ง) วิธีบอกความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระเจ้ากับงานของมนุษย์

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

พระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองเกี่ยวพันกับงานของมวลมนุษย์ทั้งปวง และยังเป็นสิ่งแทนพระราชกิจของทั้งยุคสมัยด้วยเช่นกัน ซึ่งหมายความว่าพระราชกิจของพระเจ้าเองเป็นตัวแทนพลวัตและทิศทางทุกอย่างในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในขณะที่งานของอัครทูตย่อมเกิดขึ้นหลังพระราชกิจของพระเจ้าเองและตามรอยพระราชกิจของพระเจ้าเอง และไม่ได้นำยุคสมัย อีกทั้งไม่ได้แสดงถึงทิศทางแห่งพระราชกิจทั้งยุคของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พวกเขาเพียงทำงานที่มนุษย์ควรทำ ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการเลย  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำด้วยพระองค์เองคือโครงการที่อยู่ภายในพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการ  ส่วนงานของมนุษย์เป็นเพียงหน้าที่ที่ผู้คนที่ถูกใช้งานย่อมทำให้ลุล่วง และไม่มีความเกี่ยวข้องกับพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการ  ถึงแม้ว่าจะมีข้อเท็จจริงว่าทั้งสองต่างก็เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ระหว่างพระราชกิจของพระเจ้าเองและงานของมนุษย์ก็มีความแตกต่างที่ชัดเจนและมีความสำคัญเนื่องจากความแตกต่างในอัตลักษณ์และการเป็นตัวแทนของพระราชกิจนั้น  ยิ่งไปกว่านั้น ขอบเขตที่พระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำนั้นแตกต่างออกไปตามวัตถุที่มีอัตลักษณ์ที่แตกต่าง  เหล่านี้คือหลักการและวงเขตของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

พระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เริ่มต้นยุคใหม่ และบรรดาผู้ที่สานต่อพระราชกิจของพระองค์คือบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงใช้งาน  งานที่มนุษย์ทำล้วนอยู่ในพันธกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังทั้งสิ้น และไม่สามารถอยู่นอกขอบเขตนี้ได้  หากพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์มิได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ มนุษย์ย่อมจะไม่สามารถอวสานยุคเก่า และจะไม่สามารถเริ่มต้นยุคใหม่ได้  งานที่มนุษย์กระทำอยู่ภายในระยะหน้าที่ของเขาที่ความสามารถของมนุษย์จะทำได้เท่านั้น และมันมิได้เป็นสิ่งแทนพระราชกิจของพระเจ้า  มีเพียงพระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์เท่านั้นที่สามารถมาและทำพระราชกิจที่พระองค์ควรต้องทำให้ครบบริบูรณ์ได้ และนอกเหนือจากพระองค์แล้วก็ไม่มีผู้ใดสักคนที่สามารถทำพระราชกิจนี้ในนามของพระองค์ได้  แน่นอนว่าสิ่งที่เราพูดถึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการประสูติเป็นมนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจำเป็นต้องมีความรอดจากพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์มากขึ้นทุกขณะ

พระวจนะของพระเจ้าไม่สามารถทำให้มองเห็นเป็นคำพูดของมนุษย์ได้และยิ่งไม่สามารถที่จะทำให้คำพูดของมนุษย์กลายเป็นพระวจนะของพระเจ้าได้  มนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้ไม่ใช่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่มนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้  ในที่นี้มีความแตกต่างประการหนึ่งอยู่ในแก่นแท้  บางทีหลังจากอ่านวจนะเหล่านี้ เจ้าไม่ยอมรับรู้ว่าเหล่านี้คือพระวจนะของพระเจ้า แต่เป็นเพียงความรู้แจ้งที่มนุษย์ได้รับมา  ในกรณีนั้น เจ้าถูกความไม่รู้เท่าทันทำให้ตาบอด  พระวจนะของพระเจ้าจะสามารถเป็นเหมือนกับความรู้แจ้งที่มนุษย์ได้มาได้อย่างไรกัน?  พระวจนะของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เปิดฉากยุคใหม่ นำทางมวลมนุษย์ทั้งปวง เปิดเผยข้อล้ำลึกทั้งหลาย และแสดงให้มนุษย์เห็นทิศทางที่เขาต้องไปในยุคใหม่  ความรู้แจ้งที่มนุษย์ได้รับนั้นเป็นเพียงคำแนะนำเรียบง่ายเพื่อการปฏิบัติหรือเพื่อความรู้เท่านั้น  มันไม่สามารถนำมวลมนุษย์ทั้งปวงเข้าสู่ยุคใหม่หรือเปิดเผยข้อล้ำลึกของพระเจ้าพระองค์เอง  เมื่อพิจารณาจากทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว พระเจ้าก็ทรงเป็นพระเจ้าและมนุษย์ก็คือมนุษย์  พระเจ้าทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้าและมนุษย์มีแก่นแท้ของมนุษย์  หากมนุษย์มีทรรศนะว่าพระวจนะที่พระเจ้าตรัสไว้เป็นการให้ความรู้แจ้งที่เรียบง่ายโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และรับเอาคำพูดของบรรดาอัครทูตและผู้เผยพระวจนะมาเป็นพระวจนะที่พระเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองแล้วไซร้ นั่นย่อมจะเป็นความผิดพลาดของมนุษย์  ไม่ว่าอย่างไร เจ้าไม่ควรผสมปะปนถูกกับผิด หรือทำให้สูงกลายเป็นต่ำ หรือเข้าใจผิดเห็นลุ่มลึกเป็นตื้นเขิน ไม่ว่าอย่างไร เจ้าไม่ควรจงใจปฏิเสธสิ่งที่เจ้ารู้ว่าเป็นความจริง  ทุกคนที่เชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่งควรสืบค้นเข้าไปในปัญหาจากจุดยืนที่ถูกต้องและยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าและพระวจนะใหม่ของพระองค์จากมุมมองของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ มิฉะนั้นพวกเขาก็จะถูกพระเจ้ากำจัดออกไป

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ

งานซึ่งดำเนินการเสร็จสิ้นโดยผู้เดียวที่พระเจ้าทรงใช้นั้นก็เพื่อร่วมมือกับพระราชกิจของพระคริสต์หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์  พระเจ้าทรงอุ้มชูมนุษย์ผู้นี้ไว้ท่ามกลางมนุษย์ เขาอยู่ที่นั่นเพื่อนำทางเหล่าผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทั้งปวง และพระเจ้าทรงอุ้มชูเขาก็เพื่อที่จะให้ปฏิบัติพระราชกิจแห่งความร่วมมือของมนุษย์  ด้วยการที่มีใครบางคนเช่นนี้ซึ่งมีความสามารถที่จะปฏิบัติงานแห่งความร่วมมือของมนุษย์ได้ ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์และพระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ต้องทรงปฏิบัติท่ามกลางมนุษย์จึงสามารถสัมฤทธิ์ผลได้ในปริมาณที่มากขึ้นโดยผ่านทางเขา  อีกหนทางที่จะพูดถึงการนี้เป็นดังนี้คือ จุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการใช้มนุษย์ผู้นี้ก็เพื่อให้ทุกคนที่ติดตามพระเจ้าสามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ดีขึ้น และสามารถบรรลุข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าได้มากขึ้น  เนื่องจากผู้คนนั้นไม่สามารถที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าหรือน้ำพระทัยของพระเจ้าได้โดยตรง พระเจ้าจึงได้ทรงอุ้มชูใครบางคนที่ถูกใช้ในการดำเนินงานดังกล่าวให้เสร็จสิ้นขึ้นมา  บุคคลนี้ที่พระเจ้าทรงใช้สามารถบรรยายได้เช่นกันว่าเป็นสื่อกลางที่พระเจ้าทรงนำผู้คนโดยผ่านทางนี้ เป็น “ผู้แปล” ที่สื่อสารระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์  ด้วยเหตุนั้น มนุษย์ผู้นี้จึงไม่เหมือนกับใครก็ตามในบรรดาผู้ที่ทำงานในครัวเรือนของพระเจ้าหรือผู้ที่เป็นอัครทูตของพระองค์  สามารถกล่าวได้ว่าเขาเป็นใครบางคนที่รับใช้พระเจ้าเช่นเดียวกับพวกเขาเหล่านั้น แต่ในสาระสำคัญของงานของเขาและปูมหลังของการที่พระเจ้าทรงใช้เขานั้น เขาแตกต่างจากคนทำงานคนอื่นๆ และเหล่าอัครทูตอย่างมาก  ในแง่ของสาระสำคัญของงานของเขาและปูมหลังของการใช้เขา มนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้ได้รับการอุ้มชูขึ้นมาโดยพระองค์ พระเจ้าทรงตระเตรียมเขาไว้สำหรับพระราชกิจของพระเจ้า และเขาก็ร่วมมือในพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง  ไม่มีบุคคลใดสามารถมีวันทำงานของเขาแทนเขาได้—นี่เป็นการร่วมมือของมนุษย์อันขาดเสียมิได้เลยไปจนตลอดงานของพระเจ้า  ในขณะเดียวกัน งานที่ดำเนินการเสร็จสิ้นโดยคนทำงานคนอื่นๆ หรือเหล่าอัครทูตนั้นเป็นแต่เพียงการลำเลียงและการนำหลายแง่มุมของการจัดการเตรียมการสำหรับคริสตจักรทั้งหลายในแต่ละช่วงเวลามาลงมือปฏิบัติให้เกิดผล หรือมิฉะนั้นก็เป็นงานของการจัดเตรียมชีวิตแบบเรียบง่ายบางอย่างเพื่อที่จะธำรงรักษาชีวิตคริสตจักร  คนทำงานและอัครทูตเหล่านี้ไม่ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้า นับประสาอะไรที่พวกเขาสามารถถูกเรียกได้ว่าเป็นบรรดาผู้ที่ถูกใช้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  พวกเขาถูกคัดเลือกจากในหมู่คริสตจักรทั้งหลายและหลังจากที่พวกเขาได้รับการฝึกอบรมและบ่มเพาะเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว บรรดาผู้ที่เหมาะสมก็ได้รับการเก็บรักษาไว้ ในขณะที่พวกที่ไม่เหมาะสมถูกส่งกลับไปยังที่ที่พวกเขาจากมา  เนื่องจากผู้คนเหล่านี้ถูกคัดเลือกจากในหมู่คริสตจักรทั้งหลาย บางคนจึงแสดงตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาออกมาหลังจากที่กลายเป็นผู้นำ และบางคนถึงขั้นทำสิ่งไม่ดีมากมายและจบลงด้วยการถูกขับออกไป  ในทางกลับกัน มนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้นั้นเป็นใครบางคนที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมไว้แล้ว และเป็นผู้ที่ครองขีดความสามารถเฉพาะอย่างหนึ่ง และมีสภาวะความเป็นมนุษย์  เขาได้รับการตระเตรียมและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมไว้ล่วงหน้าโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้รับการนำทางอย่างครบบริบูรณ์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาถึงเรื่องงานของเขา เขาได้รับการทรงชี้นำและการบัญชาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์—ผลที่ได้จากการนี้ก็คือ ไม่มีการเบี่ยงเบนใดเลยบนเส้นทางแห่งการนำทางผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เพราะพระเจ้าทรงรับผิดชอบต่อพระราชกิจของพระองค์เองอย่างแน่นอน และพระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์เองอยู่ตลอดเวลา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับการใช้มนุษย์ของพระเจ้า

หากเมื่อพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าเพียงทรงพระราชกิจแห่งเทวสภาพเท่านั้น และไม่มีผู้คนที่สมดังพระทัยของพระองค์มาทำงานร่วมกับพระองค์ เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ก็คงจะไม่สามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือมีส่วนร่วมกับพระเจ้าได้  พระเจ้าจะต้องทรงใช้ผู้คนปกติที่สมดังพระทัยของพระองค์มาทำให้พระราชกิจนี้เสร็จสมบูรณ์ เพื่อสอดส่องดูแลและเป็นผู้เลี้ยงคริสตจักรทั้งหลายเพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลถึงระดับที่กระบวนการทางความคิดความเข้าใจของมนุษย์ ซึ่งก็คือสมองของเขา สามารถที่จะจินตนาการได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงใช้ผู้คนจำนวนเล็กน้อยที่สมดังพระทัยของพระองค์ “แปล” พระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติภายในเทวสภาพของพระองค์เพื่อให้พระราชกิจสามารถเปิดกว้าง—ทรงใช้พวกเขาแปลงภาษาของพระเจ้าให้เป็นภาษาของมนุษย์เพื่อที่ผู้คนจะสามารถจับใจความและเข้าใจพระราชกิจได้  หากพระเจ้าไม่ทรงทำเช่นนี้ ก็คงจะไม่มีใครเข้าใจภาษาแห่งเทวสภาพของพระเจ้า เพราะผู้คนที่สมดังพระทัยของพระเจ้านั้นไม่ว่าอย่างไรก็เป็นคนส่วนน้อย และความสามารถในการจับใจความของมนุษย์ก็อ่อนด้อย  นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงเลือกวิธีการนี้เท่านั้นเมื่อทรงพระราชกิจในเนื้อหนังที่ปรากฏในรูปมนุษย์  หากมีเพียงพระราชกิจในเทวสภาพเท่านั้น มนุษย์คงจะไม่มีทางรู้หรือมีส่วนร่วมกับพระเจ้า เพราะมนุษย์ไม่เข้าใจภาษาของพระเจ้า  มนุษย์สามารถเข้าใจภาษานี้ได้เฉพาะเมื่อผ่านทางการทำงานของผู้คนที่สมดังพระทัยของพระองค์ ผู้ซึ่งชี้แจงพระวจนะของพระองค์ให้ชัดเจนเท่านั้น  อย่างไรก็ดี หากมีเพียงผู้คนดังกล่าวเท่านั้นที่ทำงานภายในความเป็นมนุษย์ ก็คงจะเพียงดำรงรักษาชีวิตปกติของมนุษย์ได้เท่านั้น คงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์ได้  พระราชกิจของพระเจ้าคงจะไม่มีจุดเริ่มต้นใหม่ คงจะมีเพียงบทเพลงเก่าๆ เดิมๆ คำพูดจำเจเก่าๆ แบบเดิมเท่านั้น  มีเพียงโดยผ่านทางบุคคลที่เป็นพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์เท่านั้น บุคคลที่พูดทั้งหมดที่จำเป็นต้องพูดและทำทั้งหมดที่จำเป็นต้องทำในระหว่างช่วงเวลาของการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระองค์ ซึ่งหลังจากนั้นผู้คนย่อมทำงานและได้รับประสบการณ์ตามพระวจนะของพระองค์ มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้น อุปนิสัยในชีวิตของพวกเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเฉพาะในหนทางนี้เท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถเลื่อนไหลไปกับยุคสมัยได้  พระองค์ผู้ซึ่งทำงานอยู่ภายในเทวสภาพคือตัวแทนของพระเจ้า ส่วนบรรดาผู้ที่ทำงานอยู่ภายในสภาวะความเป็นมนุษย์คือผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งาน  กล่าวคือ พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงแตกต่างในแก่นแท้จากผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งาน  พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์สามารถทรงพระราชกิจแห่งเทวสภาพได้ ในขณะที่ผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งานไม่สามารถทำได้  เมื่อแรกเริ่มแต่ละยุคนั้น พระวิญญาณของพระเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองและทรงเริ่มต้นยุคใหม่เพื่อนำมนุษย์เข้าสู่การเริ่มต้นใหม่  เมื่อพระองค์ตรัสเสร็จแล้ว นี่จึงมีความหมายว่าพระราชกิจของพระเจ้าภายในเทวสภาพของพระองค์สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว  หลังจากนั้นประชากรทั้งหมดก็ติดตามการนำของผู้ที่พระเจ้าทรงช่วงใช้เพื่อเข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตของพวกเขา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างในแก่นแท้ระหว่างพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์กับผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งาน

แม้กระทั่งมนุษย์ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระองค์เองได้  นี่ไม่ใช่เป็นเพียงการกล่าวว่ามนุษย์เช่นนั้นไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้เท่านั้น แต่ยังเป็นการกล่าวว่างานที่เขาทำก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าโดยตรงได้เช่นกัน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ประสบการณ์แบบมนุษย์ไม่สามารถถูกนำมาวางไว้โดยตรงภายในการบริหารจัดการของ และมันไม่สามารถเป็นตัวแทนของการบริหารจัดการของพระเจ้า  พระราชกิจที่พระเจ้าพระองค์เองทรงทำล้วนเป็นพระราชกิจที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยที่จะทำในแผนการบริหารจัดการของพระองค์เองทั้งสิ้น และมันเป็นเรื่องของการบริหารจัดการที่ยิ่งใหญ่  งานที่มนุษย์ทำประกอบด้วยการจัดหาประสบการณ์แบบปัจเจกบุคคลของพวกเขา  มันประกอบด้วยการค้นหาเส้นทางใหม่แห่งประสบการณ์ที่นอกเหนือจากเส้นทางที่ถูกเหยียบย่ำโดยผู้ที่ได้ไปแล้วก่อนหน้านั้น และเส้นทางแห่งการนำพี่น้องชายหญิงของพวกเขาขณะที่อยู่ภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์  สิ่งที่ผู้คนเหล่านี้จัดหาคือประสบการณ์แบบปัจเจกบุคคลของพวกเขาหรืองานเขียนเชิงจิตวิญญาณของผู้คนฝ่ายวิญญาณ  ถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้ถูกใช้งานโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่งานที่พวกเขาทำก็ไม่มีความสัมพันธ์กับพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่แห่งการบริหารจัดการในแผนหกพันปี  พวกเขาเป็นแค่บรรดาผู้ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงอุ้มชูขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เพื่อนำทางผู้คนในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ จนกระทั่งหน้าที่รับผิดชอบที่พวกเขาสามารถปฏิบัติได้จะสิ้นสุดลงหรือจนกว่าชีวิตของพวกเขาจะมาถึงปลายทาง  งานที่พวกเขาทำเป็นเพียงเพื่อตระเตรียมเส้นทางอันเหมาะควรไว้สำหรับพระเจ้าพระองค์เอง หรือเพื่อสานต่อแง่มุมเฉพาะบางอย่างจากการบริหารจัดการของพระเจ้าพระองค์เองบนแผ่นดินโลก  ในตัวของผู้คนเหล่านี้นั้น พวกเขาไร้ความสามารถที่จะทำงานที่ยิ่งใหญ่กว่าแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ได้ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถเปิดหนทางใหม่ๆ ออกไปได้ นับประสาอะไรที่พวกเขาคนใดจะสามารถนำพาพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าจากยุคก่อนหน้านั้นไปสู่บทสรุปได้  เพราะฉะนั้น งานที่พวกเขาทำจึงเป็นตัวแทนของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งที่ปฏิบัติหน้าที่หน้าที่รับผิดชอบของเขาเท่านั้น และไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระองค์เองที่ทรงปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ได้  นี่เป็นเพราะงานที่พวกเขาทำไม่เหมือนกับพระราชกิจที่พระเจ้าพระองค์เองทรงทำ  งานแห่งการนำยุคใหม่เข้ามาไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์สามารถทำแทนพระเจ้าได้  งานนี้ไม่มีผู้ใดสามารถทำได้นอกจากพระเจ้าพระองค์เอง  งานทั้งหมดที่มนุษย์ทำนั้นประกอบด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และทำไปเมื่อเขาได้รับการขับเคลื่อนหรือได้รับการให้ความรู้แจ้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  การนำที่ผู้คนเหล่านี้จัดเตรียมนั้นประกอบด้วยการแสดงให้มนุษย์เห็นเส้นทางแห่งการปฏิบัติในชีวิตประจำวันและวิธีที่เขาควรปฏิบัติตนอย่างกลมกลืนกับน้ำพระทัยของพระเจ้าทั้งสิ้น  งานของมนุษย์ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระเจ้า อีกทั้งไม่เป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ดังตัวอย่างหนึ่งคือ งานของวิทเนสลีและวอทช์แมนนี คือการนำทาง  ไม่ว่าหนทางนั้นจะใหม่หรือเก่า งานนั้นก็ตั้งอยู่บนหลักธรรมแห่งการคงอยู่ภายในพระคัมภีร์  ไม่ว่างานนั้นจะเป็นการฟื้นฟูคริสตจักรท้องถิ่นหรือสร้างคริสตจักรท้องถิ่น งานของพวกเขาจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการสถาปนาคริสตจักรทั้งหลาย  งานที่พวกเขาทำได้ทำให้งานที่พระเยซูและอัครทูตทั้งหลายของพระองค์ทิ้งไว้แบบยังไม่เสร็จสิ้นหรือไม่ได้พัฒนาคืบหน้าในยุคพระคุณได้ดำเนินการต่อไปจริงๆ  สิ่งที่พวกเขาทำในงานของพวกเขาก็คือ การฟื้นฟูสิ่งที่พระเยซูได้ทรงขอจากชนรุ่นที่จะมาภายหลังพระองค์ไว้ในพระราชกิจของพระองค์ในกาลสมัยนั้น เช่น การคลุมศีรษะของพวกเขา การรับบัพติศมา การหักขนมปัง หรือการดื่มเหล้าองุ่น  อาจกล่าวได้ว่า งานของพวกเขาคือการปฏิบัติตามพระคัมภีร์และการแสวงหาเส้นทางต่างๆ ภายในพระคัมภีร์  พวกเขาไม่ได้ทำความรุดหน้าใหม่ๆ ประเภทใดเลย… ในเมื่องานของผู้คนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานนั้นไม่เหมือนกับพระราชกิจที่พระเจ้าพระองค์เองทรงทำ อัตลักษณ์ของพวกเขาและบุคคลเป้าหมายที่พวกเขากระทำการแทนก็แตกต่างไปในทำนองเดียวกัน  นี่เป็นเพราะพระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตั้งพระทัยที่จะทำนั้นแตกต่างออกไป และด้วยเหตุผลนี้ บรรดาผู้ที่ทำงานเหมือนกันจึงได้รับมอบอัตลักษณ์และสถานะที่แตกต่างกัน  ผู้คนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานอาจทำงานบางอย่างที่ใหม่ด้วยเช่นกัน และอาจจะขจัดงานบางอย่างที่เคยทำในยุคก่อนหน้านั้นทิ้งไปด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่พวกเขาทำก็ไม่สามารถแสดงออกถึงพระอุปนิสัยและน้ำพระทัยของพระเจ้าในยุคใหม่ได้  พวกเขาทำงานเพียงแค่เพื่อลบงานของยุคก่อนหน้านั้นทิ้งไป และไม่ใช่เพื่อที่จะทำงานใหม่เพื่อจุดประสงค์แห่งการเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าพระองค์เองโดยตรง  ด้วยเหตุนี้ ไม่สำคัญว่าพวกเขาลบล้างการปฏิบัติที่ล้าสมัยไปมากเพียงใด หรือพวกเขาแนะนำการปฏิบัติใหม่ๆ มากเพียงใด พวกเขาก็ยังคงเป็นตัวแทนของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  อย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้าพระองค์เองทรงดำเนินพระราชกิจ พระองค์ไม่ทรงประกาศสำแดงการลบล้างการปฏิบัติต่างๆ ของยุคเก่าอย่างเปิดเผยหรือทรงประกาศสำแดงการตั้งต้นยุคใหม่โดยตรง  พระองค์ทรงซื่อตรงและตรงไปตรงมาในพระราชกิจของพระองค์  พระองค์ทรงเฉียบขาดในการปฏิบัติพระราชกิจที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยที่จะทำ นั่นก็คือ พระองค์ทรงแสดงออกโดยตรงถึงพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำให้เกิดขึ้น ทรงทำพระราชกิจของพระองค์โดยตรงตามที่ได้ตั้งพระทัยไว้แต่เดิม อันเป็นการแสดงออกถึงสิ่งที่ทรงเป็นและพระอุปนิสัยของพระองค์  ตามที่มนุษย์มองเห็นนั้น พระอุปนิสัยของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ก็ล้วนแตกต่างไปจากพระอุปนิสัยและพระราชกิจของพระองค์ในยุคต่างๆ ในอดีต  อย่างไรก็ตาม จากมุมมองของพระเจ้าพระองค์เอง นี่เป็นเพียงความต่อเนื่องและการพัฒนาคืบหน้าในพระราชกิจของพระองค์  เมื่อพระเจ้าพระองค์เองทรงพระราชกิจ พระองค์ทรงแสดงพระวจนะของพระองค์ออกมาและทรงนำพาพระราชกิจใหม่มาโดยตรง  ในทางตรงกันข้าม เมื่อมนุษย์ทำงาน มันเป็นไปโดยผ่านทางการตรึกตรองและการศึกษา หรือมันเป็นการขยายความรู้และความเป็นระบบของการปฏิบัติซึ่งมีรากฐานอยู่บนงานของผู้อื่น  นั่นกล่าวได้ว่า แก่นสารของงานที่มนุษย์ทำคือการปฏิบัติตามระเบียบที่ตั้งไว้และการ “เดินบนเส้นทางเก่าในรองเท้าคู่ใหม่”  นี่หมายความว่า แม้กระทั่งเส้นทางที่ผู้คนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานได้เดินไป ก็ถูกสร้างขึ้นบนเส้นทางที่พระเจ้าพระองค์เองทรงเริ่มไว้  ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากทุกอย่างแล้ว มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ และพระเจ้าก็ยังทรงเป็นพระเจ้าอยู่ดี

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (1)

ระหว่างยุคพระคุณ พระเยซูดำรัสพระวจนะบางคำและทรงพระราชกิจช่วงระยะหนึ่ง  พระวจนะทั้งหมดมีบริบท และล้วนถูกต้องเหมาะสมกับสภาวะของผู้คนในเวลานั้น พระเยซูได้ตรัสและทรงพระราชกิจอย่างเหมาะสมกับบริบทของเวลานั้น  พระองค์ตรัสคำเผยพระวจนะบางอย่างเช่นกัน พระองค์เผยพระวจนะว่าพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาในระหว่างยุคสุดท้ายและจะปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่ง  ซึ่งหมายความว่าพระองค์ไม่ได้เข้าพระทัยสิ่งใดที่อยู่นอกเหนือพระราชกิจที่พระองค์ต้องทำด้วยพระองค์เองในยุคนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระราชกิจที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์นำมานั้นมีขีดจำกัด  ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงพระราชกิจของยุคที่พระองค์ทรงดำรงอยู่เท่านั้นและไม่ทรงพระราชกิจอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์  ในเวลานั้น พระเยซูไม่ได้ทรงพระราชกิจตามความรู้สึกหรือนิมิต แต่ตามที่เหมาะสมกับกาลเวลาและบริบท  ไม่มีผู้ใดนำทางหรือชี้แนะพระองค์  พระราชกิจทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์คือการดำรงอยู่ของพระองค์เอง—เป็นพระราชกิจที่ควรดำเนินการโดยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ซึ่งเป็นพระราชกิจทั้งหมดที่เริ่มขึ้นโดยการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระเยซูทรงพระราชกิจตามสิ่งที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นและสดับฟังเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระวิญญาณทรงพระราชกิจโดยตรง ไม่จำเป็นต้องมีบรรดาผู้สื่อสารมาปรากฏต่อพระองค์และหยิบยื่นความฝันให้พระองค์ และไม่จำเป็นต้องมีความสว่างอันยิ่งใหญ่ฉายมาที่พระองค์และเปิดโอกาสให้พระองค์ทอดพระเนตรเห็น  พระองค์ทรงพระราชกิจอย่างเป็นอิสระโดยไม่ต้องฝืนพระองค์เอง ซึ่งเป็นเพราะพระราชกิจของพระองค์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึก  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจ พระองค์ไม่ได้ควานหาและคาดเดา แต่ทรงทำให้สิ่งต่างๆ สำเร็จลุล่วงอย่างง่ายดาย โดยทรงพระราชกิจและตรัสตามแนวคิดของพระองค์เอง และตามสิ่งที่พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นด้วยพระองค์เอง ทรงจัดเตรียมเสบียงบำรุงเลี้ยงให้แก่สาวกแต่ละคนที่ติดตามพระองค์โดยตรง  นี่คือความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระเจ้าและงานของผู้คน กล่าวคือ เมื่อผู้คนทำงาน พวกเขาแสวงหาและควานหาไปรอบๆ เลียนแบบและตรึกตรองอยู่ตลอดเวลาตามรากฐานที่ผู้อื่นวางไว้เพื่อสัมฤทธิ์การเข้าสู่ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น  ส่วนพระราชกิจของพระเจ้าคือการจัดเตรียมให้ในสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และพระองค์ทรงพระราชกิจที่พระองค์ควรทำด้วยพระองค์เอง พระองค์ไม่ทรงจัดเตรียมเสบียงบำรุงเลี้ยงให้แก่คริสตจักรโดยใช้ความรู้ที่ได้จากผลงานของมนุษย์คนใด  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์กลับทรงพระราชกิจในปัจจุบันตามสภาวะของผู้คน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (5)

เมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์เพียงภายในเทวสภาพเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่พระวิญญาณแห่งสวรรค์ได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทำ  เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์เพียงตรัสไปทั่วดินแดนเท่านั้น เพื่อเปล่งถ้อยดำรัสของพระองค์โดยวิธีการอันแตกต่างกันและจากมุมมองอันแตกต่างกัน  พระองค์ทรงถือว่าการหล่อเลี้ยงมนุษย์และการสอนมนุษย์เป็นเป้าหมายและหลักการสำคัญในการทรงพระราชกิจของพระองค์ และไม่สนพระทัยสิ่งทั้งหลาย เช่น สัมพันธภาพระหว่างบุคคล หรือรายละเอียดทั้งหลายในชีวิตของผู้คน  พันธกิจหลักของพระองค์คือการตรัสเพื่อพระวิญญาณ  กล่าวคือ เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปรากฏเป็นมนุษย์ที่จับต้องได้ พระองค์เพียงทรงจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์และปลดปล่อยความจริงเท่านั้น  พระองค์ไม่ทรงนำพระองค์เองไปเกี่ยวข้องกับงานของมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ไม่ทรงมีส่วนในงานของสภาวะความเป็นมนุษย์  มนุษย์ไม่สามารถทำพระราชกิจของพระเจ้า และพระเจ้าไม่ทรงมีส่วนในงานของมนุษย์  ในช่วงหลายปีนับตั้งแต่พระเจ้าได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกนี้เพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ได้ทรงพระราชกิจนั้นโดยผ่านทางผู้คนเสมอมา  อย่างไรก็ดี ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ได้—เป็นแต่เพียงบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงใช้งานเท่านั้น  ในขณะเดียวกัน พระเจ้าของวันนี้สามารถตรัสโดยตรงจากมุมมองของเทวสภาพ เปล่งพระสุรเสียงของพระวิญญาณออกมาและทรงพระราชกิจในนามของพระวิญญาณ  ในทำนองเดียวกัน บรรดาผู้ที่พระเจ้าได้ทรงใช้งานมาตลอดหลายยุคหลายสมัยก็เป็นตัวอย่างของการที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงพระราชกิจภายในกายเนื้อหนัง—ดังนั้นเหตุใดจึงไม่สามารถเรียกพวกเขาว่าพระเจ้า?  ทว่าพระเจ้าของวันนี้ก็เป็นพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงพระราชกิจโดยตรงในเนื้อหนังเช่นกัน และพระเยซูก็เป็นพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงพระราชกิจในเนื้อหนังด้วย ทั้งสองพระองค์นั้นเรียกว่าพระเจ้า  ดังนั้นแล้วอะไรคือความแตกต่าง?  ผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งานมาตลอดหลายยุคหลายสมัยล้วนสามารถคิดและใช้เหตุผลตามปกติ  พวกเขาทั้งหมดเข้าใจหลักการทั้งหลายในการประพฤติของมนุษย์  พวกเขามีแนวคิดของมนุษย์ปกติ และมีสรรพสิ่งทั้งมวลที่ผู้คนปกติควรมี  พวกเขาส่วนใหญ่มีพรสวรรค์พิเศษและปัญญาโดยกำเนิด  ในการทรงพระราชกิจกับผู้คนเหล่านี้ พระวิญญาณของพระเจ้าทรงใช้ประโยชน์จากพรสวรรค์ทั้งหลายของพวกเขา ซึ่งเป็นของประทานที่พวกเขาได้รับจากพระเจ้า  พระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำพรสวรรค์ของพวกเขามาใช้ ทรงใช้จุดแข็งทั้งหลายของพวกเขามารับใช้พระเจ้า  กระนั้นก็ตาม แก่นแท้ของพระเจ้านั้นปราศจากแนวคิดหรือความคิด ไม่เจือปนด้วยเจตนาของมนุษย์ และถึงกับขาดจากสิ่งที่มนุษย์ปกติมี  กล่าวคือ พระองค์ถึงขนาดไม่ทรงคุ้นเคยกับหลักการทั้งหลายในการประพฤติของมนุษย์  เมื่อพระเจ้าของยุคนี้เสด็จมายังแผ่นดินโลกก็ย่อมเป็นเช่นนี้  พระราชกิจของพระองค์และพระวจนะทั้งหลายของพระองค์ไม่มีเจตนาของมนุษย์หรือความคิดของมนุษย์เจือปน แต่กลับเป็นการสำแดงเจตนารมณ์ของพระวิญญาณโดยตรง และพระองค์ทรงพระราชกิจในนามของพระเจ้าโดยตรง  นี่หมายความว่าพระวิญญาณตรัสโดยตรง กล่าวคือ เทวสภาพทำงานโดยตรง ปราศจากเจตนาของมนุษย์ผสมอยู่แม้แต่น้อย  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงทำให้เทวสภาพเป็นรูปร่างขึ้นโดยตรง ปราศจากความคิดหรือแนวคิดทั้งหลายของมนุษย์ และไม่มีความเข้าใจในหลักการแห่งการประพฤติของมนุษย์  หากมีเพียงเทวสภาพเท่านั้นที่ทำงาน (ซึ่งหมายความว่าหากมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงพระราชกิจ) ก็คงจะไม่มีทางที่พระราชกิจของพระเจ้าจะได้รับการดำเนินการบนแผ่นดินโลก  ดังนั้นเมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์จึงต้องทรงมีผู้คนจำนวนเล็กน้อยให้พระองค์ทรงใช้ทำงานภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ร่วมกับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงปฏิบัติในเทวสภาพ  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ทรงใช้งานของมนุษย์มาค้ำจุนพระราชกิจในเทวสภาพของพระองค์  หาไม่แล้ว มนุษย์คงจะไม่มีทางมีส่วนร่วมโดยตรงในพระราชกิจของพระเจ้า  กรณีของพระเยซูและบรรดาสาวกของพระองค์ก็เป็นเช่นนี้  ช่วงระหว่างเวลาของพระองค์บนโลก พระเยซูได้ทรงยกเลิกธรรมบัญญัติเก่าๆ และได้สถาปนาพระบัญญัติใหม่ขึ้นมา  พระองค์ยังได้ตรัสพระวจนะมากมายอีกด้วย  พระราชกิจทั้งหมดนี้ได้กระทำเสร็จสิ้นในเทวสภาพ  คนอื่นเช่น เปโตร เปาโล และยอห์น ล้วนฝากผลงานที่ตามมาในภายหลังของพวกเขาเอาไว้บนรากฐานแห่งพระวจนะทั้งหลายของพระเยซู  กล่าวคือ พระเจ้าได้ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ในยุคนั้น อันเป็นการเริ่มต้นยุคพระคุณ นั่นคือ พระองค์ได้ทรงนำมาซึ่งยุคใหม่ ทรงยกเลิกยุคเก่า และยังได้ทำให้พระวจนะที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย” ลุล่วงเช่นกัน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์ต้องปฏิบัติงานของมนุษย์บนรากฐานที่เป็นพระราชกิจของพระเจ้า  ทันทีที่พระเยซูได้ตรัสทั้งหมดที่พระองค์จำเป็นต้องตรัสและได้เสร็จสิ้นพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงจากมนุษย์ไป  หลังจากนี้ผู้คนทั้งหมดจึงได้ทำงานตามหลักธรรมที่แสดงไว้ในพระวจนะของพระองค์ และได้ปฏิบัติตามความจริงทั้งหลายที่พระองค์ได้ตรัสไว้  ผู้คนทั้งหมดนี้ได้ทำงานเพื่อพระเยซู  หากพระเยซูทรงพระราชกิจเพียงลำพัง ไม่สำคัญว่าพระองค์ได้ตรัสพระวจนะไปมากมายเท่าใด ผู้คนก็คงไม่มีวิถีทางที่จะมีส่วนร่วมในพระวจนะของพระองค์ เพราะพระองค์จะทรงพระราชกิจในเทวสภาพและสามารถตรัสได้เพียงพระวจนะแห่งเทวสภาพเท่านั้น และพระองค์คงไม่สามารถอธิบายสิ่งทั้งหลายจนถึงขั้นที่ผู้คนปกติสามารถเข้าใจพระวจนะของพระองค์ได้  และดังนั้นพระองค์จึงต้องทรงให้บรรดาอัครทูตและผู้เผยพระวจนะที่ได้ตามมาหลังพระองค์เสริมพระราชกิจของพระองค์  นี่คือหลักธรรมว่าด้วยวิธีที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงพระราชกิจของพระองค์—เป็นการใช้เนื้อหนังที่ปรากฏในรูปมนุษย์เพื่อตรัสและทรงพระราชกิจเพื่อที่จะทำให้พระราชกิจแห่งเทวสภาพเสร็จสมบูรณ์ และจากนั้นจึงใช้ผู้คนไม่กี่คนหรือบางทีอาจมากกว่านั้นที่สมดังพระทัยของพระเจ้ามาเสริมพระราชกิจของพระองค์  นั่นคือ พระเจ้าทรงใช้ผู้คนที่สมดังพระทัยของพระองค์ทำงานแห่งการเป็นผู้เลี้ยงและการให้น้ำในสภาวะความเป็นมนุษย์ เพื่อที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอาจเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างในแก่นแท้ระหว่างพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์กับผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งาน

งานของมนุษย์เป็นตัวแทนของประสบการณ์และสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขา   สิ่งที่มนุษย์จัดเตรียมและงานที่เขาทำนั้นเป็นตัวแทนของตัวเขาเอง  ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของมนุษย์ การใช้เหตุผลของมนุษย์ ตรรกะของมนุษย์ และจินตนาการอันอุดมของเขาทั้งหมดต่างรวมอยู่ในงานของเขา  ประสบการณ์ของมนุษย์นั้น สามารถที่จะเป็นตัวแทนของงานของมนุษย์ได้โดยเฉพาะ และประสบการณ์ของบุคคลหนึ่งย่อมกลายเป็นส่วนประกอบของงานของเขา  งานของมนุษย์สามารถแสดงออกถึงประสบการณ์ของเขา  เมื่อผู้คนบางคนได้รับประสบการณ์ในแง่ลบ ภาษาส่วนใหญ่ในการสามัคคีธรรมของพวกเขาจะประกอบด้วยองค์ประกอบที่เป็นลบ  หากประสบการณ์ของพวกเขาในช่วงเวลาหนึ่งเป็นบวกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาครอบครองเส้นทางในแง่มุมที่เป็นบวก การสามัคคีธรรมของพวกเขาจะหนุนใจเป็นอย่างยิ่ง และผู้คนสามารถได้รับการจัดเตรียมที่เป็นบวกจากสิ่งเหล่านั้น  หากผู้ทำงานคนหนึ่งกลับกลายเป็นทางลบในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การสามัคคีธรรมของเขาจะมีองค์ประกอบที่เป็นลบเสมอ  การสามัคคีธรรมประเภทนี้น่าหดหู่ และคนอื่นๆ จะกลายเป็นหดหู่โดยไม่รู้ตัวหลังจากการสามัคคีธรรมของเขา  สภาวะของผู้ติดตามเปลี่ยนแปลงไปโดยขึ้นอยู่กับสภาวะของผู้นำ  ไม่ว่าผู้ทำงานจะมีลักษณะอย่างไรภายใน นั่นคือสิ่งที่เขาแสดงออก และพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มักเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของมนุษย์  พระองค์ทรงพระราชกิจตามประสบการณ์ของผู้คนและไม่ทรงบังคับพวกเขา แต่ทรงทำข้อเรียกร้องขอจากผู้คนตามช่วงระหว่างการได้รับประสบการณ์ตามปกติของพวกเขา  นี่จึงกล่าวได้ว่าการสามัคคีธรรมของมนุษย์นั้นแตกต่างจากพระวจนะของพระเจ้า  สิ่งที่ผู้คนสามัคคีธรรมสื่อถึงความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและประสบการณ์ของพวกเขาแต่ละคน โดยแสดงออกถึงความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและประสบการณ์ของพวกเขาบนพื้นฐานของพระราชกิจของพระเจ้า  ความรับผิดชอบของพวกเขาคือการค้นหาหลังจากที่พระเจ้าทรงพระราชกิจหรือตรัส ว่าสิ่งใดในนั้นที่พวกเขาควรปฏิบัติหรือเข้าสู่ และจากนั้นจึงส่งต่อสิ่งนั้นให้แก่ผู้ติดตาม  ดังนั้น งานของมนุษย์จึงเป็นตัวแทนการเข้าสู่และการปฏิบัติของพวกเขา  แน่นอนว่างานเช่นนั้นผสมผสานไปด้วยบทเรียนและประสบการณ์ของมนุษย์หรือความคิดบางประการของมนุษย์  ไม่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอย่างไร ไม่ว่าต่อมนุษย์หรือในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ แต่ผู้ทำงานจะแสดงออกถึงสิ่งที่พวกเขาเป็นเสมอ  ถึงแม้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเป็นผู้ทรงพระราชกิจ แต่พระราชกิจนั้นมีรากฐานมาจากสิ่งที่มนุษย์เป็นโดยธรรมชาติ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงดำเนินพระราชกิจโดยปราศจากรากฐาน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระราชกิจไม่ได้เกิดขึ้นมาเองดื้อๆ แต่กระทำขึ้นโดยสอดคล้องกับรูปการณ์แวดล้อมจริงแท้และสภาพเงื่อนไขที่เป็นจริงเสมอ  ในหนทางนี้เท่านั้นอุปนิสัยของมนุษย์จึงสามารถได้รับการแปลงสภาพ และมโนคติที่หลงผิดเก่าๆ ของเขาและความคิดเก่าๆ ของเขาจึงเปลี่ยนแปลง  สิ่งที่มนุษย์แสดงออกคือสิ่งที่เขาเห็น ได้รับประสบการณ์ และสามารถจินตนาการได้ และเป็นสิ่งที่ความคิดของมนุษย์สามารถบรรลุได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นหลักทฤษฎีหรือมโนคติที่หลงผิดก็ตาม  งานของมนุษย์ไม่สามารถเกินวงเขตของประสบการณ์ของมนุษย์ สิ่งที่มนุษย์มองเห็น สิ่งที่มนุษย์สามารถจินตนาการหรือคิดฝันได้ ไม่ว่างานนั้นจะมีขนาดเท่าใดก็ตาม  ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงแสดงออกคือสิ่งที่พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็น และสิ่งนี้มนุษย์ไม่สามารถบรรลุได้—นั่นคือ สิ่งนี้เกินที่ความคิดของมนุษย์จะเอื้อมถึง  พระองค์ทรงแสดงออกถึงพระราชกิจของพระองค์ในการนำมวลมนุษย์ทั้งปวง และสิ่งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับรายละเอียดของประสบการณ์ของมนุษย์ แต่มีความเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระองค์เองแทน  สิ่งที่มนุษย์แสดงออกคือประสบการณ์ของเขา ในขณะที่สิ่งที่พระเจ้าทรงแสดงออกคือสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ซึ่งก็คือพระอุปนิสัยประจำพระองค์ซึ่งอยู่เกินเอื้อมสำหรับมนุษย์  ประสบการณ์ของมนุษย์คือความเข้าใจเชิงลึกและความรู้ที่เขาได้มาจากการแสดงออกของพระเจ้าถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น  ความเข้าใจเชิงลึกและความรู้เช่นนั้นเรียกกันว่าสิ่งที่มนุษย์เป็น และพื้นฐานของการแสดงออกซึ่งความรู้ความเข้าใจนั้นคืออุปนิสัยโดยกำเนิดและขีดความสามารถของมนุษย์—นี่คือสาเหตุที่เรียกสิ่งเหล่านั้นว่าสิ่งที่มนุษย์เป็นด้วย  มนุษย์มีความสามารถที่จะสามัคคีธรรมในสิ่งที่เขาได้รับประสบการณ์และมองเห็น  ไม่มีใครสามารถสามัคคีธรรมในสิ่งที่พวกเขายังไม่ได้รับประสบการณ์ ยังไม่ได้มองเห็น หรือที่ความคิดของพวกเขาไม่สามารถเอื้อมถึงได้ สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่พวกเขาไม่มีอยู่ภายในตัวพวกเขา  หากสิ่งที่มนุษย์แสดงออกไม่ได้มาจากประสบการณ์ของเขา นั่นก็จะเป็นจินตนาการหรือหลักทฤษฎีของเขา  กล่าวอย่างง่ายๆ คือ ไม่มีความเป็นจริงในคำพูดของเขา  หากเจ้าไม่เคยได้มาสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ของสังคม เจ้าคงจะไม่สามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของสังคมได้อย่างชัดเจน  หากเจ้าไม่มีครอบครัว เจ้าคงจะไม่เข้าใจส่วนใหญ่ที่พวกเขาพูดหากคนอื่นๆ พูดถึงเรื่องครอบครัว  ดังนั้นแล้ว สิ่งที่มนุษย์สามัคคีธรรมและงานที่เขาทำจึงเป็นตัวแทนถึงสิ่งที่เขาเป็นภายใน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

วาทะของเราแสดงถึงสิ่งที่เราเป็น แต่สิ่งที่เราพูดอยู่เกินเอื้อมสำหรับมนุษย์  สิ่งที่เราพูดไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์ และมันไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์สามารถมองเห็น และยังไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้ แต่คือสิ่งที่เราเป็น  ผู้คนบางคนรับรู้เพียงว่าสิ่งที่เราสามัคคีธรรมนั้นคือสิ่งที่เราได้รับประสบการณ์ แต่พวกเขาไม่รับรู้ว่าสิ่งนั้นคือการแสดงออกของพระวิญญาณโดยตรง  แน่นอนว่าสิ่งที่เราพูดคือสิ่งที่เราเคยได้รับประสบการณ์มาแล้ว  เราคือผู้ที่ได้ทำงานการบริหารจัดการมาเป็นเวลาหกพันปี  เราได้รับประสบการณ์ในทุกสิ่งทุกอย่างนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการสร้างมวลมนุษย์มาจนถึงตอนนี้ แล้วเราจะไร้ความสามารถที่จะเสวนาถึงการนั้นได้อย่างไร?  เมื่อพูดถึงเรื่องของธรรมชาติของมนุษย์ เราได้มองเห็นอย่างชัดเจนแล้ว เราได้สังเกตเห็นมันมานมนานแล้ว  เราจะไร้ความสามารถที่จะพูดถึงมันอย่างชัดเจนได้อย่างไร?  เป็นเพราะเราได้เห็นแก่นแท้ของมนุษย์อย่างชัดเจน เราจึงมีคุณสมบัติที่จะตีสอนมนุษย์และพิพากษาเขา เพราะมนุษย์ทั้งหมดมาจากเรา แต่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม  แน่นอนว่าเราก็มีคุณสมบัติที่จะประเมินงานที่เราได้ทำไปแล้วเช่นกัน  ถึงแม้ว่างานนี้จะไม่ได้ทำโดยเนื้อหนังของเรา แต่งานนี้เป็นการแสดงออกโดยตรงของพระวิญญาณ และนี่คือสิ่งที่เรามีและสิ่งที่เราเป็น  ดังนั้น เราจึงมีคุณสมบัติที่จะแสดงถึงงานนี้และทำงานที่เราควรต้องทำ  สิ่งที่ผู้คนพูดคือสิ่งที่พวกเขาได้รับประสบการณ์มา นั่นคือสิ่งที่พวกเขาได้มองเห็น สิ่งที่จิตใจของเขาสามารถไปถึงได้ และสิ่งที่สำนึกรับรู้ของพวกเขาสามารถสืบหาได้  นั่นคือสิ่งที่พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมได้  พระวจนะที่ตรัสโดยเนื้อหนังที่ปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าคือการแสดงออกของพระวิญญาณโดยตรง และพระวจนะเหล่านั้นแสดงออกถึงพระราชกิจที่พระวิญญาณได้ทรงทำ ซึ่งเนื้อหนังไม่เคยมีประสบการณ์หรือมองเห็น กระนั้นผู้ที่เป็นเนื้อหนังก็ยังคงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น เพราะแก่นแท้ของเนื้อหนังคือพระวิญญาณ และผู้ที่เป็นเนื้อหนังก็แสดงออกถึงพระราชกิจของพระวิญญาณ  นั่นคืองานที่พระวิญญาณได้ทรงกระทำไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะเกินเอื้อมสำหรับเนื้อหนังก็ตาม  หลังจากการจุติเป็นมนุษย์ โดยผ่านทางการแสดงออกของเนื้อหนัง พระองค์ทรงทำให้ผู้คนสามารถรู้จักสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น และทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำแล้ว  งานของมนุษย์ทำให้ผู้คนมีความกระจ่างแจ้งมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาควรเข้าสู่และสิ่งที่พวกเขาควรทำความเข้าใจ งานนี้เกี่ยวพันกับการนำทางผู้คนสู่การเข้าใจและการได้รับประสบการณ์กับความจริง  งานของมนุษย์คือการค้ำชูผู้คน  พระราชกิจของพระเจ้าคือการเปิดเส้นทางใหม่และยุคสมัยใหม่สำหรับมวลมนุษย์ และเพื่อเปิดเผยต่อผู้คนถึงสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่รู้ ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถรู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์  พระราชกิจของพระเจ้าคือการนำทางมวลมนุษย์ทั้งปวง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

งานของมนุษย์คงอยู่ภายในแนวข่ายหนึ่งและถูกจำกัด  บุคคลหนึ่งสามารถทำได้เพียงงานระยะเฉพาะใดๆ เท่านั้น และไม่สามารถทำงานของทั้งยุคสมัยได้—มิฉะนั้น เขาคงจะนำทางผู้คนเข้าไปสู่ท่ามกลางกฎต่างๆ แล้ว  งานของมนุษย์สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับเวลาหรือระยะที่เฉพาะเจาะจงหนึ่งๆ เท่านั้น  นี่เป็นเพราะว่าประสบการณ์ของมนุษย์มีวงเขตของมันเอง  คนเราไม่สามารถเปรียบเทียบงานของมนุษย์กับพระราชกิจของพระเจ้าได้  วิธีการปฏิบัติของมนุษย์และความรู้เกี่ยวกับความจริงของเขาทั้งหมดใช้ได้กับวงเขตที่เฉพาะเจาะจงหนึ่งๆ  เจ้าไม่สามารถกล่าวว่าเส้นทางที่มนุษย์ก้าวย่างนั้นเป็นน้ำพระทัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างครบบริบูรณ์ เพราะมนุษย์สามารถได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น และไม่สามารถได้รับการเติมเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างครบบริบูรณ์ได้  สิ่งที่มนุษย์สามารถรับประสบการณ์ได้ทั้งหมดอยู่ภายในวงเขตของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และไม่สามารถเกินจากแนวข่ายความคิดในจิตใจของมนุษย์ที่ปกติได้  คนเหล่านั้นทั้งหมดที่สามารถใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริงได้รับประสบการณ์ภายในแนวข่ายนี้  เมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์กับความจริง สิ่งนั้นเป็นประสบการณ์ของชีวิตมนุษย์ที่ปกติที่ได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ นั่นไม่ใช่วิธีการรับประสบการณ์ที่เบี่ยงเบนไปจากชีวิตของมนุษย์ที่ปกติ  พวกเขาได้รับประสบการณ์กับความจริงที่ได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่บนรากฐานของการใช้ชีวิตมนุษย์ของพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น ความจริงนี้แตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล และความลึกซึ้งของความจริงนี้สัมพันธ์กับสภาวะของบุคคลนั้นๆ  คนเราสามารถพูดได้เพียงว่าเส้นทางที่พวกเขาเดินคือชีวิตมนุษย์ที่ปกติของใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และอาจจะเรียกเส้นทางนั้นได้ว่าเส้นทางที่เดินโดยบุคคลที่ปกติที่ได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  คนเราไม่สามารถพูดได้ว่าเส้นทางที่เขาเดินคือเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระดำเนิน  ในประสบการณ์ของมนุษย์ที่ปกตินั้น เพราะผู้คนที่ไล่ตามเสาะหานั้นไม่เหมือนกัน พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่เหมือนกันด้วยเช่นกัน  นอกจากนั้น เพราะสภาพแวดล้อมที่ผู้คนได้รับประสบการณ์และแนวข่ายของประสบการณ์ของพวกเขาไม่เหมือนกัน และเพราะส่วนผสมของจิตใจและความคิดของพวกเขา ประสบการณ์ของพวกเขาจึงผสมผสานในระดับที่แตกต่างกัน  บุคคลแต่ละคนเข้าใจความจริงตามสภาพเงื่อนไขของพวกเขาที่แตกต่างกันและเป็นปัจเจก  ความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับความหมายจริงๆ ของความจริงไม่ได้ครบบริบูรณ์ และเป็นเพียงหนึ่งหรือหลายแง่มุมของความจริงนั้นเท่านั้น  วงเขตของความจริงที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซึ่งสอดคล้องกับสภาพเงื่อนไขของแต่ละบุคคล  ในหนทางนี้ ความรู้เกี่ยวกับความจริงเรื่องเดียวกันตามที่แสดงออกโดยผู้คนที่ต่างกันก็ไม่เหมือนกัน  นี่จึงกล่าวได้ว่าประสบการณ์ของมนุษย์มีข้อจำกัดเสมอ และไม่สามารถเป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างครบบริบูรณ์ อีกทั้งงานของมนุษย์ไม่สามารถได้รับการล่วงรู้ว่าเป็นพระราชกิจของพระเจ้า ถึงแม้ว่าสิ่งที่มนุษย์แสดงออกจะสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างใกล้ชิดมากก็ตาม และถึงแม้ว่าประสบการณ์ของมนุษย์จะใกล้เคียงกับพระราชกิจการทำให้มีความเพียบพร้อมที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดำเนินการก็ตาม  มนุษย์สามารถเป็นได้เพียงผู้รับใช้ของพระเจ้า ผู้ที่กระทำการงานที่พระเจ้ามอบความไว้วางพระทัยให้แก่เขา  มนุษย์สามารถแสดงออกได้เพียงความรู้ที่ได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และความจริงที่ได้รับจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขาเองเท่านั้น  มนุษย์ไม่มีคุณสมบัติและไม่เป็นไปตามสภาพเงื่อนไขที่จะเป็นทางออกของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เขาไม่มีสิทธิ์จะพูดว่างานของเขาคือพระราชกิจของพระเจ้า  มนุษย์มีหลักการทำงานของมนุษย์ และมนุษย์ทุกคนมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันและครอบครองสภาพเงื่อนไขที่หลากหลาย  งานของมนุษย์รวมถึงประสบการณ์ทั้งหมดของเขาภายใต้ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ประสบการณ์เหล่านี้สามารถเพียงเป็นตัวแทนสิ่งที่มนุษย์เป็น และไม่ได้เป็นตัวแทนสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นหรือน้ำพระทัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ดังนั้น จึงไม่สามารถพูดได้ว่าเส้นทางที่มนุษย์เดินเป็นเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระดำเนิน เพราะงานของมนุษย์ไม่สามารถเป็นตัวแทนพระราชกิจของพระเจ้า และงานของมนุษย์และประสบการณ์ของมนุษย์ไม่ได้เป็นน้ำพระทัยที่ครบบริบูรณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์  งานของมนุษย์มีแนวโน้มที่จะเริ่มกลายเป็นกฎเกณฑ์ และวิธีการทำงานของเขาถูกจำกัดเขตที่วงเขตที่จำกัดได้โดยง่าย และไร้ความสามารถที่จะนำผู้คนสู่หนทางที่อิสระได้  ผู้ติดตามส่วนใหญ่ใช้ชีวิตภายในวงเขตที่จำกัด และวิธีได้รับประสบการณ์ของพวกเขาก็ถูกจำกัดในวงเขตของมันด้วยเช่นกัน  ประสบการณ์ของมนุษย์ถูกจำกัดอยู่เสมอ และวิธีการทำงานของเขาก็ถูกจำกัดเป็นไม่กี่ชนิดเช่นเดียวกัน และไม่สามารถเทียบได้กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง  นี่เป็นเพราะว่าในท้ายที่สุดแล้ว ประสบการณ์ของมนุษย์ถูกจำกัด  ไม่ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์อย่างไรก็ตาม พระราชกิจนั้นก็ไม่ถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์  ไม่ว่าพระราชกิจนั้นได้รับการดำเนินการอย่างไรก็ตาม พระราชกิจนั้นก็ไม่ถูกจำกัดด้วยวิธีการหนึ่งเดียวใดๆ  ไม่มีกฎเกณฑ์แต่อย่างใดเลยกับพระราชกิจของพระเจ้า—พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ได้รับการปลดปล่อยและเป็นอิสระ  ไม่สำคัญว่ามนุษย์ใช้เวลาในการติดตามพระองค์มากเพียงใดก็ตาม เขาไม่สามารถกลั่นกรองกฎใดๆ ที่ควบคุมวิธีการทรงพระราชกิจของพระเจ้าได้  ถึงแม้ว่าพระราชกิจของพระองค์จะมีหลักการ แต่พระราชกิจก็ได้รับการดำเนินการในวิธีใหม่ๆ เสมอ และมีการพัฒนาใหม่ๆ เสมอ และอยู่เกินเอื้อมสำหรับมนุษย์  ในช่วงเวลาหนึ่ง พระเจ้าอาจทรงมีพระราชกิจที่ต่างกันหลายชนิดและการนำทางผู้คนที่ต่างกันหลายวิธี ซึ่งทำให้ผู้คนมีการเข้าสู่และการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ อยู่เสมอ  เจ้าไม่สามารถหยั่งรู้กฎของพระราชกิจของพระองค์ได้ เพราะพระองค์ทรงพระราชกิจในวิธีใหม่ๆ เสมอ และดังนั้นผู้ติดตามพระเจ้าจึงไม่กลายเป็นถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์ทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเท่านั้น  พระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองหลีกเลี่ยงมโนคติที่หลงผิดของผู้คนและตอบโต้มโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเสมอ  มีเพียงบรรดาผู้ที่ติดตามและไล่ตามเสาะหาพระองค์ด้วยหัวใจที่แท้จริงเท่านั้นที่สามารถทำให้อุปนิสัยของพวกเขาได้รับการแปลงสภาพและมีความสามารถที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ใดๆ หรือถูกจำกัดด้วยมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาใดๆ  งานของมนุษย์เรียกร้องจากผู้คนโดยมีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ของเขาเองและสิ่งที่เขาเองสามารถสัมฤทธิ์ผลได้  มาตรฐานของข้อพึงประสงค์เหล่านี้จำกัดอยู่ภายในวงเขตเฉพาะหนึ่งๆ และวิธีการปฏิบัติก็ยังถูกจำกัดอย่างมากเช่นเดียวกัน  ดังนั้นผู้ติดตามจึงใช้ชีวิตภายในวงเขตที่จำกัดนี้โดยไม่รู้ตัว เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็กลายเป็นกฎเกณฑ์และพิธีกรรม  หากงานของช่วงเวลาหนึ่งได้รับการนำทางโดยใครบางคนที่ยังไม่ได้ก้าวผ่านการทำให้มีความเพียบพร้อมของพระเจ้าโดยพระองค์เองและยังไม่ได้รับการพิพากษา ผู้ติดตามของเขาทั้งหมดจะกลายเป็นนักศาสนาและผู้เชี่ยวชาญในการต้านทานพระเจ้า  ดังนั้น หากมีใครสักคนเป็นผู้นำที่มีคุณสมบัติ บุคคลนั้นต้องได้ก้าวผ่านการพิพากษาและได้ยอมรับการทำให้มีความเพียบพร้อมมาแล้ว  พวกที่ยังไม่ได้ก้าวผ่านการพิพากษาจะแสดงออกเพียงสิ่งที่คลุมเครือและไม่เป็นจริงเท่านั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ตาม  เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจะนำทางผู้คนเข้าไปในกฎเกณฑ์ที่คลุมเครือและเกินธรรมชาติ  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงดำเนินการไม่ได้สอดคล้องกับเนื้อหนังของมนุษย์  พระราชกิจของพระองค์ไม่ได้สอดคล้องกับความคิดของมนุษย์ แต่ตอบโต้มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์  พระราชกิจของพระองค์ไม่ได้ถูกทำให้ด่างพร้อยด้วยการแต้มสีสันของศาสนาที่คลุมเครือ  ผลลัพธ์ของพระราชกิจของพระเจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้โดยใครบางคนที่ยังไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์  ผลลัพธ์เหล่านี้เกินที่ความคิดของมนุษย์จะเอื้อมถึง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

ผู้คนบางคนจะถามว่า “อะไรเล่าคือความแตกต่างระหว่างพระราชกิจที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ได้ทรงทำกับงานของบรรดาผู้เผยพระวจนะและอัครทูตแห่งอดีตกาล?  ดาวิดก็ถูกเรียกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเช่นกัน และพระเยซูก็ทรงถูกเรียกเช่นนั้นเช่นกัน แม้ว่างานที่พวกเขาได้ทำนั้นแตกต่าง แต่พวกเขาก็ถูกเรียกด้วยชื่อเดียวกัน  จงบอกเรา ทำไมอัตลักษณ์ของพวกเขาจึงไม่เหมือนกัน?  สิ่งที่ยอห์นได้รู้เห็นคือนิมิตหนึ่ง เป็นนิมิตที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นกัน และเขาสามารถพูดพระวจนะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตั้งพระทัยจะตรัส ทำไมอัตลักษณ์ของยอห์นจึงแตกต่างจากพระอัตลักษณ์ของพระเยซูเล่า?”  พระวจนะที่พระเยซูตรัสสามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ และพระวจนะเหล่านั้นเป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระเจ้าอย่างเต็มที่  สิ่งที่ยอห์นได้เห็นคือนิมิตหนึ่ง และเขาไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างครบบริบูรณ์  ทำไมในเมื่อยอห์น เปโตรและเปาโลได้พูดคำพูดมากมาย เหมือนที่พระเยซูได้ตรัส แต่พวกเขากลับไม่ได้มีอัตลักษณ์เดียวกันกับพระเยซูเล่า?  หลักๆ แล้วเป็นเพราะงานที่พวกเขาได้ทำนั้นแตกต่าง  พระเยซูทรงเป็นตัวแทนของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า และทรงเป็นพระวิญญาณแห่งพระเจ้าที่ทรงพระราชกิจโดยตรง  พระองค์ทรงพระราชกิจของยุคใหม่ เป็นพระราชกิจที่ไม่เคยมีใครได้ทำมาก่อน  พระองค์ทรงเปิดทางใหม่ พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของพระยาห์เวห์ และพระองค์ทรงเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระองค์เอง แต่ในส่วนของเปโตร เปาโล และดาวิดนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะถูกเรียกว่าอะไรก็ตาม พวกเขาก็เป็นเพียงตัวแทนอัตลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น และถูกพระเยซูหรือพระยาห์เวห์ทรงส่งมา  ดังนั้นไม่สำคัญว่าพวกเขาจะได้ทำงานมากเพียงใด ไม่สำคัญว่าการอัศจรรย์ที่พวกเขาได้ปฏิบัติจะยิ่งใหญ่เพียงใด พวกเขาก็ยังคงเป็นแค่สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าได้  พวกเขาได้ทำงานในพระนามของพระเจ้า หรือได้ทำงานหลังจากที่ได้ถูกพระเจ้าทรงส่งมา นอกจากนี้พวกเขาได้ทำงานในยุคที่พระเยซูหรือพระยาห์เวห์ได้ทรงเริ่มต้น และพวกเขาไม่ได้ทำงานอื่นเลย  จะว่าไปแล้ว พวกเขาเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยเรื่องชื่อและอัตลักษณ์

ในยุคพระคุณ พระเยซูได้ตรัสไว้หลายคำและทรงพระราชกิจมากมาย  พระองค์ทรงแตกต่างจากอิสยาห์อย่างไร?  พระองค์ทรงแตกต่างจากดาเนียลอย่างไร?  พระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระวจนะหรือไม่?  ทำไมจึงพูดว่าพระองค์คือพระคริสต์?  อะไรคือความแตกต่างระหว่างพวกเขา?  พวกเขาล้วนเป็นบุรุษทุกคนที่กล่าวคำพูด และคำพูดของพวกเขาก็ปรากฏต่อมนุษย์เหมือนกันไม่มากก็น้อย  พวกเขาทั้งหมดกล่าวคำพูดและทำงาน  ผู้เผยพระวจนะในภาคพันธสัญญาเดิมได้กล่าวคำพยากรณ์ และในทำนองเดียวกัน พระเยซูก็สามารถทำเช่นนั้นได้  ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?  ความแตกต่างในที่นี้อยู่บนพื้นฐานของลักษณะของงาน  เพื่อแยกแยะในเรื่องนี้ เจ้าต้องไม่พิจารณาธรรมชาติของเนื้อหนัง อีกทั้งเจ้าไม่ควรพิจารณาความลึกหรือความผิวเผินของคำพูดของพวกเขา  เจ้าต้องพิจารณางานของพวกเขาและผลที่งานของพวกเขาสัมฤทธิ์ในมนุษย์ก่อนเสมอ  คำพยากรณ์ที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ในเวลานั้นไม่ได้จัดหาชีวิตของมนุษย์ และการดลใจที่พวกเขา เช่น อิสยาห์และดาเนียล ได้รับนั้นเป็นเพียงคำพยากรณ์ และไม่ใช่วิถีชีวิต  หากไม่ใช่เพื่อการเปิดเผยโดยตรงของพระยาห์เวห์ ก็คงไม่มีใครสามารถทำงานนั้นได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์  พระเยซูก็ได้ตรัสพระวจนะหลายคำเช่นกัน แต่คำพูดเช่นนี้เป็นวิถีชีวิตซึ่งมนุษย์สามารถหาเส้นทางไปสู่การปฏิบัติจากมันได้  นั่นก็คือการกล่าวว่า ประการแรก พระองค์สามารถจัดหาชีวิตของมนุษย์ได้เพราะพระเยซูทรงเป็นชีวิต ประการที่สอง พระองค์สามารถแก้ไขแง่มุมที่บิดเบี้ยวของมนุษย์ให้ถูกต้องได้ ประการที่สาม พระราชกิจของพระองค์สามารถทำต่อจากพระราชกิจของพระยาห์เวห์เพื่อดำเนินการยุคต่อได้ ประการที่สี่ พระองค์สามารถจับความเข้าใจในสิ่งจำเป็นภายในมนุษย์และเข้าใจในสิ่งที่มนุษย์ขาดพร่อง ประการที่ห้า พระองค์สามารถนำมาซึ่งยุคใหม่และสรุปปิดตัวยุคเก่า  นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ทรงถูกเรียกว่าพระเจ้าและพระคริสต์ พระองค์ไม่เพียงทรงแตกต่างจากอิสยาห์เท่านั้น แต่ทรงแตกต่างจากผู้เผยพระวจนะท่านอื่นๆ ทั้งหมดอีกด้วย  ลองดูอิสยาห์เป็นตัวเปรียบเทียบสำหรับงานของบรรดาผู้เผยพระวจนะ  ประการแรก เขาไม่สามารถจัดหาชีวิตของมนุษย์ ประการที่สอง เขาไม่สามารถนำมาซึ่งยุคใหม่  เขาทำงานภายใต้การนำของพระยาห์เวห์และไม่ใช่เพื่อการนำมาซึ่งยุคใหม่  ประการที่สาม คำพูดที่เขากล่าวนั้นอยู่เหนือเขา  เขาได้รับการเปิดเผยโดยตรงจากพระวิญญาณของพระเจ้า และคนอื่นๆ จะไม่เข้าใจ แม้จะได้ฟังคำพูดเหล่านั้น  เพียงไม่กี่สิ่งเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าคำพูดของเขาไม่ได้เป็นมากกว่าคำพยากรณ์ ไม่ได้เป็นมากกว่าแง่มุมหนึ่งของงานที่ถูกทำแทนที่ของพระยาห์เวห์  อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระยาห์เวห์ได้อย่างสมบูรณ์  เขาเป็นผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ เป็นเครื่องมือในพระราชกิจของพระยาห์เวห์  เขาเพียงแค่กำลังทำงานในยุคธรรมบัญญัติและภายในขอบเขตของพระราชกิจของพระยาห์เวห์ เขาไม่ได้ทำงานเกินเลยยุคธรรมบัญญัติ  ในทางตรงกันข้าม พระราชกิจของพระเยซูแตกต่างออกไป  พระองค์ทรงอยู่เหนือขอบเขตของพระราชกิจของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงพระราชกิจเสมือนพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และก้าวผ่านการตรึงกางเขนเพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งหมด  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ได้ทรงดำเนินการพระราชกิจใหม่นอกพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทรงทำ  นี่คือการนำมาซึ่งยุคใหม่  นอกจากนี้ พระองค์ยังสามารถตรัสถึงสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้  พระราชกิจของพระองค์เป็นพระราชกิจภายในการบริหารจัดการของพระเจ้าและเกี่ยวข้องกับมวลมนุษย์ทั้งหมด  พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจในมนุษย์เพียงไม่กี่คน อีกทั้งพระราชกิจของพระองค์ก็ไม่ได้มีไว้เพื่อนำทางมนุษย์จำนวนจำกัด  ในส่วนของวิธีที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ วิธีที่พระวิญญาณทรงมอบวิวรณ์ในเวลานั้น และวิธีที่พระวิญญาณทรงเคลื่อนลงสถิตบนบุรุษหนึ่งเพื่อทรงพระราชกิจ—เหล่านี้เป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้  มันเป็นไปไม่ได้อย่างที่สุดที่ความจริงเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นบทพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์  ดังนั้น ความแตกต่างสามารถทำขึ้นได้ท่ามกลางพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งเป็นรูปธรรมสำหรับมนุษย์  นี่เท่านั้นที่เป็นจริง  นี่เป็นเพราะเรื่องของพระวิญญาณนั้นไม่สามารถมองเห็นได้สำหรับเจ้าและมีพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงรู้จักอย่างชัดเจน และแม้แต่เนื้อหนังในพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ก็ทรงรู้ไม่ทั้งหมด เจ้าสามารถเพียงแค่ตรวจสอบยืนยันได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่จากพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำไปแล้ว  จากพระราชกิจของพระองค์ จะเห็นได้ว่า ประการแรก พระองค์สามารถเปิดฉากยุคใหม่ ประการที่สอง พระองค์สามารถจัดหาชีวิตของมนุษย์และแสดงให้มนุษย์เห็นหนทางที่จะติดตามไป  นี่เพียงพอที่จะยืนยันว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง  อย่างน้อยที่สุด พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำก็สามารถเป็นตัวแทนของพระวิญญาณของพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ และจากพระราชกิจเช่นนี้ จะเห็นได้ว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่ภายในพระองค์  เมื่อพระราชกิจที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงทำโดยหลักแล้วเป็นไปเพื่อนำมาซึ่งยุคใหม่ นำพระราชกิจใหม่ และเปิดฉากอาณาจักรใหม่ เหล่านี้เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะยืนยันว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง  ดังนั้น นี่จึงทำให้พระองค์ทรงแตกต่างจากอิสยาห์ ดาเนียล และผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ท่านอื่นๆ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์

ถึงแม้ว่ายอห์นได้กล่าวไว้ด้วยว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” และเขาได้ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรแห่งสวรรค์เช่นกัน แต่งานของเขาก็ไม่ได้พัฒนาคืบหน้าและเพียงแค่ประกอบขึ้นเป็นการเริ่มต้นเท่านั้น  ในทางตรงกันข้าม พระเยซูได้ทรงนำยุคใหม่เข้ามา ตลอดจนทรงนำยุคเก่าไปสู่ปลายทาง แต่พระองค์ก็ยังทรงทำให้ธรรมบัญญัติแห่งภาคพันธสัญญาเดิมลุล่วงไปด้วยเช่นกัน  พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำนั้นยิ่งใหญ่กว่างานของยอห์น และสิ่งที่มากกว่าคือพระองค์ได้เสด็จมาเพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง—พระองค์ทรงทำให้พระราชกิจช่วงระยะนั้นสำเร็จลุล่วง  สำหรับยอห์นนั้น เขาแค่ตระเตรียมเส้นทาง  ถึงแม้ว่างานของเขาจะยิ่งใหญ่ คำพูดของเขามีมากมาย และบรรดาสาวกที่ติดตามเขาก็มีจำนวนมาก แต่งานของเขาก็ไม่ได้มากไปกว่าการนำพามนุษย์มาสู่จุดเริ่มต้นใหม่  มนุษย์ไม่เคยได้รับชีวิต หนทาง หรือความจริงที่ลึกซึ้งมากขึ้นจากเขา อีกทั้งมนุษย์ไม่ได้รับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยผ่านทางเขา  ยอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ (เอลียาห์) ผู้ซึ่งได้เปิดฐานใหม่สำหรับพระราชกิจของพระเยซู และได้ตระเตรียมผู้ได้รับการเลือกสรร เขาเป็นผู้เบิกทางของยุคพระคุณ  เรื่องทั้งหลายเช่นนั้นไม่สามารถหยั่งรู้ได้เพียงแค่โดยการสังเกตรูปลักษณ์ภายนอกแบบมนุษย์ปกติของพวกเขา  ทั้งหมดนี้ยิ่งเหมาะเจาะเข้าไปอีกเมื่อยอห์นได้ทำงานที่สำคัญยิ่งด้วยเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้น เขาได้รับพระสัญญาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และงานของเขาได้รับการค้ำจุนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  คนเราสามารถแยกแยะระหว่างอัตลักษณ์เฉพาะของพวกเขาโดยผ่านทางงานที่พวกเขาทำเท่านั้น เพราะไม่มีหนทางใดที่จะบอกถึงแก่นแท้ของมนุษย์จากรูปลักษณ์ภายนอกของเขา อีกทั้งไม่มีหนทางใดสำหรับมนุษย์ที่จะสืบให้แน่ใจว่าคำพยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือสิ่งใด  งานที่ยอห์นทำกับพระราชกิจที่พระเยซูทรงทำนั้นไม่เหมือนกันและมีธรรมชาติที่แตกต่างกัน  จากการนี้นี่เองคนเราจึงอาจกำหนดพิจารณาได้ว่ายอห์นเป็นพระเจ้าหรือไม่  พระราชกิจของพระเยซูคือเพื่อริเริ่ม เพื่อสานต่อ เพื่อสรุปปิดตัว และเพื่อนำมาซึ่งการผลิดอกออกผล  พระองค์ได้ทรงดำเนินการแต่ละขั้นตอนเหล่านี้ ในขณะที่งานของยอห์นไม่ได้มากไปกว่าการทำจุดเริ่มต้น  ในตอนเริ่มต้น พระเยซูได้ทรงเผยแพร่ข่าวประเสริฐและได้ทรงประกาศหนทางแห่งการกลับใจใหม่ และต่อมาได้ทรงดำเนินการต่อไปถึงการบัพติศมามนุษย์ รักษาคนป่วย ขับไล่พวกปีศาจ  ในท้ายที่สุด พระองค์ได้ทรงไถ่มวลมนุษย์จากบาป และได้ทำให้พระราชกิจของพระองค์ครบบริบูรณ์สำหรับทั้งยุคนั้น  พระองค์ยังได้เสด็จไปทั่วทุกที่ด้วยเช่นกัน โดยทรงประกาศต่อมนุษย์และทรงเผยแพร่ข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรแห่งสวรรค์  ในด้านนี้ พระองค์กับยอห์นนั้นเหมือนกัน ความแตกต่างอยู่ที่พระเยซูได้ทรงนำยุคใหม่เข้ามาและได้ทรงนำพายุคพระคุณมาสู่มนุษย์  พระวจนะที่มนุษย์ควรปฏิบัติตามและหนทางที่มนุษย์ควรติดตามในยุคพระคุณได้มาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และในท้ายที่สุด พระองค์ได้ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการไถ่  ยอห์นไม่มีทางสามารถดำเนินการงานนี้ได้  และดังนั้น จึงเป็นพระเยซูนั่นเองที่ได้ทรงทำพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง และเป็นพระองค์นั่นเองที่ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง และทรงเป็นตัวแทนของพระเจ้าโดยตรง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (1)

การทรงปรากฏของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์โดยพื้นฐานแล้วก็เหมือนกับการปรากฏของผู้เผยพระวจนะและบุตรมนุษย์  และพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ยิ่งปกติกว่าและสัมพันธ์กับชีวิตจริงกว่าผู้เผยพระวจนะ  ดังนั้น มนุษย์จึงไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างพวกเขาได้  มนุษย์มุ่งเน้นที่รูปลักษณ์เท่านั้น ไม่ตระหนักรู้อย่างสิ้นเชิงว่าแม้ทั้งสองฝ่ายจะเหมือนกันในการดำรงอยู่ การทำงานและการพูด แต่ทั้งสองก็มีความแตกต่างในแก่นแท้  เนื่องจากความสามารถของมนุษย์ในการแยกแยะสิ่งต่างๆ อ่อนด้อยเกินไป เขาจึงไร้ความสามารถที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างปัญหาง่ายๆ ยิ่งสิ่งที่ซับซ้อนมากๆ ยิ่งไม่ได้เลย  เมื่อผู้เผยพระวจนะและบรรดาผู้คนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ได้พูดและได้ทำงาน นี่ก็คือการทำหน้าที่ของมนุษย์ มันคือการรับใช้ภารกิจของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และมันเป็นบางสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำ  อย่างไรก็ตาม พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ก็คือการดำเนินการพันธกิจของพระองค์  แม้ว่ารูปสัณฐานภายนอกของพระองค์เป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่พระราชกิจของพระองค์ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของพระองค์แต่เป็นพันธกิจของพระองค์  คำว่า “หน้าที่” ถูกนำมาใช้ในส่วนที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ในขณะที่ “พันธกิจ” ถูกนำมาใช้ในส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์  สองอย่างนี้มีความแตกต่างกันในสาระ ไม่สามารถใช้สลับกันได้  งานของมนุษย์เป็นเพียงการทำหน้าที่ของเขา ในขณะที่พระราชกิจของพระเจ้าคือการบริหารจัดการและการดำเนินการพันธกิจของพระองค์  ดังนั้น แม้ว่าอัครทูตหลายท่านได้ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ใช้และผู้เผยพระวจนะหลายท่านก็เต็มเปี่ยมด้วยพระองค์ งานและคำพูดของพวกเขาเป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  คำพยากรณ์ของพวกเขาอาจเกินเลยวิถีชีวิตที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ได้ตรัสถึง และสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาอาจอยู่เหนือกว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ แต่พวกเขาก็ยังคงทำหน้าที่ของพวกเขา และไม่ได้กำลังดำเนินการพันธกิจให้ลุล่วง  หน้าที่ของมนุษย์อ้างถึงภารกิจของมนุษย์ เป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถบรรลุได้  อย่างไรก็ตาม พันธกิจที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงดำเนินการนั้นเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระองค์ และนี่ไม่สามารถบรรลุได้โดยมนุษย์  ไม่ว่าพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์จะตรัส ทรงพระราชกิจ หรือทรงสำแดงการมหัศจรรย์ พระองค์กำลังทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่ท่ามกลางการบริหารจัดการของพระองค์ และพระราชกิจเช่นนี้มนุษย์ไม่สามารถทำแทนพระองค์ได้  งานของมนุษย์เป็นเพียงการทำหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในช่วงระยะใดช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า  หากไม่มีการบริหารจัดการของพระเจ้า กล่าวคือ หากพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ต้องสูญหายไป หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างก็จะสูญหายไป  พระราชกิจของพระเจ้าในการดำเนินการพันธกิจของพระองค์คือการบริหารจัดการมนุษย์ ในขณะที่การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือการทำให้ภาระผูกพันของเขาเองลุล่วงเพื่อสนองตอบข้อเรียกร้องของพระผู้สร้าง และไม่มีทางสามารถถือได้ว่าเป็นการดำเนินการพันธกิจของผู้ใด  สำหรับเนื้อแท้โดยธรรมชาติของพระเจ้า—สำหรับพระวิญญาณของพระองค์—พระราชกิจของพระเจ้าคือการบริหารจัดการของพระองค์ แต่สำหรับพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ที่ทรงสวมรูปสัญฐานภายนอกของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พระราชกิจของพระองค์คือการดำเนินการพันธกิจของพระองค์  พระราชกิจใดๆ ก็ตามที่พระองค์ทรงทำก็คือการดำเนินการพันธกิจของพระองค์ ทั้งหมดที่มนุษย์สามารถทำได้คือทำให้ดีที่สุดภายในขอบเขตการบริหารจัดการของพระเจ้าและภายใต้การทรงนำของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์

จะว่าไปแล้ว พระราชกิจของพระเจ้าแตกต่างจากงานของมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้น การแสดงออกทั้งหลายของพระองค์จะสามารถเป็นเหมือนกับการแสดงออกของพวกเขาได้อย่างไร?  พระเจ้ามีพระอุปนิสัยเฉพาะของพระองค์เอง ในขณะที่มนุษย์มีหน้าที่ที่พวกเขาควรที่จะทำให้ลุล่วง  พระอุปนิสัยของพระเจ้าแสดงออกในพระราชกิจของพระองค์ ในขณะที่หน้าที่ของมนุษย์จำแลงรูปอยู่ในประสบการณ์ทั้งหลายของมนุษย์และแสดงออกในการไล่ตามเสาะหาของมนุษย์  ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า บางสิ่งบางอย่างคือการแสดงออกของพระเจ้าหรือการแสดงออกของมนุษย์โดยผ่านทางพระราชกิจที่ทำลงไป  พระราชกิจไม่จำเป็นต้องได้รับการอธิบายโดยพระเจ้าพระองค์เอง อีกทั้งไม่พึงต้องมีมนุษย์มาเพียรพยายามเป็นพยานให้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่จำเป็นต้องให้พระเจ้าพระองค์เองข่มปรามบุคคลใด  ทั้งหมดนี้มาในแบบของการเปิดเผยตามธรรมชาติ ไม่ได้ถูกบังคับและไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์สามารถแทรกแซงได้  หน้าที่ของมนุษย์สามารถรับรู้ได้โดยผ่านทางประสบการณ์ของพวกเขา และไม่ได้พึงต้องให้ผู้คนทำงานเชิงประสบการณ์อันใดที่เป็นการพิเศษเพิ่มเติม  แก่นแท้ทั้งหมดของมนุษย์สามารถถูกเปิดเผยในยามที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน ขณะที่พระเจ้าสามารถแสดงพระอุปนิสัยอันเป็นเนื้อแท้ของพระองค์ในยามที่ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์  หากเป็นงานของมนุษย์ เช่นนั้นแล้วก็ย่อมไม่สามารถถูกปิดบังได้มิด  หากเป็นพระราชกิจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ย่อมเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ที่พระอุปนิสัยของพระเจ้าจะถูกผู้ใดปกปิดเอาไว้ได้ นับประสาอะไรที่จะถูกมนุษย์ควบคุม  ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถถูกกล่าวถึงว่าเป็นพระเจ้า และงานและคำพูดของพวกเขาก็ไม่สามารถถูกมองได้ว่าศักดิ์สิทธิ์หรือถูกพิจารณาได้ว่ามิอาจเปลี่ยนแปลง  ส่วนพระเจ้าอาจถูกพูดถึงว่าเป็นมนุษย์ได้ เพราะพระองค์ได้ทรงสวมเนื้อหนังให้กับพระองค์เอง แต่พระราชกิจของพระองค์มิอาจถูกพิจารณาได้ว่าเป็นงานของมนุษย์หรือหน้าที่ของมนุษย์  ยิ่งไปกว่านั้น ถ้อยดำรัสของพระเจ้าและจดหมายของเปาโลก็มิอาจถูกนำมาเทียบเท่ากันได้ อีกทั้งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าและคำพูดที่เป็นการแนะนำสั่งสอนของมนุษย์ก็ไม่อาจนำมาพูดถึงในแง่ที่เท่าเทียมกันได้  ดังนั้น จึงมีหลักธรรมต่างๆ ที่แยกความต่างระหว่างพระราชกิจของพระเจ้ากับงานของมนุษย์  สิ่งเหล่านี้ถูกแยกความแตกต่างไปตามแก่นแท้ของตัวเอง ไม่ใช่ตามขอบเขตของงานหรือความมีประสิทธิภาพชั่วคราวของงาน  เกี่ยวกับหัวข้อนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ทำผิดพลาดในด้านหลักธรรม  นี่เป็นเพราะมนุษย์มองดูที่สิ่งที่อยู่ภายนอก อันเป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ได้ ในขณะที่พระเจ้าทอดพระเนตรตรงแก่นแท้ ซึ่งไม่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเนื้อของมวลมนุษย์  หากเจ้าถือว่าพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั่วไป และมีทรรศนะว่างานขนาดใหญ่ของมนุษย์เป็นพระราชกิจของพระเจ้าซึ่งทรงสวมใส่เนื้อหนังอยู่ แทนที่จะเป็นหน้าที่ที่มนุษย์ทำให้ลุล่วง เช่นนั้นแล้วไม่ใช่ว่าเจ้าเข้าใจหลักธรรมผิดไปหรอกหรือ?  จดหมายและชีวประวัติทั้งหลายของมนุษย์สามารถเขียนขึ้นได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่ต้องอยู่บนรากฐานของพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น  อย่างไรก็ตาม ถ้อยดำรัสและพระราชกิจของพระเจ้าไม่สามารถสำเร็จลุล่วงได้อย่างง่ายดายโดยมนุษย์ หรือสัมฤทธิ์ได้โดยสติปัญญาและการคิดของมนุษย์ อีกทั้งผู้คนก็ไม่สามารถอธิบายถ้อยดำรัสและพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างถ้วนทั่วหลังจากที่ได้สำรวจค้นสิ่งเหล่านั้นแล้ว  หากเรื่องเกี่ยวกับหลักธรรมเหล่านี้ไม่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาใดในตัวพวกเจ้า เช่นนั้นแล้วก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าความเชื่อของพวกเจ้านั้นไม่แท้จริงอย่างยิ่งหรือไม่ได้รับการถลุง  อาจกล่าวได้แค่เพียงว่าความเชื่อของพวกเจ้าเต็มไปด้วยความคลุมเครือ และทั้งสับสนงุนงงและไร้ซึ่งหลักธรรม  หากไม่มีแม้กระทั่งความเข้าใจในประเด็นปัญหาอันเป็นแก่นสารขั้นพื้นฐานที่สุดเกี่ยวกับพระเจ้าและมนุษย์แล้ว ความเชื่อชนิดนี้ไม่ใช่ความเชื่อที่ขาดพร่องความสามารถในการล่วงรู้โดยสิ้นเชิงหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ามีจุดยืนว่าด้วยจดหมายฝาก 13 ฉบับอย่างไร?

พวกเจ้าต้องรู้วิธีที่จะบอกความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระเจ้ากับงานของมนุษย์  เจ้าสามารถมองเห็นสิ่งใดในงานของมนุษย์?  มีองค์ประกอบของประสบการณ์ของมนุษย์มากมายในงานของเขา สิ่งที่มนุษย์แสดงออกคือสิ่งที่เขาเป็น  พระราชกิจของพระเจ้าเองก็แสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นเช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่พระองค์ทรงเป็นก็แตกต่างจากสิ่งที่มนุษย์เป็น  สิ่งที่มนุษย์เป็นนั้นเป็นตัวแทนประสบการณ์และชีวิตของมนุษย์ (สิ่งที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์หรือเผชิญในชีวิตของพวกเขา หรือปรัชญาสำหรับการใช้ชีวิตที่เขามี) และผู้คนที่ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างก็แสดงออกถึงการเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน  ไม่ว่าเจ้ามีประสบการณ์ของสังคมหรือไม่และไม่ว่าเจ้าใช้ชีวิตจริงๆ ในครอบครัวของเจ้าและได้รับประสบการณ์ภายในนั้นอย่างไร สามารถมองเห็นได้ในสิ่งที่เจ้าแสดงออก ในขณะที่เจ้าไม่สามารถมองเห็นว่าพระองค์ทรงมีประสบการณ์ทางสังคมหรือไม่ในพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์  พระองค์ทรงตระหนักรู้เป็นอย่างดีถึงแก่นแท้ของมนุษย์ และสามารถเปิดเผยการปฏิบัติประเภทต่างๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวกับผู้คนทุกประเภท  พระองค์ทรงพระปรีชายิ่งกว่านั้นในการเปิดเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามทั้งหลายและพฤติกรรมที่เป็นกบฏของพวกมนุษย์  พระองค์ไม่ดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางผู้คนทางโลก แต่พระองค์ทรงตระหนักรู้ถึงธรรมชาติของมนุษย์ธรรมดาและความเสื่อมทรามทั้งหมดของผู้คนทางโลก  นี่คือสิ่งทรงเป็นของพระองค์  ถึงแม้ว่าพระองค์ไม่ทรงจัดการกับโลก พระองค์ทรงรู้กฎการจัดการโลก เพราะพระองค์เข้าพระทัยธรรมชาติของมนุษย์อย่างครบถ้วน  พระองค์ทรงรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระวิญญาณที่ตาของมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นและหูของมนุษย์ไม่สามารถได้ยิน ทั้งในวันนี้และในอดีต  นี่รวมถึงสติปัญญาที่ไม่ใช่ปรัชญาสำหรับการใช้ชีวิตและการอัศจรรย์ที่ผู้คนหยั่งลึกได้ยาก  นี่คือสิ่งทรงเป็นของพระองค์ ซึ่งเปิดกว้างต่อผู้คนและซ่อนเร้นจากผู้คนด้วยเช่นกัน  สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงออกไม่ใช่สิ่งที่บุคคลเหนือปกติเป็น แต่เป็นพระลักษณะโดยธรรมชาติของพระวิญญาณและสิ่งที่พระวิญญาณทรงเป็น  พระองค์ไม่ได้ทรงพระดำเนินทั่วโลก แต่ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับโลก  พระองค์ทรงสัมผัสกับ “พวกลิงคล้ายคน” ที่ไม่มีความรู้หรือความรู้ความเข้าใจเชิงลึก แต่พระองค์ทรงแสดงพระวจนะที่สูงกว่าความรู้และสูงกว่าเหล่ามนุษย์ที่ยิ่งใหญ่  พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพภายในกลุ่มผู้คนที่ทึ่มและด้านชา ผู้ที่ปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์และผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมเนียมและชีวิตของมนุษยชาติ แต่พระองค์สามารถขอให้มวลมนุษย์ใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และในขณะเดียวกันก็ทรงเปิดเผยพื้นฐานและสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อยของมวลมนุษย์  ทั้งหมดนี้คือสิ่งทรงเป็นของพระองค์ ซึ่งสูงส่งกว่าสิ่งที่บุคคลที่มีเลือดเนื้อคนใดเป็น  สำหรับพระองค์แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับประสบการณ์กับชีวิตทางสังคมที่ซับซ้อน ยุ่งยาก และสกปรกเพื่อที่จะทรงพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงทำและเปิดเผยถึงแก่นแท้ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามอย่างถ้วนทั่ว  ชีวิตทางสังคมที่สกปรกไม่เสริมสร้างเนื้อหนังของพระองค์  พระราชกิจและพระวจนะของพระองค์เพียงเปิดเผยถึงความไม่เชื่อฟังของมนุษย์เท่านั้น และไม่ได้จัดเตรียมประสบการณ์และบทเรียนเพื่อการจัดการโลกให้กับมนุษย์  พระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องเจาะลึกด้านสังคมหรือครอบครัวของมนุษย์เมื่อพระองค์ทรงจัดหาชีวิตให้กับมนุษย์  การตีแผ่และการพิพากษามนุษย์ไม่ใช่การแสดงออกถึงประสบการณ์ของเนื้อหนังของพระองค์  นั่นคือการเปิดเผยของพระองค์ถึงความไม่ชอบธรรมของมนุษย์หลังจากที่ทรงได้รู้ถึงความไม่เชื่อฟังของมนุษย์มาเป็นเวลานานและทรงชิงชังความเสื่อมทรามของมนุษย์  พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำทั้งหมดมีความหมายเพื่อเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ต่อมนุษย์ และเพื่อแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น  มีเพียงพระองค์ที่สามารถปฏิบัติพระราชกิจนี้ได้ พระราชกิจนี้ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่บุคคลที่มีเลือดเนื้อสามารถสัมฤทธิ์ได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำไม่ใช่ตัวแทนประสบการณ์ของเนื้อหนังของพระองค์ ส่วนงานที่มนุษย์ทำย่อมแสดงถึงประสบการณ์ของเขา  ทุกคนพูดถึงประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเขา  พระเจ้าสามารถแสดงออกถึงความจริงได้โดยตรง ในขณะที่มนุษย์สามารถแสดงออกได้เพียงประสบการณ์ที่สอดคล้องกับความจริงที่เขาได้รับประสบการณ์มาแล้วเท่านั้น  พระราชกิจของพระเจ้าไม่มีกฎเกณฑ์และไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดด้านเวลาหรือภูมิศาสตร์  พระองค์สามารถแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นได้ทุกที่ทุกเวลา  พระองค์ทรงพระราชกิจตามที่พระองค์มีพระประสงค์  งานของมนุษย์มีเงื่อนไขและบริบท หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ เขาก็จะไม่สามารถทำงานได้และไม่สามารถแสดงความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับพระเจ้าหรือประสบการณ์ที่เขามีเกี่ยวกับความจริง  ในการที่จะบอกว่าบางสิ่งบางอย่างเป็นพระราชกิจของพระเจ้าเองหรืองานของมนุษย์นั้น เจ้าเพียงต้องเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างทั้งสอง  หากไม่มีพระราชกิจที่พระเจ้าพระองค์เองทรงกระทำและมีเพียงงานของมนุษย์ เจ้าจะรู้เพียงว่าหลักคำสอนของมนุษย์นั้นสูงเกินความสามารถของบุคคลอื่นๆ ทั้งหมด  น้ำเสียงการพูดของพวกเขา หลักธรรมของพวกเขาในการรับมือกับสิ่งต่างๆ และกิริยาอันมีประสบการณ์และมั่นคงของพวกเขาในการทำงานนั้นอยู่เกินเอื้อมสำหรับผู้อื่น  พวกเจ้าทุกคนต่างเลื่อมใสผู้คนที่มีขีดความสามารถดีและความรู้ที่สูงส่งเหล่านี้ แต่เจ้าไม่สามารถมองเห็นจากพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์อยู่สูงเพียงใด  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงธรรมดา และเมื่อทรงพระราชกิจ พระองค์ทรงปกติและเป็นจริง กระนั้นยังทรงไม่อาจวัดได้โดยมนุษย์ธรรมดา เพราะฉะนั้น นั่นจึงทำให้ผู้คนรู้สึกมีหัวใจแห่งความยำเกรงประเภทหนึ่ง  บางทีประสบการณ์ของบุคคลหนึ่งในการทำงานของเขาล้ำหน้าเป็นพิเศษ หรือจินตนาการและการใช้เหตุผลของเขาล้ำหน้าเป็นพิเศษ และความเป็นมนุษย์ของเขาก็ดีเป็นพิเศษ ลักษณะเช่นนั้นจะสามารถรับความเลื่อมใสของผู้คนได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถปลุกเร้าความยำเกรงและความครั่นคร้ามของพวกเขาได้  ผู้คนทั้งหมดต่างเลื่อมใสผู้ที่สามารถทำงานได้ดี ผู้ที่มีประสบการณ์ลึกซึ้งเป็นพิเศษ และผู้ที่สามารถปฏิบัติตามความจริง แต่ผู้คนเช่นนั้นไม่มีวันสามารถล้วงเอาความยำเกรงออกมาได้ มีเพียงความเลื่อมใสและความอิจฉาเท่านั้น  แต่ผู้คนที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้เลื่อมใสพระเจ้า พวกเขากลับรู้สึกว่าพระราชกิจของพระองค์อยู่เกินเอื้อมของมนุษย์และยากที่มนุษย์จะหยั่งถึงได้ ว่าพระราชกิจของพระองค์สดชื่นและน่าพิศวง  เมื่อผู้คนได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ความรู้แรกที่เขามีเกี่ยวกับพระองค์คือพระองค์ทรงยากหยั่งถึง ทรงชาญฉลาด และทรงน่าพิศวง และพวกเขายำเกรงพระองค์และรู้สึกถึงความล้ำลึกของพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอยู่เกินจากความรู้ความเข้าใจของจิตใจมนุษย์  ผู้คนเพียงต้องการที่จะมีความสามารถทำได้ตามสิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ เพื่อทำให้สมดังพระองค์ทรงพึงปรารถนาเท่านั้น  พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเกินพระพักตร์พระองค์ เพราะพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำนั้นไปไกลเกินกว่าความคิดและจินตนาการของมนุษย์ และมนุษย์ไม่สามารถทำแทนพระองค์ได้  แม้กระทั่งมนุษย์เองก็ไม่รู้ถึงความไม่เพียงพอของเขาเอง กระนั้น พระเจ้าทรงสร้างเส้นทางใหม่และได้ทรงมานำมนุษย์เข้าสู่โลกที่ใหม่กว่าและสวยงามกว่า และด้วยเหตุนั้นมวลมนุษย์จึงได้สร้างความก้าวหน้าใหม่ๆ และได้มีการเริ่มต้นใหม่  สิ่งที่ผู้คนรู้สึกเพื่อพระเจ้าไม่ใช่ความเลื่อมใส หรือไม่ใช่แค่ความเลื่อมใส  ประสบการณ์ที่ลึกซึ้งที่สุดของพวกเขาคือความยำเกรงและความรัก ความรู้สึกของพวกเขาคือพระเจ้าทรงน่าพิศวงโดยแท้  พระองค์ทรงพระราชกิจที่มนุษย์ไร้ความสามารถที่จะทำได้ และตรัสสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์ไร้ความสามารถที่จะพูดได้  ผู้คนที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามีความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้เสมอ  ผู้คนที่มีประสบการณ์ลึกซึ้งเพียงพอจะสามารถเข้าใจความรักของพระเจ้า พวกเขาสามารถรู้สึกถึงความดีงามของพระองค์ ว่าพระราชกิจของพระองค์ช่างชาญฉลาด ช่างน่าพิศวง และด้วยเหตุนั้นจึงเป็นพลังที่ไม่จำกัดที่เกิดขึ้นท่ามกลางพวกเขา  มันไม่ใช่ความครั่นคร้ามหรือความรักและความนับถือชั่วครั้งคราว แต่เป็นสำนึกรับรู้อย่างลึกซึ้งถึงความสงสารที่พระเจ้าทรงมีให้กับมนุษย์และการยอมผ่อนปรนให้กับเขา  อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่เคยได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์สำนึกรับรู้ถึงพระบารมีของพระองค์และสำนึกรับรู้ว่าพระองค์ไม่ทรงยอมผ่อนปรนให้กับการทำให้ขุ่นเคืองใดๆ  แม้กระทั่งผู้คนที่เคยได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์มากมายก็ไร้ความสามารถที่จะหยั่งลึกพระองค์ได้ ทุกผู้คนที่ยำเกรงพระองค์อย่างแท้จริง่รู้ว่าพระราชกิจของพระองค์ไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน แต่ตรงกันข้ามกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเสมอ  พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ผู้คนเลื่อมใสพระองค์ทั้งหมดหรือแสดงท่าทางแห่งการนบนอบต่อพระองค์ แต่พวกเขาควรสัมฤทธิ์ความยำเกรงที่แท้จริงและการนบนอบที่แท้จริง  ในพระราชกิจอันมากมายเหลือเกินของพระองค์นั้น ผู้ใดก็ตามที่มีประสบการณ์แท้จริงจะพัฒนาหัวใจแห่งความยำเกรงต่อพระองค์ขึ้นมา ซึ่งสูงส่งกว่าการเลื่อมใส  ผู้คนได้มองเห็นพระอุปนิสัยของพระองค์เนื่องจากพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ และเพราะฉะนั้นพวกเขาจึงมีหัวใจแห่งความยำเกรงต่อพระองค์  พระเจ้าควรหมายที่จะได้รับความยำเกรงและเชื่อฟัง เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและพระอุปนิสัยของพระองค์ไม่เหมือนกับของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และอยู่เหนือกว่าของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  พระเจ้าทรงปรากฏด้วยพระองค์เองและทรงคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ และไม่ทรงใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และพระเจ้าเพียงเท่านั้นที่ควรค่าแก่ความยำเกรงและการเชื่อฟัง มนุษย์ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการนี้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง

ความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระเจ้ากับงานของมนุษย์

พระเจ้าคือพระเจ้า มนุษย์คือมนุษย์

ก่อนหน้า: ข) วิธีบอกความแตกต่างระหว่างหนทางที่แท้จริงกับหนทางเทียมเท็จ

ถัดไป: จ) วิธีบอกความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์กับงานของพวกวิญญาณชั่ว

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger