67. หลังจากที่พ่อของฉันถูกไล่ออก
เมื่อสองสามปีก่อนตอนที่ฉันกำลังทำหน้าที่ไกลบ้าน จู่ๆ ฉันก็ได้ข่าวว่าพ่อของฉันถูกระบุว่าเป็นคนทำชั่วและถูกไล่ออกจากคริสตจักร กล่าวกันว่าบทบาทของพ่อในคริสตจักรไม่มีความเป็นบวก แพร่มโนคติอันหลงผิด ความคิดลบ และบั่นทอนความกระตือรือร้นในการทำหน้าที่ของผู้คน พี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมกับพ่อและตัดแต่งพ่อไปหลายครั้ง แต่พ่อก็ไม่ยอมรับแต่อย่างใด และไม่เป็นมิตรกับคนที่เปิดโปงและตัดแต่งพ่อ ฉันตกใจมากตอนที่ได้ข่าว ฉันรู้ว่าพ่อเป็นคนเจ้าอารมณ์ แต่ก็รู้สึกว่าท่านมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี เปี่ยมรักต่อพี่น้องชายหญิง และช่วยเหลือเสมอเมื่อพวกเขามีความลำบากในชีวิต เพื่อนบ้านทุกคนต่างก็บอกว่าพ่อชอบช่วยเหลือและรักผู้อื่น แล้วจู่ๆ ทำไมถึงถูกขับไล่เพราะเป็นคนชั่วไปได้? ตั้งแต่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าเมื่อ ค.ศ. 2001 พ่อก็เผยแผ่ข่าวประเสริฐและปฏิบัติหน้าที่ของตนมาตลอด พ่ออาศัยนอนตามกองฟืนและสุสานเพื่อหลบหนีการจับกุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน พ่อทนทุกข์มามากและแม้จะไม่ได้ทำอะไรโดดเด่นมากมาย แต่พ่อก็ทำงานหนักมาหลายปี แล้วท่านถูกไล่ออกไปแบบนั้นได้อย่างไร? ฉันนึกสงสัยว่าผู้นำคริสตจักรจัดการผิดพลาดใช่หรือไม่ ทำไมถึงไม่ให้โอกาสพ่อกลับใจ? พอคิดเรื่องพ่อ ฉันก็รู้สึกเจ็บปวดนักหนาอยู่พักใหญ่ และรู้สึกแย่แทนท่าน
หนึ่งปีให้หลัง ฉันกลับมาทำหน้าที่ที่บ้านเกิด ตอนแรกที่เจอพ่อ ฉันยังคงรู้สึกไม่ดีแทนท่านจริงๆ และอยากทำอะไรก็ได้ที่ตนเองสามารถทำได้เพื่อพ่อ พ่อดูแลฉันอย่างดีเยี่ยมเช่นกัน แต่ฉันก็ค่อยๆ ตระหนักว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องในวิธีการพูดของพ่อ พ่อพูดเรื่องที่เป็นลบซึ่งสามารถทำให้ใครบางคนเข้าใจพระเจ้าผิด ตีตัวออกห่างจากพระเจ้า และรู้สึกหดหู่ได้ ยกตัวอย่างแม่ของฉัน แม่เคยเป็นผู้นำคริสตจักร แต่ถูกย้ายเพราะมีขีดความสามารถอ่อนด้อยและไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง แม่จึงอยู่ในสภาวะที่คิดลบอยู่ระยะหนึ่ง พ่อของฉันไม่ได้สามัคคีธรรมถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อช่วยแม่ แต่กลับพูดว่า “ไม่มีความมั่นคงปลอดภัยในพระนิเวศของพระเจ้า และทุกคนจะถูกปลดเข้าสักวัน พระเจ้าไม่ทรงรู้หรอกหรือว่าคุณขาดพร่องขีดความสามารถ? พระเจ้าทรงเจตนาให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นกับคุณ คัดเลือกคุณเป็นผู้นำ แล้วก็ปลดคุณ คุณจะได้ทนทุกข์ พระเจ้าทรงกำหนดขีดความสามารถที่ต่ำต้อยให้คุณ ถ้าพระเจ้าไม่ได้ประทานขีดความสามารถที่ดี คุณก็จะไม่มีวันทำหน้าที่ได้ดี!” หลังจากที่พ่อพูดแบบนั้น สภาวะของแม่ก็เลวร้ายลง พอรู้ว่าพ่อพูดอะไรออกมา ฉันโกรธมากและรู้สึกว่าพ่อไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ นี่เป็นการเปลี่ยนหน้าที่ตามปกติในคริสตจักร แต่พ่อกลับพูดว่าพระเจ้าทรงจงใจทำให้คนทนทุกข์ นั่นไม่ถูกต้องเลย คริสตจักรจัดเตรียมและปรับเปลี่ยนหน้าที่ของผู้คนตามจุดแข็งของพวกเขา ในด้านหนึ่งก็เพื่อให้งานของคริสตจักรพัฒนาไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จมากขึ้น อีกด้านหนึ่งก็เพื่อทำให้ผู้คนสามารถรู้จักขีดความสามารถและวุฒิภาวะของตน พวกเขาจะได้ค้นพบหน้าที่และตำแหน่งที่เหมาะสม ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของตนได้ดีขึ้น และลงมือทำในส่วนของตัวเอง การจัดการเตรียมการเช่นนี้สอดคล้องกับหลักธรรมทุกอย่าง เป็นผลดีต่องานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของผู้คน แม่ถูกโอนย้ายจากตำแหน่งผู้นำที่ทำอยู่ แต่ก็ได้ทำอีกหน้าที่หนึ่งที่เหมาะกับตัวเอง และสามารถรู้จักตนเองและได้รับบทเรียนจากความล้มเหลวนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ? แล้วพ่อบิดเบือนความจริงได้อย่างไร? ในคริสตจักรยังมีพี่น้องชายคนหนึ่งที่ลาออกจากงานเพื่อให้สามารถทำหน้าที่ของตนได้เต็มเวลา ยามที่หน้าที่ของเขาไม่ยุ่งเกินไปนัก เขาก็ทำอาชีพเสริมเพื่อหารายได้ เป็นงานใช้แรงที่หนักเอาการ และเขาก็หาเลี้ยงตัวพลางปฏิบัติหน้าที่ของตนไปด้วย เขาไม่เคยทำอะไรที่ต้องใช้แรงกายอย่างหนัก แล้วพอหมดแรง เขาก็จะรู้สึกแย่มาก พอพ่อฉันรู้เข้า ท่านก็พูดกับพี่น้องคนนั้นว่า “ครอบครัวของผมเคยมีเงินมีทองใช้อยู่บ้าง แต่ตั้งแต่มาเชื่อในพระเจ้า พวกเราก็พลีอุทิศตลอดมา ตอนนี้พวกเราแทบไม่เหลือเงินแล้ว ผมเองก็ต้องทำงานใช้แรงอย่างหนัก คุณล้มเลิกอะไรๆ ไปมากแล้ว แต่วันหนึ่งคุณอาจจะร้องไห้เข้าจริงๆ…” ฉันตกใจมากที่ได้ฟังพ่อพูดเช่นนั้น ทำไมพ่อถึงสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายแบบนั้น? เวลาที่ผู้คนละทิ้งทุกอย่างเพื่อสละตนเองแก่พระเจ้า แม้พวกเขาอาจไม่ได้มั่งคั่งนักในชีวิตทางวัตถุและอาจทุกข์ทนบ้าง แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับคือความจริงและชีวิต นั่นคือบางสิ่งที่เงินทองไม่ว่าจำนวนเท่าใดก็ไม่สามารถแทนที่ได้ สิ่งที่พ่อพูดไปนั้นไม่ตรงตามความจริง ชีวิตของพวกเราไม่ได้หนักหนาไปกว่าที่เคยเป็นมากนัก และหลายครั้งที่พ่อมีปัญหาในการหางานทำหรือมีความลำบากในชีวิต พระเจ้าก็ทรงเปิดทางให้ท่าน ช่วยให้พ่อได้งานที่เหมาะสมเพื่อให้หาเลี้ยงชีวิตได้ต่อไป ก่อนที่จะรับเชื่อ พ่อดื่มเหล้าสูบบุหรี่ตลอด และสุขภาพแย่มาก มือสั่นเวลาถือชามข้าว พอมาเชื่อในพระเจ้า พ่อก็เลิกดื่มและใช้เวลาทำหน้าที่และสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิง สุขภาพของพ่อจึงดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนที่พบเห็นพ่อต่างก็บอกว่าพ่อดูดีขนาดไหน บอกว่าพ่อดูราวกับเป็นคนใหม่ ครอบครัวของพวกเราได้รับพระคุณจากพระเจ้ามามากมายถึงเพียงนี้ แต่พ่อไม่เอ่ยถึงเลย กลับบิดเรื่องราวและพร่ำบ่น จงใจชักพาให้ผู้คนเข้าใจพระเจ้าผิดและติเตียนพระองค์ ตั้งใจก่อกวนความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระเจ้า นำพวกเขาให้ออกห่างจากพระเจ้าและทรยศพระเจ้า
มีเรื่องเช่นนั้นอีกมากมายนัก หลังจากที่ฉันเลิกศึกษาเล่าเรียนเพื่อทำหน้าที่ในคริสตจักรเต็มเวลา พ่อก็พูดเสมอว่า “ลูกสละมากมายโดยไม่เผื่อทางออกให้ตัวเองเลย สักวันลูกจะเสียใจ” นั่นฟังดูไม่ถูกต้อง การที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทำหน้าที่ของตนอยู่ในคริสตจักรย่อมถูกต้องและเหมาะสม นี่คือความรับผิดชอบของฉันและภาระผูกพันของฉัน ฉันล้มเลิกที่จะเล่าเรียนด้วยความตั้งใจของตนเอง การที่สามารถเชื่อและติดตามพระเจ้า และทำหน้าที่ของตนในคริสตจักรได้ คือพระคุณที่พระเจ้าประทานแก่ฉัน และตลอดหลายปีมานี้ ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองในคริสตจักร ฉันจึงเข้าใจความจริงบางอย่างและได้รับสิ่งต่างๆ ที่ฉันไม่เคยได้จากโลกข้างนอก ฉันรู้ว่าผู้คนควรไล่ตามเสาะหาอะไรในชีวิต และฉันก็เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างในโลกดีขึ้นมาก ฉันไม่ติดตามกระแสชั่วทางโลกเหมือนคนหนุ่มสาวที่เป็นผู้ไม่เชื่อ นี่คือของจริงที่ฉันได้รับโดยแท้ ซึ่งไม่มีทางได้จากโรงเรียนเป็นแน่ แต่พ่อกลับทำให้การสละเพื่อพระเจ้าในหน้าที่ของคนเรากลายเป็นเรื่องในทางลบ นั่นไม่ใช่การเผยแพร่ความคิดลบและความตายหรอกหรือ? ฉันจึงโต้กลับไปว่า “ลูกจะไม่เสียใจ! ลูกอาจจะไม่ได้เรียนมาสองสามปีแล้ว และทำหน้าที่ของตัวเองแทน แต่ลูกก็ได้เรียนรู้ความจริงมากมายและได้อะไรมามากเหลือเกิน ลูกจะไม่มีวันได้อะไรแบบนั้นจากหนังสือเป็นอันขาด สิ่งที่พ่อพูดอยู่ไม่สอดคล้องกับความจริง” ฉันตกใจมากเมื่อพ่ออารมณ์เสียขึ้นมา และกำหมัดแน่นด้วยความโกรธราวกับพ่อกำลังจะต่อยฉัน แล้วฉันก็ตระหนักว่าพ่อไม่ใช่คนแบบที่ฉันเคยคิด ฉันตัดสินพ่อจากความประพฤติภายนอกที่ดีเสมอมา ไม่ได้ใช้หลักธรรมความจริง ฉันมองว่าพ่อกังวลสนใจและเอาใจใส่ฉันมาก ดูภายนอกก็มีความรักให้แก่พี่น้องชายหญิง และเป็นคนที่สภาวะความเป็นมนุษย์ไม่ได้ย่ำแย่ แต่เบื้องหลังพฤติกรรมที่ดูดีนั้นมีสิ่งชั่วร้ายอยู่ในหัวใจของพ่อ พ่อมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์อย่างมหาศาล คำพูดของพ่อฟังดูเหมือนปลอบโยนและเข้าอกเข้าใจ คำนึงถึงทางเลือกของพวกเรา แต่อันที่จริงแล้วพ่อกำลังเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ทำให้ผู้คนเข้าใจพระเจ้าผิดและติเตียนพระองค์ การยอมรับวาจาของพ่อจะทำให้พวกเราเกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า หรือถึงกับอยากเลิกเชื่อ เลิกทำหน้าที่ เลิกสละเพื่อพระเจ้า และกลับสู่โลกภายนอก ช่างชักนำไปในทางที่ผิดจริงๆ!
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่พูดถึงพฤติกรรมของพ่อ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พวกที่อยู่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิงซึ่งระบายความรู้สึกในแง่ลบของตนอยู่เสมอนั้นเป็นสมุนของซาตานและพวกเขารบกวนคริสตจักร สักวันหนึ่ง ผู้คนเช่นนี้ต้องถูกขับไล่และกำจัดออกไป ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้น หากผู้คนไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า หากพวกเขาไม่มีหัวใจที่นบนอบพระเจ้าแล้วไซร้ พวกเขาจะไม่เพียงแค่ไร้ความสามารถที่จะทำงานใดๆ เพื่อพระองค์ได้เท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาจะกลายเป็นพวกที่รบกวนพระราชกิจของพระองค์และพวกที่ท้าทายพระองค์ การเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่นบนอบหรือยำเกรงพระองค์ และกลับต่อต้านพระองค์แทนนั้น เป็นความอัปยศยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้เชื่อ หากผู้เชื่อทั้งหลายแค่ทำตามใจชอบและไม่ระงับยับยั้งคำพูดและการประพฤติปฏิบัติตนเหมือนที่ผู้ไม่มีความเชื่อเป็นแล้วไซร้ พวกเขาก็เลวยิ่งกว่าผู้ไม่มีความเชื่อเสียอีก พวกเขาคือปีศาจขนานแท้… ทุกคนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามล้วนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม บางคนไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ในขณะที่คนอื่นๆ แตกต่างออกไป นั่นคือ ไม่ใช่แค่พวกเขามีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเท่านั้น แต่ธรรมชาติของพวกเขายังมุ่งร้ายอย่างที่สุดอีกด้วย ไม่ใช่แค่คำพูดและการกระทำของพวกเขาเท่านั้นที่เปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทรามของพวกเขา แต่ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนเหล่านี้คือหมู่มารและเหล่าซาตานอย่างแท้จริง พฤติกรรมของพวกเขารบกวนและทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก มันรบกวนการเข้าสู่ชีวิตของบรรดาพี่น้องชายหญิง และการนั้นสร้างความเสียหายต่อชีวิตตามปกติของคริสตจักร ไม่ช้าก็เร็ว หมาป่าในคราบแกะเหล่านี้ต้องถูกชำระออกไป ท่าทีที่ไม่ผ่อนปรน ท่าทีแห่งการปฏิเสธ ควรจะถูกนำมาใช้กับสมุนของซาตานเหล่านี้ นี่เท่านั้นคือการยืนในฝ่ายของพระเจ้า และพวกที่ล้มเหลวในการทำเช่นนั้นกำลังเกลือกกลิ้งในโคลนตมกับซาตาน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง) “ผู้คนที่ไม่ดิ้นรนเพื่อความก้าวหน้ามักจะปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นคนคิดลบและเฉื่อยชาเหมือนตัวพวกเขาเองเสมอ พวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงย่อมอิจฉาผู้ที่ปฏิบัติ และพยายามชักพาผู้ที่เลอะเลือนและไม่มีวิจารณญาณให้หลงผิดอยู่เสมอ สิ่งทั้งหลายที่ผู้คนเหล่านี้ระบายออกมาสามารถเป็นสาเหตุให้เจ้าเสื่อมถอย ตกต่ำ พัฒนาไปสู่สภาวะผิดปกติ และเต็มไปด้วยความมืดได้ สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุให้เจ้ากลับกลายเป็นห่างเหินไปจากพระเจ้า และให้เจ้าหวงแหนเนื้อหนังและปรนเปรอตัวเจ้าเอง ผู้คนที่ไม่รักความจริงและที่มักจะสุกเอาเผากินต่อพระเจ้าอยู่เสมอนั้น ไม่มีความตระหนักรู้ในตนเอง และอุปนิสัยของผู้คนเช่นนั้นล่อลวงผู้อื่นให้กระทำบาปและเยาะเย้ยท้าทายพระเจ้า พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริง อีกทั้งพวกเขาไม่ยอมให้ผู้อื่นปฏิบัติความจริง พวกเขาหวงแหนบาปและไม่มีความรังเกียจตัวเองเลย พวกเขาไม่รู้จักตัวเอง และพวกเขาหยุดผู้อื่นจากการรู้จักตัวเอง พวกเขายังหยุดผู้อื่นจากการอยากได้ความจริงอีกด้วย ผู้ที่พวกเขาชักพาให้หลงผิดย่อมไม่สามารถมองเห็นความสว่างได้ พวกเขาตกอยู่ในความมืด ไม่รู้จักตัวเอง ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความจริง และกลายเป็นเหินห่างจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง) พอไตร่ตรองดู ฉันจึงเห็นว่าผู้ที่เผยแพร่มโนคติอันหลงผิด และความคิดลบในหมู่พี่น้องชายหญิงอยู่เสมอย่อมเป็นของซาตาน ผู้คนเช่นนั้นทำตัวเป็นลูกสมุนของซาตาน รบกวนและชักนำให้คนหลงผิด และกีดกันพวกเขาจากการมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า การที่พ่อพูดจาแบบนั้นและพูดอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่การแสดงความเสื่อมทรามเพียงชั่วครั้งชั่วคราวหรือแสดงความคิดลบและความอ่อนแอให้เห็นเท่านั้น นี่เป็นเพราะท่านเกลียดความจริงและเกลียดพระเจ้าจากแก่นแท้ธรรมชาติของพ่อเอง ดังนั้นเวลามีอะไรเกิดขึ้น มุมมองที่พ่อแสดงออกมาจึงตรงข้ามกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงทั้งสิ้น ทั้งหมดนั้นคือมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเพื่อให้ผู้คนเข้าใจพระเจ้าผิด ติเตียนและทรยศพระองค์ ฉันมองเห็นว่าพ่อไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงแต่อย่างใด พ่อปฏิบัติหน้าที่ของตนเพียงเพื่อให้ได้พร และเมื่อไม่ได้รับพรทางด้านวัตถุสำหรับความทุกข์และการสละของตน พ่อจึงรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และถึงกับเต็มไปด้วยความโกรธเคืองและเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า พ่อไม่สามารถติดตามเส้นทางแห่งความเชื่อ และอยากชักจูงคนอื่นให้ออกห่างจากพระเจ้า ทรยศพระเจ้า และประจันหน้าพระเจ้าไปพร้อมกับตน คำพูดของพ่อเต็มไปด้วยเล่ห์กลของซาตาน ทั้งหมดก็เพื่อเล่นงานความตั้งใจในหน้าที่ของผู้คนและทำลายความสัมพันธ์ที่พวกเขามีกับพระเจ้า พ่อเป็นเพียงลูกสมุนของซาตาน เป็นคนของมาร คนปกติที่มีจิตใจดีย่อมจะไม่จงใจทำอะไรแบบนั้นไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกคิดลบและอ่อนแอเพียงไหนก็ตาม มีเพียงปีศาจที่เอาเยี่ยงซาตานเท่านั้นที่จะรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้ามากขนาดนั้น ฉันรู้สึกมากขึ้นทุกทีว่าพ่อของตัวเองน่ากลัวมาก ว่าพ่อไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนทำชั่ว
ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ความว่า “อาจเป็นไปได้ว่าตลอดหลายปีที่เจ้ามีความเชื่อในพระเจ้า เจ้าไม่เคยสาปแช่งใครหรือกระทำความประพฤติเลวร้ายใดๆ แต่ในการคบหาสมาคมกับพระคริสต์ของเจ้า เจ้าไม่สามารถพูดความจริง กระทำการอย่างซื่อสัตย์ หรือนบนอบพระวจนะของพระคริสต์ ในกรณีเช่นนั้น เราบอกเลยว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ชั่วร้ายและมุ่งร้ายที่สุดในโลก เจ้าอาจมีอัธยาศัยดีและอุทิศตนเป็นพิเศษต่อบรรดาญาติ เพื่อน ภรรยา (หรือสามี) บุตรชายหญิง และบิดามารดาของเจ้า และไม่เคยเอาเปรียบผู้อื่น แต่หากเจ้าไม่สามารถเข้ากันได้กับพระคริสต์ หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะมีปฏิสัมพันธ์อย่างปรองดองกับพระองค์ได้แล้วไซร้ ต่อให้เจ้าสละทั้งหมดที่มีให้กับเพื่อนบ้านของเจ้า หรือดูแลเอาใจใส่บิดามารดาและสมาชิกในครัวเรือนของเจ้าอย่างพิถีพิถัน เราก็จะบอกว่าเจ้ายังคงเป็นคนชั่ว และยิ่งกว่านั้น ยังเต็มไปด้วยเพทุบายอันเจ้าเล่ห์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกที่เข้ากันไม่ได้กับพระคริสต์คือปรปักษ์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน) บทตอนนี้ช่วยให้ฉันมองเห็นว่าพวกเราไม่อาจบอกได้ว่าใครดีใครชั่วด้วยการดูภายนอกว่าพวกเขาปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร แต่สามารถบอกได้จากท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและความจริง ไม่ว่าพวกเขาจะดีขนาดไหนเมื่อมองจากภายนอก หรือไม่ว่าผู้คนจะคิดกับพวกเขาอย่างไร ถ้าโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาเกลียดความจริงและพระเจ้า พวกเขาก็คือคนทำชั่วที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า แม้พ่อของฉันจะดูมีน้ำใจไมตรี คอยช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงในเวลาที่พวกเขาขาดพร่องอะไร ไม่เคยตระหนี่ถี่เหนียว และใช้จ่ายเต็มที่เวลาเป็นเจ้าบ้านให้แก่พี่น้องชายหญิง แม้พ่อจะดูเป็นคนดีที่มีใจกรุณา แต่โดยแก่นแท้ธรรมชาติแล้วพ่อรังเกียจความจริง พ่อเกลียดความจริง พ่อรู้ดีว่าพระเจ้าทรงเปิดโปงทัศนะผิดๆ ของพวกเราที่มีความเชื่อเพียงเพื่อที่จะแสวงหาพรเท่านั้น แต่พอพระเจ้าทรงจัดการเตรียมสภาพแวดล้อมที่ไม่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของพ่อ ไม่สนองตอบความอยากได้อยากมีพรของพ่อ พ่อก็ทำตัวน่าเกลียด เต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ตัดสินพระองค์และถึงขั้นเกลียดพระองค์ หลายปีมานี้พ่อไม่เคยทบทวนตัวเองหรือแสวงหาความจริง เอาแต่ตัดสินพระราชกิจของพระเจ้า และเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดที่พ่อมีต่อพระองค์ เจตนาในคำพูดของพ่อมีเล่ห์กลของซาตานอยู่ พาให้ผู้คนคิดลบและอ่อนแอโดยไม่ทันรู้ตัว นี่ช่างชั่วร้ายเสียจริง พระเจ้าทรงประเมินผู้คนตามแก่นแท้ของพวกเขา ตามท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและความจริง แต่ฉันกลับประเมินพ่อของตนเองตามการแสดงออกภายนอก เมื่อเห็นว่าพ่อมีพฤติกรรมที่ดีอยู่บ้าง ฉันก็เชื่อว่าพ่อเป็นคนดีและคริสตจักรไม่ควรไล่พ่อออก ดังนั้นฉันจึงอยากให้การสนับสนุนท่าน ฉันไม่ได้เข้าใจความจริงหรือใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นข้อควรปฏิบัติของตน ฉันช่างเขลาจริงๆ เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกว่าคริสตจักรทำถูกแล้วที่ไล่พ่อออก พ่อเกลียดพระเจ้าและความจริง การถูกคริสตจักรไล่ออกจึงต้องโทษตัวพ่อเองเท่านั้น ฉันไม่รู้สึกเสียใจแทนพ่ออีกแล้ว ฉันรู้สึกเป็นอิสระ
จากนั้นก็มีเรื่องอื่นเกิดขึ้นที่ทำให้ฉันยิ่งรู้จักและเข้าใจพ่อในเชิงลึก พ่อของฉันได้ข่าวว่าพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่เคยตัดแต่งพ่อมาก่อน ถูกปลดจากหน้าที่ของเธอ พ่อมีความสุขมากกับข่าวนี้ และด้วยประกายแห่งความเกลียดชังในดวงตา พ่อก็กัดฟันกรอดและพูดว่า “จำได้ไหมว่าคุณตัดแต่งผมอย่างไร? คุณบอกว่าผมไม่มีหลักธรรมในการทำหน้าที่ ไม่ปฏิบัติความจริง ครั้งนี้ถึงคราวคุณละ!” แววตาของพ่อดุร้ายมากและสีหน้าก็ดูน่ากลัว ฉันได้เห็นว่าพ่อไม่มีความเห็นใจอะไรทั้งสิ้น ตอนที่ถูกตัดแต่ง พ่อก็ไม่ได้แสวงหาความจริงและไม่ได้เรียนรู้ แต่กลับเกลียดคนคนนั้นมาหลายปีเพราะความภาคภูมิใจของตนได้รับความกระทบกระเทือน นี่ยิ่งพิสูจน์ให้ฉันเห็นว่าโดยแก่นแท้แล้ว พ่อเป็นคนที่มีใจมุ่งร้าย เป็นคนทำชั่วที่เกลียดความจริง นี่คือคนทำชั่วที่แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา และแน่นอนว่าการไล่พ่อออกจากคริสตจักรย่อมถูกต้องแล้ว
ในเวลาต่อมา พระนิเวศของพระเจ้าได้จัดแจงให้คริสตจักรหลายแห่งตรวจสอบดูว่ามีคนที่ถูกให้ออกหรือไล่ออกอย่างไม่ถูกต้องบ้างหรือไม่ หรือมีคนที่ถูกให้ออกหรือไล่ออกคนไหนกลับใจจริงๆ บ้างไหม สำหรับผู้คนเหล่านี้ คริสตจักรสามารถพิจารณาคืนตำแหน่งให้พวกเขาได้ตามหลักธรรม ผู้นำคนใหม่ไม่รู้สถานการณ์ของพ่อฉัน เธอเห็นท่าทางกระตือรือร้นและเต็มใจที่จะเป็นเจ้าบ้านให้พี่น้องชายหญิงของพ่อ เห็นว่าพ่อช่วยเหลือพวกเขาหางาน เป็นคนที่ใส่ใจอย่างมาก และถวายของบ้าง เพราะฉะนั้นเธอจึงคิดว่าพ่อคงถูกไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม และอยากพาพ่อกลับเข้าคริสตจักร พอได้ฟังผู้นำกล่าวเช่นนี้ ฉันก็ตกใจมาก เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าการไล่พ่อออกมานั้นสอดคล้องกับหลักธรรมทุกอย่าง ไม่ใช่การไล่ออกที่ผิดพลาด ฉันจึงพูดทันทีว่า “จะให้พ่อกลับเข้ามาอีกไม่ได้” ด้วยความที่ไม่รู้จักพ่อ เธอจึงสามัคคีธรรมถึงการที่ผู้คนต้องการโอกาสที่จะกลับใจ ตอนแรกฉันอยากเล่าพฤติกรรมต่างๆ ของพ่อโดยเฉพาะ แต่ก็ลังเลและไม่ได้พูดอะไรออกไป ฉันคิดอยู่ว่านี่คือพ่อตัวเองที่เลี้ยงดูฉันมาตลอดหลายปีนี้ ถ้าพ่อรู้ว่าฉันขัดขวางไม่ให้รับท่านกลับเข้ามาอีกครั้ง พ่อคงจะเจ็บปวดมาก แล้วก็โกรธฉันมาก! พอคิดแบบนั้น ฉันก็ปิดปากเงียบ แต่ก็รู้สึกผิดจริงๆ หลังจากที่ผู้นำเดินออกไป เรื่องของพ่อมีแค่แม่กับฉันที่รู้อย่างชัดแจ้ง และการไม่พูดในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งแบบนี้ย่อมจะเป็นการปกป้องงานของคริสตจักรไม่สำเร็จ คืนนั้นฉันได้แต่นอนกระสับกระส่าย และนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “ใครคือซาตาน ใครคือปีศาจ และใครคือศัตรูของพระเจ้าหากไม่ใชพวกผู้ต้านทานซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า? พวกเขามิใช่ผู้คนเหล่านั้นที่เป็นกบฏต่อพระเจ้าหรอกหรือ? พวกเขามิใช่บรรดาผู้ที่อ้างว่ามีความเชื่อทว่ายังเป็นผู้ขาดพร่องความจริงหรอกหรือ? พวกเขาไม่ใช่บรรดาผู้ที่เพียงแค่พยายามให้ได้มาซึ่งพรในขณะที่ไร้ความสามารถที่จะเป็นพยานให้พระเจ้าได้หรอกหรือ? เจ้ายังคงอยู่ร่วมกันกับปีศาจเหล่านั้นวันนี้ และปฏิบัติต่อพวกมันด้วยจิตสำนึกและความรัก แต่ในกรณีนี้ เจ้ามิได้กำลังหยิบยื่นเจตนาที่ดีต่อซาตานหรอกหรือ? เจ้ามิได้อยู่ร่วมขบวนการเดียวกับพวกปีศาจหรอกหรือ? หากผู้คนมาได้จนถึงจุดนี้แต่ยังไร้ความสามารถที่จะแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วได้ และยังคงหลับหูหลับตารักและเมตตาต่อไปโดยไม่มีความปรารถนาใดๆ ที่จะแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือไม่ว่าจะหนทางใดก็ไม่มีความสามารถที่จะรับเจตนารมณ์ของพระเจ้าไว้เสมือนเป็นของตนเองได้ เช่นนั้นแล้ว วาระสุดท้ายของพวกเขาจะล้วนน่าอนาถยิ่งขึ้นไปอีก ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าที่เป็นมนุษย์ก็คือศัตรูของพระเจ้า หากเจ้าสามารถแบกรับจิตสำนึกและความรักต่อศัตรูได้ เจ้ามิได้ขาดสำนึกรับรู้แห่งความยุติธรรมหรอกหรือ? หากเจ้าสามารถเข้ากันได้กับพวกเหล่านั้นที่เรารังเกียจและกับพวกที่เราไม่เห็นด้วย และยังคงแบกรับความรักหรือความรู้สึกส่วนตัวต่อพวกเขาอยู่ เช่นนั้นแล้ว เจ้ามิได้เป็นกบฏหรอกหรือ? เจ้ามิได้กำลังต้านทานพระเจ้าโดยเจตนาหรอกหรือ? บุคคลเช่นนั้นถือครองความจริงกระนั้นหรือ? หากผู้คนแบกรับจิตสำนึกต่อเหล่าศัตรู มีความรักให้ปีศาจ และปรานีต่อซาตาน เช่นนั้นแล้ว พวกเขามิได้กำลังทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงักโดยเจตนาหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน) ฉันรู้สึกแย่เมื่อนึกถึงพระวจนะของพระเจ้า ฉันรู้ดีอย่างมากว่าพ่อเกลียดความจริงและต้านทานพระเจ้า ว่าโดยแก่นแท้แล้วพ่อคือคนทำชั่ว พ่อไม่ตรงกับหลักธรรมในการรับคนกลับเข้ามาใหม่ของคริสตจักร แต่ฉันก็ยังอยากที่จะปิดบังให้พ่อและปกป้องท่าน และไม่สามารถเปิดโปงพฤติกรรมชั่วของท่าน ฉันอ่อนไหวเกินไป ฉันกำลังใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตาน เช่น “เลือดข้นกว่าน้ำ” และ “มนุษย์มิใช่ไร้ชีวิตจิตใจ เขาจะสามารถเป็นอิสระจากภาวะอารมณ์ได้อย่างไรกัน?” ฉันคิดว่าพ่อคือพ่อของฉัน ฉันจะไร้หัวใจมากไปก็ไม่ได้ ต้องทำตัวดีเข้าไว้ ฉันกลัวว่าพ่อจะเกลียดฉันถ้าพ่อรู้ว่าฉันพูดถึงปัญหาของท่าน กลัวว่าพ่อจะหาว่าฉันเนรคุณและเลี้ยงเสียข้าวสุกมาตลอดหลายปีนี้ ฉันไม่ได้มองสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า แต่กลับใช้ความรู้สึกปกป้องพ่อแทนการปกป้องงานของคริสตจักร ฉันทั้งต้านทานและทรยศพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองทำ แก่นแท้ของพ่อคือแก่นแท้ของคนทำชั่ว และถ้าพ่อกลับเข้าคริสตจักร ท่านก็มีแต่จะทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักและขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงเท่านั้น นั่นไม่ทำให้ฉันเป็นผู้ช่วยของคนทำชั่วหรอกหรือ? ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งรู้สึกแย่ลง พอใช้ชีวิตตามอารมณ์ของตนเอง ฉันก็ไม่รู้จักแยกแยะถูกผิดและหลงลืมหลักธรรมของการเป็นมนุษย์
ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “พระวจนะของพระเจ้าเอ่ยขอให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่นตามหลักธรรมใดหรือ? จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และจงเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง กล่าวคือ นี่คือหลักธรรมที่ควรปฏิบัติตาม พระเจ้าทรงรักบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ เหล่านี้ยังเป็นผู้คนที่พวกเราควรรักด้วยเช่นกัน พวกที่ไม่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้ที่เกลียดชังและกบฏต่อพระเจ้า—พระเจ้าทรงรังเกียจผู้คนเหล่านี้ และพวกเราก็ควรรังเกียจพวกเขาเช่นกัน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอต่อมนุษย์ หากบิดามารดาของเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า หากพวกเขารู้ดีอย่างเต็มเปี่ยมว่าความเชื่อในพระเจ้าคือเส้นทางที่ถูกต้อง และสามารถนำไปสู่ความรอด แต่ทว่ายังคงไม่ยอมรับ เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคือผู้คนที่รังเกียจและเกลียดชังความจริง และพวกเขาคือผู้ที่ขัดขืนและเกลียดชังพระเจ้า—แล้วก็เป็นธรรมดาที่พระเจ้าจะทรงชังและเกลียดพวกเขา เจ้าจะนึกชังบิดามารดาเยี่ยงนี้ได้หรือไม่? พวกเขาต่อต้านและด่าว่าพระเจ้า—ซึ่งในกรณีนั้นแน่นอนว่าพวกเขาย่อมเป็นปีศาจและเป็นซาตาน เจ้าจะสามารถเกลียดชังและสาปแช่งพวกเขาได้หรือไม่? เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่แท้จริง หากบิดามารดาของเจ้ากีดกันเจ้าไม่ให้เชื่อในพระเจ้า เจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร? ตามที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอ เจ้าควรรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ‘ใครเป็นมารดาของเรา? ใครเป็นพี่น้องของเรา?’ ‘เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา’ พระวจนะเหล่านี้มีอยู่แล้วย้อนหลังไปในยุคพระคุณ และบัดนี้พระวจนะของพระเจ้าก็ยิ่งชัดเจนขึ้นอีก กล่าวคือ ‘จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง’ พระวจนะเหล่านี้ตัดตรงเข้าจุด ทว่าบ่อยครั้งที่ผู้คนไร้ความสามารถที่จะจับความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระวจนะเหล่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น) พระวจนะของพระเจ้ามอบหลักธรรมที่ฉันต้องนำมาใช้กับพ่อ ท่านเป็นพ่อของฉัน แต่ก็เป็นคนชั่วโดยแก่นแท้ธรรมชาติ พ่อเกลียดความจริงและเป็นศัตรูของพระเจ้า พ่อมีแต่จะก่อให้เกิดการหยุดชะงักในคริสตจักรและทำร้ายพี่น้องชายหญิงเท่านั้น พระเจ้าทรงเกลียดชังและรังเกียจผู้คนแบบนั้น และพระองค์ย่อมไม่ทรงช่วยคนทำชั่วให้รอด การคำนึงถึงความรู้สึกดีๆ และความรักที่ฉันมีต่อพ่อย่อมจะโหดร้ายต่อพี่น้องชายหญิง ทำให้คริสตจักรเสียหาย และเป็นการเข้าข้างคนทำชั่วในการต้านทานพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระองค์!
ภายหลัง ฉันกับแม่สามัคคีธรรมกันในเรื่องนี้ เราทั้งคู่รู้สึกว่านี่คือการที่พระเจ้าทรงทดสอบพวกเรา ว่าพวกเราต้องปฏิบัติความจริงและค้ำจุนผลประโยชน์ของคริสตจักร ถ้าพวกเราปิดบังให้พ่อและปกป้องพ่อ และไม่เปิดเผยพฤติกรรมอันชั่วของพ่อ พวกเราก็จะพลอยมีส่วนในความชั่วของพ่อ และย่อมจะถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งและลงโทษไปด้วย พ่อของฉันยังไม่ได้รับตำแหน่งคืน แต่พอพี่น้องชายหญิงมาเยี่ยมพวกเรา พ่อก็ยังจะเผยแพร่วาจาแห่งความคิดลบและความตายที่สร้างความยุ่งเหยิงให้แก่พวกเขา ถ้าพ่อกลับมา ไม่ว่ากลุ่มไหนที่พ่อไปพูดคุยด้วยก็คงเสียหายกันหมด และไม่ว่าคริสตจักรไหนที่พ่อติดต่อด้วย ก็คงมีเหยื่อเต็มคริสตจักรไปหมด! ถ้าฉันเพิกเฉยต่อมโนธรรมของตนเองและเงียบไว้ นั่นย่อมจะสร้างความเสียหายให้แก่พี่น้องชายหญิง และจะเป็นการก่อกวนงานของคริสตจักร! ฉันยิ่งกลัวมากขึ้นและตระหนักว่าในช่วงเวลาอันวิกฤตินี้ การปกป้องงานของคริสตจักรหรือการปิดบังให้คนทำชั่วเกี่ยวข้องกับจุดยืนที่ฉันมี ผู้นำคริสตจักรไม่รู้จักพ่อ คิดว่าพ่อดูภายนอกแล้วเป็นคนดี และกำลังพิจารณาว่าพ่อควรมีโอกาสกลับเข้าคริสตจักรอีกครั้งหรือไม่ แต่พวกเรารู้จักพ่อ พวกเราจึงต้องปฏิบัติความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์ และรายงานพฤติกรรมอันชั่วของพ่อแก่ผู้นำตามความสัตย์จริง ไม่กี่วันให้หลัง ผู้นำได้มาชุมนุมที่บ้านของพวกเรา แม่กับฉันจึงเปิดใจเกี่ยวกับพฤติกรรมอันชั่วของพ่อ และในที่สุดก็ไม่มีการเชิญพ่อกลับไป ฉันรู้สึกถึงสันติสุขอย่างแท้จริงเมื่อปฏิบัติเช่นนี้
ตอนแรก ฉันหลงเชื่อพฤติกรรมภายนอกของพ่อ และไม่มีวิจารณญาณใดๆ ในเรื่องของท่าน ฉันไม่สามารถแยกแยะคนดีกับคนชั่ว เนื่องจากพ่อฉันถูกไล่ออก ฉันจึงได้เรียนรู้ความจริงบางอย่างและมีวิจารณญาณขึ้นมาบ้าง มองเห็นแก่นแท้ของพ่ออย่างชัดเจนว่าเป็นคนทำชั่ว ฉันเอาชนะการจำกัดควบคุมของอารมณ์อันอ่อนไหวและปฏิบัติกับพ่อตามหลักธรรมความจริง นั่นคือการคุ้มครองและความรอดที่พระเจ้าทรงมีให้ฉัน! ขอคำขอบคุณจงมีแด่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!