็นหัวใจสำคัญของพระราชกิจแห่งความรอดทั้งปวง และมีเพียงการนี้เท่านั้นที่สามารถสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายแห่งความรอดของมนุษย์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มีเพียงการที่มนุษย์มาถึงบั้นปลายอันสวยงามและเข้าสู่การหยุดพักของเขาเท่านั้นที่เป็นความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ซึ่งสรรพสิ่งทรงสร้างควรครอง และเป็นพระราชกิจที่พระผู้สร้างควรจะทำ  หากมนุษย์จะทำงานนี้ เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะมีข้อจำกัดมากเกินไป กล่าวคือ งานนี้อาจจะพามนุษย์ไปถึงจุดหนึ่งได้ แต่จะไม่สามารถพามนุษย์ไปถึงบั้นปลายอันเป็นนิรันดร์  มนุษย์ไม่สามารถตัดสินโชคชะตาของมนุษย์ได้ และยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่สามารถรับรองความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้และบั้นปลายในอนาคตของมนุษย์  อย่างไรก็ตาม พระราชกิจที่พระเจ้าทำนั้นแตกต่างออกไป  เนื่องจากพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ พระองค์จึงทรงนำทางเขา ในเมื่อพระองค์ทรงช่วยมนุษย์ให้รอด พระองค์ก็จะทรงช่วยเขาให้รอดอย่างสมบูรณ์ และจะทรงได้เขามาโดยบริบูรณ์ ในเมื่อพระองค์ทรงนำทางมนุษย์ พระองค์ก็จะทรงพาเขาไปยังบั้นปลายที่ถูกต้องเหมาะสม และเนื่องจากพระองค์ทรงสร้างและบริหารจัดการมนุษย์ พระองค์ก็ต้องทรงรับผิดชอบชะตากรรมและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของมนุษย์ นี่เองคือพระราชกิจที่พระผู้สร้างทำ  ถึงแม้ว่าพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยจะสัมฤทธิ์ด้วยการลบล้างความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเขา แต่ในที่สุดแล้วมนุษย์ก็ต้องถูกพาไปยังบั้นปลายที่ถูกต้องเหมาะสมที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมไว้ให้เขา  เป็นเพราะพระเจ้าทรงปรับปรุงมนุษย์โดยแท้ มนุษย์จึงมีบั้นปลายและมั่นใจได้ในชะตากรรมของเขา บั้นปลายที่เหมาะสมที่อ้างถึงในที่นี้มิใช่ความหวังและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของมนุษย์ซึ่งได้ถูกลบล้างไปแล้วในยุคที่ผ่านมา สองอย่างนี้แตกต่างกัน  สิ่งที่มนุษย์มุ่งหวังและไล่ตามเสาะหานั้นเป็นความโหยหาที่เกิดจากการไขว่คว้าตามความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อแห่งเนื้อหนังของเขา แทนที่จะเป็นบั้นปลายอันเกิดจากมนุษย์  ขณะเดียวกันสิ่งที่พระเจ้าทรงตระเตรียมไว้ให้มนุษย์คือพรและสัญญาอันเกิดจากมนุษย์ทันทีที่เขาได้รับการทำให้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว พระเจ้าทรงตระเตรียมพรและสัญญาเหล่านี้ไว้ให้มนุษย์แล้วหลังการสร้างโลก และไม่ได้ด่างพร้อยเพราะทางเลือก มโนคติอันหลงผิด ความคิดฝันทั้งหลาย หรือเนื้อหนังของมนุษย์  บั้นปลายนี้มิได้ตระเตรียมไว้เพื่อบุคคลใดโดยเฉพาะ แต่เป็นสถานที่แห่งการหยุดพักของมวลมนุษย์ทั้งปวง และดังนั้นบั้นปลายนี้จึงเป็นบั้นปลายที่เหมาะสมกับมวลมนุษย์ที่สุด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 589

พระผู้สร้างตั้งพระทัยที่จะจัดวางเรียบเรียงสิ่งมีชีวิตทั้งปวงแห่งการทรงสร้าง  เจ้าต้องไม่ทิ้งขว้างหรือดื้อดึงกับสิ่งใดก็ตามที่พระองค์ทรงทำ และเจ้าก็ไม่ควรเป็นกบฏต่อพระองค์  เมื่อพระราชกิจที่พระองค์ทำนั้นสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพระองค์ในท้ายที่สุด พระองค์ย่อมจะได้รับพระสิริในการนี้  ในวันนี้เหตุไฉนจึงไม่มีการกล่าวว่าเจ้าคือพงศ์พันธุ์ของโมอับ หรือเป็นลูกหลานของพญานาคใหญ่สีแดง?  เหตุใดจึงไม่มีการพูดถึงประชากรที่ทรงเลือกสรร และพูดถึงแต่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น?  สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—นี่คือชื่อเรียกดั้งเดิมของมนุษย์ และนี่เองคืออัตลักษณ์โดยกำเนิดของเขา  ชื่อทั้งหลายผันแปรไปเพียงเพราะยุคและช่วงเวลาแห่งพระราชกิจนั้นผันแปรไปเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์คือสิ่งทรงสร้างธรรมดาสิ่งหนึ่ง  สิ่งทรงสร้างทั้งปวงไม่ว่าจะเสื่อมทรามที่สุดหรือบริสุทธิ์ที่สุดก็ตาม ล้วนต้องปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เมื่อพระเจ้าดำเนินพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย พระองค์มิได้ทรงใช้ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ ชะตากรรม หรือบั้นปลายของเจ้ามาควบคุมเจ้า  แท้จริงแล้วไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทรงพระราชกิจในหนทางนี้  จุดมุ่งหมายของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยคือเพื่อทำให้มนุษย์ปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เพื่อทำให้เขานมัสการพระผู้สร้าง มีเพียงหลังจากนี้ไปแล้วเท่านั้น เขาจึงจะสามารถเข้าสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์ได้  ชะตากรรมของมนุษย์ถูกควบคุมโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า  เจ้าไม่สามารถควบคุมตัวของเจ้าเองได้ กล่าวคือ ทั้งที่มนุษย์สาละวนเร่งรีบและทำตัวให้ยุ่งวุ่นวายเพื่อตัวเขาเองอยู่เสมอ เขาก็ยังคงไม่สามารถควบคุมตัวเขาเองได้  หากเจ้าสามารถล่วงรู้ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเจ้าเอง หากเจ้าสามารถควบคุมชะตากรรมของเจ้าเองได้ เจ้าจะยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอยู่อีกหรือ?  กล่าวสั้นๆ ก็คือ ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงพระราชกิจอย่างไร พระราชกิจทั้งปวงของพระองค์ล้วนเป็นไปเพื่อมนุษย์  จงดูตัวอย่างของฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างเพื่อให้มารับใช้มนุษย์ กล่าวคือ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดวงดาวทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นเพื่อมนุษย์ สัตว์และพืชทั้งหลาย ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว และอื่นๆ—ทั้งหมดล้วนถูกสร้างขึ้นเพื่อการดำรงอยู่ของมนุษย์  และดังนั้นไม่ว่าพระเจ้าจะทรงตีสอนและพิพากษามนุษย์อย่างไร ทั้งหมดล้วนเป็นไปเพื่อความรอดของมนุษย์  ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงเอาความหวังทางเนื้อหนังของมนุษย์ไปจากเขา นั่นก็เป็นไปเพื่อชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ และการชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ก็เป็นไปเพื่อให้เขารอดชีวิตนั่นเอง  บั้นปลายของมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง ดังนั้นมนุษย์จะสามารถควบคุมตัวเขาเองได้อย่างไรกัน?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 590

ทันทีที่พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยเสร็จสมบูรณ์ มนุษย์ก็จะถูกพาเข้าสู่พิภพหนึ่งที่สวยงาม  แน่นอนว่าชีวิตเช่นนี้จะยังคงอยู่บนแผ่นดินโลก แต่จะไม่เหมือนกับชีวิตมนุษย์ในวันนี้โดยสิ้นเชิง  เป็นชีวิตที่มวลมนุษย์จะมีหลังจากที่มวลมนุษย์ทั้งปวงถูกพิชิตแล้ว เป็นการเริ่มต้นใหม่ของมนุษย์บนแผ่นดินโลก และการที่มนุษย์มีชีวิตเช่นนี้ย่อมจะเป็นข้อพิสูจน์ว่ามวลมนุษย์ได้เข้าสู่อาณาจักรอันงดงามแห่งใหม่แล้ว  นั่นจะเป็นการเริ่มต้นชีวิตของมนุษย์และพระเจ้าบนแผ่นดินโลก  ข้อสนับสนุนชีวิตที่สวยงามเช่นนี้ต้องเป็นว่า หลังจากที่มนุษย์ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และถูกพิชิตแล้ว เขานบนอบเฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้าง  และดังนั้นพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยจึงเป็นช่วงระยะสุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระเจ้าก่อนที่มวลมนุษย์จะเข้าสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์  ชีวิตเช่นนี้คือชีวิตในอนาคตของมนุษย์บนแผ่นดินโลก เป็นชีวิตที่งดงามที่สุดบนแผ่นดินโลก เป็นชีวิตในแบบที่มนุษย์ถวิลหา ชีวิตประเภทที่มนุษย์ไม่เคยสัมฤทธิ์มาก่อนในประวัติศาสตร์โลก  เป็นผลสุดท้ายของพระราชกิจบริหารจัดการ 6,000 ปี เป็นสิ่งที่มวลมนุษย์โหยหามากที่สุด และยังเป็นสัญญาที่พระเจ้าทรงมีกับมนุษย์อีกด้วย  แต่สัญญานี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในทันที กล่าวคือ มนุษย์จะเข้าสู่บั้นปลายในอนาคตได้ก็ต่อเมื่อพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายเสร็จสมบูรณ์ และเขาถูกพิชิตโดยบริบูรณ์แล้วเท่านั้น นั่นคือ ทันทีที่ซาตานปราชัยอย่างราบคาบ  หลังจากที่มนุษย์ได้รับการถลุงแล้ว เขาจะปราศจากธรรมชาติอันเปี่ยมบาป เพราะพระเจ้าย่อมจะทรงทำให้ซาตานปราชัยแล้ว หมายความว่าจะไม่มีการรุกล้ำโดยกำลังบังคับที่ไม่เป็นมิตร และไม่มีกำลังบังคับอันไม่เป็นมิตรใดเลยที่สามารถโจมตีเนื้อหนังของมนุษย์ได้  และดังนั้นมนุษย์จะเป็นอิสระและบริสุทธิ์ นั่นคือ เขาย่อมจะเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์แล้ว  มีเพียงเมื่อกำลังบังคับที่ไม่เป็นมิตรของความมืดถูกพันธนาการไว้แล้วเท่านั้น มนุษย์จึงจะเป็นอิสระไม่ว่าเขาจะไปยังแห่งหนใด และดังนั้นเขาย่อมจะปราศจากความเป็นกบฏหรือการต่อต้าน  ซาตานจำต้องถูกพันธนาการเท่านั้น ทุกสิ่งจึงจะดีสำหรับมนุษย์ สถานการณ์ปัจจุบันดำรงอยู่ก็เพราะซาตานยังคงปลุกปั่นให้เกิดปัญหาไปทั่วทุกหนแห่งบนแผ่นดินโลก และเพราะพระราชกิจทั้งหมดแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้ายังไปไม่ถึงปลายทาง  ทันทีที่ซาตานปราชัยไปแล้ว มนุษย์จึงจะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระโดยบริบูรณ์ เมื่อมนุษย์ได้รับพระเจ้าและออกมาจากภายใต้แดนครอบครองของซาตาน เขาจะมองเห็นดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม  ชีวิตที่เกิดจากมนุษย์ที่ปกติจะคืนมาอีกครั้ง ทั้งหมดที่มนุษย์ที่ปกติควรจะครอบครอง—เช่น ความสามารถในการแยกแยะความดีความชั่ว การเข้าใจว่าจะกินและนุ่งห่มอย่างไร และความสามารถที่จะดำรงชีวิตตามปกติ—ทั้งหมดนี้จะคืนมาอีกครั้ง  หากเอวาไม่ถูกงูทดลอง มนุษย์ก็ควรจะได้มีชีวิตที่ปกติประเภทนี้หลังจากที่เขาถูกสร้างขึ้นในปฐมกาล  เขาควรจะได้กิน นุ่งห่ม และใช้ชีวิตมนุษย์ที่ปกติบนแผ่นดินโลก  กระนั้นหลังจากที่มนุษย์กลายเป็นต่ำทราม ชีวิตเช่นนี้ก็พลอยกลายเป็นภาพลวงตาที่มิอาจบรรลุได้ และแม้กระทั่งวันนี้มนุษย์ก็ไม่กล้าจินตนาการถึงสิ่งดังกล่าวนี้เลย  ในความเป็นจริง ชีวิตอันสวยงามที่มนุษย์ถวิลหานี้คือความจำเป็นอย่างหนึ่ง หากมนุษย์ปราศจากบั้นปลายเช่นนี้แล้วไซร้ ชีวิตอันต่ำทรามของเขาบนแผ่นดินโลกก็จะไม่มีวันสิ้นสุด และหากไม่มีชีวิตอันงดงามเช่นนี้แล้วไซร้ ก็จะไม่มีบทสรุปให้กับชะตากรรมของซาตาน หรือยุคที่ซาตานมีอำนาจเหนือแผ่นดินโลก  มนุษย์ต้องไปถึงอาณาจักรที่กำลังบังคับแห่งความมืดไม่อาจไปถึงได้ และเมื่อเขาไปถึง นี่จึงจะพิสูจน์ว่าซาตานปราชัยแล้ว  ในหนทางนี้ ทันทีที่ไม่มีการรบกวนจากซาตาน พระเจ้าพระองค์เองจะทรงควบคุมมวลมนุษย์ และพระองค์จะทรงบัญชาและควบคุมชีวิตทั้งมวลของมนุษย์ เมื่อนั้นเท่านั้น ซาตานจึงจะปราชัยโดยแท้จริง  ชีวิตของมนุษย์ในวันนี้ส่วนใหญ่เป็นชีวิตที่โสมม ยังคงเป็นชีวิตแห่งความทุกข์และความเดือดเนื้อร้อนใจ  การนี้ไม่สามารถเรียกได้ว่าความปราชัยของซาตาน มนุษย์ยังหนีไม่พ้นทะเลแห่งความทุกข์ร้อน ยังหนีไม่พ้นความยากลำบากของชีวิตมนุษย์ หรืออิทธิพลของซาตาน และเขายังคงมีแต่ความรู้อันน้อยนิดยิ่งนักเกี่ยวกับพระเจ้า  ซาตานเป็นผู้สร้างความยากลำบากทั้งหมดของมนุษย์ ซาตานนั่นเองที่นำความทุกข์มาสู่ชีวิตมนุษย์ และมีเพียงหลังจากที่ซาตานถูกพันธนาการไว้แล้วเท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถหนีพ้นจากทะเลแห่งความทุกข์ร้อนได้อย่างบริบูรณ์  แต่ทว่าการพันธนาการซาตานจะสัมฤทธิ์ได้ก็โดยผ่านทางการพิชิตและการได้มาซึ่งหัวใจของมนุษย์ โดยการทำให้มนุษย์เป็นรางวัลแห่งชัยชนะจากการสู้รบกับซาตาน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 591

ในวันนี้ การไล่ตามเสาะหาเพื่อกลายเป็นผู้ชนะและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมของมนุษย์ คือสิ่งที่เขาไล่ตามเสาะหามาก่อนที่เขาจะมีชีวิตมนุษย์ที่ปกติบนแผ่นดินโลก และสิ่งเหล่านั้นคือเป้าหมายที่เขาแสวงหาก่อนที่ซาตานจะถูกพันธนาการ  โดยแก่นแท้แล้ว การไล่ตามเสาะหาเพื่อกลายเป็นผู้ชนะและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม หรือได้รับการใช้งานให้เกิดประโยชน์ยิ่งของมนุษย์นั้น เป็นไปเพื่อที่จะหนีรอดจากอิทธิพลของซาตาน กล่าวคือ การไล่ตามเสาะหาของมนุษย์เป็นไปเพื่อที่จะกลายเป็นผู้ชนะ แต่ผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายจะเป็นการที่เขาหนีรอดจากอิทธิพลของซาตาน  มีเพียงโดยการหนีรอดจากอิทธิพลของซาตานเท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถมีชีวิตมนุษย์ที่ปกติบนแผ่นดินโลกได้ ซึ่งเป็นชีวิตแห่งการนมัสการพระเจ้า  วันนี้การไล่ตามเสาะหาของมนุษย์เพื่อกลายเป็นผู้ชนะและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมคือสิ่งที่ไล่ตามเสาะหากันก่อนที่จะมีชีวิตมนุษย์ที่ปกติบนแผ่นดินโลก  โดยพื้นฐานแล้วสิ่งเหล่านี้ถูกไล่ตามเสาะหาเพื่อที่จะได้รับการชำระให้สะอาดและนำความจริงไปปฏิบัติ และเพื่อนมัสการพระผู้สร้าง  หากมนุษย์มีชีวิตมนุษย์ที่ปกติบนแผ่นดินโลก ซึ่งเป็นชีวิตที่ปราศจากความยากลำบากและความทุกข์ร้อน เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ก็จะไม่ลงมือไล่ตามเสาะหาการเป็นผู้ชนะ  “การเป็นผู้ชนะ” และ “การได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม” คือเป้าหมายที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ไล่ตามเสาะหา และโดยผ่านทางการไล่ตามเสาะหาเป้าหมายเหล่านี้นี่เองที่พระองค์ทรงทำให้มนุษย์ปฏิบัติความจริงและดำเนินชีวิตอย่างมีความหมาย  วัตถุประสงค์คือเพื่อทำให้มนุษย์ครบบริบูรณ์และเพื่อให้ได้เขามา และการไล่ตามเสาะหาเพื่อกลายเป็นผู้ชนะและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมนั้นเป็นเพียงวิถีทางหนึ่งเท่านั้น  หากในอนาคต มนุษย์เข้าสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์ ก็จะไม่มีการกล่าวอ้างถึงการกลายเป็นผู้ชนะและการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมอีก จะมีก็เพียงแค่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างแต่ละประเภทต่างปฏิบัติหน้าที่ของตนเท่านั้น  วันนี้มนุษย์ถูกสร้างให้ไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อที่จะนิยามขอบเขตให้แก่มนุษย์เท่านั้น เพื่อให้การไขว่คว้าของมนุษย์สามารถสัมพันธ์กับชีวิตจริงและตรงเป้ามากขึ้น  มิฉะนั้นแล้ว มนุษย์ก็จะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางนามธรรมที่คลุมเครือ และไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ และหากว่าเป็นเช่นนี้ มนุษย์จะไม่ยิ่งน่าเวทนามากขึ้นหรอกหรือ?  การไล่ตามเสาะหาในหนทางนี้ โดยปราศจากเป้าหมายหรือหลักธรรม—มิใช่การหลอกลวงตัวเองหรอกหรือ?  ท้ายที่สุดแล้วย่อมเป็นธรรมดาที่การไล่ตามเสาะหาเช่นนี้จะไม่ให้ผลอันใด ในที่สุดมนุษย์ก็จะยังคงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน และจะไม่สามารถถอนตัวจากมันได้  เหตุใดจึงยอมตัวให้แก่การไล่ตามเสาะหาที่ไร้จุดหมายเช่นนี้?  เมื่อมนุษย์เข้าสู่บั้นปลายอันเป็นนิรันดร์ มนุษย์จะนมัสการพระผู้สร้าง และเนื่องจากมนุษย์ได้รับความรอดและเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์แล้ว มนุษย์ย่อมจะไม่ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดๆ และยิ่งไปกว่านั้น เขาจะไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการถูกซาตานตีวงล้อม  ในเวลาเช่นนี้มนุษย์จะรู้ตำแหน่งแห่งที่ของเขาเอง และจะปฏิบัติหน้าที่ของเขา และต่อให้พวกเขาไม่ถูกตีสอนหรือถูกพิพากษา แต่ละบุคคลก็จะปฏิบัติหน้าที่ของตน  ณ เวลานั้นมนุษย์จะเป็นสิ่งทรงสร้างทั้งในอัตลักษณ์และสถานะ  จะไม่มีการแบ่งแยกว่าสูงและต่ำอีกต่อไป แต่ละคนจะเพียงปฏิบัติหน้าที่แตกต่างกันเท่านั้น  กระนั้นมนุษย์ก็จะยังคงดำรงชีวิตอยู่ในบั้นปลายที่มีระเบียบและเหมาะสมสำหรับมวลมนุษย์ มนุษย์จะปฏิบัติหน้าที่ของเขาเพื่อนมัสการพระผู้สร้าง และมวลมนุษย์เช่นนี้นี่เองที่จะกลายเป็นมวลมนุษย์แห่งกัลปาวสาน  ณ เวลานั้นมนุษย์จะได้รับชีวิตที่พระเจ้าประทานความกระจ่างให้ ชีวิตที่อยู่ภายใต้การดูแลและคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า ชีวิตที่ดำรงอยู่ร่วมกันกับพระเจ้า  มวลมนุษย์จะมีชีวิตที่ปกติบนแผ่นดินโลก และผู้คนทั้งหมดจะเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้อง แผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีย่อมจะเอาชนะซาตานอย่างราบคาบแล้ว ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าย่อมจะทรงฟื้นฟูภาพลักษณ์ดั้งเดิมของมนุษย์เมื่อครั้งที่ทรงสร้างเขาแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้น เจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้าย่อมจะลุล่วงแล้ว  ในปฐมกาล ก่อนที่มวลมนุษย์จะถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มวลมนุษย์มีชีวิตที่ปกติบนแผ่นดินโลก ต่อมาเมื่อมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มนุษย์ก็สูญเสียชีวิตที่ปกตินี้ และดังนั้นจึงมีการเริ่มต้นพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าและการสู้รบกับซาตานเพื่อฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์  เฉพาะเมื่อพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระเจ้ามาถึงปลายทางแล้วเท่านั้น ชีวิตของมวลมนุษย์ทั้งหมดจึงจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการบนแผ่นดินโลก เมื่อนั้นเท่านั้นที่มนุษย์จะมีชีวิตอันน่าอัศจรรย์ และพระเจ้าจะทรงฟื้นฟูจุดประสงค์ที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ในปฐมกาล ตลอดจนสภาพเสมือนดั้งเดิมของมนุษย์  และดังนั้นทันทีที่มนุษย์มีชีวิตที่ปกติของมวลมนุษย์บนแผ่นดินโลก มนุษย์ก็จะไม่ไล่ตามเสาะหาการเป็นผู้ชนะหรือการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม เพราะมนุษย์ย่อมจะบริสุทธิ์  “เหล่าผู้ชนะ” และ “การมีความเพียบพร้อม” ที่มนุษย์กล่าวถึงนั้นเป็นเป้าหมายที่มอบให้มนุษย์ไล่ตามเสาะหาระหว่างการสู้รบของพระเจ้ากับซาตาน และเป้าหมายเหล่านี้มีอยู่ก็เพราะมนุษย์ถูกทำให้เสื่อมทรามเท่านั้น  โดยการมอบเป้าหมายแก่เจ้าและทำให้เจ้าไล่ตามเสาะหาเป้าหมายนี้นั่นเองที่จะทำให้ซาตานปราชัย  การขอให้เจ้าเป็นผู้ชนะหรือได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม หรือถูกใช้งาน พึงต้องให้เจ้าเป็นคำพยานเพื่อที่จะทำให้ซาตานอับอาย  ในที่สุดมนุษย์จะมีชีวิตมนุษย์ที่ปกติบนแผ่นดินโลก และมนุษย์จะบริสุทธิ์ เมื่อการนี้เกิดขึ้น ผู้คนจะยังคงพยายามเป็นผู้ชนะอยู่อีกหรือ?  พวกเขาทั้งหมดมิใช่สิ่งมีชีวิตแห่งการทรงสร้างหรอกหรือ?  การกล่าวถึงการเป็นผู้ชนะและเป็นผู้ที่มีความเพียบพร้อม คำพูดเหล่านี้มุ่งตรงไปที่ซาตานและความโสมมของมนุษย์  คำว่า “ผู้ชนะ” นี้ มิได้อ้างอิงถึงชัยชนะเหนือซาตานและกำลังบังคับที่ไม่เป็นมิตรหรอกหรือ?  เมื่อเจ้าพูดว่าเจ้าได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้ว สิ่งใดภายในตัวเจ้าที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม?  มิใช่การที่เจ้าปลดเปลื้องตัวเจ้าเองจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเจ้า เพื่อให้เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ความรักอันสูงสุดให้แก่พระเจ้าหรอกหรือ?  สิ่งทั้งหลายดังกล่าวถูกกล่าวถึงเพื่ออ้างถึงสิ่งโสมมทั้งหลายภายในตัวมนุษย์ และเพื่ออ้างถึงซาตาน  มิได้กล่าวเพื่ออ้างถึงพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 592

เมื่อมนุษย์สัมฤทธิ์ชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์บนแผ่นดินโลก และกำลังบังคับทั้งมวลของซาตานถูกพันธนาการแล้ว มนุษย์ย่อมจะใช้ชีวิตอย่างง่ายดายบนแผ่นดินโลก  สิ่งทั้งหลายจะไม่ซับซ้อนเช่นที่เป็นอยู่ในวันนี้ กล่าวคือ สัมพันธภาพของมนุษย์ สัมพันธภาพทางสังคม สัมพันธภาพในครอบครัวที่ซับซ้อน—เหล่านี้นำมาซึ่งปัญหารุมเร้ามากมายยิ่งนัก ความเจ็บปวดมากมายยิ่งนัก!  ชีวิตของมนุษย์ที่แผ่นดินโลกนี้ช่างทุกข์ระทมยิ่ง!  ทันทีที่มนุษย์ได้รับการพิชิต หัวใจและจิตใจของเขาย่อมจะเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ เขาจะมีหัวใจที่เคารพและรักพระเจ้า  ทันทีที่บรรดาผู้ที่อยู่ภายในจักรวาลและพยายามที่จะรักพระเจ้าได้รับการพิชิต ซึ่งหมายความว่าทันทีที่ซาตานปราชัยแล้ว และเมื่อซาตาน—ซึ่งก็คือกำลังบังคับทั้งปวงแห่งความมืด—ถูกพันธนาการไว้แล้ว เมื่อนั้นชีวิตมนุษย์บนแผ่นดินโลกก็จะไม่เดือดร้อน และเขาจะสามารถมีชีวิตอย่างอิสระบนแผ่นดินโลก  หากชีวิตมนุษย์ไม่มีสัมพันธภาพทางเนื้อหนังและความซับซ้อนของเนื้อหนัง เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะง่ายขึ้นมากนัก  สัมพันธภาพทางเนื้อหนังของมนุษย์ซับซ้อนเกินไป และการที่มนุษย์มีสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขายังไม่ปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากอิทธิพลของซาตาน  หากเจ้ามีสัมพันธภาพกับพี่น้องชายหญิงแต่ละคนของเจ้าในแบบเดียวกัน หากเจ้ามีสัมพันธภาพกับสมาชิกแต่ละคนในครอบครัวของเจ้าในแบบเดียวกัน เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไร้กังวล และไม่จำเป็นต้องห่วงใยผู้ใด  ไม่มีสิ่งใดจะดีไปกว่านี้ และในหนทางนี้ความทุกข์ของมนุษย์ย่อมบรรเทาลงไปครึ่งหนึ่ง  เมื่อมีชีวิตมนุษย์ที่ปกติบนแผ่นดินโลก มนุษย์จะคล้ายกับทูตสวรรค์ แม้ว่าจะยังเป็นเนื้อหนัง แต่เขาก็จะเหมือนกับทูตสวรรค์มาก  นี่คือสัญญาขั้นสุดท้าย เป็นสัญญาสุดท้ายที่ประทานแก่มนุษย์  วันนี้มนุษย์ก้าวผ่านการตีสอนและการพิพากษา เจ้าคิดว่าประสบการณ์ที่มนุษย์มีกับสิ่งเหล่านี้ไร้ความหมายกระนั้นหรือ?  พระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาสามารถทำไปอย่างไร้เหตุผลได้หรือ?  เมื่อก่อนนี้มีการพูดกันว่าการตีสอนและพิพากษามนุษย์เป็นไปเพื่อส่งมนุษย์ลงสู่บาดาลลึก ซึ่งหมายถึงการพรากเอาชะตากรรมและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเขาไป  การนี้เป็นไปเพื่อสิ่งหนึ่ง นั่นคือ การชำระมนุษย์ให้สะอาด  มนุษย์มิได้ถูกส่งลงบาดาลลึกอย่างจงใจ แล้วหลังจากนั้นพระเจ้าก็ล้างพระหัตถ์ของพระองค์จากเขา  นี่เป็นไปเพื่อที่จะจัดการกับความเป็นกบฏภายในตัวมนุษย์ต่างหาก เพื่อที่ว่าในที่สุดสิ่งทั้งหลายภายในตัวมนุษย์อาจได้รับการชำระให้สะอาด เพื่อที่เขาอาจมีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า และเป็นเหมือนบุคคลบริสุทธิ์  หากการนี้เสร็จสิ้น เมื่อนั้นทั้งหมดก็จะสำเร็จลุล่วง  ในข้อเท็จจริงแล้ว เมื่อสิ่งทั้งหลายที่จะต้องได้รับการจัดการภายในตัวมนุษย์ถูกจัดการแล้ว และมนุษย์เป็นคำพยานที่กึกก้อง ซาตานก็จะปราชัยไปด้วย และแม้ว่าอาจมีสิ่งที่อยู่ภายในตัวมนุษย์มาแต่ดั้งเดิมที่มิได้ถูกชำระให้สะอาดโดยบริบูรณ์อยู่ไม่กี่อย่าง แต่ทันทีที่ซาตานปราชัย มันก็จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาอีกต่อไป และ ณ เวลานั้นมนุษย์ย่อมจะได้รับการชำระให้สะอาดโดยบริบูรณ์แล้ว  มนุษย์ไม่เคยมีประสบการณ์กับชีวิตเช่นนั้น แต่เมื่อซาตานปราชัย ทั้งหมดจะลงเอย และสิ่งหยุมหยิมเหล่านั้นภายในตัวมนุษย์จะได้รับการแก้ไข และทันทีที่ปัญหาหลักนั้นได้รับการแก้ไขไปแล้ว ปัญหาอื่นทั้งหมดก็จะจบสิ้นลง  ในระหว่างการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกครั้งนี้ เมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์ด้วยพระองค์เองท่ามกลางมนุษย์ พระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทำนั้นล้วนทำไปเพื่อให้ซาตานปราชัย และพระองค์จะทรงทำให้ซาตานปราชัยโดยผ่านทางการพิชิตมนุษย์และโดยการทำให้พวกเจ้าครบบริบูรณ์  เมื่อพวกเจ้าเป็นคำพยานอันกึกก้อง นี่ก็จะเป็นเครื่องหมายแห่งความปราชัยของซาตานเช่นกัน  มนุษย์ถูกพิชิตก่อนและในที่สุดจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยบริบูรณ์เพื่อที่จะทำให้ซาตานปราชัย  อย่างไรก็ตาม โดยแก่นแท้แล้ว นี่คือความรอดของมวลมนุษย์ทั้งปวงจากทะเลแห่งความทุกข์ร้อนอันว่างเปล่า เป็นความรอดที่มาพร้อมกับความปราชัยของซาตาน  ไม่ว่าพระราชกิจจะดำเนินไปทั่วทั้งจักรวาลหรือในประเทศจีน ทั้งหมดนั้นก็เป็นไปเพื่อที่จะทำให้ซาตานปราชัยและนำความรอดมาสู่มวลมนุษย์ทั้งปวง เพื่อที่มนุษย์อาจเข้าสู่สถานที่แห่งการหยุดพัก  พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ซึ่งก็คือเนื้อหนังธรรมดานี้ ทรงมีอยู่เพื่อทำให้ซาตานปราชัยโดยแท้  พระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังถูกใช้เป็นเครื่องนำความรอดมาสู่บรรดาผู้ที่อยู่ใต้ฟ้าสวรรค์ ซึ่งรักพระเจ้า พระราชกิจนี้เป็นไปเพื่อพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวง และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเพื่อเอาชนะซาตาน  แก่นสำคัญของพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าทั้งหมดนั้นไม่อาจแยกออกจากการทำให้ซาตานปราชัยเพื่อนำความรอดมาสู่มวลมนุษย์ทั้งปวงได้  เหตุใดส่วนใหญ่ของพระราชกิจนี้จึงพูดถึงการให้พวกเจ้าเป็นคำพยานอยู่เสมอ?  แล้วคำพยานนี้มุ่งตรงไปยังผู้ใด?  มิได้มุ่งตรงไปที่ซาตานหรอกหรือ?  คำพยานนี้มีให้พระเจ้า และมีขึ้นเพื่อเป็นพยานยืนยันว่าพระราชกิจของพระเจ้าได้สัมฤทธิ์ผลของตนแล้ว  การเป็นคำพยานเกี่ยวข้องกับพระราชกิจแห่งการทำให้ซาตานปราชัย หากไม่มีการสู้รบกับซาตาน เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ก็ไม่พึงต้องเป็นคำพยาน เป็นเพราะซาตานต้องปราชัย พระเจ้าจึงทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์เป็นคำพยานให้พระองค์ต่อหน้าซาตาน ในเวลาเดียวกันกับที่ทรงช่วยมนุษย์ให้รอด โดยพระองค์ทรงใช้คำพยานนี้มาช่วยมนุษย์ให้รอดและทำการสู้รบกับซาตาน  ผลลัพธ์ก็คือมนุษย์เป็นทั้งเป้าหมายแห่งความรอดและเครื่องมือในการทำให้ซาตานปราชัย และดังนั้นมนุษย์จึงเป็นแก่นสำคัญแห่งพระราชกิจบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้า ในขณะที่ซาตานเป็นเพียงเป้าหมายแห่งการทำลายล้าง เป็นศัตรูเท่านั้น  เจ้าอาจรู้สึกว่าเจ้ามิได้ทำสิ่งใดเลย แต่เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า คำพยานจึงเกิดขึ้น และคำพยานนี้มุ่งตรงไปที่ซาตาน และไม่ได้มีให้แก่มนุษย์  มนุษย์ไม่เหมาะที่จะได้ชื่นชมคำพยานเช่นนี้ เขาจะสามารถเข้าใจพระราชกิจที่พระเจ้าทำได้อย่างไร?  เป้าหมายแห่งการต่อสู้ของพระเจ้าคือซาตาน ในขณะที่มนุษย์เป็นเป้าหมายแห่งความรอดเท่านั้น  มนุษย์มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน และไม่สามารถเข้าใจพระราชกิจนี้  นี่เป็นเพราะความเสื่อมทรามของซาตาน และมิได้อยู่ภายในตัวมนุษย์โดยสันดาน แต่ถูกชี้นำโดยซาตาน  วันนี้พระราชกิจหลักของพระเจ้าคือการทำให้ซาตานปราชัย นั่นคือ การพิชิตมนุษย์โดยบริบูรณ์ เพื่อที่มนุษย์อาจเป็นคำพยานขั้นสุดท้ายให้พระเจ้าต่อหน้าซาตาน  ในหนทางนี้ ทุกสรรพสิ่งย่อมจะสำเร็จลุล่วง  ในหลายกรณี เมื่อมองด้วยตาเปล่าของเจ้าก็ดูเหมือนว่าไม่มีการลงมือทำสิ่งใดเลย แต่ในความเป็นจริง พระราชกิจนี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ไปแล้ว  มนุษย์ต้องการให้พระราชกิจแห่งความครบบริบูรณ์ทั้งหมดนั้นมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่แม้ปราศจากการทำให้เจ้ามองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เราก็ได้ทำงานของเราเสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว เพราะซาตานได้นบนอบแล้ว ซึ่งหมายความว่ามันได้ปราชัยอย่างราบคาบแล้ว หมายความว่าพระปัญญา ฤทธานุภาพ และสิทธิอำนาจทั้งปวงของพระเจ้าได้กำราบซาตานแล้ว  นี่คือคำพยานที่ต้องมีโดยแท้ และแม้จะไม่มีการแสดงออกที่ชัดเจนในตัวมนุษย์ แม้ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ซาตานก็ได้ปราชัยไปเรียบร้อยแล้ว  พระราชกิจทั้งหมดทั้งมวลนี้มุ่งตรงไปที่ซาตาน และดำเนินไปก็เพราะการสู้รบกับซาตาน  และดังนั้นจึงมีมากมายหลายสิ่งที่มนุษย์ไม่เห็นว่าเป็นผลสำเร็จไปแล้ว แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า กลับสำเร็จสมบูรณ์ไปนานแล้ว  นี่คือความจริงเบื้องลึกประการหนึ่งเกี่ยวกับพระราชกิจทั้งมวลของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 593

บรรดาผู้ซึ่งเต็มใจที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมล้วนมีโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ดังนั้นทุกคนต้องผ่อนคลาย กล่าวคือ ในอนาคตพวกเจ้าจะได้เข้าสู่บั้นปลายกันทุกคน  แต่หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และไม่เต็มใจที่จะเข้าสู่อาณาจักรอันน่าอัศจรรย์ เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมเป็นปัญหาของเจ้าเอง  ทุกคนที่เต็มใจที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและจงรักภักดีต่อพระเจ้า ทุกคนที่เชื่อฟัง และทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยสัตย์ซื่อ—ผู้คนเช่นนี้ทั้งหมดสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  วันนี้ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยภักดี ทุกคนที่ไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า ทุกคนที่ไม่นบนอบพระเจ้า โดยเฉพาะพวกที่ได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว แต่กลับมิได้นำไปปฏิบัติ—ผู้คนเช่นนี้ทั้งหมดไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  บรรดาผู้ที่เต็มใจที่จะจงรักภักดีและเชื่อฟังพระเจ้าสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมทั้งสิ้น ต่อให้พวกเขาไม่รู้เท่าทันอยู่บ้างก็ตาม บรรดาผู้ที่เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาล้วนสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  ไม่มีความจำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้  ตราบเท่าที่เจ้าเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาในทิศทางนี้ เจ้าจะสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  เราไม่เต็มใจที่จะละทิ้งหรือขับพวกเจ้าคนใดออกไป แต่หากมนุษย์ไม่เพียรพยายามที่จะทำให้ดี เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็กำลังทำให้ตัวเจ้าเองย่อยยับเท่านั้น มิใช่เราที่ขับเจ้าออกไป แต่เป็นเจ้าเอง  หากเจ้ามิได้เพียรพยายามที่จะทำให้ดีด้วยตัวเจ้าเอง นั่นคือ หากเจ้าเกียจคร้าน หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หรือไม่จงรักภักดี หรือไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และทำตามที่เจ้าพอใจอยู่เสมอ หากเจ้าประพฤติวู่วาม ต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและโชคลาภของเจ้าเอง และขาดศีลธรรมในการติดต่อเจรจากับเพศตรงข้าม เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะแบกภาระเป็นบาปของเจ้าเอง เจ้าไม่มีค่าคู่ควรกับความเวทนาของผู้ใด  เจตนารมณ์ของเราคือเพื่อให้พวกเจ้าทั้งหมดได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และอย่างน้อยที่สุดได้รับการพิชิต เพื่อที่พระราชกิจในช่วงระยะนี้อาจสำเร็จสมบูรณ์  ความปรารถนาของพระเจ้าคือการที่ทุกคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และเป็นผู้ที่พระองค์ทรงรับไว้ในท้ายที่สุด เป็นผู้ที่พระองค์ทรงชำระให้สะอาด และกลายเป็นประชากรที่พระองค์ทรงรัก  ไม่สำคัญเลยกับการที่เรากล่าวว่าพวกเจ้าล้าหลังหรือมีขีดความสามารถอ่อนด้อย—นี่คือข้อเท็จจริงทั้งสิ้น  แต่การที่เรากล่าวเช่นนี้มิได้พิสูจน์ว่าเราตั้งใจที่จะละทิ้งพวกเจ้า ว่าเราได้สูญสิ้นความหวังในตัวพวกเจ้า และยิ่งไม่ได้พิสูจน์ว่าเราไม่เต็มใจที่จะช่วยพวกเจ้าให้รอด  วันนี้เรามาเพื่อทำงานแห่งความรอดของพวกเจ้า ซึ่งหมายความว่างานที่เราทำคือการสานต่องานแห่งความรอด  ทุกคนมีโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม กล่าวคือ หากว่าเจ้าเต็มใจ หากว่าเจ้าไล่ตามเสาะหา ในท้ายที่สุดเจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้ และพวกเจ้าจะไม่ถูกละทิ้งเลยสักคนเดียว  หากเจ้ามีขีดความสามารถอ่อนด้อย ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าจะสอดคล้องกับขีดความสามารถอันอ่อนด้อยของเจ้า หากเจ้ามีขีดความสามารถสูง ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าก็จะสอดคล้องกับขีดความสามารถที่สูงของเจ้า หากเจ้าไม่รู้เท่าทันหรือไม่มีการศึกษา ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าก็จะสอดคล้องกับความไม่รู้หนังสือของเจ้า หากเจ้ามีการศึกษา ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าก็จะสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้ามีการศึกษา หากเจ้าเป็นคนสูงวัย ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าย่อมจะสอดคล้องกับวัยของเจ้า หากเจ้าสามารถให้การต้อนรับขับสู้ ข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อเจ้าก็จะสอดคล้องกับความสามารถนี้ หากเจ้าพูดว่าเจ้าไม่สามารถให้การต้อนรับขับสู้ และสามารถเพียงปฏิบัติหน้าที่หนึ่งๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ หรือการดูแลคริสตจักร หรือการเข้าร่วมกิจการทั่วไปอื่นๆ การทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมของเราก็จะสอดคล้องกับหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติ  การจงรักภักดี การเชื่อฟังจนถึงปลายทาง และการพยายามที่จะมีความรักสูงสุดให้แก่พระเจ้า—นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องสำเร็จลุล่วง และไม่มีการปฏิบัติใดที่ดีกว่าสามสิ่งนี้  ท้ายที่สุด มนุษย์พึงต้องสัมฤทธิ์สามสิ่งนี้ และหากเขาสามารถสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้ว เขาย่อมจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  แต่เหนืออื่นใด เจ้าต้องไล่ตามเสาะหาอย่างแท้จริง เจ้าต้องมุ่งสู่ภาวะที่ดีขึ้นและสูงขึ้นอย่างแข็งขัน และต้องไม่นิ่งเฉยในการนั้น  เราได้กล่าวไปแล้วว่าทุกคนมีโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และนี่ยังคงเป็นจริง  แต่เจ้าไม่พยายามที่จะทำให้ดีขึ้นในการไล่ตามเสาะหาของเจ้า  หากเจ้าไม่สัมฤทธิ์เกณฑ์ทั้งสามนี้ เช่นนั้นแล้ว ในที่สุดเจ้าก็ต้องถูกขับออกไป  เราต้องการให้ทุกคนตามให้ทัน เราต้องการให้ทุกคนมีพระราชกิจและความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสามารถเชื่อฟังไปจนถึงปลายทาง เพราะนี่คือหน้าที่ที่พวกเจ้าแต่ละคนควรปฏิบัติ  เมื่อพวกเจ้าทั้งหมดได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าย่อมจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมกันแล้วทุกคน พวกเจ้ายังจะมีคำพยานอันกึกก้องอีกด้วย  ทุกคนที่มีคำพยานคือผู้ที่มีชัยชนะเหนือซาตานและได้รับสัญญาของพระเจ้า และพวกเขาคือบรรดาผู้ที่จะยังคงอยู่เพื่อมีชีวิตในบั้นปลายอันน่าอัศจรรย์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 594

ในปฐมกาล พระเจ้าทรงอยู่ในการหยุดพัก  ไม่มีมนุษย์หรือสิ่งอื่นใดบนแผ่นดินโลกในเวลานั้นเลย และพระเจ้ายังไม่ได้ทรงดำเนินพระราชกิจใดๆ เลย  พระองค์ทรงเริ่มต้นพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ก็เฉพาะเมื่อมนุษยชาติได้มีขึ้นมาและหลังจากที่มนุษยชาติได้ถูกทำให้เสื่อมทรามแล้วเท่านั้น จากจุดนั้นเป็นต้นมา พระองค์ไม่ทรงหยุดพักอีกต่อไป แต่กลับทรงเริ่มต้นให้พระองค์เองสาละวนอยู่ท่ามกลางมนุษยชาติ  เป็นเพราะความเสื่อมทรามของมนุษยชาติที่ทำให้พระเจ้าทรงสูญเสียการหยุดพักของพระองค์ และเพราะการกบฏของหัวหน้าทูตสวรรค์ด้วย  หากพระเจ้าไม่ทรงทำให้ซาตานพ่ายแพ้และช่วยมนุษยชาติที่เสื่อมทรามให้รอด พระองค์จะไม่มีวันสามารถเข้าสู่การหยุดพักได้อีกครั้ง  เมื่อมนุษย์ขาดการหยุดพัก พระเจ้าก็เช่นกัน และเมื่อพระองค์ทรงหยุดพักอีกครั้ง มนุษย์ก็จะได้หยุดพักด้วยเช่นเดียวกัน การใช้ชีวิตอยู่ในการหยุดพักหมายถึงชีวิตที่ปราศจากการสู้รบ ปราศจากความโสมม และปราศจากความไม่ชอบธรรมที่ดึงดันใดๆ  กล่าวคือ เป็นชีวิตที่ไร้ซึ่งการถูกซาตานทำให้หยุดชะงัก (“ซาตาน” ในที่นี้อ้างอิงถึงกองกำลังศัตรู) และความเสื่อมทรามของซาตาน และไม่มีแนวโน้มที่จะมีการรุกรานของกองกำลังใดๆ เพื่อต่อต้านพระเจ้า นั่นคือ เป็นชีวิตซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างติดตามประเภทของมันเอง และสามารถนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างได้ และซึ่งสวรรค์และแผ่นดินโลกต่างเงียบสงบโดยบริบูรณ์—นี่คือความหมายของคำพูดที่ว่า “ชีวิตที่หยุดพักของมนุษย์”  เมื่อพระเจ้าทรงหยุดพัก ความไม่ชอบธรรมจะไม่คงอยู่บนแผ่นดินโลกอีกต่อไป อีกทั้งจะไม่มีการรุกรานจากกองกำลังศัตรูอีก และมวลมนุษย์จะเข้าสู่อาณาจักรใหม่ ซึ่งมนุษยชาติไม่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอีกต่อไป แต่ทว่าจะเป็นมนุษยชาติที่ได้รับการช่วยให้รอดหลังจากถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้ว  วันแห่งการหยุดพักของมนุษยชาติจะเป็นวันแห่งการหยุดพักของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  พระเจ้าทรงสูญเสียการหยุดพักของพระองค์เนื่องจากมนุษยชาติไร้ความสามารถในการเข้าสู่การหยุดพัก มิใช่เพราะเดิมทีพระองค์ทรงไร้ความสามารถที่จะหยุดพัก  การเข้าสู่การหยุดพักไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างหยุดการเคลื่อนไหวหรือเลิกพัฒนา อีกทั้งไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าหยุดทรงพระราชกิจหรือว่ามนุษย์หยุดใช้ชีวิต หมายสำคัญของการเข้าสู่การหยุดพักคือเมื่อซาตานถูกทำลาย เมื่อบรรดาคนชั่วผู้ซึ่งเข้าร่วมกับมันในการกระทำชั่วถูกลงโทษและถูกกวาดล้างออกไป และเมื่อกองกำลังทั้งหมดที่เป็นศัตรูกับพระเจ้าสูญสิ้นไป การที่พระเจ้าทรงเข้าสู่การหยุดพักหมายความว่า พระองค์จะไม่ทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งความรอดของมนุษยชาติอีกต่อไป  มนุษยชาติเข้าสู่การหยุดพักหมายความว่า มนุษยชาติทั้งหมดจะใช้ชีวิตอยู่ภายในความสว่างของพระเจ้าและอยู่ภายใต้พรของพระองค์ ไร้ซึ่งความเสื่อมทรามของซาตาน และจะไม่มีความไม่ชอบธรรมเกิดขึ้นอีกเลย  ภายใต้การดูแลของพระเจ้า มนุษย์จะใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติบนแผ่นดินโลก  เมื่อพระเจ้าและมนุษยชาติเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน นั่นหมายความว่า มนุษยชาติได้รับการช่วยให้รอดและซาตานได้ถูกทำลายไปแล้ว และหมายความว่าพระราชกิจของพระเจ้าในตัวมนุษย์นั้นครบบริบูรณ์อย่างถ้วนทั่วแล้ว  พระเจ้าจะไม่ทรงสานต่อพระราชกิจในตัวมนุษย์อีกต่อไป และพวกเขาจะไม่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานอีกต่อไป  เมื่อนั้น พระเจ้าจะไม่ทรงสาละวนอีกต่อไป และมนุษย์ก็จะไม่เคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดหย่อนอีกต่อไป  พระเจ้าและมนุษยชาติจะเข้าสู่การหยุดพักไปพร้อมกัน  พระเจ้าจะเสด็จกลับสู่ที่ประทับดั้งเดิมของพระองค์ และแต่ละคนก็จะกลับไปสู่สถานที่แต่ละแห่งของพวกเขา  เหล่านี้คือบั้นปลายที่พระเจ้าจะทรงพำนักและมนุษย์จะอาศัยอยู่เมื่อการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าเสร็จสิ้นลงแล้ว พระเจ้าทรงมีบั้นปลายของพระเจ้า และมนุษยชาติก็มีบั้นปลายของมนุษยชาติ  ขณะทรงหยุดพัก พระเจ้าจะทรงสานต่อการทรงนำมนุษย์ทั้งมวลในการใช้ชีวิตบนแผ่นดินโลกของพวกเขาต่อไป และขณะที่อยู่ในความสว่างของพระองค์ พวกเขาจะนมัสการพระเจ้าแท้จริงพระองค์เดียวบนสวรรค์  พระเจ้าจะไม่ดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมนุษยชาติอีกต่อไป อีกทั้งมนุษย์ก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่กับพระเจ้าในบั้นปลายของพระองค์ได้  พระเจ้าและมนุษย์ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ภายในอาณาจักรเดียวกันได้ ตรงกันข้าม ทั้งสองมีลักษณะการดำรงชีวิตของตนเอง  พระเจ้าคือองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงนำมนุษยชาติทั้งมวล และมนุษยชาติทั้งมวลคือการตกผลึกของพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า  มนุษย์คือผู้ซึ่งได้รับการนำทาง และไม่ได้มีแก่นแท้แบบเดียวกันกับพระเจ้า  การ “หยุดพัก” หมายถึงการกลับคืนสู่สถานที่ดั้งเดิมของคนเรา  เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าทรงเข้าสู่การหยุดพัก จึงหมายถึงการที่พระองค์ได้ทรงกลับมาสู่ที่ประทับดั้งเดิมของพระองค์  พระองค์จะไม่ดำรงพระชนม์ชีพอยู่บนแผ่นดินโลกหรืออยู่ท่ามกลางมนุษยชาติเพื่อร่วมแบ่งปันความชื่นบานยินดีและความทุกข์ของพวกเขาอีกต่อไป  เมื่อมนุษย์เข้าสู่การหยุดพัก ก็หมายถึงการที่พวกเขาได้กลายเป็นวัตถุแห่งการทรงสร้างที่แท้จริง พวกเขาจะนมัสการพระเจ้าอยู่ที่แผ่นดินโลก และดำเนินชีวิตแบบมนุษย์ปกติ  ผู้คนจะไม่เป็นผู้ไม่เชื่อฟังพระเจ้าหรือต้านทานพระองค์อีกต่อไป และจะกลับคืนสู่ชีวิตดั้งเดิมของอาดัมและเอวา  เหล่านี้คือการดำรงพระชนม์ชีพ การดำรงชีวิต และบั้นปลายแต่ละแบบของพระเจ้าและมนุษย์หลังจากที่พระเจ้าและมนุษย์ได้เข้าสู่การหยุดพัก  การพ่ายแพ้ของซาตานเป็นแนวโน้มที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ในการสู้รบระหว่างมันกับพระเจ้า  เช่นนั้นเอง การเข้าสู่การหยุดพักของพระเจ้าหลังจากการครบบริบูรณ์แห่งพระราชกิจบริหารจัดการของพระองค์ และความรอดอย่างครบบริบูรณ์และการเข้าสู่การหยุดพักของมนุษยชาติจึงได้กลายเป็นแนวโน้มที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ในทำนองเดียวกัน  สถานที่แห่งการหยุดพักของมนุษยชาติคือบนแผ่นดินโลก และที่ประทับแห่งการหยุดพักของพระเจ้าอยู่บนสวรรค์ ขณะที่มนุษย์นมัสการพระเจ้าในการหยุดพัก พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก และขณะที่พระเจ้าทรงนำทางมนุษยชาติที่เหลือในการหยุดพักนั้น พระองค์จะทรงนำทางพวกเขาจากสวรรค์ ไม่ใช่จากแผ่นดินโลก  พระเจ้าจะยังคงเป็นพระวิญญาณ ในขณะที่มนุษย์จะยังคงเป็นเนื้อหนัง  พระเจ้าและมนุษย์ต่างหยุดพักในลักษณะที่แตกต่างกัน  ขณะที่พระเจ้าทรงหยุดพัก พระองค์จะเสด็จมาปรากฏท่ามกลางมนุษย์ ขณะที่มนุษย์หยุดพัก พวกเขาจะได้รับการทรงนำทางโดยพระเจ้าเพื่อไปเยือนสวรรค์ รวมถึงเพื่อชื่นชมชีวิตที่นั่นด้วย  หลังจากที่พระเจ้าและมนุษยชาติเข้าสู่การหยุดพัก ซาตานจะไม่ดำรงอยู่อีกต่อไป ในทำนองเดียวกันนั้น เหล่าผู้คนชั่วร้ายก็จะสูญสิ้นไปด้วยเช่นกัน  ก่อนที่พระเจ้าและมนุษยชาติจะหยุดพัก พวกบุคคลที่ชั่วร้าย ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยข่มเหงพระเจ้าบนแผ่นดินโลก รวมทั้งศัตรูที่ไม่เชื่อฟังพระองค์ที่นั่น จะได้ถูกทำลายไปแล้ว พวกเขาจะถูกกำจัดไปโดยมหาวิบัติแห่งยุคสุดท้าย  ทันทีที่พวกคนชั่วร้ายได้ถูกทำลายล้างไปจนหมดสิ้นแล้ว แผ่นดินโลกก็จะไม่มีวันได้รู้จักการรังควานของซาตานอีกเลย เมื่อนั้นเท่านั้นที่มนุษยชาติจะได้รับความรอดที่ครบบริบูรณ์ และพระราชกิจของพระเจ้าจะเสร็จสิ้นลงโดยครบถ้วน  เหล่านี้คือข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการที่พระเจ้าและมนุษยชาติจะเข้าสู่การหยุดพัก

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 595

การมาถึงของวาระสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่งบ่งบอกถึงความครบบริบูรณ์แห่งพระราชกิจของพระเจ้า ตลอดจนการสิ้นสุดของพัฒนาการของมนุษยชาติ  นี่หมายความว่า เมื่อถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มนุษย์จะได้มาถึงช่วงระยะสุดท้ายแห่งพัฒนาการของพวกเขา และหมายความว่าลูกหลานของอาดัมและเอวาจะได้ทำให้การแพร่ขยายของพวกเขาครบบริบูรณ์ นี่ยังหมายความอีกด้วยว่า เมื่อถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้ว จะไม่มีทางเป็นไปได้สำหรับมนุษยชาติเช่นนั้นที่จะพัฒนาต่อไป  อาดัมและเอวาไม่ได้ถูกทำให้เสื่อมทรามในตอนเริ่มต้น แต่อาดัมและเอวา ผู้ซึ่งถูกขับออกจากสวนเอเดนนั้น ถูกทำให้เสื่อมทรามโดยซาตาน  เมื่อพระเจ้าและมนุษย์เข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน อาดัมและเอวา—ผู้ซึ่งถูกขับออกจากสวนเอเดน—และลูกหลานของพวกเขาก็จะมาถึงที่สิ้นสุดในที่สุด  มนุษยชาติแห่งอนาคตก็จะยังคงประกอบด้วยลูกหลานของอาดัมและเอวา แต่พวกเขาเหล่านั้นจะไม่ใช่พวกมนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน  ตรงกันข้าม พวกเขาจะเป็นประชากรผู้ซึ่งได้ถูกช่วยให้รอดและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว  นี่จะเป็นมนุษยชาติที่ได้รับการพิพากษาและตีสอนแล้ว และเป็นมนุษยชาติที่บริสุทธิ์  ผู้คนเหล่านี้จะไม่เป็นเหมือนกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นที่เคยเป็นมาแต่ดั้งเดิม ซึ่งแทบจะสามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาจะเป็นมนุษยชาติประเภทที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงจากประเภทของอาดัมและเอวาในตอนเริ่มต้น  ผู้คนเหล่านี้จะได้รับการคัดเลือกจากท่ามกลางพวกเขาเหล่านั้นผู้ซึ่งถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามทั้งหมด และพวกเขาจะเป็นบรรดาผู้ซึ่งในท้ายที่สุดได้ตั้งมั่นในระหว่างการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า พวกเขาจะเป็นพวกมนุษย์กลุ่มสุดท้ายที่คงเหลืออยู่ในหมู่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม  ผู้คนเหล่านี้เท่านั้นจะสามารถเข้าสู่การหยุดพักขั้นสุดท้ายด้วยกันกับพระเจ้าได้  บรรดาผู้ซึ่งมีความสามารถที่จะตั้งมั่นในระหว่างพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าช่วงระหว่างยุคสุดท้าย—กล่าวคือ ในระหว่างพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ขั้นสุดท้ายนั้น—จะเป็นบรรดาผู้ซึ่งจะเข้าสู่การหยุดพักขั้นสุดท้ายเคียงข้างพระเจ้า เช่นนี้เอง บรรดาผู้ซึ่งเข้าสู่การหยุดพักทั้งหมดนั้นจะหลุดพ้นจากอิทธิพลของซาตาน และจะได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าหลังจากได้ก้าวผ่านพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ขั้นสุดท้ายของพระองค์แล้ว  พวกมนุษย์เหล่านี้ ผู้ซึ่งในที่สุดจะได้ถูกรับไว้โดยพระเจ้านั้น จะเข้าสู่การหยุดพักขั้นสุดท้าย  โดยแก่นแท้แล้วจุดประสงค์ของพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าหมายที่จะชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์ เพื่อการหยุดพักขั้นสุดท้าย หากไม่มีการชำระให้สะอาดดังกล่าว ก็คงจะไม่มีมนุษย์คนใดถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มแตกต่างกันตามประเภท หรือเข้าสู่การหยุดพักได้  พระราชกิจนี้เป็นเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้นของมนุษยชาติที่จะเข้าสู่การหยุดพัก  เฉพาะพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้นที่จะชำระพวกมนุษย์ให้สะอาดจากความไม่ชอบธรรมของพวกเขา และเฉพาะพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์เท่านั้นที่จะนำส่วนประกอบของมนุษยชาติที่ไม่เชื่อฟังเหล่านั้นไปสู่ความสว่าง ด้วยวิธีนั้น จึงเป็นการแยกบรรดาผู้ที่สามารถถูกช่วยให้รอดออกจากบรรดาผู้ที่ไม่สามารถถูกช่วยให้รอดได้ และแยกบรรดาผู้ที่จะคงเหลืออยู่ออกจากบรรดาผู้ที่จะไม่คงเหลืออยู่ได้  เมื่อพระราชกิจนี้สิ้นสุดลง บรรดาผู้คนที่ได้รับอนุญาตให้คงเหลืออยู่จะถูกชำระให้สะอาดทั้งหมดและเข้าสู่สภาวะที่สูงขึ้นของมนุษยชาติ ซึ่งพวกเขาจะได้ชื่นชมกับชีวิตที่สองของมนุษย์อันน่าอัศจรรย์มากยิ่งขึ้นบนแผ่นดินโลก กล่าวคือ พวกเขาจะเริ่มวันแห่งการหยุดพักแบบมนุษย์ของพวกเขา และดำรงอยู่ร่วมกันกับพระเจ้า  หลังจากที่บรรดาผู้ไม่ได้รับอนุญาตให้คงเหลืออยู่ได้ถูกตีสอนและถูกพิพากษาแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาจะถูกตีแผ่ออกมาโดยถ้วนทั่ว ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดจะถูกทำลาย และไม่ได้รับอนุญาตให้รอดชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกอีกต่อไป เช่นเดียวกับซาตาน  มนุษยชาติแห่งอนาคตจะไม่รวมเข้ากับผู้คนประเภทนี้คนใดเลยอีกต่อไป ผู้คนเช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะเข้าสู่แผ่นดินแห่งการหยุดพักขั้นสูงสุด อีกทั้งไม่เหมาะสมที่จะร่วมในวันแห่งการหยุดพักที่พระเจ้าและมนุษยชาติจะร่วมแบ่งปันกัน ด้วยเพราะพวกเขาเป็นเป้าหมายแห่งการลงโทษและเป็นผู้คนไม่ชอบธรรมที่ชั่วร้าย  พวกเขาเคยได้รับการไถ่มาครั้งหนึ่ง และพวกเขายังได้ถูกพิพากษาและถูกตีสอนด้วย ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยทำการปรนนิบัติพระเจ้าด้วยเช่นกัน  อย่างไรก็ตาม เมื่อวันสุดท้ายมาถึง พวกเขาจะยังคงถูกขับออกไปและถูกทำลายเนื่องจากความชั่วร้ายของพวกเขา และเป็นผลมาจากการไม่เชื่อฟังและการไม่สามารถได้รับการไถ่ของพวกเขา พวกเขาจะไม่มีวันได้มาอยู่ในโลกแห่งอนาคตอีกครั้ง และจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเผ่าพันธุ์มนุษย์แห่งอนาคตอีกต่อไป  ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นวิญญาณของคนตายหรือเป็นผู้คนที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง คนทำชั่วทั้งหมดและพวกที่ไม่ได้ถูกช่วยให้รอดทั้งหมดจะถูกทำลายทันทีที่ผู้บริสุทธิ์ในท่ามกลางมนุษยชาติเข้าสู่การหยุดพัก  สำหรับวิญญาณและพวกมนุษย์ที่ทำชั่วเหล่านี้ หรือวิญญาณของผู้คนที่ชอบธรรมและบรรดาผู้ที่ทำความชอบธรรม ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในยุคใด พวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดที่ทำชั่วจะถูกทำลายในที่สุด และพวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดที่ชอบธรรมจะรอดชีวิต  การที่บุคคลหรือวิญญาณจะได้รับความรอดหรือไม่นั้น ไม่ได้ถูกตัดสินบนพื้นฐานของพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายโดยสิ้นเชิง ตรงกันข้าม มันจะถูกกำหนดโดยการที่พวกเขาได้ต้านทานหรือไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้าหรือไม่ต่างหาก  ผู้คนในยุคก่อนหน้านี้ ผู้ซึ่งกระทำชั่วและไม่สามารถได้รับความรอดได้ จะเป็นเป้าหมายสำหรับการลงโทษโดยไม่มีข้อสงสัย และพวกที่อยู่ในยุคปัจจุบัน ผู้ซึ่งกระทำความชั่วและไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดก็จะเป็นเป้าหมายสำหรับการลงโทษอย่างแน่นอนด้วยเช่นกัน  พวกมนุษย์จะถูกแบ่งกลุ่มไปตามความดีและความชั่ว ไม่ใช่ตามยุคสมัยที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่  เมื่อถูกแบ่งกลุ่มดังนี้แล้ว พวกเขาจะไม่ถูกลงโทษหรือได้รับบำเหน็จรางวัลในทันที แต่ทว่าพระเจ้าจะทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการลงโทษคนชั่วและให้บำเหน็จรางวัลคนดีก็ต่อเมื่อหลังจากที่พระองค์ได้ทรงเสร็จสิ้นการดำเนินพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยในยุคสุดท้ายของพระองค์แล้วเท่านั้น  อันที่จริง พระองค์ทรงแยกมนุษย์ออกเป็นคนดีและคนชั่วมาตั้งแต่ที่พระองค์ทรงเริ่มปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดแล้ว  พระองค์เพียงแค่จะให้บำเหน็จรางวัลคนชอบธรรมและลงโทษคนชั่วเฉพาะหลังจากที่พระราชกิจของพระองค์ได้มาถึงบทอวสานแล้วเท่านั้น  ไม่ใช่ว่าพระองค์จะทรงแยกพวกเขาออกเป็นกลุ่มๆ เมื่อพระราชกิจของพระองค์เสร็จสมบูรณ์แล้ว จากนั้นก็เริ่มภารกิจแห่งการลงโทษคนชั่วและให้รางวัลคนดีในทันที แต่ภารกิจนี้จะกระทำต่อเมื่อพระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้นหมดแล้วเท่านั้น จุดประสงค์ทั้งหมดทั้งมวลเบื้องหลังพระราชกิจขั้นสูงสุดแห่งการลงโทษคนชั่วและการให้บำเหน็จรางวัลคนดีของพระเจ้านั้นคือการชำระพวกมนุษย์ทั้งหมดให้บริสุทธิ์อย่างถ้วนทั่ว เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงนำมนุษยชาติที่บริสุทธิ์สะอาดเข้าสู่การหยุดพักอันเป็นนิรันดร์ได้  พระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระองค์มีความสำคัญยิ่งยวดเป็นที่สุด ซึ่งเป็นช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ทั้งหมด  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงทำลายคนชั่ว แต่กลับทรงยอมให้พวกเขาคงเหลืออยู่ เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ทุกคนก็จะยังคงไร้ความสามารถที่จะเข้าสู่การหยุดพักได้ และพระเจ้าก็จะไม่ทรงมีความสามารถที่จะนำมนุษยชาติทั้งหมดเข้าสู่อาณาจักรที่ดีกว่าได้  พระราชกิจดังกล่าวก็คงจะไม่ครบบริบูรณ์  เมื่อพระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้นลง มนุษยชาติทั้งหมดจะบริสุทธิ์อย่างถ้วนบริบูรณ์ ด้วยหนทางนี้เท่านั้นที่พระเจ้าจะสามารถดำรงพระชนม์ชีพอยู่ในการหยุดพักได้อย่างมีสันติสุข

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 596

ผู้คนปัจจุบันยังไร้ความสามารถที่จะปล่อยวางสิ่งทั้งหลายแห่งเนื้อหนังได้ พวกเขาไม่สามารถล้มเลิกความชื่นชมยินดีแห่งเนื้อหนัง โลก เงินทอง หรืออุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาได้  ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มต้นการไล่ตามเสาะหาของตนในลักษณะที่ฉาบฉวย  อันที่จริง ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้รับพระเจ้าเข้าไว้ในหัวใจของพวกเขาเลย ซ้ำร้ายไปกว่านั้น พวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้า  พวกเขาไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจของพวกเขา และดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถล่วงรู้ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงปฏิบัติได้ และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะสามารถเชื่อพระวจนะที่พระองค์ดำรัสได้ ผู้คนเช่นนี้มีความเป็นเนื้อหนังมากเกินไป กล่าวคือ พวกเขาเสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งและขาดอะไรก็ตามที่เป็นความจริง  ที่มากไปกว่านั้นคือ พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าสามารถทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้  ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์—กล่าวคือ ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าที่มองเห็นได้ หรือไม่เชื่อในพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ แต่กลับนมัสการพระเจ้าที่ไม่สามารถมองเห็นได้บนสวรรค์แทนนั้น—คือบุคคลผู้ซึ่งไม่มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา  ผู้คนเช่นนี้เป็นกบฏและต้านทานพระเจ้า  พวกเขาขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์และขาดเหตุผล ไม่มีอะไรที่จะกล่าวถึงความจริงเลย  ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับผู้คนเหล่านี้แล้ว พระเจ้าที่มองเห็นได้และจับต้องได้นี้ พวกเขาส่วนใหญ่ไม่สามารถเชื่อได้ กระนั้นพวกเขาก็ยังถือว่าพระเจ้าที่ไม่สามารถมองเห็นได้และไม่สามารถจับต้องได้นั้นมีความน่าเชื่อถือมากที่สุดและน่าปลาบปลื้มยินดีมากที่สุด  สิ่งที่พวกเขาแสวงหาไม่ใช่ความจริงที่แท้จริง อีกทั้งไม่ใช่แก่นแท้ที่แท้จริงของชีวิต นับประสาอะไรที่จะใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า  ตรงกันข้าม พวกเขาแสวงหาความตื่นเต้น  ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งใดก็ตามที่สามารถทำให้ความอยากได้อยากมีของพวกเขาเองลุล่วงมากที่สุดนั้นก็คือสิ่งที่พวกเขาเชื่อและสิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหานั่นเอง  พวกเขาเพียงแต่เชื่อในพระเจ้าเพื่อสนองความอยากของพวกเขาเองเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อแสวงหาความจริง  ผู้คนเช่นนี้มิใช่คนทำชั่วหรอกหรือ?  พวกเขามั่นใจในตัวเองอย่างสุดขีด และพวกเขาไม่เชื่อเลยว่าพระเจ้าบนสวรรค์จะทรงทำลาย “ผู้คนดีๆ” เช่นพวกเขา  พวกเขากลับเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงยอมให้พวกเขาคงเหลืออยู่แทน และยิ่งไปกว่านั้น จะทรงให้บำเหน็จรางวัลแก่พวกเขาอย่างงามเนื่องจากการได้ทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อพระเจ้า และได้แสดง “ความจงรักภักดี” มากมายต่อพระองค์  หากพวกเขาไล่ตามเสาะหาพระเจ้าที่มองเห็นได้ด้วยเช่นกัน ทันทีที่ไม่เป็นไปตามความอยากได้อยากมีของพวกเขา พวกเขาก็จะตอบโต้พระเจ้ากลับหรือเดือดดาลในทันที  พวกเขาแสดงให้เห็นว่าตนเองเป็นผู้คนเลวทรามที่น่ารังเกียจ ผู้ซึ่งมักจะเพียงแค่แสวงหาเพื่อสนองความอยากได้อยากมีของตนอยู่เสมอเท่านั้น พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่มีความสัตย์สุจริตในการไล่ตามเสาะหาความจริง  ผู้คนเช่นนี้คือพวกที่เรียกกันว่าคนชั่วผู้ติดตามพระคริสต์  ผู้คนเหล่านั้นที่ไม่แสวงหาความจริงไม่อาจเชื่อความจริงได้ และล้วนไร้ความสามารถมากขึ้นไปอีกที่จะล่วงรู้บทอวสานในอนาคตของมนุษยชาติ ด้วยเพราะพวกเขาไม่เชื่อพระราชกิจหรือพระวจนะใดๆ ของพระเจ้าที่มองเห็นได้—และนี่ก็รวมถึงการที่ไม่มีสามารถที่จะเชื่อในบั้นปลายในอนาคตของมนุษยชาติได้  เพราะฉะนั้น ถึงแม้พวกเขาจะติดตามพระเจ้าที่มองเห็นได้ พวกเขาก็ยังคงกระทำความชั่วและไม่แสวงหาความจริงเลย อีกทั้งพวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงที่เราพึงประสงค์  ผู้คนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อว่าพวกเขาจะถูกทำลาย ในทางกลับกัน พวกเขานั่นเองจะเป็นผู้ที่ถูกทำลาย  พวกเขาทั้งหมดเชื่อว่าตัวพวกเขาเองฉลาดมาก และคิดว่าพวกเขานั่นเองคือผู้คนที่ปฏิบัติความจริง  พวกเขาถือว่าความประพฤติชั่วของตนนั้นคือความจริง และดังนั้นจึงทะนุถนอมมัน  ผู้คนชั่วร้ายเช่นนี้มั่นใจในตัวอย่างมาก พวกเขาใช้ความจริงมาเป็นคำสอน และใช้การกระทำชั่วของตนมาเป็นความจริง แต่ในวาระสิ้นสุด พวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวได้เฉพาะสิ่งที่พวกเขาหว่านไว้เท่านั้น  ยิ่งผู้คนมั่นใจในตนเองมากขึ้นเท่าใด และยิ่งพวกเขาโอหังอย่างลำพองมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งไร้ความสามารถที่จะได้รับความจริงได้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งผู้คนเชื่อในพระเจ้าบนสวรรค์มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งต้านทานพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  ผู้คนเหล่านี้นั่นเองคือผู้ที่จะถูกลงโทษ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 597

ก่อนที่มนุษยชาติจะเข้าสู่การหยุดพัก การที่บุคคลแต่ละประเภทจะถูกลงโทษหรือได้รับบำเหน็จรางวัลหรือไม่นั้น จะถูกกำหนดไปตามที่ว่าพวกเขาได้แสวงหาความจริงหรือไม่ พวกเขารู้จักพระเจ้าหรือไม่ และพวกเขาสามารถนบนอบต่อพระเจ้าที่มองเห็นได้หรือไม่  บรรดาผู้ที่ได้ทำการปรนนิบัติต่อพระเจ้าที่มองเห็นได้ แต่ทว่าไม่รู้จักพระองค์ อีกทั้งไม่นบนอบต่อพระองค์นั้น ย่อมขาดพร่องความจริง  ผู้คนเช่นนี้คือคนทำชั่ว และคนทำชั่วจะเป็นวัตถุของการลงโทษอย่างไม่มีข้อสงสัย และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะต้องถูกลงโทษไปตามความประพฤติชั่วของพวกเขา  พระเจ้าทรงดำรงอยู่เพื่อให้พวกมนุษย์เชื่อ และพระองค์ทรงคู่ควรกับการเชื่อฟังของพวกเขาด้วยเช่นกัน  บรรดาผู้ที่มีความเชื่อในพระเจ้าที่คลุมเครือและไม่สามารถมองเห็นได้เท่านั้นคือผู้คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าและไร้ความสามารถที่จะนบนอบต่อพระเจ้าได้  หากผู้คนเหล่านี้ยังคงไม่สามารถจัดการเพื่อให้เชื่อในพระเจ้าที่มองเห็นได้ในเวลาที่พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยของพระองค์ถูกทำให้เสร็จสิ้น และยังคงไม่เชื่อฟังและต้านทานพระเจ้าที่มองเห็นได้ในเนื้อหนัง เมื่อนั้น “คนไม่ชัดเจน” เหล่านี้ก็จะกลายเป็นวัตถุแห่งการทำลายล้าง โดยไม่มีข้อสงสัย  ซึ่งจะเหมือนใครบางคนในหมู่พวกเจ้า—ใครก็ตามที่ตระหนักถึงพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์โดยวาจา แต่ทว่าไม่สามารถปฏิบัติความจริงแห่งการนบนอบต่อพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ได้นั้น ในท้ายที่สุดก็จะถูกขับออกไปและถูกทำลายล้าง  นอกจากนั้น ใครก็ตามที่ตระหนักถึงพระเจ้าที่มองเห็นได้โดยวาจา กินและดื่มความจริงที่แสดงออกโดยพระองค์ในขณะที่กำลังแสวงหาพระเจ้าที่คลุมเครือและไม่สามารถมองเห็นได้อยู่ด้วยนั้น ย่อมจะตกเป็นเป้าหมายของการทำลายล้างเป็นแน่  ไม่มีคนใดในบรรดาผู้คนเหล่านี้ที่จะสามารถคงเหลืออยู่จนกระทั่งถึงเวลาแห่งการหยุดพักซึ่งจะมาหลังจากพระราชกิจของพระเจ้าได้เสร็จสิ้นลงแล้ว อีกทั้งไม่มีบุคคลที่คล้ายกับผู้คนเหล่านี้สักคนเดียวที่สามารถคงเหลืออยู่ในเวลาแห่งการหยุดพักนั้น  ผู้คนที่เหมือนปีศาจคือบรรดาผู้ซึ่งไม่ปฏิบัติความจริง แก่นแท้ของพวกเขาคือแก่นแท้แห่งการต้านทานและการไม่เชื่อฟังพระเจ้า และพวกเขาไม่มีเจตนาแห่งการนบนอบต่อพระองค์เลยแม้แต่น้อย  ผู้คนเช่นนี้จะถูกทำลายทั้งหมด  การที่เจ้าจะมีความจริงหรือไม่ และการที่เจ้าจะต้านทานพระเจ้าหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแก่นแท้ของเจ้า ไม่ใช่กับการปรากฏของเจ้าหรือวิธีที่เจ้าอาจจะพูดหรือประพฤติตนเป็นบางครั้งบางคราว  การที่บุคคลหนึ่งจะถูกทำลายหรือไม่นั้นถูกกำหนดโดยแก่นแท้ของคนเรา มันถูกตัดสินไปตามแก่นแท้ที่เปิดเผยโดยพฤติกรรมของคนเราและการไล่ตามเสาะหาความจริงของคนเรา  ท่ามกลางผู้คนที่เป็นเหมือนกันในด้านที่พวกเขากำลังทำงาน และผู้ที่ทำงานปริมาณเท่ากัน บรรดาผู้ซึ่งมีแก่นแท้ของมนุษย์ที่ดีและผู้ซึ่งมีความจริง คือผู้คนที่จะได้รับอนุญาตให้คงเหลืออยู่ ในขณะที่บรรดาผู้ซึ่งมีแก่นแท้ของมนุษย์ที่ชั่วร้ายและผู้ซึ่งไม่เชื่อฟังพระเจ้าที่มองเห็นได้ คือผู้คนที่จะเป็นวัตถุแห่งการทำลายล้าง  พระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับบั้นปลายของมนุษยชาติจะจัดการกับผู้คนอย่างเหมาะสมตามแก่นแท้ของแต่ละบุคคล ซึ่งจะไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้นแม้แต่น้อย และจะไม่มีการทำผิดพลาดสักอย่างเดียว  เฉพาะเมื่อผู้คนทำงานเท่านั้นที่ความรู้สึกหรือความหมายของมนุษย์เข้าสู่การปะปนกัน  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงปฏิบัติมีความเหมาะสมมากที่สุด พระองค์ไม่ทรงตั้งข้อกล่าวหาเทียมเท็จต่อสรรพสิ่งทรงสร้างใดๆ โดยเด็ดขาด  มีผู้คนมากมายในปัจจุบันผู้ซึ่งไร้ความสามารถที่จะล่วงรู้บั้นปลายในอนาคตของมนุษยชาติ และผู้ซึ่งไม่เชื่อวจนะที่เราเปล่งออกไป  พวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดที่ไม่เชื่อ รวมทั้งบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริงคือพวกปีศาจ!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 598

ปัจจุบันนี้ บรรดาผู้ที่แสวงหาและบรรดาผู้ที่ไม่แสวงหาคือผู้คนสองประเภทที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  ผู้ซึ่งบั้นปลายของพวกเขาแตกต่างกันมากเช่นกัน  บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความรู้แห่งความจริงและปฏิบัติความจริงคือผู้ซึ่งพระเจ้าจะทรงนำความรอดมาให้  ส่วนบรรดาผู้ที่ไม่รู้จักหนทางที่แท้จริงคือพวกปีศาจและศัตรู พวกเขาคือลูกหลานของหัวหน้าทูตสวรรค์ และจะเป็นเป้าหมายแห่งการทำลายล้าง  แม้แต่พวกที่เชื่ออย่างเคร่งครัดในพระเจ้าที่คลุมเครือ—พวกเขาไม่ใช่ปีศาจด้วยหรอกหรือ?  ผู้คนที่มีจิตสำนึกที่ดีแต่ไม่ยอมรับหนทางที่แท้จริงคือพวกปีศาจ กล่าวคือ แก่นแท้ของพวกเขาคือแก่นแท้แห่งการต้านทานพระเจ้า  บรรดาผู้ที่ไม่ยอมรับหนทางที่แท้จริงคือพวกที่ต้านทานพระเจ้า และแม้ว่าผู้คนเช่นนี้จะสู้ทนความยากลำบากมากมาย แต่พวกเขาก็จะยังคงถูกทำลายล้าง  พวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดผู้ไม่เต็มใจปล่อยวางโลก ผู้ไม่สามารถทนแยกจากพ่อแม่ของตนได้ และผู้ที่ไม่สามารถทนให้ตนเองเป็นอิสระจากความชื่นชมยินดีแห่งเนื้อหนังของตัวพวกเขาเองได้นั้นไม่เชื่อฟังพระเจ้า และล้วนจะต้องเป็นวัตถุแห่งการทำลายล้าง  ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์คือผู้เป็นเยี่ยงปีศาจ และมิหนำซ้ำ ยังจะถูกทำลาย  บรรดาผู้ที่มีความเชื่อแต่ไม่ได้ปฏิบัติความจริง บรรดาผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ และบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าก็จะเป็นวัตถุแห่งการทำลายล้างด้วยเช่นกัน  บรรดาผู้ที่จะได้รับอนุญาตให้คงเหลืออยู่ทั้งหมดนั้นคือผู้คนซึ่งได้ก้าวผ่านความทุกข์แห่งกระบวนการถลุงและได้ตั้งมั่น เหล่านี้คือผู้คนที่ได้สู้ทนการทดสอบอย่างแท้จริง  ผู้ใดที่ไม่ยอมรับพระเจ้าคือศัตรู กล่าวคือ ผู้ใดที่ไม่ตระหนักถึงพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์—ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ภายในหรือภายนอกกระแสนี้หรือไม่ก็ตาม—คือศัตรูของพระคริสต์!  ใครคือซาตาน ใครคือปีศาจ และใครคือศัตรูของพระเจ้าหากไม่ใชพวกผู้ต้านทานซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า?  พวกเขามิใช่ผู้คนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าหรอกหรือ?  พวกเขามิใช่บรรดาผู้ที่อ้างว่ามีความเชื่อทว่ายังเป็นผู้ขาดพร่องความจริงหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ใช่บรรดาผู้ที่เพียงแค่พยายามให้ได้มาซึ่งพรในขณะที่ไร้ความสามารถที่จะเป็นพยานให้พระเจ้าได้หรอกหรือ?  เจ้ายังคงอยู่ร่วมกันกับปีศาจเหล่านั้นวันนี้ และแบกรับจิตสำนึกและความรักต่อพวกมัน แต่ในกรณีนี้ เจ้ามิได้กำลังหยิบยื่นเจตนาที่ดีต่อซาตานหรอกหรือ?  เจ้ามิได้อยู่ร่วมขบวนการเดียวกับพวกปีศาจหรอกหรือ?  หากผู้คนทุกวันนี้ยังไร้ความสามารถที่จะแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วได้ และยังคงหลับหูหลับตารักและเมตตาต่อไปโดยไม่มีเจตนาใดๆ ที่จะแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือไม่ว่าจะหนทางใดก็ไม่มีความสามารถที่จะรับเจตนารมณ์ของพระเจ้าไว้เสมือนเป็นของตนเองได้ เช่นนั้นแล้ว วาระสุดท้ายของพวกเขาจะล้วนน่าอนาถยิ่งขึ้นไปอีก ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าที่เป็นมนุษย์ก็คือศัตรูของพระเจ้า  หากเจ้าสามารถแบกรับจิตสำนึกและความรักต่อศัตรูได้ เจ้ามิได้ขาดสำนึกรับรู้แห่งความชอบธรรมหรอกหรือ?  หากเจ้าสามารถเข้ากันได้กับพวกเหล่านั้นที่เรารังเกียจและกับพวกที่เราไม่เห็นด้วย และยังคงแบกรับความรักหรือความรู้สึกส่วนตัวต่อพวกเขาอยู่ เช่นนั้นแล้ว เจ้ามิได้ไม่เชื่อฟังหรอกหรือ?  เจ้ามิได้กำลังต้านทานพระเจ้าโดยเจตนาหรอกหรือ?  บุคคลเช่นนั้นถือครองความจริงกระนั้นหรือ?  หากผู้คนแบกรับจิตสำนึกต่อเหล่าศัตรู มีความรักให้ปีศาจ และปรานีต่อซาตาน เช่นนั้นแล้ว พวกเขามิได้กำลังทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงักโดยเจตนาหรอกหรือ?  บรรดาผู้คนที่เชื่อในพระเยซูเท่านั้นแต่ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในระหว่างยุคสุดท้าย รวมทั้งบรรดาผู้ที่กล่าวอ้างด้วยวาจาว่าเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์แต่ทำความชั่ว ล้วนเป็นศัตรูของพระคริสต์ โดยไม่ต้องแม้แต่กล่าวถึงบรรดาผู้ที่ไม่แม้แต่จะเชื่อในพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนจะเป็นวัตถุแห่งการทำลายล้าง  มาตรฐานที่มนุษย์ใช้ตัดสินมนุษย์คนอื่นๆ อยู่บนพื้นฐานของพฤติกรรมของพวกเขา กล่าวคือ บรรดาผู้ที่ความประพฤติของเขานั้นดีก็เป็นคนชอบธรรม ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้ที่ความประพฤติของเขาน่าสะอิดสะเอียนก็เป็นคนชั่ว  ส่วนมาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้พิพากษามนุษย์นั้นอยู่บนพื้นฐานของแก่นแท้ของพวกเขาว่านบนอบต่อพระองค์หรือไม่ กล่าวคือ บุคคลผู้ซึ่งนบนอบต่อพระเจ้าคือคนชอบธรรม ในขณะที่บุคคลผู้ซึ่งไม่นบนอบเป็นศัตรูและเป็นคนชั่ว โดยไม่คำนึงถึงว่าพฤติกรรมของบุคคลผู้นี้ดีหรือชั่ว และโดยไม่คำนึงถึงว่าวาทะของพวกเขาถูกหรือผิด  ผู้คนบางคนปรารถนาที่จะใช้ความประพฤติที่ดีเพื่อให้ได้มาซึ่งบั้นปลายที่ดีในอนาคต และผู้คนบางคนปรารถนาที่จะใช้คำพูดที่น่าฟังเพื่อให้ได้รับบั้นปลายที่ดี  ทุกคนเชื่อโดยเข้าใจผิดว่าพระเจ้าทรงกำหนดบทอวสานของผู้คนหลังจากที่เฝ้ามองพฤติกรรมของพวกเขาหรือหลังจากที่รับฟังวาทะของพวกเขา ดังนั้นผู้คนมากมายจึงปรารถนาที่จะถือประโยชน์จากการนี้เพื่อหลอกลวงพระเจ้าให้ประทานความโปรดปรานชั่วคราวแก่พวกเขา  ในอนาคต ผู้คนซึ่งจะรอดชีวิตในสภาวะแห่งการหยุดพักล้วนจะได้สู้ทนวันแห่งความทุกข์ลำบาก และยังจะได้เป็นพยานให้พระเจ้าอีกด้วย พวกเขาล้วนจะเป็นผู้คนซึ่งได้ทำหน้าที่ของตนลุล่วงและผู้ซึ่งได้นบนอบต่อพระเจ้าโดยตั้งใจ  บรรดาผู้ซึ่งเพียงปรารถนาที่จะใช้โอกาสเพื่อทำการปรนนิบัติด้วยเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการปฏิบัติความจริงนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้หลงเหลืออยู่  พระเจ้าทรงมีมาตรฐานที่เหมาะสมสำหรับการจัดการเตรียมการบทอวสานของแต่ละคนทุกคน กล่าวคือ พระองค์ไม่เพียงแค่ตัดสินพระทัยในสิ่งเหล่านี้ไปตามคำพูดและความประพฤติของคนเรา อีกทั้งไม่ตัดสินพระทัยในสิ่งเหล่านั้นบนพื้นฐานของวิธีที่คนเรากระทำในระหว่างระยะเวลาเดียว  พระองค์จะไม่ทรงผ่อนผันเกี่ยวกับความประพฤติเลวทรามของบุคคลหนึ่งเนื่องจากการปรนนิบัติต่อพระองค์ในอดีตของพวกเขาโดยเด็ดขาด อีกทั้งพระองค์จะไม่ทรงไว้ชีวิตบุคคลหนึ่งจากความตายเนื่องจากการใช้จ่ายใดๆ เพื่อพระเจ้าครั้งเดียว  ไม่มีผู้ใดสักคนสามารถหลบเลี่ยงการลงทัณฑ์อันสาสมสำหรับความชั่วของพวกเขาได้ และไม่มีผู้ใดสักคนสามารถปิดบังพฤติกรรมชั่วร้ายของตนและด้วยเหตุนั้นจะหลบเลี่ยงความทรมานแห่งการทำลายล้างได้  หากผู้คนสามารถทำหน้าที่ของพวกเขาเองได้ลุล่วงโดยแท้จริง นั่นหมายความว่าพวกเขาสัตย์ซื่อต่อพระเจ้านิรันดร์ และไม่แสวงหาบำเหน็จรางวัล โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาจะได้รับพรหรือทนทุกข์กับความโชคร้ายหรือไม่ก็ตาม  หากผู้คนสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าเมื่อพวกเขามองเห็นพร แต่สูญเสียความสัตย์ซื่อไปเมื่อพวกเขาไม่สามารถมองเห็นพรใดๆ และหากว่าในท้ายที่สุด พวกเขายังคงไม่สามารถเป็นพยานให้พระเจ้าและทำหน้าที่ที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติให้ลุล่วงได้แล้วไซร้ พวกเขาก็จะยังคงเป็นวัตถุแห่งการทำลายล้างแม้พวกเขาจะเคยได้ให้การปรนนิบัติอย่างสัตย์ซื่อต่อพระเจ้ามาก่อนหน้านั้นแล้วก็ตาม  สรุปคือ คนชั่วไม่สามารถรอดชีวิตตลอดชั่วนิรันดร์ได้ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถเข้าสู่การหยุดพักได้ เฉพาะผู้คนชอบธรรมเท่านั้นที่เป็นนายทั้งหลายแห่งการหยุดพัก  เมื่อมนุษยชาติอยู่ในร่องครรลองที่ถูกต้องแล้ว ผู้คนก็จะมีชีวิตแบบมนุษย์ปกติ  พวกเขาทั้งหมดต่างก็จะทำหน้าที่ของพวกเขาเอง และสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าโดยสมบูรณ์  พวกเขาจะกำจัดการไม่เชื่อฟังของพวกเขาและอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาไปโดยสิ้นเชิง และพวกเขาจะมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าและเพราะพระเจ้า จะปราศจากทั้งการไม่เชื่อฟังและการต้านทาน  พวกเขาล้วนจะสามารถนบนอบต่อพระเจ้าได้โดยครบบริบูรณ์  นี่จะเป็นชีวิตแห่งพระเจ้าและมนุษยชาติ ซึ่งจะเป็นชีวิตแห่งราชอาณาจักร และจะเป็นชีวิตแห่งการหยุดพัก

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 599

บรรดาผู้ที่ลากจูงลูกๆ และญาติพี่น้องที่ไม่เชื่อโดยสิ้นเชิงของตนมายังคริสตจักรล้วนเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างสุดขีด และพวกเขาเพียงแค่กำลังแสดงความเมตตาเท่านั้น  ผู้คนเหล่านี้มุ่งเน้นที่การมีความรักเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาเชื่อหรือไม่ และไม่คำนึงถึงว่านั่นจะเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่  บางคนนำภรรยาของตนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หรือลากจูงบิดามารดาของตนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และไม่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเห็นชอบกับการนี้หรือไม่ หรือจะทรงพระราชกิจในพวกเขาหรือไม่ พวกเขาก็ยังคงหลับหูหลับตา “รับเอาผู้คนที่มีความสามารถพิเศษ” มาให้พระเจ้าอยู่ต่อไป  ประโยชน์อะไรที่อาจจะสามารถได้มาจากการหยิบยื่นความเมตตาให้แก่ผู้ไม่เชื่อทั้งหลายเหล่านี้?  แม้ว่าพวกเขา ผู้ซึ่งปราศจากการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พยายามดิ้นรนต่อสู้ที่จะติดตามพระเจ้า พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถถูกช่วยให้รอดดังเช่นที่คนเราอาจเชื่อกันได้  บรรดาผู้ที่สามารถได้รับความรอดนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่จะได้รับมาโดยง่ายดายเพียงนั้น  ผู้คนซึ่งยังไม่ได้ก้าวผ่านพระราชกิจและการทดสอบของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และยังไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์นั้น ไม่สามารถได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ได้โดยสิ้นเชิง  เพราะฉะนั้น จากชั่วขณะที่พวกเขาเริ่มติดตามพระเจ้าโดยเพียงในนาม ผู้คนเหล่านั้นก็ขาดการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว  ตามที่เห็นจากสภาพและสภาวะจริงของพวกเขานั้น พวกเขาแค่ไม่สามารถได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ได้  เช่นนั้นเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ตัดสินพระทัยที่จะไม่ใช้พลังงานกับพวกเขามากนัก อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงจัดเตรียมความรู้แจ้งใดๆ หรือไม่ทรงนำพวกเขาไปในหนทางใดๆ พระองค์เพียงแค่ทรงปล่อยให้พวกเขาติดตามไปด้วยเท่านั้นเอง และในท้ายที่สุดจะทรงเปิดเผยบทอวสานของพวกเขา—การนี้ก็พอแล้ว  ความกระตือรือร้นและเจตนาของมนุษยชาติมาจากซาตาน และไม่มีทางที่สิ่งเหล่านี้จะสามารถทำให้พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ครบบริบูรณ์ได้  ไม่สำคัญว่าผู้คนจะเป็นเหมือนสิ่งใด พวกเขาต้องมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พวกมนุษย์สามารถทำให้พวกมนุษย์ครบบริบูรณ์ได้หรือไม่?  ทำไมสามีจึงรักภรรยาของเขา?  ทำไมภรรยาจึงรักสามีของเธอ?  ทำไมลูกๆ จึงกตัญญูต่อบิดามารดาของพวกเขา?  ทำไมบิดามารดาจึงหลงใหลลูกๆ ของพวกเขา?  อันที่จริงแล้วผู้คนเก็บงำเจตนาชนิดใดเอาไว้?  เจตนาของพวกเขาไม่ใช่เพื่อตอบสนองแผนการและความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัวของพวกเขาเองหรอกหรือ?  พวกเขาหมายที่จะกระทำการเพื่อประโยชน์ของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าโดยแท้จริงใช่หรือไม่?  พวกเขากำลังกระทำการเพื่อประโยชน์ของพระราชกิจของพระเจ้าจริงๆ ใช่หรือไม่?  เจตนาของพวกเขาคือเพื่อทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ลุล่วงใช่หรือไม่?  บรรดาผู้ซึ่งยังไร้ความสามารถที่จะได้รับการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นับตั้งแต่ชั่วขณะที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้านั้น ไม่มีวันสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ เห็นได้ชัดว่าผู้คนเหล่านี้คือเป้าหมายที่จะถูกทำลาย  ไม่สำคัญว่าคนเราจะมีความรักให้พวกเขามากเพียงใด แต่นั่นไม่สามารถทดแทนพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้  ความกระตือรือร้นและความรักของผู้คนเป็นตัวแทนเจตนาของมนุษย์ อีกทั้งไม่สามารถเป็นตัวแทนเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ และสิ่งเหล่านั้นไม่สามารถเป็นสิ่งทดแทนพระราชกิจของพระเจ้าได้  แม้ว่าคนเราจะหยิบยื่นความรักหรือความปรานีอย่างใหญ่หลวงที่สุดที่สามารถเป็นไปได้ให้แก่ผู้คนเหล่านั้นซึ่งเชื่อในพระเจ้าเพียงในนามและแสร้งติดตามพระองค์โดยไม่รู้ว่าการเชื่อในพระเจ้าแท้จริงแล้วหมายถึงสิ่งใด พวกเขาจะยังคงไม่ได้รับความเห็นใจจากพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาจะยังไม่ได้มาซึ่งพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  แม้ว่าผู้คนซึ่งติดตามพระเจ้าอย่างจริงใจจะมีขีดความสามารถต่ำและไร้ความสามารถที่จะเข้าใจความจริงทั้งหลายที่มากมายได้ แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถได้รับพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ซึ่งมีขีดความสามารถดีมาก แต่ไม่ได้เชื่ออย่างจริงใจ ก็ย่อมไม่สามารถได้รับการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้  ไม่มีความเป็นไปได้โดยสิ้นเชิงที่จะมีความรอดกับผู้คนเช่นนั้น  แม้ว่าพวกเขาจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังคำเทศนาเป็นครั้งคราว หรือแม้แต่ร้องเพลงสรรเสริญต่อพระเจ้า ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็จะไม่มีความสามารถที่จะรอดชีวิตจนกระทั่งถึงเวลาแห่งการหยุดพักได้  การที่ผู้คนแสวงหาอย่างจริงจังจริงใจหรือไม่นั้นไม่ได้ถูกกำหนดโดยวิธีที่ผู้อื่นตัดสินพวกเขาหรือวิธีที่ผู้คนรอบข้างมองพวกเขา แต่กำหนดโดยการที่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจต่อพวกเขาหรือไม่ และพวกเขาได้รับการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่  ยิ่งไปกว่านั้น มันขึ้นอยู่กับว่าอุปนิสัยของพวกเขาเปลี่ยนแปลงหรือไม่ และพวกเขาได้รับความรู้ใดๆ ของพระเจ้าหรือไม่หลังจากที่ก้าวผ่านพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว  หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจต่อบุคคลหนึ่ง อุปนิสัยของบุคคลผู้นี้จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง และมุมมองด้านการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาจะค่อยๆ สะอาดบริสุทธิ์ขึ้น  ไม่ว่าผู้คนจะติดตามพระเจ้ามานานเพียงใด ตราบเท่าที่พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงแล้ว นั่นหมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจต่อพวกเขา  หากพวกเขายังไม่เปลี่ยนแปลง นั่นหมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์มิได้กำลังทรงพระราชกิจต่อพวกเขา  แม้ว่าผู้คนเหล่านี้จะทำการปรนนิบัติอยู่บ้าง สิ่งที่ขับเคลื่อนพวกเขาให้ทำเช่นนั้นคือความอยากที่จะได้รับพร  การทำการปรนนิบัติเป็นครั้งคราวเท่านั้นไม่สามารถทดแทนการผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขาได้  ในท้ายที่สุด พวกเขาจะยังคงถูกทำลาย เพราะในราชอาณาจักรนั้นจะไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องมีคนปรนนิบัติ อีกทั้งจะไม่มีความจำเป็นที่ผู้ใดซึ่งอุปนิสัยของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง จะต้องมาปรนนิบัติบรรดาผู้คนซึ่งได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วและผู้ซึ่งสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า  คำพูดเหล่านั้นได้ถูกกล่าวไว้ในอดีตว่า “เมื่อคนผู้หนึ่งเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า โชคลาภจะยิ้มให้แก่ทั้งครอบครัวของคนผู้นั้น” เหมาะสมสำหรับยุคพระคุณ แต่ไม่สัมพันธ์กันกับบั้นปลายของมนุษยชาติ  คำพูดเหล่านั้นเหมาะสมเฉพาะสำหรับช่วงระยะในระหว่างยุคพระคุณเท่านั้น  ความหมายแฝงของคำพูดเหล่านั้นมุ่งตรงไปที่สันติสุขและพรทางวัตถุที่มนุษย์ได้ชื่นชม คำพูดเหล่านั้นไม่ได้หมายความว่าครอบครัวของคนผู้ซึ่งเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะถูกช่วยให้รอดทั้งหมด อีกทั้งไม่ได้หมายความว่าเมื่อคนเราได้รับพรแล้ว ทั้งครอบครัวของเขาจะสามารถถูกนำพาไปสู่การหยุดพักด้วย  การที่คนเราจะได้รับพรหรือทนทุกข์กับความโชคร้ายนั้น ย่อมถูกกำหนดไปตามแก่นแท้ของคนเรา ไม่ใช่ตามแก่นแท้ทั่วไปใดๆ ที่คนเราอาจมีร่วมกันกับผู้อื่น  คำพูดหรือกฎเกณฑ์ประเภทนั้นย่อมไม่มีที่ทางอยู่ในราชอาณาจักรนี้  หากในท้ายที่สุดบุคคลหนึ่งมีความสามารถรอดชีวิต นั่นเป็นเพราะพวกเขาได้ทำตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าแล้ว และหากว่าในท้ายที่สุดพวกเขาไร้ความสามารถที่จะหลงเหลืออยู่จนกระทั่งถึงเวลาแห่งการหยุดพัก นั่นก็เป็นเพราะพวกเขายังไม่ได้เชื่อฟังต่อพระเจ้าและไม่ได้ตอบสนองข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า  ทุกคนมีบั้นปลายที่เหมาะสม  บั้นปลายเหล่านี้ถูกกำหนดไปตามแก่นแท้ของแต่ละปัจเจกบุคคล และไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับผู้คนอื่นๆ โดยสิ้นเชิง  พฤติกรรมชั่วร้ายของเด็กคนหนึ่งไม่สามารถส่งผ่านไปยังบิดามารดาของพวกเขาได้ อีกทั้งความชอบธรรมของเด็กคนหนึ่งไม่สามารถแบ่งปันกับพ่อแม่ของพวกเขาได้  พฤติกรรมชั่วร้ายของบิดามารดาไม่สามารถส่งผ่านไปยังลูกๆ ของพวกเขาได้ และความชอบธรรมของบิดามารดาก็ไม่สามารถแบ่งปันกับลูกๆ ของพวกเขาได้  ทุกคนแบกรับบาปแต่ละอย่างของพวกเขา และทุกคนชื่นชมพรแต่ละอย่างของพวกเขา  ไม่มีผู้ใดสามารถแทนที่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ นี่คือความชอบธรรม  จากมุมมองของมนุษย์นั้น หากว่าบิดามารดาได้รับพร เช่นนั้นแล้วลูกๆ ของพวกเขาก็ควรจะสามารถได้ด้วยเช่นกัน และหากลูกๆ กระทำความชั่ว เช่นนั้นแล้วบิดามารดาของพวกเขาก็ต้องชดใช้ให้แก่บาปเหล่านั้น  นี่คือมุมมองแบบมนุษย์และหนทางแบบมนุษย์ในการทำสิ่งทั้งหลาย ซึ่งไม่ใช่มุมมองของพระเจ้า  บทอวสานของทุกคนถูกกำหนดไปตามแก่นแท้ที่มาจากความประพฤติของพวกเขา และมักจะถูกกำหนดอย่างถูกต้องเหมาะสมเสมอ  ไม่มีใครสามารถแบกรับบาปของอีกคนหนึ่งได้ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครสามารถได้รับการลงโทษแทนอีกคนหนึ่งได้  เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน  ความเอาใจใส่อย่างมากล้นของบิดามารดาต่อลูกๆ ของพวกเขาไม่ได้บ่งบอกว่าพวกเขาสามารถแสดงความประพฤติที่ชอบธรรมแทนลูกๆ ของพวกเขาได้ อีกทั้งความรักกตัญญูของลูกต่อบิดามารดาก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสามารถแสดงความประพฤติที่ชอบธรรมแทนบิดามารดาของพวกเขาได้  นี่คือความหมายที่แท้จริงของพระวจนะที่ว่า “เวลานั้นชายสองคนอยู่ที่ทุ่งนา จะถูกรับไปคนหนึ่ง และถูกละทิ้งไว้คนหนึ่ง หญิงสองคนโม่แป้งอยู่ด้วยกัน จะถูกรับไปคนหนึ่ง ถูกละทิ้งไว้คนหนึ่ง”  ผู้คนไม่สามารถนำลูกๆ ที่ทำชั่วของพวกตนเข้าสู่การหยุดพักบนพื้นฐานของความรักลึกซึ้งที่พวกตนมีต่อพวกเขาได้ อีกทั้งไม่มีผู้ใดสามารถนำภรรยา (หรือสามี) ของพวกเขาเข้าสู่การหยุดพักบนพื้นฐานของความประพฤติชอบธรรมของตัวพวกเขาเองได้  นี่คือกฎเกณฑ์บริหาร ซึ่งไม่สามารถมีข้อยกเว้นสำหรับผู้ใดได้  ในที่สุด คนทำความชอบธรรมก็คือคนทำความชอบธรรม และคนทำชั่วก็คือคนทำชั่ว  คนชอบธรรมจะได้รับอนุญาตให้รอดชีวิตในที่สุด ในขณะที่คนทำชั่วจะถูกทำลาย  คนบริสุทธิ์นั้นบริสุทธิ์ พวกเขาไม่โสโครก  คนโสโครกคือคนโสโครกและไม่มีสักส่วนหนึ่งของพวกเขาที่บริสุทธิ์  ผู้คนซึ่งจะถูกทำลายนั้นล้วนเป็นคนชั่ว และบรรดาผู้ซึ่งจะรอดชีวิตล้วนเป็นคนชอบธรรม—แม้ว่าลูกๆ ของบรรดาคนชั่วเหล่านั้นจะแสดงความประพฤติที่ชอบธรรมก็ตาม และแม้ว่าบิดามารดาของบรรดาคนที่ชอบธรรมจะกระทำความประพฤติที่ชั่วร้ายก็ตาม  ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างสามีที่เชื่อกับภรรยาที่ไม่เชื่อ และไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างลูกๆ ที่เชื่อกับบิดามารดาที่ไม่เชื่อ กล่าวคือ ผู้คนสองประเภทนี้ไม่สามารถเข้ากันได้โดยสิ้นเชิง  ก่อนที่จะเข้าสู่การหยุดพัก คนเรามีญาติพี่น้องทางกายภาพ แต่ทันทีที่คนเราเข้าสู่การหยุดพัก เขาจะไม่มีญาติพี่น้องทางกายภาพให้พูดถึงอีกต่อไป  บรรดาผู้ที่ทำหน้าที่ของตนเป็นศัตรูกับพวกที่ไม่ได้ทำ และบรรดาผู้ที่รักพระเจ้ากับพวกที่เกลียดชังพระเจ้าจะอยู่ในทางตรงข้ามของกันและกัน  บรรดาผู้ที่จะเข้าสู่การหยุดพักและพวกที่จะได้ถูกทำลายเป็นสรรพสิ่งทรงสร้างสองประเภทที่ไม่สามารถเข้ากันได้  สรรพสิ่งทรงสร้างที่ทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงจะสามารถรอดชีวิต ในขณะที่พวกที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงจะเป็นวัตถุแห่งการทำลายล้าง ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ การนี้จะคงอยู่ตลอดชั่วนิรันดร์  เจ้ารักสามีของเจ้าเพื่อที่จะทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างสิ่งหนึ่งใช่หรือไม่?  เจ้ารักภรรยาของเจ้าเพื่อที่จะทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างสิ่งหนึ่งใช่หรือไม่?  เจ้ากตัญญูต่อบิดามารดาที่ไม่เชื่อของเจ้าเพื่อที่จะทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างสิ่งหนึ่งใช่หรือไม่?  ทรรศนะของมนุษย์ต่อความเชื่อในพระเจ้าถูกหรือผิด?  เหตุใดเจ้าจึงเชื่อในพระเจ้า?  เจ้าปรารถนาว่าจะได้อะไร?  เจ้ารักพระเจ้าอย่างไร?  พวกที่ไม่สามารถทำหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ลุล่วงได้ และพวกที่ไม่สามารถทำความพยายามอย่างเต็มที่ จะกลายเป็นวัตถุแห่งการทำลายล้าง  มีความสัมพันธ์ทางกายภาพที่เกิดขึ้นระหว่างผู้คนในปัจจุบัน รวมทั้งความเกี่ยวพันทางสายเลือด แต่ในอนาคต สิ่งเหล่านี้จะแตกสลายไปทั้งหมด  บรรดาผู้เชื่อกับบรรดาผู้ไม่เชื่อไม่สามารถเข้ากันได้ ตรงกันข้าม พวกเขาขัดแย้งซึ่งกันและกัน  บรรดาผู้ที่อยู่ในการหยุดพักจะเชื่อว่ามีพระเจ้าและจะนบนอบต่อพระเจ้า ในขณะที่บรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าจะถูกทำลายทั้งหมด  ครอบครัวทั้งหลายจะไม่มีอยู่บนแผ่นดินโลกอีกต่อไป แล้วจะสามารถมีบิดามารดา หรือลูกๆ หรือความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาได้อย่างไร?  ความไม่สามารถเข้ากันได้ของความเชื่อและความไม่เชื่อจะตัดขาดความสัมพันธ์ทางกายภาพดังกล่าวโดยสิ้นเชิง!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 600

แต่เดิมนั้นไม่มีครอบครัวในหมู่มนุษยชาติ มีเพียงชายคนหนึ่งและหญิงคนหนึ่งเท่านั้น—มนุษย์สองประเภทที่แตกต่างกัน  ไม่มีประเทศ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องครอบครัว แต่จากผลของความเสื่อมทรามของมนุษยชาติ ผู้คนทุกประเภทจึงได้จัดตัวพวกเขาเองให้อยู่ในแต่ละวงศ์ตระกูล  ต่อมาภายหลังก็พัฒนาเป็นประเทศและกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหลาย  ประเทศและกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ประกอบด้วยครอบครัวเล็กๆ และในลักษณะนี้เอง ผู้คนทุกจำพวกได้กระจายออกไปท่ามกลางเผ่าพันธุ์ที่หลากหลายตามความแตกต่างในด้านภาษาและอาณาเขต  แท้ที่จริงแล้ว ไม่สำคัญว่าอาจจะมีเผ่าพันธุ์มากมายเพียงใดบนโลกนี้ มนุษยชาติมีบรรพบุรุษเพียงหนึ่งคนเท่านั้น  ในปฐมกาล มีมนุษย์อยู่เพียงสองประเภทเท่านั้น และสองประเภทนี้ก็คือชายและหญิง  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความก้าวหน้าของพระราชกิจของพระเจ้า ความเคลื่อนไหวของประวัติศาสตร์ และความเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ มนุษย์สองประเภทนี้ได้พัฒนาถึงระดับต่างๆ เป็นมนุษย์จำพวกต่างๆ มากยิ่งขึ้น  โดยพื้นฐานแล้ว ไม่ว่าอาจจะมีเผ่าพันธุ์มากมายเพียงใดที่ประกอบขึ้นเป็นมนุษยชาติ แต่มนุษยชาติทั้งหมดยังคงเป็นการทรงสร้างของพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าผู้คนจะอยู่ในเผ่าพันธุ์ใด พวกเขาล้วนเป็นสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระองค์ พวกเขาล้วนเป็นลูกหลานของอาดัมและเอวา  ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้า แต่พวกเขาคือลูกหลานของอาดัมและเอวา ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นโดยพระองค์เอง  ไม่สำคัญว่าผู้คนจะอยู่ในกลุ่มของสิ่งมีชีวิตประเภทใด พวกเขาล้วนเป็นสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระองค์ เมื่อพวกเขาอยู่ในกลุ่มของมนุษยชาติ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น บั้นปลายของพวกเขาก็คือบั้นปลายที่มนุษยชาติควรจะต้องมี และพวกเขาได้ถูกแบ่งแยกออกไปตามกฎเกณฑ์ที่จัดระเบียบมนุษย์  กล่าวคือ คนทำชั่วและคนชอบธรรมท้ายที่สุดแล้วก็ล้วนเป็นสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง  สรรพสิ่งที่ทรงสร้างที่กระทำความชั่วจะถูกทำลายไปในที่สุด และสรรพสิ่งที่ทรงสร้างผู้แสดงความประพฤติที่ชอบธรรมจะรอดชีวิต  นี่คือการจัดการเตรียมการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสรรพสิ่งที่ทรงสร้างสองประเภทนี้  คนทำชั่วไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าถึงแม้พวกเขาจะเป็นการทรงสร้างของพระเจ้า แต่พวกเขาได้ถูกซาตานจับไว้เนื่องจากความไม่เชื่อฟังของพวกเขา และดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้  สรรพสิ่งที่ทรงสร้างซึ่งประพฤติตัวเองอย่างชอบธรรมไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าพวกเขาถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า และยังได้รับความรอดหลังจากที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้ว บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาจะรอดชีวิต  คนทำชั่วคือสรรพสิ่งที่ทรงสร้างผู้ซึ่งไม่เชื่อฟังพระเจ้า พวกเขาเป็นสรรพสิ่งทรงสร้างที่ไม่สามารถถูกช่วยให้รอดได้ และได้ถูกซาตานจับไว้โดยทั่วทั้งสิ้นแล้ว  ผู้คนซึ่งกระทำความชั่วก็คือผู้คนเช่นเดียวกัน พวกเขาเป็นพวกมนุษย์ผู้ซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามจนถึงที่สุด และเป็นผู้ซึ่งไม่สามารถถูกช่วยให้รอดได้  ในฐานะที่พวกเขาเป็นสรรพสิ่งที่ทรงสร้างเช่นเดียวกันนั้น ผู้คนที่ประพฤติชอบธรรมก็ถูกทำให้เสื่อมทรามด้วยเช่นกัน แต่พวกเขาเป็นพวกมนุษย์ผู้ซึ่งเต็มใจที่จะหลุดพ้นจากอุปนิสัยเสื่อมทรามของตนและได้กลับกลายเป็นมีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระเจ้าได้  ผู้คนที่ประพฤติชอบธรรมมิได้เปี่ยมล้นด้วยความชอบธรรม แต่ทว่าพวกเขาได้รับความรอดและหลุดพ้นจากอุปนิสัยชั่วร้ายของพวกเขา พวกเขาสามารถนบนอบต่อพระเจ้า  พวกเขาจะตั้งมั่นในท้ายที่สุด แต่ทว่านั่นมิใช่การกล่าวว่าพวกเขาไม่เคยถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม  หลังจากที่พระราชกิจของพระเจ้าจบสิ้นลง ในหมู่สรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระองค์ทั้งหมดนั้น จะมีบรรดาผู้ซึ่งจะถูกทำลายและบรรดาผู้ซึ่งจะรอดชีวิต  นี่คือแนวโน้มที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้แห่งงานการบริหารจัดการของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้  คนทำชั่วทั้งหลายจะไม่ถูกปล่อยให้รอดชีวิต บรรดาผู้ซึ่งนบนอบและติดตามพระเจ้าก็มั่นใจได้ว่าจะรอดชีวิตในท้ายที่สุด  เนื่องจากพระราชกิจนี้คือการบริหารจัดการของมนุษยชาติ จึงจะมีบรรดาผู้ซึ่งหลงเหลืออยู่และบรรดาผู้ซึ่งถูกขับออกไป  เหล่านี้คือบทอวสานที่แตกต่างกันสำหรับผู้คนประเภทที่แตกต่างกัน และบทอวสานเหล่านั้นคือการจัดการเตรียมการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า การจัดการเตรียมการขั้นสุดท้ายของพระเจ้าสำหรับมวลมนุษย์คือการแบ่งแยกพวกเขาโดยการตัดขาดครอบครัว บดขยี้กลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหลาย และสลายพรมแดนของชาติในการจัดการเตรียมการที่ไม่มีครอบครัวหรือพรมแดนของชาติ เพราะในที่สุดแล้วพวกมนุษย์นั้นสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษหนึ่งเดียวและเป็นการทรงสร้างของพระเจ้า  สรุปว่า สรรพสิ่งที่ทรงสร้างที่ทำชั่วจะถูกทำลายทั้งหมด และสรรพสิ่งที่ทรงสร้างที่เชื่อฟังพระเจ้าจะรอดชีวิต  ในหนทางนี้ จะไม่มีครอบครัว ไม่มีประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีกลุ่มชาติพันธุ์ในเวลาของการหยุดพักที่จะมาถึง มนุษยชาติประเภทนี้จะเป็นมนุษยชาติประเภทที่บริสุทธิ์ที่สุด  อาดัมและเอวาถูกสร้างขึ้นมาโดยดั้งเดิมเพื่อที่มนุษยชาติจะได้ดูแลทุกสรรพสิ่งบนแผ่นดินโลก โดยดั้งเดิมนั้นพวกมนุษย์เป็นนายแห่งทุกสรรพสิ่ง  เจตนารมณ์ของพระยาห์เวห์ในการสร้างพวกมนุษย์นั้นคือเพื่อปล่อยให้พวกเขาดำรงอยู่บนแผ่นดินโลก และเพื่อดูแลเอาใจใส่ทุกสรรพสิ่งบนนั้น เนื่องจากมนุษยชาติมิได้ถูกทำให้เสื่อมทรามและไม่มีความสามารถในการกระทำความชั่วโดยดั้งเดิม  อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พวกมนุษย์กลายเป็นถูกทำให้เสื่อมทราม พวกเขาก็ไม่ได้เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่ทุกสรรพสิ่งอีกต่อไป  จุดประสงค์ของความรอดของพระเจ้าคือเพื่อฟื้นคืนหน้าที่นี้ของมนุษยชาติ เพื่อฟื้นคืนเหตุผลดั้งเดิมและการเชื่อฟังดั้งเดิมของมวลมนุษย์ ดังนั้น มนุษยชาติในการหยุดพักจึงจะเป็นตัวแทนที่แท้จริงของผลที่พระเจ้าทรงหวังที่จะบรรลุกับพระราชกิจแห่งความรอดของพระองค์  ถึงแม้ว่ามันจะไม่เป็นชีวิตดังเช่นชีวิตในสวนเอเดนอีกต่อไป แต่แก่นแท้ของทั้งสองนั้นจะเหมือนกัน มนุษยชาติจะเพียงแค่ไม่ใช่ตัวตนที่ไม่ถูกทำให้เสื่อมทรามเมื่อก่อนนี้อีกแล้วเท่านั้น แต่เป็นมนุษยชาติที่ได้กลายเป็นถูกทำให้เสื่อมทรามและต่อมาได้รับความรอดต่างหาก  ผู้คนเหล่านี้ซึ่งได้รับความรอดจะเข้าไปสู่การหยุดพักในท้ายที่สุด (นั่นคือ หลังจากที่พระราชกิจของพระเจ้าได้เสร็จสิ้นแล้ว)  ในทำนองเดียวกัน บทอวสานของพวกที่จะถูกลงโทษก็จะถูกเปิดเผยโดยครบบริบูรณ์ในที่สุดด้วยเช่นกัน และพวกเขาจะถูกทำลายหลังจากที่พระราชกิจของพระเจ้าได้จบสิ้นแล้วเช่นกัน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หลังจากที่พระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้นแล้วนั้น บรรดาคนทำชั่วและบรรดาผู้ซึ่งถูกช่วยให้รอดจะถูกเปิดโปงทั้งหมด ด้วยเพราะพระราชกิจแห่งการเปิดโปงผู้คนประเภทต่างๆ ทั้งหมด (ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนทำชั่วหรืออยู่ในหมู่ผู้ถูกช่วยให้รอด) จะถูกดำเนินการกับทุกคนโดยพร้อมกัน  คนทำชั่วจะถูกขับออกไป และบรรดาผู้ที่ได้รับอนุญาตให้คงเหลืออยู่ก็จะถูกเปิดเผยโดยพร้อมกัน  เพราะฉะนั้น บทอวสานของผู้คนประเภทต่างๆ ทั้งหมดจะถูกเปิดเผยในเวลาเดียวกัน  พระเจ้าจะไม่ทรงอนุญาตให้กลุ่มผู้คนที่ถูกนำมาสู่ความรอดเข้าไปสู่การหยุดพักก่อนที่จะจัดสรรคนทำชั่วทั้งหลาย และพิพากษาหรือลงโทษพวกเขาทีละน้อย ที่จะไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง  เมื่อคนทำชั่วทั้งหลายถูกทำลายและบรรดาผู้ที่สามารถรอดชีวิตได้เข้าสู่การหยุดพัก พระราชกิจของพระเจ้าทั่วทั้งจักรวาลก็จะครบบริบูรณ์  จะไม่มีลำดับความสำคัญท่ามกลางบรรดาผู้ซึ่งได้รับพระพรและบรรดาผู้ซึ่งทนทุกข์ความโชคร้าย บรรดาผู้ซึ่งได้รับพระพรจะมีชีวิตตลอดไป ในขณะที่บรรดาผู้ซึ่งทนทุกข์ความโชคร้ายก็จะพินาศย่อยยับไปจนตราบชั่วนิรันดร์ สองขั้นตอนเหล่านี้ของพระราชกิจจะถูกทำให้ครบบริบูรณ์โดยพร้อมกัน  แน่นอนว่าเป็นเพราะการดำรงอยู่ของผู้คนที่ไม่เชื่อฟัง ทำให้ความชอบธรรมของบรรดาผู้ที่นบนอบจะต้องถูกเปิดเผย และแน่นอนว่าเป็นเพราะมีบรรดาผู้ได้รับพระพร ทำให้ความโชคร้ายที่ประสบกับคนทำชั่วทั้งหลายเนื่องจากพฤติกรรมเลวทรามของพวกเขาจะต้องถูกเปิดเผย  หากพระเจ้าไม่ทรงเปิดโปงคนทำชั่วแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วผู้คนที่นบนอบต่อพระเจ้าโดยจริงใจก็คงจะไม่มีวันได้เห็นเดือนเห็นตะวัน หากพระเจ้าไม่ทรงนำบรรดาผู้ซึ่งนบนอบต่อพระองค์ไปยังบั้นปลายที่เหมาะสมแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วผู้คนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าก็คงจะไม่สามารถได้รับการลงทัณฑ์อันสาสม  นี่คือกระบวนการในพระราชกิจของพระเจ้า  หากพระองค์ไม่ทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการลงโทษความชั่วและให้บำเหน็จรางวัลความดีแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระองค์ก็คงจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะเข้าไปสู่บั้นปลายแต่ละอย่างของพวกเขาได้  ทันทีที่มวลมนุษย์ได้เข้าสู่การหยุดพัก คนทำชั่วทั้งหลายจะถูกทำลายและมนุษยชาติทั้งหมดจะได้อยู่ในร่องครรลองที่ถูกต้อง ผู้คนประเภทต่างๆ ทั้งหมดจะอยู่กับประเภทของตนเองโดยสอดคล้องกับหน้าที่ที่พวกเขาควรดำเนินการ  นี่เท่านั้นจะเป็นวันแห่งการหยุดพักของมนุษยชาติ มันจะเป็นแนวโน้มอันหลีกเลี่ยงมิได้สำหรับพัฒนาการของมนุษยชาติ และเฉพาะเมื่อมนุษยชาติเข้าสู่การหยุดพักแล้วเท่านั้นที่ความสำเร็จลุล่วงที่ยิ่งใหญ่และขั้นสูงสุดของพระเจ้าจะมาถึงซึ่งความครบบริบูรณ์ นี่จะเป็นตอนสุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  พระราชกิจนี้จะทำให้ชีวิตแห่งเนื้อหนังอันต่ำทรามของมนุษยชาติทั้งหมดจบสิ้นลง รวมทั้งชีวิตของมนุษยชาติที่เสื่อมทราม  มนุษย์จะได้เข้าสู่ดินแดนใหม่นับแต่นั้นเป็นต้นมา  แม้ว่ามนุษย์ทั้งหมดจะดำรงชีวิตในเนื้อหนัง แต่ก็จะมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างแก่นแท้ของชีวิตนี้กับชีวิตของมนุษยชาติที่เสื่อมทราม  นัยสำคัญแห่งการดำรงอยู่เช่นนี้กับนัยสำคัญแห่งการดำรงอยู่ของมนุษยชาติที่เสื่อมทรามก็แตกต่างกันด้วยเช่นกัน  แม้ว่านี่จะไม่ใช่ชีวิตของบุคคลประเภทใหม่ แต่สามารถกล่าวได้ว่ามันเป็นชีวิตของมนุษยชาติที่ได้รับความรอด รวมทั้งเป็นชีวิตที่ได้รับสภาวะความเป็นมนุษย์และเหตุผลกลับมาอีกครั้ง  เหล่านี้คือผู้คนซึ่งครั้งหนึ่งเคยไม่เชื่อฟังพระเจ้า ผู้ซึ่งถูกพระเจ้าพิชิตแล้วและหลังจากนั้นจึงได้ถูกพระองค์ช่วยให้รอด เหล่านี้คือผู้คนซึ่งไม่ให้เกียรติพระเจ้าและในเวลาต่อมาก็ได้เป็นพยานต่อพระองค์  หลังจากที่พวกเขาก้าวผ่านและมีชีวิตรอดจากการทดสอบของพระองค์ การดำรงอยู่ของพวกเขาย่อมจะเป็นการดำรงอยู่ที่มีความหมายที่สุด พวกเขาคือผู้คนซึ่งได้เป็นพยานต่อพระเจ้าต่อหน้าซาตาน และเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งเหมาะที่จะมีชีวิตอยู่  พวกที่จะถูกทำลายคือผู้ที่ไม่สามารถยืนหยัดเป็นพยานต่อพระเจ้าได้และไม่เหมาะที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ความย่อยยับของพวกเขาจะเป็นผลจากพฤติกรรมที่เลวทรามของพวกเขา และการทำลายล้างเช่นนั้นคือบั้นปลายที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา  ในอนาคต เมื่อมนุษยชาติเข้าสู่อาณาจักรที่สวยงามแล้ว จะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ระหว่างบิดากับบุตรหญิง หรือระหว่างมารดากับบุตรชายที่ผู้คนจินตนาการว่าพวกเขาจะได้พบเลย  ในเวลานั้น มนุษย์แต่ละคนจะติดตามประเภทของพวกเขาเอง และครอบครัวทั้งหลายจะได้ถูกทำให้แตกสลายไปแล้ว  เมื่อล้มเหลวโดยสิ้นเชิงแล้ว ซาตานก็จะไม่รบกวนมนุษย์อีกเลย และพวกมนุษย์ก็จะไม่มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามแบบซาตานอีกต่อไป  บรรดาผู้คนที่ไม่เชื่อฟังจะได้ถูกทำลายไปแล้ว และผู้คนซึ่งนบนอบเท่านั้นที่จะหลงเหลืออยู่  เมื่อเป็นเช่นนี้ ครอบครัวส่วนน้อยมากที่จะรอดชีวิตโดยครบถ้วน แล้วความสัมพันธ์ทางกายภาพจะสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้อย่างไร?  ชีวิตแห่งเนื้อหนังก่อนหน้านี้ของมนุษยชาติจะถูกห้ามโดยสิ้นเชิง แล้วความสัมพันธ์ทางกายภาพจะสามารถมีอยู่ระหว่างผู้คนได้อย่างไร?  เมื่อไม่มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามแบบซาตานแล้ว ชีวิตมนุษย์จะไม่เป็นชีวิตแบบเก่าในอดีตอีกต่อไป แต่ทว่าจะเป็นชีวิตใหม่ต่างหาก  บิดามารดาจะสูญเสียลูกๆ และลูกๆ จะสูญเสียบิดามารดา สามีจะสูญเสียภรรยา และภรรยาจะสูญเสียสามี  ความสัมพันธ์ทางกายภาพมีอยู่ระหว่างผู้คนในปัจจุบัน แต่ความสัมพันธ์เหล่านั้นจะไม่มีอยู่อีกต่อไปทันทีที่ทุกคนได้เข้าสู่การหยุดพัก  เฉพาะมนุษยชาติจำพวกนี้เท่านั้นที่จะมีความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ เฉพาะมนุษยชาติจำพวกนี้เท่านั้นที่สามารถนมัสการพระเจ้าได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 601

พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และได้จัดวางพวกเขาบนแผ่นดินโลก และพระองค์ได้ทรงนำทางพวกเขามานับตั้งแต่นั้น  จากนั้นพระองค์จึงได้ทรงช่วยพวกเขาให้รอดและทรงรับหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปให้มนุษยชาติ  ในท้ายที่สุด พระองค์ยังคงต้องทรงพิชิตมนุษยชาติ ช่วยมนุษยชาติให้รอดโดยถ้วนทั่ว และฟื้นคืนพวกเขากลับสู่สภาพเหมือนดั้งเดิมของพวกเขา  นี่คือพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงเข้าดำเนินการมานับตั้งแต่ตอนเริ่มต้น—เป็นการฟื้นคืนมนุษยชาติกลับสู่รูปลักษณ์และสภาพเหมือนดั้งเดิมของพวกเขา พระเจ้าจะทรงสถาปนาราชอาณาจักรของพระองค์และฟื้นคืนสภาพเหมือนดั้งเดิมของมวลมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าจะทรงฟื้นคืนสิทธิอำนาจของพระองค์บนแผ่นดินโลกและท่ามกลางสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง  มนุษยชาติได้สูญเสียหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า รวมทั้งหน้าที่ที่เป็นภาระแก่สรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้าหลังจากที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ด้วยเหตุนั้นจึงกลายเป็นศัตรูที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  มนุษยชาติจึงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานและปฏิบัติตามคำสั่งของซาตาน ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่ทรงมีหนทางใดที่จะทรงพระราชกิจท่ามกลางสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระองค์ได้ และกลายเป็นไร้ความสามารถที่จะเอาชนะความเคารพยำเกรงมากมายของพวกเขาได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม  พวกมนุษย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า และควรจะนมัสการพระเจ้า แต่แท้จริงแล้วพวกเขาหันหลังให้พระองค์และนมัสการซาตานแทน  ซาตานได้กลายเป็นรูปเคารพในหัวใจของพวกเขา  ดังนั้น พระเจ้าจึงสูญเสียที่ประทับของพระองค์ในหัวใจของพวกเขา ซึ่งกล่าวได้ว่า พระองค์ทรงสูญเสียความหมายเบื้องหลังการทรงสร้างมนุษยชาติของพระองค์  เพราะฉะนั้น เพื่อฟื้นคืนความหมายเบื้องหลังการทรงสร้างมนุษยชาติของพระองค์ พระองค์จึงต้องทรงฟื้นคืนสภาพเสมือนดั้งเดิมของพวกเขาและทำให้มนุษยชาติสลัดทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาไป  เพื่อเรียกคืนพวกมนุษย์จากซาตาน พระองค์จึงต้องทรงช่วยพวกเขาให้รอดจากบาป  เฉพาะในหนทางนี้เท่านั้นที่พระเจ้าจะสามารถฟื้นคืนสภาพเสมือนดั้งเดิมและหน้าที่ของพวกเขาทีละน้อย และฟื้นคืนราชอาณาจักรของพระองค์ได้ในที่สุด  การทำลายล้างขั้นสุดขีดของบรรดาบุตรแห่งการไม่เชื่อฟังจะต้องถูกดำเนินการด้วยเช่นกันเพื่อเปิดโอกาสให้พวกมนุษย์ได้นมัสการพระเจ้าดียิ่งขึ้นและดำรงชีวิตบนแผ่นดินโลกได้ดียิ่งขึ้น  เพราะพระเจ้าได้ทรงสร้างพวกมนุษย์ พระองค์จึงจะทรงทำให้พวกเขานมัสการพระองค์ เพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะฟื้นคืนหน้าที่ดั้งเดิมของมนุษยชาติ พระองค์จึงจะทรงฟื้นคืนมันโดยครบบริบูรณ์และโดยไม่มีการเจือปนใดๆ  การฟื้นคืนสิทธิอำนาจของพระองค์หมายถึงการทำให้พวกมนุษย์นมัสการพระองค์และนบนอบต่อพระองค์ ซึ่งหมายความว่า พระเจ้าจะทรงทำให้พวกมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่เนื่องจากพระองค์และจะทรงทำให้บรรดาศัตรูของพระองค์พินาศย่อยยับไปอันเป็นผลแห่งสิทธิอำนาจของพระองค์  นั่นหมายความว่าพระเจ้าจะทรงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระองค์คงทนอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์โดยไม่มีการต้านทานจากผู้ใดเลย  ราชอาณาจักรที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสถาปนาขึ้นคือราชอาณาจักรของพระองค์เอง  มนุษยชาติที่พระองค์ทรงปรารถนาคือมนุษยชาติที่จะนมัสการพระองค์ มนุษยชาติที่จะนบนอบต่อพระองค์โดยครบบริบูรณ์และสำแดงพระสิริของพระองค์  หากพระเจ้าไม่ทรงช่วยมนุษย์ชาติที่เสื่อมทรามให้รอด เช่นนั้นแล้วความหมายเบื้องหลังการทรงสร้างมนุษยชาติของพระองค์ก็จะสูญหายไป พระองค์จะไม่ทรงมีสิทธิอำนาจท่ามกลางพวกมนุษย์อีกเลย และราชอาณาจักรของพระองค์ก็จะไม่สามารถดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกได้อีกต่อไป  หากพระเจ้าไม่ทรงทำลายศัตรูเหล่านั้นผู้ซึ่งไม่เชื่อฟังต่อพระองค์ พระองค์ก็จะทรงไร้ความสามารถที่จะได้มาซึ่งพระสิริที่ครบบริบูรณ์ของพระองค์ อีกทั้งพระองค์ก็จะไม่ทรงมีความสามารถที่จะสถาปนาราชอาณาจักรของพระองค์บนแผ่นดินโลกได้  เหล่านี้จะเป็นเครื่องหมายของความครบบริบูรณ์แห่งพระราชกิจของพระองค์และเครื่องหมายของความสำเร็จลุล่วงที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ นั่นก็คือ การทำลายล้างพวกที่ไม่เชื่อฟังพระองค์ในหมู่มนุษยชาติโดยสิ้นเชิง และการนำบรรดาผู้ที่ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์เข้าสู่การหยุดพัก  เมื่อมนุษย์ได้รับการทำให้ฟื้นคืนสู่สภาพเสมือนดั้งเดิมของพวกเขาแล้ว และเมื่อพวกเขาสามารถทำหน้าที่แต่ละอย่างของพวกเขาให้ลุล่วง คงอยู่กับที่ตั้งที่ถูกต้องเหมาะสมของพวกเขาเอง และนบนอบต่อการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้าได้ พระเจ้าก็จะทรงได้รับผู้คนกลุ่มหนึ่งบนแผ่นดินโลกผู้ซึ่งนมัสการพระองค์  และพระองค์จะได้ทรงสถาปนาราชอาณาจักรหนึ่งขึ้นบนแผ่นดินโลกที่นมัสการพระองค์อีกด้วย  พระองค์จะทรงมีชัยชนะอันเป็นนิรันดร์บนแผ่นดินโลก และพวกเหล่านั้นทั้งหมดผู้ซึ่งต่อต้านพระองค์จะพินาศย่อยยับไปตลอดกาล  นี่จะฟื้นคืนเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระองค์ในการทรงสร้างมนุษยชาติ ซึ่งจะฟื้นคืนเจตนารมณ์ของพระองค์ในการทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง และยังจะฟื้นคืนสิทธิอำนาจของพระองค์บนแผ่นดินโลก ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และท่ามกลางศัตรูของพระองค์อีกด้วย  เหล่านี้จะเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะทั้งหมดของพระองค์  นับตั้งแต่นั้นมา มนุษยชาติจะเข้าสู่การหยุดพักและเริ่มต้นชีวิตที่อยู่ในร่องครรลองที่ถูกต้อง  พระเจ้าจะทรงเข้าสู่การหยุดพักอันเป็นนิรันดร์กับมนุษยชาติด้วยเช่นกัน และเริ่มต้นชีวิตอันเป็นนิรันดร์ซึ่งทั้งพระองค์เองและพวกมนุษย์ต่างก็มีร่วมกัน  ความโสมมและการไม่เชื่อฟังบนแผ่นดินโลกจะปลาสนาการไปแล้ว และเสียงคร่ำครวญทั้งหมดจะได้เหือดหายไปแล้ว และทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ที่ต่อต้านพระเจ้าจะได้ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว  มีเพียงพระเจ้าและบรรดาผู้คนซึ่งพระองค์ได้ทรงนำความรอดมาให้เท่านั้นที่จะคงเหลืออยู่ เฉพาะสรรพสิ่งทรงสร้างของพระองค์เท่านั้นที่จะคงเหลืออยู่

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 602

มนุษย์จะได้รับการดำเนินการให้ครบบริบูรณ์อย่างเต็มที่ในยุคแห่งราชอาณาจักร  หลังจากพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย มนุษย์จะอยู่ภายใต้การถลุงและความทุกข์ลำบาก  บรรดาผู้ที่สามารถเอาชนะและยืนหยัดเป็นคำพยานในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ลำบากนี้คือผู้ที่ในท้ายที่สุดแล้วจะได้รับการทำให้ครบถ้วนบริบูรณ์ พวกเขาคือผู้ชนะ  ในช่วงระหว่างความทุกข์ลำบากนี้ มนุษย์พึงต้องยอมรับกระบวนการถลุงนี้ และกระบวนการถลุงนี้คือเหตุการณ์สุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  เหตุการณ์นี้คือครั้งสุดท้ายที่มนุษย์จะได้รับการถลุงก่อนการสรุปปิดตัวของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้า และบรรดาผู้คนทั้งหมดที่ติดตามพระเจ้าต้องยอมรับการทดสอบครั้งสุดท้ายนี้ และพวกเขาต้องยอมรับกระบวนการถลุงครั้งสุดท้ายนี้  พวกที่ถูกความทุกข์ลำบากรุมล้อมย่อมปราศจากพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และการทรงนำของพระเจ้า แต่ในท้ายที่สุดแล้ว บรรดาผู้ที่ได้รับการพิชิตอย่างแท้จริงแล้วและบรรดาผู้ที่แสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริงจะตั้งมั่น พวกเขาคือผู้ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์และผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง  ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดก็ตาม ผู้ที่มีชัยเหล่านี้จะไม่สูญสิ้นนิมิต และจะนำความจริงไปปฏิบัติโดยไม่ล้มเหลวในคำพยานของพวกเขา  พวกเขาคือผู้ที่จะอุบัติขึ้นจากความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่ในที่สุด  ถึงแม้ว่าพวกที่พยายามแสวงหาประโยชน์จากสถานการณ์วุ่นวายจะยังสามารถเอารัดเอาเปรียบได้ในวันนี้ แต่ไม่มีผู้ใดมีความสามารถที่จะหลีกหนีความทุกข์ลำบากครั้งสุดท้ายไปได้ และไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีจากการทดสอบครั้งสุดท้ายได้  สำหรับบรรดาผู้ที่ชนะ ความทุกข์ลำบากเช่นนั้นคือกระบวนการถลุงครั้งใหญ่ แต่สำหรับผู้ที่พยายามแสวงหาประโยชน์จากสถานการณ์วุ่นวาย นั่นคือพระราชกิจแห่งการขับผู้คนออกไปทั้งสิ้น  ไม่ว่าพวกเขาจะถูกทดสอบอย่างไร ความสวามิภักดิ์ของบรรดาผู้ที่มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่สำหรับพวกที่ไม่มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา ทันทีที่พระราชกิจของพระเจ้าไม่เป็นประโยชน์ต่อเนื้อหนังของพวกเขาแล้ว พวกเขาย่อมเปลี่ยนทัศนะที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า และอาจถึงขั้นแยกห่างจากพระเจ้า  เช่นนั้นคือพวกที่จะไม่ตั้งมั่นในเบื้องปลาย พวกที่แสวงหาเพียงพรของพระเจ้าและไม่มีความพึงปรารถนาที่จะสละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้าและมอบอุทิศตัวพวกเขาเองแด่พระองค์  ผู้คนต่ำช้าเช่นนั้นทั้งหมดจะถูกขับไล่เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไปถึงบทอวสาน และพวกเขาไม่ควรค่าแก่ความเห็นอกเห็นใจใดๆ  พวกที่ปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์ย่อมไม่สามารถรักพระเจ้าอย่างแท้จริงได้  เมื่อสภาพแวดล้อมมีความปลอดภัยและมั่นคงหรือเมื่อมีผลกำไรให้ทำ พวกเขาจะเชื่อฟังพระเจ้าอย่างเต็มที่ แต่เมื่อสิ่งที่พวกเขาอยากได้อยากมีถูกประนีประนอมลงมาหรือถูกหักล้างในที่สุด พวกเขาก็ลุกฮือทันที  แม้แต่ในระยะชั่วข้ามคืนเท่านั้น พวกเขาก็อาจเปลี่ยนจากบุคคลที่ยิ้มแย้มและ “ใจดี” เป็นฆาตกรที่น่าเกลียดและดุดัน ที่พลันปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณในวันวานของพวกเขาประดุจศัตรูคู่อาฆาตของพวกเขาโดยไม่มีเหตุผลใดๆ  หากผีเหล่านี้ไม่ถูกไล่ออกไป ผีเหล่านี้ซึ่งจะลงมือฆ่าโดยไม่มีการกะพริบตา พวกมันจะไม่กลายเป็นอันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่หรือ?  พระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดไม่ได้สัมฤทธิ์ผลหลังจากการครบบริบูรณ์ของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย  ถึงแม้ว่าพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยได้ไปถึงบทอวสาน แต่พระราชกิจแห่งการชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ยังไปไม่ถึงบทอวสาน  พระราชกิจดังกล่าวจะเสร็จสิ้นได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์อย่างถ้วนทั่ว ต่อเมื่อบรรดาผู้ที่นบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ และต่อเมื่อพวกปลอมตัวที่ปราศจากพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาได้ถูกกวาดล้างแล้วเท่านั้น  พวกที่ไม่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในช่วงระยะสุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระองค์จะถูกขับออกไปจนสิ้น และพวกที่ถูกขับออกไปคือพวกของมาร  เป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ พวกเขาจึงเป็นกบฏต่อพระเจ้า และถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้จะติดตามพระเจ้าในวันนี้ การนี้ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าพวกเขาคือบรรดาผู้ที่จะหลงเหลืออยู่ในท้ายที่สุด  ในคำว่า “บรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทางจะได้รับความรอด” นั้น ความหมายของคำว่า “ติดตาม” คือการตั้งมั่นท่ามกลางความทุกข์ลำบาก  วันนี้ ผู้คนมากมายเชื่อว่าการติดตามพระเจ้าเป็นเรื่องง่าย แต่เมื่อพระราชกิจของพระเจ้ากำลังจะสิ้นสุด เจ้าจะรู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ติดตาม”  เพียงเพราะเจ้ายังคงมีความสามารถที่จะติดตามพระเจ้าในวันนี้หลังจากที่ได้รับการพิชิต ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  ในท้ายที่สุด พวกที่ไร้ความสามารถที่จะสู้ทนการทดสอบ พวกที่ไม่สามารถมีชัยท่ามกลางความทุกข์ลำบาก จะไม่สามารถยืนหยัด และดังนั้นจะไร้ความสามารถที่จะติดตามพระเจ้าไปจนถึงบทอวสาน  บรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริงย่อมมีความสามารถที่จะทนสู้การทดสอบของงานของพวกเขา ในทางตรงกันข้าม พวกที่ไม่ติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง ย่อมไม่สามารถทนสู้การทดสอบใดๆ ของพระเจ้า  ไม่ช้าไม่นาน พวกเขาย่อมจะถูกขับไล่ ในขณะที่ผู้ชนะจะยังคงอยู่ในราชอาณาจักร  การที่มนุษย์แสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่นั้นกำหนดจากการทดสอบแห่งงานของเขา นั่นคือ จากบททดสอบของพระเจ้า และไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการตัดสินใจของมนุษย์เอง  พระเจ้าไม่ทรงปฏิเสธบุคคลใดตามพระดำริชั่วแล่น ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำสามารถโน้มน้าวมนุษย์ให้เชื่ออย่างถึงที่สุดได้  พระองค์ไม่ทรงทำสิ่งใดก็ตามที่มนุษย์มองไม่เห็น หรือพระราชกิจใดก็ตามที่ไม่สามารถโน้มน้าวมนุษย์ให้เชื่อ  การเชื่อของมนุษย์เป็นจริงหรือไม่นั้นย่อมพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริง และมนุษย์ไม่สามารถตัดสินความเชื่อของตนได้  คำว่า “ข้าวสาลีไม่สามารถถูกทำให้เป็นข้าวละมานได้ และข้าวละมานก็ไม่สามารถถูกทำให้เป็นข้าวสาลีได้” เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย  ผู้คนทั้งหมดที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงจะยังคงเหลืออยู่ในราชอาณาจักรในท้ายที่สุด และพระเจ้าจะไม่ทรงปฏิบัติไม่ดีต่อผู้ใดก็ตามที่รักพระองค์อย่างแท้จริง  ผู้ชนะทั้งหลายภายในราชอาณาจักรจะทำหน้าที่เป็นนักบวชหรือผู้ติดตาม ตามพื้นฐานของหน้าที่การงานและคำพยานที่แตกต่างกันของพวกเขา และผู้คนทั้งหมดที่มีชัยท่ามกลางความทุกข์ลำบากจะกลายเป็นกลุ่มนักบวชภายในราชอาณาจักร  กลุ่มนักบวชจะได้รับการทำให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นเมื่อพระราชกิจแห่งข่าวประเสริฐทั่วทั้งจักรวาลได้ไปถึงบทอวสาน  เมื่อเวลานั้นมาถึง สิ่งที่มนุษย์ควรทำย่อมจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเขาภายในราชอาณาจักรของพระเจ้า และการใช้ชีวิตของเขาร่วมกับพระเจ้าภายในราชอาณาจักร  ในกลุ่มนักบวชจะมีหัวหน้านักบวชกับนักบวช และที่เหลือจะเป็นบุตรทั้งหลายกับประชากรของพระเจ้า  ทั้งหมดนี้กำหนดจากคำพยานของพวกเขาต่อพระเจ้าในช่วงระหว่างความทุกข์ลำบาก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตำแหน่งที่มอบให้ตามพระดำริชั่วแล่น  เมื่อสถานภาพของมนุษย์ได้รับการกำหนดขึ้นแล้ว พระราชกิจของพระเจ้าจะยุติ เพราะแต่ละคนได้รับการจำแนกตามประเภทและกลับสู่ฐานะดั้งเดิมของพวกเขา และนี่คือเครื่องหมายแห่งความสำเร็จลุล่วงแห่งพระราชกิจของพระเจ้า คือบทอวสานสุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์ และคือการตกผลึกของนิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้ากับความร่วมมือของมนุษย์  ในท้ายที่สุด มนุษย์จะพบกับการพักผ่อนในราชอาณาจักรของพระเจ้า และพระเจ้าจะทรงกลับมาสู่ที่สถานที่ประทับของพระองค์เพื่อทรงพักผ่อนเช่นเดียวกัน  นี่จะเป็นบทอวสานของความร่วมมือ 6,000 ปีระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 603

พวกที่อยู่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิงซึ่งระบายความรู้สึกในแง่ลบของตนอยู่เสมอนั้นเป็นสมุนของซาตานและพวกเขารบกวนคริสตจักร  สักวันหนึ่ง ผู้คนเช่นนี้ต้องถูกไล่และขับออกไป  ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้น หากผู้คนไม่มีหัวใจแห่งความเคารพต่อพระเจ้า หากพวกเขาไม่มีหัวใจแห่งการเชื่อฟังต่อพระเจ้าแล้วไซร้ พวกเขาจะไม่เพียงแค่ไร้ความสามารถที่จะทำงานใดๆ เพื่อพระองค์ได้เท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาจะกลายเป็นพวกที่รบกวนพระราชกิจของพระองค์และพวกที่ท้าทายพระองค์  การเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่เชื่อฟังหรือไม่เคารพพระองค์ และกลับต่อต้านพระองค์แทนนั้น เป็นความอัปยศยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้เชื่อ  หากผู้เชื่อทั้งหลายแค่ทำตามใจชอบและไม่ระงับยับยั้งคำพูดและความประพฤติของตนดังเช่นที่ผู้ไม่เชื่อเป็นแล้วไซร้ พวกเขาก็ชั่วร้ายยิ่งกว่าพวกผู้ไม่เชื่อเสียอีก พวกเขาคือปีศาจขนานแท้  บรรดาผู้ที่ระบายถึงการพูดคุยที่เป็นพิษและมุ่งร้ายของตนภายในคริสตจักร ผู้ซึ่งแพร่ข่าวลือ ยุแหย่ให้เกิดความไม่ลงรอยกัน และก่อการแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่พี่น้องชายหญิง—พวกเขาควรจะถูกไล่ออกจากคริสตจักร  ถึงกระนั้นก็ดี เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุคแห่งพระราชกิจที่ต่างออกไปของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้จึงถูกคุมเข้ม เพราะแน่นอนแล้วว่าพวกเขาจะถูกขับออกไป  ทุกคนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามล้วนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม  บางคนไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ในขณะที่คนอื่นๆ แตกต่างออกไป นั่นคือ ไม่ใช่แค่พวกเขามีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเท่านั้น แต่ธรรมชาติของพวกเขายังมุ่งร้ายอย่างที่สุดอีกด้วย  ไม่ใช่แค่คำพูดและการกระทำของพวกเขาเท่านั้นที่เปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทรามของพวกเขา แต่ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนเหล่านี้เป็นซาตานมารร้ายที่แท้จริง  พฤติกรรมของพวกเขาขัดจังหวะและรบกวนพระราชกิจของพระเจ้า มันทำให้การเข้าสู่ชีวิตของบรรดาพี่น้องชายหญิงเสื่อมถอยลง และ มันสร้างความเสียหายต่อชีวิตตามปกติของคริสตจักร  ไม่ช้าก็เร็ว หมาป่าในคราบแกะเหล่านี้ต้องถูกลบล้างไป ท่าทีที่ไม่ผ่อนปรน ท่าทีแห่งการปฏิเสธ ควรจะถูกนำมาใช้กับสมุนของซาตานเหล่านี้  นี่เท่านั้นคือการยืนในฝ่ายของพระเจ้า และพวกที่ล้มเหลวในการทำเช่นนั้นกำลังเกลือกกลิ้งในโคลนตมกับซาตาน  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าโดยแท้มักจะมีพระองค์อยู่ในหัวใจของพวกเขาตลอดเวลา และพวกเขาจะพกพาหัวใจที่เคารพพระเจ้า หัวใจที่รักพระเจ้า ไว้ภายในพวกเขาเสมอ  บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรทำสิ่งต่างๆ อย่างสุขุมและรอบคอบ และทุกอย่างที่พวกเขาทำควรสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและสามารถทำให้สมดังพระทัยของพระองค์ได้  พวกเขาไม่ควรดื้อรั้น กระทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาพอใจ ที่ไม่เหมาะสมกับมารยาทอย่างวิสุทธิชน  ผู้คนต้องไม่ก่อความวุ่นวาย โบกธงของพระเจ้าไปทั่วทุกแห่งในขณะที่กรีดกรายและฉ้อโกงไปทุกที่ นี่คือความประพฤติชนิดที่เป็นกบฏมากที่สุด  ครอบครัวทั้งหลายมีกฎของตนเอง และชนชาติทั้งหลายก็มีกฎหมายของตน—และจะไม่มีมากกว่านั้นหรือในพระนิเวศของพระเจ้า?  พระนิเวศไม่ยิ่งมีมาตรฐานที่เข้มงวดมากกว่าอีกหรือ?  พระนิเวศไม่ยิ่งมีกฤษฎีกาบริหารมากขึ้นไปอีกหรอกหรือ?  ผู้คนมีอิสระที่จะทำสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่ประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตามใจชอบได้  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งไม่ทนต่อการทำให้ขุ่นเคืองจากมนุษย์  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งทำให้ผู้คนถึงแก่ความตาย  ผู้คนไม่ได้รู้สิ่งนี้อยู่แล้วจริงๆ หรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 604

ทุกคริสตจักรมีผู้คนซึ่งก่อให้เกิดปัญหาแก่คริสตจักรหรือก้าวก่ายพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาล้วนเป็นซาตานผู้ซึ่งได้แทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าโดยการแฝงตัว  ผู้คนเช่นนี้เก่งด้านการแสดง นั่นคือ พวกเขามาอยู่ต่อหน้าเราด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ทำพินอบพิเทา ใช้ชีวิตเหมือนกับสุนัขขี้เรื้อน และอุทิศ “ทั้งหมด” ของพวกเขาเพื่อให้สัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของตนเอง—แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบรรดาพี่น้องชายหญิง พวกเขาแสดงให้เห็นด้านที่น่าเกลียดของพวกเขา  เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนที่ปฏิบัติความจริง พวกเขาจะโจมตีผู้คนเหล่านั้นและผลักไสพวกเขาให้พ้นทาง เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนที่น่าเกรงขามกว่าตนเอง พวกเขาจะเยินยอและประจบประแจงคนพวกนั้น  พวกเขาประพฤติตัวป่าเถื่อนในคริสตจักร  สามารถพูดได้ว่า “อันธพาลประจำถิ่น” เช่นนั้น “คนขี้ประจบ” เช่นนั้น มีอยู่ในคริสตจักรส่วนใหญ่  พวกเขาจะกระทำการอย่างชั่วร้ายด้วยกัน ขยิบตาและส่งสัญญาณลับให้กันและกัน และพวกเขาไม่มีใครปฏิบัติความจริงเลย  ผู้ใดก็ตามที่มีพิษมากที่สุดได้เป็น “หัวหน้าปีศาจ” และผู้ใดก็ตามที่มีศักดิ์ศรีสูงที่สุดจะได้นำพวกเขา ถือธงของพวกเขาให้สูงขึ้น  ผู้คนเหล่านี้อาละวาดไปทั่วคริสตจักร เผยแพร่ความคิดด้านลบของพวกเขา ระบายถึงความตาย กระทำอย่างที่พวกเขาพอใจ พูดสิ่งที่พวกเขาพอใจ และไม่มีใครสักคนกล้าหยุดพวกเขา  พวกเขาเปี่ยมล้นไปด้วยอุปนิสัยของซาตาน  ทันทีที่พวกเขาก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น บรรยากาศแห่งความตายก็เข้ามายังคริสตจักร  บรรดาผู้คนภายในคริสตจักรที่ปฏิบัติความจริงถูกเดียดฉันท์ ไร้ความสามารถที่จะมอบทุกอย่างของพวกเขาได้ ในขณะที่พวกที่รบกวนคริสตจักรและเผยแพร่ความตายทำการอาละวาดอยู่ภายใน—และนอกจากนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ติดตามพวกเขา  คริสตจักรเช่นนั้นถูกปกครองโดยซาตาน ธรรมดาและเรียบง่าย มีมารเป็นกษัตริย์ของพวกเขา  หากสมาชิกของคริสตจักรไม่ลุกขึ้นและปฏิเสธหัวหน้าปีศาจ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะพบกับความหายนะด้วยเช่นกันไม่ช้าก็เร็ว  จากนี้เป็นต้นไป ต้องมีการใช้มาตรการต่างๆ กับคริสตจักรเช่นนั้น  หากมีพวกที่มีความสามารถในการปฏิบัติความจริงเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่ได้พยายาม เช่นนั้นแล้ว คริสตจักรนั้นจะถูกลบล้างไป  หากคริสตจักรหนึ่งไม่มีผู้ใดสักคนที่เต็มใจปฏิบัติความจริง และไม่มีผู้ใดสักคนที่สามารถยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้ว คริสตจักรนั้นจะต้องถูกแยกไปอย่างบริบูรณ์ และการติดต่อกับคริสตจักรอื่นๆ ต้องถูกตัดขาด  “สิ่งนี้เรียกว่าการฝังความตาย” นี่คือสิ่งที่หมายถึงการเดียดฉันท์ซาตาน  หากคริสตจักรหนึ่งมีอันธพาลประจำถิ่นหลายคน และพวกเขาถูกติดตามโดย “แมลงวันเล็กๆ” ที่ขาดพร่องการหยั่งรู้โดยสิ้นเชิง และหากสมาชิกของคริสตจักรนั้น แม้ว่าหลังจากได้เห็นความจริงแล้ว ก็ยังคงไม่สามารถปฏิเสธการผูกมัดและการบงการของอันธพาลเหล่านี้ได้—เช่นนั้นแล้ว คนโง่เหล่านั้นทั้งหมดจะถูกขับออกไปในที่สุด  แมลงวันเล็กๆ เหล่านี้อาจไม่ได้ทำสิ่งใดที่น่ากลัว แต่พวกเขาตลบตะแลงเสียยิ่งกว่า ลื่นไหลและหลบเลี่ยงเก่งเสียยิ่งกว่า และทุกคนที่เป็นเช่นนี้จะถูกขับออกไป  จะต้องไม่หลงเหลือสักคนเดียว!  พวกที่เป็นของซาตานก็จะถูกส่งกลับไปหาซาตาน ขณะที่บรรดาผู้ที่เป็นของพระเจ้าก็จะไปค้นหาความจริงอย่างแน่นอน การนี้ถูกตัดสินโดยธรรมชาติของพวกเขา  พวกเหล่านั้นทั้งหมดที่ติดตามซาตานจงพินาศไปให้สิ้น!  จะไม่มีการแสดงความสงสารต่อผู้คนเช่นนั้นเลย  บรรดาผู้ที่ค้นหาความจริงจงได้รับการจัดเตรียมให้ และขอให้พวกเขาได้รับความพึงพอใจในพระวจนะของพระเจ้าจนสมใจของพวกเขา  พระเจ้าทรงชอบธรรม  พระองค์จะไม่ทรงแสดงความลำเอียงต่อผู้ใด  หากเจ้าคือมาร เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ หากเจ้าคือใครบางคนที่ค้นหาความจริง เช่นนั้นแล้ว ก็แน่นอนว่าเจ้าจะไม่ถูกซาตานจับเป็นเชลย  การนี้อยู่นอกเหนือความสงสัยทั้งปวง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 605

ผู้คนที่ไม่ดิ้นรนเพื่อความก้าวหน้ามักจะปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นคนคิดลบและเฉื่อยชาเหมือนตัวพวกเขาเองเสมอ  พวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงย่อมอิจฉาผู้ที่ปฏิบัติ และมักจะพยายามที่จะหลอกลวงพวกที่สับสนปนเปและขาดพร่องการหยั่งรู้เสมอ  สิ่งทั้งหลายที่ผู้คนเหล่านี้ระบายออกมาสามารถเป็นสาเหตุให้เจ้าเสื่อมถอย ตกต่ำ พัฒนาไปสู่สภาวะผิดปกติ และเต็มไปด้วยความมืดได้  สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุให้เจ้ากลับกลายเป็นห่างเหินไปจากพระเจ้า และให้เจ้าหวงแหนเนื้อหนังและปรนเปรอตัวเจ้าเอง  ผู้คนที่ไม่รักความจริงและที่มักจะสุกเอาเผากินต่อพระเจ้าอยู่เสมอนั้น ไม่มีความตระหนักรู้ในตนเอง และอุปนิสัยของผู้คนเช่นนั้นล่อลวงผู้อื่นให้กระทำบาปและเยาะเย้ยท้าทายพระเจ้า  พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริง อีกทั้งพวกเขาไม่ยอมให้ผู้อื่นปฏิบัติความจริง  พวกเขาหวงแหนบาปและไม่มีความรังเกียจตัวเองเลย พวกเขาไม่รู้จักตัวเอง และพวกเขาหยุดผู้อื่นจากการรู้จักตัวเอง พวกเขายังหยุดผู้อื่นจากการอยากได้ความจริงอีกด้วย  บรรดาผู้ที่พวกเขาหลอกลวงไม่สามารถมองเห็นความสว่างได้  พวกเขาตกอยู่ในความมืด ไม่รู้จักตัวเอง ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความจริง และกลายเป็นเหินห่างจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ  พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงและพวกเขาหยุดผู้อื่นจากการปฏิบัติความจริง แล้วนำคนโง่เหล่านั้นทั้งหมดมาอยู่ต่อหน้าพวกเขา  แทนที่จะกล่าวว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้า น่าจะดีกว่าที่จะกล่าวว่าพวกเขาเชื่อในบรรพบุรุษของพวกเขา หรือกล่าวว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อคือรูปเคารพในหัวใจของพวกเขา  มันคงจะดีที่สุดสำหรับบรรดาผู้คนที่อ้างว่าติดตามพระเจ้าในการที่จะเปิดตาของตนและมองให้ดีเพื่อให้เห็นว่าใครกันแน่ที่พวกเขาเชื่อ กล่าวคือ จริงแท้หรือที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า หรือเชื่อในซาตาน?  หากเจ้ารู้ว่าสิ่งที่เจ้าเชื่อไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นรูปเคารพของเจ้าเองแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วมันคงจะดีที่สุดหากเจ้าไม่อ้างว่าเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง  หากเจ้าไม่รู้จริงๆ ว่าใครที่เจ้าเชื่อแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วก็อีกเช่นเคย มันคงจะดีที่สุดหากเจ้าไม่ได้อ้างว่าเป็นผู้เชื่อ  การพูดเช่นนั้นจะเป็นการดูหมิ่นศาสนา!  ไม่มีใครบีบบังคับให้เจ้าเชื่อในพระเจ้า  จงอย่าพูดว่าพวกเจ้าเชื่อในเรา เราเลิกทนกับการพูดเช่นนั้นแล้ว และไม่ปรารถนาที่จะได้ยินคำนั้นอีก เพราะสิ่งที่พวกเจ้าเชื่อคือรูปเคารพในหัวใจของพวกเจ้าและบรรดาอันธพาลประจำถิ่นในหมู่พวกเจ้า  พวกที่ส่ายหน้าของตนเมื่อได้ยินความจริง ผู้ที่แสยะยิ้มเมื่อได้ยินการพูดถึงความตาย ล้วนเป็นลูกหลานของซาตาน และพวกเขาคือผู้ที่จะถูกขับออกไป  หลายคนในคริสตจักรไม่มีการหยั่งรู้  เมื่อมีบางสิ่งที่ลวงตาเกิดขึ้น พวกเขาจะยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานอย่างคาดไม่ถึง พวกเขาถึงขั้นมีความขุ่นเคืองกับการถูกเรียกว่าสมุนของซาตาน  แม้ว่าผู้คนอาจจะกล่าวว่าพวกเขาไม่มีการหยั่งรู้ พวกเขาก็มักจะยืนอยู่ในฝ่ายที่ปราศจากความจริง พวกเขาไม่เคยยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงในยามวิกฤติเลย  พวกเขาไม่เคยยืนหยัดและโต้แย้งเพื่อความจริงเลย  พวกเขาขาดพร่องการหยั่งรู้อย่างจริงแท้หรือ?  เหตุใดพวกเขาจึงเลือกฝ่ายของซาตานอย่างคาดไม่ถึง?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยพูดสักคำหนึ่งที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผลเพื่อสนับสนุนความจริง?  สถานการณ์นี้เป็นผลที่เกิดขึ้นจากความสับสนเพียงชั่วขณะของพวกเขาอย่างแท้จริงหรือ?  ยิ่งผู้คนมีการหยั่งรู้น้อยลงเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีความสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงน้อยลงเท่านั้น  การนี้แสดงให้เห็นถึงอะไร?  มันไม่ได้แสดงให้เห็นหรอกหรือว่าผู้คนที่ปราศจากการหยั่งรู้นั้นรักความชั่ว?  มันไม่ได้แสดงให้เห็นหรอกหรือว่าพวกเขานั้นเป็นลูกหลานที่จงรักภักดีของซาตาน?  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ที่พวกเขาสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานและพูดภาษาของมันได้ตลอดเวลา?  ทุกคำพูดและการกระทำของพวกเขา การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขา ล้วนเพียงพอในการพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ใช่ประเภทใดเลยของผู้ที่รักความจริง ตรงกันข้าม พวกเขาเป็นผู้คนที่เกลียดชังความจริง  การที่พวกเขาสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานได้ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าซาตานนั้นรักมารตัวน้อยเหล่านี้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตของตนต่อสู้เพื่อประโยชน์ของซาตาน  ข้อเท็จจริงเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่กระจ่างชัดอย่างท่วมท้นหรอกหรือ?  หากเจ้าคือบุคคลหนึ่งที่รักความจริงอย่างจริงแท้แล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่สนใจบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริง และเหตุใดเจ้าจึงติดตามพวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงทันทีที่พวกเขามองมาเพียงนิดเดียว?  นี่เป็นปัญหาประเภทใดกันแน่?  เราไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะมีการหยั่งรู้หรือไม่ เราไม่ใส่ใจว่าเจ้าได้จ่ายไปในราคาแพงเท่าใด เราไม่ใส่ใจว่ากำลังบังคับของเจ้าจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน และเราไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะเป็นอันธพาลประจำถิ่นหรือว่าเป็นผู้นำที่ถือธง  หากกำลังบังคับของเจ้ายิ่งใหญ่ นั่นก็เป็นเพียงด้วยความช่วยเหลือจากพละกำลังของซาตาน  หากศักดิ์ศรีของเจ้าสูงส่ง เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นเพียงเพราะว่ามีผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริงอยู่รอบตัวเจ้ามากเกินไป  หากเจ้ายังไม่ถูกไล่ออกไป เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นเพราะว่า ณ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาสำหรับงานแห่งการไล่ออก แต่ทว่า นี่เป็นเวลาแห่งงานของการขับผู้คนออกไป  ไม่มีความรีบร้อนที่จะไล่เจ้าในตอนนี้  เราเพียงแค่กำลังรอคอยวันที่เราจะลงโทษเจ้าหลังจากที่เจ้าได้ถูกขับออกไปแล้ว  ผู้ใดก็ตามที่ไม่ปฏิบัติความจริงจะถูกขับออกไป!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 606

ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงแท้คือบรรดาผู้ที่เต็มใจที่จะนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติและเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง  ผู้คนที่สามารถตั้งมั่นอย่างแท้จริงในคำพยานของตนต่อพระเจ้าคือบรรดาผู้ที่เต็มใจที่จะนำพระวจนะของพระองค์มาปฏิบัติและสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงได้อย่างจริงแท้อีกด้วย  ผู้คนที่อาศัยเล่ห์เหลี่ยมและความไม่เป็นธรรมล้วนขาดพร่องความจริง และพวกเขาล้วนนำความอัปยศอดสูมาสู่พระเจ้า  พวกที่ก่อให้เกิดการโต้เถียงกันในคริสตจักรคือสมุนของซาตาน พวกเขาคือร่างจำแลงของซาตาน  ผู้คนเช่นนี้มุ่งร้ายอย่างมาก  พวกที่ไม่มีการหยั่งรู้และไม่สามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงได้ล้วนเก็บซ่อนเจตนาชั่วร้ายเอาไว้และทำให้ความจริงมัวหมอง  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังเป็นตัวแทนขนานแท้ของซาตาน  พวกเขาอยู่นอกเหนือการไถ่ และจะถูกขับออกไปเป็นธรรมดา  พระวงศ์ของพระเจ้าไม่ยอมให้พวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงหลงเหลืออยู่ อีกทั้งไม่ยอมให้หลงเหลือผู้ที่จงใจรื้อทำลายคริสตจักรอยู่เลย  อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะทำงานแห่งการขับไล่ ผู้คนเช่นนั้นจะเพียงแค่ถูกเปิดโปงและถูกขับออกไปในที่สุด  งานที่ไร้ประโยชน์จะไม่ถูกนำมาใช้กับผู้คนเหล่านี้อีกแล้ว พวกที่เป็นของซาตานไม่สามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงได้ แต่ทว่าบรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงสามารถทำได้  พวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงไม่คู่ควรกับการได้ยินเรื่องหนทางแห่งความจริง และไม่คู่ควรกับการเป็นพยานต่อความจริง  ความจริงนั้นไม่ใช่สำหรับหูของพวกเขาอย่างแน่นอน แต่ทว่า มันมุ่งตรงไปที่บรรดาผู้ปฏิบัติความจริง  ก่อนที่วาระสุดท้ายของทุกคนจะถูกเปิดเผยนั้น พวกที่รบกวนคริสตจักรและขัดจังหวะพระราชกิจของพระเจ้าจะถูกทิ้งไว้ก่อนในตอนนี้ เพื่อจะถูกจัดการในภายหลัง  เมื่อพระราชกิจนั้นครบบริบูรณ์ ผู้คนเหล่านี้แต่ละคนจะถูกเปิดโปง แล้วจากนั้น พวกเขาจะถูกขับออกไป  สำหรับเวลานี้ ในขณะที่ความจริงกำลังถูกจัดเตรียมไว้ให้นั้น พวกเขาจะถูกเมินเฉย  เมื่อความจริงทั้งปวงถูกเปิดเผยต่อมนุษย์ ผู้คนเหล่านั้นควรถูกขับออกไป นั่นจะเป็นเวลาที่ผู้คนทั้งหมดจะถูกแบ่งชั้นไปตามประเภทของพวกเขา เล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ ของบรรดาผู้ที่ไม่มีการหยั่งรู้จะนำพวกเขาไปสู่ความย่อยยับในมือของคนชั่ว พวกเขาจะถูกล่อลวงออกไปโดยคนชั่วเหล่านั้น ไม่มีวันจะคืนกลับมา  และการบำบัดเช่นนี้คือสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ เพราะพวกเขาไม่รักความจริง เพราะพวกเขาไม่สามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงได้ เพราะพวกเขาติดตามผู้คนที่ชั่วร้ายและยืนอยู่ในฝ่ายเดียวกับผู้คนที่ชั่วร้าย และเพราะพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับผู้คนที่ชั่วร้ายและเยาะเย้ยท้าทายพระเจ้า  พวกเขารู้ดีอย่างยิ่งว่าสิ่งที่ผู้คนชั่วร้ายเหล่านั้นแผ่ออกมาคือความชั่ว ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังทำหัวใจให้แข็งกระด้างและหันหลังให้กับความจริงเพื่อติดตามพวกเขา  ผู้คนเหล่านี้ผู้ซึ่งไม่ปฏิบัติความจริงแต่ปฏิบัติสิ่งทั้งหลายที่ทำลายล้างและน่ารังเกียจไม่ได้กำลังกระทำความชั่วกันทุกคนหรอกหรือ?  ถึงแม้ว่าท่ามกลางพวกเขาจะมีบรรดาผู้ที่แต่งลักษณะของตนเองเสมือนเป็นกษัตริย์ และคนอื่นๆ ที่ติดตามพวกเขา ธรรมชาติที่เยาะเย้ยท้าทายพระเจ้าของพวกเขานั้นไม่ได้เป็นแบบเดียวกันทั้งหมดหรอกหรือ?  พวกเขามีข้อแก้ตัวอะไรได้บ้างที่อ้างว่าพระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด?  พวกเขามีข้อแก้ตัวอะไรได้บ้างที่อ้างว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม?  มิใช่ความชั่วของพวกเขาเองหรอกหรือที่กำลังทำลายพวกเขา?  มิใช่ความเป็นกบฏของพวกเขาเองหรอกหรือที่กำลังลากพวกเขาลงไปในนรก?  ผู้คนที่ปฏิบัติความจริงนั้น ในที่สุดจะได้รับการช่วยให้รอดและถูกทำให้มีความเพียบพร้อมเนื่องจากความจริง  บรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริงนั้น ในที่สุดจะนำการทำลายล้างมาสู่ตัวพวกเขาเองเนื่องจากความจริง  เหล่านี้คือบทอวสานที่รอคอยบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงและพวกที่ไม่ได้ปฏิบัติความจริงอยู่  เราขอแนะนำพวกที่ไม่ได้กำลังวางแผนที่จะปฏิบัติความจริงให้ออกไปจากคริสตจักรโดยเร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการทำบาปมากยิ่งขึ้นไปอีก  เมื่อเวลานั้นมาถึง มันก็จะสายเกินไปสำหรับการสำนึกเสียใจ  โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่ก่อการแบ่งพรรคแบ่งพวกและสร้างความแตกแยก และอันธพาลประจำถิ่นเหล่านั้นที่อยู่ภายในคริสตจักรต้องออกไปให้เร็วยิ่งกว่านั้น  ผู้คนเยี่ยงนั้นซึ่งมีธรรมชาติของหมาป่าที่ชั่วร้าย ย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  คงจะดีกว่าหากพวกเขาออกไปจากคริสตจักรทันทีที่มีโอกาส จงอย่ามารบกวนชีวิตปกติของบรรดาพี่น้องชายหญิงอีกเลย และด้วยการนั้นจึงเป็นการหลีกเลี่ยงการลงโทษของพระเจ้า  พวกเจ้าผู้ที่เห็นด้วยกับพวกเขาคงได้ประโยชน์จากการใช้โอกาสนี้เพื่อทบทวนตัวเอง  พวกเจ้าจะออกไปจากคริสตจักรพร้อมกับคนชั่ว หรือว่าจะยังอยู่และติดตามอย่างเชื่อฟังกันแน่?  พวกเจ้าต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ  เราให้โอกาสนี้แก่พวกเจ้าอีกหนึ่งครั้งเพื่อเลือก และเรารอคอยคำตอบของพวกเจ้าอยู่

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 607

ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า เจ้าควรจงรักภักดีต่อพระองค์เพียงผู้เดียวโดยไม่มีใครอื่นในทุกสรรพสิ่ง และสามารถที่จะปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระองค์ในทุกสรรพสิ่ง  ถึงกระนั้น แม้ทุกคนเข้าใจในข่าวนี้ แต่ด้วยความลำบากยากเย็นจิปาถะของมนุษย์—ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความไร้เหตุผล และความเสื่อมทรามของเขา เป็นต้น—ความจริงเหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปรากฏชัดและเป็นพื้นฐานที่สุดในบรรดาทั้งหมด จึงไม่ปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ภายในตัวเขาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ และดังนั้น ก่อนที่บทอวสานของพวกเจ้าจะมาถึงอย่างถาวร เราควรบอกบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญที่สุดแก่พวกเจ้าเสียก่อน  ก่อนที่เราจะพูดต่อ อันดับแรก พวกเจ้าจะต้องเข้าใจในสิ่งนี้ว่า วาจาที่เรากล่าวนั้นเป็นความจริงซึ่งมุ่งตรงไปที่มวลมนุษย์ทั้งปวง มันไม่ได้ถูกกล่าวระบุถึงบุคคลหนึ่งหรือบุคคลชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ  เพราะฉะนั้น พวกเจ้าจึงควรจดจ่ออยู่ที่การทำความเข้าใจวจนะของเราจากจุดยืนแห่งความจริง และจะต้องมีท่าทีที่ไม่แบ่งปันความสนใจและความจริงใจไปทางอื่น จะต้องไม่เพิกเฉยต่อวาจาหรือความจริงที่เรากล่าวแม้แต่คำเดียว และจะต้องไม่ปฏิบัติต่อวาจาทั้งหมดที่เรากล่าวอย่างไม่ใส่ใจจริงจัง  ในชีวิตของพวกเจ้า เราได้เห็นว่า พวกเจ้าได้ทำอะไรไปมากมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง และดังนั้น เราขอสั่งอย่างเฉพาะเจาะจง ให้พวกเจ้ากลายมาเป็นผู้รับใช้ความจริง ให้เจ้าไม่ตกไปเป็นทาสของความเลวและความอัปลักษณ์ และให้เจ้าไม่เหยียบย่ำความจริงหรือทำให้มุมใดของพระนิเวศของพระเจ้ามัวหมอง  นี่คือการตักเตือนที่เรามีต่อพวกเจ้า  บัดนี้ เราจะกล่าวถึงหัวข้อของวันนี้

ประการแรก เพื่อประโยชน์ของชะตากรรมของตัวพวกเจ้าเอง พวกเจ้าควรแสวงหาความเห็นชอบจากพระเจ้า  กล่าวคือ ในเมื่อพวกเจ้ารับรู้แล้วว่าพวกเจ้าคือสมาชิกคนหนึ่งในพระนิเวศของพระเจ้า เมื่อนั้นพวกเจ้าก็ควรที่จะนำพาสันติสุขในจิตใจมาสู่พระเจ้า และทำให้พระองค์พึงพอพระทัยในทุกสรรพสิ่ง  พูดอีกอย่างก็คือ เจ้าจะต้องมีหลักธรรมในการกระทำต่างๆ ของเจ้า และจะต้องปฏิบัติอย่างประจวบพ้องกับความจริงในการกระทำเหล่านั้น  หากนี่เป็นสิ่งซึ่งเกินกว่าที่เจ้าจะทำได้ เช่นนั้นเจ้าก็จะถูกพระเจ้ารังเกียจและปฏิเสธ และถูกบอกปัดจากมนุษย์ทุกคน  ทันทีที่เจ้าตกไปอยู่ในสภาวะลำบากใจดังกล่าว เจ้าย่อมไม่สามารถถูกนับรวมเข้าไปอยู่ท่ามกลางพระนิเวศของพระเจ้า นี่เองที่เป็นความหมายตรงตัวของการไม่ได้รับความเห็นชอบโดยพระเจ้า

ประการที่สอง พวกเจ้าควรที่จะรู้ว่าพระเจ้าโปรดบรรดาผู้ที่มีความซื่อสัตย์  โดยเนื้อแท้แล้ว พระเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยความสัตย์ซื่อ และดังนั้น พระวจนะของพระเจ้าสามารถเชื่อถือไว้วางใจได้เสมอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การกระทำของพระองค์นั้นไร้ข้อผิดและมิอาจตั้งคำถามได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่า เหตุใดพระเจ้าจึงชอบคนจำพวกที่มีความซื่อสัตย์ต่อพระองค์โดยสมบูรณ์  ความซื่อสัตย์หมายถึงการมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้า จริงแท้ต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เปิดกว้างต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ไม่เคยซ่อนเร้นข้อเท็จจริง ไม่พยายามหลอกลวงบรรดาผู้ที่อยู่สูงกว่าและต่ำกว่าเจ้า และไม่ทำสิ่งต่างๆ เพียงเพื่อหวังประจบประแจงให้พระเจ้าทรงโปรดปราน  กล่าวสั้นๆก็คือ การมีความซื่อสัตย์คือการปราศจากราคีในการกระทำและคำพูดทั้งหลาย และการไม่หลอกลวงทั้งพระเจ้าและมนุษย์  สิ่งที่เราพูดเป็นสิ่งที่เรียบง่ายมาก แต่สำหรับพวกเจ้า มันลำบากยากเข็ญเป็นเท่าทวีคูณ  ผู้คนมากมายเลือกที่จะถูกประณามสาปแช่งให้ไปลงนรกดีกว่าให้พูดและกระทำด้วยความซื่อสัตย์  จึงไม่ต้องประหลาดใจที่เรามีวิธีปฏิบัติอีกแบบซึ่งเตรียมไว้สำหรับรับมือพวกคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์  แน่นอนว่า เรารู้ดีอย่างเต็มเปี่ยมว่ามันลำบากยากเย็นแค่ไหนสำหรับพวกเจ้าที่จะมีความซื่อสัตย์ เพราะพวกเจ้าทุกคนล้วนแยบยลนัก เก่งมากในเรื่องการวัดผู้คนด้วยไม้บรรทัดอันเล็กจิ๋วของเจ้าเอง นี่ทำให้งานของเรายิ่งมีความเรียบง่ายขึ้น  และด้วยความที่พวกเจ้าแต่ละคนล้วนกกกอดความลับแนบไว้กับอก เช่นนั้นก็ดีแล้ว เราจะส่งพวกเจ้าไปสู่ความวิบัติเรียงทีละคน ให้ “เข้าโรงเรียน” ด้วยเพลิงอัคคี เพื่อที่หลังจากนั้น พวกเจ้าอาจมั่นใจได้อย่างสิ้นเชิงต่อการเชื่อของเจ้าในวจนะของเรา ถึงที่สุดแล้ว เราจะกระชากเอาคำว่า “พระเจ้าคือพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความสัตย์ซื่อ” ออกมาจากปากของพวกเจ้า ทันทีหลังจากนั้น พวกเจ้าจะตีอกชกหัวและพิลาปรำพันว่า “ที่เคี้ยวคดนั่น คือหัวใจของมนุษย์!”  จิตใจของพวกเจ้าจะอยู่ในสภาวะใดหรือ  ณ เวลานี้?  เราจินตนาการว่า เจ้าจะไม่รู้สึกมีชัยดังที่เจ้ากำลังเป็นอยู่ในตอนนี้  และนับประสาอะไรที่เจ้าจะมีความ “ลุ่มลึกและยากที่จะเข้าใจ” ดังที่กำลังเป็นอยู่ ณ ตอนนี้  ในการสถิตของพระเจ้านั้น ผู้คนบางคนช่างสงบเสงี่ยมสำรวมไปเสียทั้งหมด พวกเขาอุตสาหะต่อการเป็นผู้ “ประพฤติดี” กระนั้น พวกเขาก็ยังแยกเขี้ยวและเงื้อง่ากรงเล็บใส่กันในการสถิตของพระวิญญาณ พวกเจ้าจะจัดอันดับผู้คนแบบนี้ให้อยู่ท่ามกลางลำดับชั้นของคนซื่อสัตย์อย่างนั้นหรือ?  หากเจ้าเป็นคนประเภทหน้าซื่อใจคดคนหนึ่ง เป็นใครบางคนที่มีทักษะใน “สัมพันธภาพระหว่างบุคคล” เมื่อนั้นเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่ช่างพยายามล้อเล่นกับพระเจ้าโดยแน่แท้  หากคำพูดของเจ้าพรุนไปด้วยข้อแก้ตัวกับเหตุผลข้ออ้างที่ไร้คุณค่า เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่ลังเลไม่เต็มใจจะนำความจริงมาปฏิบัติ  หากเจ้ามีความลับส่วนตัวมากมายซึ่งเจ้าอิดออดที่จะแบ่งปัน หากเจ้าไม่ชอบอย่างมากในการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะไม่บรรลุความรอดโดยง่าย และเป็นผู้ที่จะไม่โผล่พ้นจากความมืดมิดโดยง่าย  หากการแสวงหาหนทางแห่งความจริงสร้างความยินดีให้กับเจ้าเป็นอย่างดี เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือใครบางคนที่อาศัยอยู่ในความสว่างตลอดเวลา  หากเจ้าเปรมปรีดิ์มากเหลือเกินที่ได้เป็นคนปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเจ้า ทำงานอย่างขยันขันแข็งและมีมโนธรรมอยู่เพียงเบื้องหลังไม่เสนอหน้า เป็นผู้ให้เสมอและไม่เคยเป็นผู้รับเลย เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือวิสุทธิชนผู้จงรักภักดี เพราะเจ้าไม่แสวงหาบำเหน็จ และเป็นเพียงบุคคลที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งเท่านั้น  หากเจ้าเต็มใจที่จะเป็นคนซื่อตรงเปิดเผย หากเจ้าเต็มใจที่จะสละทั้งหมดที่เป็นของเจ้า หากเจ้าสามารถพลีอุทิศชีวิตของเจ้าเพื่อพระเจ้า และยึดมั่นในคำพยานของเจ้า และหากเจ้ามีความซื่อสัตย์จนถึงจุดที่เจ้ารู้เพียงการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และไม่มัวพิจารณาตัวเจ้าเอง หรือรับไว้เพื่อตัวเจ้าเองเช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า ผู้คนเช่นนั้นคือบรรดาผู้ที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงในความสว่าง และเป็นผู้ที่จะดำรงชีวิตอยู่ตลอดกาลในราชอาณาจักรแห่งนี้  เจ้าควรรู้ว่า มีความเชื่อที่แท้จริงและความจงรักภักดีที่แท้จริงอยู่ภายในตัวเจ้าหรือไม่ รู้ว่าเจ้ามีบันทึกของการทนทุกข์เพื่อพระเจ้าหรือไม่ และรู้ว่า เจ้าได้นบนอบต่อพระเจ้าด้วยประการทั้งปวงหรือไม่  หากเจ้าขาดพร่องสิ่งเหล่านี้ไป เช่นนั้นแล้ว ความไม่เชื่อฟัง เล่ห์ลวง ความโลภ และการร้องทุกข์ก็จะยังคงอยู่ภายในตัวเจ้า  เนื่องจากหัวใจของเจ้าอยู่ห่างไกลจากความซื่อสัตย์ เจ้าจึงไม่เคยได้รับการระลึกถึงในด้านบวกจากพระเจ้า และไม่เคยดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง  ชะตากรรมของคนเราจะออกมาเป็นอย่างไรในบทอวสานนั้นแขวนอยู่กับการที่พวกเขามีหัวใจที่ซื่อสัตย์และเป็นสีแดงเข้มของเลือดหรือไม่ และพวกเขามีดวงจิตที่ปราศจากราคีหรือไม่  หากเจ้าเป็นใครบางคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์อย่างมาก ใครบางคนซึ่งมีหัวใจคิดร้าย ใครบางคนซึ่งมีดวงจิตที่ไม่สะอาด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จงมั่นใจได้เลยว่าจะได้พบจุดจบในสถานที่ที่มนุษย์ถูกลงโทษ ตามที่ถูกขีดเขียนไว้ในบันทึกชะตากรรมของเจ้านั่นเอง  หากเจ้ากล่าวอ้างว่าตัวเองมีความซื่อสัตย์อย่างมาก แต่กระนั้นก็ยังไม่เคยบริหารจัดการที่จะปฏิบัติไปโดยสอดคล้องกับความจริงหรือกล่าวคำพูดที่เป็นความจริงได้สำเร็จเสียที เช่นนั้นแล้วเจ้ายังคงกำลังรอคอยให้พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จเจ้าอยู่อีกหรือ?  เจ้ายังคงหวังให้พระเจ้าคำนึงถึงเจ้าดุจแก้วตาดวงใจของพระองค์อยู่อีกหรือ?  การคิดเช่นนั้นไม่วิปริตหรอกหรือ?  เจ้าหลอกลวงพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง แล้วพระนิเวศของพระเจ้าจะให้ที่พักแก่คนมือไม่สะอาดอย่างเจ้าได้เช่นไร?

ประการที่สามที่เราต้องการบอกพวกเจ้าก็คือการนี้ที่ว่า ในครรลองแห่งการดำรงชีวิตของพวกเขาด้วยความเชื่อในพระเจ้านั้น บุคคลทุกคนล้วนได้ทำในสิ่งทั้งหลายที่ต้านทานและหลอกลวงพระเจ้า  ความประพฤติผิดบางอย่างไม่จำเป็นต้องถูกบันทึกว่าเป็นการทำให้ขุ่นเคือง แต่บางอย่างก็ไม่สามารถยกโทษให้ได้ เพราะมีหลายความประพฤติที่ฝ่าฝืนประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้า ซึ่งเป็นที่ขุ่นเคืองต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้า  หลายคนที่กังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของตนเองอาจตั้งคำถามว่า ความประพฤติเหล่านี้มีอะไรบ้าง  เจ้าควรจะรู้อยู่แล้วว่า พวกเจ้านั้นมีความโอหังและหยิ่งผยองอยู่โดยธรรมชาติ และไม่เต็มใจที่จะนบนอบต่อข้อเท็จจริง  ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงจะค่อยๆ บอกกล่าวกับพวกเจ้าทีละน้อยๆ หลังจากพวกเจ้าได้ทบทวนกับตัวเองแล้ว เราจะเตือนสติให้พวกเจ้ามีความเข้าใจในเนื้อหาของประกาศกฤษฎีกาบริหารมากขึ้น และให้พยายามทำความรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า  หากไม่เช่นนั้น พวกเจ้าคงห้ามปากตัวเองให้ปิดสนิทได้อย่างลำบากยากเย็น ลิ้นของพวกเจ้าคงตวัดอย่างอิสระเกินไปกับการพูดคุยให้ฟังดูสูงส่ง แล้วเจ้าก็จะทำให้เป็นที่ขุ่นเคืองต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และร่วงลงสู่ความมืดมิด สูญเสียการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์และความสว่าง เพราะพวกเจ้าไม่มีหลักธรรมในการกระทำทั้งหลาย เพราะเจ้าทำและพูดในสิ่งที่ไม่ควร เจ้าจะต้องได้รับการลงทัณฑ์อันสาสม  เจ้าควรรู้ว่าแม้เจ้าจะไม่มีหลักธรรมในคำพูดและความประพฤติ แต่พระเจ้าทรงมีหลักธรรมสูงส่งในทั้งสองสิ่ง  เหตุผลที่เจ้าได้รับการลงทัณฑ์อันสาสมก็เพราะเจ้าได้ล่วงเกินพระเจ้า ไม่ใช่ต่อบุคคลคนหนึ่ง  หากในชีวิตของเจ้า เจ้าได้กระทำการล่วงเกินต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้าหลายครั้งหลายครา เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมต้องกลายไปเป็นลูกหลานแห่งนรกอย่างไม่มีทางเลี่ยงได้  สำหรับมนุษย์แล้ว อาจปรากฏเหมือนว่า เจ้าแค่ได้กระทำความประพฤติที่ไม่ลงรอยกับความจริงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น  เจ้าได้ตระหนักรู้หรือไม่ว่า ไม่ว่าอย่างไรในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าได้กลายเป็นใครบางคนที่ไม่มีเครื่องบูชาลบล้างบาปจะมอบให้อีกแล้ว  เพราะเจ้าได้ฝ่าฝืนประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าเกินกว่าหนึ่งครั้ง และยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่ได้แสดงสัญญาณของการกลับใจใหม่เลย ไม่มีตัวช่วยอื่นอีกแล้วสำหรับเจ้า มีก็แต่การดิ่งพรวดลงสู่นรกที่ซึ่งพระเจ้าจะทำการลงโทษมนุษย์เท่านั้นเอง ผู้คนจำนวนน้อยนิดได้กระทำความประพฤติบางอย่างที่ฝ่าฝืนหลักการทั้งหลายในขณะที่กำลังติดตามพระเจ้า แต่หลังจากได้รับการจัดการและให้การทรงนำ พวกเขาก็ค่อยๆ ค้นพบความเสื่อมทรามของตนเอง หลังจากนั้นจึงเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องของความเป็นจริง และพวกเขายังคงยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในปัจจุบัน  ผู้คนเช่นนั้นคือพวกที่จะคงอยู่ในตอนสุดท้าย  กระนั้น ความซื่อสัตย์ต่างหากที่เราแสวงหา หากเจ้าเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ และเป็นใครคนหนึ่งซึ่งปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับหลักธรรม เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถเป็นคนไว้ใจคนหนึ่งของพระเจ้าได้  หากในการกระทำของเจ้า เจ้าไม่ได้กระทำให้เป็นที่ขุ่นเคืองต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้า และแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า และมีหัวใจที่เคารพพระเจ้า เมื่อนั้นความเชื่อของเจ้าย่อมขึ้นถึงมาตรฐาน  ผู้ใดก็ตามที่ไม่เคารพพระเจ้าและไม่มีหัวใจที่สั่นรัวด้วยความยำเกรง มีทีท่าสูงมากที่จะฝ่าฝืนประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้า  หลายคนรับใช้พระเจ้าด้วยจุดแข็งของความปรารถนาอันแรงกล้าของพวกเขา แต่ไม่มีความเข้าใจในประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าเลย ที่ยิ่งน้อยกว่านั้นก็คือ ความเฉลียวใจอันใดต่อการแสดงนัยแห่งพระวจนะของพระองค์ และดังนั้น ด้วยเจตนาดีของพวกเขา บ่อยครั้งที่พวกเขาลงเอยตรงการทำสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นการขัดจังหวะการบริหารจัดการของพระเจ้า  ในกรณีที่รุนแรง พวกเขาถูกขว้างทิ้งออกไปเลย ถูกตัดขาดจากโอกาสอันใดในภายภาคหน้าที่จะได้ติดตามพระองค์ และถูกขับลงสู่นรก ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ทั้งหมดที่มีต่อพระนิเวศของพระเจ้าเป็นอันจบสิ้นลง  ผู้คนเหล่านี้ทำงานในพระนิเวศของพระเจ้าด้วยจุดแข็งของเจตนาดีแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และจบลงด้วยการสร้างโทสะให้กับพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ผู้คนนำพาหนทางของการรับใช้พวกข้าราชการและบรรดาเจ้านายทั้งหลายมาใช้ในพระนิเวศของพระเจ้า และพยายามที่จะทำให้หนทางเหล่านั้นเข้ามามีบทบาท โดยการคิดอย่างไร้ประโยชน์ว่า หนทางเหล่านั้นจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับที่นี่ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม  พวกเขาไม่เคยจินตนาการว่าพระเจ้ามิได้มีพระอุปนิสัยของลูกแกะ แต่เป็นอุปนิสัยของราชสีห์  เพราะฉะนั้น บรรดาผู้ที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นครั้งแรกจึงไม่สามารถสื่อสารกับพระองค์ได้เลย ด้วยพระหฤทัยของพระเจ้านั้นไม่เหมือนหัวใจมนุษย์  เฉพาะหลังจากที่เจ้าเข้าใจความจริงหลากหลายประการแล้วเท่านั้น เจ้าจึงสามารถมารู้จักพระเจ้ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ความรู้นี้ไม่ได้ประกอบไปด้วยพระวจนะหรือคำสอนทั้งหลาย แต่ก็สามารถนำไปใช้เป็นเสมือนขุมทรัพย์ที่จะเป็นวิถีทางให้เจ้าได้เข้าไปสู่ความไว้ใจใกล้ชิดกับพระเจ้า และใช้เป็นสิ่งพิสูจน์ว่า พระองค์ทรงปีติยินดีในตัวเจ้า  หากเจ้าขาดพร่องความเป็นจริงของความรู้ และไม่มีความจริงติดตัว เช่นนั้นแล้ว การปรนนิบัติอันเปี่ยมปรารถนาอย่างแรงกล้าของเจ้าย่อมทำได้เพียงนำความเกลียดและความชิงชังจากพระเจ้ามาสู่ตัวเจ้า  มาจนบัดนี้ เจ้าควรคิดได้แล้วว่า การเชื่อในพระเจ้าไม่มีอะไรที่เหมือนกับการศึกษาในวิชาเทววิทยาเลย!

แม้ว่า วจนะทั้งหลายที่เราใช้ตักเตือนพวกเจ้านั้นเป็นแบบสังเขป แต่ทั้งหมดที่เราได้บรรยายไปนั้นก็เป็นสิ่งที่กำลังขาดพร่องมากที่สุดในตัวพวกเจ้า  เจ้าควรรู้ว่า สิ่งที่เราพูดถึงในตอนนี้นั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของงานขั้นสุดท้ายของเราท่ามกลางมนุษย์ เพื่อประโยชน์แห่งการกำหนดพิจารณาจุดจบของมนุษย์  เรามิปรารถนาที่จะทำงานอะไรมากไปกว่านี้โดยไม่ได้สนองต่อจุดประสงค์ใดเลย และเราก็ไม่ปรารถนาที่จะนำผู้คนเหล่านั้นซึ่งสิ้นหวังดั่งท่อนไม้ที่ผุพังอีกต่อไป นับประสาอะไรกับการนำทางผู้คนเหล่านั้นที่เก็บงำเจตนาร้ายไว้อย่างลับๆ ต่อไป  บางทีสักวันหนึ่ง พวกเจ้าจะเข้าใจความตั้งใจที่แน่วแน่จริงจังเบื้องหลังวจนะของเรา และคุณูปการทั้งหลายที่เราสร้างไว้เพื่อมวลมนุษย์  บางทีสักวันหนึ่งพวกเจ้าจะเข้าใจข้อความที่ย่อมทำให้เจ้าสามารถตัดสินใจเรื่องวาระสุดท้ายของตัวเจ้าเองได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 608

เราได้ให้คำเตือนแก่พวกเจ้าไปแล้วมากมาย และมอบความจริงมากหลายแก่พวกเจ้าอันมีเจตนาที่จะพิชิตพวกเจ้า  ถึงตอนนี้ พวกเจ้าล้วนรู้สึกได้ว่าพวกเจ้าบริบูรณ์ขึ้นมากกว่าที่พวกเจ้าเคยเป็นในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ พวกเจ้าได้เข้าใจถึงหลักธรรมมากมายว่า บุคคลคนหนึ่งควรจะเป็นเช่นไร และเจ้าได้มาครองสามัญสำนึกมากมายอย่างที่ผู้คนซึ่งสัตย์ซื่อควรจะมี  ทั้งหมดนี้คือผลเก็บเกี่ยวที่พวกเจ้าได้เก็บเกี่ยวไปตลอดครรลองของช่วงเวลาหลายปี  เราหาได้ปฏิเสธผลสัมฤทธิ์ทั้งหลายของพวกเจ้าไม่ แต่เราต้องกล่าวอย่างค่อนข้างตรงไปตรงมาเช่นกันว่า เราก็มิได้ปฏิเสธการไม่เชื่อฟังและการเป็นกบฏเกินคณานับที่พวกเจ้าได้กระทำต่อเราในช่วงเวลาหลายปีนี้เช่นกัน ด้วยว่าไม่มีวิสุทธิชนอยู่ในหมู่พวกเจ้าแม้แต่คนเดียว  พวกเจ้าคือผู้คนที่ซาตานได้ทำให้เสื่อมทรามโดยไม่มีข้อยกเว้น พวกเจ้าก็คือพวกศัตรูของพระคริสต์  จวบจนกระทั่งบัดนี้ การล่วงละเมิดและการไม่เชื่อฟังของพวกเจ้านั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้ จึงแทบจะไม่สามารถถือว่าแปลกได้เลยกับการที่เรากำลังทำให้พวกเจ้ารำคาญอยู่เสมอ  เราไม่ปรารถนาจะอยู่ร่วมกับพวกเจ้าในลักษณะนี้—แต่เพื่อประโยชน์ของอนาคตของพวกเจ้า เพื่อประโยชน์แห่งบั้นปลายของพวกเจ้า เราจะถากถางพวกเจ้าอีกครั้ง ณ ที่นี้และตอนนี้  เราหวังว่าพวกเจ้าจะตามใจเรา และยิ่งกว่านั้น หวังว่าเจ้าจะสามารถเชื่อทุกถ้อยคำของเราและอนุมานความนัยอันลึกซึ้งแห่งวจนะของเราได้  จงอย่ากังขาในสิ่งที่เรากล่าว  ไม่ต้องพูดถึงการหยิบยกวจนะของเราขึ้นมาตามแต่เจ้าจะปรารถนาและโยนวจนะเหล่านั้นทิ้งไปตามอำเภอใจ เราเห็นว่าการนี้สุดจะทนยอมรับได้  จงอย่าตัดสินวจนะของเราและและยิ่งน้อยกว่านั้นก็คือเจ้าไม่ควรคิดว่าวจนะเหล่านั้นไม่สลักสำคัญ หรือกล่าวว่าเรากำลังทดลองพวกเจ้าอยู่เสมอ หรือแย่ไปกว่านั้นก็คือกล่าวว่าสิ่งที่เราได้บอกแก่เจ้านั้นไม่ถูกต้องแม่นยำ  เราพบว่าสิ่งเหล่านี้ก็สุดจะทนยอมรับได้ด้วยเช่นกัน  ด้วยความที่พวกเจ้าปฏิบัติต่อเราและสิ่งที่เรากล่าวด้วยความคลางแคลงใจ ไม่เคยยอมรับฟังวจนะของเราและเพิกเฉยต่อเรา เราขอบอกพวกเจ้าแต่ละคนอย่างจริงจังว่า จงอย่านำสิ่งที่เรากล่าวไปเชื่อมโยงกับหลักปรัชญา จงอย่านำวจนะของเราไปเชื่อมโยงกับคำโกหกของพวกคนกำมะลอ  นับประสาอะไรที่เจ้าควรตอบสนองวจนะของเราด้วยการเหยียดหยาม  บางทีอาจจะไม่มีผู้ใดในอนาคตที่สามารถบอกสิ่งที่เรากำลังบอกกับพวกเจ้าได้ หรือพูดกับพวกเจ้าอย่างใจบุญนัก หรือที่ยิ่งน้อยกว่านั้นก็คือคอยอธิบายชี้แนะประเด็นเหล่านี้แก่พวกเจ้าอย่างอดทน  วันในอนาคตเหล่านั้นจะถูกเจ้าใช้ไปกับการมาหวนคิดถึงช่วงเวลาที่ดี หรือสะอึกสะอื้นเสียงดังหรือร้องครางด้วยความเจ็บปวด หรือไม่พวกเจ้าก็จะกำลังดำรงชีวิตผ่านค่ำคืนอันมืดมิดโดยปราศจากการจัดเตรียมเศษเสี้ยวแห่งความจริงหรือชีวิต หรือเพียงแต่เฝ้าคอยอย่างสิ้นหวัง หรือดำรงอยู่ด้วยความเสียใจขมขื่นมากจนพวกเจ้าสูญเสียเหตุผลทั้งหมด… แทบจะไม่มีพวกเจ้าคนใดเลยที่สามารถรอดพ้นจากความเป็นไปได้เหล่านี้  เนื่องเพราะไม่มีพวกเจ้าคนใดยึดครองที่นั่งซึ่งพวกเจ้านมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริงจากที่นั่งนี้ แต่กลับดื่มด่ำตัวพวกเจ้าเองอยู่ในโลกแห่งความมักมากในกามและความชั่ว ซึ่งคลุกเคล้าเข้าไปในการเชื่อทั้งหลายของพวกเจ้า เข้าไปในจิตวิญญาณ ดวงจิต และร่างกายของพวกเจ้า อันเป็นสิ่งทั้งหลายมากมายนักที่ไม่เกี่ยวกันเลยกับชีวิตและความจริง และเป็นสิ่งซึ่งอันที่จริงแล้วต่อต้านชีวิตและความจริง  เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราหวังในตัวพวกเจ้าก็คือให้พวกเจ้าสามารถได้รับการนำพาเข้าสู่เส้นทางแห่งความสว่าง  ความหวังเดียวของเราก็คือการที่พวกเจ้าสามารถกลายมามีความสามารถในการใส่ใจตัวเอง ในการดูแลตัวพวกเจ้าเอง และการที่เจ้าไม่มัวแต่เน้นเรื่องบั้นปลายของเจ้ามากนักในขณะเดียวกันก็มีทรรศนะที่ไม่แยแสต่อความประพฤติและการล่วงละเมิดของเจ้าเลย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฝ่าฝืนจะนำทางมนุษย์ไปสู่นรก

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 609

เป็นเวลานานแล้วที่ผู้คนซึ่งเชื่อในพระเจ้าต่างก็หวังอย่างจริงจังตั้งใจที่จะมีบั้นปลายอันงดงาม และผู้เชื่อทั้งหมดของพระเจ้าหวังว่าโชควาสนาจะมาสู่พวกเขาในทันทีทันใด  พวกเขาล้วนหวังว่าพวกเขาจะพบว่าตัวเองได้นั่งลงอย่างสงบ ณ ที่ใดที่หนึ่งในสวรรค์ ก่อนที่พวกเขาจะทันได้รู้ตัว  แต่เรากล่าวเลยว่า ด้วยความคิดอันน่ารักน่าชื่นชมของพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ไม่เคยรู้เลยว่าพวกเขามีคุณสมบัติเหมาะที่จะได้รับโชควาสนาดังกล่าวที่ร่วงหล่นจากสวรรค์ หรือแม้แต่ที่จะได้นั่งบนที่นั่งในที่นั้นหรือไม่  พวกเจ้าในปัจจุบันมีความรู้ดีเกี่ยวกับตัวเจ้าเอง ถึงกระนั้น พวกเจ้าก็ยังคงหวังว่าจะรอดพ้นจากความวิบัติแห่งยุคสุดท้ายและพระหัตถ์ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เมื่อพระองค์ทรงลงโทษเหล่ามารร้าย  ดูเหมือนว่าการฝันหวานและความต้องการสิ่งทั้งหลายแค่ตามที่พวกเขาชอบนั้นเป็นคุณสมบัติพิเศษทั่วไปของผู้คนทั้งหมดที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และไม่ใช่ความเป็นอัจฉริยะอันโดดเด่นบางอย่างของปัจเจกบุคคลใดเพียงลำพัง  ถึงกระนั้น เรายังคงปรารถนาจะให้ความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อเหล่านี้ของพวกเจ้าตลอดจนความกระหายร้อนรนของพวกเจ้าที่จะได้รับพรนั้นจบสิ้นลง  ด้วยความที่การล่วงละเมิดของพวกเจ้ามีมากมายนัก และด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าการเป็นกบฏของพวกเจ้านั้นก็เติบโตขึ้นตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้สามารถเหมาะกับแบบพิมพ์เขียวอันน่ารักน่าชื่นชมสำหรับอนาคตของพวกเจ้าได้อย่างไรกัน?  หากเจ้าต้องการทำความผิดพลาดตามแต่เจ้าจะยินดี โดยไม่มีสิ่งใดมาหยุดรั้งเจ้าไว้ ทว่าในเวลาเดียวกันเจ้ายังคงต้องการให้ความฝันของเจ้ากลายเป็นจริง เช่นนั้นแล้วเราก็จะขอรบเร้าให้เจ้าคงอยู่ในความสะลึมสะลือของเจ้าต่อไปและไม่มีวันตื่นขึ้นมาเลย—เพราะความฝันของเจ้านั้นเป็นความฝันอันว่างเปล่า และในการสถิตของพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม พระองค์จะไม่ทรงทำการยกเว้นให้กับเจ้า  หากเจ้าเพียงแค่ต้องการให้ความฝันของเจ้ากลายเป็นจริง เช่นนั้นแล้วก็จงอย่าได้มีวันวาดฝันเลย ในทางตรงกันข้าม จงเผชิญกับความจริงและข้อเท็จจริงตลอดกาล  นี่คือหนทางเดียวที่เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้  ในทางรูปธรรมแล้ว อะไรหรือคือขั้นตอนทั้งหลายของวิธีการนี้?

ประการแรก จงดูการล่วงละเมิดทั้งหมดของเจ้า และตรวจสอบว่าความประพฤติและความคิดใดที่เจ้ามีอยู่โดยไม่คล้อยตามความจริง

นี่คือสิ่งหนึ่งที่เจ้าทำได้อย่างง่ายดาย และเราเชื่อว่าผู้มีเชาวน์ปัญญาทุกคนสามารถทำสิ่งนี้ได้  อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ที่ไม่เคยรู้ความหมายของการล่วงละเมิดและความจริงนั้นคือข้อยกเว้น เพราะโดยระดับพื้นฐานเบื้องต้นแล้ว พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่มีเชาวน์ปัญญา  เรากำลังพูดคุยอยู่กับผู้คนที่พระเจ้าทรงเห็นชอบแล้ว มีความซื่อสัตย์ ไม่ได้ละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารใดอย่างร้ายแรง และสามารถหยั่งรู้ถึงการล่วงละเมิดของตัวพวกเขาเองได้อย่างง่ายดาย  แม้ว่าหนึ่งสิ่งนี้ที่เราพึงประสงค์จากพวกเจ้า ง่ายที่จะสำเร็จลุล่วงได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่เราพึงประสงค์จากพวกเจ้า  ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เราหวังว่าพวกเจ้าจะไม่แอบหัวเราะเยาะข้อพึงประสงค์นี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หวังว่าเจ้าจะไม่ดูแคลนมันหรือถือว่าไม่เป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ  เจ้าควรปฏิบัติต่อมันอย่างจริงจัง และไม่ปล่อยมันลอยแพ

ประการที่สอง สำหรับการล่วงละเมิดและการไม่เชื่อฟังของเจ้าแต่ละข้อ เจ้าควรมองหาความจริงที่สอดรับกัน แล้วจากนั้น จงใช้ความจริงเหล่านี้แก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านั้น  หลังจากนั้น จงแทนที่การปฏิบัติตนแบบล่วงละเมิดและความคิดกับการปฏิบัติตนที่ไม่เชื่อฟังของเจ้าด้วยการฝึกฝนปฏิบัติความจริง

ประการที่สาม เจ้าควรเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ใช่ใครบางคนที่ฉลาดแยบยลอยู่เสมอและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงตลอดเวลา (ณ ที่นี้เรากำลังขอพวกเจ้าอีกครั้งให้เป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์)

หากเจ้าสามารถสำเร็จลุล่วงสามสิ่งนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเป็นผู้มีวาสนาคนหนึ่ง—เป็นบุคคลที่ความฝันของเขากลายเป็นจริงและเป็นผู้ที่ได้รับโชควาสนา  บางทีพวกเจ้าก็จะปฏิบัติต่อข้อพึงประสงค์ที่ไม่ยั่วใจสามประการนี้อย่างจริงจัง หรือบางทีเจ้าก็จะปฏิบัติต่อมันอย่างไม่รับผิดชอบ  ไม่ว่าจะอย่างใดก็ตาม จุดประสงค์ของเราคือการทำให้ความฝันของพวกเจ้าลุล่วง และนำอุดมคติของพวกเจ้าไปสู่การฝึกฝนปฏิบัติ ไม่ใช่ทำเพื่อให้พวกเจ้าเป็นตัวตลกหรือทำให้พวกเจ้าดูโง่เขลา

ข้อเรียกร้องทั้งหลายของเราอาจดูเรียบง่าย แต่สิ่งที่เรากำลังบอกพวกเจ้านั้นไม่เรียบง่ายเหมือนหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง  หากทั้งหมดที่พวกเจ้าทำคือพูดคุยเกี่ยวกับการนี้อย่างเรื่อยเปื่อย หรือพูดเพ้อเจ้อถึงถ้อยแถลงที่ฟังดูดีมากแต่ว่างเปล่า เช่นนั้นแล้วแผนการของพวกเจ้ากับความปรารถนาทั้งหลายของพวกเจ้าก็จะเป็นเพียงหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าไปตลอดกาล  เราจะไม่มีสำนึกแห่งความเวทนาให้แก่พวกเจ้าที่ทนทุกข์มาเป็นเวลาหลายปีและทำงานหนักมามาก ทว่ากลับยังไม่ได้ประโยชน์อันใดเลยจากมัน  ในทางตรงกันข้าม เราจะปฏิบัติต่อพวกที่ไม่ทำตามข้อเรียกร้องของเราด้วยการลงโทษ ไม่ใช่ด้วยบำเหน็จทั้งหลาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเห็นอกเห็นใจอันใด  พวกเจ้าอาจจะจินตนาการว่า จากการที่ได้เป็นผู้ติดตามมาหลายปียิ่งนัก เจ้าได้ปฏิบัติงานอย่างหนักไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม และเจ้าก็ควรได้รับข้าวถ้วยหนึ่งในพระนิเวศของพระเจ้าเพียงเพราะการเป็นคนปรนนิบัติคนหนึ่ง  เราคงจะกล่าวได้ว่าพวกเจ้าส่วนมากคิดแบบนี้ เพราะพวกเจ้าได้ไล่ตามเสาะหาหลักการเกี่ยวกับวิธีที่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งทั้งหลายและวิธีที่จะไม่ให้ถูกใครใช้ประโยชน์อยู่เสมอ  ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงกำลังบอกพวกเจ้าในบัดนี้อย่างจริงจังมากว่า เราไม่สนใจว่างานที่หนักของเจ้านั้นมีความดีความชอบเพียงใด คุณวุฒิของเจ้าน่าประทับใจเพียงใด เจ้าติดตามเราอย่างใกล้ชิดเพียงใด เจ้าเป็นที่รู้จักมากเพียงใด หรือว่าเจ้าได้ปรับปรุงท่าทีของเจ้าไปมากเพียงใดแล้ว ตราบเท่าที่เจ้ายังไม่ทำตามข้อเรียกร้องของเรา เจ้าจะไม่มีวันได้รับคำสรรเสริญจากเราเลย  จงขีดฆ่าแนวคิดและการคำนวณเหล่านั้นของพวกเจ้าออกไปทั้งหมดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ และเริ่มปฏิบัติต่อข้อพึงประสงค์ของเราอย่างจริงจัง หาไม่แล้ว เราจะทำให้ทุกคนกลายเป็นเถ้าถ่านเพื่อจบงานของเรา และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เราจะทำให้งานและความทุกข์นานหลายปีของเราสูญสลาย เพราะเราไม่สามารถพาศัตรูทั้งหลายของเราและบรรดาผู้คนที่ส่งกลิ่นความชั่วและมีรูปลักษณ์ของซาตานเข้าสู่อาณาจักรของเราหรือพาพวกเขาเข้าสู่ยุคถัดไปได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฝ่าฝืนจะนำทางมนุษย์ไปสู่นรก

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 610

เรามีความหวังมากมาย  เราหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถปฏิบัติตนในลักษณะที่ถูกต้องเหมาะสมและประพฤติดี ลุล่วงหน้าที่ของเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ มีความจริงและสภาวะความเป็นมนุษย์ เป็นผู้คนที่สามารถยอมล้มเลิกทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขามีและแม้แต่ชีวิตของพวกเขาเพื่อพระเจ้า และอื่นๆ อีกมาก  ความหวังเหล่านี้ทั้งปวงมีต้นตอมาจากความไม่พอเพียงของพวกเจ้าและจากความเสื่อมทรามและความไม่เชื่อฟังของพวกเจ้า  หากคำสนทนาใดที่เราได้มีไปกับพวกเจ้านั้นไม่มีอันใดเลยที่เพียงพอจะดึงดูดความสนใจจากพวกเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วก็มีแววว่าทั้งหมดที่เราทำได้ในตอนนี้ก็คือการไม่กล่าวอะไรอีกแล้ว  อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าก็เข้าใจว่าผลลัพธ์ของการนั้นจะเป็นสิ่งใด  ไม่บ่อยนักที่เราหยุดพัก ดังนั้นหากเราไม่พูด เราก็จะทำบางสิ่งให้ผู้คนมองดู  เราสามารถทำให้ลิ้นของใครบางคนเน่าได้ หรือเป็นเหตุให้ใครบางคนตายแบบแขนขาขาด  หรือให้ผู้คนมีความผิดปกติของเส้นประสาทและเป็นเหตุให้พวกเขาแลดูน่าเกลียดน่ากลัวได้ในหลายหนทาง  แต่ถึงอย่างไร เราก็สามารถทำให้ผู้คนต้องสู้ทนความทรมานที่เราชงขึ้นโดยเฉพาะเจาะจงสำหรับพวกเขาได้  ด้วยวิธีนี้ เราคงจะรู้สึกเปรมปรีดิ์ มีความสุขมาก และยินดีอย่างใหญ่หลวง  มีการกล่าวกันอยู่เสมอว่า “ทำดีได้ดี และทำชั่วได้ชั่ว” ดังนั้นเหตุใดจึงไม่เป็นเช่นนั้นเล่าในตอนนี้?  หากเจ้าปรารถนาที่จะต่อต้านเรา และทำการตัดสินเกี่ยวกับเรา เราก็จะทำให้ปากของเจ้าเน่า และนั่นก็จะทำให้เราปีติยินดีไปชั่วกัลป์  ในท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็เป็นเพราะสิ่งที่เจ้าได้ทำไปนั้นไม่ใช่ความจริง  ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือมันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับชีวิตเลย ขณะที่ทุกสิ่งที่เราทำคือความจริง การกระทำของเราทั้งหมดสัมพันธ์กับหลักธรรมทั้งหลายของงานของเราและประกาศกฤษฎีกาบริหารที่เราได้กำหนดไว้  ด้วยเหตุนี้ เราจึงรบเร้าให้เจ้าแต่ละคนสั่งสมคุณธรรมเอาไว้บ้าง หยุดการทำความชั่วมากมายยิ่งนัก และใส่ใจต่อข้อเรียกร้องของเราในยามว่างของเจ้า  เช่นนั้นแล้วเราจึงจะรู้สึกชื่นบาน  หากพวกเจ้าจะมีส่วนร่วมสนับสนุน (หรือบริจาค) ให้กับความจริงแม้แต่หนึ่งในหนึ่งพันของความพยายามที่เจ้าใช้กับเนื้อหนัง เช่นนั้นแล้วเราย่อมกล่าวเลยว่าเจ้าคงจะไม่ได้กระทำการล่วงละเมิดและมีปากเน่าเหม็นบ่อยนัก  นี่ไม่เห็นได้ชัดหรอกหรือ?

ยิ่งเจ้ากระทำการล่วงละเมิดมากขึ้นเพียงใด เจ้าก็ยิ่งจะมีโอกาสเหมาะที่จะได้มาซึ่งบั้นปลายที่ดีน้อยลงเท่านั้น  ในทางกลับกัน ยิ่งเจ้ากระทำการล่วงละเมิดน้อยลงเพียงใด โอกาสที่เจ้าจะกลายเป็นได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้าก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น  หากการล่วงละเมิดของเจ้าเพิ่มมากขึ้นจนถึงจุดที่เป็นไปไม่ได้ที่เราจะยกโทษให้เจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะเสียโอกาสอย่างถึงที่สุดในการที่จะได้รับการยกโทษ  ดังนั้นเอง บั้นปลายของเจ้าจะไม่ได้อยู่เบื้องบน แต่จะอยู่เบื้องล่าง  หากเจ้าไม่เชื่อเรา เช่นนั้นแล้วก็จงฮึกเหิมและกระทำผิดเถิด และดูว่านั่นจะนำสิ่งใดมาให้กับเจ้า  หากเจ้าเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งการฝึกฝนปฏิบัติความจริงนั้นจริงจังตั้งใจอย่างยิ่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะมีโอกาสเหมาะที่จะได้รับการยกโทษสำหรับการล่วงละเมิดของเจ้าอย่างแน่นอน และความถี่ที่เจ้าจะไม่เชื่อฟังก็ย่อมจะน้อยลงทุกที  หากเจ้าเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งไม่เต็มใจจะฝึกฝนปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้วการล่วงละเมิดของเจ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างแน่นอน และความถี่ที่เจ้าจะไม่เชื่อฟังก็จะมากขึ้นทุกที จนกระทั่งเจ้าไปถึงขีดจำกัด อันจะเป็นเวลาแห่งการทำลายล้างเจ้าจนสิ้นซาก  นี่จะเป็นเวลาที่ความฝันอันน่ายินดีของเจ้าที่จะได้รับพรถูกพังทลาย  จงอย่าคำนึงถึงการล่วงละเมิดของเจ้าว่าเป็นเพียงความผิดพลาดของบุคคลหนึ่งซึ่งยังไม่เป็นผู้ใหญ่หรือโง่เขลา จงอย่าใช้ข้ออ้างว่าเจ้าไม่ได้ฝึกฝนปฏิบัติความจริงเพราะขีดความสามารถต่ำของเจ้าทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเช่นนั้น  ที่มากกว่านั้นก็คือ จงอย่าเพียงคำนึงถึงการล่วงละเมิดที่เจ้าได้กระทำลงไปว่าเป็นการปฏิบัติตนของใครบางคนที่ไม่ได้รู้อะไรดีไปกว่านี้  หากเจ้าเก่งในการยกโทษให้ตัวเองและปฏิบัติต่อตัวเจ้าเองด้วยความใจกว้าง เช่นนั้นแล้วเราย่อมกล่าวว่าเจ้าคือคนขลาดที่จะไม่มีวันได้รับความจริง และการล่วงละเมิดของเจ้าจะไม่มีวันหยุดตามหลอกหลอนเจ้า พวกมันจะคอยกันไม่ให้เจ้าทำตามข้อเรียกร้องแห่งความจริงได้ และเป็นเหตุให้เจ้าคงความเป็นพวกพ้องที่จงรักภักดีของซาตานไปตลอดกาล  คำแนะนำของเราต่อเจ้ายังคงเป็นเช่นนี้คือ จงอย่าให้ความสนใจเฉพาะบั้นปลายของเจ้าเท่านั้น ในขณะเดียวกันก็ล้มเหลวที่จะสังเกตเห็นการล่วงละเมิดซึ่งซ่อนเร้นอยู่ของเจ้า จงมองเรื่องการล่วงละเมิดอย่างจริงจัง และจงอย่ามองข้ามการล่วงละเมิดอันใดไปเพราะการที่มัวแต่พะวงถึงบั้นปลายของเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฝ่าฝืนจะนำทางมนุษย์ไปสู่นรก

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 611

ในวันนี้ เราเตือนสอนพวกเจ้าเช่นนี้ก็เพื่อประโยชน์แห่งความอยู่รอดของพวกเจ้าเอง เพื่อให้งานของเราก้าวหน้าไปอย่างราบรื่น และเพื่อที่งานปฐมฤกษ์ของเราทั่วทั้งจักรวาลจะได้รับการดำเนินการอย่างเหมาะสมและมีความเพียบพร้อมยิ่งขึ้น เพื่อเปิดเผยวจนะ สิทธิอำนาจ บารมี และการพิพากษาของเราต่อประชาชนของทุกประเทศและทุกชาติ  งานที่เราทำท่ามกลางพวกเจ้าคือการเริ่มต้นของงานของเราทั่วทั้งจักรวาล  แม้ว่าบัดนี้คือเวลาของยุคสุดท้ายแล้ว แต่จงรู้เอาไว้ว่า “ยุคสุดท้าย” เป็นเพียงชื่อหนึ่งของยุคหนึ่ง เฉกเช่นเดียวกับยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ ชื่อนั้นอ้างอิงถึงยุคหนึ่ง และบ่งบอกถึงยุคหนึ่งทั้งยุค แทนที่จะเป็นไม่กี่ปีหรือไม่กี่เดือนสุดท้าย  กระนั้นก็ตาม ยุคสุดท้ายไม่เหมือนอย่างยิ่งกับยุคพระคุณและยุคธรรมบัญญัติ  งานแห่งยุคสุดท้ายนั้นไม่ได้ดำเนินการในประเทศอิสราเอล แต่ดำเนินการท่ามกลางประชาชาติ เป็นการพิชิตชัยผู้คนจากทุกชนชาติและทุกเผ่าพันธุ์นอกประเทศอิสราเอลเบื้องหน้าบัลลังก์ของเรา เพื่อที่ว่าสง่าราศีของเราทั่วทั้งจักรวาลจะสามารถเติมเต็มจักรวาลและพื้นฟ้าได้  มันเป็นเช่นนั้นเพื่อที่เราจะสามารถได้รับสง่าราศีที่ยิ่งใหญ่กว่า เพื่อที่สรรพสิ่งสร้างทั้งปวงบนแผ่นดินโลกจะสามารถส่งต่อสง่าราศีของเราไปยังทุกชนชาติ จากรุ่นสู่รุ่นตลอดไป และสรรพสิ่งสร้างทั้งปวงในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลกจะสามารถมองเห็นสง่าราศีทั้งหมดที่เราได้รับมาบนแผ่นดินโลก  งานที่ดำเนินการในระหว่างยุคสุดท้ายคืองานแห่งการพิชิตชัย  ไม่ใช่การนำทางชีวิตของผู้คนทั้งหมดบนแผ่นดินโลก แต่เป็นบทสรุปปิดตัวของชีวิตแห่งความทุกข์ที่ยาวนานหลายพันปีและไม่รู้จบของมวลมนุษย์บนแผ่นดินโลก  ผลที่ตามมาก็คืองานในยุคสุดท้ายจึงไม่สามารถเหมือนกับงานหลายพันปีในประเทศอิสราเอล และไม่สามารถเหมือนกับงานเพียงหลายปีในแคว้นยูเดีย ซึ่งได้ดำเนินต่อไปเป็นเวลาสองพันปีจนกระทั่งถึงการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้า  ผู้คนในยุคสุดท้ายเผชิญกับการทรงปรากฏอีกครั้งของพระผู้ไถ่ในเนื้อหนังเท่านั้น และพวกเขาได้รับพระราชกิจและพระวจนะส่วนพระองค์ของพระเจ้า  เวลาจะไม่นานถึงสองพันปีก่อนที่ยุคสุดท้ายจะมาถึงบทอวสาน ยุคสุดท้ายจะสั้น เหมือนกับเวลาที่พระเยซูทรงดำเนินพระราชกิจแห่งยุคพระคุณในแคว้นยูเดีย  นี่เป็นเพราะยุคสุดท้ายเป็นบทสรุปปิดตัวของทั้งยุค  ยุคสุดท้ายเป็นความครบบริบูรณ์และการอวสานของแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า และยุคสุดท้ายสรุปปิดตัวการเดินทางชั่วชีวิตแห่งความทุกข์ของมวลมนุษย์  ยุคสุดท้ายไม่ได้นำพามวลมนุษย์ทั้งปวงมาสู่ยุคใหม่หรือยอมให้ชีวิตของมวลมนุษย์ดำเนินต่อไป นั่นจะไม่มีนัยสำคัญเลยต่อแผนการบริหารจัดการของเรา หรือต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์  หากมวลมนุษย์ดำเนินต่อไปเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาก็จะถูกมารกัดกินไปจนหมด และวิญญาณเหล่านั้นที่เป็นของเราก็จะถูกทำลายด้วยมือของมันในที่สุด  งานของเราใช้เวลานานแค่หกพันปี และเราได้สัญญาว่าการควบคุมมวลมนุษย์ทั้งปวงของมารร้ายก็จะใช้เวลาไม่เกินหกพันปีเช่นกัน  ดังนั้น บัดนี้หมดเวลาแล้ว  เราจะไม่ดำเนินการต่อหรือหน่วงเหนี่ยวอีกต่อไป นั่นคือ ในระหว่างยุคสุดท้าย เราจะพิชิตซาตาน เราจะเอาสง่าราศีของเราทั้งหมดคืนมา และเราจะเรียกคืนวิญญาณทั้งหมดที่เป็นของเราบนแผ่นดินโลก เพื่อที่วิญญาณที่ทุกข์ยากเหล่านี้อาจหนีพ้นจากทะเลแห่งความทุกข์ได้ และด้วยเหตุนั้นจะเป็นการสรุปปิดตัวงานทั้งหมดของเราบนแผ่นดินโลก  นับจากวันนี้เป็นต้นไป เราจะไม่มีวันบังเกิดเป็นมนุษย์บนแผ่นดินโลกอีก และวิญญาณแห่งการควบคุมทั้งหมดของเราจะไม่มีวันทำงานบนแผ่นดินโลกอีก  เราจะทำเพียงสิ่งเดียวบนแผ่นดินโลก นั่นคือ เราจะสร้างมวลมนุษย์ขึ้นใหม่ เป็นมวลมนุษย์ที่บริสุทธิ์และเป็นเมืองที่สัตย์ซื่อของเราบนแผ่นดินโลก  แต่จงรู้ไว้ว่าเราจะไม่ทำลายล้างโลกทั้งหมด อีกทั้งเราจะไม่ทำลายล้างมวลมนุษย์ทั้งปวง เราจะเก็บหนึ่งในสามที่เหลืออยู่นั้นเอาไว้—หนึ่งในสามที่รักเราและได้ถูกเราพิชิตอย่างถ้วนทั่วแล้ว และเราจะทำให้หนึ่งในสามนี้เกิดผลและทวีคูณบนแผ่นดินโลกเช่นเดียวกับที่คนอิสราเอลได้ทำภายใต้ธรรมบัญญัติ โดยบำรุงเลี้ยงพวกเขาด้วยแกะและฝูงปศุสัตว์ใช้งานมากมาย และความมั่งคั่งทั้งสิ้นของแผ่นดินโลก  มวลมนุษย์นี้จะคงอยู่กับเราตลอดไป แต่จะไม่ใช่มวลมนุษย์ที่โสมมอย่างน่าเสียดายของวันนี้ แต่เป็นมวลมนุษย์ที่เป็นชุมนุมชนของบรรดาผู้ที่เราได้รับไว้แล้วทั้งหมด  มวลมนุษย์เช่นนี้จะไม่ถูกซาตานทำให้เสียหาย รบกวน หรือล้อมกรอบ และจะเป็นมวลมนุษย์หนึ่งเดียวที่ดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกหลังจากที่เราได้ชัยชนะเหนือซาตานแล้ว  เป็นมวลมนุษย์ที่เราได้พิชิตในวันนี้ และได้รับคำสัญญาของเราแล้ว  และดังนั้น มวลมนุษย์ที่ได้รับการพิชิตแล้วในระหว่างยุคสุดท้ายก็คือมวลมนุษย์ที่จะได้รับการละเว้นและจะได้รับพรนิรันดร์กาลของเราอีกด้วย  มวลมนุษย์จะเป็นหลักฐานเดียวแห่งชัยชนะของเราเหนือซาตาน และเป็นของที่ริบมาหนึ่งเดียวจากการสู้รบของเรากับซาตาน  ของที่ริบมาจากสงครามเหล่านี้ได้รับการช่วยให้รอดจากแดนครอบครองของซาตานโดยเรา และเป็นการตกผลึกและผลหนึ่งเดียวของแผนการบริหารจัดการหกพันปีของเรา  พวกเขามาจากทุกชาติและทุกนิกาย จากทุกสถานที่และทุกประเทศทั่วทั้งจักรวาล  พวกเขามีเชื้อชาติที่แตกต่างกัน มีภาษา ขนบธรรมเนียม และสีผิวที่แตกต่างกัน และพวกเขาก็กระจายอยู่ทั่วทุกชาติและทุกนิกายของโลก และแม้กระทั่งทุกมุมของโลก  ในที่สุดพวกเขาก็จะมารวมตัวกันเพื่อสร้างมวลมนุษย์ที่ครบบริบูรณ์ เป็นชุมนุมชนของมนุษย์ที่กำลังบังคับของซาตานไม่สามารถเข้าถึงได้  พวกที่อยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์ที่ไม่ได้รับการช่วยให้รอดและการพิชิตโดยเรา จะจมเงียบไปในความลึกแห่งทะเล และจะถูกเผาไหม้ด้วยไฟที่เผาผลาญของเราไปตลอดชั่วกัลปาวสาน  เราจะทำลายล้างมวลมนุษย์เก่าๆ ที่โสมมอย่างยิ่งนี้ เช่นเดียวกับที่เราได้ทำลายล้างบรรดาบุตรหัวปีและฝูงปศุสัตว์ของประเทศอียิปต์ โดยให้เหลืออยู่เพียงคนอิสราเอลเท่านั้น ผู้ซึ่งกินเนื้อลูกแกะ ดื่มเลือดลูกแกะ และป้ายขื่อประตูด้วยเลือดลูกแกะ  ผู้คนที่ได้ถูกเราพิชิตแล้วและอยู่ในครอบครัวของเราไม่ได้เป็นผู้คนที่กินเนื้อพระเมษโปดกซึ่งก็คือเรา และดื่มพระโลหิตของพระเมษโปดกซึ่งก็คือเรา และได้รับการไถ่บาปโดยเราและนมัสการเราด้วยหรอกหรือ?  ผู้คนเช่นนี้ไม่ได้มาพร้อมกับสง่าราศีของเราตลอดหรอกหรือ?  บรรดาพวกที่อยู่โดยปราศจากเนื้อพระเมษโปดกซึ่งก็คือ เรานั้น ไม่ได้จมลงอย่างเงียบเชียบไปในความลึกแห่งท้องทะเลแล้วหรอกหรือ?  ในวันนี้พวกเจ้าต่อต้านเรา และในวันนี้วจนะของเราเป็นเหมือนกับบรรดาพระวจนะที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้กับบรรดาบุตรชายและหลานชายแห่งประเทศอิสราเอล  กระนั้นความกระด้างในส่วนลึกของหัวใจพวกเจ้ากำลังทำให้ความโกรธของเราเพิ่มพูนขึ้น ซึ่งนำความทุกข์มาสู่เนื้อหนังของพวกเจ้ามากขึ้น นำการพิพากษามาสู่บาปทั้งหลายของพวกเจ้ามากขึ้น และนำความโกรธมาสู่ความไม่ชอบธรรมของพวกเจ้ามากขึ้น  ใครเล่าจะสามารถได้รับการละเว้นในวันแห่งความโกรธของเราได้ ในเมื่อพวกเจ้าปฏิบัติต่อเราเช่นนี้ในวันนี้?  ความไม่ชอบธรรมของผู้ใดจะสามารถหลีกหนีตาแห่งการตีสอนของเราได้?  บาปของผู้ใดจะสามารถหลบหลีกมือของเรา องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้?  การเยาะเย้ยท้าทายของผู้ใดจะสามารถหลีกหนีคำพิพากษาของเรา องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้?  เรา พระยาห์เวห์ พูดเช่นนี้ต่อพวกเจ้า พงศ์พันธุ์ของครอบครัวคนต่างชาติ และวจนะที่เราพูดกับพวกเจ้าล้ำเลิศกว่าถ้อยดำรัสทั้งหมดของยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ แต่พวกเจ้ากระด้างกว่าผู้คนของประเทศอียิปต์ทั้งหมด  พวกเจ้าไม่กักเก็บความโกรธของเราในขณะที่เราทำงานของเราอย่างสงบเงียบหรอกหรือ?  พวกเจ้าจะสามารถหนีพ้นโดยไม่ได้รับอันตรายจากยุคสมัยของเราองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้อย่างไรเล่า?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ไม่มีใครที่มีเนื้อหนังสามารถหลีกหนีวันแห่งพระพิโรธได้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 612

บัดนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าอะไรคือการพิพากษาและอะไรคือความจริง?  หากเจ้าเข้าใจแล้ว เราขอเตือนสติเจ้าให้นบนอบอย่างเชื่อฟังต่อการถูกพิพากษา มิเช่นนั้นเจ้าจะไม่มีวันมีโอกาสที่จะได้รับการชมเชยจากพระเจ้าหรือได้รับการพาเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์โดยพระองค์  พวกที่ยอมรับเพียงการพิพากษาเท่านั้น แต่ไม่มีวันที่จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ได้ กล่าวคือพวกที่หลบหนีไปกลางพระราชกิจแห่งการพิพากษา จะถูกรังเกียจและปฏิเสธโดยพระเจ้าตลอดกาล บาปนานาของพวกเขานั้นมากมายและน่าสลดใจยิ่งกว่าของพวกฟาริสี เพราะพวกเขาได้ทรยศพระเจ้าและเป็นพวกกบฏต่อพระเจ้า ผู้คนเช่นนี้ซึ่งไม่คู่ควรแม้แต่จะทำการปรนนิบัติจะได้รับการลงโทษที่รุนแรงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เป็นการลงโทษที่ยาวนานตลอดกาล พระเจ้าจะไม่ทรงละเว้นคนทรยศใดๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยแสดงความจงรักภักดีอย่างชัดแจ้งด้วยคำพูดแต่แล้วก็ทรยศพระองค์ ผู้คนเช่นนี้จะได้รับบทลงโทษที่รุนแรงสาสมผ่านทางการลงโทษวิญญาณ ดวงจิต และร่างกาย นี่ไม่ใช่การเปิดเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอย่างแม่นยำหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่จุดประสงค์ของพระเจ้าในการพิพากษามนุษย์และเปิดโปงเขาหรอกหรือ?  พระเจ้าทรงส่งทุกคนที่กระทำสิ่งชั่วร้ายทุกชนิดในช่วงเวลาแห่งการพิพากษาไปยังสถานที่ที่ยุบยับไปด้วยวิญญาณชั่วร้ายและปล่อยให้วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้ทำลายร่างกายอันเต็มไปด้วยเนื้อหนังของพวกเขาตามที่พวกมันปรารถนา และร่างกายของผู้คนเหล่านั้นส่งกลิ่นเหม็นของซากศพ นั่นคือบทลงโทษที่เหมาะสมของพวกเขา พระเจ้าทรงจารึกบาปทั้งหมดทุกครั้งของเหล่าผู้เชื่อจอมปลอม สาวกจอมปลอมและคนงานจอมปลอมลงในสมุดบันทึกของพวกเขา และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระองค์ทรงโยนพวกเขาทิ้งลงไปท่ามกลางวิญญาณที่ไม่สะอาด ปล่อยให้วิญญาณที่ไม่สะอาดเหล่านี้สร้างมลทินให้ทั่วร่างกายของพวกเขาตามอำเภอใจ เพื่อที่พวกเขาจะไม่มีวันได้เกิดใหม่และไม่มีวันได้เห็นความสว่างอีกเลย บรรดาผู้เสแสร้งที่ทำงานรับใช้ในช่วงเวลาหนึ่งแต่ไม่สามารถจงรักภักดีต่อไปได้จนถึงปลายทางถูกพระเจ้านับรวมกับคนชั่ว เพื่อที่พวกเขาจะเข้าไปสมคบคิดกับคนชั่วและกลายเป็นส่วนหนึ่งของฝูงชนโกลาหลไร้ระเบียบของพวกนั้น ในที่สุด พระเจ้าจะทำลายล้างพวกเขา พระเจ้าทรงทอดทิ้งและไม่ใส่พระทัยรับรู้ถึงพวกที่ไม่เคยจงรักภักดีต่อพระคริสต์หรือไม่เคยแบ่งปันสิ่งใดจากพละกำลังของพวกเขา และเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนยุค พระองค์จะทรงทำลายล้างพวกเขาทั้งหมด พวกเขาจะไม่ดำรงอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป และยิ่งไม่ได้รับเส้นทางเดินเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าพวกที่ไม่เคยจริงใจกับพระเจ้า แต่ถูกสถานการณ์บังคับให้ติดต่อกับพระองค์อย่างขอไปทีนั้น ถูกนับรวมกับบรรดาผู้ที่รับใช้ผู้คนของพระองค์ มีผู้คนเช่นนี้เพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่จะอยู่รอด ขณะที่ส่วนใหญ่จะต้องพินาศพร้อมกับพวกที่ทำการปรนนิบัติซึ่งไม่ได้ตามมาตรฐาน  ในท้ายที่สุด พระเจ้าจะทรงนำสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ซึ่งบรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่มีจิตใจเช่นเดียวกับพระเจ้า ผู้คนและบุตรของพระเจ้า และผู้ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าให้เป็นปุโรหิต พวกเขาจะเป็นสิ่งกลั่นกรองจากพระราชกิจของพระเจ้า สำหรับพวกที่ไม่สามารถจัดอยู่ในหมวดหมู่ใดๆ ที่พระเจ้ากำหนด พวกเขาจะถูกนับรวมกับบรรดาผู้ไม่เชื่อ—และพวกเจ้าสามารถจินตนาการได้อย่างแน่นอนว่าบทอวสานของพวกเขาจะเป็นเช่นไร เราได้บอกพวกเจ้าทั้งหมดที่เราควรบอกแล้ว ถนนที่พวกเจ้าเลือกเป็นตัวเลือกของพวกเจ้าเพียงลำพัง สิ่งที่พวกเจ้าควรเข้าใจคือสิ่งนี้ กล่าวคือ พระราชกิจของพระเจ้าไม่เคยรอผู้ใดที่ไม่สามารถก้าวทันพระองค์ และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่แสดงความเมตตาต่อมนุษย์ผู้ใด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง

ก่อนหน้า: การเข้าสู่ชีวิต 6

ถัดไป: การรู้จักพระเจ้า 1

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger