พระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 232
เราชอบธรรม เราไว้วางใจได้ และเราคือพระเจ้าผู้ตรวจดูหัวใจส่วนลึกสุดของมนุษย์! เราจะเผยให้เห็นทันทีว่าผู้ใดเที่ยงแท้และผู้ใดเทียมเท็จ จงอย่าตระหนก ทุกสรรพสิ่งทำงานสอดคล้องกับเวลาของเรา ผู้ใดต้องการเราอย่างจริงใจ และใครไม่ต้องการ—เราจะบอกพวกเจ้า ทีละคน พวกเจ้าเพียงแต่ดูแลเรื่องการกินให้หมด ดื่มให้หมด และเข้ามาใกล้ชิดเราเมื่อเจ้าเข้ามาอยู่ต่อหน้าเรา และเราจะทำงานของเราด้วยตัวเราเอง จงอย่ากระวนกระวายเกินไปกับการที่จะให้เกิดผลลัพธ์อันรวดเร็ว งานของเราไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้ในทันที ภายในงานนั้นมีขั้นตอนต่างๆ ของเราและสติปัญญาของเรา และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมสติปัญญาของเราจึงสามารถเปิดเผยให้เห็นได้ เราจะให้พวกเจ้าได้เห็นสิ่งที่กระทำโดยมือของเรา—คือการลงโทษคนชั่วและมอบบำเหน็จรางวัลแก่คนดี แน่นอนที่สุดว่าเราไม่โปรดปรานใครคนใด เจ้าผู้ซึ่งรักเราอย่างจริงใจ เราก็จะรักเจ้าอย่างจริงใจ และสำหรับพวกที่ไม่รักเราอย่างจริงใจ ความโกรธของเราจะเกิดกับพวกเขาเรื่อยไป เพื่อที่พวกเขาอาจจะจดจำไปจนชั่วกัลปาวสานว่าเราคือพระเจ้าเที่ยงแท้ พระเจ้าผู้ตรวจดูหัวใจส่วนลึกสุดของมนุษย์ จงอย่ากระทำการวิธีหนึ่งต่อหน้าผู้อื่น แต่กระทำการอีกวิธีหนึ่งลับหลังพวกเขา เรามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำอย่างชัดเจน และแม้ว่าเจ้าอาจจะหลอกผู้อื่นได้ แต่เจ้าไม่สามารถหลอกเราได้ เราเห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจน เป็นไปไม่ได้สำหรับเจ้าที่จะปกปิดสิ่งใด ทุกสิ่งล้วนอยู่ภายในมือของเรา อย่าคิดว่าตัวเจ้าเองฉลาดมากนักที่ทำการคำนวณเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าออกมาเพื่อความได้เปรียบของเจ้า เราบอกเจ้าว่า ไม่ว่ามนุษย์อาจจะคิดวางแผนการมากมายเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าแผนเหล่านั้นจะเป็นจำนวนพันหรือเป็นจำนวนหมื่น ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่สามารถรอดพ้นจากฝ่ามือของเราได้ ทุกสรรพสิ่งและวัตถุทั้งหมดถูกควบคุมโดยมือของเรา นับประสาอะไรกับคนคนเดียว! จงอย่าพยายามหลบเลี่ยงเราหรือหลบซ่อน จงอย่าพยายามฉอเลาะหรือปกปิด เป็นไปได้หรือที่เจ้ายังคงไม่เห็นว่าใบหน้าอันรุ่งโรจน์ของเรา ความโกรธของเราและการพิพากษาของเรา ได้รับการเผยต่อสาธารณะแล้ว? ใครก็ตามที่ไม่ต้องการเราอย่างจริงใจ เราก็จะพิพากษาพวกเขาทันทีและโดยไม่มีความกรุณา ความสงสารของเราได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ไม่มีเหลืออีกแล้ว จงอย่าเป็นพวกคนหน้าซื่อใจคดอีกต่อไป และหยุดวิถีทางต่างๆ อันป่าเถื่อนและบุ่มบ่ามของเจ้าเสีย
บุตรของเราเอ๋ย จงเอาใจใส่ จงใช้เวลาอยู่ต่อหน้าเราให้มากยิ่งกว่าเดิม และเราจะรับผิดชอบดูแลเจ้า จงอย่ากลัว จงนำดาบสองคมที่คมกริบของเราออกมาและ—โดยสอดคล้องกับเจตจำนงของเรา—จงต่อสู้กับซาตานจนถึงที่สุด เราจะอารักขาเจ้า จงอย่ากังวลใจ ทุกสรรพสิ่งที่ปกปิดไว้จะถูกเปิดออกและเปิดเผยออกมา เราคือดวงอาทิตย์ที่ให้ความสว่างออกไป ให้ความกระจ่างต่อความมืดทั้งหมดอย่างไร้ความกรุณา การพิพากษาทั้งหมดทั้งสิ้นของเราได้ลงมาถึงแล้ว คริสตจักรคือสนามรบ พวกเจ้าทั้งหมดควรเตรียมตัวพวกเจ้าเองให้พร้อม และอุทิศการเป็นอยู่ทั้งหมดทั้งปวงของเจ้าให้กับการสู้รบอันเด็ดเดี่ยวครั้งสุดท้าย เราจะอารักขาเจ้าอย่างแน่นอน เพื่อที่เจ้าอาจจะได้ต่อสู้โดยมีชัยชนะเพื่อเราอย่างเต็มที่
จงรอบคอบ—ปัจจุบันหัวใจของผู้คนนั้นหลอกลวงและคาดเดาไม่ได้ และพวกเขาไม่มีหนทางที่จะได้รับความไว้วางใจของผู้คนอื่นๆ เลย มีแต่เราเท่านั้นที่ทำเพื่อพวกเจ้าอย่างบริบูรณ์ ไม่มีความหลอกลวงในเรา แค่เพียงพึ่งพาเรา! บรรดาบุตรของเราจะได้รับชัยชนะในการสู้รบอันเด็ดเดี่ยวครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน และซาตานจะต้องออกมาเพื่อต่อสู้ดิ้นรนแบบถึงเป็นถึงตายอย่างแน่นอนที่สุด จงอย่าได้มีความกลัว! เราคือพลังของเจ้า และเราคือทุกสิ่งของเจ้า จงอย่าคิดถึงสิ่งต่างๆ วกไปวนมา เจ้าไม่สามารถใส่ใจต่อความคิดมากมายถึงเพียงนั้นได้ เราได้กล่าวมาก่อนแล้วว่า เราจะไม่ดึงพวกเจ้าไปตามเส้นทางอีกต่อไป เพราะเวลากระชั้นเกินไป เราไม่มีเวลามากกว่านี้อีกแล้วที่จะคว้าหูเจ้า และคอยเตือนพวกเจ้าทุกหนทุกแห่ง—มันเป็นไปไม่ได้! เจ้าเพิ่งเสร็จสิ้นการตระเตรียมของเจ้าเพื่อการสู้รบ เรารับผิดชอบตัวเจ้าเต็มที่ ทุกสรรพสิ่งอยู่ภายในมือของเรา นี่คือการสู้รบแบบถึงเป็นถึงตาย และไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งจะต้องพินาศแน่นอน แต่เจ้าต้องเข้าใจชัดเจนในการนี้ว่า เราคือผู้ชนะตลอดกาลและไม่เคยแพ้ และซาตานจะพินาศอย่างแน่นอน นี่คือวิธีการเข้าประชิดของเรา งานของเรา เจตจำนงของเรา และแผนการของเรา!
มันเสร็จสิ้นแล้ว! เสร็จสิ้นแล้วทั้งหมด! จงอย่าขี้ขลาดหรือกลัว เรากับเจ้า และเจ้ากับเรา จะเป็นกษัตริย์ไปชั่วกาลนาน! วจนะของเรา เมื่อได้กล่าวไปแล้วนั้น จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และเหตุการณ์ต่างๆ จะเกิดกับพวกเจ้าในไม่ช้า จงเฝ้าระวัง! เจ้าควรใคร่ครวญทุกบรรทัดให้ดี จงอย่าทำให้วจนะของเราคลุมเครืออีกต่อไป เจ้าต้องชัดเจนกับวจนะเหล่านี้! เจ้าต้องจำไว้—จงใช้เวลาให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้ในการอยู่ต่อหน้าเรา!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 44
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 233
เราได้เริ่มดำเนินการเพื่อลงโทษพวกที่กระทำชั่ว และพวกที่ใช้อำนาจ ตลอดจนผู้ที่ข่มเหงบุตรทั้งหลายของพระเจ้า จากนี้ไปหัตถ์แห่งประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราจะอยู่บนพวกที่โต้แย้งเราอยู่ในหัวใจของพวกเขาตลอดไป จงรู้ไว้! นี่คือการเริ่มต้นแห่งการพิพากษาของเรา และจะไม่มีการแสดงความกรุณาแก่ผู้ใด จะไม่มีผู้ใดได้รับการยกเว้น เพราะเราคือพระเจ้าที่ปราศจากอคติซึ่งปฏิบัติความชอบธรรม และจะเป็นการดีที่พวกเจ้าทั้งมวลจะตระหนักในข้อนี้เอาไว้
ไม่ใช่ว่าเราปรารถนาจะลงโทษบรรดาผู้ที่กระทำชั่ว แต่นี่คือผลตอบแทนที่พวกเขาได้นำมาสู่ตัวพวกเขาเองด้วยการทำชั่วของพวกเขาเอง เราไม่ได้เร่งจะลงโทษใคร และเราก็มิได้ปฏิบัติต่อผู้ใดอย่างไม่เที่ยงธรรม—เรานั้นชอบธรรมต่อทุกคน แน่นอนว่าเรารักบุตรทั้งหลายของเรา และแน่นอนว่าเราเกลียดชังคนชั่วเหล่านั้นที่เยาะเย้ยท้าทายเรา ข้อนี้คือหลักการเบื้องหลังการกระทำทั้งหลายของเรา พวกเจ้าทุกคนควรมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราไว้บ้าง หากพวกเจ้าไม่มี เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ย่อมจะไม่มีความยำเกรงเลยสักนิด และจะกระทำการอย่างไม่รอบคอบระมัดระวังต่อหน้าเรา อีกทั้งพวกเจ้าจะไม่รู้ว่าอะไรที่เราต้องการสัมฤทธิ์ผล อะไรที่เราต้องการทำให้สำเร็จลุล่วง อะไรที่เราต้องการได้รับไว้ หรือบุคคลประเภทใดที่ราชอาณาจักรของเราต้องประสงค์
ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา คือ
1. ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเป็นใคร หากในหัวใจของเจ้าโต้แย้งเรา เจ้าย่อมจะได้รับการพิพากษา
2. บรรดาผู้ที่เราได้เลือกสรรทั้งหลาย จะได้รับการบ่มวินัยสำหรับการคิดที่ไม่ถูกต้องใดๆ โดยทันที
3. เราจะจัดรวมพวกที่ไม่เชื่อในเราไว้ข้างหนึ่ง เราจะอนุญาตให้พวกเขาพูดและกระทำการอย่างไม่รอบคอบระมัดระวังจวบจนวาระสุดท้ายที่เราจะลงโทษและจัดการพวกเขาให้หนัก
4. เราจะดูแลและอารักขาบรรดาผู้ที่เชื่อในเราตลอดเวลา ตลอดเวลานั้นเราจะจัดหาชีวิตให้พวกเขาด้วยหนทางแห่งความรอด ผู้คนเหล่านี้จะมีความรักของเรา และพวกเขาจะไม่ล้มหรือหลงทางอย่างแน่นอน จุดอ่อนใดๆ ที่พวกเขามีจะอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น และเราจะไม่จดจำจุดอ่อนเหล่านั้นของพวกเขาอย่างแน่นอน
5. พวกที่ดูเหมือนจะเชื่อ แต่ไม่ได้เชื่อจริงๆ—ผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าแต่ไม่แสวงหาพระคริสต์ กระนั้นก็ไม่ได้ต้านทานด้วย—คนเหล่านี้คือผู้คนชนิดที่น่าสงสารมากที่สุด และเราจะทำให้พวกเขามองเห็นอย่างชัดเจนโดยผ่านทางกิจการทั้งหลายของเรา เราจะช่วยผู้คนเช่นนั้นให้รอดและนำพวกเขากลับคืนมาโดยหนทางแห่งการกระทำทั้งหลายของเรา
6. บรรดาบุตรหัวปี คนแรกที่ยอมรับชื่อของเรา จะได้รับพร! เราจะประสาทพรต่างๆ ที่ดีที่สุดแก่พวกเจ้า เปิดโอกาสให้พวกเจ้าชื่นชมยินดีกับพรเหล่านั้นอย่างเต็มหัวใจแน่นอน จะไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางการนี้ ทั้งหมดทั้งปวงนี้จะได้รับการตระเตรียมเอาไว้เพื่อพวกเจ้า เพราะนี่คือประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 56
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 234
ผู้ได้รับการอวยพรคือผู้ที่ได้อ่านวจนะของเราและเชื่อว่าวจนะเหล่านั้นจะลุล่วง เราจะไม่ทำไม่ดีต่อพวกเจ้าแต่อย่างใดเลย เราจะทำให้สิ่งที่พวกเจ้าเชื่อนั้นลุล่วงไปในตัวเจ้า นี่คือคำอวยพรของเราที่มีต่อเจ้า วจนะของเราซัดกระหน่ำตรงไปที่จุดซึ่งความลับซ่อนเร้นอยู่ในคนทุกคน ทุกคนต่างมีบาดแผลฉกรรจ์ และเราเป็นแพทย์ฝีมือดีผู้ทำการรักษาพวกเขา ขอเพียงแค่เข้ามาหาเรา เหตุใดเราจึงกล่าวว่า ในอนาคตจะไม่มีความโศกเศร้าและน้ำตาอีกแล้ว? นั่นก็เพราะเหตุผลนี้คือ ในเรานั้น ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จลุล่วงแล้ว แต่ในเหล่ามนุษย์ ทุกสรรพสิ่งเสื่อมทราม ว่างเปล่า และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงต่อเหล่ามนุษย์ ในการอยู่ด้วยกันกับเรา เจ้าย่อมได้รับทุกสรรพสิ่งอย่างแน่นอน และชัดเจนว่า เจ้าย่อมสามารถทั้งได้เห็นและได้ชื่นชมกับพระพรทั้งหมดที่เจ้าไม่อาจเคยได้จินตนาการมาก่อน บรรดาพวกที่ไม่มาอยู่ต่อหน้าเรานั้นเป็นกบฏต่อเราอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นพวกที่ต้านทานเราอย่างแน่แท้ แน่นอนว่า เราจะไม่ปล่อยพวกเขาไปโดยง่าย เราจะตีสอนผู้คนเช่นนั้นอย่างรุนแรง จงจำการนี้ไว้! ยิ่งผู้คนมาอยู่ต่อหน้าเรามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งจะได้รับมากขึ้นเท่านั้น—แม้ว่าจะเป็นแค่พระคุณก็ตาม ภายหลัง พวกเขาก็จะรับพระพรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นด้วยซ้ำ
นับตั้งแต่การสร้างโลก เราได้เริ่มคัดสรรและลิขิตคนกลุ่มนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว—ซึ่งก็คือพวกเจ้าในวันนี้นั่นเอง นิสัยใจคอ ขีดความสามารถ รูปร่างหน้าตา และวุฒิภาวะของเจ้า ครอบครัวที่เจ้าถือกำเนิดมา หน้าที่การงาน การสมรสของเจ้า—ตัวเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ของเจ้า กระทั่งรวมถึงสีผม สีผิว และเวลาเกิดของเจ้า—ล้วนได้รับการจัดการเตรียมการด้วยมือของเรา แม้แต่สิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำและผู้คนที่เจ้าพบในแต่ละวัน เราก็ได้จัดการเตรียมการไปกับมือ มิพักต้องเอ่ยถึงความจริงที่ว่า การนำเจ้าเข้ามาหาเราในวันนี้ แท้จริงแล้วก็เกิดจากการจัดการเตรียมการของเรา อย่ากระโจนเข้าไปสู่ความไม่เป็นระเบียบ เจ้าควรจะเดินหน้าไปอย่างมีสติใจเย็น สิ่งที่เราอนุญาตให้เจ้าชื่นชมในวันนี้เป็นส่วนแบ่งที่เจ้าพึงได้รับ และเป็นสิ่งที่เราได้ลิขิตไว้ล่วงหน้านับแต่ครั้งสร้างโลกแล้ว เหล่ามนุษย์ทั้งมวลนั้นช่างสุดขั้วมากนัก กล่าวคือ พวกเขานั้นทั้งหัวแข็งจนเกินไป หรือไม่ก็ไร้ยางอายอย่างที่สุด พวกเขาไร้ความสามารถที่จะทำสิ่งทั้งหลายให้สอดคล้องกับแผนและการจัดการเตรียมการของเรา จงอย่าทำเช่นนี้อีกต่อไปเลย ในเรานั้น ทุกสิ่งได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ จงอย่าผูกมัดตัวเอง เพราะจะเกิดความสูญเสียความเคารพต่อชีวิตของเจ้าไป จงจดจำการนี้ไว้!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 74
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 235
เราคือพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เอง และที่มากยิ่งกว่าคือ เราเป็นสภาวะบุคคลองค์หนึ่งและองค์เดียวของพระเจ้า ที่มากไปกว่านั้นด้วยซ้ำก็คือ เรา ที่มีเนื้อหนังอันครบถ้วนบริบูรณ์นี้ เป็นการสำแดงที่ครบบริบูรณ์ถึงพระเจ้า ผู้ใดก็ตามที่กล้าไม่เคารพเรา ผู้ใดก็ตามที่กล้าแสดงออกถึงการต้านทานในสายตาของพวกเขา และผู้ใดก็ตามที่กล้ากล่าวคำเยาะเย้ยท้าทายต่อเราจะต้องตายจากคำสาปแช่งและความโกรธของเราอย่างแน่นอน (จะมีการสาปแช่งเพราะความโกรธของเรา) ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใดก็ตามที่กล้าไม่จงรักภักดีหรืออกตัญญูต่อเรา และผู้ใดก็ตามที่กล้าพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมกับเรา ก็จะตายอย่างแน่นอนจากความเกลียดชังของเรา ความชอบธรรม บารมีและการพิพากษาของเราจะสู้ทนไปตลอดกาล ในคราแรก เรารักใคร่และเปี่ยมกรุณา แต่นี่ไม่ใช่อุปนิสัยแห่งเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ของเรา ความชอบธรรม บารมีและการพิพากษาแค่ประกอบกันเป็นอุปนิสัยของเรา เป็นพระเจ้าพระองค์เองที่ครบบริบูรณ์ ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ เรารักใคร่และเปี่ยมกรุณา เนื่องจากงานที่เราต้องทำให้แล้วเสร็จ เราจึงครองความเมตตาและความกรุณา อย่างไรก็ตาม ภายหลังนั้น ก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับสิ่งต่างๆ เช่นนั้นอีกต่อไป (และนับจากนั้นมาก็ยังไม่มีความจำเป็นอีกเลย) ทั้งหมดเป็นความชอบธรรม บารมีและการพิพากษา และนี่คืออุปนิสัยที่ครบบริบูรณ์แห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเราควบคู่กันกับเทวสภาพอันครบบริบูรณ์ของเรา
พวกที่ไม่รู้จักเราจะพินาศในบาดาลลึก แต่ทว่าบรรดาผู้ที่มั่นใจเกี่ยวกับเราจะมีชีวิตไปตลอดกาล พวกเขาจะได้รับความเอาใจใส่และการอารักขาภายในความรักของเรา ชั่วขณะที่เราเปล่งถ้อยคำออกไปคำเดียว ทั่วทั้งจักรวาลและสุดปลายแผ่นดินโลกก็สั่นไหว ผู้ใดเล่าที่สามารถได้ยินวจนะของเราและไม่สั่นเทาด้วยความยำเกรงได้? ผู้ใดเล่าที่สามารถอดกลั้นจากความรู้สึกท่วมท้นไปด้วยความเคารพต่อเราได้? และผู้ใดเล่าที่ไม่สามารถรู้ถึงความชอบธรรมและบารมีของเราจากกิจการทั้งหลายของเราได้! และผู้ใดที่ไม่สามารถมองเห็นมหิทธิฤทธิ์และปัญญาของเราภายในกิจการทั้งหลายของเราได้! ผู้ใดก็ตามที่ไม่ให้ความสนใจจะตายอย่างแน่นอน นี่เป็นเพราะพวกที่ไม่ให้ความสนใจคือบรรดาผู้คนที่ต้านทานเราและไม่รู้จักเรา พวกเขาคือหัวหน้าทูตสวรรค์และหยาบโลนมากที่สุด จงตรวจสอบตัวพวกเจ้าเอง ผู้ใดก็ตามที่หยาบโลน คิดว่าตนชอบธรรมเสมอ ทะนงและโอหัง ก็จะเป็นเป้าหมายแห่งความเกลียดชังของเราอย่างแน่นอน และจะต้องพินาศ!
บัดนี้เราขอประกาศกฤษฎีกาบริหารแห่งราชอาณาจักรของเรา กล่าวคือ ทุกสรรพสิ่งอยู่ภายในการพิพากษาของเรา ทุกสรรพสิ่งอยู่ภายในความชอบธรรมของเรา ทุกสรรพสิ่งอยู่ภายในบารมีของเรา และเราปฏิบัติความชอบธรรมของเราต่อสิ่งทั้งปวง บรรดาผู้ที่พูดว่าพวกเขาเชื่อในเรา แต่ลึกลงไปกลับย้อนแย้งเรา หรือพวกที่หัวใจของพวกเขาได้ทอดทิ้งเรา จะถูกขับไล่ออกไป—แต่ทั้งหมดจะเป็นไปในเวลาอันเหมาะสมของเราเอง ผู้คนที่พูดถึงเราอย่างเหน็บแนม แต่ก็ทำด้วยวิธีที่คนอื่นๆ ไม่สังเกตเห็น จะตายโดยทันที (พวกเขาจะพินาศในวิญญาณ ร่างกายและดวงจิต) พวกที่บีบคั้นหรือเย็นชาต่อผู้เป็นที่รักของเราจะถูกพิพากษาทันทีโดยความโกรธของเรา นี่หมายความว่าผู้คนที่อิจฉาริษยาบรรดาผู้ที่เรารัก และผู้คนที่คิดว่าเราไม่ชอบธรรม จะถูกส่งมอบให้รับการพิพากษาโดยผู้เป็นที่รักของเรา ทุกคนที่ประพฤติดี เรียบง่าย และซื่อสัตย์ (รวมไปถึงบรรดาผู้ที่ขาดปัญญา) และผู้ที่ปฏิบัติต่อเราด้วยความจริงใจที่มุ่งมั่น ทั้งหมดจะยังคงอยู่ในราชอาณาจักรของเรา บรรดาผู้ที่ยังไม่ก้าวผ่านการฝึกฝน—หมายถึงผู้คนที่ซื่อสัตย์เหล่านั้นผู้ซึ่งขาดปัญญาและความรู้ความเข้าใจเชิงลึก—จะมีอำนาจในราชอาณาจักรของเรา อย่างไรก็ตาม พวกเขาถูกจัดการและถูกทำให้แตกสลาย การที่พวกเขายังไม่ได้ก้าวผ่านการฝึกฝนก็ไม่ใช่ทั้งหมด ตรงกันข้าม เราจะแสดงให้ทุกคนได้เห็นมหิทธิฤทธิ์และปัญญาของเรา โดยผ่านทางสิ่งต่างๆ เหล่านี้นี่เอง เราจะขับไล่พวกที่ยังคงสงสัยเราออกไปทั้งหมด เราไม่ต้องประสงค์พวกเขาสักคนเลย (เรารังเกียจผู้คนที่ยังคงสงสัยเราในเวลาเช่นนี้) เราจะแสดงให้ผู้คนที่ซื่อสัตย์เห็นถึงความน่าอัศจรรย์ของการกระทำของเราด้วยหนทางแห่งกิจการทั้งหลายที่เราทำทั่วทั้งจักรวาล และต่อจากนั้นจึงทำให้ปัญญา ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและวิจารณญาณของพวกเขาเติบโต เราจะทำให้ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงถูกทำลายในทันทีทันใดอันเป็นผลมาจากกิจการอันน่าอัศจรรย์ทั้งหลายของเรา บรรดาบุตรหัวปีทั้งหมดที่ยอมรับนามของเราก่อน (หมายถึงบรรดาผู้คนที่ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์และไม่มีมลทิน) จะเป็นกลุ่มแรกที่บรรลุถึงการเข้าสู่ราชอาณาจักรและได้ปกครองเหนือชนชาติทั้งปวงและกลุ่มชนทั้งมวลเคียงข้างเรา ได้ครองราชย์ในฐานะกษัตริย์ในราชอาณาจักรและพิพากษาชนชาติทั้งปวงและกลุ่มชนทั้งมวล (การนี้อ้างอิงถึงบรรดาบุตรหัวปีทั้งหมดในราชอาณาจักรและไม่มีผู้อื่น) บรรดาผู้ที่อยู่ท่ามกลางชนชาติทั้งปวงและกลุ่มชนทั้งมวลที่ถูกพิพากษา และผู้ที่ได้กลับใจ จะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของเราและกลายเป็นประชากรของเรา ขณะที่พวกที่ดื้อรั้นและไม่กลับใจจะถูกโยนลงไปในบาดาลลึก (ให้พินาศตลอดกาล) การพิพากษาในราชอาณาจักรจะเป็นการสุดท้าย และนั่นจะเป็นการที่เราจะชำระโลกให้สะอาดโดยถ้วนทั่ว จากนั้นก็จะไม่มีความอยุติธรรม ความโศกเศร้า น้ำตาหรือการคร่ำครวญอีกต่อไป และที่มากยิ่งกว่านั้นคือ จะไม่มีโลกอีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นการสำแดงถึงพระคริสต์ และทั้งหมดจะเป็นราชอาณาจักรของพระคริสต์ ช่างเป็นสง่าราศียิ่งนัก! ช่างเป็นสง่าราศียิ่งนัก!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 79
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 236
บัดนี้เราขอประกาศใช้ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรากับพวกเจ้า (มีผลตั้งแต่วันที่มีการประกาศใช้ โดยการกำหนดให้มีการตีสอนแตกต่างกันไปแก่ผู้คนที่แตกต่างกัน)
เรารักษาสัญญาของเรา และทุกสิ่งอยู่ในมือของเรา กล่าวคือ ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่กังขาจะต้องถูกฆ่าอย่างแน่นอน ไม่มีที่ว่างสำหรับการพิจารณาใดๆ พวกเขาจะถูกกำจัดในทันที ทั้งนี้ก็เพื่อขจัดความเกลียดชังในใจของเรา (นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เป็นที่ยืนยันแล้วว่า ผู้ใดก็ตามที่ถูกฆ่าต้องไม่ใช่สมาชิกของอาณาจักรของเรา และต้องเป็นพงศ์พันธุ์ของซาตาน)
ในฐานะบุตรหัวปี เจ้าควรรักษาตำแหน่งของเจ้าเอง และทำหน้าที่ของตัวเจ้าเองให้ลุล่วงเป็นอย่างดี และต้องไม่สอดรู้สอดเห็น เจ้าควรมอบถวายตัวเจ้าเองเพื่อแผนการบริหารจัดการของเรา และทุกแห่งหนที่เจ้าไป เจ้าควรเป็นพยานที่ดีต่อเรา และถวายเกียรตินามของเรา จงอย่ากระทำพฤติกรรมที่น่าอับอายทั้งหลาย จงเป็นตัวอย่างให้แก่บรรดาบุตรของเราและประชากรของเราทั้งหมด จงอย่าเสื่อมศีลธรรมแม้เพียงชั่วขณะ กล่าวคือ เจ้าต้องปรากฏต่อหน้าทุกคนโดยมีอัตลักษณ์ของบุตรหัวปีเสมอ และจงอย่าประจบประแจง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้าควรก้าวไปข้างหน้าด้วยใบหน้าที่เชิดสูง เรากำลังขอให้พวกเจ้าถวายเกียรตินามของเรา ไม่ใช่ทำให้เสื่อมเสียนามของเรา บรรดาผู้ที่เป็นบุตรหัวปีแต่ละคนมีหน้าที่แต่ละอย่างของตนเอง และไม่สามารถทำทุกสิ่งได้ นี่คือความรับผิดชอบที่เรามอบให้แก่พวกเจ้า และมันต้องไม่มีการหลบเลี่ยง เจ้าต้องทุ่มเทอุทิศตนเองอย่างเต็มหัวใจ และด้วยจิตใจทั้งหมดของเจ้าและความแข็งแกร่งทั้งหมดของเจ้า เพื่อปฏิบัติสิ่งที่เราได้มอบหมายให้แก่พวกเจ้าให้ลุล่วงไป
นับจากวันนี้ไป ทั่วทั้งสากลจักรวาล หน้าที่ในการเลี้ยงดูบุตรทั้งหมดของเรา และประชากรทั้งหมดของเรา จะถูกมอบหมายให้แก่บรรดาบุตรหัวปีของเราเพื่อทำให้ลุล่วง และเราจะตีสอนผู้ใดก็ตามที่ไม่สามารถทุ่มเทอุทิศหัวใจและจิตใจทั้งดวงของพวกเขาเพื่อทำให้มันลุล่วงได้ นี่คือความชอบธรรมของเรา เราจะไม่ละเว้นหรือผ่อนปรนแม้แต่กับบุตรหัวปีของเรา
หากมีผู้ใดท่ามกลางบุตรของเรา หรือท่ามกลางประชากรของเรา ที่เยาะเย้ยและดูหมิ่นหนึ่งในบรรดาบุตรหัวปีของเรา เราจะลงโทษพวกเขาอย่างรุนแรง ด้วยบุตรหัวปีของเราเป็นตัวแทนของตัวเราเอง สิ่งที่คนผู้หนึ่งปฏิบัติต่อพวกเขา พวกเขาก็ปฏิบัติต่อเราเช่นกัน นี่คือเรื่องที่ร้ายแรงที่สุดในประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา เราจะอนุญาตให้บุตรหัวปีของเราบริหารความชอบธรรมของเราตามความปรารถนาของพวกเขาต่อบรรดาบุตรของเราและประชากรของเราผู้ซึ่งละเมิดประกาศกฤษฎีกานี้
เราจะค่อยๆ ทอดทิ้งผู้ใดก็ตามที่นับถือเราอย่างฉาบฉวย และจดจ่อเพียงกับอาหาร เสื้อผ้า และการนอนหลับของเรา ใส่ใจเพียงเรื่องภายนอกต่างๆ ของเรา และไม่พิจารณาถึงภาระของเรา และไม่ให้ความสนใจที่จะทำหน้าที่ของพวกเขาเองให้ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสม การนี้มุ่งตรงไปยังทุกคนที่มีหู
ผู้ใดก็ตามที่เสร็จสิ้นการทำงานปรนนิบัติให้เราต้องถอนตัวออกไปอย่างเชื่อฟังโดยปราศจากความวุ่นวาย จงระวัง มิเช่นนั้นเราจะคัดเจ้าออก (นี่คือประกาศกฤษฎีกาเพิ่มเติม)
นับจากนี้บุตรหัวปีของเราจะยกคทาเหล็กขึ้น และเริ่มใช้สิทธิอำนาจของเราเพื่อปกครองชนชาติและปวงชนทั้งมวล เดินไปท่ามกลางชนชาติและปวงชนทั้งมวล และดำเนินการพิพากษา ความชอบธรรม และบารมีของเรา ท่ามกลางชนชาติและปวงชนทั้งมวล บรรดาบุตรของเราและประชากรของเราจะต้องยำเกรงเรา สรรเสริญเรา ทำให้เราชื่นใจ และนำสง่าราศีมาให้เราตลอดเวลา เพราะว่าแผนการบริหารจัดการของเราได้รับการทำให้ลุล่วง และบรรดาบุตรหัวปีของเราสามารถปกครองร่วมกับเราได้
นี่คือส่วนหนึ่งของประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา หลังจากนี้ เราจะบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับประกาศกฤษฎีกาบริหารเหล่านั้นเมื่องานคืบหน้า จากประกาศกฤษฎีกาบริหารข้างต้น พวกเจ้าจะเห็นย่างก้าวที่เราใช้ในการทำงานของเรา รวมไปถึงขั้นตอนที่งานของเราได้ไปถึงแล้ว นี่จะเป็นการยืนยัน
เราได้พิพากษาซาตานแล้ว เพราะความประสงค์ของเราไม่ถูกยับยั้ง และเพราะบรรดาบุตรหัวปีของเราได้รับสง่าราศีเคียงข้างเราแล้ว เราได้ใช้ความชอบธรรมและบารมีของเราต่อโลกและสรรพสิ่งที่เป็นของซาตานแล้ว เราจะไม่ทำอะไร หรือให้ความสนใจกับซาตานเลย (เพราะมันไม่คู่ควรแม้กระทั่งจะได้สนทนากับเรา) เราเพียงแค่ทำในสิ่งที่เราต้องการทำต่อไป งานของเราดำเนินไปอย่างราบรื่น ทีละขั้นตอน และความประสงค์ของเราก็ไม่ถูกยับยั้งทั่วทั้งโลก สิ่งนี้ได้ทำให้ซาตานอับอายในระดับหนึ่ง และมันได้ถูกทำลายลงแล้วโดยสมบูรณ์ แต่สิ่งนี้ในตัวของมันเองยังไม่ได้ทำให้ความประสงค์ของเราลุล่วงไป เรายังได้อนุญาตให้บรรดาบุตรหัวปีของเราใช้ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราต่อพวกเขาอีกด้วย ในด้านหนึ่ง สิ่งที่เราให้ซาตานได้เห็นคือความโกรธเกรี้ยวที่เรามีต่อมัน ในอีกด้านหนึ่ง เราให้เจ้าได้เห็นความรุ่งโรจน์ของเรา (จงดูบรรดาบุตรหัวปีของเราที่เป็นพยานที่ชัดเจนที่สุดต่อความอับอายของซาตาน) เราไม่ลงโทษมันด้วยตัวเอง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เราให้บรรดาบุตรหัวปีของเราใช้ความชอบธรรมและบารมีของเรา เพราะว่าซาตานเคยเหยียดหยามบุตรทั้งหลายของเรา ข่มเหงบุตรทั้งหลายของเรา และกดขี่บุตรทั้งหลายของเรา วันนี้ หลังจากที่การปรนนิบัติของมันสิ้นสุดลง เราจะอนุญาตให้บรรดาบุตรหัวปีที่เป็นผู้ใหญ่แล้วของเราคัดมันออกไป ซาตานไร้กำลังต่อการล่มสลายแล้ว ความเป็นอัมพาตของชนชาติทั้งมวลในโลกนี้คือคำพยานที่ดีที่สุด การที่ผู้คนกำลังต่อสู้และประเทศต่างๆ ทำสงคราม คือการสำแดงที่ชัดเจนถึงการล่มสลายของราชอาณาจักรของซาตาน เหตุผลที่เราไม่ได้แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ในอดีตก็คือเพื่อนำความอับอายมาให้กับซาตาน และถวายเกียรตินามของเรา ทีละขั้นตอน เมื่อซาตานถูกปราบโดยบริบูรณ์แล้ว เราจะเริ่มแสดงฤทธานุภาพของเรา กล่าวคือ สิ่งที่เราพูดจะเป็นขึ้นมา และสิ่งเหนือธรรมชาติต่างๆ ที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์จะถูกทำให้ลุล่วงไป (เหล่านี้หมายถึงพรที่จะมาในไม่ช้า) เพราะว่าเราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงภาคชีวิตจริง และเราไม่มีกฎ และเพราะว่าเราพูดตามการเปลี่ยนแปลงในแผนการบริหารจัดการของเรา สิ่งที่เราได้พูดในอดีตจึงไม่จำเป็นต้องเหมาะสมในปัจจุบัน จงอย่ายึดติดกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้าเอง! เราไม่ใช่พระเจ้าผู้ซึ่งปฏิบัติตามกฎ กับเรา ทุกสิ่งเป็นอิสระ เหนือกว่า และได้รับการปลดปล่อยโดยบริบูรณ์ บางทีสิ่งที่ได้กล่าวไปเมื่อวานนี้อาจล้าสมัยในวันนี้ หรือบางทีมันอาจจะถูกทอดทิ้งไปในวันนี้ (อย่างไรก็ตาม ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรานั้น เมื่อถูกประกาศใช้ไปแล้ว จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง) เหล่านี้คือขั้นตอนต่างๆ ในแผนการบริหารจัดการของเรา จงอย่ายึดติดกับกฎข้อบังคับต่างๆ ทุกๆ วันจะมีความสว่างใหม่ และมีการเปิดเผยใหม่ๆ และนั่นคือแผนของเรา ทุกวันความสว่างของเราจะเปิดเผยในตัวเจ้า และเสียงของเราจะถูกปลดปล่อยไปยังสากลพิภพ เจ้าเข้าใจหรือไม่? นี่คือหน้าที่ของเจ้า ความรับผิดชอบที่เราได้มอบหมายให้กับเจ้า เจ้าต้องไม่เฉยเมยกับมันแม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง เราจะใช้งานผู้คนที่เรารับรองจนถึงบทอวสาน และการนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะว่าเราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เรารู้ว่าบุคคลประเภทใดควรทำสิ่งใด รวมทั้งบุคคลประเภทใดสามารถทำสิ่งใดได้ นี่คืออำนาจเหนือทุกสิ่งของเรา
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 88
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 237
ทุกประโยคที่เราเปล่งออกไปมีสิทธิอำนาจและการพิพากษา และไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงวจนะของเราได้ ทันทีที่วจนะของเราถูกส่งออกไป แน่นอนว่าสิ่งทั้งหลายก็ได้รับการทำให้สำเร็จลุล่วงโดยสอดคล้องกับวจนะของเรา นี่คืออุปนิสัยของเรา วจนะของเราคือสิทธิอำนาจและใครก็ตามที่แก้ไขวจนะเหล่านี้ก็ล่วงเกินต่อการตีสอนของเรา และเราต้องซัดกระหน่ำพวกเขาจนคว่ำลง ในกรณีที่รุนแรงพวกเขานำพาความล่มสลายมาสู่ชีวิตของพวกเขาเองและพวกเขาก็ไปสู่แดนคนตาย หรือไปสู่บาดาลลึก นี่คือวิธีเดียวเท่านั้นที่เราใช้จัดการกับมวลมนุษย์ และมนุษย์ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนมันได้—นี่คือประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา จงจำการนี้ไว้! ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ล่วงเกินต่อประกาศกฤษฎีกาของเรา สิ่งทั้งหลายต้องกระทำให้สอดคล้องกับเจตจำนงของเรา! ในอดีต เราเมตตาพวกเจ้ามากเกินไปและเจ้าเผชิญกับวจนะของเราเท่านั้น วจนะที่เรากล่าวเกี่ยวกับการซัดกระหน่ำผู้คนจนคว่ำลงไปยังไม่ได้เกิดขึ้น แต่นับจากวันนี้ไป ความวิบัติทั้งหมด (ความวิบัติเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา) จะมาถึงทีละอย่างทีละอย่างเพื่อลงโทษพวกคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ไม่คล้อยตามเจตจำนงของเรา ต้องมีการกำเนิดขึ้นของข้อเท็จจริงทั้งหลาย—หาไม่แล้วผู้คนก็คงจะไม่มีความสามารถที่จะมองเห็นความโกรธของเรา แต่คงจะพาตัวเองให้กระทำชั่วครั้งแล้วครั้งเล่า นี่คือขั้นตอนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการของเรา และเป็นวิธีที่เราใช้กระทำขั้นตอนถัดไปของงานของเรา เรากล่าวการนี้ต่อพวกเจ้าล่วงหน้าเพื่อที่ว่าพวกเจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงการทำการล่วงเกินและการทนทุกข์กับความพินาศไปตลอดกาล นั่นกล่าวได้ว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป เราจะทำให้ผู้คนทั้งปวงยกเว้นบรรดาบุตรหัวปีของเราอยู่ในที่ที่เหมาะสมของพวกเขาโดยสอดคล้องกับเจตจำนงของเรา และเราจะตีสอนพวกเขาทีละคน เราจะไม่ปล่อยให้แม้กระทั่งพวกเขาคนหนึ่งคนใดรอดไปได้ เพียงแค่พวกเจ้ากล้ากระทำชั่วอีกครั้ง! เพียงแค่พวกเจ้ากล้าเป็นกบฏอีกครั้ง! เราได้กล่าวมาก่อนแล้วว่าเราชอบธรรมต่อคนทั้งปวง ว่าเราไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของอารมณ์ความรู้สึก และการนี้ทำหน้าที่เพื่อแสดงให้เห็นว่าอุปนิสัยของเราต้องไม่ถูกล่วงเกิน นี่คือสภาวะบุคคลของเรา ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงการนี้ได้ ผู้คนทั้งปวงได้ยินวจนะของเราและผู้คนทั้งปวงเห็นโฉมหน้าอันเปี่ยมสง่าราศีของเรา ผู้คนทั้งปวงต้องเชื่อฟังเราอย่างครบบริบูรณ์และอย่างที่สุด—นี่คือประกาศกฤษฎีการบริหารของเรา ผู้คนทั้งปวงทั่วทั้งจักรวาลและที่สุดปลายแผ่นดินโลกควรสรรเสริญและถวายเกียรติแด่เรา ด้วยว่าเราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ เพราะเราเป็นสภาวะบุคคลของพระเจ้า ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงวจนะและถ้อยคำของเรา วาทะและท่าทางของเราได้ ด้วยว่าเหล่านี้เป็นเรื่องสำหรับเราเพียงผู้เดียว และเหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่เราได้ครองจากช่วงเวลาโบราณกาลที่สุด และจะดำรงอยู่ไปตลอดกาล
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 100
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 238
งานที่ได้วางแผนไว้ของเรายังคงรุกคืบไปข้างหน้าไม่หยุดแม้สักชั่วขณะ เมื่อได้ก้าวเข้าสู่ยุคราชอาณาจักรและนำพวกเจ้าเข้าสู่ราชอาณาจักรของเราในฐานะประชากรของเราแล้ว เราจะมีข้อเรียกร้องอื่นๆ กับพวกเจ้า กล่าวคือ เราจะเริ่มเผยแพร่ธรรมนูญซึ่งเราจะใช้ปกครองยุคนี้แก่พวกเจ้า นั่นคือ
เนื่องจากเจ้านั้นได้ชื่อว่าเป็นประชากรของเรา เจ้าจึงควรที่จะสามารถมอบสง่าราศีให้แก่นามของเรา กล่าวคือ จงยืนหยัดเป็นคำพยานในท่ามกลางการทดสอบ หากใครก็ตามพยายามที่จะป้อยอเราและปกปิดความจริงจากเรา หรือดำเนินการเจรจาที่เสื่อมเสียลับหลังเรา ผู้คนเยี่ยงนี้จะถูกไล่ออกไปและถูกย้ายออกจากบ้านของเรา รอเวลาให้เราจัดการกับพวกเขาโดยไม่มีข้อยกเว้น ผู้ที่ไม่สัตย์ซื่อและอกตัญญูต่อเราในอดีต และผู้ที่ลุกขึ้นมาอีกครั้งในวันนี้เพื่อตัดสินเราอย่างเปิดเผย—พวกเขาจะถูกขับไล่ออกจากบ้านของเราเช่นกัน บรรดาผู้ที่เป็นประชากรของเราจะต้องคำนึงถึงภาระต่างๆ ของเราอยู่ตลอดเวลา ตลอดจนพยายามที่จะรู้จักวจนะของเรา มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่เราจะทำให้รู้แจ้ง และพวกเขาจะใช้ชีวิตภายใต้การนำและความรู้แจ้งของเราอย่างแน่นอน จะไม่มีวันเผชิญกับการตีสอน พวกที่จดจ่ออยู่กับการวางแผนอนาคตของพวกเขาเอง ล้มเหลวที่จะคำนึงถึงภาระต่างๆ ของเรา—กล่าวคือ พวกที่ไม่ได้กระทำการด้วยจุดมุ่งหมายที่จะสนองหัวใจของเรา แต่กลับเป็นผู้ที่มองหาของให้ทาน—เราย่อมปฏิเสธที่จะใช้สรรพสิ่งสร้างที่เหมือนขอทานเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง เพราะนับแต่เวลาที่พวกเขาถือกำเนิด พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าการคำนึงถึงภาระต่างๆ ของเรามีความหมายเช่นไร พวกเขาคือผู้คนที่ขาดสำนึกอันปกติ ผู้คนดังกล่าวกำลังทนทุกข์จาก “ภาวะทุพโภชนาการ” ทางสมอง และจำเป็นต้องกลับบ้านไปรับ “การบำรุงเลี้ยง” บางอย่าง ผู้คนเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ต่อเรา ท่ามกลางประชากรของเรา ทุกคนพึงต้องมองการรู้จักเราว่าเป็นภาระหน้าที่อย่างหนึ่งที่จะต้องทำไปจนถึงปลายทางเหมือนอย่างการกิน การแต่งกาย และการนอน เป็นบางสิ่งที่คนเราไม่เคยลืมทำแม้สักชั่วขณะ เพื่อที่จะได้คุ้นเคยกับการรู้จักเราในท้ายที่สุดเหมือนกับการกิน—ซึ่งเป็นบางอย่างที่เจ้าทำโดยที่ไม่ต้องพยายาม ด้วยมือที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติมาแล้ว ในส่วนของวจนะที่เราพูด ทุกคำจะต้องถูกนำไปใช้ด้วยความเชื่ออย่างที่สุดและซึมซับอย่างเต็มที่ ไม่อาจมีการทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ อย่างพอเป็นพิธีได้ ผู้ใดที่ไม่ให้ความสนใจในวจนะของเราจะถือว่าต้านทานเราโดยตรง ผู้ใดที่ไม่กินวจนะของเรา หรือไม่พยายามที่จะรู้จักวจนะเหล่านั้น จะถือว่าไม่สนใจเรา และจะถูกกวาดออกนอกประตูบ้านของเราโดยตรง อย่างที่เราได้พูดไว้แล้วในอดีตว่า นี่เป็นเพราะสิ่งที่เราต้องการนั้นไม่ใช่จำนวนผู้คนที่มากมาย แต่เป็นความดีเลิศ หากในผู้คนหนึ่งร้อยคน มีเพียงคนเดียวที่สามารถรู้จักเราผ่านทางวจนะของเรา เช่นนั้นแล้ว เราก็เต็มใจที่จะโยนคนอื่นที่เหลือทิ้งเพื่อมุ่งเน้นไปที่การให้ความรู้แจ้งและความกระจ่างแก่คนคนเดียวนี้ จากการนี้เจ้าสามารถเห็นได้ว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นจริงว่าเพียงด้วยจำนวนคนที่มากกว่าก็สามารถสำแดงเราให้ประจักษ์และใช้ชีวิตตามแบบอย่างเราได้ สิ่งที่เราต้องการคือข้าวสาลี (แม้ว่าอาจไม่เต็มเมล็ดก็ตาม) และไม่ใช่ข้าวละมาน (แม้ในคราที่เมล็ดนั้นเต็มพอที่จะชมดูได้) ในส่วนของพวกที่ไม่คำนึงถึงการแสวงหา แต่กลับประพฤติตัวในลักษณะเกียจคร้าน พวกเขาควรจากไปเองโดยสมัครใจ เราไม่ปรารถนาที่จะเห็นพวกเขาอีกต่อไป เพื่อมิให้พวกเขานำความเสื่อมเสียมาสู่นามของเราต่อไป
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 5
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 239
ในเมื่อเจ้าอยู่ท่ามกลางผู้คนในนิเวศของเรา และในเมื่อเจ้าสัตย์ซื่อในราชอาณาจักรของเรา เจ้าต้องยึดมั่นในมาตรฐานแห่งข้อพึงประสงค์ของเราในทุกสิ่งที่เจ้าทำ เราไม่ได้ขอให้เจ้าเป็นเพียงก้อนเมฆที่ล่องลอย แต่ให้เจ้าเป็นหิมะที่เปล่งประกายและครอบครองแก่นแท้ของหิมะนั้น และที่ยิ่งกว่านั้นคือ ครอบครองคุณค่าของหิมะที่เปล่งประกายนั้นด้วย เพราะเรามาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เราจึงไม่เหมือนดอกบัวซึ่งมีเพียงชื่อและไม่มีแก่นแท้ เพราะดอกบัวมาจากโคลนตมและไม่ใช่จากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าเวลาที่สวรรค์ใหม่เคลื่อนลงมาบนแผ่นดินโลกและโลกใหม่แผ่ขยายไปทั่วทุกชั้นฟ้าก็คือเวลาที่เรากำลังทำงานท่ามกลางมนุษย์อย่างเป็นทางการอีกด้วย ผู้ใดเล่าท่ามกลางมนุษยชาติที่รู้จักเรา? ผู้ใดได้เห็นชั่วขณะของการมาถึงของเรา? ผู้ใดมองเห็นว่าเราไม่เพียงมีชื่อเท่านั้น แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเรายังครองแก่นแท้อีกด้วย? เรากวาดก้อนเมฆสีขาวออกไปด้วยมือของเราและเฝ้าสังเกตชั้นฟ้าอย่างใกล้ชิด ไม่มีสิ่งใดในอวกาศที่ไม่ถูกจัดการเตรียมการด้วยมือของเรา และใต้อวกาศลงมานั้น ไม่มีผู้ใดไม่มีส่วนแบ่งปันความพยายามเล็กน้อยของเขาหรือเธอให้กับความสำเร็จลุล่วงแห่งกิจการอันทรงฤทธิ์ของเรา เราไม่ได้มีข้อพึงประสงค์อันยุ่งยากต่อผู้คนบนแผ่นดินโลก เพราะเราคือพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงตลอดมาและเพราะเราคือองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่สร้างมนุษย์ขึ้นมาและรู้จักพวกเขาเป็นอย่างดี ผู้คนทั้งปวงอยู่เบื้องหน้าสายพระเนตรแห่งองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่แม้แต่พวกที่อยู่ในมุมโลกอันห่างไกลที่สุดจะหลีกเลี่ยงการพินิจพิเคราะห์แห่งวิญญาณของเราได้? แม้ว่าผู้คน “รู้จัก” วิญญาณของเรา แต่พวกเขายังคงล่วงเกินวิญญาณของเรา วจนะของเราตีแผ่ใบหน้าที่น่าเกลียดของผู้คนทั้งปวง รวมทั้งความคิดส่วนลึกสุดของพวกเขา และทำให้ทุกคนบนแผ่นดินโลกถูกทำให้ชัดเจนโดยความสว่างของเราและล้มลงท่ามกลางการพินิจพิเคราะห์ของเรา อย่างไรก็ตาม แม้จะล้มลง แต่หัวใจของพวกเขาก็ไม่กล้าไถลห่างไปไกลจากเรา ในบรรดาวัตถุแห่งการสร้าง ใครเล่าไม่มารักเราอันเป็นผลจากกิจการของเรา? ใครเล่าไม่โหยหาเราอันเป็นผลจากวจนะของเรา? ใครบ้างไม่มีความรู้สึกผูกพันก่อเกิดขึ้นภายในอันเป็นผลจากความรักของเรา? เป็นเพียงเพราะการทำให้เสื่อมทรามของซาตานเท่านั้นที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะที่เราพึงประสงค์ แม้แต่มาตรฐานที่ต่ำที่สุดที่เราพึงประสงค์ก็สร้างความคลางแคลงใจในตัวผู้คน ยิ่งไม่พักต้องพูดถึงวันนี้—ยุคสมัยนี้ที่ซาตานวิ่งพล่านและเป็นเผด็จการอย่างบ้าคลั่ง—หรือเวลาที่มนุษย์ถูกซาตานเหยียบย่ำเสียจนทั่วทั้งร่างกายของพวกเขาถูกมูลฝอยอันโสมมเกาะจับเป็นก้อน เมื่อใดกันเล่าที่ความล้มเหลวของมนุษย์ในการเอาใจใส่ดูแลหัวใจของเราอันเป็นผลจากความต่ำทรามของพวกเขานั้นไม่ทำให้เราตรอมใจ? เป็นไปได้หรือที่เราจะเวทนาซาตาน? เป็นไปได้หรือไม่ที่เราถูกเข้าใจผิดในความรักของเรา? เมื่อผู้คนไม่เชื่อฟังเรา หัวใจของเราก็แอบร่ำไห้ เมื่อพวกเขาต้านทานเรา เราจึงตีสอนพวกเขา เมื่อพวกเขาถูกเราช่วยให้รอดและฟื้นคืนชีพจากความตาย เราก็บำรุงเลี้ยงพวกเขาด้วยความเอาใจใส่สูงสุด เมื่อพวกเขานบนอบต่อเรา หัวใจของเราก็สงบและเราสำนึกรับรู้ทันทีถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสวรรค์และแผ่นดินโลกและในทุกสรรพสิ่ง เมื่อมนุษย์สรรเสริญเรา เราจะไม่ชื่นชมการสรรเสริญนั้นได้อย่างไร? เมื่อพวกเขาพบเห็นเราและได้รับการรับไว้โดยเรา เราจะไม่ได้รับสง่าราศีได้อย่างไร? เป็นไปได้หรือที่ ไม่ว่ามนุษย์จะกระทำการและประพฤติตนอย่างไรก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลและการจัดหาของเรา? เมื่อเราไม่ได้ให้การชี้ทาง ผู้คนก็เกียจคร้านและเฉื่อยชา นอกจากนี้ พวกเขายังเข้าร่วมการติดต่อเจรจาสกปรกที่ “น่ายกย่อง” เหล่านั้นลับหลังเรา เจ้าคิดหรือว่าเนื้อหนังที่เราใช้สวมใส่ตัวเราเองนั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการกระทำของเจ้า พฤติกรรมของเจ้า และคำพูดของเจ้า? หลายปีแล้วที่เราสู้ทนลมและฝน และเรายังผ่านประสบการณ์กับความขมขื่นของโลกมนุษย์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาให้ละเอียดขึ้น ไม่ว่าความทุกข์สักเท่าใดก็ไม่สามารถทำให้มนุษย์ที่มีเนื้อหนังสูญสิ้นความหวังในเรา และนับประสาอะไรที่ความหวานอันใดจะสามารถทำให้มนุษย์แห่งเนื้อหนังกลายเป็นเย็นชา ท้อใจ หรือเมินเฉยต่อเรา จริงหรือที่ความรักที่พวกเขามีต่อเรานั้นจำกัดอยู่ที่การขาดพร่องความทุกข์หรือไม่ก็การขาดพร่องความหวาน?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 9
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 240
วันนี้ ในเมื่อเรานำทางพวกเจ้ามาถึงจุดนี้ เราย่อมมีการจัดการเตรียมการที่เหมาะสมและมีจุดมุ่งหมายของเราเอง หากเราบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับการจัดการเตรียมการและจุดมุ่งหมายของเราในวันนี้ พวกเจ้าจะสามารถรู้จักสิ่งเหล่านั้นได้อย่างแท้จริงหรือไม่? เราคุ้นเคยกับความคิดในจิตใจของมนุษย์และความปรารถนาของหัวใจมนุษย์เป็นอย่างดี กล่าวคือ ใครบ้างไม่เคยมองหาทางออกเพื่อตัวพวกเขาเอง? ใครบ้างไม่เคยคิดถึงความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของพวกเขาเอง? กระนั้น ถึงแม้ว่ามนุษย์จะมีสติปัญญาที่รุ่มรวยและน่าทึ่ง แต่ใครบ้างสามารถทำนายได้ว่าปัจจุบันจะกลายมาเป็นอย่างที่เป็นอยู่หลังจากที่ผ่านยุคต่างๆ มาแล้ว? นี่คือผลของความพยายามส่วนตัวของเจ้าเองจริงๆ หรือ? นี่คือค่าตอบแทนสำหรับความอุตสาหะอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของเจ้าหรือ? นี่คือจินตภาพอันงดงามที่จิตใจของเจ้าคิดฝันขึ้นมาหรือ? หากเราไม่ได้นำมวลมนุษย์ทั้งปวง ผู้ใดจะสามารถแยกตัวพวกเขาเองออกจากการจัดการเตรียมการของเราและค้นพบทางออกอื่นได้? การจินตนาการและความปรารถนาของมนุษย์คือสิ่งที่นำเขามาจนถึงวันนี้หรือ? ผู้คนมากมายใช้ชีวิตทั้งชีวิตโดยที่ไม่เคยลุล่วงความปรารถนาของพวกเขา นี่เป็นเพราะข้อผิดพลาดในการนึกคิดของพวกเขาจริงๆ หรือ? ชีวิตของผู้คนมากมายเต็มไปด้วยความสุขและความพึงพอใจที่ไม่ได้คาดคิด นี่เป็นเพราะพวกเขาคาดหวังน้อยเกินไปจริงๆ หรือ? จากมวลมนุษย์ทั้งหมด ผู้ใดไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อยู่ในสายพระเนตรขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์? ผู้ใดไม่ได้ใช้ชีวิตท่ามกลางการทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์? ชีวิตและความตายของมนุษย์เกิดขึ้นด้วยการเลือกของเขาเองกระนั้นหรือ? มนุษย์ควบคุมชะตากรรมของเขาเองหรือ? ผู้คนมากมายร้องหาความตาย กระนั้นความตายก็อยู่ไกลจากพวกเขา ผู้คนมากมายเกรงกลัวความตายและต้องการที่จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งในชีวิต กระนั้นวันที่พวกเขาจะสิ้นชีพกลับใกล้เข้ามา และผลักพวกเขาลงสู่หุบเหวแห่งความตายโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว ผู้คนมากมายมองชั้นฟ้าทั้งหลายและถอนหายใจยาวๆ ผู้คนมากมายร้องไห้สะอึกสะอื้นคร่ำครวญสุดเสียง ผู้คนมากมายล้มลงท่ามกลางบททดสอบ และผู้คนมากมายกลายเป็นนักโทษของการทดลอง ถึงแม้ว่าเราไม่ปรากฏในสภาวะบุคคลเพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นเราได้อย่างชัดเจน แต่ผู้คนมากมายก็ยำเกรงการเห็นใบหน้าของเรา กลัวอยู่ลึกๆ ว่าเราจะบดขยี้พวกเขาจนล้มคว่ำลงไป ว่าเราจะดับชีพของพวกเขา มนุษย์รู้จักเราอย่างแท้จริง หรือว่าเขาไม่รู้จักเรา? ไม่มีใครรู้แน่ ไม่ใช่เช่นนี้หรอกหรือ? พวกเจ้ายำเกรงทั้งเราและการตีสอนของเรา กระนั้นพวกเจ้าก็ลุกขึ้นยืนต่อต้านเราอย่างเปิดเผยและตัดสินเรา ไม่ใช่กรณีเช่นนี้หรอกหรือ? การที่มนุษย์ไม่เคยรู้จักเรานั้นเป็นเพราะเขาไม่เคยเห็นใบหน้าของเราหรือได้ยินเสียงของเรา ดังนั้น ถึงแม้ว่าเราอยู่ภายในหัวใจของมนุษย์ แต่มีผู้ใดหรือไม่ที่มีเราซึ่งไม่พร่ามัวและเลือนรางอยู่ในหัวใจ? มีผู้ใดหรือไม่ที่มีเราซึ่งชัดเจนโดยบริบูรณ์อยู่ในหัวใจ? เราไม่ปรารถนาให้บรรดาผู้ที่เป็นประชากรของเราเห็นเราอย่างคลุมเครือและพร่ามัวเช่นกัน และดังนั้น เราจึงเริ่มงานอันยิ่งใหญ่นี้
เรามาอยู่ท่ามกลางมนุษย์อย่างเงียบๆ แล้วจากนั้นเราก็เคลื่อนคล้อยจากไป มีใครสักคนเคยเห็นเราหรือไม่? ดวงอาทิตย์สามารถมองเห็นเราได้เพราะเปลวไฟที่แผดเผาของมันหรือ? ดวงจันทร์สามารถมองเห็นเราได้เพราะความกระจ่างอันสุกสกาวของมันหรือ? กลุ่มดาวสามารถมองเห็นเราได้เพราะตำแหน่งแห่งที่ของพวกมันบนท้องฟ้าหรือ? เมื่อเรามา มนุษย์ไม่รู้ และทุกสรรพสิ่งยังคงไม่รู้เท่าทัน และเมื่อเราจากไป มนุษย์ก็ยังคงไม่ตระหนักรู้ ผู้ใดจะสามารถเป็นคำพยานให้แก่เราได้? คำสรรเสริญของผู้คนบนแผ่นดินโลกเป็นได้หรือ? ดอกลิลลี่ที่บานอยู่ในป่าเป็นได้หรือ? ใช่นกที่บินอยู่บนฟ้าหรือไม่? ใช่สิงโตที่พากันคำรามอยู่ในเทือกเขาหรือไม่? ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นประจักษ์พยานให้แก่เราได้อย่างครบถ้วน! ไม่มีผู้ใดสามารถทำงานที่เราจะทำได้! ต่อให้พวกเขาได้ทำงานนี้จริง นั่นจะมีผลอันใด? ในแต่ละวันเราเฝ้าสังเกตทุกการกระทำของผู้คนมากมาย และในแต่ละวันเราตรวจค้นหัวใจและจิตใจของผู้คนมากมาย ไม่เคยมีผู้ใดหนีพ้นการพิพากษาของเรา และไม่เคยมีผู้ใดปลดเปลื้องตัวเองให้เป็นอิสระจากความเป็นจริงแห่งการพิพากษาของเรา เรายืนเหนือชั้นฟ้าทั้งหลายและมองออกไปไกลๆ กล่าวคือ ผู้คนนับไม่ถ้วนถูกเราบดขยี้ กระนั้น ผู้คนเหลือคณานับก็ใช้ชีวิตท่ามกลางความกรุณาและความรักเมตตาของเราด้วยเช่นกัน พวกเจ้าไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้หรอกหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 11
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 241
บนแผ่นดินโลก เราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง ผู้สถิตในหัวใจของมนุษย์ บนสวรรค์ เราคือองค์เจ้านายแห่งสิ่งสร้างทั้งปวง เราเดินไต่ภูเขาทั้งหลาย และลุยข้ามแม่น้ำ และเราเคลื่อนผ่านเข้าออกในท่ามกลางมนุษย์ ใครเล่ากล้าต่อต้านพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงพระองค์เองอย่างเปิดเผย? ใครเล่ากล้าแยกตัวออกจากอำนาจอธิปไตยแห่งองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์? ใครเล่ากล้ายืนยันว่าเรานั้นอยู่บนสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย? ที่มากกว่านั้นคือ ใครเล่ากล้ายืนยันว่าเรานั้นอยู่บนแผ่นดินโลกอย่างมิอาจโต้แย้งได้? ไม่มีผู้ใดท่ามกลางมนุษยชาติทั้งปวงสามารถบรรยายให้เห็นภาพทุกรายละเอียดของสถานที่ทั้งหลายที่เราพักอาศัย เป็นไปได้หรือไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เราอยู่บนสวรรค์ เราก็คือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงอยู่เหนือธรรมชาติ และเมื่อใดก็ตามที่เราอยู่บนแผ่นดินโลก เราก็คือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง? แน่นอนว่าการที่เราเป็นพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่นั้น ไม่สามารถกำหนดจากการเป็นองค์ปกครองสิ่งสร้างทั้งปวงของเราหรือจากข้อเท็จจริงที่ว่าเราผ่านประสบการณ์กับความทุกข์ของโลกมนุษย์ มิใช่หรือ? หากเป็นเช่นนั้นแล้วไซร้ มนุษย์ก็คงจะไม่ใช่ไม่รู้เท่าทันจนไม่มีหวังที่จะดีขึ้นได้มิใช่หรือ? เราอยู่บนสวรรค์ แต่เราก็อยู่บนแผ่นดินโลกด้วย เราอยู่ท่ามกลางวัตถุแห่งการสร้างมากมายนับไม่ถ้วน และอยู่ท่ามกลางหมู่ชนทั้งหลายด้วย มนุษย์สามารถสัมผัสเราได้ทุกวัน ที่มากไปกว่านั้นคือ พวกเขาสามารถมองเห็นเราได้ทุกวัน ในความคิดเห็นของมนุษยชาติ เรานั้นบางครั้งดูเหมือนซ่อนเร้น และบางครั้งก็ดูเหมือนมองเห็นได้ เราดูเหมือนดำรงอยู่จริง กระนั้นเราก็ดูเหมือนไม่มีอยู่ด้วยเช่นกัน ภายในเรา มีความล้ำลึกทั้งหลายซึ่งมนุษยชาติมิอาจหยั่งถึงได้อยู่ เป็นประหนึ่งว่ามนุษย์ทั้งปวงถึงกับเพ่งดูเราผ่านทางกล้องจุลทรรศน์ เพื่อที่จะค้นพบความล้ำลึกต่างๆ ในตัวเราให้มากขึ้นอีก โดยหวังที่จะปัดเป่าความรู้สึกไม่สบายใจในหัวใจของพวกเขาออกไปด้วยผลแห่งการนั้น อย่างไรก็ตาม แม้มนุษยชาติจะถึงขนาดใช้รังสีเอกซ์ แต่พวกเขาจะสามารถเปิดเผยความลับใดๆ ที่เราครองอยู่ออกมาได้อย่างไร?
ในชั่วขณะที่ประชากรของเราได้รับสง่าราศีเคียงข้างเราอันเป็นผลมาจากงานของเรานั่นเอง รังของพญานาคใหญ่สีแดงจะถูกขุดพบ โคลนและดินทั้งหมดจะถูกกวาดทิ้งจนสะอาด และน้ำเน่าเสียทั้งมวลที่สะสมมาตลอดเวลามากมายหลายปีสุดที่จะนับได้ จะเหือดแห้งไปในเปลวไฟที่เผาไหม้ของเราเพื่อที่จะไม่มีอยู่อีกต่อไป ครั้นแล้ว พญานาคใหญ่สีแดงก็จะพินาศไปในบึงไฟและกำมะถัน พวกเจ้าเต็มใจอย่างแท้จริงที่จะคงอยู่ภายใต้การดูแลอันเปี่ยมรักของเราเพื่อไม่ให้พญานาคคว้าเอาตัวไปหรือไม่? พวกเจ้าเกลียดชังเล่ห์กระเท่ห์อันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของมันอย่างแท้จริงหรือไม่? ผู้ใดสามารถเป็นพยานที่แข็งแกร่งและทรงพลังเพื่อเรา? ผู้ใดสามารถยกความแข็งแกร่งทั้งหมดของพวกเขาให้แก่เรา เพื่อประโยชน์แห่งนามของเรา เพื่อประโยชน์แห่งวิญญาณของเรา และเพื่อประโยชน์แห่งแผนการบริหารจัดการทั้งมวลของเรา? ในวันนี้ เมื่อราชอาณาจักรอยู่ในโลกมนุษย์ก็คือเวลาที่เราได้มาอยู่ในท่ามกลางมนุษยชาติในสภาวะบุคคล หากการนี้ไม่เป็นดังนั้นแล้ว มีผู้ใดบ้างที่จะสามารถมุ่งหน้าเข้าสู่สนามรบในนามของเราโดยปราศจากความประหวั่นพรั่นใจ? มนุษย์ทั้งปวงกำลังเพียรพยายามด้วยกำลังทั้งหมดของพวกเขา ทุ่มเทจนสุดความพยายามในการพลีอุทิศตัวพวกเขาเองเพื่อเรา เพื่อที่ราชอาณาจักรอาจเป็นรูปเป็นร่างขึ้น เพื่อที่หัวใจของเราอาจพอใจ และยิ่งไปกว่านั้นคือ เพื่อที่วันของเราอาจมาถึง เพื่อที่วัตถุแห่งการสร้างมากมายนับไม่ถ้วนอาจถึงเวลาเกิดใหม่และมีจำนวนอันอุดม เพื่อที่มนุษย์อาจได้รับการช่วยกู้จากทะเลแห่งความทุกข์ของพวกเขา เพื่อที่วันพรุ่งอาจมาถึง และเพื่อที่วันพรุ่งอาจมหัศจรรย์ และผลิบานและฟูเฟื่อง และที่มากกว่านั้นคือ เพื่อที่ความชื่นชมยินดีแห่งอนาคตอาจเกิดขึ้น นี่ไม่ใช่หมายสำคัญอย่างหนึ่งว่าชัยชนะเป็นของเราเรียบร้อยแล้วหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่เครื่องหมายว่าแผนการของเราเสร็จสมบูรณ์แล้วหรอกหรือ?
ยิ่งผู้คนดำรงอยู่ในยุคสุดท้ายมากเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งรู้สึกถึงความว่างเปล่าของโลกมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาจะยิ่งมีความกล้าในการใช้ชีวิตน้อยลงเท่านั้นด้วย ด้วยเหตุนี้ ผู้คนนับไม่ถ้วนจึงสิ้นชีวิตในความผิดหวัง ส่วนคนอื่นอีกนับไม่ถ้วนก็ผิดหวังในการสืบเสาะแสวงหาของพวกเขา และคนอื่นอีกเหลือคณานับทนทุกข์กับการถูกมือของซาตานบงการ เราช่วยกู้ผู้คนไว้มากมายเหลือเกินและได้สนับสนุนพวกเขามากมายเหลือเกิน และบ่อยครั้งเหลือเกินเมื่อมนุษย์สูญเสียความสว่าง เราก็ย้ายพวกเขากลับไปในที่แห่งความสว่าง เพื่อที่พวกเขาอาจรู้จักเราภายในความสว่างนั้นและชื่นชมเราท่ามกลางความสุข เป็นเพราะการมาแห่งความสว่างของเรา ความรักใคร่บูชาจึงยิ่งเติบโตในหัวใจของประชากรที่อยู่อาศัยในราชอาณาจักรของเรา เพราะเราคือพระเจ้าองค์หนึ่งสำหรับให้มนุษย์รัก—พระเจ้าองค์หนึ่งที่มนุษยชาติเกาะติดอย่างผูกพันรักใคร่—และพวกเขาก็เต็มไปด้วยความประทับใจอันยืนยงในรูปสัณฐานของเรา แม้กระนั้นก็ตาม เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้ว ไม่มีผู้ใดเข้าใจว่านี่เป็นการทรงพระราชกิจของพระวิญญาณหรือเป็นหน้าที่การงานอย่างหนึ่งของเนื้อหนังกันแน่ ผู้คนคงจะใช้เวลาทั้งชีวิตเพียงเพื่อจะมีประสบการณ์อย่างละเอียดกับสิ่งนี้สิ่งเดียว ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจมนุษย์ พวกเขาไม่เคยดูหมิ่นเรา ตรงกันข้าม พวกเขากลับเกาะติดอยู่กับเราในส่วนลึกของจิตวิญญาณของพวกเขา ปัญญาของเราเพิ่มพูนความเลื่อมใสของพวกเขา การอัศจรรย์ที่เราทำคือสิ่งที่น่าชื่นชมในสายตาของพวกเขา และวจนะของเราก็ทำให้จิตใจของพวกเขางงงวย กระนั้นพวกเขาก็ยังทะนุถนอมวจนะเหล่านั้นอย่างสุดซึ้ง ความเป็นจริงของเราทำให้มนุษย์พูดไม่ออก ตะลึงงัน และฉงนสงสัย แต่ทว่าพวกเขาก็ยังเต็มใจที่จะยอมรับมัน แท้จริงแล้ว นี่ไม่ใช่การประเมินวัดมนุษย์ตามที่พวกเขาเป็นโดยแท้หรอกหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 15
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 242
1. มนุษย์ไม่ควรเชิดชูตัวเองและไม่ควรยกย่องตัวเอง เขาควรนมัสการและยกชูพระเจ้า
2. จงทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ทำสิ่งใดที่ส่งผลเสียต่อผลประโยชน์แห่งพระราชกิจของพระเจ้า จงปกป้องพระนามของพระเจ้า คำพยานของพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้า
3. เงิน วัตถุที่จับต้องได้ และทรัพย์สมบัติทั้งหมดในครัวเรือนของพระเจ้าเป็นของถวายซึ่งมนุษย์ควรเป็นผู้ถวาย ไม่มีผู้ใดนอกจากปุโรหิตและพระเจ้าที่อาจชื่นชมของถวายเหล่านี้ ด้วยเหตุที่ของถวายจากมนุษย์นั้นมีไว้เพื่อความชื่นชมยินดีของพระเจ้า พระเจ้าเพียงทรงแบ่งปันของถวายเหล่านี้กับปุโรหิต ไม่มีใครอื่นอีกที่มีคุณสมบัติเหมาะสมหรือมีสิทธิ์ที่จะชื่นชมส่วนใดของของถวายเหล่านี้ ของถวายจากมนุษย์ (รวมถึงเงินและสิ่งของที่จับต้องได้ซึ่งสามารถเป็นที่ชื่นชมได้) ทั้งหมดถูกถวายแด่พระเจ้า ไม่ใช่ให้แก่มนุษย์ และดังนั้นสิ่งของเหล่านี้จึงไม่ควรได้รับการชื่นชมโดยมนุษย์ หากมนุษย์หมายจะชื่นชมสิ่งของเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเขาก็ย่อมจะกำลังลักขโมยของถวาย ใครก็ตามที่ทำการนี้ย่อมเป็นยูดาสคนหนึ่ง ด้วยเหตุที่ นอกเหนือไปจากการเป็นผู้หักหลังแล้ว ยูดาสยังได้ถือวิสาสะหยิบฉวยสิ่งที่ใส่ไว้ในถุงเงินไปอีกด้วย
4. มนุษย์มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และยิ่งไปกว่านั้น ยังถูกครอบงำด้วยอารมณ์ เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้สมาชิกสองคนซึ่งเป็นเพศตรงกันข้ามทำงานร่วมกันโดยไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วยเมื่อรับใช้พระเจ้า ใครก็ตามที่ถูกพบว่าทำเช่นนั้นจะถูกขับไล่ โดยไม่มีข้อยกเว้น
5. จงอย่าทำการตัดสินพระเจ้าหรือหารือเรื่องราวทั้งหลายซึ่งเกี่ยวข้องกับพระเจ้าอย่างเรื่อยเปื่อย จงทำอย่างที่มนุษย์ควรจะทำ และจงพูดอย่างที่มนุษย์ควรจะพูด และจงอย่าล้ำเส้นขีดจำกัดทั้งหลายหรือล่วงละเมิดอาณาเขตทั้งหลาย จงระวังลิ้นของเจ้าเองและใส่ใจที่ซึ่งเจ้าย่างก้าวลงไป เพื่อหลีกเลี่ยงการทำสิ่งใดก็ตามที่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า
6. จงทำสิ่งซึ่งมนุษย์ควรจะทำ และจงดำเนินภาระผูกพันของเจ้าให้เสร็จสิ้น และทำให้ความรับผิดชอบของเจ้าลุล่วงไป และจงยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้า ในเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ควรร่วมสนับสนุนพระราชกิจของพระเจ้า หากเจ้าไม่ทำ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมไม่เหมาะที่จะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และไม่เหมาะที่จะดำรงชีวิตอยู่ในครัวเรือนของพระเจ้า
7. ในงานและเรื่องราวทั้งหลายของคริสตจักร นอกเหนือไปจากการเชื่อฟังพระเจ้าแล้ว จงปฏิบัติตามคำแนะนำทั้งหลายของมนุษย์ผู้ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานในทุกสิ่ง แม้แต่การละเมิดเพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้ จงเด็ดขาดในการปฏิบัติตามของเจ้า และจงอย่าวิเคราะห์ว่าถูกหรือผิด สิ่งที่ถูกหรือผิดไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า เจ้าต้องให้ตัวเจ้าเองกังวลอยู่กับการเชื่อฟังอย่างเบ็ดเสร็จเท่านั้น
8. ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าควรเชื่อฟังพระเจ้าและนมัสการพระองค์ จงอย่ายกย่องหรือนิยมบูชาบุคคลใด จงอย่าวางพระเจ้าเป็นลำดับแรก ผู้คนที่เจ้าเคารพนับถือเป็นลำดับที่สอง และตัวเจ้าเองเป็นลำดับที่สาม ไม่มีบุคคลใดที่ควรมีความสำคัญในหัวใจของเจ้า และเจ้าไม่ควรพิจารณาผู้คน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่เจ้าเคารพเทิดทูน—ว่าเสมอกับพระเจ้าหรือเทียบเท่าพระองค์ นี่เป็นเรื่องที่มิอาจทนยอมรับได้สำหรับพระเจ้า
9. จงรักษาความคิดของเจ้าให้อยู่กับงานของคริสตจักร จงวางความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเนื้อหนังของเจ้าเองไว้ก่อน จงเฉียบขาดเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว จงอุทิศตัวเจ้าเองต่อพระราชกิจของพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ และจงวางพระราชกิจของพระเจ้าเป็นลำดับแรกและชีวิตของเจ้าเองเป็นลำดับที่สอง นี่คือความถูกต้องตามความควรไม่ควรของวิสุทธิชนคนหนึ่ง
10. ญาติที่ไม่มีความเชื่อ (ลูกหลานของเจ้า สามีหรือภรรยาของเจ้า พี่น้องหญิงของเจ้าหรือบิดามารดาของเจ้า เป็นต้น) ไม่ควรถูกบังคับให้เข้าสู่คริสตจักร ครัวเรือนของพระเจ้าไม่ขาดแคลนสมาชิก และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องชดเชยจำนวนสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าด้วยผู้คนที่ไม่มีประโยชน์ ทุกคนที่ไม่เชื่ออย่างเปรมปรีดิ์ต้องไม่ถูกนำทางเข้าสู่คริสตจักร ประกาศกฤษฎีกานี้มุ่งตรงไปที่ผู้คนทั้งหมด พวกเจ้าควรตรวจตรา สอดส่อง และเตือนความจำซึ่งกันและกันในเรื่องนี้ ไม่มีผู้ใดอาจฝ่าฝืนมันได้ แม้แต่ในยามที่ญาติผู้ซึ่งไม่มีความเชื่อเข้าสู่คริสตจักรอย่างอิดออด พวกเขาก็ต้องไม่ได้รับแจกหนังสือและไม่ได้รับการตั้งชื่อให้ใหม่ ผู้คนเช่นนั้นไม่ได้อยู่ในครัวเรือนของพระเจ้า และการเข้าสู่คริสตจักรของพวกเขาต้องถูกหยุดยั้งด้วยวิถีทางใดก็ตามที่จำเป็น หากการบุกรุกของปีศาจทั้งหลายนำพาปัญหารุมเร้ามาสู่คริสตจักร เช่นนั้นแล้วตัวเจ้าเองก็ย่อมจะถูกขับไล่ออกไปหรือข้อห้ามทั้งหลายก็จะถูกนำมาใช้กับเจ้า สรุปสั้นๆ ก็คือ ทุกคนมีความรับผิดชอบในเรื่องนี้ กระนั้นเจ้าก็ไม่ควรบุ่มบ่าม และไม่ควรใช้มันเพื่อชำระความแค้นส่วนตัว
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประกาศกฤษฎีกาบริหารสิบประการซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักรต้องเชื่อฟัง
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 243
ผู้คนต้องยึดมั่นอยู่กับหน้าที่มากมายที่พวกเขาควรจะปฏิบัติ นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรยึดมั่น และนี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องดำเนินการ จงปล่อยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำสิ่งที่ต้องทำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มนุษย์ไม่สามารถรับบทใดในนั้นได้เลย มนุษย์ควรจะยึดมั่นกับสิ่งที่ควรจะทำโดยมนุษย์ ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ใดเลยกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันมิใช่สิ่งใดนอกจากสิ่งที่ควรจะถูกทำโดยมนุษย์ และควรจะได้รับการยึดมั่นในฐานะพระบัญญัติ ให้เหมือนกับการยึดมั่นกับธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิม ถึงแม้ว่าบัดนี้มิใช่ยุคธรรมบัญญัติ แต่ยังคงมีพระวจนะมากมายที่ควรจะยึดมั่น ซึ่งเป็นประเภทเดียวกันกับพระวจนะทั้งหลายที่ตรัสไว้ในยุคธรรมบัญญัติ พระวจนะเหล่านี้มิใช่ถูกนำมาดำเนินการเพียงโดยการพึ่งพาสัมผัสจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น แต่ตรงกันข้าม พระวจนะเหล่านี้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์ควรจะยึดมั่น ตัวอย่างเช่น
เจ้าต้องไม่ตัดสินพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง
เจ้าต้องไม่ต่อต้านมนุษย์ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงเป็นพยานยืนยันให้
เจ้าต้องรักษาฐานะของเจ้าและไม่ทำตัวเสเพลเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
เจ้าควรจะพอประมาณในวาทะ และคำพูดกับการกระทำทั้งหลายของเจ้าก็ต้องเป็นไปตามการจัดการเตรียมการของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงเป็นพยานยืนยัน
เจ้าควรจะเคารพคำพยานของพระเจ้า เจ้าจะต้องไม่เพิกเฉยกับพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะทั้งหลายจากพระโอษฐ์ของพระองค์
เจ้าจะต้องไม่ลอกเลียนแบบพระกระแสเสียงและจุดมุ่งหมายในถ้อยดำรัสของพระเจ้า
โดยภายนอกนั้น เจ้าจะต้องไม่ทำสิ่งใดที่ต่อต้านอย่างชัดแจ้งต่อมนุษย์ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงเป็นพยานยืนยันให้
ในทำนองเดียวกัน เหล่านี้คือสิ่งที่แต่ละคนควรจะยึดมั่น ในแต่ละยุคนั้น พระเจ้าทรงกำหนดกฎเกณฑ์มากมายที่คล้ายคลึงกันกับธรรมบัญญัติทั้งหลายและเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องยึดมั่น พระองค์ทรงจำกัดบังคับอุปนิสัยของมนุษย์และตรวจจับความจริงใจของเขาโดยผ่านทางการนี้ จงพิจารณาพระวจนะเหล่านี้จากยุคพันธสัญญาเดิมเป็นตัวอย่าง ความว่า “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า” พระวจนะเหล่านี้ใช้ไม่ได้กับวันนี้ ทั้งนี้ ณ เวลานั้น พระวจนะเหล่านี้ก็เพียงแค่จำกัดบังคับอุปนิสัยภายนอกบางอย่างของมนุษย์โดยได้ถูกนำมาใช้เพื่อสาธิตให้เห็นความจริงใจของการเชื่อในพระเจ้าของมนุษย์ และเป็นเครื่องหมายของบรรดาผู้ที่ได้เชื่อในพระเจ้า ถึงแม้ว่าบัดนี้เป็นยุคราชอาณาจักร แต่ก็ยังมีกฎเกณฑ์มากมายที่มนุษย์ต้องยึดมั่นอยู่ดี กฎเกณฑ์ทั้งหลายของอดีตนั้นใช้ไม่ได้ และวันนี้ก็มีการปฏิบัติมากมายที่เหมาะสมกว่าเพื่อให้มนุษย์นำมาดำเนินการ และเป็นการปฏิบัติที่จำเป็น การปฏิบัติเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และต้องถูกทำโดยมนุษย์
ในยุคพระคุณนั้น การปฏิบัติมากมายของยุคธรรมบัญญัติได้ถูกเลิกใช้ไปเพราะธรรมบัญญัติเหล่านี้ไม่มีประสิทธิผลโดยเฉพาะสำหรับพระราชกิจในเวลานั้น หลังจากการปฏิบัติเหล่านี้ถูกเลิกใช้ไปแล้ว การปฏิบัติมากมายที่เหมาะสมสำหรับยุคนั้นก็ได้ถูกกำหนดออกมา และก็ได้กลายมาเป็นกฎเกณฑ์มากมายของวันนี้ เมื่อพระเจ้าของวันนี้เสด็จมา กฎเกณฑ์เหล่านี้ได้ถูกละเว้นไป และไม่พึงต้องยึดมั่นกับพวกมันอีกต่อไป และการปฏิบัติมากมายที่เหมาะสมสำหรับพระราชกิจของวันนี้ได้ถูกกำหนดออกมา วันนี้ การปฏิบัติเหล่านี้ไม่ใช่กฎเกณฑ์ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับมีเจตนาที่จะให้สัมฤทธิ์ประสิทธิผลทั้งหลาย การปฏิบัติเหล่านั้นเหมาะสมสำหรับวันนี้—บางทีพรุ่งนี้ การปฏิบัติเหล่านั้นอาจจะกลายเป็นกฎเกณฑ์ก็ได้ โดยรวมแล้ว เจ้าควรจะยึดมั่นกับสิ่งที่เกิดผลกับพระราชกิจของวันนี้ จงอย่าใส่ใจกับพรุ่งนี้ กล่าวคือ สิ่งที่ทำวันนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของวันนี้ บางทีเมื่อพรุ่งนี้มาถึง อาจจะมีการปฏิบัติต่างๆ ที่ดีกว่าซึ่งเจ้าพึงต้องดำเนินการ—แต่จงอย่าให้ความสนใจกับการนั้นมากเกินไปนัก ในทางตรงกันข้าม จงยึดมั่นกับสิ่งซึ่งควรจะยึดมั่นวันนี้ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการต่อต้านพระเจ้า วันนี้ ไม่มีสิ่งใดสำคัญยิ่งยวดสำหรับมนุษย์ที่จะยึดมั่นมากไปกว่าการติดตาม กล่าวคือ
เจ้าต้องไม่พยายามที่จะป้อยอพระเจ้าที่ทรงยืนอยู่ต่อหน้าต่อตาเจ้า หรือปกปิดสิ่งใดจากพระองค์
เจ้าจะต้องไม่เปล่งถ้อยคำที่เป็นความโสโครกหรือการพูดคุยอันโอหังเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าซึ่งอยู่ต่อหน้าเจ้า
เจ้าจะต้องไม่หลอกลวงพระเจ้าซึ่งอยู่ต่อหน้าต่อตาเจ้าโดยมธุรสวาจาและวาทะอันสวยหรูเพื่อที่จะได้รับความไว้วางพระทัยของพระองค์
เจ้าจะต้องไม่ปฏิบัติตนอย่างขาดความเคารพเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าจะต้องเชื่อฟังทุกอย่างที่ตรัสออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า และจะต้องไม่ต้านทาน ต่อต้าน หรือโต้แย้งพระวจนะทั้งหลายของพระองค์
เจ้าจะต้องไม่ตีความพระวจนะทั้งหลายที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าไปตามที่เจ้าเห็นว่าเหมาะเจาะลงตัว เจ้าควรจะระวังลิ้นของเจ้าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มันเป็นเหตุให้เจ้าตกเป็นเหยื่อของกลอุบายอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของคนเลว
เจ้าควรจะระวังย่างก้าวของเจ้าเพื่อหลีกเลี่ยงการฝ่าฝืนอาณาเขตที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้สำหรับเจ้า หากเจ้าฝ่าฝืน นี่จะเป็นเหตุให้เจ้ายืนในตำแหน่งของพระเจ้าและกล่าววาจาแบบทะนงตนและวางมาด และด้วยเหตุนี้เจ้าจะกลายเป็นที่เกลียดชังโดยพระเจ้า
เจ้าจะต้องไม่เผยแพร่พระวจนะทั้งหลายที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าอย่างประมาท มิฉะนั้นผู้อื่นก็จะเยาะเย้ยเจ้า และพวกมารจะทำให้เจ้าดูโง่
เจ้าจะต้องเชื่อฟังพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าแห่งวันนี้ แม้ว่าเจ้าไม่เข้าใจมัน เจ้าก็จะต้องไม่ตัดสินมัน ทั้งหมดที่เจ้าสามารถทำได้คือแสวงหาและสามัคคีธรรม
ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ควรก้าวล่วงสถานะของพระเจ้าที่มีมาแต่เดิม เจ้าไม่สามารถทำสิ่งใดได้มากไปกว่ารับใช้พระเจ้าของวันนี้จากตำแหน่งของมนุษย์ เจ้าไม่สามารถสอนพระเจ้าของวันนี้จากตำแหน่งของมนุษย์ได้—การทำเช่นนั้นคือการหลงผิด
ไม่อาจมีผู้ใดสามารถยืนในที่ของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงเป็นพยานยืนยันให้ ทั้งนี้ เจ้ายืนอยู่ในตำแหน่งของมนุษย์ในคำพูด การกระทำ และความคิดด้านในสุดของเจ้า นี่คือสิ่งที่ต้องถือปฏิบัติตาม นี่คือความรับผิดชอบของมนุษย์ และไม่อาจมีผู้ใดปรับเปลี่ยนได้ ทั้งนี้ การพยายามทำแบบนั้นจะเป็นการล่วงละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหาร ทุกคนควรจะจดจำการนี้ไว้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระบัญญัติแห่งยุคใหม่
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 244
มีหลายสิ่งที่เราหวังให้พวกเจ้าสัมฤทธิ์ กระนั้นก็ไม่ใช่ว่าการกระทำทั้งหมดของพวกเจ้า ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับชีวิตของพวกเจ้า จะสามารถทำให้สิ่งที่เราขอนี้ลุล่วงได้ ดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพูดเข้าประเด็นตามตรงและอธิบายให้พวกเจ้าเข้าใจเจตจำนงของเรา เนื่องจากการหยั่งรู้ของพวกเจ้าอ่อนด้อยและความซึ้งคุณค่าของพวกเจ้าก็อ่อนด้อยเช่นกัน พวกเจ้าจึงแทบจะไม่รู้เท่าทันอุปนิสัยและแก่นแท้ของเราอย่างสิ้นเชิง—และด้วยเหตุนี้เราจึงต้องแจ้งให้พวกเจ้ารู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อย่างเร่งด่วน ไม่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยเข้าใจมากเพียงใด ไม่ว่าเจ้าปรารถนาที่จะเข้าใจประเด็นปัญหาเหล่านี้หรือไม่ก็ตาม เรายังคงต้องอธิบายให้พวกเจ้าฟังอย่างละเอียด ประเด็นปัญหาเหล่านี้ไม่ได้แปลกสำหรับพวกเจ้าโดยสิ้นเชิง กระนั้นพวกเจ้าก็ขาดพร่องความเข้าใจและความคุ้นเคยอย่างมากเกี่ยวกับความหมายของประเด็นปัญหาเหล่านี้ พวกเจ้าหลายคนมีเพียงความเข้าใจอันเลือนรางอยู่บ้างเท่านั้น และเป็นความเข้าใจที่กระท่อนกระแท่นไม่สมบูรณ์ด้วย เพื่อที่จะช่วยให้พวกเจ้าปฏิบัติความจริงได้ดีขึ้น—ปฏิบัติวจนะของเราได้ดีขึ้น—เราคิดว่าเหล่านี้คือประเด็นปัญหาที่พวกเจ้าต้องตระหนักรู้ในเบื้องต้น หาไม่แล้ว ความเชื่อของพวกเจ้าจะยังคงคลุมเครือ พูดอย่างทำอย่าง และเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ทางศาสนา หากเจ้าไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะทำงานที่เจ้าควรทำเพื่อพระองค์ หากเจ้าไม่รู้จักแก่นแท้ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะมีความเคารพและความยำเกรงพระองค์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับจะมีแต่ความฉาบฉวยและบิดพลิ้วไปมาเท่านั้น และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ การหมิ่นประมาทที่ไม่สามารถแก้ไขได้ แม้ว่าการเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสำคัญอย่างแท้จริง และการรู้จักแก่นแท้ของพระเจ้าก็ไม่สามารถมองข้ามไปได้ แต่ไม่เคยมีผู้ใดตรวจตราหรือศึกษาปัญหาเหล่านี้อย่างเจาะลึกและถี่ถ้วน เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าทุกคนไม่สนใจกฤษฎีกาบริหารที่เราบัญญัติขึ้น หากพวกเจ้าไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าก็ย่อมมีแนวโน้มสูงที่จะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์ การล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์ก็เทียบเท่ากับการยั่วยุพระพิโรธของพระเจ้าพระองค์เอง ซึ่งในกรณีนั้นผลลัพธ์สุดท้ายของการกระทำต่างๆ ของเจ้าย่อมจะเป็นการละเมิดกฤษฎีกาบริหาร บัดนี้เจ้าควรตระหนักว่าเมื่อเจ้ารู้จักแก่นแท้ของพระเจ้า เจ้าก็จะสามารถเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ด้วย—และเมื่อเจ้าเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์ เจ้าก็ย่อมจะเข้าใจกฤษฎีกาบริหารแล้วเช่นกัน คงไม่ต้องบอกว่าสิ่งที่อยู่ในกฤษฎีกาบริหารมีมากมายที่เกี่ยวข้องกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า แต่ไม่ใช่ว่าพระอุปนิสัยทั้งปวงของพระองค์แสดงอยู่ในกฤษฎีกาบริหาร ดังนั้นเจ้าจะต้องขยับไปอีกหนึ่งก้าวเพื่อพัฒนาความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสำคัญมาก
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 245
พระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นหัวข้อที่สำหรับทุกคนแล้วดูเหมือนเข้าใจยากมาก และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ไม่ง่ายที่ใครๆ จะยอมรับด้วยเหตุที่พระอุปนิสัยของพระองค์ไม่เหมือนกับบุคลิกภาพของมนุษย์ พระเจ้าทรงมีอารมณ์ชื่นบานยินดี อารมณ์โกรธ เศร้า และสุขของพระองค์เองเช่นกัน แต่อารมณ์เหล่านี้แตกต่างจากอารมณ์ของมนุษย์ พระเจ้าทรงเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและพระองค์ทรงมีสิ่งที่พระองค์ทรงมี ทั้งหมดที่พระองค์ทรงเผยและแสดงออกคือการแสดงให้เห็นแก่นแท้ของพระองค์และพระอัตลักษณ์ของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและสิ่งที่พระองค์ทรงมี รวมทั้งแก่นแท้และพระอัตลักษณ์ของพระองค์ คือสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถแทนที่ได้ พระอุปนิสัยของพระองค์ครอบคลุมถึงความรักที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์ การปลอบประโลมมวลมนุษย์ ความเกลียดชังมวลมนุษย์ และที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ ความเข้าพระทัยในมวลมนุษย์อย่างถี่ถ้วน อย่างไรก็ตาม บุคลิกภาพของมนุษย์นั้นอาจมองโลกในแง่ดี มีชีวิตชีวา หรือปราศจากความรู้สึก พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือพระอุปนิสัยขององค์ปกครองแห่งสรรพสิ่งและสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ขององค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งสร้างทั้งปวง พระอุปนิสัยของพระองค์คือพระเกียรติ ฤทธานุภาพ ความสูงศักดิ์ ความยิ่งใหญ่ และเหนือสิ่งอื่นใด ความยิ่งใหญ่สูงสุด พระอุปนิสัยของพระองค์คือสัญลักษณ์แห่งสิทธิอำนาจ สัญลักษณ์ของทุกสิ่งที่ชอบธรรม สัญลักษณ์ของทุกสิ่งที่งดงามและดีพร้อม ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นสัญลักษณ์ของพระองค์ผู้ซึ่งความมืดและกำลังบังคับใดๆ ของศัตรูไม่สามารถเอาชนะหรือรุกรานได้ ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของพระองค์ผู้ซึ่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไม่สามารถล่วงเกินได้ (และพระองค์จะไม่ทรงทนยอมรับการล่วงเกิน) พระอุปนิสัยของพระองค์คือสัญลักษณ์แห่งฤทธานุภาพสูงสุด ไม่มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดสามารถหรืออาจรบกวนพระราชกิจของพระองค์หรือพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ แต่บุคลิกภาพของมนุษย์เป็นเพียงสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการที่มนุษย์เหนือกว่าสัตว์ร้ายนิดหนึ่งเท่านั้นเอง ในตัวเขาเองและโดยตัวเขาเองนั้น มนุษย์ไม่มีสิทธิอำนาจ ไม่มีอิสรภาพที่จะเป็นตัวของตัวเอง และไม่มีความสามารถที่จะไปพ้นตนเอง แต่ในแก่นแท้ของเขานั้นกลับเป็นผู้หนึ่งที่หมอบอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทุกรูปแบบ ความชื่นบานของพระเจ้าเกิดขึ้นเพราะการดำรงอยู่และการอุบัติแห่งความชอบธรรมและความสว่าง การทำลายล้างความมืดและความชั่ว พระองค์ทรงปีติยินดีเมื่อทรงนำความสว่างและชีวิตที่ดีมาสู่มวลมนุษย์ ความชื่นบานของพระองค์เป็นความชื่นบานอันชอบธรรม เป็นสัญลักษณ์ของการดำรงอยู่ของทุกสิ่งที่เป็นบวก และที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ เป็นสัญลักษณ์ของมงคล ความกริ้วของพระเจ้าเกิดจากอันตรายซึ่งการมีอยู่และการแทรกแซงของความอยุติธรรมนำมาสู่มวลมนุษย์ของพระองค์ จากการมีอยู่ของความชั่วและความมืด การมีอยู่ของสิ่งต่างๆ ที่ผลักไสความจริงออกไป และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเกิดจากการมีอยู่ของสิ่งทั้งหลายที่ต่อต้านสิ่งที่ดีพร้อมและงดงาม ความกริ้วของพระองค์คือสัญลักษณ์ว่าทุกสิ่งที่เป็นลบย่อมไม่มีอยู่อีกต่อไป และที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ เป็นสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ความเศร้าของพระองค์เกิดขึ้นเพราะมวลมนุษย์ซึ่งพระองค์ทรงตั้งความหวังไว้ กลับร่วงหล่นลงสู่ความมืด เพราะพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำกับมนุษย์นั้นไม่เป็นไปตามความคาดหวังของพระองค์ และเพราะมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงรักไม่สามารถใช้ชีวิตในความสว่างได้ทั้งหมด พระองค์ทรงรู้สึกเศร้ากับมวลมนุษย์ที่ไม่ประสา มนุษย์ที่ซื่อสัตย์ แต่ไม่รู้เท่าทัน และมนุษย์ที่ดีงาม แต่ขาดพร่องในทรรศนะของเขาเอง ความเศร้าของพระองค์คือสัญลักษณ์แห่งความดีงามของพระองค์และความกรุณาของพระองค์ สัญลักษณ์แห่งความงดงามและความใจดีมีเมตตา แน่นอนว่าความสุขของพระองค์ย่อมมาจากการทำให้ศัตรูของพระองค์ปราชัยและการได้รับความสุจริตใจจากมนุษย์ ที่มากกว่านี้ก็คือ ความสุขของพระองค์เกิดขึ้นจากการขับไล่และการทำลายล้างกำลังบังคับทั้งหมดของศัตรู และจากการที่มวลมนุษย์ได้รับชีวิตอันดีงามและเปี่ยมสันติสุข ความสุขของพระเจ้าไม่เหมือนกับความชื่นบานของมนุษย์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ความสุขนี้กลับเป็นความรู้สึกของการได้รับดอกผลที่ดี เป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่กว่าความชื่นบานเสียอีก ความสุขของพระองค์คือสัญลักษณ์ของการที่มวลมนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์นับจากเวลานี้ไป และเป็นสัญลักษณ์ของการที่มวลมนุษย์เข้าสู่โลกของความสว่าง ในทางกลับกัน อารมณ์ต่างๆ ของมวลมนุษย์ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของเขาเอง ไม่ใช่เพื่อความชอบธรรม ความสว่าง หรือสิ่งที่งดงาม และยิ่งไม่ใช่เพื่อพระคุณที่สวรรค์ได้ประทานลงมา อารมณ์ทั้งหลายของมวลมนุษย์นั้นเห็นแก่ตัวและเป็นของโลกแห่งความมืด อารมณ์เหล่านั้นไม่ได้มีอยู่เพื่อน้ำพระทัย และยิ่งไม่ใช่เพื่อแผนการของพระเจ้า และดังนั้นจึงไม่มีวันกล่าวถึงมนุษย์และพระเจ้าไปพร้อมกันได้ พระเจ้าทรงสูงสุดตลอดกาลและทรงเกียรติเสมอ ส่วนมนุษย์นั้นต่ำช้าตลอดกาล ไร้ค่าตลอดกาล นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงเสียสละและอุทิศพระองค์เองให้แก่มวลมนุษย์ตลอดกาล อย่างไรก็ตาม มนุษย์กลับรับเอาและเพียรพยายามเพื่อตัวเขาเองเท่านั้นตลอดกาล พระเจ้าทรงพากเพียรตลอดกาลเพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์ กระนั้นมนุษย์กลับไม่เคยทำคุณูปการอันใดเพื่อความสว่างหรือเพื่อความชอบธรรมเลย ต่อให้มนุษย์มานะพยายามอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แต่ความพยายามนั้นก็ไม่สามารถทานทนการโจมตีได้สักครั้งด้วยเหตุที่ความพยายามของมนุษย์เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเขาเองเสมอและไม่ใช่เพื่อผู้อื่น มนุษย์เห็นแก่ตัวเสมอ ในขณะที่พระเจ้าไม่เห็นแก่พระองค์เองตลอดกาล พระเจ้าคือแหล่งกำเนิดของทุกสิ่งที่ยุติธรรม ดีพร้อม และงดงาม ส่วนมนุษย์คือผู้ที่สืบทอดและสำแดงความอัปลักษณ์และความชั่วทุกอย่าง พระเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแก่นแท้แห่งความชอบธรรมและความงามของพระองค์ ทว่ามนุษย์กลับสามารถอย่างสมบูรณ์แบบที่จะทรยศความชอบธรรมและไถลห่างจากพระเจ้าได้ทุกเวลาและในทุกสถานการณ์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสำคัญมาก
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 246
ทุกประโยคที่เราพูดไปมีพระอุปนิสัยของพระเจ้าอยู่ในนั้น พวกเจ้าควรใคร่ครวญวจนะของเราอย่างละเอียดรอบคอบ และพวกเจ้าจะได้ประโยชน์อย่างมากจากวจนะของเราอย่างแน่นอน แก่นแท้ของพระเจ้านั้นยากที่จะจับความเข้าใจ แต่เราไว้วางใจว่าพวกเจ้าทุกคนอย่างน้อยที่สุดก็มีแนวคิดเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าอยู่บ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็หวังว่าพวกเจ้าจะมีสิ่งที่พวกเจ้าลงมือทำและไม่ได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้ามาแสดงให้เราดูมากขึ้น เมื่อนั้นเราจึงจะมั่นใจ ตัวอย่างเช่น จงรักษาพระเจ้าไว้ในหัวใจของเจ้าตลอดเวลา เมื่อเจ้ากระทำการใด จงทำเช่นนั้นตามพระวจนะของพระองค์ จงแสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์ในทุกสิ่ง และจงละเว้นการทำสิ่งที่ไม่เคารพและลบหลู่พระเจ้า และเจ้ายิ่งไม่ควรเอาพระเจ้าไปเก็บไว้เบื้องลึกในจิตใจของเจ้าเพื่อใช้เติมเต็มช่องว่างในหัวใจของเจ้าในอนาคต หากเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าก็จะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเช่นกัน สมมุติว่าตลอดชีวิตของเจ้า เจ้าไม่เคยตั้งข้อสังเกตที่หมิ่นประมาทหรือพร่ำบ่นพระเจ้า และอีกเช่นกัน สมมุติว่าเจ้าสามารถลุล่วงทุกอย่างที่พระองค์ไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และยังสามารถนบนอบพระวจนะทั้งปวงของพระองค์ตลอดชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะหลีกเลี่ยงการฝ่าฝืนกฤษฎีกาบริหารแล้ว ตัวอย่างเช่น หากเจ้าเคยพูดว่า “ทำไมฉันจึงไม่คิดว่าพระองค์คือพระเจ้า?” “ฉันคิดว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นเพียงความรู้แจ้งบางอย่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์” “ในความเห็นของฉัน ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นจำเป็นต้องถูกต้อง” “สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระเจ้าไม่ได้เหนือกว่าของฉัน” “พระวจนะของพระเจ้าเชื่อไม่ได้จริงๆ” หรือความคิดเห็นอื่นๆ ที่ชอบตัดสินเช่นนี้ เช่นนั้นแล้ว เราจะเตือนสติให้เจ้าสารภาพและสำนึกบาปของเจ้าให้บ่อยขึ้น มิฉะนั้นแล้ว เจ้าจะไม่มีวันมีโอกาสได้รับการยกโทษ ด้วยเหตุที่เจ้าไม่ได้ล่วงเกินมนุษย์ แต่ล่วงเกินพระเจ้าพระองค์เอง เจ้าอาจเชื่อว่าเจ้ากำลังตัดสินมนุษย์คนหนึ่ง แต่พระวิญญาณของพระเจ้าไม่ได้ทรงพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นดังนั้น การที่เจ้าไม่เคารพเนื้อหนังของพระองค์ย่อมเทียบเท่ากับการไม่เคารพพระองค์ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เจ้าไม่ได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรอกหรือ? เจ้าต้องจำไว้ว่าทุกสิ่งที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงทำล้วนทำไปเพื่อที่จะปกปักรักษาพระราชกิจในเนื้อหนังของพระองค์และเพื่อทรงพระราชกิจนี้ให้ดี หากเจ้าละเลยเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้ว เราย่อมกล่าวว่าเจ้าคือใครบางคนที่จะไม่มีวันสามารถประสบความสำเร็จในการเชื่อในพระเจ้า ด้วยเหตุที่เจ้าได้ยั่วยุพระพิโรธของพระเจ้า และดังนั้นพระองค์จะทรงใช้การลงโทษอันเหมาะสมเพื่อสอนบทเรียนแก่เจ้า
การมารู้จักแก่นแท้ของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องไม่สำคัญ เจ้าต้องเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์ ในหนทางนี้ เจ้าจะรู้จักแก่นแท้ของพระเจ้าทีละน้อยและโดยไม่รู้ตัว เมื่อเจ้าเข้าสู่ความรู้นี้แล้ว เจ้าจะพบว่าตัวเจ้ากำลังก้าวเข้าสู่สภาวะที่สูงขึ้นและสวยงามขึ้น ในท้ายที่สุด เจ้าจะรู้สึกละอายใจในดวงจิตอันน่าขยะแขยงของเจ้า และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เจ้าจะรู้สึกว่าไม่มีที่ให้ซ่อนเร้นจากความละอายใจของเจ้า ในเวลานั้นเจ้าจะมีการประพฤติปฏิบัติที่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าน้อยลงทุกที หัวใจของเจ้าจะเข้าใกล้พระหทัยของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และความรักที่มีให้กับพระองค์ก็จะค่อยๆ เติบโตขึ้นในหัวใจของเจ้า นี่คือสัญญาณว่ามวลมนุษย์กำลังเข้าสู่สภาวะอันสวยงาม แต่จนถึงบัดนี้พวกเจ้าก็ยังไม่บรรลุสภาวะนี้ ในขณะที่พวกเจ้าทุกคนสาละวนเร่งรีบเพื่อโชคชะตาของพวกเจ้าเอง มีผู้ใดสนใจพยายามที่จะรู้จักแก่นแท้ของพระเจ้าบ้าง? หากการนี้ดำเนินต่อไป พวกเจ้าย่อมจะฝ่าฝืนกฤษฎีกาบริหารโดยไม่รู้ตัว ด้วยเหตุที่พวกเจ้าเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าน้อยเกินไป ดังนั้นสิ่งที่พวกเจ้าทำในตอนนี้มิเป็นการวางรากฐานให้กับการที่พวกเจ้าจะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรอกหรือ? การที่เราขอให้พวกเจ้าเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นหาได้แยกจากงานของเราไม่ ด้วยเหตุที่หากพวกเจ้าฝ่าฝืนกฤษฎีกาบริหารบ่อยครั้ง จะมีพวกเจ้าคนใดหลีกหนีการลงโทษไปได้ละหรือ? เมื่อนั้นงานของเราจะไม่สูญเปล่าไปหมดหรอกหรือ? ดังนั้น นอกเหนือจากการพินิจพิเคราะห์การประพฤติปฏิบัติของพวกเจ้าเองแล้ว เรายังคงขอให้พวกเจ้าระมัดระวังก้าวย่างที่พวกเจ้าเดิน นี่คือข้อเรียกร้องที่สูงขึ้นที่เรามีต่อพวกเจ้า และเราหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะพิจารณาข้อเรียกร้องนี้อย่างละเอียดรอบคอบและให้ความใส่ใจอย่างจริงจังตั้งใจ หากมีวันหนึ่งที่การกระทำต่างๆ ของพวกเจ้ายั่วยุเราให้เดือดดาลอย่างรุนแรง เมื่อนั้นย่อมจะมีแต่พวกเจ้าเท่านั้นที่จะต้องคำนึงถึงผลที่ตามมา และจะไม่มีใครอื่นที่จะแบกรับการลงโทษแทนพวกเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสำคัญมาก
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 247
ผู้คนพากันพูดว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ชอบธรรม และพูดว่าตราบเท่าที่มนุษย์ติดตามพระองค์ไปจนสุดปลายทาง แน่นอนว่าพระองค์จะไม่ทรงเข้าข้างมนุษย์ เพราะพระองค์ทรงชอบธรรมที่สุด หากมนุษย์ติดตามพระองค์ไปจนสุดทาง พระองค์จะสามารถทอดทิ้งมนุษย์ได้อย่างไรเล่า? เราเป็นธรรมต่อมนุษย์ทุกคน และพิพากษามนุษย์ทุกคนด้วยอุปนิสัยอันชอบธรรมของเรา ทว่ามีสภาพเงื่อนไขที่เหมาะสมต่อข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อมนุษย์ และสิ่งที่เราพึงประสงค์จะต้องถูกทำให้สำเร็จลุล่วงโดยมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าพวกเขาเป็นใคร เราไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะมีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างไร หรือเจ้ามีคุณสมบัติเช่นนั้นมานานเท่าใดแล้ว เราใส่ใจเพียงว่าเจ้าเดินไปในหนทางของเรา และไม่ว่าเจ้ารักและกระหายความจริงหรือไม่ หากเจ้าขาดความจริง แต่กลับนำความอับอายมาสู่นามของเรา และไม่ปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับหนทางของเรา แค่ทำตามโดยปราศจากความใส่ใจหรือความห่วงใย เช่นนั้นแล้ว ณ เวลานั้น เราจะบดขยี้เจ้าและลงโทษเจ้าสำหรับความชั่วของเจ้า และเจ้าจะต้องพูดอะไรอีกเล่าเมื่อถึงตอนนั้น? เจ้าจะสามารถพูดว่า พระเจ้าไม่ทรงชอบธรรมอย่างนั้นหรือ? ในวันนี้หากเจ้าปฏิบัติตามวจนะที่เราได้พูดไป เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็คือบุคคลประเภทที่เราเห็นชอบ เจ้าพูดว่า เจ้าเป็นทุกข์เสมอขณะกำลังติดตามพระเจ้า พูดว่าเจ้าได้ติดตามพระองค์ผ่านร้อนผ่านหนาว และได้ใช้เวลาที่ดีและที่เลวร้ายร่วมกับพระองค์ แต่เจ้าไม่ได้ดำเนินชีวิตตามพระวจนะที่พระเจ้าตรัสไว้ เจ้าปรารถนาเพียงสาละวนวุ่นวายเพื่อพระเจ้าและสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าในแต่ละวัน และไม่เคยคิดที่จะดำเนินชีวิตที่มีความหมาย เจ้ายังพูดด้วยว่า “ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ข้าพระองค์เชื่อว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม ข้าพระองค์ได้ทนทุกข์เพื่อพระองค์ สาละวนวุ่นวายเพื่อพระองค์ และอุทิศตัวข้าพระองค์เพื่อพระองค์ และข้าพระองค์ได้ทำงานหนักทั้งที่ไม่ได้รับการให้ความสำคัญอันใด พระองค์จะทรงจดจำข้าพระองค์ได้อย่างแน่นอน” เป็นความจริงที่พระเจ้านั้นทรงชอบธรรม ทว่าความชอบธรรมนี้ไม่ได้ด่างพร้อยด้วยราคีอันใด กล่าวคือ มันไม่มีเจตจำนงของมนุษย์อยู่ในนั้นเลย และมันไม่ได้ถูกทำให้ด่างพร้อยโดยเนื้อหนัง หรือโดยการแลกเปลี่ยนของมนุษย์ พวกที่เป็นกบฏและต่อต้านทั้งหมด พวกที่ไม่ปฏิบัติตามหนทางของพระองค์จะถูกลงโทษ ไม่มีใครเลยที่ได้รับการอภัย และไม่มีใครเลยที่ได้รับการยกเว้น! ผู้คนบางคนพูดว่า “ในวันนี้ ข้าพระองค์สาละวนวุ่นวายเพื่อพระองค์ เมื่อบทอวสานมาถึง พระองค์จะสามารถมอบพระพรให้ข้าพระองค์สักเล็กน้อยได้หรือไม่?” ดังนั้นเราจึงถามเจ้าว่า “เจ้าได้ปฏิบัติตามวจนะของเราแล้วหรือยัง?” ความชอบธรรมที่เจ้าพูดถึงนั้นมีพื้นฐานอยู่บนการทำการแลกเปลี่ยน เจ้าเพียงแต่คิดว่าเราชอบธรรมและเป็นธรรมกับมนุษย์ทุกคน และคิดว่าบรรดาผู้ซึ่งติดตามเราทั้งหมดไปจนสุดทางนั้นจะต้องได้รับการช่วยให้รอดและได้รับพรของเราอย่างแน่นอน วจนะของเราที่ว่า “บรรดาผู้ซึ่งติดตามเราทั้งหมดไปจนสุดทางนั้นจะต้องได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน” มีความหมายแฝงเร้นอยู่ กล่าวคือ บรรดาผู้คนที่ติดตามเราไปจนสุดทางนั้นคือผู้ที่จะได้รับการรับไว้โดยเราอย่างครบถ้วน พวกเขาคือบรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม หลังจากที่ถูกเราพิชิตแล้ว สภาพเงื่อนไขใดหรือที่เจ้าได้สัมฤทธิ์? เจ้าเพียงสัมฤทธิ์การติดตามเราไปจนสุดทาง ว่าแต่อย่างอื่นเล่า? เจ้าได้ปฏิบัติตามวจนะของเราหรือไม่? เจ้าได้สำเร็จลุล่วงหนึ่งในข้อพึงประสงค์ทั้งห้าของเรา กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้อีกสี่ข้อที่เหลือนั้นสำเร็จลุล่วง เจ้าก็แค่ได้พบเส้นทางซึ่งธรรมดาที่สุด ง่ายดายที่สุด และได้ไล่ตามเสาะหามันไปด้วยท่าทีของการที่แค่หวังว่าจะโชคดี กับบุคคลเช่นเจ้า อุปนิสัยอันชอบธรรมของเราย่อมเป็นอุปนิสัยแห่งการตีสอนและการพิพากษา เป็นอุปนิสัยแห่งการลงทัณฑ์อันสาสมและชอบธรรม และเป็นการลงโทษอันชอบธรรมสำหรับพวกคนทำชั่วทุกคน นั่นก็คือ พวกที่ไม่เดินในหนทางของเราทั้งหมดจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน ต่อให้พวกเขาติดตามมาจนสุดทางก็ตาม นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า เมื่ออุปนิสัยอันชอบธรรมนี้ถูกแสดงออกมาในการลงโทษมนุษย์ มนุษย์จะตะลึงงันและรู้สึกเสียใจว่า ในขณะที่กำลังติดตามพระเจ้า เขาไม่ได้เดินในหนทางของพระองค์ “ณ เวลานั้น ข้าพระองค์เพียงทนทุกข์เล็กน้อยในขณะที่กำลังติดตามพระเจ้า แต่ก็ไม่ได้เดินในหนทางแห่งพระเจ้า ยังจะมีข้อแก้ตัวอะไรหรือ? ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากการถูกตีสอนเท่านั้น!” กระนั้นในจิตใจเขากำลังคิดว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้าพระองค์ก็ได้ติดตามพระองค์มาจนสุดทาง ดังนั้นต่อให้พระองค์ทรงตีสอนข้าพระองค์ การตีสอนก็ไม่น่าจะรุนแรงจนเกินไป และหลังจากการบีบบังคับให้รับการตีสอนนี้แล้ว พระองค์ก็จะยังคงต้องประสงค์ในตัวข้าพระองค์ ข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์ทรงชอบธรรม และจะไม่ปฏิบัติต่อข้าพระองค์ในหนทางนั้นตลอดกาล จะว่าไปแล้ว ข้าพระองค์ก็ไม่เหมือนกับพวกที่จะถูกลบทิ้ง กล่าวคือ พวกที่จะถูกลบทิ้งจะได้รับการตีสอนอย่างหนัก ในขณะที่การตีสอนของข้าพระองค์จะเบากว่า” พระอุปนิสัยอันชอบธรรมไม่ได้เป็นเหมือนที่เจ้ากล่าว มันไม่ใช่กรณีที่ว่าพวกที่เก่งในการสารภาพบาปของพวกเขาจะถูกจัดการอย่างกรุณา ความชอบธรรมนั้นบริสุทธิ์ และเป็นพระอุปนิสัยที่ไม่ยอมผ่อนปรนให้กับการทำให้ขุ่นเคืองโดยมนุษย์ และทุกสิ่งที่โสมมและไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงนั้นล้วนเป็นเป้าแห่งความขยะแขยงของพระเจ้า พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้านั้นไม่ใช่ธรรมบัญญัติ แต่เป็นประกาศกฤษฎีกาบริหาร มันคือประกาศกฤษฎีกาบริหารภายในราชอาณาจักร และประกาศกฤษฎีกาบริหารนี้คือการลงโทษอันชอบธรรมสำหรับผู้ใดก็ตามที่ไม่ครองความจริงและไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง และไม่มีช่องว่างสำหรับความรอดเลย เนื่องจากเมื่อมนุษย์แต่ละคนได้ถูกจำแนกชั้นไปตามประเภท มนุษย์ที่ดีจะได้รับบำเหน็จและมนุษย์ที่ชั่วจะถูกลงโทษ มันคือตอนที่บั้นปลายของมนุษย์จะถูกระบุชัดออกมา เป็นเวลาที่พระราชกิจแห่งความรอดจะมาถึงบทอวสาน หลังจากนั้น พระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดจะไม่ถูกกระทำอีกต่อไป และการลงทัณฑ์อันสาสมจะมาถึงทุกคนที่ทำชั่ว
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 248
เราคือไฟที่เผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างและเราไม่ทนยอมรับการล่วงเกิน เนื่องจากมนุษย์ทั้งปวงล้วนถูกเราสร้างขึ้น ไม่ว่าเราจะพูดและทำสิ่งใด พวกเขาจึงต้องเชื่อฟัง และพวกเขาไม่อาจก่อกบฏ ผู้คนไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายงานของเรา และพวกเขายิ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะวิเคราะห์ว่าสิ่งใดถูกต้องหรือผิดในงานของเราและในวจนะของเรา เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าของสิ่งสร้าง และสิ่งสร้างที่มีชีวิตทั้งหลายควรสัมฤทธิ์ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพึงประสงค์ด้วยหัวใจที่เคารพเรา พวกเขาไม่ควรพยายามที่จะใช้เหตุผลกับเรา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาไม่ควรต้านทาน เราปกครองประชากรของเราด้วยสิทธิอำนาจของเรา และทั้งหมดที่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งสร้างของเราควรนบนอบต่อสิทธิอำนาจของเรา แม้ว่าวันนี้พวกเจ้าจะใจกล้าและอวดดีต่อหน้าเรา แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่เชื่อฟังวจนะซึ่งเราใช้สอนพวกเจ้าและไม่รู้จักยำเกรง แต่เราก็เพียงเผชิญความเป็นกบฏของพวกเจ้าด้วยความยอมผ่อนปรนเท่านั้น เราจะไม่เสียอารมณ์ของเราและทำให้งานของเราได้รับผลกระทบเพราะหนอนแมลงตัวเล็กๆ ที่ไร้ความสำคัญพากันกวนฝุ่นผงในกองมูลสัตว์ขึ้นมา เราทนยอมรับการดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องของทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเกลียดและสิ่งทั้งหมดที่เราชิงชังเพื่อน้ำพระทัยแห่งพระบิดาของเรา และเราจะทำเช่นนี้ไปจนกว่าถ้อยคำของเราจะบริบูรณ์ จนกว่าจะถึงชั่วขณะสุดท้ายจริงๆ ของเรา จงอย่ากังวล! เราย่อมจมสู่ระดับเดียวกับหนอนแมลงไร้ชื่อไม่ได้ และเราจะไม่เปรียบเทียบระดับทักษะของเรากับเจ้า เราเกลียดเจ้า แต่เราสามารถสู้ทนได้ เจ้าไม่เชื่อฟังเรา แต่เจ้าก็ไม่สามารถหนีพ้นวันที่เราจะตีสอนเจ้า ซึ่งพระบิดาของเราได้ทรงสัญญากับเราไว้ หนอนแมลงที่ถูกสร้างขึ้นจะสามารถเทียบเทียมองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งสร้างได้หรือ? ในฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ที่ร่วงหล่นย่อมกลับคืนสู่รากของพวกมัน เจ้าก็จะกลับคืนสู่บ้านของ “บิดา” ของเจ้า และเราจะกลับคืนไปอยู่เคียงข้างพระบิดาของเรา เราจะถึงพร้อมด้วยความรักอันอ่อนโยนของพระองค์ ส่วนเจ้าก็จะมีการเหยียบย่ำของบิดาของเจ้าตามติด เราจะมีพระสิริแห่งพระบิดาของเรา และเจ้าจะมีความน่าละอายแห่งบิดาของเจ้า เราจะให้การตีสอนที่เราสะกดกลั้นไว้นานแล้วร่วมทางไปกับเจ้า และเจ้าจะเผชิญการตีสอนของเราด้วยเนื้อหนังอันเน่าเหม็นที่ถูกทำให้เสื่อมทรามมานานหลายหมื่นปีของเจ้า เราย่อมจะสรุปปิดตัวงานวจนะที่ถึงพร้อมด้วยความยอมผ่อนปรนของเราในตัวเจ้าแล้ว และเจ้าจะเริ่มบททนทุกข์กับความวิบัติจากวจนะของเราจนลุล่วง เราจะชื่นบานเป็นอย่างยิ่งและทำงานในอิสราเอล เจ้าจะร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของเจ้า ดำรงอยู่และตายลงในโคลน เราจะได้รับรูปสัณฐานดั้งเดิมของเรากลับคืนมาและจะไม่อยู่ในความโสมมกับเจ้าอีกต่อไป ในขณะที่เจ้าจะได้รับความอัปลักษณ์ดั้งเดิมของเจ้ากลับคืนมาและจะยังคงมุดอยู่ในกองมูลสัตว์ต่อไป เมื่องานและวจนะของเราเสร็จสิ้นแล้ว นั่นจะเป็นวันแห่งความชื่นบานยินดีสำหรับเรา เมื่อการต้านทานและความเป็นกบฏของเจ้าจบสิ้น นั่นจะเป็นวันแห่งการร่ำไห้สำหรับเจ้า เราจะไม่เห็นอกเห็นใจเจ้า และเจ้าจะไม่มีวันได้เห็นเราอีก เราจะไม่ร่วมสนทนากับเจ้าอีกต่อไป และเจ้าจะไม่มีวันเผชิญหน้าเราอีก เราจะเกลียดชังความเป็นกบฏของเจ้า และเจ้าจะคิดถึงความน่ารักน่าชื่นชมของเรา เราจะตีเจ้า และเจ้าจะคะนึงหาเรา เราจะไปจากเจ้าอย่างเปรมปรีดิ์ และเจ้าจะตระหนักรู้ถึงหนี้ที่เจ้าติดค้างเรา เราจะไม่มีวันพบเห็นเจ้าอีก แต่เจ้ากลับหวังที่จะได้พบเราอยู่ตลอดเวลา เราจะเกลียดชังเจ้าเพราะเจ้าต้านทานเราในปัจจุบัน และเจ้าจะคิดถึงเราเพราะเราตีสอนเจ้าในปัจจุบัน เราจะไม่เต็มใจที่จะดำเนินชีวิตเคียงข้างเจ้า แต่เจ้าจะโหยหาชีวิตเช่นนี้อย่างขมขื่นและร่ำไห้ไปชั่วกัลปาวสาน เพราะเจ้าจะเสียใจกับทั้งหมดที่เจ้าได้ทำกับเรา เจ้าจะสำนึกผิดในความเป็นกบฏและการต้านทานของเจ้า เจ้าจะถึงกับนอนคว่ำหน้ากับพื้นด้วยความเสียใจ และทรุดตัวลงต่อหน้าเราและสาบานว่าจะไม่มีวันไม่เชื่อฟังเราอีก อย่างไรก็ตาม ในหัวใจของเจ้า เจ้าจะรักเราเท่านั้น กระนั้นเจ้าก็จะไม่มีวันสามารถได้ยินเสียงของเรา เราจะทำให้เจ้าละอายใจในตัวเจ้าเอง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เมื่อใบไม้ที่ร่วงหล่นกลับคืนสู่รากของพวกมัน เจ้าจะเสียใจกับความชั่วทั้งหมดที่เจ้าทำลงไป
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 249
ความปรานีของเรานั้นแสดงออกต่อบรรดาผู้ที่รักเราและปฏิเสธตัวพวกเขาเอง ในขณะเดียวกัน การลงโทษที่ได้ไปเยือนคนเลว ก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงอุปนิสัยที่ชอบธรรมของเราอย่างชัดเจน และยิ่งไปกว่านั้นคือ พิสูจน์คำพยานแห่งความโกรธเคืองของเรา เมื่อความวิบัติมาเยือน ทุกคนที่ต่อต้านเราจะวิปโยคร่ำไห้ในขณะที่พวกเขาตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของการกันดารอาหารและภัยพิบัติ บรรดาผู้ที่ได้กระทำความเลวในทุกลักษณะ เว้นแต่ผู้ที่ได้ติดตามเรามาเป็นเวลาหลายปี จะไม่มีทางหลบพ้นการชำระชดใช้ให้กับบาปของตน พวกเขาอีกเช่นกัน ที่จะดิ่งพรวดลงสู่ความวิบัติ ในแบบที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นกันในตลอดระยะเวลาหลายล้านปี และพวกเขาจะดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะแห่งความอกสั่นขวัญผวาและหวาดกลัวตลอดเวลา และบรรดาผู้ติดตามของเราทั้งหลายที่ได้แสดงความจงรักภักดีต่อเราจะชื่นบานและปรบมือให้กับอิทธิฤทธิ์ของเรา พวกเขาจะผ่านประสบการณ์กับความพอใจอันเกินพรรณนา และดำรงชีวิตท่ามกลางความชื่นบานยินดีอย่างที่เราไม่เคยมอบให้มวลมนุษย์ เพราะเราถนอมความล้ำค่าของความประพฤติที่ดีงามของมนุษย์และชิงชังความประพฤติชั่วของพวกเขา ตั้งแต่เมื่อเราเริ่มต้นนำทางมวลมนุษย์ เรามุ่งหวังอย่างใจจดใจจ่อมาตลอดว่าจะได้รับผู้คนสักกลุ่มที่มีจิตใจเดียวกับเรา ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้ที่ไม่ได้มีจิตใจเดียวกับเรานั้น เราก็ไม่เคยลืม เราเกลียดพวกเขาในหัวใจของเราเสมอ รอคอยโอกาสที่จะนำพาการลงทัณฑ์อันสาสมมาสู่พวกเขา อันเป็นสิ่งซึ่งเราจะเพลิดเพลินที่ได้เห็น บัดนี้วันของเราได้มาถึงแล้วในที่สุด และเราไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไปแล้ว!
งานขั้นสุดท้ายของเราไม่ใช่แค่เพื่อลงโทษมนุษย์เท่านั้น แต่เพื่อการจัดการเตรียมบั้นปลายของมนุษย์อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นไปเพื่อที่ผู้คนทั้งหมดอาจรับรู้กิจการและการกระทำของเรา เราต้องการให้แต่ละบุคคลได้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำมานั้นถูกต้อง และได้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำมานั้นเป็นการแสดงออกของอุปนิสัยของเรา ที่ให้กำเนิดมวลมนุษย์นั้นไม่ใช่การกระทำของมนุษย์ นับประสาอะไรที่จะเป็นการกระทำของธรรมชาติ แต่เป็นเรา ผู้บำรุงเลี้ยงทุกสิ่งมีชีวิตซึ่งอยู่ในการสร้าง หากปราศจากการดำรงอยู่ของเรา มวลมนุษย์ย่อมมีแต่จะพินาศและทุกข์ทนจากการหวดเฆี่ยนแห่งหายนะเท่านั้น ไม่มีมนุษย์คนใดจะได้เห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อันสวยงาม หรือโลกอันเขียวขจีอีกเลย มวลมนุษย์จะเผชิญเพียงค่ำคืนอันเยือกเย็นและหุบเขาแห่งเงามรณะซึ่งไร้ปรานี เราคือความรอดเดียวเท่านั้นของมวลมนุษย์ เราคือความหวังเดียวเท่านั้นของมวลมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้นคือ เราก็คือพระองค์ผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งแห่งการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ทั้งปวง หากไม่มีเรา—มวลมนุษย์จะหยุดนิ่งลงในทันที หากไม่มีเรา—มวลมนุษย์จะทุกข์ทนกับมหันตภัยและถูกบรรดาผีสางทุกลักษณะเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า กระนั้นก็ยังไม่มีใครใส่ใจเรา เราได้ทำงานที่ไม่มีใครอื่นทำได้ และหวังเพียงแค่ว่ามนุษย์จะสามารถตอบแทนเราด้วยความประพฤติที่ดีงามบ้าง แม้จะมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถตอบแทนเราได้ เราก็จะยังคงยุติการเดินทางไกลของเราในโลกมนุษย์ลง และเริ่มต้นขั้นตอนถัดไปของงานของเราที่กำลังคลี่คลายออกมา เนื่องจากการเร่งรุดไปมาของเราทั้งหมดท่ามกลางมนุษย์ในช่วงหลายปีมานี้ให้ดอกผลดี และเราก็ยินดีมาก สิ่งที่เราสนใจไม่ใช่จำนวนผู้คน แต่เป็นความประพฤติที่ดีงามของพวกเขาเสียมากกว่า ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม เราหวังว่าพวกเจ้าจะตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของตัวเจ้าเอง เมื่อนั้นเราจึงจะพึงพอใจ มิฉะนั้นแล้ว ไม่มีใครเลยในบรรดาพวกเจ้าที่จะสามารถหนีรอดจากความวิบัติที่จะตกมาถึงเจ้าได้ ความวิบัตินั้นมีจุดกำเนิดอยู่ที่เราและแน่นอนว่าถูกจัดวางเรียบเรียงโดยเรา หากพวกเจ้าไม่สามารถปรากฏว่าดีงามได้ในสายตาของเรา เช่นนั้นพวกเจ้าก็จะไม่อาจหนีรอดจากความทุกข์ของความวิบัติไปได้ ในท่ามกลางความทุกข์ลำบากความประพฤติและการกระทำโดยเจตนาทั้งหลายของพวกเจ้าไม่ได้ถูกพิจารณาว่าสมควรไปเสียทั้งหมด เนื่องจากความเชื่อและความรักของพวกเจ้านั้นกลวงเป็นโพรง และเจ้าเพียงแค่แสดงให้เห็นว่า ตัวตนของพวกเจ้าขลาดหรือไม่ก็ทรหดเท่านั้นเอง ในเรื่องนี้ เราจะพิพากษาสิ่งที่ดีและสิ่งที่แย่เท่านั้น ความกังวลสนใจของเรายังคงเป็นเรื่องของหนทางที่พวกเจ้าแต่ละคนปฏิบัติและแสดงตัวตนของเจ้าออกมา อันเป็นพื้นฐานที่เราจะใช้กำหนดพิจารณาบทอวสานของพวกเจ้า อย่างไรก็ตาม เราจำต้องพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจนว่า กับบรรดาผู้ที่ไม่ได้แสดงให้เราเห็นความจงรักภักดีแม้แต่น้อยในระหว่างช่วงเวลาของความทุกข์ลำบาก เราจะไม่ปรานีอีกต่อไป เพราะความปรานีของเราขยายเวลามาเพียงถึงตอนนี้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่มีความชอบให้กับใครก็ตามที่ครั้งหนึ่งเคยทรยศเรา นับประสาอะไรที่เราจะชอบเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดาผู้ที่ขายผลประโยชน์ของผองเพื่อนของตน นี่คืออุปนิสัยของเรา ไม่ว่าบุคคลคนนั้นอาจเป็นใครก็ตาม เราจำต้องบอกเรื่องนี้กับพวกเจ้าว่า ใครก็ตามที่ทำให้เราเสียใจจะไม่ได้รับความเมตตาผ่อนผันจากเราเป็นครั้งที่สอง และใครก็ตามที่สัตย์ซื่อต่อเราตลอดมาจะยังคงอยู่ในหัวใจของเราตลอดกาล
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 250
เมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นของโลก และพระองค์ไม่ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อชื่นชมโลก สถานที่ที่การทรงพระราชกิจจะเผยพระอุปนิสัยของพระองค์และมีความหมายมากที่สุดคือสถานที่ที่พระองค์ประสูติ ไม่ว่าแผ่นดินนั้นจะบริสุทธิ์หรือสกปรกโสมม และไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงพระราชกิจที่ใดก็ตาม แต่พระองค์ก็ทรงบริสุทธิ์ พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างในโลก แม้ว่าทั้งหมดนั้นได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้วก็ตาม กระนั้น ทุกสรรพสิ่งยังคงเป็นของพระองค์ สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์เสด็จมาแผ่นดินที่สกปรกโสมมและทรงพระราชกิจที่นั่นเพื่อเผยความบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์ทรงทำสิ่งนี้เพื่อประโยชน์ของพระราชกิจของพระองค์ ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงสู้ทนการเหยียดหยามที่ยิ่งใหญ่เพื่อทรงพระราชกิจดังกล่าวเพื่อที่จะช่วยผู้คนแห่งแผ่นดินที่สกปรกโสมมนี้ให้รอด การนี้ได้กระทำไปเพื่อเป็นพยาน เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ทั้งหมด สิ่งที่พระราชกิจดังกล่าวแสดงให้ผู้คนเห็นคือความชอบธรรมของพระเจ้า และสามารถแสดงถึงมไหศวรรย์ของพระเจ้าได้ดีขึ้น ความยิ่งใหญ่และความซื่อตรงของพระองค์ได้รับการสำแดงในความรอดของกลุ่มคนต่ำต้อยที่ผู้อื่นดูถูก การเกิดในแผ่นดินที่สกปรกโสมมไม่ได้พิสูจน์แต่อย่างใดเลยว่าพระองค์ทรงต่ำต้อย นั่นเพียงทำให้สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งหมดสามารถมองเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์และความรักที่แท้จริงที่พระองค์ทรงมีให้กับมวลมนุษย์เท่านั้น ยิ่งพระองค์ทรงทำเช่นนั้นมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งเผยความรักที่บริสุทธิ์ของพระองค์ ความรักที่ไร้จุดบกพร่องที่พระองค์ทรงมีให้กับมนุษย์ออกมามากยิ่งขึ้นเท่านั้น พระเจ้าทรงบริสุทธิ์และชอบธรรม ถึงแม้ว่าพระองค์ประสูติในแผ่นดินที่สกปรกโสมม และถึงแม้ว่าพระองค์ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับบรรดาผู้คนที่เต็มไปด้วยความสกปรกโสมมเช่นเดียวกับพระเยซูที่ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับคนบาปในยุคพระคุณ แต่ทุกๆ เศษเสี้ยวของพระราชกิจของพระองค์ไม่ได้ดำเนินการเพื่อประโยชน์ของการมีชีวิตรอดของมวลมนุษย์ทั้งหมดหรอกหรือ? ทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อให้มวลมนุษย์สามารถได้รับความรอดที่ยิ่งใหญ่หรอกหรือ? สองพันปีก่อน พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับคนบาปเป็นเวลาหลายปี นั่นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการไถ่ วันนี้ พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับกลุ่มคนที่สกปรกโสมมและต่ำต้อย นี่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของความรอด พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของพวกมนุษย์อย่างพวกเจ้าหรอกหรือ? หากไม่ใช่เพื่อการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดแล้ว เหตุใดพระองค์จึงได้ดำรงพระชนม์ชีพและทนทุกข์กับคนบาปเป็นเวลาหลายปีหลังจากที่ประสูติในรางหญ้าเล่า? และหากไม่ใช่เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดแล้ว เหตุใดพระองค์จึงเสด็จกลับมาหามนุษย์เป็นครั้งที่สอง ประสูติในแผ่นดินนี้ที่เหล่าปีศาจรวมตัวกัน และดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับผู้คนเหล่านี้ที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้ง? พระเจ้ามิได้ทรงสัตย์ซื่อหรอกหรือ? ส่วนใดในพระราชกิจของพระองค์ที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อมวลมนุษย์? ส่วนใดไม่ได้เป็นไปเพื่อลิขิตชีวิตของพวกเจ้า? พระเจ้าทรงบริสุทธิ์—สิ่งนี้มิอาจเปลี่ยนแปลงได้! พระองค์ไม่ทรงเปรอะเปื้อนไปด้วยความสกปรกโสมม แม้ว่าพระองค์ได้เสด็จมายังแผ่นดินที่สกปรกโสมมก็ตาม ทั้งหมดนี้สามารถมีความหมายได้เพียงอย่างเดียวว่าความรักที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์นั้นไม่เห็นแก่พระองค์เองอย่างที่สุด และความทุกข์และการดูหมิ่นเหยียดหยามที่พระองค์ทรงสู้ทนช่างยิ่งใหญ่อย่างที่สุด! พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าการดูหมิ่นเหยียดหยามที่พระองค์ทรงทนทุกข์เพื่อพวกเจ้าทั้งหมดและเพื่อลิขิตชีวิตของพวกเจ้านั้นใหญ่หลวงเพียงใด? แทนที่จะช่วยผู้คนที่ยิ่งใหญ่หรือบุตรของครอบครัวที่ร่ำรวยและมีอำนาจให้รอด พระองค์ตั้งพระทัยที่จะช่วยพวกที่ต่ำต้อยและโดนดูถูกแทน ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ของพระองค์หรือ? ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความชอบธรรมของพระองค์หรือ? เพื่อประโยชน์ของการมีชีวิตรอดของมวลมนุษย์ทั้งหมดแล้วนั้น พระองค์ทรงยินดีที่จะประสูติในแผ่นดินที่สกปรกโสมมและทนทุกข์กับทุกๆ การดูหมิ่นเหยียดหยาม พระเจ้าทรงแท้จริงยิ่งนัก—พระองค์ไม่ทรงพระราชกิจที่เท็จ ทุกๆ ช่วงระยะของพระราชกิจไม่ได้กระทำไปในวิธีที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเช่นนั้นหรอกหรือ? ถึงแม้ว่าผู้คนทั้งหมดใส่ร้ายพระองค์และกล่าวว่าพระองค์ประทับนั่งร่วมโต๊ะกับคนบาป ถึงแม้ว่าผู้คนทั้งหมดเย้ยหยันพระองค์และพูดว่าพระองค์ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับบุตรของความสกปรกโสมม ว่าพระองค์ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับผู้คนที่ต่ำต้อยที่สุด แต่พระองค์ยังคงอุทิศพระองค์เองอย่างไม่เห็นแก่พระองค์เอง และด้วยเหตุนี้พระองค์จึงยังคงทรงถูกปฏิเสธท่ามกลางมวลมนุษย์ ความทุกข์ที่พระองค์ทรงสู้ทนไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่าของพวกเจ้าหรอกหรือ? พระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำไม่ได้มากกว่าราคาที่พวกเจ้าได้จ่ายไปหรอกหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นัยสำคัญของการช่วยพงศ์พันธุ์ของโมอับให้รอด
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 251
พระเจ้าได้ถ่อมพระทัยพระองค์เองจนถึงระดับที่พระองค์ทรงพระราชกิจอยู่ในผู้คนที่โสมมและเสื่อมทรามเหล่านี้ และทรงทำให้ผู้คนกลุ่มนี้มีความเพียบพร้อม พระเจ้าไม่เพียงแค่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อดำรงชีวิตและกินอยู่ท่ามกลางผู้คน เพื่อเป็นผู้เลี้ยงให้กับผู้คน และเพื่อจัดเตรียมสิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องมี ที่สำคัญกว่านั้นคือพระองค์ทรงพระราชกิจอันทรงฤทธิ์แห่งความรอดและการพิชิตชัยของพระองค์กับผู้คนที่เสื่อมทรามจนถึงขั้นมิอาจทนได้เหล่านี้ พระองค์ได้ทรงมาที่หัวใจของพญานาคใหญ่สีแดงเพื่อช่วยผู้คนที่เสื่อมทรามที่สุดเหล่านี้ให้รอด เพื่อที่ผู้คนทั้งหมดอาจถูกเปลี่ยนแปลงและทำให้ใหม่ได้ ความยากลำบากมหึมาที่พระเจ้าทรงสู้ทนไม่ใช่เพียงแค่ความยากลำบากที่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงสู้ทนเท่านั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันคือการที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงทนทุกข์กับการดูหมิ่นเหยียดหยามอันสุดขั้ว—พระองค์ถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้นพระองค์เองมากเสียจนพระองค์ทรงกลายเป็นบุคคลธรรมดาสามัญผู้หนึ่ง พระเจ้าได้ทรงจุติเป็นมนุษย์และได้ทรงรูปทรงของเนื้อหนังเพื่อให้ผู้คนมองเห็นว่าพระองค์ทรงมีชีวิตมนุษย์ที่เป็นปกติและมีความจำเป็นทั้งหลายของมนุษย์ปกติ นี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าพระเจ้าถ่อมพระองค์เองลงในขอบข่ายที่ใหญ่ยิ่ง พระวิญญาณของพระเจ้าทรงได้รับการทำให้เป็นจริงในเนื้อหนัง พระวิญญาณของพระองค์ทรงสูงส่งและยิ่งใหญ่ยิ่งนัก แต่ทว่าพระองค์กลับยังทรงรูปทรงของมนุษย์ทั่วไป รูปทรงของมนุษย์ที่ถูกละเลยมองข้ามได้คนหนึ่ง เพื่อที่จะทรงพระราชกิจของพระวิญญาณของพระองค์ ขีดความสามารถ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก สำนึกรับรู้ สภาวะความเป็นมนุษย์ และชีวิตของพวกเจ้าแต่ละคนแสดงให้เห็นว่าพวกเจ้าไม่ควรค่าจริงๆ ที่จะรับพระราชกิจประเภทนี้ของพระเจ้า พวกเจ้าไม่ควรค่าจริงๆ ที่จะปล่อยให้พระเจ้าสู้ทนความยากลำบากเช่นนี้เพื่อประโยชน์ของเจ้า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหลือเกิน พระองค์ทรงสูงสุดเหลือเกิน และผู้คนก็ต่ำต้อยเหลือเกิน ถึงกระนั้น พระองค์ก็ยังคงทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา พระองค์ไม่เพียงแค่ได้ทรงจุติเป็นมนุษย์เพื่อทรงจัดเตรียมให้ผู้คน เพื่อตรัสกับผู้คน แต่พระองค์ยังถึงกับทรงใช้ชีวิตร่วมกับผู้คน พระเจ้าถ่อมพระทัยเหลือเกิน ทรงควรค่าที่จะรักเหลือเกิน
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะบรรดาผู้มุ่งเน้นการปฏิบัติเท่านั้นที่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 252
พระเจ้าได้ทรงสู้ทนกับค่ำคืนที่ไม่ได้หลับมากมายหลายคืนเพื่อประโยชน์แห่งงานของมวลมนุษย์ จากที่สูงถึงส่วนลึกต่ำสุด พระองค์ได้เสด็จลงสู่นรกที่มีชีวิตซึ่งมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่เพื่อผ่านวันเวลาของพระองค์ไปกับมนุษย์ พระองค์ไม่เคยได้ทรงพร่ำบ่นถึงความเลวทรามท่ามกลางมนุษย์ และพระองค์ไม่เคยได้ทรงตำหนิมนุษย์สำหรับการไม่เชื่อฟังของเขา แต่ทรงสู้ทนความอัปยศอดสูอันยิ่งใหญ่ที่สุดขณะที่พระองค์ทรงดำเนินงานของพระองค์ด้วยพระองค์เองจนเสร็จสิ้น พระเจ้าจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของนรกได้อย่างไร? พระองค์จะสามารถใช้ชีวิตของพระองค์ในนรกได้อย่างไร? แต่เพื่อประโยชน์แห่งมวลมนุษย์ทั้งปวง เพื่อที่มวลมนุษย์ทั้งหมดจะสามารถพบกับการหยุดพักได้เร็วขึ้น พระองค์ได้ทรงสู้ทนความอัปยศอดสูและทรงทนทุกข์กับความไม่ยุติธรรมเพื่อเสด็จมายังแผ่นดินโลก และได้เสด็จเข้าสู่ “นรก” กับ “แดนคนตาย” เข้าสู่ถ้ำเสือ ด้วยพระองค์เอง เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด มนุษย์มีคุณสมบัติที่จะต่อต้านพระเจ้าอย่างไร? เขามีเหตุผลใดที่จะพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า? เขาสามารถกล้าที่จะเพ่งมองพระเจ้าได้อย่างไร? พระเจ้าแห่งสวรรค์ได้เสด็จมายังแผ่นดินแห่งความชั่วช้าที่โสโครกที่สุดแห่งนี้ และไม่เคยได้ทรงระบายความคับข้องพระทัยของพระองค์หรือพร่ำบ่นเกี่ยวกับมนุษย์ แต่กลับทรงยอมรับการย่ำยีทั้งหลาย[1] และการกดขี่ของมนุษย์อย่างเงียบๆ แทน พระองค์ไม่เคยทรงตอบโต้ข้อเรียกร้องที่ไร้เหตุผลของมนุษย์ พระองค์ไม่เคยทรงทำการเรียกร้องมากเกินไปกับมนุษย์ และพระองค์ไม่เคยทรงกำหนดข้อเรียกร้องที่ไร้เหตุผลให้กับมนุษย์ พระองค์เพียงทรงพระราชกิจทั้งหมดที่มนุษย์พึงต้องใช้โดยไม่ทรงพร่ำบ่น ได้แก่ การสอน การให้ความรู้แจ้ง การตำหนิ กระบวนการถลุงวาจา การเตือนจำ การเตือนสติ การปลอบโยน การพิพากษา และการเปิดเผย ขั้นตอนใดของพระองค์หรือที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อชีวิตของมนุษย์? ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงลบความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้และชะตากรรมของมนุษย์ออกไป แต่ขั้นตอนใดที่พระเจ้าได้ทรงดำเนินการจนเสร็จสิ้นแล้วนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งชะตากรรมของมนุษย์หรือ? ขั้นตอนใดหรือที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งการอยู่รอดของมนุษย์? ขั้นตอนใดหรือที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากความทุกข์นี้ และจากการกดขี่ของพลังมืดที่ดำเหมือนกลางคืน? ขั้นตอนใดหรือที่ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของมนุษย์? ผู้ใดสามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้าได้ ซึ่งเป็นเสมือนหัวใจของแม่ที่รักใคร่? ผู้ใดสามารถจับใจความพระทัยที่แรงกล้าของพระเจ้าได้? พระทัยที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและความคาดหวังที่ร้อนแรงของพระเจ้าได้รับการตอบแทนด้วยหัวใจที่เย็นชา ด้วยสายตาที่ไม่แยแสและแข็งกระด้าง และด้วยการตำหนิติเตียนและดูถูกดูแคลนซ้ำๆ ของมนุษย์ สิ่งเหล่านั้นได้รับการตอบแทนด้วยข้อคิดเห็นที่เชือดเฉือน และการประชดประชัน และการดูแคลน สิ่งเหล่านั้นได้รับการตอบแทนด้วยการเยาะเย้ยถากถางของมนุษย์ ด้วยการเหยียบย่ำและการปฏิเสธของเขา ด้วยการจับใจความผิดๆ ของเขา และการร้องครวญคราง และความเหินห่าง และการหลีกเลี่ยง และไม่ใช่โดยสิ่งใดเลยนอกจากการหลอกลวง การโจมตี และความขมขื่น คำพูดที่อบอุ่นได้พบกับคิ้วที่ดุดันและการเยาะเย้ยท้าทายที่เยือกเย็นจากนิ้วชี้ที่ส่ายไปมานับพัน พระเจ้าทรงทำได้แต่เพียงสู้ทน ก้มพระเศียร ปรนนิบัติผู้คนเหมือนกับวัวตัวผู้ที่เต็มใจ[2] หลายวันหลายคืนเหลือเกิน หลายครั้งยิ่งนักที่พระองค์ได้ทรงเผชิญหน้ากับดวงดาว หลายครั้งยิ่งนักที่พระองค์ได้ทรงออกเดินทางไปเมื่อรุ่งอรุณและเสด็จกลับมาเมื่อย่ำค่ำ และทรงนอนพลิกกายไปมา ทรงสู้ทนความเจ็บปวดรวดร้าวที่ยิ่งใหญ่กว่าความเจ็บปวดแห่งการจากพระบิดาของพระองค์มานับพันเท่า ทรงสู้ทนการโจมตีและการทำให้สยบยอมของมนุษย์ และการจัดการกับการตัดแต่งของมนุษย์ ความถ่อมพระทัยและการซ่อนอยู่ของพระเจ้าได้รับการตอบแทนด้วยอคติ[3]ของมนุษย์ ด้วยทัศนะที่ไม่เป็นธรรมและการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของมนุษย์ และหนทางอันไร้สุ้มเสียงที่พระเจ้าทรงพระราชกิจในความลึกลับ ความอดกลั้นของพระองค์ การยอมผ่อนปรนของพระองค์ได้รับการตอบแทนด้วยการจับจ้องอันละโมบของมนุษย์ มนุษย์พยายามที่จะกระทืบพระเจ้าให้สิ้นพระชนม์ โดยไม่มีความรู้สึกสำนึกผิด และพยายามที่จะเหยียบย่ำพระเจ้าให้จมพื้นดิน ท่าทีของมนุษย์ในการปฏิบัติของเขาต่อพระเจ้าคือท่าทีแห่ง “ความฉลาดที่หาได้ยาก” และพระเจ้าผู้ซึ่งถูกมนุษย์รังแกและดูถูก ถูกขยี้จนแบนอยู่ใต้เท้าของผู้คนนับหมื่น ในขณะที่มนุษย์เองยืนบนที่สูง ราวกับว่าเขาจะเป็นราชาแห่งเนินเขา ราวกับว่าเขาต้องการที่จะใช้พลังอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด[4] เพื่อเป็นศูนย์กลางที่มีแต่คนห้อมล้อมจากเบื้องหลังหน้าจอ เพื่อทำให้พระเจ้าทรงเป็นผู้กำกับที่มีมโนธรรมและปฏิบัติตามกฎอยู่หลังฉาก ผู้ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้สู้ตอบหรือก่อให้เกิดความยากลำบาก พระเจ้าต้องทรงเล่นบทของจักรพรรดิองค์สุดท้าย พระองค์ต้องทรงเป็นหุ่นเชิด[5] ที่ปราศจากอิสรภาพทั้งปวง ความประพฤติของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบอกได้ ดังนั้น เขามีคุณสมบัติอย่างไรถึงจะเรียกร้องการนี้หรือการนั้นจากพระเจ้า? เขามีคุณสมบัติอย่างไรถึงจะยื่นข้อเสนอแนะแก่พระเจ้า? เขามีคุณสมบัติอย่างไรถึงจะเรียกร้องให้พระเจ้าเห็นพระทัยความอ่อนแอของเขา? เขาเหมาะสมอย่างไรที่จะได้รับพระปรานีของพระเจ้า? เขาเหมาะสมอย่างไรที่จะได้รับความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า? เขาเหมาะสมอย่างไรที่จะได้รับการอภัยของพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า? จิตสำนึกของเขาอยู่ที่ใด? เขาได้ทำให้พระทัยของพระเจ้าแตกสลายนานมาแล้ว เขาได้ทิ้งให้พระทัยของพระเจ้าแหลกเป็นชิ้นๆ มานานแล้ว พระเจ้าเสด็จมาท่ามกลางมนุษย์ด้วยความแจ่มใสและมีชีวิตชีวา โดยทรงหวังว่ามนุษย์คงจะโอบอ้อมอารีต่อพระองค์ แม้กระทั่งเป็นเพียงด้วยความอบอุ่นเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ถึงกระนั้น พระทัยของพระเจ้าก็ใช้เวลานานกว่าจะได้รับการชูใจโดยมนุษย์ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงได้รับมาคือการโจมตีด้วยการขว้างก้อนหิมะ[6]และการทรมาน หัวใจของมนุษย์นั้นโลภเกินไป ความอยากของเขายิ่งใหญ่เกินไป เขาไม่มีวันสามารถอิ่มเอมได้ เขาประสงค์ร้ายและบ้าบิ่นอยู่เสมอ เขาไม่เคยเปิดโอกาสให้พระเจ้ามีอิสรภาพหรือสิทธิ์ในพระดำรัสอันใด และทำให้พระเจ้าไม่ทรงมีทางเลือกนอกจากต้องนบนอบต่อความอัปยศอดสู และอนุญาตให้มนุษย์บงการพระองค์อย่างไรก็ได้ตามที่เขาปรารถนา
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (9)
เชิงอรรถ:
1. “การย่ำยีทั้งหลาย” ใช้เพื่อเปิดโปงการไม่เชื่อฟังของมวลมนุษย์
2. “ได้พบกับคิ้วที่ดุดันและการเยาะเย้ยท้าทายที่เยือกเย็นจากนิ้วชี้ที่ส่ายไปมานับพัน ก้มพระเศียร ปรนนิบัติผู้คนเหมือนกับวัวตัวผู้ที่เต็มใจ” เดิมทีเป็นประโยคเดี่ยว แต่ในที่นี้ถูกแยกออกเป็นสองประโยคเพื่อทำให้สิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้น ส่วนแรกของประโยคอ้างอิงถึงการกระทำของมนุษย์ ในขณะที่ส่วนที่สองบ่งบอกถึงความทุกข์ที่พระเจ้าได้ทรงก้าวผ่าน และว่าพระเจ้านั้นถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้น
3. “อคติ” อ้างถึงพฤติกรรมที่ไม่เชื่อฟังของผู้คน
4. “ใช้พลังอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด” อ้างถึงพฤติกรรมที่ไม่เชื่อฟังของผู้คน พวกเขาชูตัวเองขึ้นสูง ใส่โซ่ตรวนผู้อื่น ทำให้คนเหล่านั้นติดตามพวกเขาและทนทุกข์เพื่อพวกเขา พวกเขาคือกองกำลังที่ไม่เป็นมิตรกับพระเจ้า
5. “หุ่นเชิด” ใช้เพื่อเยาะเย้ยถากถางพวกที่ไม่รู้จักพระเจ้า
6. “ขว้างก้อนหิมะ” ใช้เพื่อเน้นให้เห็นพฤติกรรมที่ต่ำช้าของผู้คน
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 253
นัยสำคัญของทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นมีความลึกซึ้งเป็นอันมาก ตัวอย่างเช่น ลองนึกถึงการตรึงกางเขนพระเยซู เหตุใดพระเยซูจึงต้องทรงถูกตรึงกางเขน? เพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงมิใช่หรือ? ดังนั้นการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าในปัจจุบันและการที่พระองค์ทรงผ่านประสบการณ์กับความทุกข์ของโลกจึงมีนัยสำคัญอันยิ่งใหญ่อยู่ด้วย—คือเป็นไปเพื่อบั้นปลายอันงดงามของมวลมนุษย์ ในพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าทรงทำแต่สิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดอยู่เสมอ เหตุใดพระเจ้าจึงทรงเห็นว่ามนุษย์ไม่มีบาป ว่ามนุษย์สามารถมีโชคดีที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้? นี่เป็นเพราะพระเยซูทรงถูกตอกตรึงกับกางเขน แบกรับบาปของมนุษย์ และไถ่มวลมนุษย์ไปแล้ว ดังนั้นเหตุใดมวลมนุษย์จึงจะไม่ทนทุกข์อีกต่อไป ไม่รู้สึกเศร้าโศก ไม่หลั่งน้ำตา และไม่ทอดถอนใจอีกต่อไป? นี่เป็นเพราะพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในปัจจุบันได้ทรงรับเอาความทุกข์ทั้งหมดนี้มาไว้ที่พระองค์เองแล้วและบัดนี้ได้ทรงสู้ทนความทุกข์นี้แทนมนุษย์ นี่เป็นประดุจมารดาที่เห็นลูกล้มป่วยและอธิษฐานถึงสวรรค์ ปรารถนาให้ชีวิตของตนเองสั้นลงหากนั่นจะทำให้ลูกของนางหายขาดได้ พระเจ้าทรงพระราชกิจในหนทางนี้เช่นกัน ทรงยอมเจ็บปวดเพื่อแลกกับบั้นปลายอันงดงามที่จะบังเกิดแก่มวลมนุษย์หลังจากนั้น จะไม่มีความเศร้าโศกอีกต่อไป ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป ไม่มีการทอดถอนใจอีกต่อไป และไม่มีความทุกข์อีกต่อไป พระเจ้าทรงจ่ายราคา—ทรงจ่ายต้นทุน—ของการผ่านประสบการณ์กับความทุกข์ของโลกด้วยพระองค์เองเพื่อแลกกับบั้นปลายอันงดงามที่จะตามมาของมวลมนุษย์ การกล่าวว่านี่ทำไป “เพื่อแลกกับ” บั้นปลายอันงดงามไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่ทรงมีฤทธานุภาพหรือสิทธิอำนาจที่จะประทานบั้นปลายอันงดงามแก่มนุษย์ แต่หมายความว่าพระเจ้าทรงต้องการหาข้อพิสูจน์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและทรงพลังยิ่งขึ้นเพื่อโน้มน้าวผู้คนให้เชื่ออย่างสิ้นเชิงมากกว่า พระเจ้าทรงผ่านประสบการณ์กับความทุกข์นี้แล้ว ดังนั้นพระองค์จึงทรงมีคุณสมบัติ พระองค์ทรงมีฤทธานุภาพ และยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจที่จะพามวลมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันงดงาม ประทานบั้นปลายอันงดงามและสัญญานี้แก่มวลมนุษย์ ซาตานจะยอมเชื่ออย่างแท้จริง สรรพสิ่งทรงสร้างในจักรวาลจะปักใจเชื่ออย่างแท้จริง ในท้ายที่สุด พระเจ้าจะทรงเปิดโอกาสให้มวลมนุษย์ได้รับสัญญาและความรักของพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำสัมพันธ์กับชีวิตจริง และไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ทรงทำว่างเปล่า และพระองค์ทรงได้รับประสบการณ์กับสิ่งนั้นทั้งหมดด้วยพระองค์เอง พระเจ้าทรงจ่ายราคาของประสบการณ์ของพระองค์เองเกี่ยวกับความทุกข์โดยแลกกับบั้นปลายของมนุษยชาติ นี่ไม่ใช่พระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรอกหรือ? บิดามารดาอาจจ่ายราคาที่จริงจังจริงใจเพื่อประโยชน์ของลูกๆ ของพวกเขา และนี่แสดงให้เห็นถึงความรักที่พวกเขามีต่อลูกๆ ในการทรงทำการนี้ แน่นอนว่าพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงจริงใจและสัตย์ซื่อที่สุดต่อมวลมนุษย์ เนื้อแท้ของพระเจ้านั้นสัตย์ซื่อ พระองค์ทรงทำสิ่งที่พระองค์ตรัส และสิ่งใดก็ตามที่พระองค์ทรงทำนั้นสัมฤทธิ์ผล ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำเพื่อพวกมนุษย์นั้นจริงใจ พระองค์ไม่เพียงเอ่ยถ้อยดำรัสเท่านั้น เมื่อพระองค์ตรัสว่าพระองค์จะทรงจ่ายราคา พระองค์ทรงจ่ายราคาอย่างแท้จริง เมื่อพระองค์ตรัสว่าพระองค์จะทรงยอมรับความทุกข์ของมนุษยชาติและทนทุกข์แทนพวกเขา พระองค์เสด็จมาเพื่อใช้ชีวิตท่ามกลางพวกเขาอย่างแท้จริง โดยทรงรู้สึกและได้รับประสบการณ์กับความทุกข์นี้ด้วยพระองค์เอง หลังจากนั้น ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลจะยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้องและชอบธรรม ว่าทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำนั้นเป็นไปได้จริง กล่าวคือ นี่คือหลักฐานที่ทรงพลัง นอกจากนี้ มวลมนุษย์จะมีบั้นปลายที่สวยงามในอนาคต และคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ยังคงอยู่จะสรรเสริญพระเจ้า พวกเขาจะกล่าวสรรเสริญว่ากิจการของพระเจ้าจริงๆ แล้วกระทำไปจากความรักของพระองค์ที่มีต่อมนุษยชาติ พระเจ้าเสด็จมาท่ามกลางมนุษย์อย่างถ่อมพระทัย ในฐานะบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง พระองค์มิได้แค่ทรงปฏิบัติพระราชกิจบางอย่าง ตรัสพระวจนะบางคำ แล้วเสด็จจากไป ในทางกลับกัน พระองค์ตรัสและทรงพระราชกิจพลางมีประสบการณ์กับความเจ็บปวดของโลกอย่างแท้จริง ต่อเมื่อพระองค์ทรงเสร็จสิ้นการรับประสบการณ์กับความเจ็บปวดนี้แล้วเท่านั้น พระองค์จึงจะเสด็จจากไป นี่คือวิธีที่พระราชกิจของพระเจ้าเป็นจริงและสัมพันธ์กับชีวิตจริง ทุกคนที่ยังคงอยู่จะสรรเสริญพระองค์เนื่องจากการนี้ และพวกเขาจะมองเห็นความสัตย์ซื่อของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์และความใจดีมีเมตตาของพระองค์ เนื้อแท้ของพระเจ้าเกี่ยวกับความงามและความดีสามารถเห็นได้ในนัยสำคัญแห่งการจุติเป็นมนุษย์ของพระองค์ในเนื้อหนัง สิ่งใดก็ตามที่พระองค์ทรงทำนั้นจริงใจ สิ่งใดก็ตามที่พระองค์ตรัสนั้นจริงจังจริงใจและสัตย์ซื่อ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ พระองค์ก็ทรงทำจริง เมื่อมีราคาที่ต้องจ่าย พระองค์ก็ทรงจ่ายจริง พระองค์ไม่เพียงเอ่ยถ้อยดำรัสเท่านั้น พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ
—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, แง่มุมที่สองของนัยสำคัญแห่งการจุติเป็นมนุษย์
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 254
หนทางแห่งชีวิตไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็สามารถมีได้ อีกทั้งไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็สามารถบรรลุอย่างง่ายๆ ได้ นี่เป็นเพราะว่าชีวิตสามารถมาจากพระเจ้าได้เพียงเท่านั้น กล่าวคือ พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงครอบครองเนื้อแท้แห่งชีวิต และพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงมีหนทางแห่งชีวิต และดังนั้นพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิต และน้ำพุของน้ำแห่งชีวิตที่ไหลอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่ที่พระองค์ได้ทรงสร้างโลก พระเจ้าได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจมากมายเกี่ยวกับพลังแห่งชีวิต ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจมากมายซึ่งนำชีวิตมาสู่มนุษย์ และได้ทรงจ่ายราคาแพงเพื่อที่มนุษย์อาจได้รับชีวิต นี่เป็นเพราะว่าพระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นชีวิตนิรันดร์ และพระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นหนทางซึ่งมนุษย์ได้รับการฟื้นคืนชีพ พระเจ้าไม่เคยทรงห่างหายไปจากหัวใจของมนุษย์ และพระองค์สถิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์ตลอดเวลา พระองค์ทรงเป็นแรงขับเคลื่อนสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ รากฐานของการดำรงอยู่ของมนุษย์ และแหล่งสะสมอันอุดมสำหรับการดำรงอยู่ของมนุษย์หลังกำเนิด พระองค์ทรงทำให้มนุษย์เกิดใหม่ และทรงทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตในทุกบทบาทของเขาได้อย่างมุ่งมั่นไม่ท้อถอย เนื่องเพราะฤทธานุภาพของพระองค์และพลังชีวิตอันมิอาจดับมอดของพระองค์ มนุษย์ได้ใช้ชีวิตมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ซึ่งตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาพลังแห่งชีวิตของพระเจ้าได้เป็นหลักค้ำจุนสำคัญแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ และพระเจ้าได้ทรงจ่ายราคาซึ่งมนุษย์ธรรมดาไม่เคยจ่ายมาก่อน พลังชีวิตของพระเจ้าสามารถพิชิตพลังอำนาจใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมากล้นเกินกว่าพลังอำนาจใดๆ ชีวิตของพระองค์เป็นนิรันดร์ ฤทธานุภาพของพระองค์นั้นพิเศษกว่าความธรรมดาสามัญ และพลังชีวิตของพระองค์ก็ไม่สามารถถูกสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดหรือกองกำลังศัตรูใดเอาชนะได้ พลังชีวิตของพระเจ้านั้นดำรงอยู่และแผ่รัศมีเฉิดฉายไม่ว่าจะเป็นเวลาใดหรือสถานที่ใด สวรรค์และแผ่นดินโลกอาจผ่านการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อันมากมายใหญ่หลวง แต่ชีวิตของพระเจ้าเป็นเช่นเดิมตลอดกาล ทุกสรรพสิ่งอาจล้มหายตายจาก แต่ชีวิตของพระเจ้าจะยังคงอยู่ตามเดิม เพราะพระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่งและรากฐานของการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านั้น ชีวิตของมนุษย์มีกำเนิดที่มาจากพระเจ้า การมีอยู่ของสวรรค์ก็เพราะพระเจ้า และการมีอยู่ของแผ่นดินโลกก็มีต้นกำเนิดมาจากพลังอำนาจของชีวิตของพระเจ้า ไม่มีวัตถุอันใดที่ครอบครองพลังชีวิตสามารถอยู่เหนืออำนาจอธิปไตยของพระเจ้า และไม่มีสิ่งอันใดที่มีเรี่ยวแรงสามารถหลบหลีกจากอำนาจครอบครองของพระเจ้า เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร ทุกคนต้องหมอบราบภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า ทุกคนจำต้องใช้ชีวิตภายใต้การบัญชาของพระเจ้า และไม่มีใครสามารถหลีกหนีจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 255
หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์อย่างแท้จริง และหากเจ้ามีความกระหายในการค้นหาชีวิตเช่นนั้นของเจ้า เช่นนั้นแล้วจงตอบคำถามนี้เสียก่อนว่า พระเจ้าสถิตอยู่ ณ แห่งหนใดในวันนี้? บางทีเจ้าน่าจะตอบว่า “แน่นอนว่า พระเจ้าดำรงพระชนม์ชีพอยู่ในสวรรค์—พระองค์ไม่น่าที่จะดำรงพระชนม์ชีพอยู่ในบ้านของเจ้า ใช่หรือไม่?” บางทีเจ้าอาจพูดว่าพระเจ้าดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางทุกสรรพสิ่งอย่างเห็นได้ชัด หรือไม่เจ้าก็อาจพูดว่าพระเจ้าดำรงพระชนม์ชีพในหัวใจของแต่ละคน หรือพูดว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ เราไม่ปฏิเสธเรื่องใดๆ นี้เลย แต่เราต้องชี้แจงปัญหานี้ให้ชัดเจน มันไม่ถูกต้องทั้งหมดหากจะกล่าวว่าพระเจ้าดำรงพระชนม์ชีพในหัวใจของมนุษย์ แต่มันก็ไม่ผิดทั้งหมดเช่นกัน นั่นเป็นเพราะ ท่ามกลางบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า มีพวกที่การเชื่อของตนนั้นเป็นการเชื่อที่แท้จริง และพวกที่การเชื่อของตนนั้นเป็นการเชื่อที่เป็นเท็จ มีพวกที่พระเจ้าทรงรับรองและพวกที่พระเจ้าไม่ทรงรับรอง มีพวกที่ทำให้พระองค์พอพระทัยและพวกที่พระองค์ทรงรังเกียจ และมีพวกที่พระองค์ทรงทำให้มีความเพียบพร้อมและพวกที่พระองค์ทรงขับออกไป และดังนั้นเราจึงพูดว่าพระเจ้าดำรงพระชนม์ชีพในหัวใจของผู้คนไม่กี่คน และผู้คนเหล่านี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือพวกที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกที่พระเจ้าทรงรับรอง พวกที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย และพวกที่พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อม พวกเขาคือผู้ที่ได้รับการทรงนำโดยพระเจ้า เนื่องจากพวกเขาได้รับการทรงนำโดยพระเจ้า พวกเขาจึงเป็นผู้คนที่ได้ยินและได้เห็นหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าแล้ว พวกที่การเชื่อในพระเจ้าของตนนั้นเป็นความเชื่อที่เทียมเท็จ พวกที่ไม่ได้รับการรับรองจากพระเจ้า พวกที่พระเจ้าทรงรังเกียจ พวกที่ถูกพระเจ้าทรงขับออกไป—พวกเขามีแนวโน้มที่จะถูกปฏิเสธโดยพระเจ้า มีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่โดยปราศจากหนทางแห่งชีวิต และมีแนวโน้มที่จะยังคงไม่รู้เท่าทันเลยว่าพระเจ้าสถิตอยู่ ณ แห่งหนใด ในทางตรงกันข้าม บรรดาผู้ที่มีพระเจ้าดำรงพระชนม์ชีพอยู่ในหัวใจของตนรู้ว่าพระองค์สถิตอยู่ ณ แห่งหนใด พวกเขาคือผู้คนที่พระเจ้าประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์ และพวกเขาคือผู้ที่ติดตามพระเจ้า บัดนี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ ณ แห่งหนใด? พระเจ้าสถิตอยู่ทั้งในหัวใจของมนุษย์และเคียงข้างมนุษย์ พระองค์ไม่ได้สถิตอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณเพียงเท่านั้น และอยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งมวล แต่ยิ่งไปกว่านั้นยังทรงอยู่บนแผ่นดินโลกซึ่งมนุษย์นั้นดำรงอยู่ และดังนั้นการมาถึงของยุคสุดท้ายจึงได้นำขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าเข้าสู่ดินแดนใหม่ พระเจ้าทรงครองอำนาจอธิปไตยเหนือทุกสิ่งทุกอย่างท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และพระองค์ทรงเป็นหลักสำคัญของมนุษย์ในหัวใจของเขา และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงดำรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์ วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้พระองค์สามารถนำพาหนทางแห่งชีวิตมาสู่มวลมนุษย์ และนำพามนุษย์เข้าสู่หนทางแห่งชีวิตได้ พระเจ้าได้เสด็จมาสู่แผ่นดินโลก และดำรงพระชนม์ชีพอยู่ท่ามกลางมนุษย์ เพื่อที่มนุษย์อาจได้รับหนทางแห่งชีวิต และเพื่อที่มนุษย์อาจดำรงอยู่ ในขณะเดียวกันพระเจ้าก็ทรงบัญชาทุกสิ่งทุกอย่างท่ามกลางทุกสรรพสิ่งในจักรวาลด้วยเช่นกัน เพื่อเอื้ออำนวยการให้ความร่วมมือในการบริหารจัดการที่พระองค์ทรงทำท่ามกลางมนุษย์ และดังนั้น หากเจ้าเพียงรับรู้คำสอนว่าพระเจ้าสถิตในสวรรค์และในหัวใจของมนุษย์เท่านั้น แต่กลับไม่รับรู้ความจริงของการดำรงอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางมนุษย์ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางได้รับชีวิต และจะไม่มีวันได้รับหนทางแห่งความจริง
พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นชีวิต และความจริง และพระชนม์ชีพของพระองค์และความจริงก็ดำรงอยู่ร่วมกัน พวกที่ไม่สามารถได้รับความจริงจะไม่มีทางได้รับชีวิต หากปราศจากการทรงนำ การสนับสนุน และการจัดเตรียมความจริง เจ้าจะได้รับเพียงตัวอักษร คำสอน และเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ความตายเท่านั้น พระชนม์ชีพของพระเจ้าเป็นปัจจุบันตลอดกาล และความจริงและพระชนม์ชีพของพระองค์นั้นดำรงอยู่ร่วมกัน หากเจ้าไม่สามารถค้นพบแหล่งกำเนิดความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ได้รับการบำรุงเลี้ยงของชีวิต หากเจ้าไม่สามารถได้รับการจัดเตรียมชีวิต เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีความจริงอย่างแน่นอน และดังนั้น นอกเหนือจากจินตนาการและมโนคติอันหลงผิดต่างๆ แล้ว ร่างกายทั้งร่างของเจ้าจะไม่เป็นอะไรเลยนอกจากเนื้อหนังของเจ้า—เนื้อหนังที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าของเจ้า จงรู้ไว้ว่าคำพูดในหนังสือนั้นไม่นับว่าเป็นชีวิต บรรดาบันทึกประวัติศาสตร์ไม่สามารถได้รับการสักการบูชาประหนึ่งว่าเป็นความจริงได้ และกฎระเบียบต่างๆ ในอดีตก็ไม่สามารถใช้เป็นการเล่าเรื่องราวของพระวจนะที่ตรัสโดยพระเจ้าในปัจจุบัน มีเพียงสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงแสดงให้เห็นเมื่อพระองค์เสด็จมาสู่แผ่นดินโลกและดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมนุษย์เท่านั้นที่เป็นความจริง ชีวิต น้ำพระทัยของพระเจ้า และวิธีปฏิบัติพระราชกิจในปัจจุบันของพระองค์ หากเจ้านำบันทึกพระวจนะที่ตรัสโดยพระเจ้าระหว่างยุคต่างๆ ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้มาประยุกต์ใช้ นั่นก็จะทำให้เจ้าเป็นนักโบราณคดีคนหนึ่ง และวิธีที่ดีที่สุดในการบรรยายเกี่ยวกับตัวเจ้าก็คือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านมรดกทางประวัติศาสตร์คนหนึ่ง นั่นเป็นเพราะเจ้าเชื่อในร่องรอยต่างๆ ของพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงปฏิบัติในช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้วเสมอ เชื่อเพียงเงาของพระเจ้าที่ทิ้งไว้จากครั้งที่พระองค์ได้ทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ก่อนหน้านั้นเท่านั้น และเชื่อเพียงหนทางที่พระเจ้าได้ประทานแก่บรรดาผู้ติดตามของพระองค์ในช่วงเวลาอดีตเท่านั้น เจ้าไม่เชื่อในการชี้นำของพระราชกิจของพระเจ้า ณ วันนี้ ไม่เชื่อในโฉมพระพักตร์อันเปี่ยมสง่าราศีของพระเจ้าในวันนี้ และไม่เชื่อในหนทางแห่งความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงในปัจจุบัน และดังนั้นเจ้าจึงเป็นผู้ฝันกลางวันคนหนึ่งอย่างปฏิเสธไม่ได้เลย ผู้ซึ่งห่างจากการติดต่อสัมผัสกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง หากบัดนี้เจ้ายังคงยึดติดอยู่กับถ้อยคำที่ไม่สามารถนำพาชีวิตมาสู่มนุษย์ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นตอไม้ที่ตายแล้วไร้สิ้นซึ่งความหวังตอหนึ่ง[ก] เพราะเจ้านั้นอนุรักษ์นิยมเกินไป ดื้อรั้นเกินไป ไม่สนใจเหตุผลมากเกินไป!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้
เชิงอรรถ:
ก. ตอไม้ที่ตายแล้ว สำนวนจีน หมายถึง “เกินกว่าที่จะช่วยได้”
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 256
พระเจ้าพระองค์เองคือความจริง และพระองค์ทรงครองความจริงทั้งปวง พระเจ้าคือแหล่งกำเนิดของความจริง ทุกสิ่งด้านบวกและทุกความจริงมาจากพระเจ้า พระองค์สามารถตัดสินเกี่ยวกับความถูกและความผิดของทุกสรรพสิ่งและทุกเหตุการณ์ พระองค์สามารถตัดสินสรรพสิ่งที่ได้เกิดขึ้น สรรพสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ และสรรพสิ่งในอนาคตที่มนุษย์ยังไม่รู้ พระเจ้าคือองค์พิพากษาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถพิพากษาความถูกต้องและความผิดของทุกสรรพสิ่ง และนี่หมายความว่าความถูกต้องและความผิดของทุกสรรพสิ่งสามารถได้รับการพิพากษาโดยพระเจ้าเท่านั้น พระองค์ทรงทราบเกณฑ์กำหนดสำหรับทุกสรรพสิ่ง พระองค์สามารถแสดงความจริงในเวลาใดและสถานที่ใดก็ได้ พระเจ้าคือรูปจำแลงของความจริง ซึ่งหมายความว่าพระองค์เองทรงครองแก่นแท้ของความจริง หากมนุษย์เข้าใจความจริงได้มากและได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าแล้วไซร้ พวกเขาจะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับรูปจำแลงของความจริงกระนั้นหรือ? ย่อมไม่มี นี่ย่อมแน่นอน เมื่อมนุษย์ได้รับการทำให้เพียบพร้อม พวกเขาจะสามารถมีดุลยพินิจและวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับพระราชกิจในปัจจุบันของพระเจ้าและมาตรฐานต่างๆ ที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมนุษย์ และพวกเขาจะเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างถ่องแท้ พวกเขาจะสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดเกิดจากพระเจ้าและสิ่งใดเกิดจากมนุษย์ สิ่งใดถูกและสิ่งใดผิด กระนั้นก็มีบางสิ่งที่ยังคงมิอาจบรรลุได้และยังคงไม่กระจ่างสำหรับมนุษย์ เป็นสิ่งที่พวกเขาจะสามารถรู้ได้เฉพาะเมื่อพระเจ้าตรัสบอกพวกเขาแล้วเท่านั้น มนุษย์สามารถล่วงรู้หรือพยากรณ์ถึงสิ่งที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก สิ่งที่พระเจ้ายังไม่ได้ตรัสบอกพวกเขาได้กระนั้นหรือ? แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้ ที่มากกว่านั้นก็คือ ต่อให้มนุษย์ได้มาซึ่งความจริงจากพระเจ้า และครองความเป็นจริงของความจริง และรู้จักแก่นแท้ของความจริงมากมาย และมีความสามารถที่จะแยกแยะถูกผิดได้ แต่พวกเขาจะมีความสามารถในการควบคุมและปกครองทุกสรรพสิ่งกระนั้นหรือ? พวกเขาย่อมจะไม่มีความสามารถนี้ นั่นคือความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายสามารถเพียงได้มาซึ่งความจริงจากแหล่งกำเนิดของความจริงเรื่อยไปเท่านั้น พวกเขาสามารถได้มาซึ่งความจริงจากมนุษย์หรือไม่? มนุษย์ใช่ความจริงหรือไม่? มนุษย์สามารถจัดเตรียมความจริงหรือไม่? พวกเขาไม่สามารถ และตรงนี้เองคือความแตกต่าง เจ้าทำได้เพียงรับความจริง ไม่ใช่จัดเตรียมความจริง จะเรียกเจ้าว่าบุคคลที่มีความจริงได้หรือไม่? จะเรียกเจ้าว่ารูปจำแลงของความจริงได้หรือไม่? แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้ แก่นแท้แห่งรูปจำแลงของความจริงคืออะไรกันแน่? คือแหล่งกำเนิดที่จัดเตรียมความจริง แหล่งกำเนิดของการกำกับดูแลและอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง และเป็นเกณฑ์กำหนดและมาตรฐานเพียงอย่างเดียวที่ใช้พิพากษาทุกสรรพสิ่งและทุกเหตุการณ์อีกด้วย นี่คือรูปจำแลงของความจริง
—พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด (ภาคที่สาม)
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 257
ในการแสดงออกซึ่งความจริงของพระองค์ พระเจ้าทรงแสดงออกซึ่งพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์ การแสดงออกของพระองค์เกี่ยวกับความจริงไม่ได้มีพื้นฐานอยู่บนข้อสรุปที่มวลมนุษย์มีเกี่ยวกับสิ่งหลากหลายที่เป็นบวกและถ้อยแถลงทั้งหลายที่มวลมนุษย์ระลึกรู้ พระวจนะของพระเจ้าคือพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง พระวจนะคือรากฐานและธรรมบัญญัติเพียงอย่างเดียวที่มวลมนุษย์ใช้ในการดำรงอยู่ และสิ่งทั้งปวงที่เรียกว่าหลักความเชื่อซึ่งถือกำเนิดจากมนุษย์นั้นล้วนผิด เหลวไหล และถูกพระเจ้าตรัสกล่าวโทษ สิ่งเหล่านั้นไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระองค์ และนับประสาอะไรที่จะเป็นต้นกำเนิดหรือพื้นฐานแห่งถ้อยดำรัสของพระองค์ พระเจ้าทรงแสดงออกซึ่งพระอุปนิสัยของพระองค์และแก่นแท้ของพระองค์โดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์ พระวจนะทั้งหมดที่การแสดงออกของพระเจ้าได้ทำให้เกิดขึ้นคือความจริง เพราะพระองค์ทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์คือความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นบวกทั้งปวง ไม่ว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนี้จะจัดวางหรือนิยามพระวจนะของพระเจ้าเช่นไร หรือมีทรรศนะต่อพระวจนะหรือเข้าใจพระวจนะเช่นไร พระวจนะของพระเจ้าก็คือความจริงนิรันดร์ และนี่คือข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่ไม่มีวันแปรเปลี่ยน ไม่สำคัญว่าพระวจนะของพระเจ้าได้ถูกกล่าวมากมายเพียงใด และไม่สำคัญว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามและชั่วนี้จะกล่าวโทษและบอกปัดพระวจนะเหล่านั้นมากมายเพียงใด ก็ยังคงมีข้อเท็จจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาล กล่าวคือ พระวจนะของพระเจ้าคือความจริงเสมอ และมนุษย์ก็ไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ ในท้ายที่สุด มนุษย์ต้องยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มวลมนุษย์ยกย่องนั้นไม่มีวันกลายมาเป็นสิ่งที่เป็นบวกไปได้ และไม่มีวันกลายเป็นความจริง นี่ถือเป็นเด็ดขาด วัฒนธรรมทางด้านธรรมเนียมประเพณีและหนทางแห่งการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์นั้นจะไม่กลายเป็นความจริงเนื่องแต่การเปลี่ยนแปลงหรือเส้นทางของกาลเวลา และพระวจนะของพระเจ้าก็จะไม่กลายเป็นคำพูดของมนุษย์เนื่องแต่การกล่าวโทษหรือความหลงลืมของมวลมนุษย์เช่นกัน ความจริงคือความจริงเสมอ แก่นแท้นี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง มีข้อเท็จจริงอันใดในเรื่องนี้? คำกล่าวของวัฒนธรรมดั้งเดิมและสำนวนทั้งหมดซึ่งมวลมนุษย์สรุปเอาไว้ล้วนมาจากซาตาน ความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ หรือเกิดจากความหัวร้อนของมนุษย์ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ และคำกล่าวเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นบวกเลย ในอีกด้านหนึ่ง พระวจนะของพระเจ้าคือการแสดงออกซึ่งแก่นแท้และพระอัตลักษณ์ของพระเจ้า พระองค์ทรงแสดงออกซึ่งพระวจนะเหล่านี้เพื่อเหตุผลอันใดหรือ? เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพระวจนะคือความจริง? เหตุผลก็คือว่าพระเจ้าทรงปกครองเหนือธรรมบัญญัติ กฎเกณฑ์ รากเหง้า แก่นแท้ ความเป็นจริง และความล้ำลึกทั้งปวงของทุกสรรพสิ่ง สิ่งเหล่านี้ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ เพราะฉะนั้น มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้กฎเกณฑ์ ความเป็นจริง ข้อเท็จจริง และความล้ำลึกของสรรพสิ่ง พระเจ้าทรงรู้ที่มาของสรรพสิ่ง และพระเจ้าทรงรู้ว่ารากเหง้าของสรรพสิ่งคือสิ่งใด มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นคำจำกัดความที่ถูกต้องแม่นยำที่สุดของสรรพสิ่ง และมีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นมาตรฐานและหลักธรรมของชีวิตมนุษย์ และเป็นความจริงและเกณฑ์กำหนดที่มนุษย์สามารถใช้พึ่งพาในการดำรงชีวิต
—พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่หนึ่ง)
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 258
นับแต่ชั่วขณะที่เจ้าเข้ามาในโลกนี้พร้อมกับเสียงร้องจ้า เจ้าก็เริ่มทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง เจ้าแสดงไปตามบทบาทของเจ้าและเริ่มการเดินทางของชีวิตของเจ้า เพื่อแผนของพระเจ้าและเพื่อการทรงลิขิตของพระองค์ ไม่ว่าเจ้าจะมีภูมิหลังอย่างไร และการเดินทางข้างหน้าของเจ้าจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครสามารถหลีกหนีการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของฟ้าได้ และไม่มีใครควบคุมชะตาลิขิตของตนเองได้ เพราะมีเพียงพระองค์ผู้ทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่งเท่านั้นที่สามารถทำงานเช่นนั้นได้ นับตั้งแต่วันที่มนุษย์ได้มาสู่การดำรงอยู่ พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจเช่นนี้มาตลอด บริหารจัดการจักรวาล กำกับกฎเกณฑ์แห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับทุกสรรพสิ่งและวิถีการเคลื่อนที่ของทุกสรรพสิ่งเหล่านั้น เช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่ง—มนุษย์ได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างเงียบเชียบและไม่รู้ตัว ด้วยความอ่อนหวานและหยาดฝน ตลอดจนหยดน้ำค้างจากพระเจ้า เช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่ง—มนุษย์อยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระหัตถ์พระเจ้าโดยไม่รู้ตัว หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทุกอย่างในชีวิตของเขาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม ทุกสิ่งและทุกอย่าง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตาม พระดำริของพระเจ้า นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงปกครองสรรพสิ่ง
ยามราตรีคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มนุษย์หาได้ไหวตัวรับรู้ไม่ เพราะหัวใจของมนุษย์ไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าราตรีคืบคลานมาอย่างไรและมาจากที่ใด ครั้นพอราตรีเคลื่อนตัวเงียบเชียบจากไป มนุษย์จึงต้อนรับแสงทิวา แต่เรื่องว่าแสงนั้นมาจากที่ใด และขับไล่ความมืดของราตรีกาลออกไปอย่างไร มนุษย์ยิ่งไม่รู้และยิ่งไม่ทันตระหนัก การหมุนเวียนปรับเปลี่ยนของวันและคืนเหล่านี้นำพามนุษย์จากช่วงเวลาหนึ่งสู่อีกช่วงเวลาหนึ่ง จากบริบทเชิงประวัติศาสตร์บริบทหนึ่งสู่บริบทถัดไป ขณะเดียวกันก็เป็นการให้ความมั่นใจว่าพระราชกิจของพระเจ้าในทุกช่วงเวลาและแผนการของพระองค์สำหรับทุกยุคยังคงถูกดำเนินการไปจนเสร็จสิ้น มนุษย์ได้เดินผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไปด้วยกันกับพระเจ้า แต่กระนั้นเขาไม่รู้หรอกว่า พระเจ้าทรงปกครองชะตากรรมของทุกสรรพสิ่งและบรรดาสิ่งที่มีชีวิตทั้งมวล ทั้งยังไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและกำกับทุกสรรพสิ่งอย่างไร สิ่งนี้ได้คลาดแคล้วไปจากมนุษย์ตั้งแต่ครั้งโบราณกาลจวบจนปัจจุบัน สำหรับเหตุผลนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะกิจการทั้งหลายของพระเจ้านั้นซ่อนเร้นเกินไป และไม่ใช่เป็นเพราะแผนการของพระเจ้ายังไม่ถูกทำให้เป็นจริง แต่เป็นเพราะหัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นอยู่ห่างไกลจากพระเจ้าเกินไป จนถึงจุดที่มนุษย์ยังคงอยู่ภายใต้การรับใช้ซาตานแม้ในขณะที่เขาติดตามพระเจ้าอยู่—และยังคงไม่รู้ตัว ไม่มีใครแสวงหาย่างพระบาทของพระเจ้าและการทรงปรากฏของพระองค์อย่างจริงจัง และไม่มีใครเต็มใจที่จะอยู่ในการดูแลและการปกปักรักษาของพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับปรารถนาที่จะพึ่งพาการกร่อนทำลายของซาตาน ตัวมารร้าย เพื่อจะปรับตัวให้เข้ากับพิภพนี้ และเพื่อให้เข้ากับกฎเกณฑ์ของการดำรงอยู่ที่มวลมนุษย์ผู้เลวร้ายพากันติดตาม ณ จุดนี้ หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ได้กลายเป็นเครื่องบรรณาการแด่ซาตาน และกลายเป็นของกินของซาตานไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ได้กลายเป็นที่พักอาศัยของซาตานและเป็นสนามเด็กเล่นอันเหมาะเจาะของมัน นั่นทำให้ มนุษย์สูญเสียความเข้าใจของเขาที่มีต่อหลักการแห่งการเป็นมนุษย์ รวมถึงคุณค่าและความหมายของการดำรงอยู่เยี่ยงมนุษย์ไปโดยไม่รู้ตัว ธรรมบัญญัติของพระเจ้าและพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ค่อยๆ เลือนหายไปในหัวใจของมนุษย์ เขาจึงเลิกแสวงหาหรือใส่ใจฟังเสียงของพระเจ้า เมื่อเวลาผ่านไป มนุษย์ไม่เข้าใจอีกต่อไปแล้วว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงสร้างพวกเขาขึ้นมา ทั้งยังไม่เข้าใจพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า รวมถึงทุกสิ่งที่มาจากพระองค์ มนุษย์เริ่มปฏิเสธธรรมบัญญัติและกฤษฎีกาของพระเจ้า และหัวใจและจิตวิญญาณของเขาจึงตายด้าน… พระเจ้าได้สูญเสียมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างมาแต่เดิม และมนุษย์ก็ได้สูญเสียรากที่เขาเคยมีแต่เดิม: นี่คือโทมนัสของเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้ โดยข้อเท็จจริงนั้น ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงบัดนี้ พระเจ้าได้จัดเวทีแสดงละครโศกนาฏกรรมสำหรับมนุษย์ไว้เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องซึ่งมนุษย์เป็นทั้งนักแสดงนำและเหยื่อ และไม่มีใครตอบได้ว่าผู้กำกับละครโศกนาฏกรรมนี้คือใคร
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 259
พระเจ้าได้ทรงสร้างโลกนี้และทรงนำพามนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่พระองค์ประทานชีวิตให้เข้ามาในโลก ต่อมา มนุษย์ก็มามีพ่อแม่และญาติพี่น้อง และไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป ตั้งแต่ครั้งแรกที่มนุษย์เปิดตามองโลกแห่งวัตถุ เขาก็ได้ถูกลิขิตชะตาไว้แล้วให้ดำรงอยู่ภายในการทรงลิขิตของพระเจ้า ลมปราณจากพระเจ้าสนับสนุนสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดทุกชีวิต ตลอดช่วงวัยเจริญเติบโตไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ในช่วงระหว่างกระบวนการนี้ ไม่มีใครรู้สึกว่ามนุษย์กำลังเติบโตขึ้นภายใต้การดูแลของพระเจ้า พวกเขากลับเชื่อว่ามนุษย์กำลังเติบโตภายใต้การดูแลอันเปี่ยมรักของบิดามารดาของเขา และสัญชาตญาณชีวิตของเขานั่นเองที่กำกับการเติบโตของเขา นี่เป็นเพราะว่ามนุษย์ไม่รู้ว่าผู้ใดประทานชีวิตให้เขา หรือรู้ว่าตัวเขามาจากไหน นับประสาอะไรที่จะรู้หนทางที่สัญชาตญาณชีวิตสร้างปาฏิหาริย์ เขารู้เพียงว่าอาหารคือพื้นฐานที่ช่วยให้ชีวิตดำเนินต่อไป ความพากเพียรบากบั่นคือแหล่งกำเนิดแห่งการดำรงอยู่ของเขา และความเชื่อต่างๆ ในจิตใจของเขาคือทุนที่เขาต้องอาศัยพึ่งพาเพื่อความอยู่รอด เกี่ยวกับพระคุณและการจัดเตรียมของพระเจ้านั้น มนุษย์คือไม่รับรู้อันใดเลยอย่างถึงที่สุด และดังนั้นพวกเขาจึงใช้ชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ไปอย่างสูญเปล่า… ไม่มีแม้แต่คนเดียวในมนุษยชาตินี้ที่พระเจ้าทรงดูแลทั้งวันคืน จะคิดขึ้นมาได้เองว่าจะนมัสการพระองค์ พระเจ้ายังทรงพระราชกิจต่อไปกับมนุษย์ผู้ซึ่งพระองค์ไม่เคยตั้งความคาดหวัง ก็เพียงเท่าที่พระองค์ทรงวางแผนการไว้เท่านั้น พระเจ้าทรงทำเช่นนั้นด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่ง มนุษย์จะตื่นขึ้นจากฝันของเขาและพลันตระหนักถึงคุณค่าและความหมายของชีวิต รวมถึงราคาที่พระเจ้าทรงจ่ายเพื่อทั้งสิ้นทั้งมวลที่พระองค์ได้ประทานให้เขา และความกังวลร้อนใจขณะที่พระเจ้าทรงรอคอยให้มนุษย์หันกลับมาหาพระองค์ ไม่มีใครเคยมองลึกลงไปในความลับทั้งหลายที่กำลังปกครองต้นกำเนิดและการดำรงสืบมาของชีวิตมนุษย์ มีเพียงพระเจ้าผู้เข้าพระทัยทุกสิ่งทั้งหมดนี้เท่านั้นที่ทรงสู้ทนต่อความเจ็บปวดและการโบยตีที่มนุษย์ผู้ซึ่งได้รับทุกอย่างจากพระเจ้าแต่กลับไม่รู้สึกสำนึกขอบคุณได้มอบให้แก่พระองค์ มนุษย์ชื่นชมทุกสิ่งทุกอย่างที่ชีวิตนำมาให้เป็นปกติ และในทำนองเดียวกัน นี่ก็ “เป็นไปตามครรลอง” ที่พระเจ้าทรงถูกทรยศโดยมนุษย์ ถูกลืมเลือนโดยมนุษย์และถูกบังคับขู่เข็ญโดยมนุษย์ เป็นไปได้หรือที่แผนการของพระเจ้าจะสำคัญขนาดนั้นจริงๆ? เป็นไปได้หรือที่มนุษย์ สิ่งมีชีวิตนี้ซึ่งมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า จะสำคัญปานนั้นจริงๆ? แน่นอนว่าแผนการของพระเจ้านั้นสำคัญจริงๆ? อย่างไรก็ดี สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างโดยพระหัตถ์ของพระเจ้านี้ดำรงอยู่ก็เพื่อประโยชน์แห่งแผนการของพระองค์ เพราะฉะนั้น พระเจ้าจะทรงปล่อยให้แผนการของพระองค์สูญเปล่าไปกับความเกลียดชังที่มีต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้ไม่ได้ เพื่อเห็นแก่แผนการของพระองค์และลมปราณที่พระองค์ได้ทรงระบายออกไปพระเจ้าจึงทรงสู้ทนต่อความทรมานทั้งมวล ไม่ใช่เพื่อเนื้อหนังของมนุษย์แต่เพื่อชีวิตของมนุษย์ พระองค์ทรงทำเช่นนั้น มิใช่เพื่อจะได้เนื้อหนังของมนุษย์กลับคืนมา แต่เพื่อจะได้ชีวิตที่พระองค์ทรงระบายลมปราณให้กลับคืนมา นี่คือแผนการของพระองค์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 260
ทุกคนที่เข้ามาในพิภพนี้ต้องผ่านชีวิตและความตาย และพวกเขาส่วนใหญ่ได้ผ่านวัฏจักรแห่งความตายและการเกิดใหม่แล้ว ผู้คนที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้จะตายในไม่ช้า และคนที่ตายแล้วจะกลับมาในอีกไม่นาน ทั้งหมดนี้คือครรลองแห่งชีวิตที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสำหรับสิ่งมีชีวิตแต่ละราย กระนั้นครรลองและวัฏจักรนี้คือความจริงที่ตรงชัดว่า พระเจ้าทรงปรารถนาให้มนุษย์มองเห็นว่า ชีวิตที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์นั้นไร้ขีดจำกัด ไม่ผูกติดกับลักษณะทางกายภาพ เวลาหรือพื้นที่ นั่นแลที่เป็นความล้ำลึกของชีวิตซึ่งถูกประทานมาให้มนุษย์โดยพระเจ้า และเป็นข้อพิสูจน์ว่าชีวิตมาจากพระองค์ แม้หลายคนอาจไม่เชื่อว่าชีวิตมาจากพระเจ้า มนุษย์ก็ชื่นชมทุกสิ่งที่มาจากพระเจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระองค์หรือปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระองค์ก็ตาม หากว่าสักวันหนึ่งพระเจ้าเกิดเปลี่ยนพระทัยขึ้นมาอย่างกะทันหัน และปรารถนาจะทวงคืนทุกอย่างที่ดำรงอยู่ในโลก และเอาชีวิตที่พระองค์ทรงมอบให้กลับคืนไป เมื่อนั้น ทั้งหมดก็จะไม่มีเหลืออยู่อีกต่อไป พระเจ้าทรงใช้ชีวิตของพระองค์จัดหาให้กับทุกสรรพสิ่ง ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต นำพาทุกสิ่งมาสู่ระบบระเบียบที่ดีโดยอาศัยอำนาจตามพระอิทธิฤทธิ์และสิทธิอำนาจของพระองค์ นี่คือความจริงที่ไม่มีใครเลยสามารถคิดได้เองและจับใจความได้ และความจริงที่ไม่อาจจับใจความได้เหล่านี้ก็คือ การสำแดงที่แท้จริงและภาคพันธสัญญาแห่งพลังชีวิตของพระเจ้า บัดนี้ เราขอบอกความลับบางอย่างแก่เจ้าว่า ความยิ่งใหญ่แห่งชีวิตของพระเจ้าและพลังอำนาจแห่งชีวิตของพระองค์นั้นเกินหยั่งถึงได้โดยสิ่งทรงสร้างใด มันเป็นเช่นนั้นในตอนนี้ เช่นเดียวกับที่มันเคยเป็นในอดีต และมันก็จะเป็นเช่นนั้นในกาลข้างหน้าที่จะมาถึง ความลับข้อที่สองที่เราจะบอกคือ แหล่งกำเนิดแห่งชีวิตสำหรับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมดนั้นมาจากพระเจ้า ไม่ว่าพวกมันอาจอยู่ในรูปแบบและโครงสร้างชีวิตที่แตกต่างกันอย่างไรก็ตามที ไม่ว่าเจ้าจะเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทใดก็ตามที เจ้าก็ไม่อาจทวนย้อนวิถีโคจรของชีวิตที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ได้ ไม่ว่าในกรณีใด ทั้งหมดที่เราปรารถนาก็เพื่อให้มนุษย์เข้าใจว่า หากปราศจากการดูแล การปกปักรักษาและการจัดเตรียมของพระเจ้าแล้วไซร้ มนุษย์จะไม่สามารถได้รับทุกสิ่งที่พวกเขาคาดหวังจะได้รับเลย ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างขยันขันแข็งสักแค่ไหนหรือต่อสู้ดิ้นรนอย่างทุลักทุเลเท่าไร หากไร้สิ่งจัดหาเพื่อชีวิตจากพระเจ้า มนุษย์จะสูญเสียสำนึกแห่งคุณค่าของการมีชีวิตและสำนึกแห่งความหมายของชีวิต พระเจ้าจะทรงยอมให้มนุษย์ซึ่งทิ้งขว้างคุณค่าแห่งชีวิตของพระองค์อย่างไม่ใส่ใจนำพามีความสุขเสรีไร้กังวลปานนั้นได้เช่นไร? ดังที่เราได้กล่าวไว้ก่อนนี้ว่า จงอย่าลืมว่าพระเจ้าคือแหล่งกำเนิดแห่งชีวิตของเจ้า หากมนุษย์ไม่ทะนุถนอมทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้ มิเพียงแต่พระเจ้าจะทรงนำทุกสิ่งที่ทรงมอบให้แต่แรกกลับคืนไปเท่านั้น แต่พระองค์จะทรงทำให้มนุษย์ชดใช้คืนพระองค์เป็นสองเท่าของทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงมอบให้อีกด้วย
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 261
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วยพระดำริแห่งองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และภายใต้พระเนตรของพระองค์ สิ่งทั้งหลายที่มนุษยชาติไม่เคยได้ยินมาก่อนได้มาถึงอย่างฉับพลันทันใด แต่ทว่าสิ่งทั้งหลายที่มนุษยชาติได้ครอบครองมาเนิ่นนานพลันหลุดมือไปอย่างไม่ทันรู้ตัว ไม่มีใครสามารถหยั่งลึกได้ว่าองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สถิตอยู่ ณ แห่งหนใด นับประสาอะไรที่จะมีใครสามารถสำนึกรับรู้ความเหนือธรรมชาติและความยิ่งใหญ่แห่งพลังชีวิตขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงอยู่เหนือธรรมชาติตรงที่พระองค์ทรงล่วงรู้ในสิ่งที่มนุษย์มิอาจรู้ได้ พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ตรงที่พระองค์คือหนึ่งเดียวที่ถูกมนุษยชาติทอดทิ้ง แต่พระองค์กลับยังคงทรงคอยช่วยพวกเขาให้รอด พระองค์ทรงรู้ถึงความหมายของชีวิตและความตาย และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงรู้กฎแห่งการดำรงอยู่ซึ่งมวลมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาควรปฏิบัติตาม พระองค์คือรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ และพระองค์คือพระผู้ไถ่ที่ช่วยชุบชีวิตมนุษย์ให้ฟื้นคืนมาอีกครั้ง พระองค์ทรงถ่วงหัวใจที่มีความสุขด้วยความทุกข์และทรงชูใจที่ทุกข์ให้เปี่ยมสุข ทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์ต่องานของพระองค์ และเพื่อประโยชน์ต่อแผนของพระองค์นั่นเอง
มนุษยชาติซึ่งได้ไถลห่างไปจากการจัดเตรียมชีวิตตามแนวทางขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้น ไม่รู้จุดประสงค์ของการดำรงอยู่ แต่กลับหวาดกลัวความตาย พวกเขาไม่มีความช่วยเหลือหรือการสนับสนุน แต่ก็ยังคงลังเลที่จะยอมปิดเปลือกตาลง และได้ทำใจที่จะใช้ชีวิตอย่างต่ำทรามในโลกนี้ เหมือนกระสอบบรรจุเนื้อหนังที่ปราศจากสำนึกแห่งดวงจิตของตน เจ้าดำเนินชีวิตอยู่แบบนี้ อย่างปราศจากความหวัง ปราศจากจุดมุ่งหมาย มนุษย์คนอื่นๆ ก็เช่นกัน มีเพียงองค์บริสุทธิ์ในตำนานเท่านั้นที่จะช่วยผู้คนซึ่งกำลังครวญครางอยู่ท่ามกลางความทุกข์ของตน ผู้รอการมาถึงของพระองค์แทบขาดใจได้ จนถึงตอนนี้ การเชื่อนั้นก็ยังไม่เป็นที่ตระหนักในหมู่คนที่ไร้สติ กระนั้นผู้คนก็ยังโหยหาสิ่งนั้นอยู่ดี องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีพระเมตตาปรานีต่อผู้คนเหล่านี้ที่ทุกข์อย่างล้ำลึก ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงเอือมระอากับผู้คนที่ไร้สติเหล่านี้ เนื่องจากพระองค์ต้องทรงรอคอยคำตอบจากมนุษย์นานเกินไป พระองค์ทรงเฝ้าปรารถนาที่จะแสวงหา แสวงหาหัวใจของเจ้าและจิตวิญญาณของเจ้า เพื่อนำน้ำและอาหารมามอบให้เจ้า เพื่อปลุกเจ้าให้ตื่นขึ้นมา เพื่อที่เจ้าจะไม่ต้องกระหายและหิวโหยอีกต่อไป ยามที่เจ้ารู้สึกอ่อนล้าท้อใจและยามที่เจ้าเริ่มรู้สึกถึงความหนาวเหน็บอ้างว้างบางอย่างในโลกใบนี้ จงอย่าหลงทาง จงอย่าร่ำไห้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้เฝ้าดู จะทรงโอบกอดการมาถึงของเจ้าไม่ว่า ณ เวลาใดก็ตาม พระองค์จะทรงเฝ้าจับตาดูอยู่ข้างกายเจ้า รอคอยให้เจ้าหันหลังกลับมา พระองค์กำลังทรงรอคอยวันที่เจ้าพลันฟื้นความทรงจำขึ้นมา กล่าวคือ ยามที่เจ้าได้ตระหนักว่า ตัวเจ้านั้นมาจากพระเจ้า ได้ตระหนักว่า ณ เวลาหนึ่ง เจ้าได้หลงทางไป ณ เวลาหนึ่ง เจ้าได้สูญเสียสติไปในระหว่างเส้นทาง และ ณ เวลาหนึ่ง เจ้าได้ “บิดา” มาหนึ่งคน ยิ่งไปกว่านั้นคือ ยามที่เจ้าตระหนักว่า องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงติดตามเฝ้าดูเจ้าตลอดมา ทรงรอคอยปักหลักอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานแสนนานเพื่อการกลับมาของเจ้า พระองค์ทรงเฝ้ารอดูด้วยความถวิลหาสุดพระทัย รอคอยการตอบสนองที่ไม่มีแม้คำตอบสักคำ การเฝ้าดูและการรอคอยของพระองค์นั้นเลอค่าเหนือกว่าจะประมาณได้ และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของหัวใจมนุษย์และจิตวิญญาณของมนุษย์ บางที การเฝ้าดูและการรอคอยนี้อาจไม่มีจุดสิ้นสุด และบางทีอาจมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว แต่ตัวเจ้านั้นก็ควรรู้ว่า หัวใจของเจ้าและจิตวิญญาณของเจ้านั้นอยู่ที่ไหนในเวลานี้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การทอดถอนพระทัยขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 262
ในฐานะสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และคริสตชนผู้เปี่ยมศรัทธา พวกเราทุกคนล้วนมีความรับผิดชอบและภาระผูกพัน ที่จะต้องถวายร่างกายและจิตใจเพื่อเติมเต็มพระบัญชาของพระเจ้าให้สำเร็จบริบูรณ์ ด้วยเหตุที่การเป็นอยู่ของพวกเราทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นล้วนมาจากพระเจ้า และดำรงอยู่ได้ก็ด้วยอำนาจอธิปไตยของพระเจ้า หากร่างกายและจิตใจของเรามิได้มีไว้เพื่อพระบัญชาของพระเจ้าและไม่ได้เป็นไปเพื่อเหตุอันชอบธรรมของมวลมนุษย์แล้วไซร้ ดวงวิญญาณของพวกเราจะรู้สึกไม่ควรค่าต่อผู้คนซึ่งได้ยอมพลีชีพเพื่อพระบัญชาของพระเจ้าเลย และยิ่งไม่มีค่าพอต่อพระเจ้าผู้ได้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งไว้ให้กับพวกเรา
พระเจ้าได้ทรงสร้างโลกนี้ขึ้นมา พระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์นี้ขึ้นมา และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเป็นสถาปนิกแห่งวัฒนธรรมกรีกโบราณและอารยธรรมมนุษย์ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงปลอบประโลมมวลมนุษย์นี้ และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงดูแลเอาใจใส่มวลมนุษย์นี้ทั้งคืนและวัน พัฒนาการและความก้าวหน้าของมนุษย์นั้นไม่สามารถแยกออกจากอำนาจอธิปไตยของพระเจ้าได้ และประวัติศาสตร์และอนาคตของมวลมนุษย์เองก็หาได้พ้นไปจากการออกแบบของพระเจ้า หากเจ้าเป็นคริสตชนแท้คนหนึ่ง เจ้าย่อมจะเชื่ออย่างแน่นอนว่า ความรุ่งเรืองและความตกต่ำของประเทศใดหรือชนชาติใดก็ตามอุบัติขึ้นตามการออกแบบของพระเจ้า พระเจ้าแต่เพียงลำพังเท่านั้นที่ทรงรู้ชะตากรรมของประเทศหรือชาตินั้น และพระเจ้าเพียงลำพังเท่านั้นที่ทรงควบคุมครรลองของมวลมนุษย์นี้ หากมวลมนุษย์ปรารถนาจะมีชะตากรรมที่ดี หากประเทศหนึ่งปรารถนาจะมีชะตากรรมที่ดี มนุษย์ก็จะต้องกราบไหว้พระเจ้าเพื่อนมัสการ กลับใจ และสารภาพต่อพระพักตร์ของพระเจ้า หรือหากไม่เช่นนั้น ชะตากรรมและปลายทางของมนุษย์ก็จะต้องเป็นมหันตภัยอย่างหนึ่งซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย
เมื่อมองย้อนกลับไปช่วงเวลาที่โนอาห์สร้างนาวา มวลมนุษย์กำลังเสื่อมทรามอย่างถลำลึก ผู้คนได้หลุดหลงออกไปจากพรของพระเจ้า ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากพระเจ้าอีกต่อไป และได้สูญเสียสัญญาของพระเจ้า พวกเขามีชีวิตอยู่ในความมืดมิด ปราศจากแสงแห่งพระเจ้า จากนั้นพวกเขาก็กลับกลายไปมีลักษณะที่วิปริตผิดศีลธรรม ปล่อยปละละเลยตนเองให้กับความชั่วช้าน่าขยะแขยง ผู้คนเช่นนั้นไม่สามารถได้รับสัญญาของพระเจ้าอีกต่อไป พวกเขาไม่มีความเหมาะสมที่จะได้เป็นพยานพระพักตร์ของพระเจ้า หรือได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ด้วยเหตุที่พวกเขาทอดทิ้งพระเจ้า โยนทุกสิ่งที่พระองค์ประทานให้พวกเขาทิ้งไป และลืมการทรงสอนต่างๆ ของพระเจ้า หัวใจของพวกเขาไถลห่างไปจากพระเจ้าไกลขึ้นและไกลขึ้น และด้วยความที่เป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงกลับกลายไปเป็นเลวร้ายไร้ศีลธรรมจนเลยพ้นไปจากความมีเหตุผลและมนุษยธรรมทั้งมวล และกลายเป็นชั่วร้ายเยี่ยงมารมากขึ้นทุกที จากนั้นเอง พวกเขาได้เดินเข้าใกล้ความตายมากขึ้นเรื่อยๆ และตกไปอยู่ภายใต้พระพิโรธและการลงโทษของพระเจ้า มีเพียงโนอาห์ที่นมัสการพระเจ้าและหลบเลี่ยงมารร้าย และดังนั้นเขาจึงสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและได้ยินคำแนะนำของพระองค์ เขาได้สร้างนาวาขึ้นตามคำแนะนำแห่งพระวจนะของพระเจ้า และที่นั่นเองที่สิ่งทรงสร้างซึ่งมีชีวิตในทุกลักษณะได้มาชุมนุมกัน และด้วยวิธีนี้ เมื่อทุกอย่างถูกเตรียมพร้อม พระเจ้าได้ทรงปลดปล่อยการทำลายล้างลงมาบนโลก มีเพียงโนอาห์กับสมาชิกคนอื่นๆ ของครอบครัวเขาอีกเจ็ดคนที่รอดชีวิตจากการทำลายล้างครั้งนั้น ซึ่งก็เป็นเพราะโนอาห์ได้นมัสการพระยาห์เวห์และหลบเลี่ยงความชั่วนั่นเอง
ตอนนี้ลองมามองที่ยุคปัจจุบัน เหล่ามนุษย์ผู้ชอบธรรมเช่นเดียวกับโนอาห์ ผู้ซึ่งสามารถนมัสการพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วนั้น ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว กระนั้น พระเจ้าก็ยังทรงเปี่ยมพระคุณต่อมวลมนุษย์นี้ และยังทรงอภัยบาปให้กับพวกเขาในช่วงระหว่างยุคสมัยสุดท้ายนี้ พระเจ้าทรงแสวงหาบรรดาผู้ที่ถวิลหาให้พระองค์ทรงปรากฏ พระองค์ทรงแสวงหาบรรดาผู้ที่สามารถได้ยินพระวจนะของพระองค์ ผู้ที่ยังไม่ลืมพระบัญชาของพระองค์ และมอบถวายหัวใจและร่างกายของพวกเขาแด่พระองค์ พระองค์ทรงแสวงหาบรรดาผู้ที่เชื่อฟังดุจทารกทั้งหลายเฉพาะพระพักตร์พระองค์ และไม่ต่อต้านพระองค์ หากเจ้ายอมอุทิศตัวเจ้าให้กับพระเจ้าโดยไม่ถูกยับยั้งจากพลังอำนาจหรือกำลังบังคับใดๆ พระเจ้าก็จะทรงมองดูพวกเจ้าด้วยความโปรดปราน และจะประทานพรของพระองค์ให้กับเจ้า หากเจ้าอยู่ในสถานะอันสูงส่ง มีภาพลักษณ์อันทรงเกียรติ ครองความรู้อันอุดม เป็นเจ้าของสินทรัพย์ล้นเหลือและได้รับการสนับสนุนจากผู้คนมากมาย กระนั้น สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ป้องกันเจ้าจากการมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อยอมรับการทรงเรียกของพระองค์และยอมรับพระบัญชาของพระองค์ และทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้เจ้าทำ เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งที่เจ้าทำก็จะเป็นมูลเหตุอันเปี่ยมความหมายที่สุดบนแผ่นดินโลก และเป็นภาระรับผิดชอบอันชอบธรรมที่สุดของมวลมนุษย์ หากเจ้าปฏิเสธการทรงเรียกของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของสถานภาพและเป้าหมายของตัวเจ้าเอง ทั้งหมดที่เจ้าทำก็จะถูกสาปแช่ง และอาจถึงขั้นถูกดูหมิ่นโดยพระเจ้า บางที เจ้าอาจเป็นประธานาธิบดี นักวิทยาศาสตร์ ศิษยาภิบาล หรือผู้สูงอายุคนหนึ่ง แต่ไม่สำคัญว่าอำนาจในตำแหน่งของเจ้าจะสูงส่งเพียงใด หากเจ้าพึ่งพาความรู้ของเจ้าและความสามารถในหน้าที่รับผิดชอบต่างๆ ของเจ้า เมื่อนั้น เจ้าก็จะเป็นผู้ที่ล้มเหลวเสมอ และจะสูญสิ้นพรจากพระเจ้าเสมอ เพราะพระเจ้าไม่ทรงยอมรับสิ่งใดทั้งสิ้นที่เจ้าทำ และพระองค์ไม่ทรงยอมรับว่าหน้าที่รับผิดชอบของเจ้าเป็นสิ่งที่ชอบธรรม หรือยอมรับว่า เจ้ากำลังทำงานเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ พระองค์จะตรัสว่า ทุกสิ่งที่เจ้าทำนั้นทำไปเพื่อใช้ความรู้และความแข็งแกร่งของมวลมนุษย์เพื่อผลักไสการทรงอารักขาของพระเจ้าไปจากมนุษย์ และว่านั่นทำไปเพื่อที่จะปฏิเสธพรของพระเจ้า พระองค์จะตรัสว่า เจ้ากำลังนำทางมวลมนุษย์ไปสู่ความมืดมิด ไปสู่ความตาย และไปสู่จุดเริ่มต้นของการดำรงอยู่อย่างปราศจากขีดจำกัด ในจุดที่มนุษย์ได้สูญเสียพระเจ้าและพรของพระองค์ไปแล้ว
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 263
เป็นเพราะการประดิษฐ์คิดค้นทางศาสตร์สังคมต่างๆ ของมวลมนุษย์ จิตใจของมนุษย์ได้กลับกลายเป็นถูกจับจองด้วยศาสตร์และความรู้ จากนั้นวิชาและความรู้ก็ได้กลายเป็นเครื่องมือสำหรับการปกครองมวลมนุษย์ และไม่มีพื้นที่พอเพียงสำหรับมนุษย์ที่จะนมัสการพระเจ้าอีกต่อไป และไม่มีสภาพเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยต่อการนมัสการพระเจ้าอีกแล้ว ฐานะของพระเจ้าได้จมต่ำลงทุกทีในหัวใจของมนุษย์ เมื่อปราศจากพระเจ้าในหัวใจเขา โลกภายในของมนุษย์ย่อมมืดมน สิ้นหวัง และว่างเปล่า ภายหลังบรรดานักสังคมศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ และนักการเมืองมากมายได้ออกมาเปิดตัว แสดงทฤษฎีทางศาสตร์สังคมต่างๆ ทฤษฎีแห่งวิวัฒนาการมนุษย์ และทฤษฎีอื่นๆ สารพัดซึ่งขัดแย้งกับความจริงที่ว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา ทรงเติมหัวใจและจิตใจให้แก่มวลมนุษย์ และเช่นนี้เอง ผู้คนซึ่งเชื่อว่า พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างจึงกลับกลายน้อยลงตลอดเวลา และบรรดาผู้ที่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการกลับมีจำนวนมากขึ้นตลอดเวลา ผู้คนปฏิบัติต่อบันทึกต่างๆ เกี่ยวกับงานของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ในระหว่างยุคแห่งพันธสัญญาเดิมราวกับเป็นนิทานปรัมปราและตำนานมากขึ้นทุกที ในหัวใจของพวกเขา ผู้คนกลับกลายเป็นไม่แยแสต่อความทรงเกียรติและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ต่อหลักความเชื่อที่ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่และทรงอำนาจครอบครองเหนือสรรพสิ่งทั้งมวล ความอยู่รอดของมวลมนุษย์และชะตากรรมของประเทศต่างๆ และชนชาติต่างๆ ไม่มีความสำคัญกับพวกเขาอีกต่อไป และมนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลกอันกลวงเป็นโพรงที่กังวลใส่ใจเพียงเรื่องการกิน การดื่ม และการวิ่งไล่ตามความหรรษายินดี… มีผู้คนน้อยนิดที่คิดได้เองในการที่จะเสาะแสวงว่า พระเจ้าทรงปฏิบัติงานของพระองค์อยู่ ณ ที่ใด หรือมองดูว่า พระองค์ทรงจัดการเตรียมการและเป็นประธานเหนือบั้นปลายของมนุษย์อย่างไร และเช่นนี้เอง อารยธรรมของมนุษย์จึงกลายเป็นว่าสามารถสอดรับกับความปรารถนาของมนุษย์ได้น้อยลงทุกที โดยที่มนุษย์มิได้รู้ตัวเลย และมิหนำซ้ำยังมีผู้คนมากมายที่รู้สึกว่า พวกเขามีความสุขในการใช้ชีวิตในโลกแบบนี้น้อยกว่าบรรดาผู้ที่ตายจากไปแล้วเสียอีก แม้แต่ประชาชนของประเทศต่างๆ ที่เคยมีอารยธรรมสูงส่งก็ยังออกมาแสดงความคับข้องใจดังกล่าว ด้วยความที่ปราศจากการทรงนำของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าบรรดานักปกครองและนักสังคมศาสตร์ จะขบคิดกันจนสมองแทบแตกอย่างไร ในอันที่จะรักษาอารยธรรมของมนุษย์เอาไว้ ก็เป็นการไร้ประโยชน์ ไม่มีใครสามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในหัวใจของมนุษย์ได้ เพราะไม่มีใครสามารถเป็นชีวิตของมนุษย์ได้ และไม่มีทฤษฎีเชิงสังคมข้อไหนที่สามารถปลดปล่อยมนุษย์ออกจากความว่างเปล่าที่เขากำลังทนทรมาน ทั้งวิชา ความรู้ อิสรภาพ ประชาธิปไตย ความสบาย ความสะดวก เหล่านี้ล้วนนำการปลอบประโลมมาสู่มนุษย์ได้เพียงชั่วคราว ต่อให้มีสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ก็ยังคงมีบาปและคร่ำครวญถึงความไม่เป็นธรรมของสังคมอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถยับยั้งความอยากและความต้องการของมนุษย์ในการที่จะสำรวจค้นคว้าได้ นี่เป็นเพราะมนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า และการสำรวจค้นคว้าและอุทิศทุ่มเทอย่างไร้สติของมนุษย์ ทำได้แค่เพียงนำไปสู่ความเศร้าหมองที่มากขึ้นเท่านั้น และทำได้เพียงเป็นต้นเหตุให้มนุษย์ดำรงอยู่ในสภาวะแห่งความหวาดกลัวตลอดเวลาเท่านั้น โดยไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับอนาคตของมวลมนุษย์อย่างไร หรือจะเผชิญหน้ากับเส้นทางที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้าอย่างไร มนุษย์ถึงขั้นมาหวาดกลัวต่อวิชาและความรู้ และยิ่งจะหวาดกลัวความรู้สึกที่ว่างเปล่า ในโลกใบนี้ เจ้าไม่สามารถหลีกหนีชะตากรรมของมนุษยชาติได้โดยเด็ดขาด โดยไม่ต้องคำนึงว่า เจ้าใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเสรีหรือในประเทศที่ปราศจากสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ปกครองหรือผู้ถูกปกครอง เจ้าก็ไม่สามารถหลีกหนีความต้องการที่จะค้นคว้าเปิดเผยชะตากรรม ความล้ำลึก และบั้นปลายของมวลมนุษย์ได้ นับประสาอะไรกับการที่เจ้าจะสามารถหลีกหนีไปได้จากสำนึกอันว้าวุ่นสับสนแห่งความว่างเปล่า ปรากฏการณ์ดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในหมู่มวลมนุษย์ทั้งปวง ได้ถูกนักสังคมศาสตร์เรียกว่าปรากฏการณ์ทางสังคม แต่กระนั้น ก็ยังไม่มีมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่คนใดสามารถออกมาแสดงตนเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ไม่ว่าจะอย่างไรท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ก็คือมนุษย์ และไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถมาแทนที่ตำแหน่งและชีวิตของพระเจ้าได้ มวลมนุษย์ไม่เพียงพึงต้องมีสังคมที่ยุติธรรมซึ่งทุกคนถูกบำรุงบำเรออย่างดี และมีอิสรภาพและความเสมอภาคเท่านั้น สิ่งที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องมีคือ ความรอดของพระเจ้าและการจัดเตรียมชีวิตของพระองค์ที่มีให้แก่พวกเขา มีเพียงยามที่มนุษย์ได้รับการจัดเตรียมชีวิตของพระเจ้าและความรอดของพระองค์แล้วเท่านั้น ที่ความต้องการต่างๆ ความโหยหาที่จะค้นคว้าเปิดเผย และความว่างเปล่าทางจิตวิญญาณของมนุษย์จะสามารถได้รับการแก้ไข หากประชาชนของประเทศหนึ่งหรือชนชาติหนึ่ง ไม่สามารถได้รับความรอดและความเอาใจใส่ของพระเจ้าแล้วไซร้ ประเทศหรือชนชาติดังกล่าวก็จะต้องย่ำเท้าไปบนถนนสู่ความเสื่อมถอย ตรงสู่ความมืดมิด และจะถูกทำลายล้างโดยพระเจ้า
บางที ณ ปัจจุบันนี้ ประเทศของเจ้าอาจกำลังรุ่งเรือง แต่หากเจ้าปล่อยให้ประชาชนของเจ้าหันเหไกลห่างไปจากพระเจ้า เมื่อนั้น ประเทศของเจ้าอาจพบว่า ตัวเองได้สูญเสียพระพรของพระเจ้าไปมากขึ้นทุกที อารยธรรมของประเทศของเจ้าจะถูกเหยียบย่ำทำลายอยู่ใต้ฝ่าเท้ามากขึ้นเรื่อยๆ และในไม่ช้า ผู้คนก็จะลุกขึ้นต่อต้านพระเจ้า และสาปแช่งฟ้า และเมื่อเป็นเช่นนั้น ชะตากรรมของประเทศนั้นก็จะพินาศย่อยยับ โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว พระเจ้าจะทรงเพิ่มจำนวนประเทศที่มีอำนาจเพื่อไปจัดการกับบรรดาประเทศซึ่งพระเจ้าสาปแช่ง และอาจทรงถึงขั้นกวาดล้างพวกนั้นออกไปจากแผ่นดินโลกเลยก็เป็นได้ ความรุ่งเรืองและความล่มสลายของประเทศหรือชนชาติหนึ่งนั้น กล่าวได้จริงๆ ว่า ขึ้นอยู่กับการที่ผู้ปกครองทั้งหลายนมัสการพระเจ้าหรือไม่ และพวกเขานำประชาชนของพวกเขาให้เข้าใกล้ชิดกับพระเจ้าและนมัสการพระเจ้าหรือไม่ และยังไม่เพียงเท่านั้น ในยุคสมัยสุดท้ายนี้ ด้วยเหตุที่ผู้คนซึ่งแสวงหาและนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้นหายากมากขึ้นทุกที พระเจ้าจึงประทานความโปรดปรานพิเศษให้แก่ประเทศต่างๆ ที่มีศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ พระองค์ทรงรวบรวมประเทศเหล่านั้นเข้าไว้ด้วยกันเพื่อสร้างรูปแบบของค่ายอันชอบธรรมโดยสัมพันธ์กันของโลกขึ้นมา ในขณะที่บรรดาประเทศที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง และพวกที่ไม่นมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ กลับกลายเป็นปฏิปักษ์กับค่ายอันชอบธรรมนี้ ด้วยวิธีนี้ พระเจ้าไม่เพียงมีสถานที่สำหรับสถิตอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์เพื่อดำเนินการพระราชกิจของพระองค์ แต่ยังทรงได้รับประเทศต่างๆ ที่สามารถนำสิทธิอำนาจอันชอบธรรมไปลงมือปฏิบัติได้ ช่วยให้บทลงโทษและข้อจำกัดต่างๆ ถูกนำมาบังคับใช้ในประเทศเหล่านั้นที่ต่อต้านพระองค์ กระนั้น ทั้งที่เป็นเช่นนี้ ก็ยังคงไม่มีประชาชนเดินหน้าเข้ามานมัสการพระเจ้าเพิ่มอีก เนื่องเพราะมนุษย์ได้หันเหห่างจากพระองค์จนไกลเกินไปแล้ว และมนุษย์ได้ลืมเลือนพระเจ้าไปนานเกินไป ที่ยังหลงเหลืออยู่บนแผ่นดินโลก มีเพียงประเทศต่างๆ ที่นำความชอบธรรมมาปฏิบัติใช้ และต่อต้านความไม่ชอบธรรม แต่นี่ก็ยังห่างไกลความปรารถนาของพระเจ้า ด้วยความที่ไม่มีผู้ปกครองของประเทศไหนที่จะอนุญาตให้พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือประชาชนของพวกเขา และไม่มีพรรคการเมืองไหนที่จะรวบรวมผู้คนของตนเข้าด้วยกันเพื่อมานมัสการพระเจ้า พระเจ้าทรงสูญเสียสถานที่อันเป็นสิทธิ์ของพระองค์ในหัวใจของทุกประเทศ ชนชาติ พรรครัฐบาล และแม้แต่ในหัวใจของบุคคลทุกคน แม้ว่าอำนาจควบคุมอันชอบธรรมต่างๆ ยังมีอยู่บนโลกนี้ แต่การปกครองซึ่งพระเจ้าไม่ทรงมีที่สถิตอยู่ในหัวใจของมนุษย์นั้นช่างเปราะบาง เมื่อปราศจากพระพรของพระเจ้า เวทีการเมืองก็จะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย และกลับกลายเป็นไร้ความสามารถที่จะทานทนการโจมตีแม้สักครั้งได้ สำหรับมวลมนุษย์แล้ว ความเป็นอยู่ที่ปราศจากพระพรของพระเจ้านั้น เป็นเสมือนความเป็นอยู่ที่ปราศจากดวงอาทิตย์ ไม่ต้องคำนึงว่า บรรดาผู้ปกครองทั้งหลายมีส่วนร่วมแบ่งปันต่อประชาชนของตัวเองกันอย่างใส่ใจแข็งขันเช่นไร ไม่ต้องคำนึงว่ามนุษยชาติได้จัดให้มีการประชุมหารือกันอย่างชอบธรรมกี่ครั้ง ไม่มีอะไรสักอย่างในนี้ที่จะมาย้อนกระแสหรือมาปรับเปลี่ยนชะตากรรมของมวลมนุษย์ มนุษย์เชื่อว่า ในประเทศหนึ่งซึ่งมีประชาชนที่มีอาหารกิน มีเครื่องนุ่งห่มสวมใส่ โดยมีพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุขนั้น เป็นประเทศที่ดี และเป็นประเทศที่มีสภาวะผู้นำที่ดีประเทศหนึ่ง แต่พระเจ้ามิได้ทรงดำริเช่นนั้น พระองค์เชื่อว่า ประเทศหนึ่งซึ่งไม่มีใครนมัสการพระองค์เลยนั้น คือประเทศที่พระองค์จะต้องทำลายล้างให้สิ้นซาก วิธีคิดของมนุษย์นั้นขัดแย้งกับวิธีคิดของพระเจ้ามากเกินไป ดังนั้น หากผู้นำของประเทศหนึ่งไม่นมัสการพระเจ้า เมื่อนั้น ชะตากรรมของประเทศนี้ก็จะเป็นชะตากรรมที่น่าเวทนา และประเทศนั้นก็จะไร้แล้วซึ่งจุดหมายปลายทาง
พระเจ้าไม่ได้มีส่วนในทางการเมืองของมนุษย์ กระนั้นชะตากรรมของประเทศหรือชนชาติหนึ่งก็ยังถูกควบคุมโดยพระเจ้า พระเจ้าทรงควบคุมโลกนี้และจักรวาลทั้งหมดทั้งสิ้น ชะตากรรมของมนุษย์และแผนการของพระเจ้าเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น และไม่มีมนุษย์ ประเทศ หรือชนชาติใดที่ได้รับการยกเว้นจากอธิปไตยของพระเจ้า หากมนุษย์ปรารถนาจะรู้ชะตากรรมของเขา เขาจะต้องมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ พระเจ้าจะทรงทำให้ผู้คนที่ติดตามและนมัสการพระองค์มีความเจริญรุ่งเรือง และจะทรงนำความเสื่อมและการสาบสูญไปสู่ผู้คนที่ต่อต้านและปฏิเสธพระองค์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 264
ในความกว้างใหญ่ของจักรวาลและพื้นฟ้า สรรพสิ่งทรงสร้างเกินคณานับดำรงชีวิตอยู่และสืบพันธุ์ ปฏิบัติตามกฎวัฏจักรแห่งชีวิต และยึดมั่นอยู่กับกฎเกณฑ์เดียวซึ่งคงที่ พวกที่ตายไปนำเอาเรื่องราวของการดำเนินชีวิตติดตัวไปด้วย และผู้ที่กำลังดำรงชีวิตอยู่ก็สร้างประวัติอันน่าเวทนาซ้ำแบบเดียวกับพวกที่ดับสูญไปแล้ว และดังนั้น มวลมนุษย์จึงอดไม่ได้ที่จะถามตัวเขาเองว่า พวกเรามีชีวิตไปทำไม? และทำไมพวกเราจึงต้องตาย? ใครบัญชาโลกนี้? และใครสร้างมวลมนุษย์นี้ขึ้นมา? มวลมนุษย์ถูกสร้างโดยแม่ธรณีจริงหรือ? มวลมนุษย์เป็นผู้ควบคุมชะตากรรมของตัวเขาเองจริงหรือ?… เหล่านี้คือคำถามต่างๆ ที่มนุษย์ได้ตั้งคำถามตลอดมาไม่เคยหยุดเป็นเวลาหลายพันปี โชคร้ายก็คือ ยิ่งมนุษย์กลายเป็นย้ำคิดอยู่กับคำถามเหล่านี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งเกิดความกระหายในวิทยาศาสตร์ขึ้นมามากตามกันเท่านั้น วิทยาศาสตร์ให้ความพึงพอใจเพียงรวบรัดและความชื่นชมยินดีเพียงชั่วคราวของเนื้อหนัง แต่ไม่พอเพียงเลยแม้แต่น้อยที่จะปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากความอ้างว้างเดียวดาย ความเหงา และแค่พอจะปกปิดความสะพรึงกลัวและความท้อแท้สิ้นหวังลึกๆ ภายในวิญญาณของเขาเท่านั้น มนุษยชาติแค่ใช้ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ที่เขาสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและเข้าใจได้ด้วยสมองเพื่อทำให้หัวใจของเขาหมดความรู้สึก กระนั้นความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ดังกล่าวก็ไม่เพียงพอที่จะหยุดมนุษยชาติจากการสำรวจความล้ำลึกทั้งหลาย มนุษยชาติแค่ไม่รู้ว่าใครคือผู้ครองอธิปไตยเหนือจักรวาลและทุกสรรพสิ่ง นับประสาอะไรกับเรื่องการเริ่มต้นและอนาคตของมนุษยชาติน้อยเข้าไปอีก มนุษยชาติก็แค่มีชีวิตท่ามกลางกฎนี้อย่างจำยอม ไม่มีใครเลยที่สามารถหลีกหนีได้ และไม่มีใครเปลี่ยนแปลงกฎนี้ได้ เพราะท่ามกลางสรรพสิ่งทั้งมวลและในฟ้าสวรรค์นั้น มีเพียงองค์หนึ่งเดียวตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาลผู้ซึ่งทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง พระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยได้มองเห็น องค์หนึ่งเดียวที่มนุษย์ไม่เคยได้รู้จัก เป็นผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเชื่อในการดำรงอยู่ของพระองค์—กระนั้น พระองค์ก็ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งเป่าลมหายใจเข้าไปในบรรพบุรุษของมนุษยชาติ และให้ชีวิตแก่มนุษยชาติ พระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้จัดเตรียมและบำรุงเลี้ยงมนุษยชาติ ให้โอกาสเขาได้ดำรงอยู่ และพระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงนำมนุษยชาติมาจนถึงปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ผู้นี้เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นองค์หนึ่งเดียวซึ่งมนุษยชาติพึ่งพาเพื่อความอยู่รอด พระองค์ทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งทั้งมวล และปกครองสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในจักรวาล พระองค์ทรงบัญชาฤดูกาลทั้งสี่ และเป็นพระองค์ที่ทรงก่อให้เกิดสายลม น้ำค้างแข็ง หิมะ และสายฝน พระองค์ทรงนำพาแสงแดดมาสู่มนุษยชาติ และนำมาซึ่งราตรีกาล เป็นพระองค์ที่ทรงวางแผนผังฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก จัดเตรียมเทือกเขา ทะเลสาบ และแม่น้ำ และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ในนั้นให้กับมนุษย์ กิจการของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน ฤทธานุภาพของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน พระปรีชาญาณของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน และสิทธิอำนาจของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน ธรรมบัญญัติและกฎเกณฑ์แต่ละประการเหล่านี้คือรูปจำแลงของกิจการของพระองค์ และแต่ละประการเผยพระปรีชาญาณและสิทธิอำนาจของพระองค์ ใครกันเล่าที่ตัวพวกเขาสามารถจะได้รับการยกเว้นจากอธิปไตยของพระองค์? และใครกันเล่าที่สามารถปลดตัวพวกเขาเองออกจากการออกแบบของพระองค์? ทุกสรรพสิ่งดำรงอยู่ภายใต้การเขม้นมองของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น ทุกสรรพสิ่งมีชีวิตอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระองค์ กิจการของพระองค์และฤทธานุภาพของพระองค์ไม่ได้ทิ้งทางเลือกไว้ให้กับมนุษย์ นอกเหนือจากให้รับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่จริงและครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งใดที่นอกเหนือจากพระองค์สามารถบัญชาจักรวาลได้ นับประสาอะไรกับการจัดเตรียมให้กับมนุษยชาตินี้อย่างไม่สิ้นสุด ไม่ว่าเจ้าสามารถระลึกรู้ถึงกิจการของพระเจ้าได้หรือไม่ และไม่ว่าเจ้าเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าหรือไม่ ไม่มีข้อกังขาใดว่า ชะตากรรมของเจ้านั้นถูกกำหนดโดยพระเจ้า และไม่มีข้อกังขาเลยว่า พระเจ้าจะทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งเสมอ การดำรงอยู่และสิทธิอำนาจของพระองค์นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่มนุษย์ระลึกรู้ได้และจับใจความได้หรือไม่ มีเพียงพระองค์ที่รู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของมนุษย์ และมีเพียงพระองค์ที่สามารถกำหนดชะตากรรมของมนุษยชาติ ไม่ว่าเจ้าจะสามารถยอมรับข้อเท็จจริงนี้ได้หรือไม่ อีกไม่นานนัก มนุษยชาติก็จะเป็นพยานรู้เห็นสิ่งทั้งหมดนี้ด้วยตาของพวกเขาเอง และนี่คือข้อเท็จจริงที่พระเจ้าจะทรงนำมาปฏิบัติในอีกไม่ช้านาน มนุษยชาติมีชีวิตอยู่และตายไปภายใต้สายพระเนตรของพระเจ้า มนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่อการบริหารจัดการของพระเจ้า และเมื่อเขาปิดตาลงเป็นครั้งสุดท้าย พวกเขาก็ปิดตาเพื่อการบริหารจัดการนี้ด้วยเช่นกัน มนุษย์มาและไป กลับไปกลับมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งหมดนั้นเป็นส่วนของอธิปไตยของพระเจ้าและการออกแบบของพระองค์โดยไม่มีข้อยกเว้น การบริหารจัดการของพระเจ้านั้นไม่เคยหยุดยั้ง มีความก้าวหน้าอยู่เป็นนิตย์ พระองค์จะทรงทำให้มนุษยชาติตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ ไว้วางใจในอธิปไตยของพระองค์ มองดูกิจการต่างๆ ของพระองค์ และกลับคืนสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ นี่คือแผนการของพระองค์ และพระราชกิจซึ่งพระองค์ทรงบริหารจัดการมาตลอดเวลาหลายพันปี
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น