การเข้าสู่ชีวิต 5

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 520

ในช่วงระหว่างช่วงเวลาที่เขาติดตามพระเยซู เปโตรได้ก่อความคิดเห็นเกี่ยวกับพระองค์ขึ้นมากมายและมักตัดสินพระองค์จากมุมมองของเขาเองเสมอ  แม้ว่าเปโตรจะเข้าใจพระวิญญาณในระดับหนึ่ง ความเข้าใจของเขาก็เป็นอะไรที่ไม่กระจ่างแจ้ง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาจึงพูดว่า “ข้าพระองค์จำต้องติดตามผู้ที่ถูกส่งมาโดยพระบิดาแห่งสวรรค์  ข้าพระองค์จำต้องยอมรับผู้ที่ถูกเลือกสรรโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”  เขาไม่เข้าใจสิ่งทั้งหลายที่พระเยซูทรงทำและขาดพร่องความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น  หลังจากที่ได้ติดตามพระองค์สักระยะหนึ่งแล้ว เปโตรก็มีความสนใจยิ่งขึ้นในสิ่งที่พระองค์ทรงทำและตรัส และสนใจในตัวพระเยซูพระองค์เอง  เขาได้มารู้สึกว่าพระเยซูทรงสร้างแรงบันดาลใจทั้งในเรื่องของการรักใคร่เอ็นดูและความนับถือ เขาชอบที่จะคบหากับพระองค์และอยู่เคียงข้างพระองค์ และการได้ฟังพระวจนะของพระเยซูก็ทำให้เขาได้รับการจัดหาให้และความช่วยเหลือ  ในช่วงระหว่างเวลาที่เขาติดตามพระเยซู เปโตรได้สังเกตและจดจำทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิตของพระองค์ไว้ในใจ นั่นคือ การกระทำ พระวจนะ ความเคลื่อนไหว และการแสดงออกของพระองค์  เขาได้รับความเข้าใจลึกๆ ว่าพระเยซูไม่ทรงเหมือนพวกมนุษย์ธรรมดา  แม้ว่าการทรงปรากฏเยี่ยงมนุษย์ของพระองค์จะเป็นปกติยิ่งนัก พระองค์ก็ทรงเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตาสงสาร และความยอมผ่อนปรนสำหรับมนุษย์  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำหรือตรัสเป็นความช่วยเหลืออย่างใหญ่หลวงต่อผู้อื่น และเปโตรได้เห็นและได้รับสิ่งทั้งหลายที่เขาไม่เคยได้เห็นหรือได้ครองมาก่อนจากพระเยซู  เขาได้เห็นว่าแม้ว่าพระเยซูจะไม่ได้ทรงมีวุฒิภาวะอันยิ่งใหญ่และสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ผิดแผกใดๆ ก็ตาม แต่พระองค์ทรงมีพระลักษณะอันน่าประทับใจที่ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริงและไม่ได้พบเห็นอยู่ทั่วไป  แม้ว่าเปโตรจะไม่อาจอธิบายเรื่องดังกล่าวได้อย่างครบถ้วน แต่เขาก็เห็นได้ว่าพระเยซูทรงปฏิบัติอย่างแตกต่างออกไปจากคนอื่นทุกคน เพราะสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงทำนั้นแตกต่างไปจากสิ่งเดียวกันของพวกมนุษย์ปกติเป็นอย่างมาก  นับตั้งแต่เวลาที่เขาได้มาสัมผัสกับพระเยซู เปโตรยังได้เห็นอีกด้วยว่าพระบุคลิกลักษณะของพระองค์นั้นแตกต่างไปจากบุคลิกลักษณะของสามัญชน  พระองค์มักจะทรงปฏิบัติอย่างมั่นคงและไม่เคยเร่งรีบ ไม่เคยทรงกล่าวเกินจริงหรือทำเรื่องอะไรให้ความสำคัญน้อยลง และพระองค์ก็ทรงดำเนินพระชนม์ชีพของพระองค์ในหนทางที่เปิดเผยให้เห็นถึงพระบุคลิกลักษณะซึ่งทั้งปกติธรรมดาและน่าเลื่อมใส  ในการสนทนา พระเยซูตรัสอย่างเรียบง่ายและด้วยมารยาทอันงดงาม ทรงสื่อสารในลักษณะที่แจ่มใสทว่าสงบนิ่งอยู่เสมอ—และกระนั้นพระองค์ก็ไม่เคยทรงสูญเสียความทรงเกียรติของพระองค์ขณะทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ไปจนเสร็จสิ้นเลย  เปโตรได้เห็นว่าพระเยซูบางครั้งทรงเงียบขรึม ในขณะที่ในคราวอื่นๆ พระองค์ได้ตรัสอย่างไม่หยุดหย่อน  บางครั้งพระองค์ทรงพระสำราญมากกระทั่งพระองค์ทรงดูเหมือนนกพิราบที่กำลังเริงร่าและกระโดดโลดเต้น และในคราวอื่นๆ พระองค์ก็ทรงโทมนัสกระทั่งพระองค์ไม่ตรัสอะไรเลย ทรงปรากฏว่าหนักอึ้งไปด้วยความตรอมใจราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นมารดาผู้เหน็ดเหนื่อยและอิดโรย  ในบางครั้งพระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยพระโทสะดั่งทหารกล้าที่พุ่งไปข้างหน้าเพื่อสังหารศัตรู หรือในบางโอกาส พระองค์กลับทรงดูคล้ายสิงโตคำราม  บางครั้งพระองค์ทรงพระสรวล ในคราวอื่นๆ พระองค์ทรงอธิษฐานและทรงกันแสง  ไม่สำคัญว่าพระเยซูจะทรงปฏิบัติอย่างไร เปโตรได้เริ่มมีความรักและความนับถืออันไร้ขอบเขตให้กับพระองค์  เสียงพระสรวลของพระเยซูเติมความสุขให้กับเขา ความโศกเศร้าของพระองค์ผลักเขาเข้าสู่ความตรอมใจ พระโทสะของพระองค์ทำให้เขาหวาดกลัว ในขณะที่ความปรานี การยกโทษของพระองค์ และข้อเรียกร้องอันเคร่งครัดที่พระองค์ทรงเรียกร้องจากผู้คน ทำให้เขาได้มารักพระเยซูอย่างแท้จริงและพัฒนาความเคารพที่แท้จริงและการถวิลหาพระองค์  แน่นอนว่าเปโตรค่อยๆ มาตระหนักเรื่องทั้งหมดนี้หลังจากที่เขาใช้ชีวิตเคียงข้างพระเยซูนานหลายปีแล้ว

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เปโตรได้มารู้จักพระเยซูได้อย่างไร

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 521

มีจุดเร้าใจสูงสุดอยู่ในประสบการณ์ทั้งหลายของเปโตร เมื่อตอนที่ร่างกายของเขาแตกหักแทบจะหมดทุกส่วน แต่พระเยซูยังคงทรงให้การหนุนใจแก่เขาอยู่ภายใน  และครั้งหนึ่ง พระเยซูได้ทรงปรากฏต่อเปโตร  เมื่อตอนที่เปโตรอยู่ในความทุกข์ทนแสนสาหัสและรู้สึกว่าหัวใจของเขาแตกสลายไปแล้ว พระเยซูได้ทรงแนะนำเขาว่า “ท่านได้อยู่กับเราบนแผ่นดินโลก และเราก็ได้อยู่ที่นี่กับท่าน  และแม้ว่าก่อนหน้านั้นเราจะเคยได้อยู่ด้วยกันในสวรรค์ จะว่าไปแล้ว มันเป็นโลกฝ่ายจิตวิญญาณนั่นเอง  บัดนี้เราได้กลับมายังโลกฝ่ายจิตวิญญาณ และท่านก็อยู่บนแผ่นดินโลก เนื่องจากเราไม่ใช่ของแผ่นดินโลก และแม้ว่าท่านก็ไม่ได้เป็นของแผ่นดินโลกเช่นกัน ท่านก็ต้องทำหน้าที่ของท่านบนแผ่นดินโลกให้ลุล่วง  เนื่องจากท่านเป็นผู้รับใช้ ท่านจำต้องทำหน้าที่ของท่านให้ลุล่วง”  การได้ยินว่าเขาจะสามารถกลับไปอยู่ข้างพระเจ้าได้ให้ความชูใจแก่เปโตร  ในเวลานั้น เปโตรอยู่ในความร้าวรานมากกระทั่งเขาแทบจะต้องล้มหมอนนอนเสื่อ  เขารู้สึกผิดจนถึงจุดที่พูดว่า “ข้าพระองค์ถูกทำให้เสื่อมทรามมากจนกระทั่งข้าพระองค์ไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้”  พระเยซูได้ทรงปรากฏแก่เขาแล้วตรัสว่า “เปโตร อาจเป็นได้ไหมว่า ท่านลืมปณิธานที่ครั้งหนึ่งท่านได้ทำไว้ต่อหน้าเราไปแล้ว?  ท่านลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้พูดไว้จริงๆ หรือ?  ท่านลืมปณิธานที่ท่านทำไว้กับเราไปแล้วหรือ?”  เมื่อได้เห็นว่านั่นเป็นพระเยซู เปโตรจึงลุกขึ้นจากเตียง และพระเยซูก็ทรงชูใจเขาดังนี้ “เราไม่ได้เป็นของแผ่นดินโลก เราได้บอกท่านไปแล้ว—ท่านจำต้องเข้าใจในเรื่องนี้ แต่ท่านลืมอะไรอย่างอื่นที่เราได้บอกท่านไปแล้วหรือ?  ‘ท่านก็ไม่ได้เป็นของแผ่นดินโลกด้วยเช่นกัน ไม่ได้เป็นของโลก’  ณ ตอนนี้มีงานที่ท่านจำเป็นต้องทำ  ท่านไม่สามารถตรอมใจเยี่ยงนี้ได้  ท่านไม่สามารถทุกข์ทนเยี่ยงนี้ได้  แม้ว่าพวกมนุษย์และพระเจ้าจะไม่สามารถดำรงอยู่ในโลกเดียวกันได้ เราก็มีงานของเราและท่านก็มีงานของท่าน และวันหนึ่งเมื่องานของท่านแล้วเสร็จ เราจะได้อยู่ร่วมกันในอาณาจักรเดียว และเราจะนำทางท่านให้อยู่กับเราตลอดกาล”  เปโตรได้รับการชูใจและรู้สึกมั่นใจหลังจากที่ได้ยินพระวจนะเหล่านี้  เขารู้ว่าความทุกข์นี้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เขาต้องสู้ทนและได้รับประสบการณ์ และนับแต่นั้นมา เขาก็มีแรงบันดาลใจ  พระเยซูทรงปรากฏต่อเขาเป็นการเฉพาะในช่วงเวลาที่สำคัญทุกครั้ง ทรงมอบความรู้แจ้งและการทรงนำเป็นพิเศษแก่เขา และพระองค์ก็ทรงพระราชกิจมากมายกับเขา  แล้วอะไรเล่าคือสิ่งที่เปโตรเสียใจมากที่สุด?  ไม่นานนักหลังจากที่เปโตรได้พูดว่า “พระองค์คือพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์”  พระเยซูได้ทรงตั้งคำถามอีกคำถามหนึ่งกับเปโตร (แม้ว่ามันจะไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์อย่างนี้ก็ตาม)  พระเยซูทรงถามเขาว่า  “เปโตร!  ท่านเคยรักเราหรือไม่?”  เปโตรเข้าใจว่าพระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไร และพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า!  ครั้งหนึ่งข้าพระองค์รักพระบิดาในสวรรค์ แต่ข้าพระองค์ยอมรับว่าข้าพระองค์ไม่เคยรักพระองค์เลย”  พระเยซูจึงตรัสว่า “หากผู้คนไม่รักพระบิดาในสวรรค์ พวกเขาจะสามารถรักพระบุตรบนแผ่นดินโลกได้อย่างไร?  และหากผู้คนไม่รักบุตรที่ถูกส่งมาโดยพระเจ้าพระบิดา พวกเขาจะสามารถรักพระบิดาในสวรรค์ได้อย่างไร?  หากผู้คนรักพระบุตรบนโลกอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมรักพระบิดาในสวรรค์อย่างแท้จริง”  เมื่อเปโตรได้ยินพระวจนะเหล่านี้ เขาก็ได้ตระหนักว่าเขาได้ขาดพร่องอะไรไป  เขารู้สึกผิดอยู่เสมอจนถึงจุดที่น้ำตาไหลรินให้กับคำพูดของเขาที่ว่า “ครั้งหนึ่งข้าพระองค์รักพระบิดาในสวรรค์ แต่ข้าพระองค์ไม่เคยรักพระองค์เลย”  หลังการคืนพระชนม์และการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระเยซู เขารู้สึกผิดและตรอมใจยิ่งขึ้นไปอีกกับคำพูดเหล่านี้  เมื่อหวนนึกถึงงานในอดีตของเขาและวุฒิภาวะในปัจจุบันของเขา บ่อยครั้งที่เขาจะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเยซูในการอธิษฐาน รู้สึกอยู่เสมอว่าเสียใจและเป็นหนี้เนื่องมาจากการที่ไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าและการที่ไม่ดีพอที่จะไปถึงมาตรฐานของพระเจ้า  ประเด็นปัญหาเหล่านี้กลายเป็นภาระใหญ่ที่สุดของเขา  เขาพูดว่า “สักวันหนึ่งข้าพระองค์จะทุ่มเทอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพระองค์มีและทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพระองค์เป็นแด่พระองค์ และข้าพระองค์จะมอบอะไรก็ตามที่มีค่ามากที่สุดแด่พระองค์”  เขาพูดว่า “พระเจ้า!  ข้าพระองค์มีความเชื่อหนึ่งเดียวเท่านั้นและความรักหนึ่งเดียวเท่านั้น  ชีวิตของข้าพระองค์ไม่มีค่าอะไรเลย และร่างกายของข้าพระองค์ก็ไม่มีค่าอะไรเลย  ข้าพระองค์มีความเชื่อหนึ่งเดียวเท่านั้นและความรักหนึ่งเดียวเท่านั้น ข้าพระองค์มีความเชื่อในพระองค์ในจิตใจของข้าพระองค์และความรักสำหรับพระองค์ในหัวใจของข้าพระองค์ ข้าพระองค์มีเพียงสองสิ่งนี้เท่านั้นที่จะมอบแด่พระองค์ และไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว”  เปโตรได้รับการหนุนใจอย่างมากจากพระวจนะของพระเยซู เนื่องจากก่อนที่พระเยซูจะทรงถูกตรึงกางเขน พระองค์ได้ทรงบอกกับเปโตรว่า  “เราไม่ได้เป็นของพิภพนี้ และท่านก็ไม่ได้เป็นของพิภพนี้เช่นกัน”  ต่อมา เมื่อเปโตรเข้าถึงจุดที่เจ็บปวดยิ่งนัก พระเยซูทรงเตือนความจำเขาว่า  “เปโตร ท่านลืมแล้วหรือ?  เราไม่เป็นของโลก และเป็นเพราะงานของเราเท่านั้นเองที่เราได้จากไปก่อน  ท่านก็ไม่ได้เป็นของโลกเช่นกัน ท่านลืมไปแล้วจริงๆ หรือ?  เราได้บอกท่านแล้วถึงสองครั้ง ท่านจำไม่ได้หรือ?”  เมื่อได้ยินดังนี้ เปโตรจึงพูดว่า  “ข้าพระองค์ยังไม่ลืม!”  พระเยซูจึงได้ตรัสว่า  “ครั้งหนึ่งท่านได้ใช้เวลาอันมีความสุขอยู่ร่วมกับเราในสวรรค์และใช้ช่วงเวลาหนึ่งเคียงข้างเรา  ท่านคิดถึงเรา และเราก็คิดถึงท่าน  แม้ว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหลายไม่คู่ควรกับการเอ่ยถึงในสายตาของเรา แต่เราจะไม่รักผู้ที่ไร้ความผิดและควรค่าที่จะรักได้อย่างไรเล่า?  ท่านลืมสัญญาของเราแล้วหรือ?  ท่านจำต้องยอมรับบัญชาของเราบนแผ่นดินโลก ท่านจำต้องลุล่วงในกิจที่เราได้วางใจให้ท่านทำ  วันหนึ่งเราจะนำทางท่านให้มาอยู่เคียงข้างเราอย่างแน่นอน”  หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ เปโตรจึงยิ่งรู้สึกชูใจมากขึ้นไปอีกและได้รับแรงบันดาลใจยิ่งขึ้นไปอีก จนถึงขนาดที่เมื่อเขาอยู่บนกางเขน เขาสามารถพูดได้ว่า  “พระเจ้า!  ข้าพระองค์ไม่สามารถรักพระองค์ได้มากพอ!  ต่อให้พระองค์จะทรงขอให้ข้าพระองค์ตาย  ข้าพระองค์ก็ยังคงไม่สามารถรักพระองค์ได้มากพอ  ไม่ว่าพระองค์จะทรงส่งดวงจิตของข้าพระองค์ไปที่ใดก็ตาม ไม่ว่าพระองค์จะทรงลุล่วงพระสัญญาในอดีตของพระองค์หรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าพระองค์จะทรงทำอะไรก็ตามหลังจากนั้น ข้าพระองค์รักพระองค์และเชื่อในพระองค์”  สิ่งที่เขายึดถือนั้นคือความเชื่อของเขา และความรักที่แท้จริง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เปโตรได้มารู้จักพระเยซูได้อย่างไร

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 522

บัดนี้เจ้าควรเห็นได้อย่างชัดแจ้งถึงเส้นทางที่แท้จริงที่เปโตรเลือก  หากเจ้าสามารถเห็นเส้นทางของเปโตรได้อย่างชัดแจ้ง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมั่นใจได้ในเรื่องพระราชกิจที่กำลังได้รับการปฏิบัติอยู่ในวันนี้ ดังนั้นเจ้าจะไม่พร่ำบ่นหรือเฉยเมย หรือถวิลหาสิ่งใดๆ เลย  เจ้าควรได้รับประสบการณ์กับอารมณ์ของเปโตรในเวลานั้น กล่าวคือ เขาได้รับผลกระทบรุนแรงจากความโศกเศร้า  เขาไม่ได้ร้องขออนาคตหรือพรใดอีกต่อไป  เขาไม่ได้แสวงหาผลกำไร ความสุข ชื่อเสียง หรือโชควาสนาในโลก เขาเพียงแค่พยายามที่จะใช้ชีวิตที่เปี่ยมความหมายที่สุด ซึ่งก็คือการชดใช้คืนความรักของพระเจ้าและทุ่มเทอุทิศสิ่งที่เขาถือว่าล้ำค่ามากที่สุดแด่พระเจ้า  เช่นนั้นแล้วเขาจึงจะพึงพอใจในหัวใจของเขา  บ่อยครั้งที่เขาอธิษฐานต่อพระเยซูด้วยถ้อยคำที่ว่า “องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ครั้งหนึ่งข้าพระองค์เคยรักพระองค์ แต่ข้าพระองค์ไม่เคยรักพระองค์อย่างแท้จริง  แม้ว่าข้าพระองค์จะพูดว่าข้าพระองค์มีความเชื่อในพระองค์ แต่ข้าพระองค์ก็ไม่เคยรักพระองค์ด้วยหัวใจที่แท้จริง  ข้าพระองค์เพียงแค่นิยมบูชาพระองค์ ชื่นชมบูชาพระองค์ และคิดถึงพระองค์ แต่ข้าพระองค์ไม่เคยรักพระองค์และไม่เคยมีความเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง”  เขาอธิษฐานอยู่เนืองนิตย์ที่จะตั้งปณิธานของเขา และเขาได้รับการหนุนใจจากพระวจนะของพระเยซูและได้รับแรงจูงใจจากพระวนจะเหล่านี้อยู่เสมอ  ต่อมา หลังผ่านประสบการณ์ไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง พระเยซูได้ทรงทดสอบเขา ทรงยั่วยุให้เขาโหยหาพระองค์ยิ่งขึ้นไปอีก  เขาพูดว่า “องค์พระเยซูคริสต์เจ้า!  ข้าพระองค์ช่างคิดถึงพระองค์และถวิลหาที่จะเฝ้ามองพระองค์อะไรเช่นนี้  ข้าพระองค์ยังขาดพร่องอยู่มากเกินไป และไม่สามารถชดเชยความรักของพระองค์ได้  ข้าพระองค์ขอร้องให้พระองค์ทรงนำตัวข้าพระองค์ไปโดยเร็ว  เมื่อไรพระองค์จะทรงมีความต้องการในตัวข้าพระองค์หรือ?  เมื่อไรพระองค์จะทรงนำตัวข้าพระองค์ไป?  เมื่อไรข้าพระองค์จะได้เฝ้ามองพระพักตร์ของพระองค์อีกครั้ง?  ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปในร่างกายนี้ เพื่อกลายเป็นถูกทำให้เสื่อมทรามต่อไป อีกทั้งข้าพระองค์ไม่ปรารถนาที่จะกบฏมากไปกว่านี้อีก  ข้าพระองค์พร้อมแล้วที่จะทุ่มเทอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพระองค์มีแด่พระองค์ทันทีที่ข้าพระองค์ทำได้ และข้าพระองค์ไม่ปรารถนาที่จะทำให้พระองค์เสียพระทัยมากไปกว่านี้อีก”  นี่คือวิธีที่เขาอธิษฐาน แต่ในเวลานั้นเขาไม่ได้รู้ว่าพระเยซูจะทรงทำให้สิ่งใดในตัวเขามีความเพียบพร้อม  ในช่วงระหว่างความร้าวรานจากการทดสอบของเขา พระเยซูได้ทรงปรากฏต่อเขาอีกครั้งแล้วตรัสว่า “เปโตร เราปรารถนาที่จะทำให้ท่านมีความเพียบพร้อม เพื่อที่ท่านจะได้กลายเป็นชิ้นผลไม้ ชิ้นผลไม้ที่เป็นการตกผลึกของการทำให้ท่านมีความเพียบพร้อมของเรา และซึ่งเราจะชื่นชม  ท่านสามารถให้คำพยานกับเราอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  ท่านได้ทำสิ่งที่เราขอให้ท่านทำหรือยัง?  ท่านได้ใช้ชีวิตตามวจนะที่เราได้พูดไว้หรือยัง?  ครั้งหนึ่งท่านได้รักเรา แต่แม้ว่าท่านได้รักเรา ท่านได้ใช้ชีวิตตามเราหรือไม่?  สิ่งใดหรือที่ท่านได้ทำไปเพื่อเรา?  ท่านระลึกรู้ว่าท่านไม่คู่ควรกับความรักของเรา แต่ท่านได้ทำสิ่งใดไปเพื่อเราหรือ?”  เปโตรได้เห็นว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อพระเยซูเลยและจดจำได้ถึงคำปฏิญาณก่อนหน้านั้นของเขาที่จะมอบชีวิตของเขาแด่พระเจ้า  และดังนั้น เขาจึงไม่ปริปากบ่นอีกต่อไป และคำอธิษฐานของเขานับแต่นั้นก็ดีขึ้นมาก  เขาอธิษฐานด้วยการพูดว่า “องค์พระเยซูคริสต์เจ้า!  ครั้งหนึ่งข้าพระองค์ได้ทิ้งพระองค์ไป และครั้งหนึ่งพระองค์ก็ได้ทรงทิ้งข้าพระองค์ไปเช่นกัน  พวกเราได้ใช้เวลาโดยแยกห่างจากกัน และได้ร่วมใช้เวลาอยู่ด้วยกัน  กระนั้นพระองค์ก็ทรงรักข้าพระองค์ยิ่งกว่าอื่นใดทั้งสิ้น  ข้าพระองค์ได้เป็นกบฏต่อพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและได้ทำให้พระองค์ตรอมพระทัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ข้าพระองค์จะสามารถลืมเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า?  ข้าพระองค์จำใส่ใจและไม่เคยลืมพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติแล้วกับข้าพระองค์และสิ่งที่พระองค์ได้ไว้วางพระทัยมอบหมายต่อข้าพระองค์เสมอมา  ข้าพระองค์ได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพระองค์สามารถทำได้สำหรับพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติแล้วกับข้าพระองค์  พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์สามารถทำอะไรได้ และพระองค์ทรงทราบยิ่งไปกว่านั้นว่าข้าพระองค์สามารถเล่นบทบาทใดได้  ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ และข้าพระองค์จะทุ่มเทอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพระองค์มีแด่พระองค์  พระองค์เท่านั้นที่ทรงทราบว่าข้าพระองค์สามารถทำอะไรเพื่อพระองค์ได้  แม้ว่าซาตานได้หลอกข้าพระองค์มากมายและข้าพระองค์ก็ได้กบฏต่อพระองค์ แต่ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ไม่ทรงจดจำข้าพระองค์เพราะการล่วงละเมิดเหล่านั้น และเชื่อว่าพระองค์ไม่ทรงปฏิบัติต่อข้าพระองค์บนพื้นฐานของการล่วงละเมิดเหล่านั้น  ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะทุ่มเทอุทิศทั้งชีวิตของข้าพระองค์แด่พระองค์  ข้าพระองค์ไม่ขออะไร และข้าพระองค์ก็ไม่มีความหวังหรือแผนอื่นใด ข้าพระองค์ปรารถนาเพียงแค่ได้ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของพระองค์และทำตามน้ำพระทัยของพระองค์เท่านั้น  ข้าพระองค์จะดื่มจากถ้วยที่มีรสขมของพระองค์ และข้าพระองค์จะเป็นของพระองค์ตามที่จะทรงบัญชา”

พวกเจ้าจำต้องชัดแจ้งเกี่ยวกับเส้นทางที่พวกเจ้าเดิน พวกเจ้าจำต้องชัดแจ้งเกี่ยวกับเส้นทางที่พวกเจ้าจะใช้ในอนาคต อะไรคือสิ่งที่พระเจ้าจะทรงทำให้มีความเพียบพร้อม และอะไรคือสิ่งที่ได้รับความไว้วางใจในตัวพวกเจ้า  วันหนึ่ง บางที พวกเจ้าอาจจะได้รับการทดสอบ และเมื่อเวลานั้นมาถึง หากพวกเจ้าสามารถได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ของเปโตร นั่นจะแสดงให้เห็นว่าพวกเจ้ากำลังเดินบนเส้นทางของเปโตรอย่างแท้จริง  เปโตรได้รับการชมเชยจากพระเจ้าสำหรับความเชื่อและความรักที่แท้จริงของเขาและจากความจงรักภักดีแด่พระเจ้าของเขา  และเป็นเพราะความซื่อสัตย์และความถวิลหาพระเจ้าในหัวใจของเขานั่นเอง พระเจ้าจึงทรงทำให้เขามีความเพียบพร้อม  หากเจ้ามีความรักและความเชื่อเช่นเดียวกับเปโตรอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วพระเยซูย่อมจะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมอย่างแน่นอน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เปโตรได้มารู้จักพระเยซูได้อย่างไร

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 523

ตอนที่เปโตรกำลังได้รับการตีสอนจากพระเจ้า  เขาได้อธิษฐานไปว่า “โอพระเจ้า!  เนื้อหนังของข้าพระองค์ไม่เชื่อฟัง และพระองค์ทรงตีสอนข้าพระองค์ และพิพากษาข้าพระองค์  ข้าพระองค์ชื่นบานในการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ และในการพิพากษาของพระองค์ ข้าพระองค์มองเห็นพระอุปนิสัยอันพิสุทธิ์และชอบธรรมของพระองค์ ต่อให้พระองค์มิทรงต้องประสงค์ในตัวข้าพระองค์ก็ตาม  ยามที่พระองค์ทรงพิพากษาข้าพระองค์เพื่อที่ผู้อื่นอาจมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ในการพิพากษาของพระองค์ ข้าพระองค์รู้สึกพอใจ  หากมันสามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระองค์และเปิดโอกาสให้สิ่งทรงสร้างทั้งมวลมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ และหากมันสามารถทำให้ความรักที่ข้าพระองค์มีต่อพระองค์นั้นบริสุทธิ์มากขึ้นจนข้าพระองค์สามารถบรรลุสภาพเสมือนของผู้ที่ชอบธรรมได้  เช่นนั้นแล้ว การพิพากษาของพระองค์นั้นช่างดีงาม เพราะนั่นคือน้ำพระทัยอันเปี่ยมพระคุณของพระองค์  ข้าพระองค์รู้ว่า ยังมีอีกมากในตัวข้าพระองค์ที่เป็นกบฏ และรู้ว่าข้าพระองค์ยังคงไม่เหมาะสมที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์  ข้าพระองค์ปรารถนาให้พระองค์ทรงพิพากษาข้าพระองค์มากกว่านี้ด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะโดยผ่านทางสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรหรือความทุกข์ลำบากใหญ่หลวงก็ตาม ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงทำอะไร สำหรับข้าพระองค์แล้วมันล้ำค่านัก  ความรักของพระองค์นั้นลุ่มลึกยิ่งนัก และข้าพระองค์เต็มใจที่จะวางตัวข้าพระองค์ไว้ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระองค์โดยไม่มีการร้องทุกข์แม้สักนิด” นี่คือความรู้ของเปโตรหลังจากที่เขาได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และคือคำพยานต่อความรักที่เขามีให้กับพระเจ้าด้วยเช่นกัน  มาวันนี้ พวกเจ้าได้ถูกพิชิตแล้ว—ว่าแต่ว่า การพิชิตชัยครั้งนี้ได้รับการแสดงออกในตัวเจ้าอย่างไรหรือ?  ผู้คนบางคนพูดว่า “การพิชิตข้าพระองค์เป็นพระคุณอันสูงสุดและเป็นการยกพระเจ้าขึ้นสูง  เฉพาะในตอนนี้เท่านั้นที่ข้าพระองค์ตระหนักว่า ชีวิตของมนุษย์นั้นช่างกลวงเปล่าและปราศจากนัยสำคัญ  มนุษย์ใช้ชีวิตหมดไปกับการสาละวนเร่งร้อน การผลิตและการฟูมฟักลูกหลานรุ่นแล้วรุ่นเล่า และในท้ายที่สุดก็ไม่เหลืออะไรเลย  มาวันนี้ เพียงหลังจากการถูกพระเจ้าพิชิตแล้วเท่านั้นที่ข้าพระองค์ได้เห็นว่า การใช้ชีวิตในหนทางนี้หามีคุณค่าอันใดไม่ มันเป็นชีวิตที่ไร้ความหมายจริงๆ  ข้าพระองค์อาจจะตายและจบสิ้นไปกับมันด้วยซ้ำไป!”  ผู้คนเช่นนั้นซึ่งได้ถูกพิชิตโดยพระเจ้าจะสามารถได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?  พวกเขาสามารถกลายมาเป็นวัตถุตัวอย่างหรือแบบอย่างได้หรือ?  ผู้คนเช่นนั้นเป็นบทเรียนหนึ่งของความนิ่งเฉย พวกเขาไม่มีความทะเยอทะยานและไม่เพียรพยายามที่จะปรับปรุงตัวเอง แม้พวกเขานับว่าได้ถูกพิชิตแล้ว ผู้คนที่เอาแต่นิ่งเฉยเช่นนั้นไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้  จนใกล้ถึงบทอวสานของชีวิตเขา หลังจากที่เขาได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วนั่นเองที่เปโตรกล่าวไว้ว่า “โอ พระเจ้า!  หากข้าพระองค์จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักสองสามปี ข้าพระองค์คงจะปรารถนาให้สัมฤทธิ์ความรักพระองค์ที่บริสุทธิ์กว่าและลึกซึ้งกว่านี้” เมื่อตอนที่เขากำลังจะถูกตอกตรึงกับกางเขน ในหัวใจของเขาได้อธิษฐานว่า “โอ พระเจ้า!  ณ บัดนี้ เวลาของพระองค์ได้มาถึงแล้ว เวลาที่พระองค์ทรงตระเตรียมไว้ให้ข้าพระองค์ได้มาถึงแล้ว  ข้าพระองค์จักต้องถูกตรึงกางเขนเพื่อพระองค์  ข้าพระองค์จักต้องเป็นคำพยานนี้ต่อพระองค์ และข้าพระองค์หวังว่า ความรักของข้าพระองค์จะสามารถสนองข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระองค์ และหวังว่าความรักของข้าพระองค์จะกลายเป็นบริสุทธิ์ขึ้นกว่าเดิมได้  วันนี้เป็นวันที่ข้าพระองค์รู้สึกชูใจและมั่นใจที่จะสามารถตายเพื่อพระองค์และถูกตอกตรึงกับกางเขนเพื่อพระองค์ เพราะไม่มีสิ่งใดที่สมใจข้าพระองค์มากไปกว่าการสามารถถูกตรึงกางเขนเพื่อพระองค์ และสนองความปรารถนาทั้งหลายของพระองค์ และสามารถถวายตัวข้าพระองค์แด่พระองค์ ถวายชีวิตข้าพระองค์แด่พระองค์  โอ พระเจ้า!  พระองค์ทรงดีงามยิ่งนัก!  หากพระองค์จะทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ ข้าพระองค์คงจะยิ่งเต็มใจที่จะรักพระองค์มากขึ้น  ตราบที่ข้าพระองค์ยังมีชีวิต ข้าพระองค์จะรักพระองค์  ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะรักพระองค์อย่างลึกซึ้งมากขึ้น  พระองค์ทรงพิพากษาข้าพระองค์ และตีสอนข้าพระองค์ และทดสอบข้าพระองค์ ก็เพราะข้าพระองค์ไม่ชอบธรรม เพราะข้าพระองค์ได้ทำบาปลงไป  และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์กลายเป็นที่ประจักษ์ชัดขึ้นต่อข้าพระองค์  นี่คือพรอย่างหนึ่งสำหรับข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์สามารถรักพระองค์ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น และข้าพระองค์เต็มใจที่จะรักพระองค์ในหนทางนี้ต่อให้พระองค์ไม่ทรงรักข้าพระองค์ก็ตาม  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะมองดูพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ เพราะนี่ทำให้ข้าพระองค์สามารถมีชีวิตที่มีความหมายมากขึ้น  ข้าพระองค์รู้สึกว่าชีวิตข้าพระองค์ในตอนนี้เปี่ยมความหมายมากขึ้น เพราะข้าพระองค์ถูกตรึงกางเขนเพื่อประโยชน์ของพระองค์ และการตายเพื่อพระองค์นั้นเป็นสิ่งที่เปี่ยมความหมาย  กระนั้นข้าพระองค์ก็ยังคงไม่รู้สึกพึงพอใจ เพราะข้าพระองค์รู้จักพระองค์น้อยเกินไป ข้าพระองค์รู้ว่า ข้าพระองค์ไม่สามารถทำให้ความปรารถนาของพระองค์นั้นลุล่วงโดยครบบริบูรณ์ และได้ตอบแทนพระองค์น้อยนิดเกินไป  ในชีวิตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไร้ความสามารถที่จะคืนทั้งหมดทั้งมวลของข้าพระองค์ให้กับพระองค์ ข้าพระองค์ยังห่างไกลนักในเรื่องนี้  ณ ชั่วขณะนี้ที่ข้าพระองค์มองย้อนกลับไป ข้าพระองค์รู้สึกเป็นหนี้พระองค์มากเหลือเกิน และข้าพระองค์มีเพียงชั่วขณะนี้เท่านั้นที่จะชดเชยความผิดพลาดทั้งหมดของข้าพระองค์และความรักทั้งหมดที่ข้าพระองค์ยังไม่ได้ถวายตอบแทนพระองค์เลย”

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 524

มนุษย์ต้องไล่ตามเสาะหาที่จะดำเนินชีวิตซึ่งมีความหมาย และไม่ควรพึงพอใจกับรูปการณ์แวดล้อม ณ ปัจจุบันของเขา  ในการดำเนินชีวิตตามภาพลักษณ์ของเปโตร เขาต้องครองความรู้และประสบการณ์ของเปโตร  มนุษย์ต้องไล่ตามเสาะหาสิ่งทั้งหลายที่สูงส่งกว่าและลุ่มลึกกว่า  เขาต้องไล่ตามเสาะหาการรักพระเจ้าที่บริสุทธิ์ขึ้นและลึกซึ้งขึ้น และเสาะหาชีวิตที่มีคุณค่าและความหมาย  นี่เท่านั้นที่เป็นชีวิต กล่าวคือ เมื่อนั้นเท่านั้นที่มนุษย์จะเป็นดั่งเปโตร  เจ้าจะต้องมุ่งเน้นการเป็นฝ่ายรุกในการเข้าสู่ในทางบวกของเจ้า และต้องไม่ยอมให้ตัวเองล่าถอยอย่างยอมจำนนเพื่อเห็นแก่ความสบายชั่วครู่ชั่วยาม พลางเพิกเฉยต่อความจริงทั้งหลายซึ่งลุ่มลึกกว่า เฉพาะเจาะจงกว่า และสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่า  ความรักของเจ้าต้องสัมพันธ์กับชีวิตจริง และเจ้าต้องหาหนทางต่างๆ ที่จะปลดปล่อยตัวเองจากชีวิตอันต่ำทรามและไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใดนี้ซึ่งไม่ต่างอะไรจากชีวิตของสัตว์ตัวหนึ่ง  เจ้าต้องใช้ชีวิตที่มีความหมาย ชีวิตที่มีคุณค่า และเจ้าต้องไม่หลอกตัวเองหรือปฏิบัติต่อตนเองเสมือนเป็นของเล่นชิ้นหนึ่งที่เอาไว้เล่นด้วย  สำหรับทุกคนซึ่งทะเยอทะยานที่จะรักพระเจ้านั้น ไม่มีความจริงที่ไม่อาจได้มา และไม่มีความยุติธรรมที่พวกเขาไม่อาจตั้งมั่นเพื่อมันได้  เจ้าควรใช้ชีวิตของเจ้าอย่างไรหรือ?  เจ้าควรรักพระเจ้าและใช้ความรักนี้สนองข้อพึงปรารถนาของพระองค์อย่างไร?  ไม่มีเรื่องใดในชีวิตเจ้าที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว  เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าต้องมีความทะเยอทะยานและความมานะบากบั่น และไม่ควรเป็นดั่งพวกที่ใจเสาะ พวกที่ปวกเปียกอ่อนแอ  เจ้าต้องเรียนรู้วิธีที่จะได้รับประสบการณ์กับชีวิตซึ่งเปี่ยมความหมายและได้รับประสบการณ์กับความจริงอันเปี่ยมความหมาย และไม่ควรปฏิบัติต่อตัวเจ้าเองอย่างขอไปทีแบบนั้น  เมื่อเจ้าไม่ตระหนักถึงมัน ชีวิตเจ้าก็จะผ่านเจ้าไปโดยเจ้าไม่ทันไหวตัว หลังจากนั้น เจ้าจะมีโอกาสที่จะได้รักพระเจ้าอีกครั้งหรือ?  มนุษย์สามารถรักพระเจ้าได้หรือ หลังจากที่เขาได้ตายไปแล้ว?  เจ้าจักต้องมีความทะเยอทะยานและมโนธรรมดุจดังเปโตร ชีวิตเจ้าจะต้องเปี่ยมความหมาย  และเจ้าต้องไม่เล่นเกมกับตัวเจ้าเอง  ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และในฐานะบุคคลซึ่งเสาะหาพระเจ้า เจ้าต้องสามารถพิจารณาอย่างรอบคอบว่าเจ้าควรปฏิบัติต่อชีวิตของเจ้าอย่างไร เจ้าควรถวายตัวเจ้าเองต่อพระเจ้าอย่างไร เจ้าควรมีความเชื่อที่เปี่ยมความหมายยิ่งขึ้นในพระเจ้าอย่างไร และด้วยความที่เจ้ารักพระเจ้า เจ้าควรรักพระองค์ในหนทางที่บริสุทธิ์มากขึ้น สวยงามมากขึ้น และดีงามมากขึ้นอย่างไร  วันนี้ เจ้าไม่สามารถเพียงรู้สึกพอใจกับวิธีที่เจ้าถูกพิชิตเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาเส้นทางที่เจ้าจะเดินในอนาคตด้วยเช่นกัน  เจ้าต้องมีความทะเยอทะยานและความกล้าที่จะถูกทำให้มีความเพียบพร้อม และไม่ควรคิดอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเจ้านั้นไร้ความสามารถ  ความจริงมีคนโปรดด้วยหรือ?  ความจริงสามารถจงใจไม่ยอมรับผู้คนได้หรือ?  หากเจ้าเสาะหาความจริง มันจะสามารถท่วมทับความคิดความรู้สึกในตัวเจ้าได้กระนั้นหรือ?  หากเจ้าตั้งมั่นในความยุติธรรมแล้วไซร้ มันจะซัดเจ้าร่วงลงไปอย่างนั้นหรือ?  หากมันเป็นความทะเยอทะยานที่แท้จริงของเจ้าที่จะเสาะหาชีวิตแล้วไซร้ ชีวิตสามารถหลบหลีกเจ้าได้หรือ?  หากเจ้าปราศจากความจริง นั่นหาใช่เพราะความจริงเพิกเฉยต่อเจ้าไม่ แต่เพราะเจ้าอยู่ห่างความจริงต่างหาก หากเจ้าไม่สามารถตั้งมั่นเพื่อความยุติธรรม นั่นหาใช่เพราะมีบางสิ่งผิดปกติกับความยุติธรรมไม่ แต่เพราะเจ้าเชื่อว่ามันไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริงทั้งหลาย  หากเจ้าไม่ได้รับชีวิตหลังจากการเสาะหามันมาเป็นเวลาหลายปี นั่นหาใช่เพราะชีวิตปราศจากมโนธรรมต่อเจ้าไม่ แต่เพราะเจ้าปราศจากมโนธรรมต่อชีวิต และได้ขับไสชีวิตให้จากไป หากเจ้ามีชีวิตในความสว่าง และไม่เคยสามารถได้รับความสว่าง นั่นหาใช่เพราะความสว่างไม่สามารถให้ความกระจ่างแก่เจ้าไม่ แต่เพราะเจ้าไม่ได้ใส่ใจการดำรงอยู่ของความสว่างต่างหาก และดังนั้น ความสว่างจึงได้จากเจ้าไปอย่างเงียบเชียบ  หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาแล้วไซร้ ย่อมพูดได้เพียงว่าเจ้าคือขยะอันไร้ค่า และไม่มีความกล้าในชีวิตเจ้าเลย และไม่มีจิตวิญญาณที่จะต้านทานกำลังบังคับของความมืดมิดเลย  เจ้าช่างอ่อนแอเกินไป!  เจ้าไม่สามารถหลีกหนีกำลังบังคับของซาตานที่ปิดล้อมเจ้าอยู่ และเจ้าเต็มใจที่จะดำเนินชีวิตซึ่งมั่นคงและปลอดภัยในแบบนี้และตายไปในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้น  สิ่งที่เจ้าควรสัมฤทธิ์ก็คือการเสาะหาของเจ้าเพื่อการได้รับการพิชิต นี่ต่างหากคือภาระหน้าที่ของเจ้า  หากเจ้าพอใจที่จะถูกพิชิตแล้วไซร้ เจ้าย่อมผลักไสการดำรงอยู่ของความสว่าง  เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น  นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ  เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ชีวิตครอบครัวอันสงบสุข และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วยาม  เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น  หากเจ้าดำเนินชีวิตที่ช่างหยาบช้าสามานย์เช่นนั้น และไม่เสาะหาวัตถุประสงค์ใดๆ เจ้าไม่ได้ทิ้งชีวิตไปอย่างสูญเปล่าหรอกหรือ?  เจ้าสามารถได้รับอะไรบ้างจากชีวิตเช่นนั้น?  เจ้าควรละทิ้งความชื่นชมยินดีทั้งหมดของเนื้อหนังเพื่อเห็นแก่ความจริงหนึ่งประการ และไม่ควรโยนความจริงทั้งหมดทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีเพียงเล็กน้อย ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตหรือศักดิ์ศรีเลย การดำรงอยู่ของพวกเขาช่างปราศจากความหมาย!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 525

พระเจ้าทรงตีสอนและพิพากษามนุษย์เพราะเป็นข้อพึงประสงค์ตามพระราชกิจของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น เพราะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์  มนุษย์จำเป็นต้องถูกตีสอนและพิพากษา และเมื่อถึงตอนนั้นแล้วเท่านั้น เขาจึงสามารถสัมฤทธิ์การรักพระเจ้า  วันนี้ พวกเจ้าได้รับการทำให้เชื่อมั่นอย่างถึงที่สุด แต่พอเผชิญกับความพลาดพลั้งเพียงน้อยนิด เจ้าก็มีปัญหาเสียแล้ว วุฒิภาวะของเจ้ายังด้อยนัก และเจ้ายังคงจำเป็นที่จะต้องได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาเช่นนั้นมากขึ้น เพื่อสัมฤทธิ์ในความรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น  วันนี้ พวกเจ้าพอมีความเคารพต่อพระเจ้าอยู่บ้าง และพวกเจ้ายำเกรงพระเจ้า และพวกเจ้ารู้ว่าพระองค์คือพระเจ้าเที่ยงแท้ แต่พวกเจ้าไม่มีความรักอันยิ่งใหญ่ต่อพระองค์ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่า พวกเจ้าได้สัมฤทธิ์ในความรักอันบริสุทธิ์แล้ว ความรู้ของพวกเจ้านั้นผิวเผินเกินไป และวุฒิภาวะของพวกเจ้านั้นก็ยังคงไม่พอเพียง  เมื่อพวกเจ้าเผชิญกับสภาพแวดล้อมหนึ่งจริงๆ พวกเจ้าก็ยังคงไม่ได้เป็นพยาน การเข้าสู่ของพวกเจ้าที่เป็นไปในเชิงรุกนั้นน้อยเกินไป และพวกเจ้าไม่มีแนวคิดเลยว่าจะปฏิบัติอย่างไร  ผู้คนส่วนใหญ่นิ่งเฉยและเฉื่อยชา พวกเขาเพียงแอบรักพระเจ้าอย่างลับๆ ในหัวใจของพวกเขาเท่านั้น แต่ไม่มีหนทางของการปฏิบัติ ทั้งยังไม่ชัดเจนว่าอะไรคือเป้าหมายของพวกเขา  บรรดาผู้ซึ่งได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมไม่เพียงแต่ครองสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ แต่ยังครองความจริงซึ่งเกินล้ำเกณฑ์ประเมินทางมโนธรรม ความจริงซึ่งสูงส่งกว่ามาตรฐานของมโนธรรม พวกเขาไม่เพียงใช้มโนธรรมในการจ่ายคืนให้กับความรักของพระเจ้า แต่ที่มากกว่านั้นคือ พวกเขาได้รู้จักพระเจ้า และได้มองเห็นว่าพระเจ้าทรงน่ารักและมีค่าควรแก่ความรักของมนุษย์ และได้มองเห็นว่ามีมากมายเหลือเกินให้รักในพระเจ้า มนุษย์จึงอดไม่ได้ที่จะรักพระองค์!  ความรักที่มีต่อพระเจ้าของบรรดาผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วนั้น เป็นไปเพื่อทำให้ความทะเยอทะยานส่วนตัวของพวกเขาเองลุล่วง  ความรักของพวกเขาเป็นความรักที่เกิดขึ้นเอง ความรักซึ่งไม่ร้องขอสิ่งใดกลับคืนเลย และไม่ใช่การแลกเปลี่ยน  พวกเขารักพระเจ้าหาใช่เพราะอื่นใดเลยนอกจากความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระองค์  ผู้คนเช่นนั้นไม่สนใจว่าพระเจ้าประทานพระคุณให้แก่พวกเขาหรือไม่ และไม่พอใจกับสิ่งใดมากไปกว่าการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  พวกเขาไม่ต่อรองกับพระเจ้า ทั้งยังไม่ใช้มโนธรรมมาประเมินความรักที่พวกเขามีต่อพระเจ้าว่า “พระองค์ได้ทรงมอบให้ข้าพระองค์ ดังนั้นข้าพระองค์จึงรักพระองค์เป็นการตอบแทน หากพระองค์ไม่ทรงมอบให้ข้าพระองค์แล้วไซร้ ข้าพระองค์ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดให้พระองค์เป็นการตอบแทน” บรรดาผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมเชื่อเสมอว่า “พระเจ้าคือพระผู้สร้าง และพระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจในตัวพวกเรา  เพราะฉันมีโอกาสนี้ มีสภาพเงื่อนไข และมีคุณสมบัติในการที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม การไล่ตามเสาะหาของฉันจึงควรเป็นการดำเนินชีวิตที่มีความหมาย และฉันควรทำให้พระองค์พึงพอพระทัย” สิ่งที่เปโตรได้รับประสบการณ์ก็เป็นเช่นนี้แล นั่นคือ ในยามที่เขาอ่อนแอที่สุด เขาได้อธิษฐานต่อพระเจ้าและกล่าวว่า “โอ พระเจ้า!  ไม่ว่า ณ เวลาใดหรือแห่งหนใด พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์จำพระองค์ได้เสมอ  ไม่สำคัญว่า ณ เวลาใดหรือแห่งหนใด พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์ต้องการรักพระองค์ แต่วุฒิภาวะของข้าพระองค์นั้นด้อยเกินไป ข้าพระองค์อ่อนแอและไร้พลังอำนาจเกินไป ความรักของข้าพระองค์ถูกจำกัดเกินไป และความจริงใจของข้าพระองค์ที่มีต่อพระองค์นั้นน้อยนิดเกินไป  เมื่อเปรียบเทียบกับความรักของพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ก็แค่ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่ ข้าพระองค์ปรารถนาเพียงว่าชีวิตของข้าพระองค์นั้นไม่สูญเปล่า และปรารถนาว่าข้าพระองค์ไม่เพียงสามารถตอบแทนความรักของพระองค์ แต่ที่มากกว่านั้นก็คือ ปรารถนาว่าข้าพระองค์สามารถอุทิศทั้งหมดที่ข้าพระองค์มีให้กับพระองค์  หากข้าพระองค์สามารถทำให้พระองค์พึงพอพระทัยได้แล้วไซร้ ในฐานะของสิ่งทรงสร้าง ข้าพระองค์ก็ย่อมจะมีจิตใจที่สงบสุขและจะไม่ขออะไรอีกแล้ว  แม้ตอนนี้ข้าพระองค์อ่อนแอและไร้พลังอำนาจ ข้าพระองค์ก็จะไม่ลืมคำเตือนสติของพระองค์ และข้าพระองค์จะไม่ลืมความรักของพระองค์ ตอนนี้ข้าพระองค์ไม่ได้กำลังทำอะไรมากไปกว่าการตอบแทนความรักของพระองค์  โอ พระเจ้า ข้าพระองค์รู้สึกแย่เหลือเกิน!  ข้าพระองค์จะสามารถมอบความรักในหัวใจของข้าพระองค์ให้กับพระองค์ได้อย่างไร ข้าพระองค์จะสามารถทำทุกอย่างที่ทำได้ และสามารถที่จะทำให้ความปรารถนาทั้งหลายของพระองค์สมดังพระทัยได้อย่างไร และสามารถที่จะถวายทั้งหมดที่ข้าพระองค์มีแด่พระองค์ได้อย่างไร?  พระองค์ทรงรู้จักความอ่อนแอของมนุษย์ ข้าพระองค์จะสามารถมีค่าคู่ควรต่อความรักของพระองค์ได้อย่างไร?  โอ พระเจ้า!  พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์นี้ด้อยวุฒิภาวะ ทรงทราบว่าความรักของข้าพระองค์นั้นน้อยนิดเกินไป  ข้าพระองค์จะสามารถทำดีที่สุดเท่าที่ข้าพระองค์จะสามารถทำได้ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้อย่างไร?  ข้าพระองค์รู้ว่าข้าพระองค์ควรตอบแทนความรักของพระองค์ ข้าพระองค์รู้ว่าข้าพระองค์ควรมอบทั้งหมดที่ข้าพระองค์มีแด่พระองค์ แต่ในวันนี้ วุฒิภาวะของข้าพระองค์นั้นด้อยเกินไป  ข้าพระองค์ขอพระองค์ทรงมอบความแข็งแกร่งและความมั่นใจให้แก่ข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์จะสามารถครองความรักอันบริสุทธิ์ที่จะอุทิศแด่พระองค์ได้มากขึ้น และสามารถอุทิศทั้งหมดที่ข้าพระองค์มีแด่พระองค์ได้มากขึ้น ข้าพระองค์ไม่เพียงแต่จะสามารถตอบแทนความรักของพระองค์ได้เท่านั้น แต่ข้าพระองค์จะสามารถได้รับประสบการณ์กับการตีสอน การพิพากษา และการทดสอบทั้งหลายของพระองค์ และแม้กระทั่งการสาปแช่งที่รุนแรงกว่าเดิมได้มากขึ้น  พระองค์ได้ทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์มองดูความรักของพระองค์ และข้าพระองค์ก็ไม่สามารถที่จะไม่รักพระองค์ และแม้ว่าในวันนี้ ข้าพระองค์อ่อนแอและไร้พลังอำนาจ ข้าพระองค์จะสามารถลืมพระองค์ได้อย่างไร?  ความรัก การตีสอน และการพิพากษาของพระองค์ทั้งหมดล้วนเป็นเหตุให้ข้าพระองค์รู้จักพระองค์ กระนั้นข้าพระองค์ก็รู้สึกเช่นกันว่าไร้ความสามารถที่จะทำให้ความรักของพระองค์สำเร็จลุล่วง เพราะพระองค์นั้นทรงยิ่งใหญ่ยิ่งนัก ข้าพระองค์จะสามารถอุทิศทั้งหมดที่ข้าพระองค์มีให้แก่พระผู้สร้างได้อย่างไร?”  เช่นนั้นคือคำร้องขอของเปโตร ทว่าวุฒิภาวะของเขานั้นไม่พอเพียงเกินไป  ณ ชั่วขณะนี้ เขารู้สึกราวกับมีดเล่มหนึ่งกำลังบิดควงอยู่ในหัวใจของเขา  เขาอยู่ในความเจ็บปวดรวดร้าว เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรภายใต้สภาพเงื่อนไขเช่นนั้น  กระนั้นเขายังคงอธิษฐานต่อไปว่า “โอ พระเจ้า!  มนุษย์อยู่ในวุฒิภาวะที่เป็นเด็ก มโนธรรมของเขานั้นอ่อนพลัง และสิ่งเดียวเท่านั้นที่ข้าพระองค์สามารถสัมฤทธิ์ได้ก็คือการตอบแทนความรักของพระองค์  วันนี้ ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะทำให้สมดังที่พระองค์ทรงพึงปรารถนาอย่างไร และข้าพระองค์เพียงปรารถนาที่จะทำทั้งหมดเท่าที่ข้าพระองค์สามารถทำได้ มอบทั้งหมดที่ข้าพระองค์มี และอุทิศทั้งหมดที่ข้าพระองค์มีให้กับพระองค์  โดยไม่คำนึงถึงการพิพากษาของพระองค์ โดยไม่คำนึงถึงการตีสอนของพระองค์ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่พระองค์ประทานให้ข้าพระองค์ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่พระองค์ทรงพรากไปจากข้าพระองค์ ได้โปรดทำให้ข้าพระองค์ปราศจากการร้องทุกข์ต่อพระองค์แม้เพียงน้อยนิด  หลายคราวที่พระองค์ได้ทรงตีสอนข้าพระองค์และพิพากษาข้าพระองค์ ข้าพระองค์พร่ำบ่นกับตัวเอง และไร้ความสามารถที่จะสัมฤทธิ์ความบริสุทธิ์ หรือสัมฤทธิ์การทำให้พระองค์สมพระทัยในความปรารถนาทั้งหลาย  การที่ข้าพระองค์จะตอบแทนความรักของพระองค์นั้นกำเนิดออกมาจากแรงผลักดันทางใจ และ ณ ชั่วขณะนี้ ข้าพระองค์ยิ่งเกลียดชังตัวเองมากกว่าเดิม” เป็นเพราะเปโตรได้แสวงหาการรักพระเจ้าที่บริสุทธิ์ขึ้นนั่นเอง เขาจึงได้อธิษฐานในหนทางนี้  เขากำลังแสวงหา และกำลังอ้อนวอน และยิ่งไปกว่านั้น เขากำลังกล่าวฟ้องตัวเอง และกำลังสารภาพบาปของเขาต่อพระเจ้า  เขารู้สึกเป็นหนี้พระเจ้า และรู้สึกถึงความเกลียดชังที่มีต่อตัวเขาเอง ทว่าเขาก็ยังค่อนข้างโศกเศร้าและนิ่งเฉยอยู่เช่นกัน  เขารู้สึกเช่นนั้นเสมอ ราวกับว่าเขาไม่ดีพอสำหรับความปรารถนาของพระเจ้า และไม่สามารถที่จะทำเต็มความสามารถของเขาได้  ภายใต้สภาพเงื่อนไขเช่นนั้น เปโตรยังคงไล่ตามเสาะหาความเชื่อของโยบ  เขาได้เห็นว่าความเชื่อของโยบเคยยิ่งใหญ่เพียงใด เพราะโยบได้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีนั้นได้รับการประทานจากพระเจ้า และเป็นธรรมดาที่พระเจ้าจะทรงพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขา ได้เห็นว่าพระเจ้าจะทรงมอบให้แก่ใครก็ได้ตามที่พระองค์ทรงปรารถนา—เช่นนั้นเองที่เป็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  โยบไม่เคยร้องทุกข์และยังคงสามารถสรรเสริญพระเจ้าได้  เปโตรรู้จักตัวเองเช่นกัน และในหัวใจของเขาจึงอธิษฐานว่า “ในวันนี้ ข้าพระองค์ไม่ควรพอใจกับการตอบแทนความรักของพระองค์ด้วยการใช้มโนธรรมของข้าพระองค์และด้วยความรักมากมายเพียงใดก็ตามที่ข้าพระองค์ให้คืนแด่พระองค์ เพราะความคิดของข้าพระองค์นั้นเสื่อมทรามเกินไป และเพราะข้าพระองค์ไร้ความสามารถที่จะมองพระองค์ในฐานะของพระผู้สร้าง  เนื่องจากข้าพระองค์ยังคงไม่เหมาะสมที่จะรักพระองค์ ข้าพระองค์ต้องบ่มเพาะความสามารถในการที่จะอุทิศทั้งหมดที่ข้าพระองค์มีให้แก่พระองค์ ซึ่งข้าพระองค์จะทำอย่างเต็มใจ  ข้าพระองค์ต้องรู้ในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำมาทั้งหมดและไม่มีทางเลือก และข้าพระองค์ต้องมองดูความรักของพระองค์ และสามารถกล่าวคำสรรเสริญพระองค์และเชิดชูพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ เพื่อที่พระองค์อาจได้รับพระสิริอันยิ่งใหญ่โดยผ่านทางข้าพระองค์  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะตั้งมั่นในคำพยานนี้ต่อพระองค์  โอ พระเจ้า!  ความรักของพระองค์นั้นช่างล้ำค่าและงดงามยิ่งนัก!  ข้าพระองค์จะสามารถปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ในเงื้อมมือของมารร้ายได้อย่างไร?  พระองค์ไม่ได้ทรงสร้างข้าพระองค์ขึ้นมาหรอกหรือ?  ข้าพระองค์จะสามารถมีชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานได้อย่างไร?  ข้าพระองค์ย่อมจะเลือกให้ตัวตนทั้งหมดของข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ท่ามกลางการตีสอนของพระองค์เสียดีกว่า  ข้าพระองค์ไม่เต็มใจที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของมารร้าย  หากข้าพระองค์สามารถได้รับการทำให้บริสุทธิ์ และสามารถอุทิศทั้งหมดของข้าพระองค์แด่พระองค์แล้วไซร้ ข้าพระองค์ก็เต็มใจที่จะถวายร่างกายและจิตใจของข้าพระองค์ให้กับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ เพราะข้าพระองค์รังเกียจซาตาน และไม่เต็มใจที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของมัน  โดยผ่านทางการพิพากษาตัวข้าพระองค์ของพระองค์ พระองค์ทรงแสดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ออกมา ข้าพระองค์มีความสุขและไม่มีคำร้องทุกข์แม้แต่น้อยเลย  หากข้าพระองค์สามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งทรงสร้าง ข้าพระองค์เต็มใจที่ทั้งชีวิตของข้าพระองค์ได้ร่วมเคียงไปกับการพิพากษาของพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์จะได้มารู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์และจะกำจัดอิทธิพลของมารร้ายให้พ้นไปจากข้าพระองค์โดยผ่านทางการพิพากษานี้” เปโตรได้อธิษฐานเช่นนั้นเสมอ ได้แสวงหาเช่นนั้นเสมอ และเขาจึงได้ไปถึงอาณาจักรซึ่งเมื่อเปรียบเทียบไปแล้วก็ค่อนข้างสูงส่ง  เขาไม่เพียงสามารถตอบแทนความรักของพระเจ้าได้เท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ เขายังสามารถทำให้หน้าที่ของตัวเองในฐานะสิ่งทรงสร้างลุล่วงได้อีกด้วย  ไม่เพียงแค่เขาไม่ได้ถูกมโนธรรมของตัวเขาเองทำให้รู้สึกผิดเท่านั้น แต่เขายังสามารถก้าวข้ามมาตรฐานของมโนธรรมอีกด้วย  คำอธิษฐานของเขาได้ดำเนินสืบเนื่องจนขึ้นไปถึงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า จนกระทั่งความมุ่งมาดปรารถนาของเขายิ่งสูงส่งขึ้นทุกที และความรักที่เขามีต่อพระเจ้าก็ยิ่งใหญ่ขึ้นตลอดเวลา  แม้เขาได้ทนทุกข์กับความเจ็บปวดอันรวดร้าว เขาก็ยังคงไม่ลืมที่จะรักพระเจ้า และยังคงพยายามที่จะบรรลุความสามารถที่จะเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า  ในคำอธิษฐานของเขา เขาได้เปล่งคำพูดต่อไปนี้ “ข้าพระองค์มิได้สำเร็จลุล่วงสิ่งใดมากไปกว่าการได้ตอบแทนความรักของพระองค์  ข้าพระองค์มิได้เป็นคำพยานต่อพระองค์ต่อหน้าซาตาน มิได้ปลดปล่อยตัวเองจากอิทธิพลของซาตาน และยังคงมีชีวิตอยู่ท่ามกลางเนื้อหนัง  ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะใช้ความรักของข้าพระองค์ทำให้ซาตานปราชัย ทำให้มันอับอาย และสนองข้อพึงปรารถนาของพระองค์ด้วยการนั้น  ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะมอบทั้งหมดทั้งสิ้นของข้าพระองค์ให้กับพระองค์ ไม่มอบแม้เพียงเศษเสี้ยวของตัวข้าพระองค์ให้กับซาตาน เพราะซาตานคือศัตรูของพระองค์” ยิ่งเขาแสวงหาไปในทิศทางนี้มากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งได้รับการขับเคลื่อนมากขึ้นเท่านั้น และความรู้ของเขาเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ก็สูงขึ้นเท่านั้น  โดยไม่ได้ตระหนักถึงมัน เขาได้มารู้ว่าเขาควรปลดปล่อยตัวเขาเองจากอิทธิพลของซาตาน และควรคืนตัวเองสู่พระเจ้าอย่างครบถ้วน  เช่นนั้นเองคืออาณาจักรที่เขาได้บรรลุไปถึง  เขากำลังก้าวข้ามอิทธิพลของซาตาน และกำลังกำจัดความยินดีและความชื่นชมในเนื้อหนังออกไปจากตัวเขาเอง และเต็มใจรับประสบการณ์ทั้งกับการตีสอนของพระเจ้าและการพิพากษาของพระองค์อย่างลุ่มลึกมากขึ้น  เขาได้พูดว่า “แม้ว่าข้าพระองค์จะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางการตีสอนของพระองค์ และท่ามกลางการพิพากษาของพระองค์ ไม่ว่าจะมีความยากลำบากพ่วงมาด้วยอย่างไร ข้าพระองค์ก็ยังคงไม่เต็มใจที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน ข้าพระองค์ยังคงไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์จากเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน  ข้าพระองค์รับเอาความชื่นบานจากการมีชีวิตอยู่ท่ามกลางการสาปแช่งของพระองค์ และเจ็บปวดจากการมีชีวิตอยู่ท่ามกลางพรของซาตาน  ข้าพระองค์รักพระองค์โดยการมีชีวิตอยู่ท่ามกลางการพิพากษาของพระองค์ และนี่นำพาความชื่นบานอันใหญ่หลวงมาสู่ข้าพระองค์  การตีสอนและการพิพากษาของพระองค์นั้นบริสุทธิ์และชอบธรรม มันเป็นไปเพื่อชำระข้าพระองค์ให้สะอาด และยิ่งไปกว่านั้นคือ มันเป็นไปเพื่อช่วยข้าพระองค์ให้รอด  ข้าพระองค์คงจะเลือกใช้ทั้งชีวิตของข้าพระองค์ให้หมดไปท่ามกลางการพิพากษาของพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์อาจอยู่ภายใต้การดูแลของพระองค์  ข้าพระองค์ไม่เต็มใจที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานแม้เพียงชั่วขณะเดียว ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะได้รับการชำระให้สะอาดโดยพระองค์ ต่อให้ข้าพระองค์ทุกข์ทนกับความยากลำบาก ข้าพระองค์ก็ไม่เต็มใจที่จะถูกซาตานฉวยประโยชน์และใช้เล่ห์เหลี่ยม  ข้าพระองค์ สิ่งทรงสร้างนี้ ควรถูกใช้โดยพระองค์ ถูกครองโดยพระองค์ ถูกพิพากษาโดยพระองค์ และถูกตีสอนโดยพระองค์  ข้าพระองค์ควรแม้กระทั่งถูกสาปแช่งโดยพระองค์  หัวใจของข้าพระองค์ชื่นบานเมื่อพระองค์เต็มพระทัยให้พรข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์ได้มองเห็นความรักของพระองค์แล้ว  พระองค์คือพระผู้สร้าง และข้าพระองค์เป็นสิ่งทรงสร้าง ข้าพระองค์ไม่ควรทรยศพระองค์และมีชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน ทั้งยังไม่ควรถูกซาตานฉวยประโยชน์  ข้าพระองค์ควรเป็นม้าหรือโคของพระองค์ แทนที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อซาตาน  ข้าพระองค์เลือกที่จะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางการตีสอนของพระองค์โดยปราศจากความผาสุกทางกาย และนี่จะนำความชื่นชมยินดีมาให้ข้าพระองค์ ต่อให้ข้าพระองค์ต้องสูญเสียพระคุณของพระองค์ไป  แม้พระคุณของพระองค์ไม่อยู่กับข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็ชื่นชมการถูกพระองค์ตีสอนและพิพากษา นี่เองคือการให้พรที่ดีที่สุดของพระองค์ พระคุณอันใหญ่หลวงที่สุดของพระองค์  แม้พระองค์ทรงเปี่ยมบารมีและทรงโกรธกริ้วข้าพระองค์เสมอ ข้าพระองค์ก็ยังคงไร้ความสามารถที่จะไปจากพระองค์ และยังคงไม่สามารถรักพระองค์ได้อย่างเพียงพอ ข้าพระองค์เลือกชอบที่จะดำรงชีพอยู่ในพระนิเวศของพระองค์ ข้าพระองค์เลือกชอบที่จะถูกสาปแช่ง ถูกตีสอน ถูกเฆี่ยนตีโดยพระองค์ และข้าพระองค์ไม่เต็มใจที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน ทั้งยังไม่เต็มใจที่จะให้ตัวข้าพระองค์สาละวนวุ่นวายและมีธุระยุ่งเพียงเพื่อเนื้อหนัง และยิ่งไม่เต็มใจเลยที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อเนื้อหนัง” ความรักของเปโตรเป็นความรักที่บริสุทธิ์  นี่คือประสบการณ์แห่งการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และนี่คืออาณาจักรสูงสุดแห่งการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ไม่มีชีวิตที่เปี่ยมความหมายกว่านี้อีกแล้ว  เขาได้ยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า เขาได้มองเห็นความล้ำค่าของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเปโตรจะล้ำค่ากว่านี้แล้ว  เขาได้พูดว่า “ซาตานให้ความชื่นชมยินดีทางวัตถุแก่ข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์มองไม่เห็นความล้ำค่าของพวกมัน  การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้ามาถึงข้าพระองค์อย่างไม่คาดฝัน—ข้าพระองค์ได้รับพระคุณในการนี้ ข้าพระองค์ได้พบกับความชื่นชมยินดีในการนี้ และข้าพระองค์ได้รับพระพรในการนี้  หากมิใช่เพราะการพิพากษาของพระเจ้าแล้วไซร้ ข้าพระองค์คงจะไม่มีวันรักพระเจ้า ข้าพระองค์คงจะยังมีชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน คงจะยังถูกมันควบคุมและสั่งการ  หากเป็นกรณีเช่นนั้น ข้าพระองค์คงจะไม่มีวันกลายมาเป็นมนุษย์ที่แท้จริง เพราะข้าพระองค์คงจะไร้ความสามารถที่จะทำให้พระองค์พึงพอพระทัย และคงจะไม่ได้อุทิศทั้งหมดทั้งสิ้นของข้าพระองค์ให้แก่พระเจ้า  แม้ว่าพระเจ้ามิได้ทรงอวยพรข้าพระองค์ ทิ้งให้ข้าพระองค์ปราศจากสิ่งชูใจภายในราวกับมีเพลิงกำลังเผาผลาญอยู่ภายในตัวข้าพระองค์ และปราศจากสันติสุขหรือความชื่นบาน และแม้ว่าการตีสอนและการบ่มวินัยของพระเจ้านั้นไม่เคยห่างไปจากตัวข้าพระองค์ แต่ในการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้านั้น ข้าพระองค์สามารถมองดูพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  ข้าพระองค์รับความปีติยินดีในการนี้ ไม่มีสิ่งใดในชีวิตที่มีคุณค่าหรือเปี่ยมความหมายกว่านี้อีกแล้ว  แม้พระอุปนิสัยและการดูแลของพระองค์ได้กลายมาเป็นการตีสอน การพิพากษา การสาปแช่ง และการเฆี่ยนตีอันไร้ปรานี ข้าพระองค์ยังคงมีความชื่นชมยินดีในสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถชำระข้าพระองค์ให้สะอาดและเปลี่ยนแปลงข้าพระองค์ได้ดีกว่า สามารถนำพาข้าพระองค์เข้าใกล้พระเจ้าได้มากกว่า สามารถทำให้ข้าพระองค์รักพระเจ้าได้มากขึ้น และสามารถทำให้ความรักที่ข้าพระองค์มีต่อพร  นี่ทำให้ข้าพระองค์สามารถลุล่วงหน้าที่ในฐานะสิ่งทรงสร้าง และพาข้าพระองค์ไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ห่างไกลจากอิทธิพลของซาตาน เพื่อที่ข้าพระองค์จะไม่รับใช้ซาตานอีกต่อไป  ครั้นข้าพระองค์ไม่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน และสามารถอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพระองค์มีและทั้งหมดที่ข้าพระองค์สามารถทำได้แด่พระเจ้า โดยไม่สะกดกลั้นสิ่งใดเอาไว้—นั่นคือคราที่ข้าพระองค์พึงพอใจอย่างเปี่ยมล้น  การตีสอนและการพิพากษาของพระองค์นี่เองที่ได้ช่วยข้าพระองค์ให้รอด และชีวิตข้าพระองค์นั้นมิอาจแยกจากการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าได้  ชีวิตข้าพระองค์บนแผ่นดินโลกอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน และหากไม่ใช่เพราะการดูแลและการคุ้มครองปกป้องแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าแล้วไซร้ ข้าพระองค์ก็คงจะมีชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานเสมอมา และยิ่งไปกว่านั้น ข้าพระองค์คงจะไม่เคยมีโอกาสหรือวิถีทางที่จะดำเนินชีวิตที่มีความหมาย  ข้าพระองค์จะสามารถได้รับการชำระให้สะอาดโดยพระเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไม่มีวันไปจากข้าพระองค์แล้วเท่านั้น  ด้วยพระวจนะอันกร้าวกระด้างและพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าเท่านั้น ข้าพระองค์จึงได้รับการคุ้มครองปกป้องอันสูงส่งที่สุดและได้มามีชีวิตอยู่ในความสว่าง และได้รับพระพรของพระเจ้า  การที่สามารถได้รับการชำระให้สะอาด และปลดปล่อยตัวข้าพระองค์เองจากซาตาน และมีชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าได้—นี่คือการได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้าพระองค์ในวันนี้” นี่คืออาณาจักรสูงสุดที่เปโตรได้ผ่านประสบการณ์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 526

มนุษย์มีชีวิตอยู่ท่ามกลางเนื้อหนัง ซึ่งก็หมายความว่าเขามีชีวิตอยู่ในนรกมนุษย์ และหากปราศจากการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า มนุษย์ย่อมมีความโสมมพอกันกับซาตาน  มนุษย์จะสามารถบริสุทธิ์ได้อย่างไร?  เปโตรเชื่อว่าการตีสอนและการพิพากษาโดยพระเจ้าเป็นการคุ้มครองปกป้องที่ดีที่สุดและพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์ได้รับ  มนุษย์จะสามารถตื่นขึ้นและเกลียดชังเนื้อหนัง เกลียดชังซาตานได้ โดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าเท่านั้น  การบ่มวินัยอันเคร่งครัดของพระเจ้าปลดปล่อยมนุษย์จากอิทธิพลของซาตาน ปลดปล่อยเขาจากโลกใบเล็กของเขาเอง และเปิดโอกาสให้เขามีชีวิตอยู่ในความสว่างแห่งพระพักตร์พระเจ้า  ไม่มีความรอดใดที่ดีไปกว่าการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าอีกแล้ว!  เปโตรได้อธิษฐานไปว่า “โอ พระเจ้า!  ตราบที่พระองค์ทรงตีสอนและพิพากษาข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะทราบว่าพระองค์หาได้ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ไม่  ต่อให้พระองค์ไม่ทรงมอบความชื่นบานหรือสันติสุขให้แก่ข้าพระองค์ และทรงทำให้ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ในความทุกข์ และทรงทำโทษข้าพระองค์ด้วยการสั่งสอนเกินคณานับ ตราบที่พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็ย่อมรู้สึกสบายใจ  ในวันนี้ การตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ได้กลายมาเป็นการคุ้มครองปกป้องที่ดีที่สุดและพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ข้าพระองค์ได้รับ  พระคุณที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพระองค์นั้นคุ้มครองปกป้องข้าพระองค์  พระคุณที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ในวันนี้ก็คือ การสำแดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ และคือการตีสอนและการพิพากษา ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการทดสอบ และที่มากกว่านั้น เป็นชีวิตแห่งความทุกข์” เปโตรสามารถละทิ้งความยินดีในเนื้อหนังและแสวงหาความรักที่ลึกซึ้งกว่าและการคุ้มครองปกป้องที่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะเขาได้รับพระคุณมากมายจากการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า ในชีวิตของเขา หากมนุษย์ปรารถนาที่จะได้รับการชำระให้สะอาดและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขา หากเขาปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตที่มีความหมายและทำหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งทรงสร้างให้ลุล่วงแล้วไซร้ เขาต้องยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า และต้องไม่ยอมให้การบ่มวินัยของพระเจ้าและการเฆี่ยนตีของพระเจ้าผละจากเขาไป เพื่อที่เขาอาจปลดปล่อยตนเองจากการหลอกใช้และอิทธิพลของซาตาน และมีชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้าได้  จงรู้ไว้ว่าการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่าง และแสงสว่างแห่งความรอดของมนุษย์ และรู้ว่าไม่มีการได้รับพรใด พระคุณใด หรือการคุ้มครองปกป้องใดที่ดีกว่านี้อีกแล้วสำหรับมนุษย์  มนุษย์มีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตาน และดำรงอยู่ในเนื้อหนัง หากเขาไม่ได้รับการชำระให้สะอาด และไม่ได้รับการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้าแล้วไซร้ มนุษย์ย่อมจะกลายเป็นเสื่อมลงทุกที  หากเขาปรารถนาที่จะรักพระเจ้าแล้วไซร้ เขาต้องได้รับการชำระให้สะอาดและได้รับการช่วยให้รอด  เปโตรได้อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า เมื่อพระองค์ทรงปฏิบัติต่อข้าพระองค์อย่างมีเมตตา ข้าพระองค์ปีติยินดีและรู้สึกชูใจ เมื่อพระองค์ทรงตีสอนข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยิ่งรู้สึกชูใจและชื่นบานยิ่งขึ้นไปอีก  แม้ว่าข้าพระองค์จะอ่อนแอ และทนฝ่าความทุกข์เกินพรรณนา แม้มีน้ำตาและความโศกเศร้า พระองค์ทรงทราบว่าความโศกเศร้านี้เป็นเพราะความไม่เชื่อฟังของข้าพระองค์ และเพราะความอ่อนแอของข้าพระองค์  ข้าพระองค์ร่ำไห้เพราะข้าพระองค์ไม่สามารถทำให้สมดังสิ่งที่พระองค์ทรงพึงปรารถนาได้ ข้าพระองค์รู้สึกโศกเศร้าและเสียใจเพราะข้าพระองค์ไม่ดีพอสำหรับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระองค์ แต่ข้าพระองค์ก็เต็มใจที่จะบรรลุมาถึงอาณาจักรนี้ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะทำทั้งหมดที่ข้าพระองค์ทำได้เพื่อให้พระองค์พึงพอพระทัย  การตีสอนของพระองค์ได้นำการคุ้มครองปกป้องมาสู่ข้าพระองค์ และได้ให้ความรอดที่ดีที่สุดแก่ข้าพระองค์ การพิพากษาของพระองค์เหนือกว่าความยอมผ่อนปรนและความอดทนของพระองค์ หากปราศจากการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ ข้าพระองค์คงจะไม่ได้ชื่นชมความปรานีและความรักมั่นคงของพระองค์  ในวันนี้ข้าพระองค์มองเห็นยิ่งขึ้นกว่าเดิมว่าความรักของพระองค์นั้นก้าวข้ามฟ้าสวรรค์และเลิศล้ำเหนือสิ่งอื่นทั้งมวล  ความรักของพระองค์ไม่ใช่เป็นแค่ความปรานีและความรักมั่นคง ที่ยิ่งมากไปกว่านั้นคือ เป็นการตีสอนและการพิพากษานั่นเอง  การตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ได้ให้ข้าพระองค์มามากมาย  เมื่อปราศจากการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ ไม่มีบุคคลใดแม้สักคนที่จะสามารถผ่านประสบการณ์กับความรักของพระผู้สร้าง  แม้ข้าพระองค์ได้ทนฝ่าการทดสอบและความทุกข์ลำบากมาหลายร้อยประการ  และถึงขั้นเกือบถึงแก่ความตาย สิ่งเหล่านั้นก็ได้เปิดโอกาสให้ข้าพระองค์รู้จักพระองค์อย่างแท้จริงและได้รับความรอดซึ่งสูงส่งที่สุด  หากการตีสอนและการพิพากษาและการบ่มวินัยของพระองค์กำลังจะผละจากข้าพระองค์ไปแล้วไซร้ ข้าพระองค์ย่อมจะมีชีวิตอยู่ในความมืด ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน  เนื้อหนังของมนุษย์นั้นมีประโยชน์อันใดเล่า?  หากการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์กำลังจะจากข้าพระองค์ไป นั่นคงจะเป็นประหนึ่งว่าพระวิญญาณของพระองค์ได้ทอดทิ้งข้าพระองค์ไปแล้ว ประหนึ่งว่าพระองค์มิได้ทรงอยู่กับข้าพระองค์อีกต่อไปแล้ว หากเป็นเช่นนั้น ข้าพระองค์จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร?  หากพระองค์ทรงมอบความเจ็บป่วยให้ข้าพระองค์และทรงนำอิสรภาพของข้าพระองค์ไป ข้าพระองค์สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่หากการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์กำลังจะจากข้าพระองค์ไปตลอดกาล ข้าพระองค์คงจะสิ้นหนทางที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป หากข้าพระองค์ได้อยู่มาโดยปราศจากการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ ข้าพระองค์คงจะได้สูญเสียความรักของพระองค์ไปแล้ว ความรักซึ่งลึกซึ้งสำหรับข้าพระองค์เกินกว่าที่จะกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้  เมื่อปราศจากความรักของพระองค์ ข้าพระองค์คงจะมีชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน และคงจะไม่สามารถมองเห็นพระพักตร์อันรุ่งโรจน์ของพระองค์ได้  ข้าพระองค์จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรเล่า?  ข้าพระองค์มิอาจทนฝ่าความมืดมิด ทนฝ่าชีวิตเช่นนั้นได้  การมีพระองค์อยู่กับข้าพระองค์นั้นเปรียบประดุจการได้มองเห็นพระองค์ แล้วข้าพระองค์จะสามารถไปจากพระองค์ได้อย่างไรเล่า?  ข้าพระองค์วอนขอพระองค์ ข้าพระองค์ขอพระองค์ว่าอย่าทรงนำสิ่งชูใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าพระองค์ไปจากข้าพระองค์เลย ต่อให้เป็นแค่พระวจนะแห่งการให้ความมั่นใจเพียงไม่กี่คำก็ตาม  ข้าพระองค์ได้ชื่นชมความรักของพระองค์ตลอดมา และในวันนี้ ข้าพระองค์ไม่สามารถที่จะไกลห่างจากพระองค์ได้ ข้าพระองค์จะไม่รักพระองค์ได้อย่างไรกัน?  ข้าพระองค์ได้หลั่งน้ำตาแห่งความโศกเศร้าก็เพราะความรักของพระองค์ ทว่าข้าพระองค์รู้สึกตลอดมาว่า ชีวิตเช่นนี้เปี่ยมความหมายกว่า สามารถพัฒนาข้าพระองค์ได้มากกว่า สามารถเปลี่ยนแปลงข้าพระองค์ได้มากกว่า และสามารถเปิดโอกาสให้ข้าพระองค์บรรลุความจริงซึ่งสิ่งทรงสร้างทั้งหลายควรครองได้มากกว่า”

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 527

การดำเนินชีวิตทั้งชีวิตของมนุษย์เป็นไปภายใต้แดนครอบครองของซาตาน และไม่มีแม้แต่บุคคลเดียวที่สามารถปลดปล่อยตัวเองจากอิทธิพลของซาตานได้ด้วยตัวพวกเขาเอง  ทั้งหมดล้วนมีชีวิตอยู่ในโลกอันโสมม ในความเสื่อมทรามและความว่างเปล่า ปราศจากความหมายหรือคุณค่าแม้เพียงน้อยนิด พวกเขาใช้ชีวิตที่ช่างอิสระไร้กังวลเยี่ยงนั้นเพื่อเนื้อหนัง เพื่อตัณหา และเพื่อซาตาน  การดำรงอยู่ของพวกเขาไม่มีคุณค่าแม้แต่น้อยนิดเลย  มนุษย์ไร้ความสามารถในการค้นหาความจริงซึ่งจะปลดปล่อยเขาจากอิทธิพลของซาตาน  แม้ว่ามนุษย์เชื่อในพระเจ้า และอ่านพระคัมภีร์ เขาก็หาได้เข้าใจไม่ ว่าจะปลดปล่อยตัวเขาเองจากการควบคุมของอิทธิพลของซาตานได้อย่างไร  ตลอดหลายยุคสมัย มีผู้คนน้อยมากที่ได้ค้นพบความลับนี้ มีน้อยมากที่ได้จับความเข้าใจเกี่ยวกับมัน  ครั้นเป็นเช่นนั้น แม้มนุษย์รังเกียจซาตานและรังเกียจเนื้อหนัง เขาก็ไม่รู้ว่าจะกำจัดอิทธิพลของซาตานที่กำลังวางกับดักอยู่ออกจากตัวเขาได้อย่างไร  ในวันนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้ายังคงอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานหรอกหรือ?  เจ้าไม่เสียใจในการกระทำอันไม่เชื่อฟังของเจ้า และนับประสาอะไรที่จะรู้สึกว่าตัวเจ้านั้นโสมมและไม่เชื่อฟัง  หลังการต่อต้านพระเจ้า เจ้าถึงกับรู้สึกมีสันติสุขในจิตใจและรู้สึกสงบอย่างใหญ่หลวง  ความสงบของเจ้านั้นมิใช่เพราะเจ้าเสื่อมทรามหรอกหรือ?  สันติสุขของจิตใจนี้มิได้มาจากการไม่เชื่อฟังของเจ้าหรอกหรือ?  มนุษย์มีชีวิตอยู่ในนรกมนุษย์ เขามีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลมืดของซาตาน ทั่วแผ่นดิน ผีทั้งหลายอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ รุกคืบไปบนเนื้อหนังของมนุษย์ บนแผ่นดินโลก เจ้าไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองบรมสุขเกษมอันงดงาม  สถานที่ที่เจ้าอยู่ก็คืออาณาจักรของมาร นรกมนุษย์แห่งหนึ่ง นรกขุมลึกแห่งหนึ่งนั่นเอง  หากมนุษย์ไม่ได้รับการชำระให้สะอาดแล้วไซร้ เขาย่อมเป็นสิ่งโสมม หากเขาไม่ได้รับการคุ้มครองปกป้องและดูแลโดยพระเจ้าแล้วไซร้ เขาย่อมยังคงเป็นเชลยของซาตาน หากเขาไม่ได้รับการพิพากษาและการตีสอนแล้วไซร้ เขาย่อมจะไม่มีวิถีทางที่จะหลีกหนีการกดขี่ของอิทธิพลมืดของซาตาน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าแสดงออกมาและพฤติกรรมอันไม่เชื่อฟังที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิตนั้นเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน  หากความคิดและจิตใจของเจ้ายังไม่ได้รับการชำระให้สะอาด และอุปนิสัยของเจ้ายังไม่ได้ถูกพิพากษาและตีสอนแล้วไซร้ ความเป็นอยู่ทั้งสิ้นของเจ้าก็ย่อมยังคงถูกควบคุมโดยแดนครอบครองของซาตาน จิตใจของเจ้าถูกควบคุมโดยซาตาน ความคิดของเจ้าถูกหลอกใช้โดยซาตาน และความเป็นอยู่ทั้งสิ้นของเจ้าถูกควบคุมด้วยเงื้อมมือของซาตาน  เจ้ารู้หรือไม่ว่า ตอนนี้เจ้าห่างไกลจากมาตรฐานของเปโตรเพียงใด?  เจ้ามีขีดความสามารถนั้นหรือไม่?  เจ้ารู้มากเพียงใดในเรื่องของการตีสอนและการพิพากษาของวันนี้?  เจ้ามีสิ่งที่เปโตรได้มารู้มากแค่ไหน?  หากในวันนี้เจ้าไม่สามารถรู้ได้ ในอนาคตเจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความรู้นี้ได้หรือไม่?  คนบางคนที่ขลาดและเกียจคร้านอย่างเจ้านั้นย่อมไม่สามารถรู้เรื่องการตีสอนและการพิพากษาเป็นธรรมดา  หากเจ้าไล่ตามเสาะหาสันติสุขของเนื้อหนัง และความยินดีของเนื้อหนังแล้วไซร้ เจ้าย่อมจะไม่มีวิถีทางที่จะได้รับการชำระให้สะอาด และในท้ายที่สุด เจ้าย่อมจะหวนคืนสู่ซาตาน เพราะสิ่งที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิตก็คือซาตาน และมันก็คือเนื้อหนังนั่นเอง  เท่าที่สิ่งทั้งหลายเป็นอยู่ในทุกวันนี้ ผู้คนมากมายไม่ไล่ตามเสาะหาชีวิต ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่ใส่ใจเกี่ยวกับการได้รับการชำระให้สะอาด หรือเกี่ยวกับการเข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตที่ลึกซึ้งกว่า  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้อย่างไร?  พวกที่ไม่เสาะหาชีวิตไม่มีโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  และพวกที่ไม่เสาะหาความรู้ในเรื่องของพระเจ้า ผู้ที่ไม่เสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขานั้น ไร้ความสามารถที่จะหลีกหนีอิทธิพลมืดของซาตาน  พวกเขาไม่จริงจังเกี่ยวกับความรู้ของพวกเขาในเรื่องของพระเจ้าและเกี่ยวกับการเข้าสู่ของพวกเขาในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา เหมือนกันไม่มีผิดกับพวกที่เชื่อในศาสนา ซึ่งแค่ทำไปตามพิธีกรรมและเข้าร่วมงานปรนนิบัติตามกิจวัตร  นั่นไม่ใช่การเสียเวลาไปเปล่าๆ หรอกหรือ?  หากในการเชื่อในพระเจ้าของมนุษย์ เขาไม่จริงจังเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหลายของชีวิต ไม่ไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ความจริง ไม่ไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขา ยิ่งไม่ไล่ตามเสาะหาความรู้ในเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าแล้วไซร้ เขาย่อมไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้  หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วไซร้ เจ้าจะต้องเข้าใจพระราชกิจของพระเจ้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าต้องเข้าใจนัยสำคัญของการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ และสาเหตุที่พระราชกิจของพระองค์ถูกดำเนินการในมนุษย์  เจ้าสามารถยอมรับได้หรือไม่?  ในช่วงระหว่างการตีสอนประเภทนี้ เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ประสบการณ์และความรู้แบบเดียวกับเปโตรหรือไม่?  หากเจ้าไล่ตามเสาะหาความรู้ในเรื่องของพระเจ้าและในเรื่องของพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และหากเจ้าไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าแล้วไซร้ เจ้าย่อมมีโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 528

สำหรับบรรดาผู้ที่กำลังจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมนั้น ขั้นตอนนี้ของงานแห่งการถูกพิชิตเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ มนุษย์สามารถได้รับประสบการณ์กับงานแห่งการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์ได้ถูกพิชิตแล้วเท่านั้น  ไม่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ใดเลยในการที่เพียงแสดงบทบาทแห่งการถูกพิชิตเท่านั้น นั่นไม่ได้จะทำให้เจ้าเหมาะสมสำหรับการใช้งานโดยพระเจ้า  เจ้าจะไม่มีวิถีทางที่จะแสดงบทบาทในส่วนของเจ้าในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เพราะเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาชีวิต และไม่ได้ไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงและการสร้างขึ้นใหม่ในตัวเจ้าเอง และดังนั้น เจ้าจึงไม่มีประสบการณ์จริงของชีวิต  ในช่วงระหว่างพระราชกิจซึ่งเป็นขั้นเป็นตอนนี้ ครั้งหนึ่งเจ้าเคยเป็นคนปรนนิบัติและเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น แต่หากในท้ายที่สุดแล้วเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาที่จะเป็นเปโตร และการไล่ตามเสาะหาของเจ้าไม่เป็นไปตามเส้นทางที่เปโตรได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วไซร้ เจ้าย่อมจะไม่ได้รับประสบการณ์ของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าเป็นธรรมดา  หากเจ้าเป็นใครบางคนซึ่งไล่ตามเสาะหาการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วไซร้ เจ้าก็ย่อมจะได้เป็นคำพยาน และเจ้าจะพูดว่า “ในพระราชกิจของพระเจ้าซึ่งเป็นขั้นเป็นตอนนี้ ข้าพระองค์ได้ยอมรับพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า และแม้ว่าข้าพระองค์ได้สู้ทนความทุกข์อันใหญ่หลวง ข้าพระองค์ก็ได้มารู้วิธีที่พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม ข้าพระองค์ได้รับพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ ข้าพระองค์ได้มีความรู้เกี่ยวกับความชอบธรรมของพระเจ้า และการตีสอนของพระองค์ได้ช่วยข้าพระองค์ให้รอด  พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ได้มาถึงข้าพระองค์โดยไม่คาดฝันและนำพรและพระคุณมาให้ข้าพระองค์ การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์นี่เองที่ได้คุ้มครองปกป้องและชำระข้าพระองค์ให้บริสุทธิ์  หากข้าพระองค์ไม่ได้ถูกตีสอนและพิพากษาโดยพระเจ้า และหากพระวจนะอันกร้าวกระด้างของพระเจ้าไม่ได้มาถึงข้าพระองค์โดยไม่คาดฝัน ข้าพระองค์ก็คงไม่สามารถได้รู้จักพระเจ้า และข้าพระองค์ก็คงยังไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดด้วยเช่นกัน  ในวันนี้ ในฐานะสิ่งทรงสร้าง ข้าพระองค์ไม่เพียงมองเห็นว่า คนเราชื่นชมทุกสิ่งที่พระผู้สร้างทรงสร้างขึ้นเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ สิ่งทรงสร้างทั้งมวลควรชื่นชมพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและการพิพากษาอันชอบธรรมของพระองค์ เพราะพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้านั้นมีค่าควรแก่การชื่นชมยินดีของมนุษย์  ในฐานะสิ่งทรงสร้างซึ่งได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม คนเราควรชื่นชมพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  ในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้านั้น มีการตีสอนและการพิพากษา และยิ่งไปกว่านั้น มีความรักยิ่งใหญ่อยู่  แม้ว่าข้าพระองค์ไร้ความสามารถที่จะได้รับความรักของพระเจ้าไว้จนครบบริบูรณ์ในวันนี้ แต่ข้าพระองค์ก็มีโชควาสนาที่ได้มองเห็นมัน และในการนี้ ข้าพระองค์ได้รับการอวยพรแล้ว” นี่คือเส้นทางซึ่งบรรดาผู้ที่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมใช้เดิน และนี่คือความรู้ที่พวกเขาพูดถึง  ผู้คนดังกล่าวเป็นเหมือนเปโตร พวกเขามีประสบการณ์เดียวกันกับเปโตร  ผู้คนดังกล่าวคือบรรดาผู้ที่ได้รับชีวิต คือผู้ที่ครองความจริงด้วยเช่นกัน  เมื่อพวกเขาผ่านประสบการณ์ไปจนถึงขั้นสุดท้ายจริงๆ ในช่วงระหว่างการพิพากษาของพระเจ้า พวกเขาจะกำจัดอิทธิพลของซาตานออกจากตัวพวกเขาได้จนหมดสิ้น และได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 529

อาดัมกับเอวาที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นในปฐมกาลนั้น เป็นผู้คนบริสุทธิ์ ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในขณะที่อยู่ในสวนเอเดน พวกเขาบริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อยด้วยความโสมม  พวกเขาสัตย์ซื่อต่อพระยาห์เวห์ด้วยเช่นกัน และไม่ได้รู้อะไรในเรื่องการทรยศพระยาห์เวห์เลย  นี่เป็นเพราะพวกเขาปราศจากการรบกวนจากอิทธิพลของซาตาน ปราศจากพิษของซาตาน และบริสุทธิ์ที่สุดในหมู่มวลมนุษย์  พวกเขามีชีวิตอยู่ในสวนเอเดน ไม่มีความโสมมใดๆ มาทำให้มัวหมอง ไม่ได้ถูกเนื้อหนังเข้าครอง และมีความเคารพในพระยาห์เวห์  ต่อมา เมื่อพวกเขาได้ถูกซาตานทดลอง พวกเขาก็มีพิษของงู และมีความอยากที่จะทรยศพระยาห์เวห์ และพวกเขาได้มีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตาน  ในปฐมกาล พวกเขาบริสุทธิ์ และพวกเขาเคารพพระเจ้า เพียงในสภาวะนี้เท่านั้นที่พวกเขาเป็นมนุษย์  ต่อจากนั้นมา หลังจากที่พวกเขาได้ถูกซาตานทดลอง พวกเขาได้กินผลของต้นไม้แห่งความรู้ถึงความดีและความชั่ว  และได้มีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตาน  พวกเขาค่อยๆ ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและได้สูญเสียภาพลักษณ์ดั้งเดิมของมนุษย์ไป  ในปฐมกาล มนุษย์มีลมปราณของพระยาห์เวห์ ไม่มีความไม่เชื่อฟังแม้เพียงเสี้ยวน้อยนิด และไม่มีความชั่วในหัวใจของเขาเลย  ณ เวลานั้น มนุษย์เป็นมนุษย์จริงๆ  หลังจากที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มนุษย์ก็กลายเป็นสัตว์ร้าย  ความคิดของเขาถูกเติมความชั่วและความโสมมเข้าไป ปราศจากความดีหรือความบริสุทธิ์  นี่ไม่ใช่ซาตานหรอกหรือ?  เจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามากมาย กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือได้รับการชำระให้สะอาด  เจ้ายังคงใช้ชีวิตภายใต้แดนครอบครองของซาตาน และยังคงไม่นบนอบต่อพระเจ้า  นี่คือใครบางคนที่ได้ถูกพิชิตแล้วแต่ไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  และเหตุใดจึงมีการพูดว่าบุคคลเช่นนั้นยังไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมละหรือ?  นั่นก็เพราะบุคคลนี้ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาชีวิตหรือความรู้ในเรื่องพระราชกิจของพระเจ้า และละโมบแต่เพียงความยินดีในเนื้อหนังและสิ่งชูใจชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น  ผลลัพธ์ก็คือ อุปนิสัยในชีวิตของพวกเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลง และพวกเขาไม่ได้รับรูปลักษณ์ดั้งเดิมของมนุษย์ตามที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้กลับคืนมา  ผู้คนเช่นนั้นคือซากศพเดินได้ พวกเขาคือคนตายที่ไร้จิตวิญญาณ!  พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวในจิตวิญญาณ ไม่ไล่ตามเสาะหาความบริสุทธิ์ และไม่ไล่ตามเสาะหาการดำเนินชีวิตด้วยความจริง ผู้ซึ่งเพียงแค่พอใจกับการถูกพิชิตในทางลบเท่านั้น และไม่สามารถที่จะดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าและกลายมาเป็นพวกมนุษย์ที่บริสุทธิ์ได้—เหล่านี้เป็นผู้คนที่ยังไม่ได้รับการช่วยให้รอด  เพราะหากเขาปราศจากความจริง มนุษย์ย่อมไม่สามารถตั้งมั่นในช่วงระหว่างการทดสอบของพระเจ้าได้ บรรดาผู้ที่สามารถตั้งมั่นในช่วงระหว่างการทดสอบของพระเจ้าได้คือคนทั้งหลายซึ่งได้รับการช่วยให้รอดแล้วเท่านั้น  สิ่งที่เราต้องการคือผู้คนเหมือนเปโตร ผู้คนซึ่งไล่ตามเสาะหาการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  ความจริงในวันนี้ได้ถูกมอบให้กับบรรดาผู้ซึ่งโหยหาและแสวงหามัน  ความรอดนี้ถูกมอบให้แก่บรรดาผู้ซึ่งโหยหาที่จะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า และไม่ได้หมายเพียงให้พวกเจ้าได้รับไว้เอง จุดประสงค์ของความรอดก็เพื่อที่พระเจ้าอาจทรงได้รับพวกเจ้าไว้ พวกเจ้าได้รับพระเจ้าก็เพื่อที่พระเจ้าอาจทรงได้รับพวกเจ้า  วันนี้ เราได้กล่าววจนะเหล่านี้กับพวกเจ้า และพวกเจ้าได้ยินวจนะเหล่านี้แล้ว และพวกเจ้าจึงควรปฏิบัติตามวจนะเหล่านี้  ในท้ายที่สุดแล้ว เวลาที่พวกเจ้านำวจนะเหล่านี้ไปปฏิบัติจะเป็นชั่วขณะที่เราได้รับพวกเจ้าไว้โดยผ่านทางวจนะเหล่านี้ ในเวลาเดียวกัน พวกเจ้าก็จะได้รับวจนะเหล่านี้ไว้ด้วยเช่นกัน ซึ่งกล่าวได้ว่า จะได้รับความรอดซึ่งสูงส่งที่สุดนี้ไว้  ทันทีที่พวกเจ้าได้รับการชำระให้สะอาด พวกเจ้าจะได้กลายเป็นมนุษย์ที่แท้จริง หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะดำเนินชีวิตด้วยความจริงหรือดำเนินชีวิตด้วยสภาพเสมือนผู้ซึ่งได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วไซร้ ก็ย่อมสามารถพูดได้ว่า เจ้านั้นมิใช่มนุษย์ แต่เป็นซากศพเดินได้ เป็นสัตว์ร้าย เพราะเจ้าปราศจากความจริง ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เจ้าไม่มีลมปราณของพระยาห์เวห์ ดังนั้นเจ้าคือบุคคลที่ตายแล้วซึ่งไม่มีจิตวิญญาณ!  แม้ว่าเป็นไปได้ที่จะเป็นคำพยานหลังจากที่ได้รับการพิชิต แต่สิ่งที่เจ้าได้รับนั้นเป็นเพียงความรอดเล็กน้อยเท่านั้น และเจ้ายังไม่ได้กลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ครองจิตวิญญาณ  แม้ว่าเจ้าได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาไปแล้ว ก็ไม่ได้ให้ผลลัพธ์เป็นการที่อุปนิสัยของเจ้าได้รับการสร้างขึ้นใหม่หรือเปลี่ยนแปลง  เจ้ายังคงเป็นตัวเจ้าคนเดิม เจ้ายังคงเป็นของซาตาน และเจ้าไม่ใช่ใครบางคนที่ได้รับการชำระให้สะอาดแล้ว  มีเพียงบรรดาผู้ซึ่งได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วเท่านั้นที่มีคุณค่า และผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่ได้รับชีวิตจริง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 530

ในวันนี้ ผู้คนบางคนไล่ตามเสาะหาการถูกใช้โดยพระเจ้า แต่หลังจากที่ถูกพิชิตแล้ว พวกเขาไม่สามารถถูกใช้ได้โดยตรงในทันที  สำหรับพระวจนะที่ได้มีการตรัสไว้ในวันนี้ หากถึงตอนที่พระเจ้าทรงใช้ผู้คน แล้วเจ้ายังคงไม่สามารถสำเร็จลุล่วงในพระวจนะเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  กล่าวได้อีกอย่างว่า การมาถึงของจุดสิ้นสุดของช่วงเวลาที่มนุษย์ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมนั้น จะกำหนดว่ามนุษย์จะถูกขับออกไปหรือถูกใช้โดยพระเจ้า  บรรดาผู้ที่ได้รับการพิชิตไปแล้วย่อมเป็นเพียงตัวอย่างของความนิ่งเฉยและสิ่งที่เป็นลบ พวกเขาเป็นวัตถุตัวอย่างและแบบอย่าง แต่พวกเขาก็เป็นเพียงความต่างขั้วเท่านั้น  เฉพาะเมื่ออุปนิสัยในชีวิตมนุษย์ได้เปลี่ยนไปแล้ว และเขาได้สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงภายในและภายนอกแล้วเท่านั้น เขาจึงจะได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์อย่างเต็มที่  ในวันนี้สิ่งไหนเล่าที่เจ้าต้องการ การถูกพิชิตหรือการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม?  สิ่งไหนหรือที่เจ้าปรารถนาจะสัมฤทธิ์?  เจ้าได้ลุล่วงสภาพเงื่อนไขสำหรับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วหรือ?  สภาพเงื่อนไขใดที่เจ้ายังคงขาดอยู่?  เจ้าควรเตรียมตัวเองให้มีความพร้อมอย่างไร และเจ้าควรชดเชยสิ่งที่ขาดตกบกพร่องอย่างไร?  เจ้าควรเข้าสู่เส้นทางของการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมอย่างไร?  เจ้าควรนบนอบโดยครบบริบูรณ์อย่างไร?  เจ้าขอที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ดังนั้น เจ้าไล่ตามเสาะหาความบริสุทธิ์ใช่หรือไม่?  เจ้าเป็นบุคคลที่พยายามจะได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาเพื่อที่เจ้าอาจได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ใช่หรือไม่?  เจ้าไล่ตามเสาะหาการได้รับการชำระให้สะอาด ดังนั้นแล้วเจ้าเต็มใจที่จะยอมรับการตีสอนและการพิพากษาใช่หรือไม่?  เจ้าขอที่จะรู้จักพระเจ้า แต่เจ้ามีความรู้ในเรื่องการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์หรือไม่?  ในวันนี้ พระราชกิจส่วนใหญ่ที่พระองค์ทรงทำกับเจ้าคือการตีสอนและการพิพากษา อะไรคือความรู้ของเจ้าในเรื่องพระราชกิจนี้ สิ่งใดที่ได้ถูกดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้วในตัวเจ้า?  การตีสอนและการพิพากษาที่เจ้าได้รับประสบการณ์มาแล้วนั้น ได้ชำระเจ้าให้สะอาดแล้วหรือยัง?  มันได้เปลี่ยนแปลงเจ้าหรือยัง?  มันได้ส่งผลใดต่อเจ้าหรือยัง?  เจ้าอ่อนล้ากับพระราชกิจในวันนี้ที่ช่างมากมายเหลือเกินหรือไม่—การสาปแช่ง การพิพากษา การเผย—หรือเจ้ารู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์มหาศาลต่อเจ้าหรือไม่?  เจ้ารักพระเจ้า แต่เหตุใดเจ้าจึงรักพระองค์เล่า?  เจ้ารักพระองค์เพราะเจ้าได้รับพระคุณมาบ้างเล็กน้อยใช่หรือไม่?  หรือเจ้ารักพระเจ้าหลังจากที่ได้รับสันติสุขและความชื่นบานแล้ว?  หรือเจ้ารักพระเจ้าหลังจากที่ได้รับการชำระให้สะอาดโดยการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์?  อะไรกันแน่ที่ทำให้เจ้ารักพระเจ้า?  สภาพเงื่อนไขใดที่เปโตรได้ทำให้ลุล่วงเพื่อที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม?  หลังจากที่เขาได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้ว อะไรคือหนทางอันสำคัญยิ่งยวดที่ความเพียบพร้อมนั้นได้ถูกแสดงออกมา?  เขารักองค์พระเยซูเจ้าเพราะเขาถวิลหาพระองค์ หรือเพราะเขาไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้ หรือเพราะเขาได้ถูกตำหนิ?  หรือเขายิ่งรักองค์พระเยซูเจ้ามากขึ้น เพราะเขาได้ยอมรับความทุกข์ทนจากความทุกข์ลำบาก และได้มารู้จักความโสมมและการไม่เชื่อฟังของตัวเขาเอง ได้มารู้จักความบริสุทธิ์แห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า?  ความรักของเขาที่มีต่อพระเจ้าได้กลายเป็นบริสุทธิ์ขึ้นเพราะการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า หรือเพราะอย่างอื่น?  สิ่งนั้นคืออะไรหรือ?  เจ้ารักพระเจ้าเพราะพระคุณของพระเจ้า และเพราะวันนี้พระองค์ได้ให้พระพรแก่เจ้ามาบ้างเล็กน้อย  นี่คือรักที่แท้จริงหรือ?  เจ้าควรรักพระเจ้าอย่างไรหรือ?  เจ้าควรยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ และหลังจากที่ได้มองดูพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์แล้ว ก็สามารถที่จะรักพระองค์ได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นเจ้าจึงเชื่อมั่นอย่างถึงที่สุด และมีความรู้เกี่ยวกับพระองค์ใช่หรือไม่?  เจ้าสามารถพูดเหมือนกับเปโตรได้หรือไม่ว่าเจ้าไม่สามารถรักพระเจ้าได้มากพอ?  สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหานั้นถูกพิชิตภายหลังการตีสอนและการพิพากษา หรือถูกชำระให้สะอาด ได้รับการคุ้มครองปกป้อง และได้รับการดูแลภายหลังการตีสอนและการพิพากษากันแน่?  เจ้าไล่ตามเสาะหาอะไรกันแน่ในสิ่งเหล่านี้?  ชีวิตของเจ้าเป็นชีวิตหนึ่งซึ่งเปี่ยมความหมาย หรือมันไร้จุดประสงค์และปราศจากคุณค่า?  เจ้าต้องการเนื้อหนัง หรือเจ้าต้องการความจริง?  เจ้าต้องการการพิพากษาหรือการชูใจ?  เมื่อผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามามากมายแล้ว และเมื่อได้มองดูความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว เจ้าควรไล่ตามเสาะหาอย่างไร?  เจ้าควรเดินไปตามเส้นทางนี้อย่างไร?  เจ้าควรนำความรักที่เจ้ามีต่อพระเจ้ามาปฏิบัติอย่างไร?  การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าได้สัมฤทธิ์ผลในตัวเจ้าบ้างหรือไม่?  การที่เจ้าจะมีความรู้เกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิต และขอบข่ายของความรักที่เจ้ามีต่อพระเจ้า!  ปากเจ้าพูดว่าเจ้ารักพระเจ้า ทว่าสิ่งที่เจ้าใช้ในการดำเนินชีวิตนั้นคืออุปนิสัยเดิมที่เสื่อมทราม เจ้าปราศจากความยำเกรงในพระเจ้า และนับประสาอะไรที่เจ้าจะมีมโนธรรม  ผู้คนเช่นนี้รักพระเจ้าหรือ?  ผู้คนเช่นนี้รักภักดีต่อพระเจ้าหรือ?  พวกเขาคือบรรดาผู้ที่ยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าหรือ?  เจ้าพูดว่าเจ้ารักพระเจ้าและเชื่อในพระองค์ ทว่าเจ้าไม่ปล่อยวางมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายของเจ้าเลย  ในงาน ในการเข้าสู่ และในคำพูดที่เจ้าพูด และในชีวิตของเจ้า ไม่มีการสำแดงความรักของเจ้าต่อพระเจ้าอยู่เลย และไม่มีความเคารพในพระเจ้าอยู่เลย  นี่คือใครบางคนที่ได้รับการตีสอนและการพิพากษาแล้วกระนั้นหรือ?  ใครบางคนที่เป็นเช่นนี้จะสามารถเป็นเปโตรได้หรือ?  บรรดาผู้ที่เป็นเหมือนเปโตร เพียงมีความรู้ แต่ไม่มีการดำเนินชีวิตอย่างนั้นหรือ?  ในวันนี้ อะไรคือสภาพเงื่อนไขที่มนุษย์จำเป็นต้องมีเพื่อดำเนินชีวิตที่เป็นชีวิตจริง?  คำอธิษฐานทั้งหลายของเปโตรไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าคำพูดที่ออกมาจากปากของเขาใช่หรือไม่?  คำอธิษฐานเหล่านั้นไม่ใช่คำพูดที่มาจากส่วนลึกภายในหัวใจของเขาหรอกหรือ?  เปโตรได้แต่อธิษฐานเท่านั้น และไม่ได้นำความจริงไปปฏิบัติอย่างนั้นหรือ?  การไล่ตามเสาะหาของเจ้าเป็นไปเพื่อผู้ใดหรือ?  เจ้าควรทำให้ตัวเจ้าได้รับการคุ้มครองปกป้องและการชำระให้สะอาดในช่วงระหว่างการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าอย่างไร?  การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไม่มีประโยชน์ต่อมนุษย์เลยหรือ?  การพิพากษาทั้งหมดคือการลงโทษใช่หรือไม่?  สามารถเป็นไปได้หรือไม่ว่า เฉพาะสันติสุขและความชื่นบาน เฉพาะพระพรทางวัตถุและความชูใจชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นที่มีประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์?  หากมนุษย์มีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่น่ายินดีและชูใจ โดยปราศจากชีวิตแห่งการพิพากษา เขาจะได้รับการชำระให้สะอาดหรือไม่?  หากมนุษย์ปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงและได้รับการชำระให้สะอาด เขาควรยอมรับการทำให้มีความเพียบพร้อมอย่างไร?  เส้นทางใดหรือที่เจ้าควรเลือกในวันนี้?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 531

เมื่อเอ่ยถึงเปโตร ผู้คนมีสิ่งดีๆ ให้พูดถึงเขาอย่างไม่รู้จบ  พวกเขาพลันนึกถึงห้วงเวลาสามครั้งที่เขาปฏิเสธพระเจ้า การที่เขาทดสอบพระเจ้าโดยหันไปรับใช้ซาตาน และการที่เขาถูกตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้าในท้ายที่สุด และอื่นๆ  บัดนี้เราจะมุ่งพรรณนาให้พวกเจ้าฟังว่าเปโตรรู้จักเราได้อย่างไรและปลายทางขั้นสุดท้ายของเขาเป็นเช่นไร  เปโตรมีขีดความสามารถดี แต่รูปการณ์แวดล้อมของเขาไม่เหมือนกับรูปการณ์แวดล้อมของเปาโล นั่นคือ  บิดามารดาของเขาข่มเหงเรา พวกเขาคือปีศาจที่ถูกซาตานครอบงำ และผลก็คือพวกเขาไม่ได้สอนสิ่งใดที่เกี่ยวกับพระเจ้าให้แก่เปโตรเลย  เปโตรนั้นฉลาด มีพรสวรรค์ และได้รับความรักความเอ็นดูจากบิดามารดาของเขามาแต่เยาว์วัย  กระนั้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เขากลับกลายเป็นศัตรูของบิดามารดาเพราะเขาไม่เคยเลิกไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับเรา และหันหลังให้กับบิดามารดาในเวลาต่อมา  นี่เป็นเพราะเหนือสิ่งอื่นใด เขาเชื่อว่าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และเชื่อว่าสิ่งที่เป็นบวกทั้งหมดล้วนมาจากพระเจ้าและส่งตรงจากพระองค์โดยไม่ได้ถูกซาตานแปรสภาพ  ความแตกต่างแบบตรงกันข้ามในตัวบิดามารดาของเปโตรทำให้เขามีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับความรักเมตตาและความกรุณาของเรา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความพึงปรารถนาของเขาที่จะแสวงหาเราเพิ่มพูนขึ้น  เขาไม่ได้แค่มุ่งเน้นไปที่การกินและดื่มวจนะของเราเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้นยังมุ่งเน้นที่การจับความเข้าใจในเจตจำนงของเรา และตื่นตัวอยู่ในหัวใจของเขามากขึ้นทุกที  ผลก็คือเขาอ่อนไหวในวิญญาณของเขาเสมอ และดังนั้นเขาจึงสมดังใจของเราในทุกสิ่งที่เขาทำ  เขาคงความสนใจในความล้มเหลวของผู้คนในอดีตอยู่เป็นนิตย์เพื่อกระตุ้นตัวเขาเอง โดยเกรงกลัวการติดบ่วงอยู่ในความล้มเหลวอย่างลึกล้ำ  ดังนั้นเขาจึงจดจ่ออยู่กับการเปิดรับความเชื่อและความรักของบรรดาผู้ที่รักพระเจ้าในยุคต่างๆ ทุกคน  ในหนทางนี้เขาจึงเติบโตเร็วขึ้น—ไม่เพียงในแง่ลบเท่านั้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่ามากก็คือในแง่บวก—จนถึงระดับที่ความรู้ของเขายิ่งใหญ่ที่สุดเมื่ออยู่เบื้องหน้าเรา  เช่นนั้นแล้วจึงไม่ยากที่จะจินตนาการถึงการที่เขาวางทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีไว้ในมือของเรา การที่เขาถึงกับยอมมอบการตัดสินใจเกี่ยวกับอาหาร เสื้อผ้า การนอน และสถานที่ที่เขาใช้ชีวิต และชื่นชมความมั่งคั่งของเราเพื่อทำให้เราพึงพอใจในทุกสิ่งแทน  เราทำให้เขาต้องพบกับการทดสอบนับครั้งไม่ถ้วน—การทดสอบที่โดยธรรมชาติแล้วได้ทิ้งให้เขาอยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตาย—แต่ท่ามกลางการทดสอบหลายร้อยครั้งเหล่านี้ เขาไม่เคยสูญสิ้นความเชื่อในเราหรือรู้สึกผิดหวังในเราเลยแม้สักครั้งเดียว  แม้ในยามที่เราพูดว่าเราละทิ้งเขาแล้ว เขาก็ยังคงไม่ท้อแท้ และยังคงรักเราต่อไปในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและโดยสอดคล้องกับหลักธรรมแห่งการปฏิบัติในอดีตกาล  เราบอกเขาว่าเราจะไม่สรรเสริญเขาแม้ว่าเขาจะรักเรา ว่าท้ายที่สุดแล้วเราจะขับเขาไปอยู่ในมือของซาตาน  แต่ท่ามกลางการทดสอบเช่นนั้น การทดสอบที่ไม่ได้เกิดกับเนื้อหนังของเขา แต่เป็นการทดสอบแห่งวจนะ เขาก็ยังคงอธิษฐานต่อเราแล้วกล่าวว่า “โอ พระเจ้า!  ท่ามกลางสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง มีมนุษย์คนใด สิ่งทรงสร้างใด หรือสิ่งใดที่ไม่อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์?  เมื่อพระองค์ทรงกรุณาข้าพระองค์ หัวใจของข้าพระองค์ก็ชื่นบานเป็นอันมากกับความกรุณาของพระองค์  เมื่อพระองค์พิพากษาข้าพระองค์ แม้ข้าพระองค์อาจไม่ควรค่า แต่ข้าพระองค์ก็มีสำนึกมากขึ้นถึงความมิอาจหยั่งถึงได้แห่งกิจการของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเต็มไปด้วยสิทธิอำนาจและพระปัญญา  แม้เนื้อหนังของข้าพระองค์จะทนทุกข์กับความยากลำบาก แต่วิญญาณของข้าพระองค์ก็ได้รับการชูใจ  ข้าพระองค์จะไม่สรรเสริญพระปัญญาและกิจการของพระองค์ได้อย่างไร?  ต่อให้ข้าพระองค์ต้องตายหลังจากที่ได้รู้จักพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่ตายอย่างเปรมปรีดิ์และมีความสุขได้อย่างไร?  องค์หนึ่งเดียวผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!  พระองค์ไม่ทรงปรารถนาที่จะให้ข้าพระองค์เห็นพระองค์จริงหรือ?  ข้าพระองค์ไม่เหมาะที่จะได้รับการพิพากษาจากพระองค์จริงหรือ?  เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีบางสิ่งบางอย่างในตัวข้าพระองค์ที่พระองค์ไม่ทรงปรารถนาที่จะเห็น?”  ในระหว่างการทดสอบเช่นนั้น ถึงแม้ว่าเปโตรจะไม่สามารถจับความเข้าใจในเจตจำนงของเราได้อย่างถูกต้องแม่นยำ แต่ก็เป็นที่ประจักษ์ว่าเขาภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติที่ถูกเราใช้ (ถึงแม้เขาจะได้รับการพิพากษาจากเราเพื่อให้มนุษยชาติได้เห็นบารมีและความโกรธของเรา) และชัดเจนว่าเขาไม่ได้เศร้าหมองกับการทดสอบเหล่านี้  เนื่องจากความจงรักภักดีของเขาเบื้องหน้าเรา และเนื่องจากพรที่เรามอบแก่เขา เขาจึงเป็นแบบอย่างและต้นแบบสำหรับมนุษย์มานานหลายพันปี  นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าควรเอาอย่างโดยแท้หรอกหรือ?  จงคิดให้หนักและนานว่าเหตุใดเราจึงเล่าเรื่องราวอันยืดยาวของเปโตรเช่นนี้ เหล่านี้ควรเป็นหลักธรรมที่พวกเจ้าใช้ประพฤติตน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 6

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 532

เปโตรติดตามพระเยซูอยู่หลายปีและได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างในตัวพระองค์ที่ไม่มีอยู่ในผู้อื่น  หลังจากติดตามพระองค์ได้หนึ่งปี พระเยซูได้ทรงเลือกเปโตรจากเหล่าสาวก 12 คน (แน่นอนว่าพระเยซูไม่ได้ตรัสการนี้ออกมา และคนอื่นก็ไม่ได้ตระหนักรู้การนี้เลย)  ในชีวิต เปโตรได้ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเยซูทรงกระทำมาประเมินวัดตนเอง  ที่สำคัญที่สุดคือ สาระที่พระเยซูทรงเทศนานั้นได้สลักไว้ในหัวใจของเขา  เขาได้ทุ่มเทอุทิศและจงรักภักดีต่อพระเยซูอย่างถึงที่สุด และเขาไม่เคยกล่าวเรื่องคับข้องใจที่ต่อต้านพระองค์เลย  ผลก็คือ เขากลายเป็นเพื่อนร่วมทางผู้สัตย์ซื่อของพระเยซูในทุกหนแห่งที่พระองค์เสด็จไป  เปโตรเฝ้าสังเกตคำสอนของพระเยซู พระวจนะอันอ่อนโยนของพระองค์ พระกระยาหารที่พระองค์เสวย ฉลองพระองค์ของพระองค์ ที่ประทับของพระองค์ และวิธีที่พระองค์ทรงเดินทาง  เขาเอาอย่างพระเยซูในทุกด้าน  เขาไม่เคยคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอ แต่ก็ปลดเปลื้องทุกสิ่งที่พ้นสมัยทิ้งไป ติดตามแบบอย่างของพระเยซูทั้งด้านคำพูดและความประพฤติ  ห้วงเวลานั้นเองที่เปโตรรู้สึกว่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งล้วนอยู่ในพระหัตถ์ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และรู้สึกว่าโดยเหตุผลนี้ เขาจึงไม่มีตัวเลือกของตนเอง  เปโตรยังได้ซึมซับทั้งหมดที่พระเยซูทรงเป็นและใช้สิ่งนั้นเป็นแบบอย่างด้วยเช่นกัน  พระชนม์ชีพของพระเยซูแสดงให้เห็นว่าพระองค์ไม่ได้ทรงคิดว่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้นชอบธรรมเสมอ แทนที่จะโอ้อวดพระองค์เอง พระองค์กลับทำให้ผู้คนตื้นตันใจด้วยความรัก  หลากหลายสิ่งได้แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่พระเยซูทรงเป็น และด้วยเหตุนี้เปโตรจึงได้เอาอย่างทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระองค์  ประสบการณ์ของเปโตรทำให้เขามีสำนึกรับรู้เพิ่มขึ้นถึงความน่ารักน่าชื่นชมของพระเยซู และเขาได้กล่าวบางอย่างเช่น “ข้าพเจ้าได้เสาะหาองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไปทั่วจักรวาล และข้าพเจ้าได้เห็นการอัศจรรย์ทั้งหลายของฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง และดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้รับสำนึกรับรู้อันลุ่มลึกถึงความน่ารักน่าชื่นชมขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าไม่เคยมีความรักอันจริงแท้ในหัวใจของข้าพเจ้าเองเลย และข้าพเจ้าไม่เคยเห็นความน่ารักน่าชื่นชมขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ด้วยตาของข้าพเจ้าเอง  ทุกวันนี้ ในสายพระเนตรขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพเจ้าได้รับการพิจารณาด้วยความโปรดปรานจากพระองค์ตลอดมา และในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้รู้สึกถึงความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้า  ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้ค้นพบว่าไม่ใช่เพียงการที่พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งเท่านั้นที่ทำให้มนุษยชาติรักพระองค์ แต่ในชีวิตประจำวันของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้พบความน่ารักน่าชื่นชมอันไร้ขอบเขตของพระองค์ เป็นไปได้อย่างไรที่สิ่งนั้นจะถูกจำกัดอยู่แต่ในสิ่งที่มองเห็นได้ในขณะนี้”?  เมื่อเวลาผ่านไป หลายอย่างที่น่ารักน่าชื่นชมก็เกิดขึ้นภายในตัวเปโตรเช่นกัน  เขาเชื่อฟังพระเยซูมากขึ้น และแน่นอนว่าเขาทนทุกข์กับความล้มเหลวไม่น้อยเช่นกัน  เมื่อพระเยซูทรงพาเขาไปประกาศในที่ต่างๆ เปโตรถ่อมตนและฟังคำเทศนาของพระเยซูเสมอ  เขาไม่เคยกลายเป็นโอหังเพียงเพราะเขาติดตามพระเยซูมาหลายปี  หลังจากที่ได้รับการบอกเล่าจากพระเยซูว่าเหตุผลที่พระองค์ได้เสด็จมาก็เพื่อถูกตรึงกางเขน เพื่อที่พระองค์จะสามารถทำให้พระราชกิจของพระองค์แล้วเสร็จ เปโตรก็มักจะรู้สึกระทมใจและแอบร้องไห้ตามลำพัง  อย่างไรก็ตาม วัน “ที่แสนเลวร้าย” ได้มาถึงในที่สุด  หลังจากที่พระเยซูทรงถูกจับกุม เปโตรร้องไห้อยู่ตามลำพังในเรือหาปลาของเขา และกล่าวคำอธิษฐานมากมายเพื่อการนี้  ทว่าในหัวใจของเขา เขารู้ว่านี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดา และรู้ว่าไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงการนี้ได้  เขายังคงระทมทุกข์และน้ำตาคลอหน่วยด้วยเหตุจากความรักของเขาเท่านั้น  แน่นอนว่านี่คือความอ่อนแออย่างหนึ่งของมนุษย์  ดังนั้น เมื่อเขาได้เรียนรู้ว่าพระเยซูจะทรงถูกตอกตรึงกับกางเขน เขาก็ทูลถามพระเยซูว่า “หลังจากที่พระองค์ทรงจากไปแล้ว พระองค์จะทรงกลับมาอยู่ท่ามกลางพวกเราและดูแลพวกเราหรือไม่?  พวกเราจะยังคงพบเจอพระองค์ได้ไหม?”  แม้ถ้อยคำเหล่านี้จะฟังดูไร้เดียงสาอย่างมากและเต็มไปด้วยมโนคติที่หลงผิดอย่างมนุษย์ แต่พระเยซูก็ทรงทราบถึงความขมขื่นในความทุกข์ของเปโตร ดังนั้นด้วยความรักของพระองค์ พระองค์จึงเห็นพระทัยความอ่อนแอของเปโตรและตรัสว่า “เปโตรเอ๋ย เราได้รักท่านมาตลอด ท่านรู้หรือไม่?  แม้ว่าไม่มีเหตุผลเบื้องหลังสิ่งที่ท่านพูด พระบิดาก็ได้ทรงสัญญาว่าหลังจากที่เราเป็นขึ้นมาจากความตาย เราจะปรากฏแก่ผู้คนเป็นเวลา 40 วัน  ท่านไม่เชื่อหรือว่าวิญญาณของเราจะมอบพระคุณแก่พวกท่านทั้งหมดอยู่เนืองนิจ?”  แม้เปโตรจะรู้สึกชูใจบ้างจากการนี้ แต่เขาก็ยังคงรู้สึกว่ามีสิ่งหนึ่งขาดหายไป และดังนั้น หลังจากที่ทรงฟื้นคืนพระชนม์ พระเยซูจึงทรงปรากฏแก่เขาอย่างเปิดเผยในครั้งแรก  อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เปโตรยึดติดกับมโนคติที่หลงผิดของเขาต่อไป พระเยซูจึงทรงปฏิเสธอาหารมื้อใหญ่ที่เปโตรได้ตระเตรียมสำหรับพระองค์ และทรงหายวับไปในพริบตา  นับจากชั่วขณะนั้นเป็นต้นมา ในที่สุดเปโตรก็มีความเข้าใจในองค์พระเยซูเจ้าลึกซึ้งขึ้นและรักพระองค์มากขึ้นไปอีก  หลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ พระเยซูได้ทรงปรากฏแก่เปโตรบ่อยครั้ง พระองค์ทรงปรากฏแก่เปโตรอีกสามครั้งหลังจากสิ้น 40 วันและพระองค์ได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์  การทรงปรากฏแต่ละครั้งตรงกับเวลาที่พระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์และพระราชกิจใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น

ตลอดชีวิตของเขา เปโตรหาปลาเพื่อเลี้ยงชีพ แต่ที่มากไปกว่านั้นคือเขามีชีวิตอยู่เพื่อเทศนา  ในช่วงปลายชีวิตของเขา เขาเขียนจดหมายฝากของเปโตรฉบับที่หนึ่งและฉบับที่สอง รวมทั้งจดหมายอีกหลายฉบับถึงคริสตจักรแห่งฟิลาเดลเฟียในสมัยนั้น  ผู้คนในช่วงเวลานี้ต่างซาบซึ้งใจในตัวเขาอย่างลุ่มลึก  แทนที่จะสอนผู้คนโดยใช้วิทยฐานะของเขาเอง เขากลับมอบเสบียงชีวิตที่เหมาะสมแก่พวกเขา  เขาไม่เคยลืมคำสอนของพระเยซูก่อนที่พระองค์จะทรงจากไป และได้รับแรงบันดาลใจจากคำสอนเหล่านั้นตลอดชั่วชีวิตของเขา  ขณะติดตามพระเยซู เขาได้ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะตอบแทนความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความตายของเขาและติดตามแบบอย่างของพระองค์ในทุกสรรพสิ่ง  พระเยซูทรงเห็นด้วยกับการนี้ ดังนั้นเมื่อเปโตรอายุได้ 53 ปี (นับเป็นเวลา 20 กว่าปีหลังจากที่พระเยซูเสด็จจากไป) พระเยซูได้ทรงปรากฏแก่เขาเพื่อช่วยให้ความมุ่งมาดปรารถนาของเขาลุล่วง  ในช่วง 7 ปีหลังจากนั้น เปโตรได้ใช้ชีวิตเพื่อที่จะรู้จักตัวเขาเอง  วันหนึ่งเมื่อสิ้นสุดช่วงเวลา 7 ปีนี้ เขาก็ถูกตรึงกางเขนแบบกลับหัว ด้วยเหตุนี้ชีวิตอันไม่ธรรมดาของเขาจึงสิ้นสุดลง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” ว่าด้วยชีวิตของเปโตร

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 533

อะไรคืออิทธิพลแห่งความมืด?  สิ่งที่เรียกว่า “อิทธิพลแห่งความมืด” นี้คืออิทธิพลของความหลอกลวง ความเสื่อมทราม การผูกมัด และการควบคุมผู้คนของซาตาน อิทธิพลของซาตานคืออิทธิพลที่มีกลิ่นอายของความตาย  ทุกคนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานล้วนถึงคราวต้องพินาศ  เจ้าจะสามารถหลีกหนีจากอิทธิพลแห่งความมืดหลังจากได้รับความเชื่อในพระเจ้าได้อย่างไร?  เมื่อเจ้าได้อธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างจริงใจ เมื่อเจ้าหันหัวใจของเจ้าไปหาพระองค์อย่างครบบริบูรณ์ ณ จุดที่หัวใจของเจ้าถูกขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณของพระเจ้า  เจ้าเต็มใจมากขึ้นที่จะมอบตัวเองให้แก่พระองค์อย่างครบบริบูรณ์ และ ณ เวลานั้น เจ้าจึงจะได้หลีกหนีจากอิทธิพลแห่งความมืด  หากทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์กระทำเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าและเป็นไปในแนวเดียวกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระองค์แล้วไซร้ เมื่อนั้น เขาก็คือผู้หนึ่งซึ่งใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้า และอยู่ภายใต้การดูแลและการคุ้มครองปกป้องของพระองค์  หากผู้คนไม่สามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าได้ หากพวกเขาพยายามหลอกพระองค์อยู่เสมอ โดยปฏิบัติต่อพระองค์ในแบบพอเป็นพิธี และไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระองค์—เช่นนั้นแล้วผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดก็เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด  มนุษย์ซึ่งไม่ได้รับความรอดของพระเจ้านั้นกำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน กล่าวคือ พวกเขาทั้งหมดใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด  พวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้ากำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน  แม้แต่บรรดาผู้ที่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าก็อาจไม่จำเป็นว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างของพระองค์ เพราะพวกที่เชื่อในพระองค์อาจไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระองค์และไม่มีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  มนุษย์ถูกจำกัดต่อการเชื่อในพระเจ้า และเนื่องจากเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เขาจึงยังคงใช้ชีวิตอยู่ภายในกฎเกณฑ์ดั้งเดิมท่ามกลางบรรดาวจนะที่ตายแล้ว กับชีวิตหนึ่งซึ่งมืดมนและไม่แน่นอน อีกทั้งไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยพระเจ้าอย่างครบถ้วนและไม่ได้รับการรับไว้อย่างครบบริบูรณ์โดยพระองค์ ดังนั้น ในขณะที่มันชัดเจนโดยไม่ต้องอาศัยคำพูดอยู่แล้วว่าพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้ากำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด แม้แต่บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าก็อาจจะยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของมัน เพราะพวกเขานั้นขาดพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  พวกที่ไม่ได้รับพระคุณหรือความปรานีของพระเจ้า และพวกที่ไม่สามารถมองเห็นพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้นั้น ล้วนกำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด และโดยส่วนใหญ่ ผู้คนที่เพียงชื่นชมในพระคุณของพระเจ้าโดยไม่รู้จักพระองค์ก็เป็นเช่นเดียวกัน  หากมนุษย์คนหนึ่งเชื่อในพระเจ้าแต่ยังใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืดแล้วไซร้ การดำรงอยู่ของมนุษย์คนนี้ก็ได้สูญสิ้นความหมายไปแล้ว—และจำเป็นอะไรที่ต้องกล่าวถึงผู้คนที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง

ทุกคนที่ไม่สามารถยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าได้ หรือผู้ที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าแต่ไร้ความสามารถที่จะทำตามข้อเรียกร้องต่างๆ ของพระองค์ได้ ล้วนเป็นผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด  เฉพาะพวกที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถทำตามข้อเรียกร้องของพระเจ้าได้เท่านั้นที่จะได้รับพรจากพระองค์ และเฉพาะพวกเขาเท่านั้นที่จะหลีกหนีจากอิทธิพลแห่งความมืด  พวกที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ผู้ที่ถูกควบคุมโดยสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่เสมอ และผู้ที่ไร้ความสามารถที่จะมอบหัวใจของพวกเขาให้แก่พระเจ้าได้ คือผู้คนที่อยู่ภายใต้พันธนาการของซาตาน ผู้ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ภายในกลิ่นอายของความตาย  พวกที่ไม่สัตย์ซื่อต่อหน้าที่ของตนเอง ผู้ที่ไม่สัตย์ซื่อต่อพระบัญชาของพระเจ้า และผู้ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนในคริสตจักรคือผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด  พวกที่จงใจรบกวนชีวิตแห่งคริสตจักร ผู้ซึ่งเจตนาหว่านความบาดหมางระหว่างพี่น้องชายหญิง หรือผู้ที่ตั้งพรรคพวกนั้น คือผู้คนซึ่งยังใช้ชีวิตที่ยิ่งจมลึกลงไปภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด ในพันธนาการของซาตาน  พวกที่มีสัมพันธภาพที่ผิดปกติกับพระเจ้า ผู้ที่มีความอยากได้อยากมีที่ฟุ้งเฟ้ออยู่เสมอ ผู้ที่ต้องการมีความได้เปรียบอยู่เสมอ และผู้ที่ไม่เคยแสวงหาการเปลี่ยนสภาพอุปนิสัยของตน คือผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด  พวกที่ย่อหย่อนอยู่เสมอและไม่เคยจริงจังในการปฏิบัติตามความจริง และผู้ที่ไม่ได้พยายามที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่กลับพยายามเพียงตอบสนองเนื้อหนังของตนเองเท่านั้น คือผู้คนซึ่งกำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืดที่ปกคลุมด้วยความตายเช่นกัน  พวกที่มีส่วนร่วมในความคดโกงและการหลอกลวงเมื่อทำงานให้กับพระเจ้า ผู้ที่ปฏิบัติกับพระเจ้าในลักษณะพอเป็นพิธี ผู้ที่ฉ้อโกงพระเจ้า และผู้ที่วางแผนเพื่อตัวเองอยู่เสมอ คือผู้คนที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด  คนพวกนั้นทุกคนที่ไม่สามารถรักพระเจ้าได้อย่างจริงใจ ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและผู้ที่ไม่ได้มุ่งเน้นการแปลงสภาพอุปนิสัยของตน คือผู้คนที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงหนีให้พ้นจากอิทธิพลแห่งความมืด แล้วพระเจ้าจะทรงรับเจ้าไว้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 534

หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับการชมเชยจากพระเจ้าแล้วไซร้ เจ้าก็ต้องหลีกหนีให้พ้นจากอิทธิพลมืดของซาตานเสียก่อน โดยเปิดหัวใจของเจ้าต่อพระเจ้า และหันหัวใจไปหาพระองค์อย่างครบบริบูรณ์  พระเจ้าจะทรงชมเชยสิ่งที่เจ้ากระทำอยู่ในตอนนี้กระนั้นหรือ?  เจ้าได้หันหัวใจของเจ้าเข้าหาพระเจ้าแล้วกระนั้นหรือ?  สิ่งทั้งหลายที่เจ้าได้กระทำเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากเจ้ากระนั้นหรือ?  มันเป็นไปในแนวเดียวกับความจริงกระนั้นหรือ?  จงตรวจดูตัวเองตลอดเวลาและจดจ่อกับการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า จงเผยใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์ รักพระองค์ด้วยความจริงใจ และจงสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าอย่างอุทิศตน  ผู้คนที่ทำเช่นนี้ย่อมจะได้รับการชมเชยจากพระเจ้าอย่างแน่นอน  ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้า แต่ทว่าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง ย่อมไม่มีทางหลีกหนีจากอิทธิพลของซาตาน  ทุกคนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตของพวกเขาด้วยความซื่อสัตย์ ผู้ที่ประพฤติตนต่อหน้าผู้อื่นอย่างหนึ่งแต่ลับหลังอย่างหนึ่งกับพวกเขา ผู้ที่สร้างภาพแสดงความถ่อมตน ความอดทน และความรัก ทั้งที่แก่นแท้ของพวกเขาเป็นคนร้ายกาจ เจ้าเล่ห์ และปราศจากความจงรักภักดีต่อพระเจ้า—ผู้คนเช่นนี้คือตัวแทนในแบบฉบับของพวกที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด พวกเขาเป็นจำพวกเดียวกันกับงู  พวกที่เชื่อพระเจ้าเฉพาะเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้นตลอดเวลา ผู้ที่หยิ่งผยองและมองตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ ผู้ที่ชอบโอ้อวด และผู้ที่ปกป้องสถานภาพของตนเอง คือผู้คนที่รักซาตานและต่อต้านความจริง  ผู้คนเหล่านี้ต้านทานพระเจ้าและเป็นของซาตานโดยสิ้นเชิง  พวกที่ไม่สนใจต่อภาระของพระเจ้า ไม่รับใช้พระเจ้าอย่างสุดหัวใจ ผู้ที่คอยห่วงกังวลกับส่วนได้ส่วนเสียเฉพาะตนและส่วนได้ส่วนเสียของครอบครัวตนเองอยู่เสมอ ผู้ที่ไร้ความสามารถที่จะละทิ้งทุกสิ่งเพื่อสละตนให้กับพระเจ้าได้ และผู้ที่ไม่เคยใช้ชีวิตโดยพระวจนะของพระเจ้าเลย คือผู้คนที่อยู่นอกพระวจนะของพระองค์  ผู้คนเช่นนั้นไม่สามารถได้รับการชมเชยจากพระเจ้า

เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ มันเป็นไปเพื่อที่พวกเขาจะได้ชื่นชมความอุดมสมบูรณ์ของพระองค์และรักพระองค์อย่างจริงแท้ โดยวิธีนี้ มนุษย์ก็จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างของพระองค์  ปัจจุบันนี้ สำหรับพวกเขาทั้งหมดที่ไม่สามารถรักพระเจ้าได้นั้น ไม่ได้สนใจต่อภาระของพระองค์ ไร้ความสามารถที่จะมอบหัวใจของเขาให้พระองค์อย่างครบถ้วน ไร้ความสามารถที่จะเข้าใจในพระทัยของพระองค์เสมือนเป็นหัวใจของพวกเขาเองได้ และไม่สามารถแบกภาระของพระองค์เสมือนเป็นภาระของพวกเขาเองได้—ความสว่างของพระเจ้าไม่สาดส่องไปยังมนุษย์คนใดที่เป็นเช่นนั้น  และเพราะเช่นนั้น พวกเขาทั้งหมดจึงกำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด  พวกเขาอยู่บนเส้นทางที่ต่อต้านน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง และไม่มีเศษเสี้ยวของความจริงในสิ่งใดที่พวกเขาทำเลย  พวกเขากำลังเกลือกกลิ้งในโคลนตมกับซาตาน พวกเขาคือผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด  หากเจ้าสามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และสนใจต่อน้ำพระทัยของพระองค์ และนำพระวจนะของพระองค์มาปฏิบัติอยู่เนืองๆ  เมื่อนั้นเจ้าก็เป็นของพระเจ้า และเจ้าคือบุคคลหนึ่งซึ่งใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระองค์  เจ้าเต็มใจหรือไม่ที่จะหลีกหนีจากแดนครอบครองของซาตานและใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้า?  หากเจ้าใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้า เมื่อนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะมีโอกาสได้ปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ หากเจ้าใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตาน เจ้าก็จะไม่ได้มอบโอกาสเช่นนั้นแก่พระวิญญาณบริสุทธิ์  พระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์ ความสว่างที่พระองค์ทรงสาดส่องบนพวกเขา และความมั่นใจที่พระองค์ประทานแก่พวกเขาคงอยู่เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น หากว่าผู้คนไม่เอาใจใส่และไม่ให้ความสนใจ เมื่อนั้น พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเลยผ่านพวกเขาไป  หากมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะอยู่กับพวกเขาและปฏิบัติพระราชกิจต่อพวกเขา  หากมนุษย์ไม่ใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้า เมื่อนั้น พวกเขาก็จะใช้ชีวิตอยู่ในพันธนาการของซาตาน  หากมนุษย์อยู่กับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม การสถิตหรือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่อยู่กับพวกเขา  หากเจ้าใช้ชีวิตอยู่ภายในขีดคั่นแห่งพระวจนะของพระเจ้า และหากเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ เมื่อนั้น เจ้าก็จะเป็นผู้ที่เป็นของพระองค์ และพระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจต่อเจ้า หากเจ้าไม่ได้กำลังใช้ชีวิตอยู่ภายในขีดคั่นแห่งข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของพระเจ้า แต่กลับใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานแทน เมื่อนั้น เจ้าก็กำลังใช้ชีวิตอยู่ภายในความเสื่อมทรามของซาตานอย่างแน่นอน  เจ้าจะสามารถทำตามพระประสงค์ของพระองค์ได้ก็ด้วยการใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้าและมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระองค์เท่านั้น เจ้าต้องทำตามที่พระเจ้าตรัส ทำให้ถ้อยดำรัสของพระองค์เป็นรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของเจ้าและคือความเป็นจริงแห่งชีวิตของเจ้า เช่นนี้เท่านั้นที่เจ้าจะเป็นของพระเจ้า  หากเจ้าปฏิบัติตามน้ำพระทัยพระเจ้า พระองค์จะปฏิบัติพระราชกิจต่อเจ้า แล้วเจ้าจึงจะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้พรของพระองค์ ในความสว่างแห่งโฉมพระพักตร์ของพระองค์ เจ้าจะจับความเข้าใจในพระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติและรู้สึกชื่นบานยินดีในการสถิตของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงหนีให้พ้นจากอิทธิพลแห่งความมืด แล้วพระเจ้าจะทรงรับเจ้าไว้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 535

เพื่อหนีให้พ้นจากอิทธิพลแห่งความมืด เจ้าต้องจงรักภักดีต่อพระเจ้าและมีใจกระหายที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงเสียก่อน เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถมีสภาวะที่ถูกต้องได้  การใช้ชีวิตในสภาวะที่ถูกต้องคือความพร้อมพื้นฐานสำหรับการหลีกหนีจากอิทธิพลแห่งความมืด  การไม่มีสภาวะที่ถูกต้องก็คือการที่ไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า และการที่ไม่มีใจกระหายที่จะแสวงหาความจริง และคงไม่ต้องถามถึงการที่จะหลีกหนีจากอิทธิพลแห่งความมืดไปได้  วจนะของเราคือพื้นฐานของมนุษย์ในการหลีกหนีจากอิทธิพลมืดทั้งหลาย และผู้คนที่ไม่สามารถปฏิบัติตามวจนะของเราจะไม่สามารถหลีกหนีจากพันธนาการของอิทธิพลแห่งความมืดได้  การใช้ชีวิตในสภาวะที่ถูกต้องก็คือการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การทรงนำแห่งพระวจนะของพระเจ้า อยู่ในสภาวะแห่งความจงรักภักดีต่อพระเจ้า อยู่ในสภาวะของการแสวงหาความจริง อยู่ในความเป็นจริงแห่งการสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจ และอยู่ในสภาวะที่รักพระเจ้าอย่างจริงแท้  บรรดาผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะเหล่านี้และอยู่ภายในความเป็นจริงนี้จะค่อยๆแปลงสภาพเมื่อพวกเขาเข้าสู่ก้นบึ้งแห่งความจริง และพวกเขาจะแปลงสภาพเมื่องานนั้นลงลึกยิ่งขึ้น และในท้ายที่สุด พวกเขาจะได้กลายเป็นผู้คนซึ่งได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน และเป็นผู้ที่รักพระเจ้าอย่างจริงแท้  พวกที่ได้หลีกหนีจากอิทธิพลแห่งความมืดมาแล้วจะสามารถหยั่งรู้ถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าทีละน้อยและค่อยๆ มาเข้าใจ จนในที่สุดพวกเขาจะกลายเป็นผู้มีความมั่นใจในพระเจ้า  พวกเขาไม่เพียงไม่เก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและไม่กบฏต่อพระองค์เท่านั้น แต่จะยังยิ่งรังเกียจความคิดเหล่านั้นและความเป็นกบฏที่เคยครอบครองพวกเขามาก่อนหน้านี้มากขึ้นไปอีก และความรักแท้ต่อพระเจ้าจึงเกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา  ผู้คนที่ไร้ความสามารถที่จะหลีกหนีจากอิทธิพลแห่งความมืดได้นั้น ล้วนถูกครอบครองด้วยเนื้อหนังและเต็มไปด้วยความกบฏอย่างสมบูรณ์ หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์และปรัชญาสำหรับการดำเนินชีวิตสารพัด รวมถึงเจตนาและความจงใจของพวกเขาเอง  สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ก็คือความรักเดียวใจเดียวจากมนุษย์ สิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์คือให้มนุษย์ถูกจับจองไว้ด้วยพระวจนะของพระองค์และด้วยหัวใจซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยความรักที่มีต่อพระเจ้า  การได้ใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้า ได้ค้นหาสิ่งที่พวกเขาควรแสวงหาภายในพระวจนะของพระองค์ ได้รักพระเจ้าเพื่อพระวจนะของพระองค์ ได้ดำเนินการเพื่อพระวจนะของพระองค์ ได้ใช้ชีวิตอยู่เพื่อพระวจนะของพระองค์—เหล่านี้คือเป้าหมายที่มนุษย์ควรเพียรพยายามจนสัมฤทธิ์  ทุกสิ่งทุกอย่างต้องสร้างขึ้นตามพระวจนะของพระเจ้า เพียงเช่นนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถทำตามข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของพระเจ้าได้  หากมนุษย์ไม่ตระเตรียมให้พร้อมด้วยพระวจนะของพระเจ้า เขาก็จะไม่ใช่อื่นใดนอกจากหนอนแมลงที่ถูกครอบครองโดยซาตาน!  จงชั่งน้ำหนักเรื่องนี้ดูเถิด พระวจนะของพระเจ้าได้หยั่งรากภายในตัวเจ้าไปมากเพียงใดแล้ว?  เจ้าใช้ชีวิตสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์ในสิ่งใดบ้าง?  เจ้าใช้ชีวิตไม่สอดคล้องกับพระวจนะเหล่านั้นในสิ่งใดบ้าง?  หากว่าเจ้าไม่ได้ยึดถือพระวจนะของพระเจ้า ไว้อย่างสมบูรณ์ แล้วสิ่งใดกันแน่ที่จับจองหัวใจของเจ้า?  ในชีวิตประจำวันของเจ้า เจ้าถูกควบคุมโดยซาตานหรือเจ้าถูกจับจองโดยพระวจนะของพระเจ้า?  พระวจนะของพระองค์เป็นรากฐานที่เจ้าใช้อธิษฐานตามหรือไม่?  เจ้าได้ออกมาจากสภาวะอันเป็นลบของเจ้าผ่านความรู้แจ้งในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  การนำพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นรากฐานในการดำรงอยู่ของเจ้า—นี่สิคือสิ่งที่ทุกคนควรเข้าสู่  หากพระวจนะของพระเจ้าไม่ปรากฏอยู่ในชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็กำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืด เจ้ากำลังกบฏต่อพระเจ้า เจ้ากำลังต้านทานพระองค์ และเจ้ากำลังไม่ให้เกียรติพระนามของพระองค์  ความเชื่อในพระเจ้าของผู้คนเช่นนั้นเป็นความประพฤติเลวร้ายและเป็นสิ่งก่อกวนความสงบโดยแท้  ชีวิตเจ้ามากเท่าใดที่ได้ดำเนินไปโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์?  และชีวิตเจ้ามากเท่าใดที่ไม่ได้ดำเนินไปโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์?  สิ่งซึ่งพระวจนะของพระเจ้าได้พึงประสงค์จากเจ้า ได้รับการทำให้ลุล่วงในตัวเจ้าไปมากเท่าใดแล้ว?  มากเท่าใดแล้วที่ได้สูญหายไปในตัวเจ้า?  เจ้าได้พิจารณาสิ่งดังกล่าวเหล่านั้นอย่างใกล้ชิดแล้วหรือไม่?

การหลีกหนีจากอิทธิพลแห่งความมืดนั้นจำเป็นต้องใช้ทั้งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และความร่วมมืออย่างมอบอุทิศของมนุษย์  เหตุใดเราจึงกล่าวว่ามนุษย์ไม่ได้อยู่ในร่องครรลองอันถูกต้อง?  ผู้คนซึ่งอยู่ในร่องครรลองอันถูกต้องจะสามารถมอบหัวใจของพวกเขาให้แก่พระเจ้าได้ก่อน  นี่คือภารกิจหนึ่งซึ่งใช้เวลานานมากในการเข้าสู่ เพราะมนุษยชาติได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งความมืดตลอดเวลา และตกอยู่ภายใต้พันธนาการของซาตานมาแล้วเป็นเวลาหลายพันปี  เพราะฉะนั้น การเข้าสู่ภารกิจนี้ไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้แค่ภายในวันหรือสองวัน  เราได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาในวันนี้ก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถจับความเข้าใจสักอย่างเกี่ยวกับสภาวะของตัวพวกเขาเองได้  ครั้นมนุษย์สามารถหยั่งรู้ว่าอิทธิพลแห่งความมืดคืออะไร และความหมายของการใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างคืออะไร เมื่อนั้น การเข้าสู่ภารกิจนี้จะกลายเป็นง่ายขึ้นมาก  นี่เป็นเพราะเจ้าต้องรู้เสียก่อนว่าอิทธิพลของซาตานนั้นคืออะไร เจ้าจึงจะสามารถหลีกหนีจากมันได้ หลังจากนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะมีวิธีละทิ้งมันไป  สำหรับสิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้นั่นก็คือกิจธุระของมนุษย์เอง  จงเริ่มเข้าสู่ทุกสิ่งทุกอย่างจากแง่มุมในด้านบวก และอย่ามัวเอาแต่รออย่างนิ่งเฉยโดยเด็ดขาด  ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เจ้าจึงจะสามารถได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงหนีให้พ้นจากอิทธิพลแห่งความมืด แล้วพระเจ้าจะทรงรับเจ้าไว้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 536

พระวจนะของพระเจ้าแต่ละคำกระทบหนึ่งจุดสำคัญในความเป็นมนุษย์ของพวกเรา ทิ้งให้พวกเรามีบาดแผลและเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น  พระองค์ทรงเปิดโปงมโนคติที่หลงผิดของพวกเรา การจินตนาการของพวกเรา และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเรา  จากทั้งหมดที่พวกเราพูดและทำ ลงไปถึงทุกๆ ความคิดและความคิดเห็นของพวกเรา แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเราถูกเปิดโปงในพระวจนะของพระองค์ ทำให้พวกเราตกอยู่ในสภาวะของความกลัวและตัวสั่นปราศจากที่ให้ซุกซ่อนความละอายของพวกเรา  ข้อแล้วข้อเล่า พระองค์ทรงบอกพวกเราเกี่ยวกับการกระทำของพวกเรา จุดมุ่งหมายและเจตนาของพวกเราทั้งหมด แม้กระทั่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเราไม่เคยค้นพบ ทำให้พวกเรารู้สึกเหมือนถูกเปิดโปงในความไม่เพียบพร้อมอันน่าสังเวชของพวกเรา และยิ่งไปกว่านั้น ถูกเอาชนะไปอย่างหมดรูป  พระองค์ทรงพิพากษาพวกเราที่ต่อต้านพระองค์ ทรงตีสอนพวกเราที่หมิ่นประมาทและกล่าวโทษพระองค์ และทรงทำให้พวกเรารู้สึกว่าในสายพระเนตรของพระองค์ กล่าวคือ พวกเราไม่มีคุณลักษณะของการไถ่โทษแม้สักอย่างเดียว รู้สึกว่าพวกเราเป็นซาตานที่มีชีวิต  ความหวังของพวกเราถูกทำลาย พวกเราไม่กล้าทำการเรียกร้องอย่างไร้เหตุผลจากพระองค์หรือเก็บงำการออกแบบอันใดกับพระองค์อีกต่อไป และแม้แต่ความฝันทั้งหลายของพวกเราก็มลายวับไปในชั่วข้ามคืน  นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครในพวกเราสามารถจินตนาการได้และไม่มีใครในพวกเราสามารถยอมรับได้  ภายในชั่วแวบเดียว พวกเราสูญเสียดุลยภาพภายในของพวกเราไปและไม่รู้วิธีไปต่อบนถนนที่ทอดตัวอยู่ข้างหน้า หรือวิธีไปต่อในความเชื่อของพวกเรา  ดูเหมือนว่าความเชื่อของพวกเราได้ถอยกลับไปอยู่ที่จุดเริ่มต้น และราวกับว่าพวกเราไม่เคยพบองค์พระเยซูเจ้าหรือได้รู้จักพระองค์มาก่อนเลย  ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ต่อหน้าต่อตาพวกเราทำให้พวกเราเต็มไปด้วยความงุนงงสับสนและทำให้พวกเราสองจิตสองใจละล้าละลัง  พวกเราท้อแท้ พวกเราผิดหวัง และลึกลงไปในใจพวกเรา มีความเดือดดาลและความอับอายที่ไม่สามารถเก็บกดเอาไว้ได้  พวกเราพยายามระบายออก ค้นหาทางออก และยิ่งไปกว่านั้น เฝ้ารอพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเราต่อไป เพื่อที่พวกเราอาจจะได้เทใจของพวกเราออกมาให้พระองค์  แม้มีบางครั้งที่ภายนอกพวกเราดูเหมือนมีสมดุล ทั้งไม่หยิ่งผยองและไม่ถ่อมตน แต่ในใจพวกเรา พวกเราทุกข์ใจกับความรู้สึกสูญเสียที่พวกเราไม่เคยรู้สึกมาก่อน  แม้บางครั้งพวกเราอาจดูภายนอกว่านิ่งสงบผิดปกติ แต่จิตใจของพวกเรากำลังปั่นป่วนด้วยความทรมานเหมือนทะเลพายุ  การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ได้ปลดเปลื้องพวกเราจากความหวังและความฝันทั้งปวงของพวกเรา เป็นการยุติความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อของพวกเราและทิ้งให้พวกเราหมดความเต็มใจที่จะเชื่อว่าพระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเราและสามารถช่วยชีวิตพวกเราได้  การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ได้เปิดรอยแยกระหว่างพวกเรากับพระองค์ ซึ่งเป็นรอยแยกที่ลึกเสียจนไม่มีใครเต็มใจที่จะข้ามมัน  การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์เป็นครั้งแรกที่พวกเราทนทุกข์กับความล้มเหลวครั้งใหญ่เช่นนี้ ความอัปยศอันใหญ่หลวงยิ่งนักในชีวิตของพวกเรา  การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ทำให้พวกเราซาบซึ้งอย่างแท้จริงในพระเกียรติและความไม่ยอมผ่อนปรนของพระเจ้าต่อการทำให้ขุ่นเคืองของมนุษย์ ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว พวกเราช่างต่ำช้าเหลือเกิน ช่างมีมลทินเหลือเกิน  การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ทำให้พวกเราตระหนักเป็นครั้งแรกว่าพวกเราโอหังและอวดตัวเพียงใด และมนุษย์จะไม่มีวันเท่าเทียมกับพระเจ้าหรือตีเสมอกับพระเจ้าอย่างไร  การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ได้ทำให้พวกเราโหยหาไม่อยากมีชีวิตต่อไปในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นนี้ โหยหาที่จะกำจัดตัวพวกเราเองออกจากแก่นแท้ธรรมชาตินี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และหยุดทำตัวเลวร้ายและน่ารังเกียจต่อพระองค์  การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ได้ทำให้พวกเรามีความสุขในการเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ ไม่กบฏต่อการเรียบเรียงจัดวางและการจัดการเตรียมการของพระองค์อีกต่อไป  การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ได้ทำให้พวกเรามีความอยากที่จะอยู่รอดและทำให้พวกเรามีความสุขที่จะยอมรับพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเราอีกครั้ง… พวกเราได้ก้าวออกจากพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย ออกจากนรก ออกจากหุบเขาแห่งเงื้อมเงาของความตาย… พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงรับพวกเราผู้คนกลุ่มนี้ไว้แล้ว!  พระองค์ทรงมีชัยเหนือซาตานและทำให้บรรดาไพร่พลทั้งหลายของพวกศัตรูของพระองค์พ่ายแพ้!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 4: มองดูการทรงปรากฏของพระเจ้าในการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 537

เมื่อเจ้าได้ทิ้งอุปนิสัยอันหลงผิดของเจ้าและสัมฤทธิ์การดำรงชีพจากสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติแล้วเท่านั้น เจ้าถึงจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  แม้ว่าเจ้าจะไร้ความสามารถที่จะกล่าวคำเผยพระวจนะหรือพูดเกี่ยวกับความล้ำลึกใดๆ ก็ตาม เจ้าก็จะกำลังดำรงชีพตามและเปิดเผยภาพลักษณ์ของมนุษย์  พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ แต่แล้วมนุษย์ก็ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม จนผู้คนกลายเป็น “คนตาย”  ดังนั้น หลังจากที่เจ้าได้เปลี่ยนไป เจ้าก็จะไม่เป็นเช่น “คนตาย” เหล่านี้อีกต่อไป  เป็นพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่ช่วยให้จิตวิญญาณของผู้คนฟื้นคืนขึ้นมาและทำให้พวกเขาได้เกิดใหม่ และเมื่อจิตวิญญาณของผู้คนเกิดใหม่ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ย่อมจะได้กลับมีชีวิตขึ้นอีก  เมื่อเราพูดถึง “คนตาย” เรากำลังอ้างถึงบรรดาซากศพที่ไร้วิญญาณ อ้างถึงผู้คนที่จิตวิญญาณของพวกเขาได้ตายไปแล้วภายในตัวพวกเขา  เมื่อประกายแห่งชีวิตถูกจุดขึ้นในจิตวิญญาณของผู้คน ผู้คนก็ย่อมกลับมีชีวิตขึ้นอีก  เหล่าวิสุทธิชนที่เคยถูกกล่าวถึงก่อนหน้านั้นอ้างอิงถึงผู้คนที่ได้กลับมีชีวิตขึ้นอีก คือบรรดาผู้ที่ได้อยู่ใต้อิทธิพลของซาตานแต่มีชัยเหนือซาตาน  ประชากรที่ได้รับเลือกสรรแห่งประเทศจีนได้สู้ทนต่อการข่มเหงและเล่ห์เหลี่ยมที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมของพญานาคใหญ่สีแดง ซึ่งได้ทิ้งให้พวกเขาบาดเจ็บทางใจและปราศจากความกล้าแม้แต่น้อยที่จะมีชีวิตอยู่  ดังนั้น การตื่นขึ้นของจิตวิญญาณของพวกเขาต้องเริ่มต้นด้วยเนื้อแท้ของพวกเขา: จิตวิญญาณของพวกเขาต้องถูกปลุกในเนื้อแท้ของพวกเขาทีละเล็กทีละน้อย  เมื่อวันหนึ่งพวกเขากลับมีชีวิตขึ้นอีก จะไม่มีสิ่งขัดขวางอีกต่อไป และทุกสิ่งจะดำเนินไปอย่างราบรื่น  ในปัจจุบันการนี้ยังคงไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้  ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในหนทางที่ก่อให้เกิดกระแสมรณะมากมาย พวกเขาถูกปกคลุมด้วยรัศมีแห่งความตาย และพวกเขายังขาดแคลนอยู่อีกมาก  คำพูดของผู้คนบางคนลำเลียงความตายมา การกระทำของพวกเขาลำเลียงความตายมา และเกือบทุกสิ่งที่พวกเขานำมาในหนทางที่พวกเขาใช้ชีวิตประกอบด้วยความตาย  หากวันนี้ผู้คนเป็นคำพยานต่อพระเจ้าในที่สาธารณะแล้ว พวกเขาก็ย่อมจะล้มเหลวในงานนี้ เพราะพวกเขายังไม่ได้กลับมีชีวิตขึ้นอีกโดยบริบูรณ์ และมีคนตายมากเกินไปในหมู่พวกเจ้า  วันนี้ผู้คนบางคนถามว่าทำไมพระเจ้าไม่ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์บางอย่างเพื่อให้พระองค์ทรงสามารถกระจายพระราชกิจของพระองค์ได้อย่างรวดเร็วท่ามกลางคนต่างชาติ  คนตายไม่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าได้ นั่นเป็นบางสิ่งที่คนเป็นเท่านั้นสามารถทำได้ และแม้กระนั้นผู้คนส่วนใหญ่ในวันนี้เป็น “คนตาย” มีผู้คนมากเกินไปมีชีวิตภายใต้การปกคลุมของความตาย ภายใต้อิทธิพลของซาตาน และไม่สามารถได้รับชัยชนะได้  เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะสามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาจะสามารถเผยแพร่พระราชกิจแห่งข่าวประเสริฐได้อย่างไร?

บรรดาผู้ที่มีชีวิตภายใต้อิทธิพลของความมืดทั้งหมดคือผู้ที่มีชีวิตท่ามกลางความตาย ผู้ที่ถูกครอบงำโดยซาตาน  เมื่อไม่ได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าและถูกพิพากษาและตีสอนโดยพระเจ้า ผู้คนก็ไร้ความสามารถที่จะหลีกหนีจากอิทธิพลของความตายได้ พวกเขาไม่สามารถกลายเป็นคนเป็นได้  “คนตาย” เหล่านี้ไม่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้า และอีกทั้งพระเจ้าก็ไม่สามารถใช้งานพวกเขา นับประสาอะไรกับการเข้าสู่ราชอาณาจักร  พระเจ้าทรงต้องประสงค์คำพยานของคนเป็น ไม่ใช่ของคนตาย และพระองค์ทรงขอให้คนเป็น ไม่ใช่คนตาย ทำงานให้พระองค์  “คนตาย” คือพวกที่ต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้า พวกเขาเป็นพวกที่ด้านชาในจิตวิญญาณและไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาคือผู้ที่ไม่ได้นำความจริงมาปฏิบัติและไม่มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแม้แต่น้อย และพวกเขาคือผู้ที่มีชีวิตภายใต้แดนครอบครองของซาตานและถูกซาตานหาประโยชน์จากพวกเขา  คนตายสำแดงตัวด้วยการยืนหยัดต่อต้านความจริง ด้วยการกบฏต่อพระเจ้า และด้วยการทำตัวต่ำช้า น่าเหยียดหยาม มุ่งร้าย โหดร้าย เล่ห์ลวง และเจ้าเล่ห์  แม้ว่าผู้คนเช่นนี้จะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไร้ความสามารถที่จะดำรงชีพตามพระวจนะของพระเจ้าได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิต แต่พวกเขาก็เป็นเพียงซากศพที่เดินได้ หายใจได้  คนตายนั้นไม่สามารถอย่างสิ้นเชิงที่จะทำให้พระเจ้าสมดังพระทัยได้ และยิ่งไม่เชื่อฟังพระองค์อย่างสิ้นเชิง  พวกเขาเพียงแค่สามารถหลอกลวงพระองค์ หมิ่นประมาทพระองค์และทรยศพระองค์เท่านั้น และทั้งหมดที่พวกเขานำออกมาโดยวิธีที่พวกเขาใช้ชีวิตเปิดเผยธรรมชาติของซาตาน  หากผู้คนปรารถนาที่จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตและเป็นคำพยานต่อพระเจ้า และได้รับการรับรองจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องยอมรับความรอดของพระเจ้า พวกเขาต้องนบนอบด้วยความเปรมปรีดิ์ต่อการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์และต้องยอมรับด้วยความเปรมปรีดิ์ต่อการตัดแต่งของพระเจ้าและการจัดการโดยพระองค์  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถนำความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์มาปฏิบัติได้ และเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับความรอดของพระเจ้าและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแท้จริง  คนเป็นได้รับการทรงช่วยให้รอดโดยพระเจ้า พวกเขาถูกพิพากษาและตีสอนโดยพระเจ้า พวกเขาเต็มใจอุทิศตนและยินดีวางชีวิตของพวกเขาลงเพื่อพระเจ้า และพวกเขาย่อมจะยินดีอุทิศชีวิตทั้งหมดของพวกเขาให้กับพระเจ้า  จนเมื่อคนเป็นเป็นคำพยานต่อพระเจ้าแล้วเท่านั้น ซาตานจึงสามารถถูกทำให้อับอายได้ มีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่สามารถเผยแพร่พระราชกิจข่าวประเสริฐของพระเจ้า มีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่สมดังพระทัยของพระเจ้า และมีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่เป็นผู้คนจริงๆ  เดิมทีนั้นมนุษย์ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างนั้นมีชีวิต แต่เนื่องจากถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มนุษย์จึงมีชีวิตท่ามกลางความตายและมีชีวิตภายใต้อิทธิพลของซาตาน และดังนั้น ด้วยวิธีนี้เองผู้คนจึงได้กลายเป็นคนตายไร้จิตวิญญาณ พวกเขาได้กลายเป็นศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า พวกเขาได้กลายเป็นเครื่องมือของซาตาน และพวกเขาได้กลายเป็นเชลยของซาตาน  พวกคนเป็นทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงสร้างได้กลายเป็นคนตาย และดังนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงสูญเสียคำพยานของพระองค์ และพระองค์ได้ทรงสูญเสียมวลมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างและซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่มีลมหายใจของพระองค์  หากพระเจ้าทรงหมายจะเอาคำพยานของพระองค์กลับคืนและเอาพวกที่พระองค์ทรงทำขึ้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง แต่ถูกซาตานจับเป็นเชลยกลับคืน เช่นนั้นแล้วพระองค์ต้องทรงคืนชีพพวกเขาเพื่อให้พวกเขากลายเป็นสิ่งมีชีวิต และพระองค์ต้องทรงเรียกพวกเขากลับคืนเพื่อให้พวกเขามีชีวิตในความสว่างของพระองค์  คนตายคือพวกที่ไม่มีจิตวิญญาณ พวกที่ด้านชาอย่างที่สุดและพวกที่ต่อต้านพระเจ้า  แรกที่สุดพวกเขาเป็นพวกที่ไม่รู้จักพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้ไม่มีเจตนาแม้แต่น้อยที่จะเชื่อฟังพระเจ้า พวกเขาเพียงแต่กบฏต่อพระองค์และต่อต้านพระองค์เท่านั้น และไม่มีความจงรักภักดีแม้แต่น้อย  คนเป็นคือพวกที่จิตวิญญาณได้เกิดใหม่แล้ว พวกที่รู้จักเชื่อฟังพระเจ้า และพวกที่ภักดีต่อพระเจ้า พวกเขาถูกครอบครองด้วยความจริง และด้วยคำพยาน และผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นที่พอพระทัยต่อพระเจ้าในพระนิเวศของพระองค์  พระเจ้าทรงช่วยชีวิตพวกผู้ที่สามารถกลับมีชีวิตขึ้นอีก ผู้ที่สามารถเห็นความรอดของพระเจ้า ผู้ที่สามารถจงรักภักดีต่อพระเจ้าและผู้ที่เต็มใจแสวงหาพระเจ้า  พระองค์ทรงช่วยชีวิตพวกที่เชื่อในการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าและในการทรงปรากฏของพระองค์ให้รอด  คนบางคนสามารถกลับมีชีวิตขึ้นอีกและบางคนก็ไม่สามารถ นี่ขึ้นอยู่กับว่าธรรมชาติของพวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่  ผู้คนมากมายได้ยินพระวจนะของพระเจ้าจำนวนมาก แต่ก็ไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และยังคงไม่สามารถนำพระวจนะมาปฏิบัติได้  ผู้คนเช่นนี้ไม่สามารถดำรงชีพตามความจริงใดๆ และยังจงใจแทรกแซงพระราชกิจของพระเจ้าอีกด้วย  พวกเขาไม่สามารถทำงานใดๆ เพื่อพระเจ้าได้ พวกเขาไม่สามารถอุทิศสิ่งใดๆ ให้พระองค์ได้ และพวกเขายังแอบใช้เงินของคริสตจักรและแอบกินฟรีในพระนิเวศของพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้ตายแล้วและพวกเขาจะไม่ได้รับการช่วยให้รอด  พระเจ้าทรงช่วยชีวิตทุกคนที่อยู่ท่ามกลางพระราชกิจของพระองค์ให้รอด แต่มีคนส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถรับความรอดของพระองค์ได้ มีเพียงคนจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่สามารถได้รับความรอดของพระองค์  นี่เป็นเพราะคนส่วนใหญ่ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างถลำลึกเกินไปและได้กลายเป็นตายสนิทแล้ว และพวกเขาก็เกินกว่าความรอดจะช่วยได้ พวกเขาถูกซาตานหาประโยชน์จากพวกเขาอย่างเต็มที่ และพวกเขามุ่งร้ายเกินไปในธรรมชาติของพวกเขา  คนส่วนน้อยพวกนั้นไร้ความสามารถที่จะเชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างเต็มที่อีกด้วย  พวกเขาไม่ใช่พวกที่ได้สัตย์ซื่อต่อพระเจ้าอย่างเต็มที่มาตั้งแต่ต้น หรือผู้ที่ได้มีความรักสุดหัวใจต่อพระเจ้าตั้งแต่ต้น แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาได้กลายเป็นเชื่อฟังพระเจ้าเพราะพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยของพระองค์ พวกเขาเห็นพระเจ้าเพราะความรักสูงสุดของพระองค์ มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขาเพราะพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และพวกเขาได้มารู้จักพระเจ้าเพราะพระราชกิจของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์ซึ่งทั้งสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นปกติ  เมื่อปราศจากพระราชกิจของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าผู้คนเหล่านี้จะดีเพียงใด พวกเขาก็จะยังคงเป็นของซาตาน พวกเขาก็จะยังคงเป็นของความตาย และพวกเขาก็จะยังคงตายแล้ว  ข้อเท็จจริงที่ว่าวันนี้ผู้คนเหล่านี้สามารถได้รับความรอดของพระเจ้าได้ก็เป็นเพียงเพราะพวกเขาเต็มใจร่วมมือกับพระเจ้าเท่านั้นเอง

เพราะความจงรักภักดีของพวกเขาต่อพระเจ้า คนเป็นจะได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้าและมีชีวิตท่ามกลางพระสัญญาของพระองค์ และเพราะพวกเขาต่อต้านพระเจ้า คนตายจะถูกรังเกียจและละทิ้งโดยพระเจ้าและมีชีวิตท่ามกลางการลงโทษและการสาปแช่งของพระองค์  นั่นคือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยมนุษย์ผู้ใด  เพราะการแสวงหาของพวกเขาเอง ผู้คนจึงได้รับการรับรองจากพระเจ้าและมีชีวิตในความสว่าง เพราะกลอุบายเจ้าเล่ห์ของพวกเขา ผู้คนจึงถูกสาปแช่งโดยพระเจ้าและดิ่งลงสู่การลงโทษ เพราะการทำชั่วของพวกเขา ผู้คนจึงถูกพระเจ้าทรงลงโทษ และเพราะการโหยหาและความจงรักภักดีของพวกเขา ผู้คนจึงได้รับพระพรจากพระเจ้า  พระเจ้าทรงชอบธรรม นั่นคือ พระองค์ทรงอวยพรคนเป็น และทรงสาปแช่งคนตาย เพื่อที่พวกเขาจะอยู่ท่ามกลางความตายเสมอและจะไม่มีวันมีชีวิตในความสว่างของพระเจ้า  พระเจ้าจะทรงนำคนเป็นเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์และเข้าสู่พระพรของพระองค์ ให้ได้อยู่กับพระองค์ไปตลอดกาล  แต่สำหรับคนตาย พระองค์จะทรงทุบตีพวกเขาและส่งพวกเขาลงสู่ความตายชั่วนิรันดร์ พวกเขาคือวัตถุประสงค์แห่งการทำลายล้างของพระองค์และจะเป็นของซาตานเสมอ  พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อผู้ใดอย่างไม่ยุติธรรม  บรรดาผู้ที่แสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริงจะยังคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างแน่นอน และทุกคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าและเข้ากันไม่ได้กับพระองค์จะมีชีวิตท่ามกลางการลงโทษของพระองค์อย่างแน่นอน  บางทีเจ้าอาจไม่แน่ใจเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนัง—แต่สักวันหนึ่ง เนื้อหนังของพระเจ้าจะไม่ทรงจัดการเตรียมการจุดจบของมนุษย์โดยตรง แต่พระวิญญาณของพระองค์จะจัดการเตรียมการบั้นปลายของมนุษย์แทน และ ณ เวลานั้น ผู้คนจะได้รู้ว่าเนื้อหนังของพระเจ้าและพระวิญญาณของพระองค์คือหนึ่งเดียวกัน ว่าเนื้อหนังของพระองค์ไม่สามารถกระทำความผิดพลาดได้ และว่าพระวิญญาณของพระองค์ยิ่งไม่สามารถกระทำความผิดพลาดได้มากกว่า  ในท้ายที่สุดแล้ว พระองค์จะทรงนำบรรดาผู้ที่ได้กลับมีชีวิตขึ้นอีกเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์อย่างแน่นอน ไม่มากกว่าหรือน้อยกว่านั้น  ในส่วนของคนตายที่ไม่ได้กลับมีชีวิตขึ้นอีก พวกเขาจะถูกโยนเข้าไปในถ้ำของซาตาน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าคือใครบางคนที่ได้กลับมีชีวิตขึ้นอีกหรือไม่?

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 538

ขั้นตอนแรกแห่งเส้นทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในตัวมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใดก็คือ การดึงดูดหัวใจมนุษย์ให้หันจากผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย และมาสู่พระวจนะของพระเจ้า  โดยการทำให้หัวใจมนุษย์เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าอยู่เหนือความกังขาทั้งปวงและเป็นจริงอย่างครบบริบูรณ์  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าต้องเชื่อในพระวจนะของพระองค์ หากหลังจากที่ความเชื่อในพระเจ้าผ่านไปหลายปี เจ้ายังคงไม่ตระหนักรู้ถึงเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้  เจ้าเป็นผู้เชื่อจริงๆ หรือ?  การที่จะสัมฤทธิ์ชีวิตมนุษย์ปกติ—ชีวิตมนุษย์ปกติที่มีสัมพันธภาพซึ่งเป็นปกติกับพระเจ้า—เจ้าต้องเริ่มจากการเชื่อในพระวจนะของพระองค์  หากเจ้ายังไม่สัมฤทธิ์ขั้นตอนแรกแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในผู้คน เจ้าก็ย่อมไม่มีรากฐาน  หากแม้แต่หลักการที่เล็กที่สุดเจ้าก็ยังไปไม่ถึง แล้วเจ้าจะเดินไปบนเส้นทางข้างหน้าได้อย่างไร?  การก้าวไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องที่พระเจ้าทรงใช้ทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมนั้นหมายถึงการเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายถึงการก้าวเดินไปบนเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้  ในขณะนี้ เส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ก็คือพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนั้น หากผู้คนจะก้าวเดินไปบนเส้นทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาต้องเชื่อฟัง และกินและดื่มพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์  พระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำเป็นพระราชกิจแห่งพระวจนะ กล่าวคือทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นจากพระวจนะของพระองค์  และทั้งหมดล้วนถูกสร้างขึ้นตามพระวจนะของพระองค์  ตามพระวจนะปัจจุบันของพระองค์  ไม่ว่าจะเป็นความแน่ใจเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ หรือการรู้จักพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ ต่างก็พึงต้องมีการใช้ความพยายามให้มากขึ้นกับพระวจนะของพระองค์  หาไม่แล้วผู้คนย่อมไม่สามารถสำเร็จลุล่วงอันใดได้เลย และจะถูกทิ้งให้ไม่เหลืออะไรเลย  โดยการสร้างบนรากฐานแห่งการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และมารู้จักพระองค์และทำให้พระองค์พึงพอพระทัยด้วยการนั้นเท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถค่อยๆ สร้างสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้าได้  สำหรับมนุษย์แล้วไม่มีการร่วมมือกับพระเจ้าที่ดีไปกว่าการกินและดื่มพระวจนะของพระองค์และนำพระวจนะไปปฏิบัติอีกแล้ว  โดยผ่านทางการปฏิบัติเช่นนั้น พวกเขาจึงมีความสามารถที่จะตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาเกี่ยวกับประชากรของพระเจ้าได้อย่างดีที่สุด  เมื่อผู้คนเข้าใจและมีความสามารถที่จะเชื่อฟังแก่นแท้ของพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าได้ พวกเขาย่อมดำเนินชีวิตบนเส้นทางของการได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้ก้าวไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องของพระเจ้าที่ทรงใช้เพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  ก่อนหน้านี้ผู้คนสามารถได้รับพระราชกิจของพระเจ้าเพียงโดยการแสวงหาพระคุณของพระเจ้า หรือแสวงหาสันติสุขและความชื่นบานยินดี  แต่บัดนี้สิ่งทั้งหลายเปลี่ยนไปแล้ว  หากไร้ซึ่งพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ หากไร้ซึ่งความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระองค์  ผู้คนจะไม่สามารถได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า และจะถูกพระเจ้าทรงขับออกไปทั้งหมด  การที่จะสัมฤทธิ์ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ อันดับแรกผู้คนควรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและนำพระวจนะไปปฏิบัติ  และจากนั้นจึงสถาปนาสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าขึ้นบนรากฐานนี้  เจ้าให้ความร่วมมืออย่างไรหรือ?  เจ้าตั้งมั่นในคำพยานเกี่ยวกับประชากรของพระเจ้าอย่างไร?  เจ้าสร้างสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าอย่างไร?

จะดูอย่างไรว่าเจ้ามีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าในชีวิตประจำวันของเจ้าหรือไม่

1. เจ้าเชื่อคำพยานของพระเจ้าเองหรือไม่?

2. เจ้าเชื่ออยู่ในหัวใจของเจ้าหรือไม่ ว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงและมิอาจผิดพลาดได้?

3. เจ้าคือใครบางคนที่นำพระวจนะไปปฏิบัติหรือไม่?

4. เจ้าสัตย์ซื่อต่อพระบัญชาของพระองค์หรือไม่?  เจ้าทำอะไรเพื่อที่จะเป็นการสัตย์ซื่อต่อพระบัญชาของพระองค์?

5. เจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประโยชน์แห่งการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและเป็นการสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าใช่หรือไม่?

โดยวิถีทางของรายการทั้งหลายที่แจงไว้ข้างต้น เจ้าอาจประเมินดูว่าเจ้ามีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าในช่วงระยะปัจจุบันหรือไม่

หากพวกเจ้ามีความสามารถที่จะยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า ยอมรับพระสัญญาของพระองค์ และติดตามเส้นทางแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็กำลังติดตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เส้นทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์ชัดเจนอยู่ในตัวเจ้าหรือไม่?  ขณะนี้เจ้าได้ปฏิบัติตนสอดคล้องกับเส้นทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่?  หัวใจของพวกเจ้าขยับเข้าใกล้พระเจ้าหรือไม่?  เจ้าปรารถนาจะก้าวให้ทันความสว่างซึ่งใหม่ที่สุดของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่?  เจ้าปรารถนาจะให้พระเจ้าทรงรับเจ้าไว้หรือไม่?  เจ้าปรารถนาจะได้กลายเป็นสิ่งที่สำแดงพระสิริของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกหรือไม่?  เจ้ามีปณิธานที่จะบรรลุถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากเจ้าหรือไม่?  ในยามที่พระวจนะของพระเจ้าถูกตรัสออกมา ภายในตัวเจ้ามีปณิธานที่จะร่วมมือและปณิธานที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย—หากว่านี่คือความรู้สึกนึกคิดของเจ้า—ก็หมายความว่าพระวจนะของพระเจ้าได้ให้ดอกออกผลในหัวใจเจ้าแล้ว  แต่หากเจ้าขาดปณิธานดังกล่าว หากเจ้าไร้เป้าหมายที่เจ้าไล่ตามเสาะหา ก็หมายความว่าหัวใจของเจ้ายังไม่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนที่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วคือบรรดาผู้ที่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 539

ในการไล่ตามเสาะหาความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยแห่งการดำเนินชีวิตของคนเรานั้น เส้นทางแห่งการปฏิบัติช่างเรียบง่าย  หากในประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้า เจ้ามีความสามารถที่จะติดตามพระวจนะปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์และได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว อุปนิสัยของเจ้าก็ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงได้  หากเจ้าติดตามไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัส และแสวงหาสิ่งใดก็ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัส เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมเป็นใครบางคนซึ่งเชื่อฟังพระองค์ และย่อมจะมีการเปลี่ยนแปลงหนึ่งในอุปนิสัยของเจ้า  อุปนิสัยของผู้คนเปลี่ยนแปลงด้วยพระวจนะปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นคือ หากเจ้าเกาะติดอยู่กับประสบการณ์เก่าแก่ของเจ้าและกฎเกณฑ์ทั้งหลายของอดีต เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยของเจ้าย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  หากพระวจนะแห่งวันนี้ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ขอให้ผู้คนทั้งหมดเข้าสู่ชีวิตแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่เจ้ายังคงติดพันอยู่กับสิ่งภายนอกทั้งหลาย และสับสนเกี่ยวกับความเป็นจริง และไม่จริงจังกับความเป็นจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็คือใครบางคนซึ่งได้ล้มเหลวที่จะตามให้ทันพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ใครบางคนซึ่งไม่ได้เข้าสู่เส้นทางแห่งการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์  การที่อุปนิสัยของเจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถตามทันพระวจนะปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ และขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีความรู้ที่แท้จริงหรือไม่  นี่ไม่เหมือนกับสิ่งที่เจ้าได้เข้าใจไปก่อนหน้า  การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าที่เจ้าได้เข้าใจไปก่อนหน้านั้นก็คือว่า ตัวเจ้าผู้ซึ่งมักด่วนตัดสินนั้นได้เลิกพูดจาอย่างสิ้นคิดแล้วโดยผ่านทางการบ่มวินัยของพระเจ้า แต่นั่นเป็นแค่หนึ่งแง่มุมของการเปลี่ยนแปลง  ประเด็นที่วิกฤติที่สุด ณ ขณะนี้ก็คือ การติดตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นคือ ติดตามสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัส และเชื่อฟังสิ่งใดก็ตามที่พระองค์ตรัส  ผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเองได้ พวกเขาต้องก้าวผ่านการพิพากษากับการตีสอน และการทนทุกข์กับกระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้า หรือถูกจัดการ บ่มวินัยและตัดแต่งโดยพระวจนะของพระองค์  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังและความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าได้ และไม่ทำเป็นขอไปทีกับพระองค์  ภายใต้กระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่อุปนิสัยของผู้คนเปลี่ยนแปลง  โดยผ่านทางการเปิดโปง การพิพากษา การบ่มวินัย และการจัดการของพระวจนะของพระองค์เท่านั้นพวกเขาจึงจะไม่กล้าที่จะปฏิบัติตนอย่างมุทะลุอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหนักแน่นและสำรวมแทน  ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือว่า พวกเขามีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าและต่อพระราชกิจของพระองค์ได้ ต่อให้พระราชกิจไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พวกเขาก็มีความสามารถที่จะละวางมโนคติที่หลงผิดเหล่านี้และนบนอบได้อย่างเต็มใจ  ในอดีตนั้น โดยหลักแล้ว การพูดคุยถึงการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยอ้างอิงถึงการมีความสามารถที่จะละทิ้งตัวเอง อ้างอิงถึงการยอมให้เนื้อหนังได้ทนทุกข์ การบ่มวินัยร่างกายของคนเรา และการขจัดความเลือกชอบทางเนื้อหนังไปจากตัวคนเรา—ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงประเภทหนึ่งในอุปนิสัย  วันนี้ ทุกคนรู้ว่า การแสดงออกตามความเป็นจริงของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยก็คือ การเชื่อฟังพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้า และการรู้จักพระราชกิจใหม่ของพระองค์อย่างแท้จริง  ในหนทางนี้ ความเข้าใจที่มีมาก่อนเกี่ยวกับพระเจ้า ซึ่งถูกละเลงสีสันโดยมโนคติที่หลงผิดของพวกเขานั้น สามารถถูกลบทิ้งไปได้ และพวกเขาสามารถบรรลุความเชื่อฟังและความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าได้—นี่เท่านั้นที่เป็นการแสดงออกที่จริงแท้ของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนที่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วคือบรรดาผู้ที่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 540

การไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิตของผู้คนนั้นอยู่บนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า  ตามที่เคยมีมาก่อนนั้น มีการกล่าวว่าทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จลุล่วงได้เพราะพระวจนะของพระองค์ แต่ไม่มีใครได้มองเห็นข้อเท็จจริงนี้เลย  หากเจ้าเข้าสู่การได้รับประสบการณ์กับขั้นตอนปัจจุบัน ทั้งหมดก็จะชัดเจนต่อเจ้า และเจ้าก็จะกำลังสร้างรากฐานที่ดีสำหรับบททดสอบทั้งหลายในอนาคต  ไม่ว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใดก็ตาม จงมุ่งเน้นเพียงการเข้าสู่พระวจนะของพระองค์เท่านั้น  เมื่อพระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะทรงเริ่มต้นตีสอนผู้คน ก็จงยอมรับการตีสอนของพระองค์เสีย  เมื่อพระเจ้าทรงขอให้ผู้คนตายไป ก็จงยอมรับบททดสอบนั้น  หากเจ้ากำลังดำรงชีวิตอยู่ภายในถ้อยดำรัสที่ใหม่ที่สุดเสมอ พระวจนะของพระเจ้าย่อมจะทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมในท้ายที่สุด  ยิ่งเจ้าเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร เจ้าก็ยิ่งจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมเร็วขึ้นเท่านั้น  ในการสามัคคีธรรมครั้งแล้วครั้งเล่า เหตุใดเราจึงขอให้พวกเจ้าทำความรู้จักและเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้า?  เฉพาะเมื่อเจ้าไล่ตามเสาะหาและได้รับประสบการณ์ในพระวจนะของพระเจ้า และเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระองค์แล้วเท่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงจะมีโอกาสเหมาะที่จะทรงพระราชกิจในตัวเจ้า  เพราะฉะนั้น พวกเจ้าทั้งหมดล้วนมีส่วนร่วมในทุกวิธีการที่พระเจ้าทรงใช้ในการทรงพระราชกิจ และไม่ว่าความทุกข์ของเจ้าจะเป็นระดับใดก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเจ้าทุกคนจะได้รับ “ของที่ระลึก” ชิ้นหนึ่ง  ในการที่จะบรรลุการทำให้มีความเพียบพร้อมขั้นสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องเข้าสู่พระวจนะทั้งมวลของพระเจ้า  การทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นไม่ใช่เป็นการตบมือข้างเดียว พระองค์ทรงพึงประสงค์ต่อความร่วมมือของผู้คน พระองค์จำเป็นต้องทรงให้ทุกคนร่วมมือกับพระองค์อย่างมีสติรู้สึกตัว  ไม่ว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใดก็ตาม จงมุ่งเน้นเพียงการเข้าสู่พระวจนะของพระองค์—นี่จะให้ประโยชน์ต่อชีวิตของพวกเจ้ามากกว่า  ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งการสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเจ้า  เมื่อเจ้าเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้า หัวใจของเจ้าจะได้รับการขับเคลื่อนโดยพระองค์ และเจ้าจะสามารถรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ในขั้นตอนนี้ของพระราชกิจของพระองค์ และเจ้าก็จะมีปณิธานที่จะสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านั้น  ในช่วงระหว่างเวลาแห่งการตีสอน ได้มีพวกเหล่านั้นที่เชื่อว่า นี่เป็นวิธีการหนึ่งของพระราชกิจ และไม่ได้เชื่อในพระวจนะของพระเจ้า  ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาไม่ได้ก้าวผ่านกระบวนการถลุง และได้ผุดออกมาจากเวลาแห่งการตีสอนโดยปราศจากการได้รับหรือการเข้าใจสิ่งใด  มีบางคนที่เข้าสู่พระวจนะเหล่านี้อย่างแท้จริงโดยปราศจากเศษเสี้ยวแห่งความกังขา เป็นผู้ที่กล่าวว่าพระวจนะแห่งพระเจ้านั้นเป็นความจริงที่มิอาจผิดพลาดได้ และว่ามนุษยชาติควรได้รับการตีสอน  พวกเขาได้ดิ้นรนอยู่ในนั้นเป็นช่วงเวลาหนึ่ง โดยการปล่อยมือจากอนาคตของพวกเขาและชะตาลิขิตของพวกเขา และเมื่อพวกเขาได้ผุดออกมา อุปนิสัยของพวกเขาก็ได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง และพวกเขาได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นประการหนึ่งเกี่ยวกับพระเจ้า  บรรดาผู้ที่ได้ผุดออกมาจากการตีสอนล้วนได้รู้สึกถึงความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้า และได้ตระหนักว่า ขั้นตอนนี้ของพระราชกิจได้จำแลงร่างความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่กำลังเคลื่อนลงมาสู่พวกเขา ตระหนักว่าขั้นตอนนี้คือการพิชิตชัยและความรอดแห่งความรักของพระเจ้า  พวกเขายังได้กล่าวด้วยว่า พระดำริของพระเจ้านั้นดีงามเสมอ และว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำในมนุษย์นั้นมาจากความรัก หาใช่ความเกลียดชังไม่  พวกเหล่านั้นที่ไม่ได้เชื่อในพระวจนะของพระเจ้า ผู้ที่ไม่ได้มองไปที่พระวจนะของพระเจ้า ไม่ได้ก้าวผ่านกระบวนการถลุงในช่วงระหว่างเวลาแห่งการตีสอน ผลลัพธ์จึงเป็นว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์มิได้สถิตอยู่กับพวกเขา และพวกเขาก็ไม่ได้รับสิ่งใดเลย  สำหรับบรรดาผู้ที่เข้าสู่เวลาแห่งการตีสอน แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ก้าวผ่านกระบวนการถลุง แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็กำลังทรงพระราชกิจอยู่อย่างซ่อนเร้นข้างในตัวพวกเขา และผลลัพธ์ก็คือ อุปนิสัยชีวิตของพวกเขาก็ได้รับการเปลี่ยนแปลง  บางคนในการปรากฏภายนอกทั้งหมดดูเหมือนเป็นบวกอย่างมาก เปี่ยมไปด้วยกำลังใจที่ดีตลอดทั้งวัน แต่พวกเขาไม่ได้เข้าสู่สภาวะของกระบวนการถลุงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใดเลย อันเป็นผลสืบเนื่องของการที่ไม่เชื่อในพระวจนะของพระเจ้า  หากเจ้าไม่เชื่อในพระวจนะของพระเจ้าแล้วไซร้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ทรงพระราชกิจในตัวเจ้า  พระเจ้าทรงปรากฏต่อบรรดาผู้ที่เชื่อในพระวจนะของพระองค์ และบรรดาผู้ที่เชื่อและยอมรับพระวจนะของพระองค์ก็ย่อมจะสามารถได้รับความรักของพระองค์!

เพื่อที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าควรค้นหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติและรู้วิธีที่จะนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ  เพียงด้วยการนั้นเท่านั้น จึงจะมีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยชีวิตของเจ้า โดยผ่านทางเส้นทางนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าได้ และเฉพาะผู้คนที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าในหนทางนี้เท่านั้น ที่สามารถอยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้  เพื่อที่จะรับความสว่างใหม่ เจ้าต้องดำรงชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้า  การได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เพียงครั้งเดียวนั้นจะใช้การไม่ได้เลย—เจ้าต้องไปให้ลึกกว่านั้น  สำหรับบรรดาผู้ที่ได้รับการขับเคลื่อนแต่เพียงครั้งเดียวนั้น ความกระตือรือร้นภายในของพวกเขาได้รับการปลุกเร้า และพวกเขาก็ปรารถนาที่จะแสวงหา แต่นี่ไม่สามารถยืนยาวอยู่ได้นาน พวกเขาต้องได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างสม่ำเสมอ หลายคราวในอดีต เราได้พาดพิงถึงความหวังของเราที่ว่า พระวิญญาณของพระเจ้าอาจขับเคลื่อนจิตวิญญาณของผู้คน เพื่อที่พวกเขาอาจไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยชีวิตของพวกเขา และเพื่อที่พวกเขาอาจเข้าใจความไม่พอเพียงของตัวพวกเขาเองในขณะที่กำลังเสาะแสวงที่จะได้รับการขับเคลื่อนโดยพระเจ้า และอาจสลัดราคีทั้งหลายในตัวพวกเขา (การมองตัวเองชอบธรรมเสมอ ความโอหัง มโนคติที่หลงผิด และอื่นๆ) ทิ้งไปในกระบวนการของการได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า  จงอย่าคิดว่าเพียงแค่การรับความสว่างใหม่ในเชิงรุกจะใช้การได้—เจ้าต้องสลัดทิ้งทั้งหมดที่เป็นลบด้วย  ด้านหนึ่งนั้น พวกเจ้าจำเป็นต้องเข้าสู่จากแง่มุมที่เป็นบวก และอีกด้านหนึ่งนั้น เจ้าจำเป็นต้องขจัดทั้งหมดที่มีราคีมาจากแง่มุมลบออกไปจากตัวเจ้า  เจ้าต้องตรวจสอบตัวเจ้าอย่างสม่ำเสมอเพื่อดูว่าราคีใดบ้างที่ยังคงดำรงอยู่ภายในตัวเจ้า  มโนคติที่หลงผิดทางศาสนา ความหวัง การมองตนเองชอบธรรมเสมอ และความโอหังของมนุษยชาตินั้นล้วนเป็นสิ่งทั้งหลายที่ไม่สะอาด  จงมองดูภายในตัวเจ้าและนำทุกสิ่งทุกอย่างมาวางเทียบกับพระวจนะทั้งปวงของพระเจ้าที่เป็นวิวรณ์ เพื่อให้เห็นว่า มโนคติที่หลงผิดทางศาสนาอันใดบ้างที่เจ้ามี  เฉพาะเมื่อเจ้าตระหนักถึงมโนคติที่หลงผิดเหล่านั้นอย่างแท้จริงแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถสลัดมโนคติที่หลงผิดเหล่านั้นทิ้งไปได้  ผู้คนบางคนกล่าวว่า “ตอนนี้ เพียงแค่ติดตามความสว่างแห่งพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็มากพอแล้ว  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยุ่งยากไปกับสิ่งอื่นใดเลย”  แต่แล้ว เมื่อมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาทั้งหลายเกิดขึ้นมา เจ้าจะขจัดสิ่งเหล่านั้นออกไปอย่างไรเล่า?  เจ้าคิดว่าการติดตามพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้นั้นเป็นสิ่งเรียบง่ายที่จะทำอย่างนั้นหรือ?  หากเจ้าเป็นใครคนหนึ่งของศาสนา การหยุดชะงักสามารถเกิดขึ้นได้จากมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาของเจ้ากับทฤษฎีเชิงเทววิทยาดั้งเดิมในหัวใจของเจ้า และเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น มันแทรกแซงการยอมรับสิ่งใหม่ๆ ของเจ้า  เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาทั้งหลายที่เป็นจริง  หากเจ้าเพียงไล่ตามเสาะหาพระวจนะปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น เจ้าย่อมไม่สามารถทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วงได้  ในเวลาเดียวกับที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความสว่างปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เจ้าก็ควรระลึกได้ว่ามโนคติที่หลงผิดและเจตนาอันใดบ้างที่เจ้าเก็บงำไว้ และการมองเห็นตัวเองชอบธรรมเสมอแบบมนุษย์อันใดที่เจ้ามี และพฤติกรรมใดบ้างที่เป็นการไม่เชื่อฟังพระเจ้า  และหลังจากที่เจ้าได้ระลึกรู้สิ่งเหล่านี้ทั้งปวงแล้ว เจ้าต้องสลัดพวกมันทิ้งไป  การที่ให้เจ้าละทิ้งการกระทำและพฤติกรรมทั้งหลายที่เคยมีมาก่อนนั้นล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งการเปิดโอกาสให้เจ้าติดตามพระวจนะทั้งหลายที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสในวันนี้ได้  ด้านหนึ่งนั้น การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยสัมฤทธิ์โดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า และอีกด้านหนึ่งนั้น มันก็พึงต้องมีความร่วมมือในส่วนของมนุษยชาติ  มีพระราชกิจของพระเจ้า แล้วก็มีการปฏิบัติของมนุษย์ ทั้งสองเป็นสิ่งที่ขาดเสียมิได้เลย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนที่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วคือบรรดาผู้ที่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 541

ในเส้นทางของการปรนนิบัติในอนาคตของเจ้า เจ้าจะสามารถทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วงได้อย่างไรหรือ?  ประเด็นหนึ่งซึ่งสำคัญยิ่งยวดก็คือ การไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิต ไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย และไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ความจริงที่ลึกขึ้น—นี่คือเส้นทางสู่การสัมฤทธิ์การได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและการได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า  พวกเจ้าล้วนเป็นผู้รับพระบัญชาของพระเจ้า ว่าแต่ว่า พระบัญชาประเภทใดเล่า?  การนี้สัมพันธ์กับขั้นตอนถัดไปของพระราชกิจ ขั้นตอนถัดไปจะเป็นพระราชกิจอันยิ่งใหญ่กว่าซึ่งได้รับการดำเนินการเสร็จสิ้นโดยทั่วถึงทั้งจักรวาล ดังนั้นในวันนี้ พวกเจ้าควรไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยชีวิตของเจ้า เพื่อที่ในภายภาคหน้า เจ้าอาจกลายเป็นข้อพิสูจน์อย่างแท้จริงของการที่พระเจ้าทรงได้รับพระสิริโดยผ่านทางพระราชกิจของพระองค์ อันเป็นการทำให้พวกเจ้าเป็นแบบอย่างสำหรับพระราชกิจในอนาคตของพระองค์  การไล่ตามเสาะหาของวันนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งการวางรากฐานสำหรับพระราชกิจในอนาคตอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เพื่อที่เจ้าอาจถูกใช้โดยพระเจ้า และสามารถเป็นพยานต่อพระองค์ได้  หากเจ้าทำให้การนี้เป็นเป้าหมายแห่งการไล่ตามเสาะหาของเจ้า เจ้าย่อมจะมีความสามารถที่จะได้รับการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เจ้ายิ่งตั้งเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของเจ้าสูงขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมมากขึ้นเท่านั้น  เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงมากขึ้นเท่าใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยิ่งทรงพระราชกิจมากขึ้นเท่านั้น  เจ้ายิ่งทุ่มกำลังวังชาเข้าไปในการไล่ตามเสาะหามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งได้รับมากขึ้นเท่านั้น  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมไปตามสภาวะภายในของพวกเขา  ผู้คนบางคนกล่าวว่า พวกเขาไม่เต็มใจที่จะถูกใช้โดยพระเจ้า หรือได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์ ว่าพวกเขาแค่ต้องการให้เนื้อหนังของพวกเขาคงอยู่อย่างปลอดภัยและไม่ทุกข์ทนกับความโชคร้ายอันใด  ผู้คนบางคนไม่เต็มใจที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักร ทว่ากลับเต็มใจที่จะลงไปสู่บาดาลลึก  ในกรณีนั้น พระเจ้าก็จะทรงอนุญาตให้ตามที่เจ้าปรารถนา  สิ่งใดก็ตามที่เจ้าไล่ตามเสาะหา พระเจ้าจะทรงทำให้มันเกิดขึ้น  ดังนั้นแล้ว สิ่งใดเล่าที่เจ้ากำลังไล่ตามเสาะหา ณ ปัจจุบัน?  ใช่การได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหรือไม่?  การกระทำและพฤติกรรมปัจจุบันของเจ้านั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า และการได้รับการรับไว้โดยพระองค์หรือไม่?  เจ้าต้องประเมินวัดตัวเจ้าเองดังนั้นอย่างสม่ำเสมอในชีวิตประจำวันของเจ้า  หากเจ้าทุ่มหมดทั้งหัวใจเข้าไปในการไล่ตามเสาะหาเพียงเป้าหมายเดียว แน่ใจได้เลยว่าพระเจ้าจะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม  เช่นนั้นเองที่เป็นเส้นทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เส้นทางที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำผู้คนอยู่นั้นบรรลุได้โดยวิถีทางแห่งการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา  ยิ่งเจ้ากระหายที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้รับการรับไว้โดยพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยิ่งทรงพระราชกิจภายในตัวเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งเจ้าล้มเหลวที่จะแสวงหามากขึ้นเท่าใด และยิ่งเจ้าคิดลบและถอยหลังมากขึ้นเท่าใด  เจ้าก็ยิ่งตัดโอกาสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการทรงพระราชกิจมากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่เวลาดำเนินต่อไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงทอดทิ้งเจ้า  เจ้าปรารถนาที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าปรารถนาที่จะได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าปรารถนาที่จะถูกใช้โดยพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าควรไล่ตามเสาะหาการทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประโยชน์แห่งการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และการได้รับการรับไว้ และการถูกใช้โดยพระเจ้า เพื่อที่จักรวาลและทุกสรรพสิ่งสามารถมองเห็นได้ว่า การกระทำทั้งหลายของพระเจ้าได้รับการสำแดงอยู่ในตัวเจ้า  พวกเจ้าเป็นนายท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และในท่ามกลางของทุกสิ่งที่มีอยู่ เจ้าจะปล่อยให้พระเจ้าทรงชื่นชมคำพยานและพระสิริโดยผ่านทางพวกเจ้า—นี่คือข้อพิสูจน์ว่า พวกเจ้านั้นเป็นที่ได้รับการอวยพรมากที่สุดในบรรดาชนทุกรุ่น!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนที่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วคือบรรดาผู้ที่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 542

ยิ่งเจ้าใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งแบกภาระยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น และยิ่งภาระที่เจ้ามียิ่งใหญ่ขึ้นเท่าใด ประสบการณ์ของเจ้าก็จะยิ่งมั่งคั่งขึ้นเท่านั้น  เมื่อเจ้าใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงมอบภาระให้แก่เจ้า แล้วจากนั้นก็จะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าเกี่ยวกับภารกิจซึ่งพระองค์วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ  เมื่อพระเจ้าทรงมอบภาระนี้แก่เจ้า เจ้าก็จะสนใจความจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องขณะที่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าไปด้วย  หากเจ้ามีภาระที่เกี่ยวข้องกับสภาพชีวิตของพี่น้องชายหญิงของเจ้า เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นภาระที่พระเจ้าได้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ และเจ้าก็จะแบกภาระนี้ไว้กับตัวในการอธิษฐานประจำวันของเจ้าเสมอ  เจ้ามีสิ่งที่พระเจ้าทรงทำอยู่กับตัวแล้ว และเจ้าเต็มใจทำสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำ นี่คือความหมายของการแบกภาระของพระเจ้าเสมือนเป็นภาระของเจ้าเอง  เมื่อถึงจุดนี้ ในการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะมุ่งเน้นที่ประเด็นปัญหาเหล่านี้ และเจ้าจะสงสัยว่า ฉันจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร?  ฉันจะทำให้พี่น้องชายหญิงของฉันสามารถสัมฤทธิ์ความเป็นอิสระและพบกับความชื่นชมยินดีทางฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร?  เจ้าจะมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาเหล่านี้ในขณะที่กำลังสามัคคีธรรมด้วย และเมื่อกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะมุ่งเน้นที่การกินและดื่มพระวจนะที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเหล่านี้  เจ้าจะแบกภาระเอาไว้ขณะที่กินและดื่มพระวจนะของพระองค์เช่นกัน  ทันทีที่เจ้าเข้าใจข้อพึงพระสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าแล้ว เจ้าจะมีแนวคิดที่ชัดเจนขึ้นว่าจะใช้เส้นทางใด  นี่คือความรู้แจ้งและความกระจ่างแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ภาระของเจ้านำมาให้ และนี่ยังเป็นการทรงนำของพระเจ้าที่ได้ประทานแก่เจ้าอีกด้วย  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  หากเจ้าไม่มีภาระ เช่นนั้นแล้ว เวลาที่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะไม่ตั้งใจ เมื่อเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าพลางแบกภาระไปด้วย เจ้าจะสามารถจับความเข้าใจในแก่นแท้ของพระวจนะ ค้นพบหนทางของเจ้า และใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าได้  ดังนั้น ในการอธิษฐานของเจ้า เจ้าควรปรารถนาให้พระเจ้าทรงมอบภาระแก่เจ้ามากขึ้น และวางพระทัยมอบหมายภารกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกให้เจ้าทำ เพื่อที่เจ้าอาจมีเส้นทางปฏิบัติมากขึ้นในภายหน้า เพื่อที่การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าจะเกิดผลที่ยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อที่เจ้าจะสามารถจับความเข้าใจในแก่นแท้แห่งพระวจนะของพระองค์เพิ่มมากขึ้น และเพื่อที่เจ้าจะสามารถได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้น

การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า การฝึกอธิษฐาน การยอมรับภาระจากพระเจ้า และการยอมรับภารกิจที่พระองค์วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ—ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อให้มีเส้นทางเบื้องหน้าเจ้า  ยิ่งภาระที่พระเจ้าวางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำหนักหนาขึ้นเท่าใด พระองค์ก็จะยิ่งทำให้เจ้าเพียบพร้อมได้ง่ายขึ้นเท่านั้น  บางคนไม่เต็มใจร่วมมือกับผู้อื่นในการรับใช้พระเจ้า แม้กระทั่งเมื่อพวกเขาได้รับการทรงเรียก เหล่านี้เป็นผู้คนที่เกียจคร้าน ปรารถนาเพียงได้เริงร่าในสิ่งชูใจเท่านั้น  ยิ่งขอให้เจ้ารับใช้ด้วยการประสานงานกับผู้อื่นมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งได้รับประสบการณ์มากขึ้นเท่านั้น  เจ้าจะได้รับโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมเพราะเจ้ามีภาระและประสบการณ์มากขึ้น  ดังนั้นหากเจ้าสามารถรับใช้พระเจ้าได้ด้วยความจริงใจ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะตระหนักรู้ถึงภาระของพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า กลุ่มคนเช่นนี้นี่เองที่กำลังได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมในปัจจุบัน  ยิ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์สัมผัสเจ้ามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งอุทิศเวลาให้แก่การตระหนักรู้ถึงภาระของพระเจ้ามากขึ้น ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้ามากขึ้น และได้รับการทรงรับไว้โดยพระองค์มากขึ้นเท่านั้น—จนกระทั่งในที่สุดเจ้าจะกลายเป็นบุคคลผู้ที่พระเจ้าทรงใช้งาน  ในปัจจุบันมีบางคนที่ไม่แบกภาระให้คริสตจักร  ผู้คนเหล่านี้ย่อหย่อนและเหลวไหล และสนใจแต่เนื้อหนังของพวกเขาเองเท่านั้น  คนเช่นนี้เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด และพวกเขายังตาบอดอีกด้วย  หากเจ้าไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน เจ้าย่อมจะไม่แบกภาระอันใด  ยิ่งเจ้าตระหนักรู้น้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด ภาระที่พระเจ้าจะวางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำก็จะยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น  ผู้ที่เห็นแก่ตัวย่อมไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์กับสิ่งต่างๆ ดังกล่าว พวกเขาไม่เต็มใจที่จะยอมลำบากและผลก็คือ พวกเขาจะพลาดโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  พวกเขามิได้กำลังทำร้ายตัวเองอยู่หรอกหรือ?  หากเจ้าเป็นใครบางคนที่ตระหนักรู้น้ำพระทัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะพัฒนาภาระอันแท้จริงให้เกิดขึ้นแก่คริสตจักร  อันที่จริง แทนที่จะเรียกการนี้ว่าภาระที่เจ้ารับมาทำเพื่อคริสตจักร คงจะดีกว่าหากจะเรียกว่าภาระที่เจ้ารับมาทำเพื่อชีวิตของเจ้าเอง เพราะจุดประสงค์ของภาระที่เจ้าพัฒนาให้เกิดขึ้นแก่คริสตจักรนี้ คือการให้เจ้าใช้ประสบการณ์ดังกล่าวมารับการทำให้มีความเพียบพร้อมจากพระเจ้า  ดังนั้นใครก็ตามที่แบกภาระยิ่งใหญ่ที่สุดเพื่อคริสตจักร ใครก็ตามที่แบกภาระเพื่อการเข้าสู่ชีวิต—พวกเขาจะเป็นผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  เจ้ามองเห็นการนี้อย่างชัดเจนแล้วหรือยัง?  หากคริสตจักรที่เจ้าอยู่ด้วยกระจัดกระจายเหมือนเม็ดทราย แต่เจ้ากลับไม่เป็นห่วงหรือวิตกกังวล และเจ้าถึงกับทำเป็นไม่เห็นเมื่อพี่น้องชายหญิงของเจ้าไม่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าตามปกติ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่ได้กำลังแบกภาระใดๆ อยู่  ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่คนประเภทที่พระเจ้าทรงปีติยินดีด้วย  คนประเภทที่ยังความปีติยินดีให้แก่พระเจ้าย่อมหิวกระหายความชอบธรรมและตระหนักรู้น้ำพระทัยของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ เจ้าควรกลายเป็นผู้ตระหนักรู้ถึงภาระของพระเจ้าตรงนี้และในตอนนี้ เจ้าไม่ควรรอให้พระเจ้าเผยให้มนุษยชาติทั้งปวงเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ก่อนแล้วค่อยมาตระหนักรู้ถึงภาระของพระเจ้ามากขึ้น  เมื่อถึงเวลานั้นจะไม่สายเกินไปหรอกหรือ?  บัดนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  หากเจ้าปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป เจ้าจะเสียใจไปตลอดชีวิต เช่นเดียวกับที่โมเสสไม่สามารถเข้าสู่ดินแดนคานาอันอันดีงามได้ และเสียใจไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา ตายไปด้วยความสำนึกเสียใจ  ทันทีที่พระเจ้าได้เผยให้ปวงประชาเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์แล้ว เจ้าก็จะเต็มไปด้วยความเสียใจ  ต่อให้พระเจ้ามิได้ทรงตีสอนเจ้า เจ้าก็จะตีสอนตัวเจ้าเองเพราะความสำนึกเสียใจของเจ้าเอง  บางคนไม่ปักใจเชื่อเรื่องนี้ แต่หากเจ้าไม่เชื่อ ก็จงรอดูเถิด  ผู้คนบางคนมีจุดประสงค์เดียวเท่านั้นคือการทำให้วจนะเหล่านี้ลุล่วง  เจ้าเต็มใจพลีอุทิศตัวเจ้าเพื่อวจนะเหล่านี้หรือไม่?

หากเจ้าไม่เสาะแสวงโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า และหากเจ้าไม่เพียรพยายามที่จะนำหน้าผู้อื่นในกลุ่มในการแสวงหาความเพียบพร้อมของเจ้า เช่นนั้นแล้วในท้ายที่สุด เจ้าจะเต็มไปด้วยความสำนึกเสียใจ  โอกาสดีที่สุดที่จะบรรลุความเพียบพร้อมคือปัจจุบัน บัดนี้คือเวลาที่เหมาะสมอย่างที่สุด  หากเจ้าไม่พยายามอย่างจริงจังจริงใจที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า ทันทีที่พระราชกิจของพระองค์สรุปปิดตัว ก็จะสายเกินไป—เจ้าย่อมจะพลาดโอกาสไปแล้ว  ไม่ว่าความทะเยอทะยานของเจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด หากพระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจอีกต่อไป เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะใช้ความพยายามเช่นไร เจ้าจะไม่มีวันสามารถที่จะบรรลุความเพียบพร้อมได้  เจ้าต้องฉวยโอกาสนี้ไว้และร่วมมือในขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจของพระองค์อยู่อย่างมากมาย  หากเจ้าพลาดโอกาสนี้ เจ้าจะไม่ได้รับโอกาสอีก ไม่ว่าเจ้าจะพยายามเช่นไร  พวกเจ้าบางคนร้องว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจที่จะตระหนักรู้ถึงภาระของพระองค์ และข้าพระองค์เต็มใจที่จะสนองน้ำพระทัยของพระองค์!”  อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่มีเส้นทางที่จะปฏิบัติ ดังนั้นเอง ภาระของเจ้าก็จะไม่ยืนยง  หากเจ้ามีเส้นทางอยู่เบื้องหน้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะได้รับประสบการณ์ไปทีละขั้น และประสบการณ์ของเจ้าจะมีแบบแผนและมีขั้นตอน  หลังจากที่ภาระหนึ่งเสร็จสมบูรณ์แล้ว เจ้าก็จะได้รับมอบอีกภาระหนึ่ง  ขณะที่ประสบการณ์ชีวิตของเจ้าลึกซึ้งขึ้น ภาระของเจ้าก็จะลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน  ผู้คนบางคนแบกภาระต่อเมื่อได้รับการสัมผัสจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น หลังจากที่เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ทันทีที่พวกเขาไม่มีเส้นทางให้ปฏิบัติอีกต่อไป พวกเขาก็เลิกแบกภาระ  เจ้าไม่สามารถพัฒนาให้ภาระทั้งหลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเพียงโดยการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  เจ้าจะมีวิจารณญาณ เรียนรู้ที่จะใช้ความจริงแก้ปัญหา และเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างถ่องแท้มากขึ้นจากการเข้าใจความจริงมากหลาย  ด้วยสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะพัฒนาภาระทั้งหลายที่เจ้าจะแบกรับให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม  หากเจ้ามีภาระหนึ่ง แต่ไม่เข้าใจความจริงอย่างชัดเจน เช่นนั้นก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน เจ้าต้องมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าด้วยตนเอง และรู้วิธีปฏิบัติตามพระวจนะเหล่านั้น  หลังจากที่เจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงด้วยตัวเจ้าเองแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถจัดเตรียมให้แก่ผู้อื่นได้ นำทางผู้อื่นได้ และได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อบรรลุความเพียบพร้อม

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 543

ในเวลานี้ พระราชกิจของพระเจ้าคือการให้ทุกคนเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้อง มีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติและประสบการณ์ที่จริงแท้ ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้ว—เมื่อมีสิ่งเหล่านี้เป็นรากฐาน—ก็ยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า  จุดประสงค์ของการเข้าสู่การฝึกฝนของราชอาณาจักรคือการยอมให้ทุกถ้อยคำ ทุกการกระทำ ทุกการเคลื่อนไหว ทุกความคิดและทุกแนวคิดของพวกเจ้าเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้า ได้รับการสัมผัสจากพระเจ้าบ่อยขึ้น และดังนั้นจึงพัฒนาหัวใจที่รักพระองค์ และเป็นการให้พวกเจ้ายอมรับภาระที่มาจากน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้น เพื่อให้ทุกคนอยู่บนเส้นทางของการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า และเพื่อให้ทุกคนอยู่ในครรลองที่ถูกต้อง  เมื่อเจ้าอยู่บนเส้นทางของการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้านี้แล้ว เจ้าย่อมอยู่ในครรลองที่ถูกต้อง  ทันทีที่ความคิดและแนวคิดของเจ้า รวมทั้งเจตนาผิดๆ ของเจ้า สามารถได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง และเจ้าสามารถหันเหจากการใส่ใจในเนื้อหนังมาสู่การใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้า และทันทีที่เจ้าสามารถต้านทานเครื่องล่อใจจากเจตนาผิดๆ ทั้งหลายในยามที่มีเจตนาเหล่านี้เกิดขึ้น และลงมือกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าแทน—หากเจ้าสามารถสัมฤทธิ์การแปลงสภาพเช่นนี้ได้แล้วไซร้ เจ้าก็จะอยู่ในครรลองของประสบการณ์ชีวิตที่ถูกต้อง  ทันทีที่การฝึกอธิษฐานของเจ้าอยู่ในครรลองที่ถูกต้อง เจ้าจะได้รับการสัมผัสจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการอธิษฐานของเจ้า  ทุกครั้งที่เจ้าอธิษฐาน เจ้าจะได้รับการสัมผัสจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทุกครั้งที่เจ้าอธิษฐาน เจ้าจะสามารถสงบใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ทุกครั้งที่เจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าไปบทตอนหนึ่ง หากเจ้าสามารถจับความเข้าใจในพระราชกิจที่พระองค์กำลังทรงปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันได้ และสามารถเรียนรู้วิธีอธิษฐาน สามารถเรียนรู้วิธีร่วมมือและวิธีบรรลุการเข้าสู่ได้ เมื่อนั้นเท่านั้น การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าของเจ้าจึงจะเกิดผล  เมื่อเจ้าสามารถค้นพบเส้นทางแห่งการเข้าสู่และสามารถหยั่งรู้ถึงพลวัตปัจจุบันแห่งพระราชกิจของพระเจ้าได้ รวมไปถึงทิศทางแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยผ่านทางหนทางแห่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าย่อมจะเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องแล้ว  หากเจ้ายังไม่ได้จับความเข้าใจในประเด็นสำคัญขณะที่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และภายหลังก็ยังคงไม่สามารถค้นพบเส้นทางปฏิบัติ นี่ย่อมจะแสดงให้เห็นว่าเจ้ายังคงไม่รู้วิธีกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสม และแสดงให้เห็นว่าเจ้ายังค้นไม่พบวิธีการหรือหลักการในการทำเช่นนั้น  หากเจ้ายังไม่ได้จับความเข้าใจในพระราชกิจที่พระเจ้ากำลังทรงปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่สามารถยอมรับภารกิจทั้งหลายที่พระองค์จะไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำอยู่ในปัจจุบันคือสิ่งที่มนุษย์ต้องเข้าสู่และเข้าใจในปัจจุบันนี้โดยแท้  พวกเจ้าจับความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ได้บ้างหรือไม่?

หากเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างมีประสิทธิผลแล้ว ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเจ้าจะเป็นปกติ และไม่ว่าบททดสอบใดที่เจ้าอาจเผชิญ รูปการณ์แวดล้อมใดที่เจ้าอาจประสบ ความเจ็บป่วยทางกายอันใดที่เจ้าอาจสู้ทน ประสบการณ์ผิดใจกับพี่น้องชายหญิงหรือปัญหาครอบครัวอันใดที่เจ้าอาจมี เจ้าก็สามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างปกติ อธิษฐานได้อย่างปกติ และดำเนินชีวิตคริสตจักรของเจ้าได้อย่างปกติ หากเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ทั้งหมดนี้ได้ นี่ย่อมจะแสดงให้เห็นว่าเจ้าอยู่ในครรลองที่ถูกต้อง  ผู้คนบางคนเปราะบางเกินไปและขาดความพากเพียร  เมื่อเผชิญกับอุปสรรคเล็กน้อย พวกเขาก็โอดครวญและคิดลบ  การไล่ตามเสาะหาความจริงต้องอาศัยความพากเพียรและความมุ่งมั่น  หากเจ้าล้มเหลวที่จะสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าในครั้งนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ต้องสามารถเกลียดตัวเองได้ และมุ่งมั่นอย่างเงียบๆ ลึกลงไปในใจว่าจะทำให้สำเร็จในคราวหน้า  หากว่าในครั้งนี้เจ้าไม่ได้ตระหนักรู้ถึงภาระของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรมุ่งมั่นที่จะกบฏต่อเนื้อหนังเมื่อเผชิญหน้าอุปสรรคแบบเดียวกันในอนาคต และตั้งใจแน่วแน่ที่จะสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า  เช่นนี้คือวิธีที่เจ้าจะมีค่าควรแก่การสรรเสริญ  ผู้คนบางคนถึงกับไม่รู้ว่าความคิดหรือแนวคิดของพวกเขาเองถูกต้องหรือไม่ ผู้คนเหล่านั้นคือคนเขลา!  หากเจ้าปรารถนาที่จะสยบหัวใจของเจ้าและกบฏต่อเนื้อหนัง ก่อนอื่นเจ้าต้องรู้ว่าเจตนาของเจ้าถูกต้องหรือไม่ เมื่อนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถสยบหัวใจของเจ้าได้  หากเจ้าไม่รู้ว่าเจตนาของเจ้าถูกต้องหรือไม่ เป็นไปได้หรือที่เจ้าจะสามารถสยบหัวใจของเจ้าและกบฏต่อเนื้อหนังได้?  ต่อให้เจ้าทำการกบฏ เจ้าก็จะทำเช่นนั้นในลักษณะที่สับสน  เจ้าควรรู้วิธีกบฏต่อเจตนาที่หลงผิดของเจ้า เช่นนี้คือความหมายของการกบฏต่อเนื้อหนัง  ทันทีที่เจ้าตระหนักได้ว่าเจตนา ความคิด และแนวคิดของเจ้าผิด เจ้าก็ควรเปลี่ยนทิศทางโดยเร็วและเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง  จงแก้ปัญหานี้เสียก่อน และฝึกฝนตัวเจ้าเองให้บรรลุการเข้าสู่ในเรื่องนี้ เพราะเจ้ารู้ดีที่สุดว่าเจ้ามีเจตนาอันถูกต้องหรือไม่  ทันทีที่เจตนาอันไม่ถูกต้องของเจ้าได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องและเป็นไปเพื่อพระเจ้าแล้ว เช่นนั้นเจ้าย่อมจะบรรลุเป้าหมายของการสยบหัวใจของเจ้าแล้ว

สิ่งสำคัญที่สุดที่พวกเจ้าต้องทำในตอนนี้คือการมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์  เจ้าต้องรู้วิธีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจกับมนุษยชาติอีกด้วย การทำเช่นนี้จะขาดเสียมิได้ในการเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้อง  ทันทีที่เจ้าจับความเข้าใจในประเด็นที่สำคัญยิ่งนี้ได้ เจ้าก็จะทำเช่นนี้ได้ง่ายขึ้น  เจ้าเชื่อในพระเจ้า และเจ้ารู้จักพระเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความเชื่อในพระเจ้าของเจ้านั้นจริงแท้  หากเจ้าได้รับประสบการณ์ต่อไป แต่กลับยังคงไม่สามารถรู้จักพระเจ้าได้ในท้ายที่สุด เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็คือบุคคลที่ต้านทานพระเจ้าอย่างแน่นอน  พวกที่เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น แต่ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของวันนี้ด้วย ล้วนได้รับการกล่าวโทษ  พวกเขาทั้งหมดคือพวกฟาริสีแห่งยุคสุดท้าย ด้วยว่าพวกเขาไม่ยอมรับรู้พระเจ้าของวันนี้ พวกเขาทั้งหมดล้วนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพระเจ้า  ไม่ว่าพวกเขาจะนมัสการพระเยซูอย่างอุทิศตนเพียงใด ทั้งหมดนั้นย่อมจะไร้ประโยชน์ พระเจ้าจะไม่ทรงสรรเสริญพวกเขา ทุกคนที่มีป้ายประกาศเอ่ยอ้างว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้า แต่กระนั้นกลับไม่มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา ก็คือคนหน้าซื่อใจคด!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อบรรลุความเพียบพร้อม

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 544

ในการพยายามที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมจากพระเจ้านั้น คนเราต้องเข้าใจก่อนว่าการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์หมายถึงอะไร รวมทั้งภาวะใดที่คนเราต้องมีเพื่อที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  ทันทีที่คนเราจับความเข้าใจในเรื่องเช่นนี้ได้ คนเราก็ต้องค้นหาเส้นทางปฏิบัติ  การที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม คนเราต้องมีคุณสมบัติบางประการ  ผู้คนมากมายไม่มีคุณสมบัติภายในที่สูงพอ ซึ่งในกรณีเช่นนี้ เจ้าต้องยอมลำบากและทำงานอย่างหนักด้วยตนเอง  ยิ่งคุณสมบัติของเจ้าแย่ลงเท่าใด เจ้าก็ต้องใช้ความพยายามของเจ้าเองมากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งเจ้ามีความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นและนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งสามารถเหยียบย่างบนเส้นทางของความเพียบพร้อมได้เร็วขึ้นเท่านั้น  เจ้าสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมในส่วนของการอธิษฐานได้โดยผ่านทางการอธิษฐาน เจ้ายังสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้ด้วยการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า จับความเข้าใจในแก่นแท้ของพระวจนะ และใช้ชีวิตตามความเป็นจริงของพระวจนะ  โดยการผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำทุกวัน เจ้าควรรู้ได้ว่าในตัวเจ้ายังขาดสิ่งใด ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าควรตระหนักถึงข้อบกพร่องร้ายแรงและจุดอ่อนของเจ้า และอธิษฐานและวิงวอนพระเจ้า  ด้วยการทำเช่นนี้ เจ้าก็จะค่อยๆ ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  เส้นทางไปสู่ความเพียบพร้อมได้แก่ การอธิษฐาน กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า จับความเข้าใจถึงแก่นแท้แห่งพระวจนะของพระเจ้า มีการเข้าสู่ประสบการณ์แห่งพระวจนะของพระเจ้า รู้ได้ว่าในตัวเจ้ายังขาดพร่องสิ่งใด นบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้า ตระหนักรู้ถึงภาระของพระเจ้า ละทิ้งเนื้อหนังผ่านทางความรักที่เจ้ามีต่อพระเจ้า และเข้าร่วมการสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงของเจ้าเป็นประจำ ซึ่งสามารถทำให้ประสบการณ์ของเจ้ามั่งคั่งขึ้นได้  ไม่ว่าจะเป็นชีวิตในชุมชนหรือชีวิตส่วนตัวของเจ้า  และไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมใหญ่หรือเล็ก ทั้งหมดนั้นสามารถเปิดโอกาสให้เจ้าได้รับประสบการณ์และเข้ารับการฝึกฝนเพื่อที่หัวใจของเจ้าจะสามารถสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและหวนคืนมาหาพระองค์ได้  ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการแห่งการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  การมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าดังที่กล่าวมาข้างต้นหมายถึง การสามารถลิ้มรสพระวจนะเหล่านั้นได้จริงๆ และยอมให้ตัวเจ้าเองใช้ชีวิตตามพระวจนะ เพื่อที่เจ้าจะมีความเชื่อและความรักในพระเจ้ามากขึ้น  ในลักษณะนี้ เจ้าจะค่อยๆ ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเจ้า ทำให้ตัวเจ้าเป็นอิสระจากแรงจูงใจที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนบุคคลปกติ  ยิ่งความรักพระเจ้าภายในตัวเจ้ามีมากขึ้นเท่าใด—กล่าวคือ ยิ่งตัวเจ้าได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด—เจ้าก็จะยิ่งถูกความเสื่อมทรามของซาตานครอบงำน้อยลงเท่านั้น  เจ้าจะค่อยๆ เหยียบย่างลงบนเส้นทางแห่งความเพียบพร้อมโดยผ่านทางประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้า  ด้วยเหตุนี้ หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม เช่นนั้นแล้ว การตระหนักรู้น้ำพระทัยของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ก็ยิ่งสำคัญเป็นพิเศษ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อบรรลุความเพียบพร้อม

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 545

บัดนี้พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับผู้คนบางกลุ่ม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ประกอบด้วยผู้ที่เพียรพยายามที่จะร่วมมือกับพระองค์ ผู้ที่สามารถเชื่อฟังพระราชกิจของพระองค์ ผู้ที่เชื่อว่าพระวจนะที่พระเจ้าตรัสคือความจริง และผู้ที่สามารถนำข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าไปปฏิบัติ พวกเขาคือผู้ที่มีความเข้าใจแท้จริงในหัวใจของพวกเขา พวกเขาคือผู้ที่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และพวกเขาย่อมจะสามารถเดินบนเส้นทางแห่งความเพียบพร้อมได้  พวกที่ไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมคือผู้คนที่ปราศจากความเข้าใจอันชัดเจนในพระราชกิจของพระเจ้า ไม่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ไม่ให้ความสนใจในพระวจนะของพระองค์ และในหัวใจของพวกเขาก็ปราศจากความรักพระเจ้า  พวกที่คลางแคลงใจในพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พวกที่ไม่มั่นใจในพระองค์อยู่เสมอ  ไม่เคยปฏิบัติต่อพระวจนะของพระองค์อย่างจริงจัง และหลอกลวงพระองค์อยู่เสมอ คือผู้คนที่ต้านทานพระเจ้าและเป็นของซาตาน จึงไม่มีทางเลยที่จะทำให้ผู้คนเยี่ยงนั้นเพียบพร้อม

หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเสียก่อน ด้วยว่าพระองค์ทรงทำให้บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงโปรดปรานและผู้ที่สมดังพระทัยของพระองค์มีความเพียบพร้อม  หากเจ้าปรารถนาที่จะเป็นผู้ที่สมดังพระทัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องมีหัวใจที่เชื่อฟังพระราชกิจของพระองค์ เจ้าต้องเพียรพยายามไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าต้องยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าในทุกสิ่ง  สิ่งที่เจ้าทำทั้งหมดผ่านการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าแล้วหรือไม่?  ความตั้งใจของเจ้าถูกต้องหรือไม่?  หากความตั้งใจของเจ้าถูกต้อง เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าย่อมจะทรงชมเชยเจ้า หากความตั้งใจของเจ้านั้นผิด นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่หัวใจของเจ้ารักไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นเนื้อหนังและซาตาน  ด้วยเหตุนี้เอง เจ้าจึงต้องใช้การอธิษฐานเป็นหนทางในการยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าในทุกสิ่ง  เมื่อเจ้าอธิษฐาน แม้ว่าเราไม่ได้ยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าในสภาวะบุคคล แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเจ้า และผู้ที่เจ้ากำลังอธิษฐานถึงก็คือทั้งตัวเราเองและพระวิญญาณของพระเจ้า  เหตุใดเจ้าจึงเชื่อในเนื้อหนังนี้?  เจ้าเชื่อเพราะบุคคลผู้นี้มีพระวิญญาณของพระเจ้า  เจ้าจะยังคงเชื่อในบุคคลผู้นี้หรือไม่หากบุคคลผู้นี้ปราศจากพระวิญญาณของพระเจ้า?  เมื่อเจ้าเชื่อในบุคคลผู้นี้ เจ้าก็เชื่อในพระวิญญาณของพระเจ้า  เมื่อเจ้ายำเกรงบุคคลผู้นี้ เจ้าก็ยำเกรงพระวิญญาณของพระเจ้า  ความเชื่อในพระวิญญาณของพระเจ้าคือความเชื่อในบุคคลผู้นี้ และความเชื่อในบุคคลผู้นี้ก็คือความเชื่อในพระวิญญาณของพระเจ้าเช่นกัน  เมื่อเจ้าอธิษฐาน เจ้ารู้สึกว่าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่กับเจ้า และพระเจ้าสถิตอยู่เบื้องหน้าเจ้า และด้วยเหตุนี้เจ้าจึงอธิษฐานต่อพระวิญญาณของพระองค์  ในวันนี้ผู้คนส่วนมากกลัวมากเกินไปที่จะนำการกระทำของพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ขณะที่เจ้าอาจหลอกลวงเนื้อหนังของพระองค์ ทว่าเจ้าไม่สามารถหลอกลวงพระวิญญาณของพระองค์ได้  เรื่องใดก็ตามที่ไม่สามารถทนทานการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้ย่อมขัดกับความจริง และควรถูกโยนทิ้งไป การกระทำในทางตรงกันข้ามย่อมเป็นการกระทำบาปต่อพระเจ้า  ดังนั้นเจ้าต้องวางหัวใจของเจ้าไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าตลอดเวลา เมื่อเจ้าอธิษฐาน เมื่อเจ้ากล่าวและสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงของเจ้า และเมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและทำธุระของเจ้า  เมื่อเจ้าทำให้หน้าที่ของเจ้าลุล่วง พระเจ้าย่อมสถิตอยู่กับเจ้า และตราบใดที่ความตั้งใจของเจ้าถูกต้องและเป็นไปเพื่อพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พระองค์จะทรงยอมรับทุกสิ่งที่เจ้าทำ เจ้าควรอุทิศตัวเจ้าเองเพื่อทำให้หน้าที่ของเจ้าลุล่วงด้วยความจริงใจ  เมื่อเจ้าอธิษฐาน หากเจ้ามีความรักพระเจ้าในหัวใจของเจ้าและแสวงหาการดูแล การคุ้มครองปกป้องและการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า หากสิ่งเหล่านี้คือความตั้งใจของเจ้า คำอธิษฐานของเจ้าก็จะมีผล  ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเจ้าอธิษฐานในที่ประชุม หากเจ้าเปิดหัวใจของเจ้าและอธิษฐานต่อพระเจ้าและบอกพระองค์ถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้าโดยปราศจากการกล่าวเท็จ เช่นนั้นแล้ว คำอธิษฐานของเจ้าก็จะมีผลอย่างแน่นอน  หากเจ้ารักพระเจ้าอย่างจริงจังจริงใจในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้วก็จงกล่าวคำสาบานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ผู้สถิตในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลกและท่ามกลางสรรพสิ่ง ข้าพระองค์ขอปฏิญาณต่อพระองค์ว่า ขอให้พระวิญญาณของพระองค์ทรงตรวจดูทุกสิ่งที่ข้าพระองค์ทำ และทรงคุ้มครองปกป้องและเอาพระทัยใส่ข้าพระองค์ตลอดเวลา และทำให้ทุกสิ่งที่ข้าพระองค์ทำนั้นสามารถยืนหยัดอยู่ในการสถิตของพระองค์  หากแม้นหัวใจของข้าพระองค์มีวันเลิกรักพระองค์ หรือมีวันทรยศพระองค์ เช่นนั้นแล้วก็ขอทรงตีสอนและสาปแช่งข้าพระองค์อย่างรุนแรง  ขออย่าได้ทรงให้อภัยข้าพระองค์ไม่ว่าจะในโลกนี้หรือโลกหน้า!”  เจ้ากล้าสาบานเช่นนี้หรือไม่?  หากเจ้าไม่กล้า นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเจ้าขลาดกลัว และเจ้ายังคงรักตัวเจ้าเองอยู่  เจ้ามีปณิธานเช่นนี้หรือไม่?  หากนี่คือความตั้งใจแน่วแน่ของเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าก็ควรสาบานเช่นนี้  หากเจ้ามีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะสาบานเช่นนี้ พระเจ้าย่อมจะทรงทำให้ปณิธานของเจ้าลุล่วง  เมื่อเจ้าปฏิญาณต่อพระเจ้า พระองค์ทรงรับฟัง  พระเจ้าทรงพิจารณาว่าเจ้าเปี่ยมบาปหรือชอบธรรมโดยวัดจากการอธิษฐานของเจ้าและการปฏิบัติของเจ้า  นี่คือกระบวนการทำให้พวกเจ้ามีความเพียบพร้อมในเวลานี้ และหากเจ้ามีความเชื่ออย่างแท้จริงในการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะนำทั้งหมดที่เจ้าทำมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ หากเจ้าทำบางสิ่งบางอย่างที่เป็นกบฏอย่างร้ายแรง หรือหากเจ้าทรยศพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็จะทรงทำให้คำสาบานของเจ้าสำเร็จผล และด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ไม่ว่าจะเป็นความพินาศหรือการตีสอน นี่ย่อมเกิดจากการกระทำของเจ้าเอง  เจ้าได้กล่าวคำสาบานไว้ ดังนั้นเจ้าก็ควรที่จะปฏิบัติตามนั้น  หากเจ้ากล่าวคำสาบาน แต่ไม่ปฏิบัติตามนั้น เจ้าก็จะทนทุกข์กับความพินาศ  เนื่องจากคำสาบานนั้นเป็นของเจ้า พระเจ้าจึงจะทรงทำให้คำสาบานของเจ้าเป็นผล  บางคนกลัวขึ้นมาหลังจากที่พวกเขาอธิษฐาน และคร่ำครวญว่า “ทุกสิ่งจบสิ้นแล้ว!  โอกาสที่ฉันจะเที่ยวเสเพลหมดลงแล้ว โอกาสที่ฉันจะทำเลวต่างๆ หมดลงแล้ว โอกาสที่ฉันจะได้หลงระเริงอยู่ในความอยากทางโลกหมดลงแล้ว!”  ผู้คนเหล่านี้ยังคงรักบาปและเรื่องทางโลก และพวกเขาจะต้องทนทุกข์กับความพินาศอย่างแน่นอน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงทำให้บรรดาผู้ที่สมดังพระทัยของพระองค์มีความเพียบพร้อม

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 546

การเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าหมายความว่าทุกสิ่งที่เจ้าทำต้องถูกนำมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ และอยู่ภายใต้การพินิจพิเคราะห์ของพระองค์  หากสามารถนำสิ่งที่เจ้าทำมาเฉพาะพระพักตร์พระวิญญาณของพระเจ้าได้ แต่ไม่ใช่เบื้องหน้าเนื้อหนังของพระเจ้า นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้ายังไม่อยู่ภายใต้การพินิจพิเคราะห์แห่งพระวิญญาณของพระองค์  ผู้ใดคือพระวิญญาณของพระเจ้า?  ผู้ใดคือบุคคลที่พระเจ้าทรงเป็นพยานให้?  ทั้งสองไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันหรอกหรือ?  คนส่วนมากมองว่าทั้งสองคือสองบุคคลที่แยกต่างหากจากกัน โดยเชื่อว่าพระวิญญาณของพระเจ้าคือพระวิญญาณของพระเจ้า และบุคคลที่พระเจ้าทรงเป็นพยานให้นั้นเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง  แต่เจ้าไม่ได้เข้าใจผิดหรอกหรือ?  บุคคลผู้นี้ดำเนินงานในนามของผู้ใด?  พวกที่ไม่รู้จักพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ย่อมไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  พระวิญญาณของพระเจ้าและเนื้อหนังที่ปรากฏในรูปมนุษย์ของพระองค์คือหนึ่งเดียวกัน เพราะว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปรากฏรูปเป็นมนุษย์  หากบุคคลผู้นี้ไม่มีเมตตาต่อเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงมีเมตตาหรือ?  เจ้าไม่สับสนหรอกหรือ?  ในวันนี้ทุกคนที่ไม่สามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้ย่อมไม่สามารถได้รับการเห็นชอบจากพระองค์ และพวกที่ไม่รู้จักพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ก็ไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้  จงมองทุกสิ่งที่เจ้าทำ และดูสิว่าสามารถนำมันมาไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือไม่  หากเจ้าไม่สามารถนำทุกสิ่งที่เจ้าทำมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าคือคนทำชั่ว  คนทำชั่วสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้หรือ?  ทุกสิ่งที่เจ้าทำ ทุกการกระทำ ทุกเจตนา และทุกปฏิกิริยาควรถูกนำมาไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  แม้กระทั่งชีวิตประจำวันทางฝ่ายวิญญาณของเจ้า—ทั้งคำอธิษฐานของเจ้า ความใกล้ชิดพระเจ้าของเจ้า วิธีที่เจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า การสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงของเจ้า และชีวิตของเจ้าภายในคริสตจักร—ทั้งหมดนี้และการรับใช้ด้วยการให้ความร่วมมือของเจ้าต้องสามารถนำมาไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ได้  การปฏิบัติเช่นนี้นี่เองที่จะช่วยให้เจ้าสัมฤทธิ์การเจริญเติบโตในชีวิต  กระบวนการยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าคือกระบวนการชำระให้บริสุทธิ์  ยิ่งเจ้าสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้มากเท่าใด เจ้าก็ยิ่งได้รับการชำระให้บริสุทธิ์มากขึ้นและสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ถูกดึงดูดเข้าหาความเสเพล และหัวใจของเจ้าจะได้มีชีวิตอยู่ในการสถิตของพระองค์  ยิ่งเจ้ายอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์มากเท่าใด ซาตานก็ยิ่งถูกดูหมิ่นและเจ้าก็ยิ่งละทิ้งเนื้อหนังได้มากขึ้นเท่านั้น  ดังนั้นการยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าคือเส้นทางปฏิบัติที่ผู้คนควรติดตาม  ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด แม้กระทั่งในยามเข้าสนิทกับพี่น้องชายหญิงของเจ้า เจ้าสามารถนำการกระทำของเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหาการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์และมุ่งที่จะเชื่อฟังพระเจ้าพระองค์เอง นี่จะทำให้สิ่งที่เจ้าปฏิบัติอยู่นั้นถูกต้องขึ้นมาก  เฉพาะเมื่อเจ้านำทุกสิ่งที่เจ้าทำมาไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถเป็นใครบางคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงทำให้บรรดาผู้ที่สมดังพระทัยของพระองค์มีความเพียบพร้อม

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 547

พวกที่ปราศจากความเข้าใจในพระเจ้าไม่มีวันที่จะสามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้โดยบริบูรณ์  ผู้คนเยี่ยงนี้คือบุตรแห่งการไม่เชื่อฟัง  พวกเขาทะเยอทะยานเกินไป และมีการกบฏอยู่ในตัวพวกเขามากเกินไป ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงพาตัวห่างเหินจากพระเจ้าและไม่เต็มใจที่จะยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์  ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้โดยง่าย  ผู้คนบางคนช่างเลือกในวิธีที่พวกเขาจะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและในการยอมรับพระวจนะ  พวกเขายอมรับพระวจนะของพระเจ้าเฉพาะส่วนที่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา แต่กลับปฏิเสธส่วนที่ไม่สอดคล้อง  นี่มิใช่การกบฏและต่อต้านพระเจ้าอย่างโจ่งแจ้งที่สุดหรอกหรือ?  หากใครบางคนเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีโดยไม่มีความเข้าใจในพระองค์แม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็คือผู้ปราศจากความเชื่อ  บรรดาผู้ที่เต็มใจยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าคือผู้ที่ไล่ตามเสาะหาการเข้าใจพระองค์ เต็มใจยอมรับพระวจนะของพระองค์  พวกเขาคือผู้ที่จะได้รับมรดกและพรจากพระเจ้า และพวกเขาก็คือผู้ที่ได้รับพรมากที่สุด  พระเจ้าทรงสาปแช่งพวกที่ไม่มีที่ให้พระองค์ในหัวใจของพวกเขา และพระองค์ทรงตีสอนและละทิ้งผู้คนเช่นนั้น  หากเจ้าไม่รักพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็จะทรงละทิ้งเจ้า และหากเจ้าไม่รับฟังสิ่งที่เราพูด เช่นนั้นแล้ว เราสัญญาว่าพระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงละทิ้งเจ้า  จงทดสอบดูหากเจ้าไม่เชื่อ!  วันนี้เราได้อธิบายให้เจ้าฟังอย่างชัดเจนถึงเส้นทางปฏิบัติ แต่ว่าเจ้าจะนำไปปฏิบัติหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเจ้า  หากเจ้าไม่เชื่อคำเรา หากเจ้าไม่นำไปปฏิบัติ เจ้าจะได้เห็นด้วยตัวเจ้าเองว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในตัวเจ้าหรือไม่!  หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาการเข้าใจพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงพระราชกิจในตัวเจ้า  พระเจ้าทรงพระราชกิจในบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาและหวงแหนความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระองค์  ยิ่งเจ้าหวงแหนความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้ามากเท่าใด พระวิญญาณของพระองค์จะยิ่งทรงพระราชกิจในตัวเจ้ามากเท่านั้น  ยิ่งบุคคลผู้หนึ่งหวงแหนความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้ามากเท่าใด โอกาสที่เขาจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น  พระเจ้าทรงทำให้บรรดาผู้ที่รักพระองค์อย่างแท้จริงมีความเพียบพร้อม และพระองค์ทรงทำให้บรรดาผู้ที่หัวใจมีสันติสุขเฉพาะพระพักตร์พระองค์มีความเพียบพร้อม  การหวงแหนความล้ำค่าแห่งพระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้า การหวงแหนความล้ำค่าแห่งความรู้แจ้งของพระเจ้า การหวงแหนความล้ำค่าแห่งการสถิตของพระเจ้า การหวงแหนความล้ำค่าแห่งการดูแลเอาใจใส่และคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า การหวงแหนความล้ำค่าของการที่พระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นความเป็นจริงของเจ้าและจัดเตรียมให้กับชีวิตของเจ้า—ทั้งหมดนี้ล้วนสอดคล้องกับพระทัยของพระเจ้าที่สุด  หากเจ้าหวงแหนความล้ำค่าแห่งพระราชกิจของพระเจ้า นั่นคือ หากเจ้าหวงแหนความล้ำค่าของพระราชกิจทั้งปวงที่พระองค์ทรงทำกับเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็จะทรงอวยพรเจ้า และทำให้ทุกสิ่งที่เป็นของเจ้าเพิ่มพูนขึ้น  หากเจ้าไม่หวงแหนความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้า พระองค์จะไม่ทรงพระราชกิจในตัวเจ้า แต่พระองค์จะประทานพระคุณแก่เจ้าเพียงเล็กน้อยสำหรับความเชื่อของเจ้า หรืออวยพรเจ้าเป็นความมั่งคั่งอันต่ำต้อยและอวยพรครอบครัวของเจ้าเป็นความปลอดภัยอันน้อยนิด  เจ้าควรเพียรพยายามที่จะทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นความเป็นจริงของเจ้า และสามารถทำให้พระองค์พึงพอพระทัยและเป็นที่สมดังพระทัยของพระองค์ เจ้าไม่ควรแค่เพียรพยายามที่จะชื่นชมพระคุณของพระองค์เท่านั้น  ไม่มีสิ่งใดสำคัญสำหรับบรรดาผู้เชื่อมากไปกว่าการได้รับพระราชกิจของพระเจ้า การได้รับความเพียบพร้อม และการได้กลายเป็นผู้ที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  นี่คือเป้าหมายที่เจ้าควรไล่ตามเสาะหา

ทุกสิ่งที่มนุษย์ไล่ตามเสาะหาในยุคพระคุณนั้นบัดนี้ล้าสมัยแล้ว เพราะในปัจจุบันมีมาตรฐานของการไล่ตามเสาะหาที่สูงขึ้น สิ่งที่ไล่ตามเสาะหากันนั้นสูงส่งขึ้นและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น สิ่งที่ไล่ตามเสาะหากันนั้นสามารถสนองสิ่งที่มนุษย์พึงต้องมีอยู่ภายในได้ดีขึ้น  หลายยุคหลายสมัยในอดีต พระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจกับผู้คนดังที่พระองค์ทรงทำในวันนี้ พระองค์ไม่ได้ตรัสกับพวกเขามากเท่ากับที่พระองค์ตรัสในวันนี้ และข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาก็มิได้สูงเท่ากับข้อพึงประสงค์ของพระองค์ในวันนี้ด้วย  การที่พระเจ้าตรัสสิ่งเหล่านี้กับพวกเจ้าในตอนนี้แสดงให้เห็นว่าเจตนารมณ์สูงสุดของพระเจ้ามุ่งเน้นมาที่พวกเจ้า มาที่ผู้คนกลุ่มนี้  หากเจ้าปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็จงไล่ตามเสาะหาสิ่งนั้นเสมือนเป็นเป้าหมายหลักของเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะกำลังวิ่งวุ่นไปมา สละตัวเจ้าเอง รับใช้ด้วยการทำหน้าที่ หรือได้รับพระบัญชาจากพระเจ้าแล้วก็ตาม จุดมุ่งหมายยังคงเป็นการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่เสมอ ยังคงเป็นการสัมฤทธิ์เป้าหมายเหล่านี้  หากใครบางคนกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความเพียบพร้อมจากพระเจ้าหรือการเข้าสู่ชีวิต แต่เพียงแค่ไล่ตามเสาะหาความชื่นบานยินดีและสันติสุขทางเนื้อหนังเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็เป็นมนุษย์ที่มืดบอดที่สุด  พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความเป็นจริงชีวิต แต่กลับไล่ตามเสาะหาเฉพาะชีวิตนิรันดร์ในโลกหน้าและความปลอดภัยในโลกนี้เท่านั้น คือมนุษย์ที่มืดบอดที่สุด  ดังนั้นทุกสิ่งที่เจ้าทำ ควรกระทำไปเพื่อจุดประสงค์ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า

พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในตัวผู้คนนั้นเป็นไปเพื่อจัดเตรียมให้แก่พวกเขาตามความต้องการที่แตกต่างกันไปของพวกเขา  ยิ่งชีวิตของบุคคลหนึ่งใหญ่โตเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งต้องการมากขึ้นและยิ่งไล่ตามเสาะหามากขึ้นเท่านั้น  หากเจ้ายังไม่มีการไล่ตามเสาะหาในระยะนี้ นี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงละทิ้งเจ้าแล้ว  ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาชีวิตจะไม่มีวันถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ละทิ้ง ผู้คนเช่นนั้นไล่ตามเสาะหาอยู่เสมอ และมีความโหยหาในหัวใจของพวกเขาอยู่เสมอ  ผู้คนเช่นนั้นไม่เคยพอใจกับสิ่งต่างๆ ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  พระราชกิจแต่ละระยะของพระวิญญาณบริสุทธิ์มุ่งหมายที่จะสัมฤทธิ์ผลในตัวเจ้า แต่หากเจ้าเริ่มลำพองใจ หากเจ้าไม่มีความต้องการอีกต่อไป หากเจ้าไม่ยอมรับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกต่อไป เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็จะทรงละทิ้งเจ้า  ผู้คนจำเป็นต้องได้รับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าทุกวัน พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการจัดเตรียมอันอุดมจากพระเจ้าทุกวัน  ผู้คนสามารถรับมือกับปัญหาโดยไม่มีการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าทุกวันได้หรือ?  หากใครบางคนรู้สึกราวกับว่าพวกเขาไม่สามารถกินหรือดื่มพระวจนะของพระเจ้าได้มากพออยู่ตลอดเวลา หากพวกเขาแสวงหาและหิวกระหายพระวจนะของพระเจ้าอยู่เสมอ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาอยู่เสมอ  ยิ่งใครบางคนโหยหามากขึ้นเท่าใด พวกเขาจะยิ่งได้สิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงจากการสามัคคีธรรมมากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งใครบางคนแสวงหาความจริงอย่างจริงจังมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งสัมฤทธิ์การเติบโตในชีวิตของพวกเขารวดเร็วขึ้นเท่านั้น ทำให้พวกเขารุ่มรวยประสบการณ์และเป็นผู้อาศัยที่มั่งคั่งแห่งพระนิเวศของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงทำให้บรรดาผู้ที่สมดังพระทัยของพระองค์มีความเพียบพร้อม

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 548

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมีเส้นทางที่จะทรงดำเนินในแต่ละบุคคล และทรงให้โอกาสแต่ละบุคคลที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  เจ้าถูกทำให้รู้ความเสื่อมทรามของเจ้าเองโดยผ่านทางความเป็นด้านลบของเจ้า และแล้วโดยการโยนความเป็นด้านลบทิ้งไป เจ้าก็จะพบเส้นทางสู่การฝึกฝนปฏิบัติ เหล่านี้คือหนทางทั้งหมดที่เจ้าได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  นอกจากนี้ โดยผ่านทางการนำทางและความกระจ่างที่ต่อเนื่องของบางสิ่งที่เป็นบวกในตัวเจ้า เจ้าจะลุล่วงในหน้าที่การงานของเจ้า เติบโตขึ้นในความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและได้รับวิจารณญาณโดยเป็นไปในเชิงรุก  เมื่อสภาพเงื่อนไขของเจ้าดี เจ้าก็เต็มใจเป็นพิเศษที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้า และเต็มใจเป็นพิเศษที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้า และสามารถเชื่อมโยงคำเทศนาที่เจ้าได้ฟังเข้ากับสภาวะของเจ้าเอง  ณ เวลาเช่นนั้น พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งและทรงให้ความกระจ่างแก่เจ้าอยู่ภายใน ทำให้เจ้าตระหนักถึงบางสิ่งในแง่มุมด้านบวก  นี่คือวิธีที่เจ้าได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมในด้านบวก  ในสภาวะด้านลบ เจ้าอ่อนแอและนิ่งเฉย เจ้ารู้สึกว่าเจ้าไม่มีพระเจ้าในหัวใจของเจ้า ถึงกระนั้น พระเจ้าก็ยังทรงให้ความกระจ่างแก่เจ้า ช่วยเจ้าค้นหาเส้นทางสู่การฝึกฝนปฏิบัติ  ผลจากการนี้คือการบรรลุความเพียบพร้อมในแง่มุมด้านลบ  พระเจ้าสามารถทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้ทั้งในแง่มุมด้านบวกและด้านลบ  มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถได้รับประสบการณ์หรือไม่ และขึ้นอยู่กับว่าเจ้าไล่ตามเสาะหาการที่พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อมหรือไม่  หากเจ้าแสวงหาอย่างแท้จริงซึ่งการถูกพระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อม เช่นนั้นแล้วด้านลบก็ไม่สามารถทำให้เจ้าทุกข์ทนจากการสูญเสียได้ แต่สามารถนำพาสิ่งทั้งหลายที่เป็นจริงมากกว่ามาให้เจ้า และสามารถทำให้เจ้ามีความสามารถมากขึ้นที่จะรู้จักสิ่งซึ่งกำลังขาดพร่องภายในตัวเจ้า มีความสามารถมากขึ้นที่จะจับความเข้าใจในสภาวะที่เป็นจริงของเจ้า และมองเห็นว่ามนุษย์ไม่มีสิ่งใดเลย และไม่เป็นสิ่งใดเลย หากเจ้าไม่ได้รับประสบการณ์กับการทดสอบ เจ้าก็ย่อมไม่รู้ และจะรู้สึกอยู่เสมอว่าเจ้าอยู่เหนือผู้อื่นและดีกว่าผู้อื่นทุกคน  โดยผ่านทางนี้ทั้งหมด เจ้าจะมองเห็นว่าทั้งหมดที่ได้มาก่อนหน้านี้ได้ถูกทำโดยพระเจ้าและได้รับการปกป้องโดยพระเจ้า  การเข้าสู่การทดสอบทิ้งให้เจ้าปราศจากความรักหรือความเชื่อ เจ้าขาดพร่องการอธิษฐานและไร้ความสามารถที่จะขับร้องบทเพลงสรรเสริญ และเจ้าก็มารู้จักตัวเจ้าเองในท่ามกลางการนี้โดยที่ไม่ตระหนักถึงมันเลย  พระเจ้าทรงมีหลายวิถีทางในการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  พระองค์ทรงนำสภาพแวดล้อมทุกลักษณะมาใช้ในการจัดการกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ และทรงใช้สิ่งต่างๆ นานาในการตีแผ่มนุษย์ ในแง่หนึ่ง พระองค์ทรงจัดการกับมนุษย์ ในอีกแง่หนึ่ง พระองค์ทรงตีแผ่มนุษย์ และในอีกแง่หนึ่ง พระองค์ทรงเปิดเผยมนุษย์ โดยทรงขุดคุ้ยและเปิดเผย “ความล้ำลึก” ในส่วนลึกของหัวใจของมนุษย์ และทรงแสดงให้มนุษย์เห็นธรรมชาติของเขาโดยการเปิดเผยสภาวะมากมายของเขาออกมา  พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยผ่านทางวิธีการมากมาย—โดยผ่านทางการเปิดเผย โดยผ่านทางการจัดการกับมนุษย์ โดยผ่านทางกระบวนการการถลุงมนุษย์ และการตีสอน—เพื่อที่มนุษย์อาจรู้ว่าพระเจ้านั้นทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะบรรดาผู้มุ่งเน้นการปฏิบัติเท่านั้นที่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 549

สิ่งที่พวกเจ้าแสวงหาในตอนนี้คืออะไรเล่า?  การได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า การรู้จักพระเจ้า การได้มาซึ่งพระเจ้า—หรือบางทีเจ้าอาจพยายามที่จะวางท่าในลักษณะของเปโตรแห่งยุค 90 หรือมีความเชื่อที่ยิ่งใหญ่กว่าความเชื่อของโยบ หรือบางทีเจ้าอาจพยายามที่จะได้รับการเรียกขานว่าชอบธรรมโดยพระเจ้าและไปถึงเบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้า หรือเพื่อให้สามารถสำแดงพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้ และเป็นพยานที่ทรงพลังและดังกึกก้องเพื่อพระเจ้า  ไม่ว่าพวกเจ้าแสวงหาสิ่งใด โดยรวมแล้ว เจ้าแสวงหาเพื่อประโยชน์ของการได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าพยายามเป็นบุคคลที่ชอบธรรมหรือไม่ ไม่ว่าเจ้าแสวงหาลักษณะของเปโตร หรือความเชื่อของโยบ หรือการถูกทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าหรือไม่ ทั้งหมดก็คือพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำกับมนุษย์  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ว่าเจ้าแสวงหาสิ่งใด ทั้งหมดนั้นก็เพื่อประโยชน์ของการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า ทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์ของการได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า เพื่อทำให้สมดังพระทัยของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าแสวงหาสิ่งใดก็ตาม ทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์ของการค้นพบความน่ารักของพระเจ้า เพื่อประโยชน์ของการสำรวจค้นจนพบเส้นทางสู่การฝึกฝนปฏิบัติในประสบการณ์ที่เป็นจริงโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะสามารถโยนอุปนิสัยซึ่งเป็นกบฏของตัวเจ้าเองทิ้งไป แล้วสัมฤทธิ์สภาวะที่ปกติภายในตัวเจ้าเอง สามารถคล้อยตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ กลายเป็นบุคคลที่ถูกต้อง และมีสิ่งจูงใจที่ถูกต้องในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ  เหตุผลที่เจ้ากำลังได้รับประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดคือ เพื่อที่จะบรรลุการรู้จักพระเจ้าและการสัมฤทธิ์การเติบโตของชีวิต  แม้ว่าสิ่งที่เจ้าได้รับประสบการณ์คือพระวจนะของพระเจ้าและเหตุการณ์ที่เป็นจริงทั้งหลาย ตลอดจนผู้คน เรื่องราว และสิ่งทั้งหลายที่รายล้อมเจ้าอยู่ ในท้ายที่สุดแล้ว เจ้าย่อมสามารถรู้จักพระเจ้าและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  การพยายามเดินไปตามเส้นทางของบุคคลที่ชอบธรรมหรือพยายามนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัตินั้น เหล่านี้คือลู่วิ่ง ในขณะที่การรู้จักพระเจ้าและการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าคือบั้นปลาย  บัดนี้ไม่ว่าเจ้าแสวงหาการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า หรือพยายามเป็นพยานเพื่อพระเจ้า ในท้ายที่สุดแล้ว ทั้งหมดก็เป็นไปเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้า เป็นไปเพื่อที่พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในตัวเจ้าอาจไม่สูญเปล่า เพื่อที่ในที่สุดเจ้าย่อมมารู้จักความเป็นจริงของพระเจ้า รู้จักความยิ่งใหญ่ของพระองค์ และที่มากกว่านั้น รู้จักความถ่อมพระทัยและความซ่อนเร้นของพระเจ้า และรู้จักพระราชกิจจำนวนมหาศาลที่พระเจ้าทรงทำในตัวเจ้า  พระเจ้าได้ถ่อมพระทัยพระองค์เองจนถึงระดับที่พระองค์ทรงพระราชกิจอยู่ในผู้คนที่โสมมและเสื่อมทรามเหล่านี้ และทรงทำให้ผู้คนกลุ่มนี้มีความเพียบพร้อม  พระเจ้าไม่เพียงแค่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อดำรงชีวิตและกินอยู่ท่ามกลางผู้คน เพื่อเป็นผู้เลี้ยงให้กับผู้คน และเพื่อจัดเตรียมสิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องมี  ที่สำคัญกว่านั้นคือพระองค์ทรงพระราชกิจอันทรงฤทธิ์แห่งความรอดและการพิชิตชัยของพระองค์กับผู้คนที่เสื่อมทรามจนถึงขั้นมิอาจทนได้เหล่านี้  พระองค์ได้ทรงมาที่หัวใจของพญานาคใหญ่สีแดงเพื่อช่วยผู้คนที่เสื่อมทรามที่สุดเหล่านี้ให้รอด เพื่อที่ผู้คนทั้งหมดอาจถูกเปลี่ยนแปลงและทำให้ใหม่ได้  ความยากลำบากมหึมาที่พระเจ้าทรงสู้ทนไม่ใช่เพียงแค่ความยากลำบากที่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงสู้ทนเท่านั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันคือการที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงทนทุกข์กับการดูหมิ่นเหยียดหยามอันสุดขั้ว—พระองค์ถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้นพระองค์เองมากเสียจนพระองค์ทรงกลายเป็นบุคคลธรรมดาสามัญผู้หนึ่ง  พระเจ้าได้ทรงจุติเป็นมนุษย์และได้ทรงรูปทรงของเนื้อหนังเพื่อให้ผู้คนมองเห็นว่าพระองค์ทรงมีชีวิตมนุษย์ที่เป็นปกติและมีความจำเป็นทั้งหลายของมนุษย์ปกติ  นี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าพระเจ้าถ่อมพระองค์เองลงในขอบข่ายที่ใหญ่ยิ่ง  พระวิญญาณของพระเจ้าทรงได้รับการทำให้เป็นจริงในเนื้อหนัง  พระวิญญาณของพระองค์ทรงสูงส่งและยิ่งใหญ่ยิ่งนัก แต่ทว่าพระองค์กลับยังทรงรูปทรงของมนุษย์ทั่วไป รูปทรงของมนุษย์ที่ถูกละเลยมองข้ามได้คนหนึ่ง เพื่อที่จะทรงพระราชกิจของพระวิญญาณของพระองค์  ขีดความสามารถ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก สำนึกรับรู้ สภาวะความเป็นมนุษย์ และชีวิตของพวกเจ้าแต่ละคนแสดงให้เห็นว่าพวกเจ้าไม่ควรค่าจริงๆ ที่จะรับพระราชกิจประเภทนี้ของพระเจ้า  พวกเจ้าไม่ควรค่าจริงๆ ที่จะปล่อยให้พระเจ้าสู้ทนความยากลำบากเช่นนี้เพื่อประโยชน์ของเจ้า  พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหลือเกิน  พระองค์ทรงสูงสุดเหลือเกิน และผู้คนก็ต่ำต้อยเหลือเกิน ถึงกระนั้น พระองค์ก็ยังคงทรงพระราชกิจกับพวกเขา  พระองค์ไม่เพียงแค่ได้ทรงจุติเป็นมนุษย์เพื่อทรงจัดเตรียมให้ผู้คน เพื่อตรัสกับผู้คน แต่พระองค์ยังถึงกับทรงใช้ชีวิตร่วมกับผู้คน  พระเจ้าถ่อมพระทัยเหลือเกิน ทรงควรค่าที่จะรักเหลือเกิน  หากทันทีที่ความรักของพระเจ้าถูกพาดพิงถึง ทันทีที่พระคุณของพระเจ้าถูกพาดพิงถึง เจ้าก็หลั่งน้ำตาพลางเปล่งถ้อยคำสรรเสริญอันยิ่งใหญ่ หากเจ้ามาถึงสภาวะนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะบรรดาผู้มุ่งเน้นการปฏิบัติเท่านั้นที่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 550

มีความเบี่ยงเบนในการแสวงหาของผู้คนในทุกวันนี้ พวกเขาเพียงแค่พยายามรักพระเจ้าและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย แต่พวกเขาไม่มีความรู้อันใดเกี่ยวกับพระเจ้า และได้ละเลยความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในตัวพวกเขา  พวกเขาไม่มีรากฐานแห่งความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า  ในหนทางนี้ เมื่อพวกเขามีประสบการณ์ไปเรื่อยๆ พวกเขาจึงสูญเสียความกระตือรือร้นไป  พวกที่พยายามมีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าทั้งหมด ทั้งที่พวกเขาไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ดีในอดีตและได้มีแนวโน้มไปสู่ความเป็นลบและความอ่อนแอ และได้หลั่งน้ำตาบ่อยครั้ง ล้วนได้ตกลงสู่ความหมดกำลังใจและสูญสิ้นความหวัง—มาบัดนี้ ขณะที่พวกเขาได้รับประสบการณ์มากขึ้น สภาวะของพวกเขาก็ดีขึ้น  หลังจากผ่านประสบการณ์แห่งการถูกจัดการและถูกปราบพยศ และได้ก้าวผ่านการทดสอบและกระบวนการถลุงหนึ่งรอบแล้ว พวกเขาก็ได้มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก  สภาวะในด้านลบลดลง และมีการเปลี่ยนแปลงบ้างแล้วในอุปนิสัยชีวิตของพวกเขา  ขณะที่พวกเขาก้าวผ่านการทดสอบมากขึ้น หัวใจของพวกเขาก็เริ่มรักพระเจ้า  มีกฎข้อหนึ่งเกี่ยวกับการทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า ซึ่งก็คือ พระองค์ทรงทำให้เจ้ารู้แจ้งโดยใช้ส่วนที่พึงปรารถนาส่วนหนึ่งของเจ้า เพื่อให้เจ้ามีเส้นทางสู่การฝึกฝนปฏิบัติและสามารถแยกตัวเจ้าเองออกจากสภาวะด้านลบทั้งหมด ช่วยให้จิตวิญญาณของเจ้าบรรลุการปลดปล่อย และทำให้เจ้ามีความสามารถมากขึ้นที่จะรักพระองค์  ในหนทางนี้ เจ้าย่อมสามารถโยนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานทิ้งไปได้  เจ้าไร้มารยาและเปิดกว้าง เต็มใจที่จะรู้จักตัวเจ้าเองและนำความจริงไปปฏิบัติ  พระเจ้าย่อมจะทรงอวยพรเจ้าอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อเจ้าอ่อนแอและอยู่ในด้านลบ พระองค์ทรงทำให้เจ้ารู้แจ้งเป็นสองเท่า ทรงช่วยให้เจ้ารู้จักตัวเจ้าเองมากขึ้น เต็มใจมากขึ้นที่จะกลับใจเพื่อตัวเจ้าเอง และมีความสามารถมากขึ้นที่จะฝึกฝนปฏิบัติสิ่งทั้งหลายที่เจ้าควรฝึกฝนปฏิบัติ  ในหนทางนี้เท่านั้น หัวใจของเจ้าจึงจะสามารถมีสันติสุขและรู้สึกสบายใจได้  บุคคลผู้หนึ่งซึ่งโดยปกติแล้วให้ความสนใจกับการรู้จักพระเจ้า ให้ความสนใจกับการรู้จักตัวเขาเอง ให้ความสนใจกับการฝึกฝนปฏิบัติของเขาเอง จะสามารถรับพระราชกิจของพระเจ้า ตลอดจนการทรงนำและความรู้แจ้งของพระองค์ได้อยู่เนืองๆ  แม้ว่าบุคคลเช่นนี้อาจอยู่ในสภาวะด้านลบ แต่เขาก็สามารถทำให้สิ่งทั้งหลายกลับดีขึ้นได้ในทันที ไม่ว่าจะเป็นเพราะการกระทำของมโนธรรมหรือความรู้แจ้งจากพระวจนะของพระเจ้า  การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของบุคคลได้รับการสัมฤทธิ์ผลเสมอเมื่อเขารู้สภาวะตามจริงของเขาเองและพระอุปนิสัยและพระราชกิจของพระเจ้า  บุคคลที่เต็มใจที่จะรู้จักตัวเขาเองและเปิดตัวเขาเองให้กว้างจะสามารถดำเนินความจริงจนเสร็จสิ้นได้  บุคคลประเภทนี้เป็นบุคคลที่จงรักภักดีต่อพระเจ้า และบุคคลที่จงรักภักดีต่อพระเจ้ามีความเข้าใจในพระเจ้า ไม่ว่าความเข้าใจนี้จะลึกซึ้งหรือตื้นเขิน ขาดแคลนหรือล้นเหลือ  นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า และเป็นบางสิ่งที่ผู้คนบรรลุ มันคือการได้รับของพวกเขาเอง  บุคคลที่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าคือบุคคลที่มีพื้นฐาน มีนิมิต  บุคคลประเภทนี้แน่ใจเกี่ยวกับเนื้อหนังของพระเจ้า และแน่ใจเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้า  ไม่ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจหรือตรัสอย่างไร หรือผู้คนอื่นๆ ก่อให้เกิดการรบกวนอย่างไร เขาก็สามารถยืนหยัดไม่ถอย และยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้าได้  ยิ่งบุคคลผู้หนึ่งเป็นเช่นนี้มากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งสามารถดำเนินการตามความจริงที่เขาเข้าใจจนเสร็จสิ้นได้มากขึ้นเท่านั้น  เพราะเขากำลังฝึกฝนปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าอยู่เสมอ เขาจึงได้มาซึ่งความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้ามากขึ้น และครองความแน่วแน่ที่จะยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้าตลอดกาล

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะบรรดาผู้มุ่งเน้นการปฏิบัติเท่านั้นที่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 551

การมีวิจารณญาณ การมีความนบนอบ และการมีความสามารถที่จะมองเห็นเข้าไปในสิ่งทั้งหลายเพื่อที่เจ้าจะเฉียบคมในจิตวิญญาณนั้นหมายความว่า เจ้ามีพระวจนะของพระเจ้าคอยให้ความกระจ่างและให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าข้างใน ทันทีที่เจ้าเผชิญกับบางสิ่ง  นี่คือการมีความเฉียบคมในจิตวิญญาณ  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งการช่วยรื้อฟื้นจิตวิญญาณของผู้คน  เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสเสมอว่าผู้คนมึนชาและหัวทึบ?  มันเป็นเพราะจิตวิญญาณของผู้คนได้ตายไปแล้ว และพวกเขาได้กลายเป็นมึนชาเสียจนพวกเขาไม่รู้สึกถึงสิ่งทั้งหลายของจิตวิญญาณอย่างสิ้นเชิง  พระราชกิจของพระเจ้าคือการทำให้ชีวิตของผู้คนก้าวหน้าและช่วยให้จิตวิญญาณของผู้คนกลับมามีชีวิต เพื่อที่พวกเขาสามารถมองเห็นเข้าไปในสิ่งทั้งหลายของจิตวิญญาณ และพวกเขาสามารถรักพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้เสมอ  การมาถึงช่วงระยะนี้แสดงให้เห็นว่าจิตวิญญาณของบุคคลผู้หนึ่งได้รับการรื้อฟื้นแล้ว และครั้งต่อไปที่เขาเผชิญกับบางสิ่ง เขาก็สามารถเกิดปฏิกิริยาได้ในทันที  เขามีการตอบสนองต่อคำเทศนา และมีปฏิกิริยาต่อสถานการณ์อย่างรวดเร็ว  นี่เองคือสิ่งที่เป็นการสัมฤทธิ์ความเฉียบคมทางจิตวิญญาณ  มีผู้คนมากมายที่มีปฏิกิริยารวดเร็วต่อเหตุการณ์ภายนอก แต่ทันทีที่มีการพาดพิงถึงการเข้าสู่ความเป็นจริงหรือสิ่งทั้งหลายซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับจิตวิญญาณ พวกเขาก็กลับกลายเป็นมึนชาและหัวทึบไป  พวกเขาเข้าใจบางสิ่งก็ต่อเมื่อมันกำลังจ้องมองหน้าพวกเขาเท่านั้น  ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณของการมึนชาและหัวทึบทางจิตวิญญาณ สัญญาณของการมีประสบการณ์เล็กน้อยกับสิ่งทั้งหลายของจิตวิญญาณ  ผู้คนบางคนเฉียบคมทางจิตวิญญาณและมีวิจารณญาณ  ทันทีที่พวกเขาได้ฟังคำพูดที่ชี้ให้เห็นถึงสภาวะของพวกเขา พวกเขาก็ไม่เสียเวลาเลยที่จะเขียนบันทึกคำพูดเหล่านั้น  ทันทีที่พวกเขาได้ฟังคำพูดเกี่ยวกับหลักการแห่งการฝึกฝนปฏิบัติ พวกเขาก็สามารถยอมรับและประยุกต์ใช้คำพูดเหล่านั้นกับประสบการณ์ที่จะตามมาหลังจากนั้นของพวกเขา จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวพวกเขาเองด้วยประการนั้น  นี่คือบุคคลที่เฉียบคมในจิตวิญญาณ  เหตุใดหรือพวกเขาจึงสามารถมีปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วเหลือเกินได้?  มันเป็นเพราะพวกเขามุ่งเน้นสิ่งเหล่านี้ในชีวิตประจำวัน  เมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็สามารถตรวจดูสภาวะของพวกเขากับพระวจนะเหล่านั้นและคิดทบทวนตัวเอง  เมื่อพวกเขาได้ยินการสามัคคีธรรมและคำเทศนา และได้ยินพระวจนะที่นำพาความรู้แจ้งและความกระจ่างมาให้พวกเขา พวกเขาก็สามารถรับสิ่งเหล่านั้นไว้ได้ในทันที  มันก็เหมือนกับการให้อาหารแก่บุคคลที่หิวโหยผู้หนึ่ง พวกเขาสามารถกินได้เดี๋ยวนั้นเลย  หากเจ้าให้อาหารกับใครบางคนที่ไม่หิว พวกเขาจะไม่มีปฏิกิริยารวดเร็วนัก  เจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าบ่อยๆ และแล้วเจ้าก็สามารถมีปฏิกิริยาได้ในทันทีเมื่อเจ้าเผชิญกับบางสิ่ง กล่าวคือ สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ในเรื่องนี้ และวิธีที่เจ้าควรปฏิบัติตน  พระเจ้าได้ทรงนำทางเจ้าในเรื่องนี้เมื่อครั้งก่อน เมื่อเจ้าเผชิญกับสิ่งจำพวกเดียวกันนี้ในวันนี้ ก็เป็นธรรมดาที่เจ้าย่อมจะรู้วิธีฝึกฝนปฏิบัติในหนทางที่ทำให้สมดังพระทัยของพระเจ้า  หากเจ้าฝึกฝนปฏิบัติในหนทางนี้อยู่เสมอและได้รับประสบการณ์ในหนทางนี้เสมอ ถึงจุดหนึ่งมันย่อมจะมาสู่เจ้าอย่างง่ายดาย  ตอนที่กำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้า เจ้าก็รู้ว่าบุคคลจำพวกใดที่พระเจ้ากำลังทรงอ้างอิงถึง เจ้ารู้ว่าสภาพเงื่อนไขจำพวกใดทางจิตวิญญาณที่พระองค์กำลังตรัสถึง และเจ้าจึงสามารถจับความเข้าใจประเด็นสำคัญและนำมันไปปฏิบัติได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าสามารถได้รับประสบการณ์ได้  เหตุใดผู้คนบางคนจึงกำลังขาดพร่องในเรื่องนี้?  มันเป็นเพราะพวกเขาไม่ใช้ความพยายามให้มากในแง่มุมของการฝึกฝนปฏิบัติ  แม้ว่าพวกเขาเต็มใจที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ แต่พวกเขาก็ไม่มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่แท้จริงในรายละเอียดของการปรนนิบัติ ในรายละเอียดของความจริงในชีวิตของพวกเขา  พวกเขากลายเป็นสับสนเมื่อบางสิ่งเกิดขึ้น  ในหนทางนี้ เจ้าอาจถูกนำให้หลงผิดเมื่อผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหรืออัครทูตเทียมเท็จผ่านเข้ามา  เจ้าต้องมีการสามัคคีธรรมกันให้บ่อยครั้งเกี่ยวกับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า—เฉพาะในหนทางนี้เท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถเข้าใจความจริงและพัฒนาวิจารณญาณได้  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าก็จะไม่มีวิจารณญาณ  ตัวอย่างเช่น สิ่งที่พระเจ้าตรัส วิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ สิ่งที่เป็นข้อเรียกร้องของพระเจ้าต่อผู้คน ผู้คนจำพวกใดที่เจ้าควรเข้าไปติดต่อด้วย และผู้คนจำพวกใดที่เจ้าควรปฏิเสธ—เจ้าต้องสามัคคีธรรมกันเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ให้บ่อยครั้ง  หากเจ้าได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าในหนทางนี้เสมอ เจ้าก็จะเข้าใจความจริงและเข้าใจสรรพสิ่งมากมายอย่างถ้วนทั่ว และเจ้าจะมีวิจารณญาณอีกด้วย  สิ่งใดคือการบ่มวินัยโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งใดคือการติเตียนที่เกิดจากเจตจำนงของมนุษย์ สิ่งใดคือการทรงนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งใดคือการจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อม สิ่งใดคือการที่พระวจนะของพระเจ้าให้ความกระจ่างภายใน?  หากเจ้าไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็จะไม่มีวิจารณญาณ  เจ้าควรรู้ว่าสิ่งใดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งใดคืออุปนิสัยที่เป็นกบฏ วิธีเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า และวิธีโยนความเป็นกบฏของเจ้าเองทิ้งไป หากเจ้ามีความเข้าใจเชิงประสบการณ์ในสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็จะมีรากฐาน เมื่อบางสิ่งเกิดขึ้น เจ้าก็จะมีความจริงอันสมควรที่จะใช้ประเมินวัดมันและมีนิมิตที่เหมาะสมเป็นรากฐาน  เจ้าจะมีหลักการในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ และจะสามารถปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับความจริงได้  เช่นนั้นแล้วชีวิตของเจ้าจะเต็มไปด้วยความรู้แจ้งของพระเจ้า เต็มไปด้วยพระพรของพระเจ้า  พระเจ้าจะไม่ทรงปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมต่อบุคคลใดก็ตามที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงใจ หรือผู้ที่ใช้ชีวิตตามพระองค์และเป็นพยานเพื่อพระองค์ และพระองค์จะไม่ทรงสาปแช่งบุคคลใดก็ตามที่สามารถกระหายความจริงอย่างจริงใจได้  หากในขณะที่เจ้ากำลังกินและกำลังดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าสามารถให้ความสนใจกับการรู้จักสภาวะที่แท้จริงของเจ้าเองได้ ให้ความสนใจกับการฝึกฝนปฏิบัติของเจ้าเองได้ และให้ความสนใจกับความเข้าใจของเจ้าเองได้ เช่นนั้นแล้ว เมื่อเจ้าพบเจอปัญหา เจ้าจะได้รับความรู้แจ้งและจะได้รับความเข้าใจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะมีเส้นทางของการฝึกฝนปฏิบัติและวิจารณญาณในทุกสรรพสิ่ง  บุคคลที่มีความจริงไม่มีวี่แววที่จะถูกหลอกลวง ไม่มีวี่แววที่จะประพฤติตนในแบบที่ก่อเกิดการหยุดชะงักหรือกระทำตัวเกินเลย  เพราะความจริง เขาจึงได้รับการปกป้อง และก็เพราะความจริงเช่นกัน เขาจึงได้มาซึ่งความเข้าใจที่มากขึ้น  เพราะความจริง เขาจึงมีเส้นทางสู่การฝึกฝนปฏิบัติมากขึ้น ได้โอกาสมากขึ้นในการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจในตัวเขา และได้โอกาสมากขึ้นที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะบรรดาผู้มุ่งเน้นการปฏิบัติเท่านั้นที่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 552

หากเจ้าจะต้องได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมก็มีเกณฑ์กำหนดที่จะต้องทำให้ครบ  โดยผ่านทางความมุ่งมั่นของเจ้า ความมานะบากบั่นของเจ้า และมโนธรรมของเจ้า และโดยผ่านทางการไล่ตามเสาะหาของเจ้า เจ้าจะสามารถมีประสบการณ์กับชีวิตและสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าได้  นี่คือการเข้าสู่ของเจ้า และสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พึงต้องมีบนเส้นทางไปสู่ความเพียบพร้อม  พระราชกิจแห่งการทำให้มีความเพียบพร้อมสามารถทำได้กับผู้คนทั้งปวง  ผู้ใดก็ตามที่ไล่ตามเสาะหาพระเจ้าสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และมีโอกาสและคุณสมบัติที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  ไม่มีกฎตายตัวตรงนี้  การที่คนเราจะสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้หรือไม่นั้นโดยหลักแล้วขึ้นอยู่กับสิ่งที่คนเราไล่ตามเสาะหา  ผู้คนที่รักความจริงและสามารถดำเนินชีวิตตามความจริงได้จะสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้อย่างแน่นอน  ผู้คนที่ไม่รักความจริงย่อมไม่ได้รับคำชมเชยจากพระเจ้า พวกเขาไม่ได้ครอบครองชีวิตที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ และพวกเขาไร้ความสามารถที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้  พระราชกิจแห่งการทำให้มีความเพียบพร้อมมีเพื่อให้ได้รับผู้คนไว้เท่านั้น และไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพระราชกิจแห่งการสู้รบกับซาตาน พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยมีเพื่อการสู้รบกับซาตาน ซึ่งหมายถึงการใช้การพิชิตมนุษย์เพื่อเอาชนะซาตาน  พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยเป็นพระราชกิจหลัก พระราชกิจที่ใหม่ที่สุด พระราชกิจที่ไม่เคยทรงทำมาก่อนในยุคต่างๆ ทั้งหมด  คนเราสามารถพูดได้ว่าเป้าหมายของพระราชกิจช่วงระยะนี้โดยหลักแล้วคือการพิชิตผู้คนทั้งหมดเพื่อที่จะเอาชนะซาตาน  พระราชกิจแห่งการทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อม—นี่ไม่ใช่พระราชกิจใหม่  แก่นแท้ของเป้าหมายของพระราชกิจทั้งหมดในระหว่างการทำพระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังคือการพิชิตผู้คน  นี่เป็นเหมือนในยุคพระคุณที่พระราชกิจหลักคือการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงโดยผ่านทางการตรึงกางเขน  “การได้รับผู้คน” คือส่วนเพิ่มเติมจากพระราชกิจในเนื้อหนัง และได้ถูกทำหลังจากการตรึงกางเขนเท่านั้น  เมื่อพระเยซูเสด็จมาและได้ทรงทำพระราชกิจของพระองค์ เป้าหมายของพระองค์โดยหลักแล้วคือการใช้การตรึงกางเขนของพระองค์เพื่อให้มีชัยเหนือพันธนาการแห่งความตายและแดนคนตาย เพื่อมีชัยเหนืออิทธิพลของซาตาน—นั่นคือเพื่อเอาชนะซาตาน  เพียงหลังจากที่พระเยซูได้ทรงถูกตรึงกางเขนแล้วเท่านั้น เปโตรจึงได้เริ่มเดินไปบนเส้นทางแห่งความเพียบพร้อมทีละก้าว  แน่นอนว่าเปโตรได้อยู่ท่ามกลางบรรดาผู้ที่ติดตามพระเยซูในขณะที่พระเยซูกำลังทรงพระราชกิจ แต่เขาไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมในระหว่างเวลานั้น  ตรงกันข้าม เป็นหลังจากที่พระเยซูได้ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจของพระองค์แล้วนั่นเองที่เปโตรได้ค่อยๆ เข้าใจความจริงแล้วจึงกลายเป็นได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกเพียงเพื่อทำให้ช่วงระยะที่สำคัญอย่างยิ่งยวดของพระราชกิจครบบริบูรณ์ในช่วงเวลาอันสั้น ไม่ใช่เพื่อมีชีวิตยืนยาวท่ามกลางผู้คนบนแผ่นดินโลกด้วยเจตนารมณ์แห่งการทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อม  พระองค์ไม่ทรงทำพระราชกิจนั้น  พระองค์ไม่ทรงรอจนกระทั่งถึงเวลาที่มนุษย์ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมครบบริบูรณ์แล้วจึงจะทรงสรุปปิดตัวพระราชกิจของพระองค์  นั่นไม่ใช่เป้าหมายและนัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์ของพระองค์  พระองค์เสด็จมาเพียงเพื่อทำพระราชกิจระยะสั้นแห่งการช่วยมนุษยชาติให้รอด ไม่ใช่เพื่อทำพระราชกิจระยะยาวแห่งการทำให้มนุษยชาติมีความเพียบพร้อม  พระราชกิจแห่งการช่วยมนุษยชาติให้รอดทำหน้าที่เป็นแบบอย่างซึ่งสามารถเปิดตัวยุคใหม่ได้  พระราชกิจนี้สามารถทำให้เสร็จสิ้นได้ในช่วงเวลาอันสั้น  แต่การทำให้มนุษยชาติมีความเพียบพร้อมพึงต้องนำพามนุษย์ขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง พระราชกิจเช่นนี้ใช้เวลานาน  เป็นพระราชกิจที่ต้องทำโดยพระวิญญาณของพระเจ้า แต่ก็ทำบนรากฐานแห่งความจริงที่ได้ตรัสในระหว่างพระราชกิจในเนื้อหนัง  และยังทำโดยผ่านทางการที่พระองค์ทรงยกบรรดาอัครทูตขึ้นเพื่อให้ทำงานเลี้ยงดูระยะยาวเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของพระองค์ในการทำให้มนุษยชาติมีความเพียบพร้อมอีกด้วย  พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ไม่ทรงทำพระราชกิจนี้  พระองค์เพียงแค่ตรัสเกี่ยวกับวิถีชีวิตเพื่อที่ผู้คนจะได้เข้าใจ และพระองค์เพียงแค่ประทานความจริงแก่มนุษยชาติ แทนที่จะติดตามร่วมทางกับมนุษย์อย่างต่อเนื่องในการฝึกฝนปฏิบัติความจริง เพราะนั่นไม่อยู่ในพันธกิจของพระองค์  เพราะฉะนั้นพระองค์จะไม่ทรงติดตามร่วมทางกับมนุษย์จนกระทั่งถึงวันที่มนุษย์เข้าใจความจริงอย่างครบบริบูรณ์และได้มาซึ่งความจริงอย่างครบบริบูรณ์  พระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนังสรุปปิดตัวเมื่อมนุษย์เข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้าอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เมื่อมนุษย์ก้าวเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องของการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  แน่นอนว่านี่คือเวลาที่พระองค์จะได้ทรงเอาชนะซาตานและทรงมีชัยเหนือโลกอย่างเบ็ดเสร็จอีกด้วย  พระองค์ไม่ใส่พระทัยว่าในที่สุดแล้วมนุษย์ได้เข้าสู่ความจริงหรือยังในเวลานั้น และพระองค์ไม่ใส่พระทัยเกี่ยวกับว่าชีวิตของมนุษย์จะยิ่งใหญ่หรือเล็กจิ๋ว  ทั้งหมดนั้นไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ในเนื้อหนังควรจะทรงบริหารจัดการ ไม่มีสักอย่างเดียวที่อยู่ภายในพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์  ทันทีที่พระองค์ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจตามเจตนารมณ์ของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงสรุปปิดตัวพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนัง  ดังนั้นพระราชกิจที่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงทำจึงมีแต่พระราชกิจที่พระวิญญาณของพระเจ้าไม่ทรงสามารถทำได้โดยตรงเท่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นพระราชกิจระยะสั้นแห่งความรอด ไม่ใช่พระราชกิจที่พระองค์จะทรงดำเนินการบนแผ่นดินโลกในระยะยาว

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มีเพียงผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วเท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตอันเปี่ยมความหมายได้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 553

พระราชกิจที่กำลังทำท่ามกลางพวกเจ้านี้กำลังดำเนินการกับพวกเจ้าโดยสอดคล้องกับว่าจำเป็นจะต้องทำพระราชกิจอะไร  หลังการพิชิตผู้คนเหล่านี้ ผู้คนกลุ่มหนึ่งจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  เพราะฉะนั้น พระราชกิจส่วนมากในปัจจุบันจึงอยู่ในระหว่างตระเตรียมเพื่อรองรับเป้าหมายแห่งการทำให้พวกเจ้ามีความเพียบพร้อมด้วยเช่นกัน เพราะมีผู้คนมากมายที่กำลังหิวกระหายความจริงที่ว่าใครสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้  หากพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยจะถูกดำเนินการกับพวกเจ้า และหลังจากนั้นก็ไม่มีพระราชกิจให้ทำอีกต่อไป เช่นนั้นแล้วจะไม่เป็นกรณีที่ว่าบางคนที่โหยหาความจริงก็จะไม่ได้รับความจริงหรอกหรือ?  พระราชกิจปัจจุบันมุ่งหมายที่จะเปิดเส้นทางสำหรับการทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมในภายหลัง  แม้ว่างานของเราจะเป็นเพียงงานแห่งการพิชิตชัย แต่อย่างไรก็ตาม วิถีชีวิตที่เราพูดถึงก็คือการตระเตรียมเพื่อการทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมในภายหลัง  งานที่มาหลังการพิชิตชัยมีศูนย์กลางอยู่ที่การทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อม และการพิชิตนั้นทำเพื่อที่จะวางรากฐานสำหรับงานแห่งการทำให้มีความเพียบพร้อม  มนุษย์สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้ก็เฉพาะหลังจากถูกพิชิตแล้วเท่านั้น  บัดนี้ภารกิจหลักคือการพิชิต ต่อไป บรรดาผู้ที่แสวงหาและถวิลหาความจริงก็จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  การได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมนั้นเกี่ยวข้องกับแง่มุมการเข้าสู่ที่กระตือรือร้นของผู้คน กล่าวคือ เจ้ามีหัวใจที่รักพระเจ้าหรือไม่?  ประสบการณ์ของเจ้าในขณะที่เจ้าเดินมาตามเส้นทางนี้มีความลึกล้ำเพียงใด?  ความรักพระเจ้าของเจ้าบริสุทธิ์เพียงใด?  การปฏิบัติความจริงของเจ้าถูกต้องแม่นยำเพียงใด?  การที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมนั้น คนเราต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสภาวะความเป็นมนุษย์ในทุกๆ แง่มุม  นี่คือข้อพึงประสงค์ขั้นต่ำสุด  พวกที่ไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้หลังจากได้รับการพิชิตแล้วย่อมกลายเป็นวัตถุที่ใช้ปรนนิบัติทั้งหมด และในท้ายที่สุดจะยังคงถูกโยนลงไปในบึงไฟและกำมะถัน และจะยังคงตกลงสู่บาดาลลึก เพราะอุปนิสัยของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง และเจ้ายังคงเป็นของซาตาน  หากมนุษย์ขาดสภาพเงื่อนไขสำหรับการทำให้มีความเพียบพร้อม เช่นนั้นแล้วเขาก็ไร้ประโยชน์—เขาเป็นของเสีย เป็นเครื่องมือ เป็นบางสิ่งที่ไม่สามารถทนทานต่อการทดสอบแห่งไฟได้!  บัดนี้ความรักพระเจ้าของเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด?  ความเกลียดตัวเองของเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด?  จริงๆ แล้วเจ้ารู้จักซาตานลึกล้ำเพียงใด?  พวกเจ้าได้ทำให้ความตั้งใจแน่วแน่ของพวกเจ้าแข็งแกร่งแล้วหรือยัง?  ชีวิตของพวกเจ้าภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเจ้ามีระเบียบดีหรือไม่?  ชีวิตของเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือยัง?  เจ้ากำลังมีชีวิตใหม่หรือไม่?  ทรรศนะเกี่ยวกับชีวิตของพวกเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือยัง?  หากสิ่งเหล่านี้ยังไม่ได้เปลี่ยนไป ต่อให้เจ้าไม่ล่าถอย เจ้าก็ไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้ แต่เจ้ากลับเพียงแค่ได้รับการพิชิตเสียมากกว่า  เมื่อถึงเวลาที่จะทดสอบเจ้า เจ้าก็จะขาดพร่องความจริง สภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าจะผิดปกติ และเจ้าจะต่ำต้อยดุจดั่งสัตว์พาหนะ  การบรรลุเพียงอย่างเดียวของเจ้าคงจะเป็นการได้รับการพิชิต—เจ้าคงจะเป็นเพียงแค่วัตถุชิ้นหนึ่งที่เราได้พิชิต  เฉกเช่นเดียวกับลาซึ่งทันทีที่มันมีประสบการณ์กับแส้ของเจ้านายก็กลายเป็นหวั่นเกรงและหวาดกลัวที่จะแสดงความดื้อรั้นทุกครั้งที่มันเห็นเจ้านาย เจ้าก็คงจะเป็นเพียงแค่ลาที่ได้ถูกพิชิตแล้ว  หากบุคคลผู้หนึ่งขาดพร่องแง่มุมที่เป็นบวกเหล่านั้น และกลับเฉื่อยชาและยำเกรง ขี้อายและลังเลในทุกสิ่งทุกอย่างแทน ไร้ความสามารถที่จะแยกแยะสิ่งใดได้อย่างชัดเจน ไร้ความสามารถที่จะยอมรับความจริง ยังคงไร้เส้นทางสำหรับการฝึกฝนปฏิบัติ และนอกเหนือจากนั้น ถึงกับไร้หัวใจที่รักพระเจ้า—หากบุคคลผู้หนึ่งไม่มีความเข้าใจในวิธีรักพระเจ้า วิธีใช้ชีวิตที่เปี่ยมความหมาย หรือวิธีเป็นบุคคลที่เป็นจริง—บุคคลเช่นนี้จะสามารถเป็นพยานให้พระเจ้าได้อย่างไร?  นี่ย่อมจะแสดงว่าชีวิตของเจ้ามีคุณค่าเล็กน้อย และเจ้าเป็นเพียงแค่ลาที่ถูกพิชิต  เจ้าจะได้รับการพิชิต แต่นั่นก็คงจะแค่หมายความว่าเจ้าได้ตัดขาดจากพญานาคใหญ่สีแดง และปฏิเสธที่จะนบนอบต่อแดนครอบครองของมันเท่านั้น คงจะหมายความว่าเจ้าเชื่อว่ามีพระเจ้า ต้องการเชื่อฟังแผนการทั้งหมดของพระเจ้า และไม่มีคำพร่ำบ่นใดๆ  แต่ในส่วนของแง่มุมที่เป็นบวก เจ้าสามารถใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าและสำแดงพระเจ้าได้หรือไม่?  หากเจ้าไม่มีแง่มุมเหล่านี้เลย ก็หมายความว่าเจ้ายังไม่ได้ถูกพระเจ้าทรงรับไว้ และเจ้าเป็นเพียงลาที่ถูกพิชิตเท่านั้น  ไม่มีสิ่งใดในตัวเจ้าที่น่าปรารถนา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่ทรงพระราชกิจในตัวเจ้า  สภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าขาดพร่องเกินไป จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงใช้เจ้า  เจ้าจำต้องได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า และจำต้องดีกว่าพวกสัตว์ที่ไม่เชื่อและผีดิบเดินได้เป็นร้อยเท่า—มีเพียงบรรดาผู้ที่มาถึงระดับนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  เฉพาะเมื่อคนเรามีสภาวะความเป็นมนุษย์และมีมโนธรรมเท่านั้น คนเราจึงจะเหมาะแก่การทรงใช้ของพระเจ้า  มีเพียงเมื่อพวกเจ้าได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วเท่านั้น พวกเจ้าจึงจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นมนุษย์  มีเพียงบรรดาผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วเท่านั้นที่เป็นผู้คนที่ใช้ชีวิตอันเปี่ยมความหมาย  ผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเป็นพยานให้กับพระเจ้าได้อย่างกังวานก้องยิ่งๆ ขึ้นไป

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มีเพียงผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วเท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตอันเปี่ยมความหมายได้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 554

อะไรคือเส้นทางที่พระเจ้าทรงใช้ในการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม?  เส้นทางนั้น รวมแง่มุมด้านใดไว้บ้าง?  เจ้าเต็มใจที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าเต็มใจที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์หรือไม่?  เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้?  หากเจ้าไม่มีความรู้ที่จะพูดถึง เช่นนั้นแล้วนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ ว่าเจ้ายังคงไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า ว่าเจ้ายังไม่ได้รับการทำให้รู้แจ้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์แต่อย่างใดเลย  มันเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนเช่นนั้นจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  พวกเขาจะได้รับพระคุณเพียงปริมาณเล็กน้อยที่พอจะชื่นชมได้ในเวลาสั้นๆ และมันจะไม่ยืนยาว  ผู้คนไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าได้ หากพวกเขามัวแต่ชื่นชมไปกับพระคุณของพระองค์  บางคนรู้สึกพึงพอใจเมื่อเนื้อหนังของพวกเขามีสันติสุขและความชื่นชมยินดี เมื่อชีวิตของพวกเขาเป็นไปอย่างง่ายดายและปราศจากความทุกข์ยากหรือโชคร้าย เมื่อพวกเขาทั้งครอบครัวมีชีวิตอยู่ในความปรองดอง ไม่มีการโต้เถียงกัน หรือการโต้แย้ง—และพวกเขาอาจถึงขั้นเชื่อว่า นี่คือพระพรของพระเจ้า  ในความเป็นจริง มันเป็นแค่พระคุณของพระเจ้า  พวกเจ้าจะต้องไม่พึงพอใจไปกับการแค่ได้ชื่นชมไปกับพระคุณของพระเจ้า  ความคิดเช่นนั้นช่างไร้ความละเอียดอ่อนเหลือเกิน  ต่อให้เจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน และอธิษฐานทุกวัน และจิตวิญญาณของเจ้ารู้สึกชื่นชมยินดีอย่างใหญ่หลวง และมีสันติสุขเป็นพิเศษ หากสุดท้ายแล้ว เจ้าก็ยังไม่มีอะไรจะพูดถึงความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ และไม่ได้ผ่านประสบการณ์อะไรมาเลย และไม่สำคัญว่า เจ้าจะได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามากสักเท่าไร หากความรู้สึกทั้งมวลของเจ้าคือสันติสุขและความชื่นชมยินดีทางจิตวิญญาณ และรู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าหวานหูเหนือใดเทียม ราวกับว่าเจ้าไม่สามารถชื่นชมได้เพียงพอ แต่เจ้าไม่มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแม้แต่น้อยต่อพระวจนะของพระเจ้า และปราศจากความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระองค์อย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถได้รับอะไรจากความเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้า?  หากเจ้าไม่สามารถใช้ชีวิตตามแก่นสารแห่งพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว การกินและการดื่มพระวจนะเหล่านี้ของเจ้า และคำอธิษฐานของเจ้าก็คงไม่มีค่าอะไรนอกจากการเชื่อทางศาสนา  ผู้คนเหล่านั้นไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าและไม่สามารถได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้า  ผู้คนซึ่งได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้าคือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  สิ่งที่พระเจ้าทรงรับไว้ไม่ใช่เนื้อหนังของมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งต่างๆ ที่เป็นของเขา แต่เป็นส่วนซึ่งอยู่ภายในตัวเขาที่เป็นของพระเจ้า  ดังนั้น เมื่อพระเจ้าทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม พระองค์มิได้ทรงทำให้เนื้อหนังของพวกเขามีความเพียบพร้อม แต่เป็นหัวใจของพวกเขา เพื่อช่วยให้หัวใจของพวกเขาได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้า ซึ่งกล่าวได้ว่า โดยสาระสำคัญแล้ว การทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมของพระเจ้าก็คือการที่พระเจ้าทรงทำให้หัวใจของมนุษย์มีความเพียบพร้อม เพื่อที่หัวใจดวงนี้อาจหันมาหาพระเจ้า และเพื่อที่หัวใจดวงนี้อาจรักพระองค์

เนื้อหนังของมนุษย์เป็นเลือดเนื้อ ไม่มีประโยชน์อะไรที่พระเจ้าจะทรงรับเนื้อหนังของมนุษย์ไว้ เพราะเนื้อหนังของมนุษย์นั้นเป็นบางสิ่งซึ่งมีการเสื่อมสลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่สามารถได้รับมรดกหรือพระพรของพระองค์ได้  หากเนื้อหนังของมนุษย์ได้ถูกทรงรับไว้ และมีเพียงแค่เนื้อหนังของมนุษย์เท่านั้นที่อยู่ในกระแสทางเดินนี้ เช่นนั้น ต่อให้มนุษย์ขึ้นชื่อว่าอยู่ในกระแสนี้ หัวใจของเขาก็เป็นของซาตาน  ในกรณีที่เป็นเช่นนั้น ไม่เพียงแต่ผู้คนจะไร้ความสามารถที่จะกลายมาเป็นการสำแดงของพระเจ้าได้ แต่พวกเขาจะกลับกลายมาเป็นภาระของพระองค์เช่นกัน และดังนั้น การทรงเลือกผู้คนของพระเจ้าก็จะกลายเป็นไร้ความหมาย  บรรดาผู้ที่พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะทำให้เพียบพร้อมทุกคนจะได้รับพรของพระองค์และมรดกของพระองค์  นั่นก็คือ พวกเขารับเอาสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น เพื่อที่จะได้กลายเป็นสิ่งที่พวกเขามีอยู่ภายใน พวกเขาจะมีพระวจนะทั้งมวลของพระเจ้ากอปรกันขึ้นเป็นพวกเขา พระเจ้าจะทรงเป็นอะไรก็ตาม พวกเจ้าก็สามารถจะรับมันเข้าไปได้ทั้งหมดในสภาพนั้นอย่างไม่ผิดเพี้ยน และด้วยเหตุนั้นจึงใช้ชีวิตตามความจริงได้  นี่คือบุคคลประเภทที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า และเป็นผู้ซึ่งได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้า  มีเพียงคนบางคนซึ่งเป็นเช่นนี้เท่านั้นที่มีสิทธิ์ที่จะได้รับพรซึ่งพระเจ้าประทานให้

1. การได้รับความรักทั้งมวลของพระเจ้า

2. การกระทำอันสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง

3. การได้รับการทรงนำของพระเจ้า การมีชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้า และการได้รับความรู้แจ้งของพระเจ้า

4. การใช้ชีวิตบนแผ่นดินโลกในภาพลักษณ์ที่พระเจ้าทรงรัก การรักพระเจ้าอย่างแท้จริงเฉกเช่นที่เปโตรได้ทำ ถูกตรึงกางเขนเพื่อพระเจ้า และคู่ควรที่จะตายเพื่อการตอบสนองความรักของพระเจ้า การมีสง่าราศีเดียวกันกับเปโตร

5. การได้รับความรัก ความเคารพ และความเลื่อมใสจากทุกคนบนโลก

6. การพิชิตทุกแง่มุมของพันธนาการแห่งความตายและแดนคนตาย การไม่ให้โอกาสซาตานได้ทำงานของมัน การถูกพระเจ้าทรงครอบครอง การมีชีวิตอยู่ภายในจิตวิญญาณที่สดชื่นและมีชีวิตชีวา และการไม่เหนื่อยล้า

7. การมีสำนึกรับรู้ถึงความปลื้มปีติและความตื่นเต้นเกินกว่าจะพรรณนาทุกเวลาตลอดชีวิต ราวกับผู้ที่ได้มองดูการมาถึงของวันแห่งพระสิริของพระเจ้า

8. การได้รับสง่าราศีไปพร้อมกันกับพระเจ้า และได้รับโฉมหน้าซึ่งคล้ายคลึงกับเหล่าวิสุทธิชนผู้เป็นที่รักของพระเจ้า

9. การได้กลายเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรักบนแผ่นดินโลก ซึ่งก็คือ บุตรผู้เป็นที่รักคนหนึ่งของพระเจ้า

10. การเปลี่ยนแปลงรูปร่างและการขึ้นไปพร้อมกับพระเจ้าสู่สวรรค์ชั้นที่สาม และการอยู่เหนือเนื้อหนัง

มีเพียงผู้คนที่สามารถสืบทอดพระพรของพระเจ้าเท่านั้นที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและถูกทรงรับไว้โดยพระเจ้า  ณ เพลานี้ เจ้าได้รับอะไรบ้างหรือยัง?  พระเจ้าได้ทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมไปถึงขั้นไหนแล้ว?  พระเจ้าไม่ได้ทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยการสุ่ม การทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมของพระองค์นั้นมีเงื่อนไข และมีผลลัพธ์ซึ่งมองเห็นได้ชัดเจน  มิใช่เป็นดังที่มนุษย์จินตนาการว่า ตราบที่เขามีความเชื่อในพระเจ้าแล้วไซร้ เขาจะสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้า และเขาจะสามารถได้รับพระพรและมรดกของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก  สิ่งต่างๆ เหล่านั้นลำบากยากเย็นเหลือเกิน—ไม่ต้องพูดอะไรถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของผู้คนด้วย  ในเวลานี้ สิ่งที่พวกเจ้าควรแสวงหาเป็นสำคัญก็คือ การได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง และได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าผ่านผู้คน เรื่องราว และสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่เจ้าได้เผชิญ เพื่อที่สิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงเป็นจะถูกกอปรกันขึ้นเป็นพวกเจ้ามากกว่าเดิม  ก่อนอื่นเจ้าต้องได้รับมรดกของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก เช่นนี้เท่านั้นที่เจ้าจะได้กลายเป็นมีสิทธิ์ที่จะสืบทอดพรต่างๆ ที่มากขึ้นและยิ่งใหญ่ขึ้นจากพระเจ้า  เหล่านี้คือสรรพสิ่งที่พวกเจ้าควรแสวงหา และเป็นสิ่งที่เจ้าควรเข้าใจก่อนอื่นใดทั้งหมด  ยิ่งเจ้าแสวงหาที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าในทุกสรรพสิ่งมากขึ้นเท่าไร เจ้าก็จะยิ่งสามารถมองเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่งมากขึ้นเท่านั้น อันจะส่งผลให้เจ้าพยายามอย่างแข็งขันที่จะเข้าสู่การเป็นอยู่ของพระวจนะของพระเจ้า และเข้าสู่ความเป็นจริงของพระวจนะของพระองค์ผ่านมุมมองที่แตกต่างและในเรื่องราวต่างๆ  เจ้าไม่สามารถพอใจกับสภาวะนิ่งเฉยเช่นนั้นได้ เช่น การที่เพียงไม่ทำบาป หรือไม่มีมโนคติที่หลงผิด ไม่มีปรัชญาสำหรับการดำเนินชีวิต และไม่มีเจตจำนงเยี่ยงมนุษย์  พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมในหลากหลายวิธี ทุกสาระเรื่องราวล้วนมีความเป็นไปได้ของการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแฝงอยู่ และพระองค์สามารถทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมไม่เพียงในสภาวะเงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นบวก แต่ในสภาวะเงื่อนไขที่เป็นลบด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้สิ่งที่เจ้าได้รับนั้นมีปริมาณล้นเหลือมากขึ้น  ในแต่ละวัน มีโอกาสเหมาะต่างๆ ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และโอกาสต่างๆ ที่จะได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้า  หลังผ่านประสบการณ์ดังกล่าวมาสักช่วงเวลาหนึ่ง เจ้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง และจะเข้าใจไปเองโดยธรรมชาติในหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งเจ้าเคยไม่รู้เท่าทันมาก่อน  จะไม่มีความจำเป็นสำหรับคำแนะนำจากคนอื่นๆ พระเจ้าจะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าโดยที่เจ้าไม่รู้ตัวเลย เพื่อที่เจ้าก็จะได้รับความรู้แจ้งในทุกสรรพสิ่ง และเข้าสู่ประสบการณ์ทั้งหมดของเจ้าอย่างละเอียด  แน่นอนว่าพระเจ้าจะทรงนำเจ้าเพื่อที่เจ้าจะไม่เบนทิศไปทางซ้ายหรือทางขวา และดังนั้น เจ้าก็จะก้าวเดินไปบนเส้นทางของการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระสัญญาต่อบรรดาผู้ซึ่งได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 555

การได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าไม่สามารถถูกจำกัดอยู่ที่ความเพียบพร้อมโดยการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า  การได้รับประสบการณ์ในแบบนั้นเป็นเพียงด้านเดียวเกินไป จะครอบคลุมน้อยเกินไป และอาจจำกัดผู้คนไว้เพียงในวงเขตที่เล็กมาก  เช่นนี้แล้ว ผู้คนก็จะขาดการบำรุงเลี้ยงทางจิตวิญญาณที่พวกเขาพึงต้องมีไปอย่างมาก  หากพวกเจ้าปรารถนาจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เจ้าต้องเรียนรู้ว่าจะได้รับประสบการณ์ได้อย่างไรในทุกเรื่อง จนสามารถได้รับความรู้แจ้งในทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้า  ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันควรจะนำมาซึ่งประโยชน์แก่ตัวเจ้า และไม่ควรทำให้เจ้าเป็นลบ  จะอย่างไรก็ช่าง เจ้าควรสามารถพิจารณาสิ่งต่างๆ ณ ขณะที่ยืนอยู่เคียงข้างพระเจ้า และไม่วิเคราะห์หรือศึกษาสิ่งเหล่านั้นจากมุมมองของมนุษย์ (นี่จะเป็นการเบี่ยงเบนอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของเจ้า)  หากเจ้าได้รับประสบการณ์ดังกล่าว เมื่อนั้นหัวใจของเจ้าจะเต็มอิ่มไปด้วยภาระต่างๆ ของชีวิตเจ้า เจ้าจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างแห่งโฉมพระพักตร์ของพระเจ้าตลอดเวลา ไม่เบี่ยงเบนไปอย่างง่ายดายในการปฏิบัติตนของเจ้า  ผู้คนเช่นนั้นมีอนาคตอันสดใสรออยู่เบื้องหน้าพวกเขา มีโอกาสเหมาะมากมายเหลือเกินที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่า พวกเจ้าเป็นใครบางคนที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ และ พวกเจ้ามีความแน่วแน่ที่จะรับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า ที่จะได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้า และได้รับพรและมรดกจากพระองค์หรือไม่  แค่ความแน่วแน่อย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ พวกเจ้าต้องมีความรู้อย่างมาก ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะมีการเบี่ยงเบนอยู่เสมอในการปฏิบัติตนของพวกเจ้า  พระเจ้าเต็มพระทัยที่จะทำให้พวกเจ้าทั้งหมดทุกคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  ตามที่เป็นอยู่ตอนนี้ แม้ผู้คนส่วนใหญ่ได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้ามาเป็นเวลานานมากแล้ว พวกเขาก็ยังจำกัดตัวเองอยู่เพียงแค่เพลิดเพลินสำราญอยู่ในพระคุณของพระเจ้า และเต็มใจเพียงให้พระเจ้าทรงมอบความสะดวกสบายของเนื้อหนังเพียงเล็กน้อยแก่พวกเขา แต่ยังคงไม่เต็มใจที่จะได้รับวิวรณ์ที่มากกว่านั้น และสูงส่งกว่านั้น  นี่แสดงว่าหัวใจของมนุษย์ยังคงอยู่ภายนอกเสมอ  แม้ว่างานของมนุษย์ การรับใช้ของเขา และหัวใจรักของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าจะมีมลทินต่างๆ น้อยลงทุกที เท่าที่พิจารณาจากแก่นแท้ภายในตัวเขาและการคิดล้าหลังของเขา มนุษย์ยังคงแสวงหาสันติสุขและความชื่นชมยินดีของเนื้อหนังตลอดเวลา และไม่ใส่ใจทั้งสิ้นว่าสภาพเงื่อนไขต่างๆ มีไว้เพื่อสิ่งใด และพระเจ้าอาจมีพระประสงค์อะไรในการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  และดังนั้น ชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่จึงยังคงหยาบขาดความละเอียดอ่อนและเสื่อมโทรม  ชีวิตของพวกเขายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย พวกเขาก็แค่ไม่ได้ถือว่าความเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญ ราวกับว่าพวกเขามีความเชื่อเพียงเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ออกท่าออกทางไปเรื่อยเปื่อยและใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ ในแบบเดิมๆ ล่องลอยเคว้งคว้างไปในการดำรงอยู่ที่ไร้จุดประสงค์  มีเพียงน้อยนิดที่เป็นผู้ซึ่งสามารถแสวงหาที่จะเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ได้รับสิ่งต่างๆ ที่มากกว่าและมั่งคั่งกว่า กลายเป็นผู้คนที่มีฐานะมั่งคั่งกว่าในพระนิเวศของพระเจ้าในวันนี้ และได้รับพรจากพระเจ้ามากกว่า  หากเจ้าแสวงหาการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง และสามารถได้รับสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้บนแผ่นดินโลก หากเจ้าแสวงหาการได้รับการทำให้รู้แจ้งโดยพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง และไม่ปล่อยให้หลายปีเลื่อนผ่านไปเฉยๆ นี่คือเส้นทางในอุดมคติที่จะเข้าสู่อย่างกระฉับกระเฉง  เช่นนี้เท่านั้นเจ้าจึงกลายเป็นมีค่าพอและมีสิทธิ์ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  เจ้าคือผู้ที่แสวงหาการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่?  เจ้าเป็นผู้ที่มีความจริงจังจริงใจในทุกสรรพสิ่งอย่างแท้จริงหรือไม่?  เจ้ามีจิตวิญญาณแห่งความรักเพื่อพระเจ้าเฉกเช่นที่เปโตรมีหรือไม่?  เจ้ามีเจตจำนงที่จะรักพระเจ้าอย่างที่พระเยซูทรงมีหรือไม่?  เจ้าได้มีความเชื่อในพระเยซูมาหลายปี เจ้าเคยเห็นหรือไม่ว่า พระเยซูทรงรักพระเจ้าเช่นไร?  พระเยซูคือผู้ที่เจ้าเชื่ออย่างแท้จริงหรือไม่?  เจ้าเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงภาคปฏิบัติของวันนี้ เจ้าเคยเห็นหรือไม่ว่าพระเจ้าผู้ทรงภาคปฏิบัติที่มีเนื้อหนังทรงรักพระเจ้าในสวรรค์อย่างไร?  เจ้ามีความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า นั่นก็เพราะ การตรึงกางเขนของพระเยซูเพื่อประโยชน์ต่อการไถ่บาปมวลมนุษย์ และการอัศจรรย์ต่างๆ ที่พระองค์ทรงกระทำนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ยอมรับกันทั่วไป  กระนั้นความเชื่อของมนุษย์ก็ไม่ได้มาจากความรู้หรือความเข้าใจที่แท้จริงต่อพระเยซูคริสต์  เจ้าเชื่อในพระนามของพระเยซูเท่านั้น แต่เจ้าไม่ได้เชื่อในพระวิญญาณของพระองค์ เพราะเจ้าไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยว่าพระเยซูทรงรักพระเจ้าเช่นไร  ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้านั้นช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน  ทั้งที่มีความเชื่อในพระเยซูมาหลายปี เจ้าก็ไม่รู้ว่าจะรักพระเจ้าอย่างไร  นี่ไม่ได้ทำให้เจ้าเป็นคนโง่ที่สุดในโลกหรอกหรือ?  นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าหลายปีที่ผ่านมา เจ้าได้กินอาหารขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าไปอย่างสูญเปล่า  ไม่เพียงแค่เราที่ไม่ชอบผู้คนเยี่ยงนี้ เราเชื่อมั่นว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้า—ผู้ที่เจ้าเคารพเทิดทูน—ก็จะไม่ชอบพวกเขาเช่นกัน  ผู้คนเช่นนั้นจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้อย่างไร?  เจ้าไม่รู้สึกขวยเขินจนหน้าแดงเข้มหรือ?  เจ้าไม่รู้สึกอับอายหรือ?  เจ้ายังคงมีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอีกหรือ?  พวกเจ้าทั้งหมดเข้าใจความหมายของสิ่งที่เราได้พูดไปแล้วหรือไม่?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระสัญญาต่อบรรดาผู้ซึ่งได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม

ก่อนหน้า: การเข้าสู่ชีวิต 4

ถัดไป: การเข้าสู่ชีวิต 6

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger