ค) เหตุที่พระเจ้าไม่ทรงใช้มนุษย์ทำพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ในยุคสุดท้าย แต่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงพระราชกิจนั้นด้วยพระองค์เอง

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

พระราชกิจแห่งการพิพากษาคือพระราชกิจของพระเจ้าเอง ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้ว พระเจ้าจึงต้องทรงพระราชกิจนี้ด้วยพระองค์เอง มนุษย์ไม่สามารถทำแทนพระองค์ได้ เนื่องจากการพิพากษาคือการใช้ความจริงเพื่อครอบครองมนุษยชาติ จึงไม่มีคำถามเลยว่าพระเจ้าจะยังคงทรงปรากฏในภาพลักษณ์ที่ประสูติเป็นมนุษย์เพื่อทรงปฏิบัติพระราชกิจนี้ท่ามกลางมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายจะทรงใช้ความจริงเพื่อสั่งสอนผู้คนทั่วโลกและทำให้ความจริงทั้งหมดเป็นที่รู้จักของพวกเขา นี่คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง

พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสอนมนุษย์ เพื่อเปิดโปงธาตุแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์  พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรนบนอบพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะใช้ชีวิตตามสภาวะมนุษย์ปกติ ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่ธาตุแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งเปิดโปงว่ามนุษย์รังเกียจเดียดฉันท์พระเจ้าอย่างไร  ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงเปิดโปงและตัดแต่งเป็นเวลายาวนาน  วิธีการเปิดโปงและตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดนี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยคำพูดธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกกำราบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในเจตนารมณ์ของพระเจ้า ในพระประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในข้อล้ำลึกทั้งหลายที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงแก่นแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความอัปลักษณ์ของมนุษย์ ผลที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะแก่นแท้ของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่เปิดเผยความจริง ชีวิต ทางของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง

วันนี้ เป็นเพราะความโสมมของเจ้า เราจึงพิพากษาเจ้า และเป็นเพราะความเสื่อมทรามและการเป็นกบฏของเจ้า เราจึงตีสอนเจ้า  เราไม่ได้กำลังโอ้อวดฤทธานุภาพของเรากับพวกเจ้าหรือจงใจกดขี่พวกเจ้า เราทำสิ่งเหล่านี้เพราะพวกเจ้าผู้ที่เกิดในแผ่นดินแห่งความโสมมนี้เปรอะเปื้อนสิ่งโสมมอย่างรุนแรงยิ่งนัก  พวกเจ้าเพียงสูญเสียความซื่อตรงและสภาวะความเป็นมนุษย์ของตนเหมือนสุกรในที่สกปรกทั้งหลาย  เป็นเพราะความโสมมและความเสื่อมทรามของพวกเจ้า พวกเจ้าจึงถูกพิพากษาและเราก็ปลดปล่อยความโกรธของเราใส่พวกเจ้า  แน่นอนว่าเป็นเพราะการพิพากษาโดยวจนะเหล่านี้ พวกเจ้าจึงสามารถมองเห็นว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม และว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์ แน่นอนว่าเป็นเพราะความบริสุทธิ์ของพระองค์และความชอบธรรมของพระองค์นี่เอง พระองค์จึงทรงพิพากษาพวกเจ้าและทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ใส่พวกเจ้า และเป็นเพราะพระองค์ทรงเห็นความเป็นกบฏของมวลมนุษย์โดยแท้ พระองค์จึงทรงเผยพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์ให้เห็น  ความโสมมและความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ทำให้ความบริสุทธิ์ของพระองค์ปรากฏออกมา  นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง ผู้ทรงบริสุทธิ์และไร้ที่ติ ทว่ายังดำรงพระชนม์ชีพในแผ่นดินแห่งความโสมม  หากบุคคลหนึ่งเกลือกกลิ้งในโคลนตมกับผู้อื่น และไม่มีสิ่งใดบริสุทธิ์เกี่ยวกับเขา และเขาไม่มีอุปนิสัยที่ชอบธรรม เช่นนั้นแล้ว เขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะพิพากษาความชั่วช้าของมนุษย์ อีกทั้งเขาไม่เหมาะที่จะดำเนินการพิพากษามนุษย์  ผู้คนที่โสมมทัดเทียมกับอีกคนหนึ่งจะสามารถมีคุณสมบัติเหมาะสมในการพิพากษาบรรดาผู้ที่เหมือนกับพวกเขาได้อย่างไร?  พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงบริสุทธิ์เท่านั้นที่สามารถพิพากษามวลมนุษย์ที่โสมมทั้งหมดได้  มนุษย์จะสามารถพิพากษาบาปของมนุษย์ได้อย่างไรกัน?  มนุษย์จะสามารถเห็นบาปของมนุษย์ได้อย่างไรกัน และมนุษย์จะสามารถมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะกล่าวโทษบาปเหล่านี้ได้อย่างไรกัน?  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะพิพากษาบาปของมนุษย์ เช่นนั้นแล้วพระองค์จะสามารถเป็นพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงชอบธรรมได้อย่างไร?  เป็นเพราะผู้คนเปิดเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทราม พระเจ้าจึงตรัสพิพากษาพวกเขา และเมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถมองเห็นว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีที่ขั้นตอนที่สองของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยสัมฤทธิ์ผล

สำหรับบรรดาผู้คนทั้งหมดที่ดำรงชีวิตอยู่ในเนื้อหนังนั้น การเปลี่ยนอุปนิสัยของพวกเขาจำเป็นต้องมีเป้าหมายต่างๆ เพื่อไล่ตามเสาะหา และการรู้จักพระเจ้าจำเป็นต้องมีการเป็นประจักษ์พยานถึงกิจการอันสัมพันธ์กับชีวิตจริงทั้งหลายและพระพักตร์จริงของพระเจ้า  ทั้งสองนั้นสามารถสัมฤทธิ์ผลได้โดยเนื้อหนังซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าเท่านั้น และทั้งสองนั้นสามารถบรรลุถึงได้โดยเนื้อหนังที่ปกติและจับต้องได้เท่านั้น  นี่คือเหตุผลว่าทำไมการประสูติเป็นมนุษย์จึงเป็นสิ่งจำเป็น และทำไมจึงเป็นที่ต้องการของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทุกคน  ในเมื่อผู้คนจำเป็นต้องรู้จักพระเจ้า ฉายาทั้งหลายของบรรดาพระเจ้าที่คลุมเครือและเหนือธรรมชาติต้องถูกขับไล่ออกไปจากหัวใจของพวกเขา และในเมื่อพวกเขาจำเป็นต้องกำจัดอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาออกไป พวกเขาก็ต้องรู้จักอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาเสียก่อน  หากมนุษย์เพียงแค่ทำงานเพื่อขับไล่ฉายาทั้งหลายของบรรดาพระเจ้าที่คลุมเครือออกไปจากหัวใจของผู้คนเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว เขาก็จะไม่อาจสัมฤทธิ์ผลตามที่ตั้งใจไว้ได้  ฉายาทั้งหลายของบรรดาพระเจ้าที่คลุมเครือในหัวใจของผู้คนนั้นไม่สามารถถูกเปิดโปง ถูกกำจัดออกไป หรือถูกไล่ออกไปได้โดยสิ้นเชิงด้วยพระวจนะต่างๆ  เพียงอย่างเดียว  ท้ายที่สุดแล้วในการทำเช่นนี้ มันคงจะยังคงเป็นไปไม่ได้ที่จะขับไล่สิ่งที่หยั่งรากลึกเหล่านี้ไปจากผู้คน  มีเพียงการแทนที่สิ่งคลุมเครือและเหนือธรรมชาติเหล่านี้ด้วยพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงและพระฉายาที่แท้จริงของพระเจ้า และการทำให้ผู้คนค่อยๆ รู้จักสิ่งเหล่านั้นเท่านั้น จึงจะสามารถสัมฤทธิ์ประสิทธิผลที่เหมาะสมได้  มนุษย์ระลึกได้ว่าพระเจ้าผู้ที่เขาแสวงหาในอดีตกาลนั้นคลุมเครือและเหนือธรรมชาติ  สิ่งที่ทำให้สามารถสัมฤทธิ์ประสิทธิผลนี้ได้นั้นไม่ใช่การทรงนำโดยตรงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นับประสาอะไรที่จะใช่คำสอนทั้งหลายของบุคคลเฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่คือพระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์  มโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์ถูกวางแผ่ออกเมื่อพระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ทรงพระราชกิจของพระองค์อย่างเป็นกิจจะลักษณะ เพราะความเป็นปกติและความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้าที่คลุมเครือและเหนือธรรมชาติในจินตนาการของมนุษย์  มโนคติอันหลงผิดดั้งเดิมทั้งหลายของมนุษย์สามารถถูกเผยออกมาได้ก็เฉพาะเมื่อถูกเทียบเคียงกับพระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์เท่านั้น  หากไม่มีการเปรียบเทียบกับพระเจ้าซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ มโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์ก็คงจะไม่สามารถถูกเผยออกมาได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากไม่มีความสัมพันธ์กับชีวิตจริงมาเป็นเครื่องตีพ่าย สิ่งคลุมเครือทั้งหลายก็คงไม่สามารถถูกเผยออกมา  ไม่มีผู้ใดสามารถใช้พระวจนะทั้งหลายเพื่อทำพระราชกิจนี้ได้ และไม่มีผู้ใดสามารถแสดงชัดถึงพระราชกิจนี้โดยใช้พระวจนะทั้งหลายได้  มีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่สามารถทรงพระราชกิจของพระองค์เองได้ และไม่มีผู้ใดอื่นที่สามารถทำพระราชกิจนี้ในนามของพระองค์ได้  ไม่สำคัญว่าภาษาของมนุษย์จะอุดมเพียงใด เขาไม่สามารถที่จะแสดงชัดถึงความสัมพันธ์กับชีวิตจริงและความเป็นปกติของพระเจ้าได้  หากพระเจ้าทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์โดยพระองค์เองและทรงแสดงพระฉายาของพระองค์และสิ่งทรงเป็นของพระองค์ออกมาโดยครบบริบูรณ์ มนุษย์ก็สามารถเพียงแค่รู้จักพระองค์อย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นเท่านั้น และสามารถเพียงแค่มองเห็นพระองค์ได้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น  ไม่มีมนุษย์ที่มีเนื้อหนังคนใดสามารถสัมฤทธิ์ประสิทธิผลนี้ได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจำเป็นต้องมีความรอดจากพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์มากขึ้นทุกขณะ

แท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะซาตานได้ทำให้เนื้อหนังของมนุษย์เสื่อมทราม และมนุษย์คือผู้ที่พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะช่วยให้รอด พระเจ้าจึงต้องทรงยอมรับเนื้อหนังเพื่อทำการสู้รบกับซาตานและเพื่อเป็นผู้เลี้ยงมนุษย์ด้วยพระองค์เอง  นี่เท่านั้นที่เป็นผลดีต่อพระราชกิจของพระองค์  เนื้อหนังที่ประสูติเป็นมนุษย์ทั้งสองครั้งของพระเจ้ามีขึ้นเพื่อทำให้ซาตานปราชัย และเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดได้ดีขึ้นด้วย  นั่นเป็นเพราะผู้ที่จะสู้รบกับซาตานต้องเป็นพระเจ้าเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าหรือเนื้อหนังที่ประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าก็ตาม  กล่าวสั้นๆ ได้ว่า ผู้ที่จะสู้รบกับซาตานไม่สามารถเป็นทูตสวรรค์ และยิ่งไม่อาจเป็นมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้วได้  บรรดาทูตสวรรค์ไร้พลังอำนาจที่จะต่อสู้ในการสู้รบครั้งนี้ และมนุษย์ก็ไร้พละกำลังยิ่งกว่านั้นเสียอีก  เมื่อเป็นเช่นนี้ หากพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะปรับปรุงชีวิตของมนุษย์ หากพระองค์ปรารถนาที่จะเสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดด้วยพระองค์เอง เช่นนั้นแล้ว พระองค์ต้องทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยพระองค์เอง—นั่นคือ พระองค์ต้องทรงยอมรับเนื้อหนังด้วยพระองค์เอง และเสด็จมาท่ามกลางมนุษย์และช่วยมนุษย์ให้รอดด้วยพระองค์เอง พร้อมกับอัตลักษณ์โดยกำเนิดของพระองค์และพระราชกิจที่พระองค์ต้องทำ  หาไม่แล้ว หากเป็นมนุษย์หรือพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงพระราชกิจนี้ เช่นนั้นแล้ว การสู้รบนี้ก็จะไม่เกิดผลและจะไม่มีวันจบสิ้น  มีเพียงเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทำสงครามกับซาตานด้วยพระองค์เองท่ามกลางมนุษย์เท่านั้น มนุษย์จึงจะมีโอกาสแห่งความรอด  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนั้นเท่านั้น ซาตานจึงจะอับอายและจากไปโดยหมดโอกาสหาประโยชน์ใส่ตัว  หรือแผนการให้ลงมือ  พระวิญญาณของพระเจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์พระราชกิจที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทำได้ และย่อมจะเป็นไปไม่ได้ยิ่งขึ้นที่มนุษย์ผู้มีเนื้อหนังจะทำการนั้นแทนพระเจ้า เพราะพระราชกิจที่พระองค์ทำนั้นเป็นไปเพื่อชีวิตของมนุษย์ และเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  หากมนุษย์เข้าร่วมการสู้รบนี้ เขาย่อมจะเอาแต่เผ่นหนีด้วยความระส่ำระสายที่น่าเศร้าเท่านั้น แล้วก็แค่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาได้เท่านั้น  เขาจะไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากกางเขนหรือพิชิตมวลมนุษย์ที่เป็นกบฏทั้งปวงได้ แต่จะทำได้เพียงงานเก่าๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่ก้าวไม่พ้นหลักธรรมทั้งหลาย หรือไม่ก็เป็นงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำให้ซาตานปราชัย  ดังนี้แล้วจะลำบากไปไย?  พระราชกิจที่ไม่สามารถได้มวลมนุษย์มาและยิ่งไม่อาจทำให้ซาตานปราชัย มีความสำคัญอันใดหรือ?  และเช่นนี้เอง การสู้รบกับซาตานจึงสามารถดำเนินการได้โดยพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้น และแค่เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะทำการนั้น  หน้าที่ของมนุษย์คือนบนอบและติดตาม เพราะมนุษย์ไม่สามารถทำงานที่ละม้ายคล้ายการสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกได้ และยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่สามารถดำเนินงานแห่งการสู้รบกับซาตานได้  มนุษย์สามารถเพียงทำให้พระผู้สร้างพึงพอพระทัยภายใต้การนำทางของพระเจ้าพระองค์เอง ซึ่งจะทำให้ซาตานพลอยปราชัยไปด้วย นี่คือสิ่งเดียวเท่านั้นที่มนุษย์สามารถทำได้  และดังนั้นทุกครั้งที่การสู้รบครั้งใหม่เริ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่าทุกครั้งที่พระราชกิจของยุคใหม่เริ่มต้นขึ้น พระเจ้าพระองค์เองย่อมทำพระราชกิจนี้ด้วยพระองค์เอง และพระองค์ทรงนำทางยุคทั้งยุคและเปิดเส้นทางใหม่สำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวงโดยผ่านทางการทำพระราชกิจใหม่นี้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์

พระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้ากระทำโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระองค์เอง  ช่วงระยะแรก—ซึ่งเป็นการทรงสร้างโลก—กระทำโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระองค์เอง และหากมิได้เป็นเช่นนั้นแล้วไซร้ ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา ช่วงระยะที่สองคือการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งกระทำโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระองค์เองเช่นกัน ช่วงระยะที่สามนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวเลยว่า มีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นไปอีกที่บทอวสานแห่งพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าต้องกระทำโดยพระเจ้าพระองค์เอง  พระราชกิจแห่งการไถ่ การพิชิต การรับไว้ และการทำให้มวลมนุษย์ทั้งปวงมีความเพียบพร้อมล้วนดำเนินการโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น  หากพระองค์มิได้ทรงพระราชกิจนี้ด้วยพระองค์เอง เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ย่อมไม่สามารถเป็นตัวแทนแห่งอัตลักษณ์ของพระองค์ได้ และมนุษย์ก็ไม่สามารถทำพระราชกิจของพระองค์ได้  พระองค์ทรงนำทางมนุษย์ด้วยพระองค์เอง และทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ด้วยพระองค์เอง ก็เพื่อทำให้ซาตานปราชัย เพื่อรับมวลมนุษย์เอาไว้ และเพื่อประทานชีวิตที่ปกติบนแผ่นดินโลกแก่มนุษย์ พระองค์ต้องทรงพระราชกิจนี้ด้วยพระองค์เอง เพื่อแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของพระองค์ และเพื่อพระราชกิจทั้งปวงของพระองค์  หากมนุษย์เชื่อเพียงว่าพระเจ้าเสด็จมาเพื่อที่มนุษย์อาจมองเห็นพระองค์ เพื่อทำให้มนุษย์มีความสุขเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว ความเชื่อเช่นนี้ย่อมไร้คุณค่า ไร้ความสำคัญ  ความเข้าใจของมนุษย์นั้นผิวเผินเกินไป!  พระเจ้าจะสามารถทำพระราชกิจนี้อย่างถ้วนทั่วและอย่างบริบูรณ์ได้ก็โดยการดำเนินพระราชกิจนี้ด้วยพระองค์เองเท่านั้น  มนุษย์ไม่สามารถทำพระราชกิจนี้แทนพระเจ้าได้  เนื่องจากเขาไม่มีอัตลักษณ์ของพระเจ้าหรือแก่นแท้ของพระองค์ เขาจึงไม่สามารถทำพระราชกิจของพระเจ้า และต่อให้มนุษย์ได้ทำพระราชกิจนี้ ก็ย่อมจะไม่เกิดผลใดๆ  ครั้งแรกที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นไปเพื่อการไถ่ เพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งหมดจากบาป เพื่อทำให้มนุษย์สามารถได้รับการชำระให้สะอาดและได้รับการยกโทษสำหรับบาปของเขา  พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยก็ดำเนินไปท่ามกลางมนุษย์โดยพระเจ้าด้วยพระองค์เองเช่นกัน  ในระหว่างช่วงระยะนี้หากพระเจ้าตรัสแต่คำเผยพระวจนะ เช่นนั้นแล้วก็อาจหาผู้เผยพระวจนะหรือใครบางคนที่มีของประทานมาแทนที่พระองค์ได้ หากมีแต่การกล่าวคำเผยพระวจนะเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ก็สามารถทำการแทนพระเจ้าได้  กระนั้นหากมนุษย์พยายามทำพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองด้วยตัวของเขาเองและพยายามปรับปรุงชีวิตของมนุษย์ ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำงานนี้  พระราชกิจนี้ต้องกระทำโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระองค์เอง กล่าวคือ พระเจ้าต้องทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยพระองค์เองเพื่อทรงพระราชกิจนี้  ในยุคพระวจนะ หากมีแต่การกล่าวคำเผยพระวจนะ เช่นนั้นแล้วก็สามารถหาตัวอิสยาห์หรือเอลียาห์ ผู้เผยพระวจนะ มาทำงานนี้ และย่อมไม่มีความจำเป็นที่พระเจ้าพระองค์เองจะต้องทรงทำเช่นนั้นด้วยพระองค์เอง  เนื่องจากพระราชกิจที่ทำในช่วงระยะนี้มิใช่เพียงการตรัสคำเผยพระวจนะเท่านั้น และเพราะมีความสำคัญมากขึ้นที่จะต้องใช้พระราชกิจแห่งพระวจนะมาพิชิตมนุษย์และทำให้ซาตานปราชัย พระราชกิจนี้จึงไม่สามารถกระทำโดยมนุษย์ได้ และต้องกระทำโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระองค์เอง  ในยุคธรรมบัญญัติ พระยาห์เวห์ได้ทรงพระราชกิจในส่วนของพระองค์ ซึ่งหลังจากนั้นพระองค์ก็ตรัสพระวจนะบางประการและทรงพระราชกิจบางประการโดยผ่านทางบรรดาผู้เผยพระวจนะ  นั่นเป็นเพราะมนุษย์สามารถทำพระราชกิจของพระยาห์เวห์แทนพระองค์ได้ และบรรดาผู้ทำนายสามารถทำนายสิ่งทั้งหลาย  และตีความความฝันบางอย่างในนามของพระองค์ได้  พระราชกิจที่กระทำในปฐมกาลมิใช่พระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์โดยตรง และไม่เกี่ยวข้องกับบาปของมนุษย์ และประสงค์เพียงให้มนุษย์ยึดปฏิบัติตามธรรมบัญญัติเท่านั้น  ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงมิได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และมิได้เผยพระองค์เองแก่มนุษย์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์กลับตรัสแก่โมเสสและคนอื่นๆ โดยตรง ทรงทำให้พวกเขาพูดและทำงานแทนพระองค์ และเป็นเหตุให้พวกเขาทำงานท่ามกลางมวลมนุษย์โดยตรง  พระราชกิจช่วงระยะแรกของพระเจ้าคือการนำทางมนุษย์  เป็นการเริ่มต้นของการสู้รบกับซาตาน แต่การสู้รบนี้ยังมิได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ  สงครามอย่างเป็นทางการกับซาตานเริ่มขึ้นด้วยการที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ครั้งแรก และต่อเนื่องมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้  การสู้รบครั้งแรกในสงครามนี้คือเมื่อพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงถูกตอกตรึงกับกางเขน  การตรึงพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์บนกางเขนทำให้ซาตานปราชัย และเป็นช่วงระยะที่ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกในสงคราม  เมื่อพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์เริ่มทรงปรับปรุงชีวิตของมนุษย์โดยตรง นี่จึงเป็นการเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของพระราชกิจแห่งการได้มนุษย์กลับคืนมา และเนื่องจากนี่คือพระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเก่าๆ ของมนุษย์ จึงเป็นพระราชกิจแห่งการสู้รบกับซาตาน  พระราชกิจช่วงระยะที่พระยาห์เวห์ทำในปฐมกาลเป็นเพียงการนำทางชีวิตบนแผ่นดินโลกของมนุษย์เท่านั้น  เป็นการเริ่มต้นพระราชกิจของพระเจ้า และถึงแม้ว่ายังมิได้เกี่ยวข้องกับการสู้รบใดๆ หรืองานใหญ่ใดๆ พระราชกิจช่วงระยะนั้นก็ได้วางรากฐานให้แก่พระราชกิจแห่งการสู้รบที่จะมาถึง  ต่อมาพระราชกิจช่วงระยะที่สองในระหว่างยุคพระคุณมีการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเก่าๆ ของมนุษย์อยู่ด้วย ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าพระองค์เองได้ทรงปรับปรุงชีวิตมนุษย์ขึ้นมา  การนี้ต้องกระทำโดยพระเจ้าด้วยพระองค์เอง กล่าวคือ การนี้จำเป็นที่พระเจ้าจะต้องทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยพระองค์เอง หากพระองค์มิได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไม่มีผู้ใดอีกแล้วที่สามารถแทนพระองค์ในพระราชกิจช่วงระยะนี้ได้ เพราะเป็นพระราชกิจแห่งการต่อสู้กับซาตานโดยตรง  หากมนุษย์ได้ทำงานนี้แทนพระเจ้า เมื่อมนุษย์ยืนอยู่ต่อหน้าซาตาน ซาตานย่อมจะไม่ยอมแพ้ และคงจะไม่มีทางทำให้มันปราชัยได้  จำต้องเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ที่เสด็จมาปราบมัน เพราะแก่นแท้ของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ยังคงเป็นพระเจ้าอยู่ พระองค์ยังคงเป็นชีวิตของมนุษย์ และพระองค์ยังคงเป็นพระผู้สร้าง ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ตาม อัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง  และดังนั้นพระองค์จึงทรงยอมรับเนื้อหนังและทรงพระราชกิจเพื่อทำให้ซาตานยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง ระหว่างช่วงระยะของพระราชกิจในยุคสุดท้าย หากมนุษย์ได้ทำพระราชกิจนี้และถูกทำให้ต้องกล่าวพระวจนะโดยตรง เช่นนั้นแล้ว เขาย่อมจะไม่สามารถกล่าวพระวจนะได้ และหากมีการกล่าวคำเผยพระวจนะออกไป เช่นนั้นแล้ว คำเผยพระวจนะนี้ก็จะไม่สามารถพิชิตมนุษย์ได้  พระเจ้าเสด็จมาเพื่อทำให้ซาตานปราชัยและทำให้มันยอมแพ้อย่างสิ้นเชิงด้วยการทรงยอมรับเนื้อหนัง  เมื่อพระองค์ทรงปราบซาตานได้อย่างราบคาบ พิชิตมนุษย์ได้อย่างเต็มที่ และได้มนุษย์มาโดยบริบูรณ์ พระราชกิจช่วงระยะนี้ก็จะเสร็จสมบูรณ์และสัมฤทธิ์ผลสำเร็จ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์

ฉากตัดตอนจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง

เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง

พระราชกิจแห่งการพิพากษาต้องทำโดยพระเจ้าพระองค์เอง

การพิพากษาของพระเจ้าเปิดเผยความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของพระองค์

ก่อนหน้า: ข) เหตุที่มีการกล่าวว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามมีความจำเป็นมากขึ้นที่จะต้องได้รับความรอดของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์

ถัดไป: ง) ความแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญระหว่างพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์กับบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงใช้

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger