32. ทางเลือกของบาทหลวงคาทอลิก

โดย เว่ยมัว, ประเทศจีน

พ่อแม่เลี้ยงผมมาในศาสนจักรคาทอลิก พอโตขึ้นผมก็ได้เป็นบาทหลวง ต่อมา วัดนั้นก็เริ่มเงียบเหงาลงเรื่อยๆ เหล่ามุขนายกและบาทหลวงตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อกันเพื่อต่อสู้แย่งชิงอำนาจไม่หยุดหย่อน เหล่าภารดาและแม่ชี ต่างอิจฉาและมีปากเสียงกันเสมอ  หนึ่งในปริมุขนายกของเราหัวเสีย เพราะมุขนายกประจำมุขมณฑลไม่ทำพิธีถวายตัวให้เขา เขาเลยรวมหัวกับบาทหลวงคนอื่น บอกพวกเขาว่าในเมื่อมุขนายกประจำมุขมณฑลใช้เงินของโบสถ์อย่างสุรุ่ยสุร่ายไปกับรถและที่อยู่อาศัย แถมยังเข้าร่วมคริสตจักรสามตน เขาจึงควรถูกปลดจากหน้าที่ พวกเขาถึงกับชกต่อยกับสัตบุรุษที่สนับสนุนมุขนายกประจำมุขมณฑล  ความอิจฉาและความเกลียดชังเหล่านี้เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้น วัดก็เริ่มแบ่งออกเป็นฝักเป็นฝ่าย  ผมรังเกียจมากที่เห็นพวกเขาทะเลาะกันเพื่อสถานะแบบนั้น  วัดไม่เป็นวัดอีกต่อไป มันมืดมิดอย่างกับโลกของฆราวาส  ผมเริ่มถูกมุขนายกประจำมุขมณฑลกีดกัน เพราะผมไม่อยากเข้าร่วมกับคริสตจักรสามตน  เขามอบหมายให้บาทหลวงคนหนึ่งมาเป็นผู้ช่วยผม และมาเพื่อแย่งชิงตำแหน่งของผม  หลังจากบาทหลวงคนนั้นเข้ามา เขาก็ยุให้เหล่าสัตบุรุษคว่ำบาตรผม ไม่ช้า วัดของผมก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย การทะเลาะเบาะแว้งและการต่อสู้ดิ้นรนก็เกิดขึ้น  ผมไม่อยากมีส่วนใดๆ กับเรื่องเหล่านั้น จึงได้ยื่นหนังสือลาออกต่อมุขนายก  ผมออกจากวัดที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความขัดแย้งแห่งนั้น และไปเข้าร่วมกับวัดอีกแห่งที่อยู่บนภูเขาห่างไกล พร้อมกับภารดาและแม่ชีอีกหลายคน

ผมคิดว่า สมาชิกที่นั่นจะเรียบง่ายและไม่เสแสร้ง ด้วยว่าที่นั่นคงจะไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งเพื่อแย่งชิงอำนาจมากนัก และบางทีสถานการณ์ที่นั่นก็คงจะดีกว่า  แต่เป็นที่น่าแปลกใจ ที่สิ่งต่างๆ กลับดูรกร้าง  สัตบุรุษมีความเชื่อแบบเฉื่อยชา พวกเขาถึงกับไม่ทำตามพระบัญญัติ และทำบาปหน้าตาเฉย พวกเขาโกหก ฉ้อโกง และทะเลาะกันไม่เลิก  เหล่าผู้ไม่เชื่อเข้ามาร้องเรียนเรื่องพวกเขากับผมตลอด  มีปัญหาที่ผมก็แก้ไขไม่ได้ แม้ผมจะอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่เป็นประจำ แต่ผมก็ไม่รู้สึกถึงการสถิตย์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่รู้สึกถึงความรู้แจ้งในคำพูดในพระคัมภีร์  ในบทเทศน์ ผมก็ไม่มีอะไรใหม่ที่จะพูด  ผมรู้สึกแห้งแล้งในฝ่ายวิญญาณราวกับว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทอดทิ้งผมไปแล้ว

ในตอนที่ผมรู้สึกหลงทางและสิ้นหวัง จมอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัสนั้น บาทหลวงหลิวกับสังฆานุกรจาง ก็เป็นพยานให้กับผมเรื่องพระราชกิจแห่งยุดสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ บอกผมว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว  ผมตกใจและปั่นป่วนในใจอย่างมากที่ได้ยินแบบนั้น  ผมอยากรู้ให้มากขึ้นใจจะขาดเรื่องการทรงกลับมาครั้งนี้ขององค์พระเยซูเจ้า จึงไปขอให้พี่น้องชายทั้งสองเล่าให้ฟังเพิ่มเติม พวกเขาสามัคคีธรรมกับผมเยอะมาก และอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ฟัง รวมถึงบทตอนหนึ่งที่ทำให้ผมประทับใจมาก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “หลังจากพระราชกิจของพระยาห์เวห์ พระเยซูทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์  พระราชกิจของพระองค์ไม่ได้ถูกดำเนินการในแบบแยกไปตามลำพัง แต่ทรงก่อขึ้นบนพระราชกิจของพระยาห์เวห์  เป็นพระราชกิจสำหรับยุคใหม่ที่พระเจ้าทรงทำหลังจากที่พระองค์ได้ทรงสรุปปิดตัวยุคธรรมบัญญัติ  ในทำนองเดียวกัน หลังจากที่พระราชกิจของพระเยซูสิ้นสุดลง พระเจ้าก็ทรงไปต่อกับพระราชกิจของพระองค์สำหรับยุคถัดไป เพราะการบริหารจัดการทั้งมวลของพระเจ้ากำลังก้าวไปข้างหน้าเสมอ  เมื่อยุคเก่าผ่านไป ก็จะถูกแทนที่ด้วยยุคใหม่ และเมื่อพระราชกิจเก่าเสร็จบริบูรณ์แล้วก็จะมีพระราชกิจใหม่เพื่อสานต่อการบริหารจัดการของพระเจ้าต่อไป  การประสูติเป็นมนุษย์ครั้งนี้เป็นการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าซึ่งตามหลังพระราชกิจของพระเยซูมา  แน่นอนว่าการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยเอกเทศ แต่เป็นช่วงระยะที่สามของพระราชกิจหลังยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ  ทุกครั้งที่พระเจ้าทรงริเริ่มช่วงระยะใหม่ของพระราชกิจ จะต้องมีการเริ่มต้นใหม่เสมอและจะต้องนำยุคใหม่มาเสมอ  ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกันในพระอุปนิสัยของพระเจ้า ในลักษณะของการทรงพระราชกิจของพระองค์ ในที่ตั้งของพระราชกิจของพระองค์และในพระนามของพระองค์อีกด้วย  ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มนุษย์จะยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคใหม่ได้ยาก แต่โดยไม่คำนึงถึงว่าพระองค์จะถูกมนุษย์ต่อต้านอย่างไร พระเจ้าก็ทรงพระราชกิจของพระองค์เสมอและทรงนำทางมวลมนุษย์ทั้งปวงไปข้างหน้าเสมอ  เมื่อพระเยซูเสด็จมาในโลกมนุษย์ พระองค์ได้ทรงนำมาซึ่งยุคพระคุณและสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ  ในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งและด้วยการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งนี้ พระองค์ได้ทรงสิ้นสุดยุคพระคุณและนำมาซึ่งยุคแห่งราชอาณาจักร  บรรดาผู้คนที่สามารถยอมรับการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าจะถูกนำทางเข้าสู่ยุคแห่งราชอาณาจักรและยิ่งไปกว่านั้นจะกลายเป็นสามารถยอมรับการทรงนำของพระเจ้าด้วยตนเอง  แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา  การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปทั้งหลายของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา  และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา  พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น  บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น  พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)  หลังจากอ่านพระวจนะ พวกเขาก็สามัคคีธรรมกับผมอีกมากมาย  ผมได้เรียนรู้ว่า งานของพระเจ้าเคลื่อนไปข้างหน้าตลอด องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจการไถ่ และความเชื่อในพระองค์ก็เพียงได้รับการยกโทษบาปเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติที่มีบาปของเรายังไม่ถูกแก้ไขด้วยหนทางนั้น เราถึงได้เวียนวนทำบาปในตอนกลางวัน สารภาพในตอนกลางคืน ยังคงถูกพันธนาการไว้ด้วยบาป  เพื่อช่วยผู้คนให้รอดจากบาปและอำนาจของซาตานโดยสมบูรณ์ พระเจ้าจึงจำเป็นต้องทรงพระราชกิจอีกช่วงระยะ ในการแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและชำระพวกเราให้สะอาด นั่นคือวิธีแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามและธรรมชาติที่มีบาปของพวกเรา เพื่อให้พวกเรารอดพ้นจากบาป ถูกชำระให้สะอาด และเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า โลกศาสนาสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปเป็นเวลานานแล้ว  เพื่อให้ได้รับการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และการจัดเตรียมของความจริง พวกเราต้องยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย และเดินตามรอยพระบาทของพระองค์  นั่นเป็นทางเดียวที่จะเติบโตในชีวิต จากนั้น  ผมได้อ่านหนังสือ “พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์” อีกเยอะมากหลังจากนั้น  พระวจนะดึงดูดใจผมมาก อ่านเท่าไรก็ไม่พอ ทุกคืนผมจะอยู่จนถึงราวๆ ตีสองเพื่ออ่านหนังสือเล่มนี้  หลังจากเวลาผ่านไปได้สักพัก ผมก็แน่ใจว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา และผมก็ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าด้วยความยินดี  ผมเลยพาเหล่าพี่น้องที่แบ่งปันข่าวประเสริฐของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กลับไปในวัดของผม เพื่อเป็นพยานยืนยันพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าให้กับบรรดาสัตบุรุษผู้เชื่ออย่างแท้จริง และพวกเขาทั้งหมดก็ยอมรับในที่สุด  เราชุมนุมและอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ด้วยกันในวัด และพบความกระจ่างและความรู้แจ้งใหม่ในทุกๆ วัน  รู้สึกได้ถึงการเลี้ยงดูและน่าชื่นชมยินดีมาก เรากำลังเข้าร่วมงานเสกสมรสของลูกแกะ!

ไม่นาน เหล่ามุขนายกและบาทหลวงก็เริ่มมาขัดขวางและก่อนกวนผม  คนแรกคือมุขนายกจ้าว ที่เป็นคนพูดว่า “ได้ยินว่าคุณเข้าร่วมกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก  คุณไม่ได้หารือเรื่องสำคัญแบบนั้นกับผม และยังพาสัตบุรุษร่วมด้วยหลายคน  นั่นเป็นการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า แน่นอนว่าเมื่อพระองค์ทรงกลับมา ก็จะทรงเผยให้มุขนายกอย่างเรารู้ก่อน  ถ้าทรงมาแล้วจริงๆ ทำไมผมถึงไม่รู้ล่ะ?  ยอมล้มเลิกเรื่องนี้ และกลับมาเถอะ  ผมรู้ว่าคุณอยู่ในพื้นที่ห่างไกล และมีชีวิตที่ยากลำบาก  ถ้าคุณกลับมา ผมจะช่วยเหลือแบ่งเบาทุกเรื่องที่คุณต้องการ” เขายังกล่าวดูหมิ่นและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกมากมาย  ผมพบว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นช่างเหลือเชื่อ เขาบอกผมหลายครั้งว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาในไม่ช้า เราจึงต้องนำเหล่าสัตบุรุษสวดภาวนา และเฝ้าดูที่จะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ตอนนี้พระองค์เสด็จกลับมาแล้ว เขากลับไม่สนใจแสวงหา และกล่าวคำดูหมิ่นและกล่าวโทษ เขาไม่ได้เป็นผู้เชื่อที่แท้จริงเลย ผมก็ยังประกาศข่าวประเสริฐต่อไปโดยไม่สะทกสะท้านเพราะเขา

ต่อมา มุขนายกหวังก็พาคนมาอีก พวกเขายิ้มและพูดกับผมว่า “มุขนายกจ้าวขอให้ผมมาโน้มน้าวให้คุณไปพบเขาที่อาสนวิหาร เขากังวลเรื่องความเป็นอยู่ของคุณอย่างมาก กลัวว่าคุณจะเดินบนเส้นทางที่ผิด” ผมรำคาญมากที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น พวกเขาไม่ใส่ใจนำพาต่อเหล่าสัตบุรุษผู้คิดลบและอ่อนแอ แต่กลับรังควานผมที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่เลิก  นี่คือการพยายามกีดกันไม่ให้ผมยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย  ผมบอกเขาว่า “พวกคุณทุกคนตั้งใจมากีดกันผมจากความเชื่อของผมแน่ๆ วัดต่างๆ เงียบเหงา ไม่มีงานของพระจิตเจ้ามาหลายปีแล้ว พวกบราเดอร์ซิสเตอร์ก็หมดไฟในความเชื่อ พากันวนอยู่กับการทำบาปแล้วก็สารภาพ พวกเขาสารภาพบาปแล้ว แต่ไม่สามารถทิ้งพันธนาการแห่งบาปได้  ผมรู้สึกเจ็บปวดมากจริงๆ  ผมได้เรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ว่า ความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า นำมาแค่การยกโทษบาป ไม่ใช่การชำระให้บริสุทธิ์  ถ้าธรรมชาติที่มีบาปของเราไม่ถูกแก้ไข เราก็ไม่มีวันรอดพ้นจากพันธนาการแห่งบาปไปได้  องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเสด็จกลับมาในยุคสุดท้ายแล้ว ทรงแสดงความจริงและกำลังทรงพระราชกิจการพิพากษา เพื่อแก้ไขต้นตอที่เปี่ยมบาปของมวลมนุษย์ ให้เราได้เป็นอิสระจากบาป พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดงให้ผมเห็นถึงหนทางในการถูกชำระให้บริสุทธิ์และถูกช่วยให้รอดอย่างสมบูรณ์  เมื่อพิจารณาดูแล้ว ผมก็สิ้นสงสัยว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงเสด็จกลับมา  ถึงคุณจะพูดยังไง ผมก็จไม่ล้มเลิกความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรอก”  มุขนายกหวังพูดว่า “จริงอยู่ว่า ทางวัดขาดงานของพระจิตเจ้าและการสถิตอยู่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่นั่นก็แค่ชั่วคราว  องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทดสอบเราอยู่  ตราบใดที่เรายืนหยัดจนสุดทาง เราก็จะเห็นการฟื้นตัวครั้งใหญ่ของทางวัด  ถ้าคุณพาทุกคนไปเข้ากับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ศาสนจักรก็จะว่างเปล่า แล้วเราจะฟื้นตัวกันได้ยังไง?  องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะกลับมาแล้ว แต่พระองค์ยังมาไม่ถึง  คุณคิดจริงๆ หรือว่า พระองค์จะไม่ทรงเปิดเผยต่อพระสันตะปาปา ถ้าทรงกลับมาแล้ว?  ในเมื่อพระสันตะปาปาและมุขนายกยังไม่ได้ยินเรื่องที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ย่อมเป็นข่าวเท็จ  ถ้าคุณเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์โดยที่พระสันตปาปาหรือมุขนายกไม่เห็นชอบด้วย  นั่นจะไม่เป็นการทิ้งศาสนาหรือ?” ความจริงแล้ว ตอนที่ผมพิจารณาพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมก็ถามอย่างเดียวกัน แต่หลังจากแสวงหาและสามัคคีธรรมแล้ว ผมก็เข้าใจ ตอนที่มุขนายกหวังบอกว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเปิดเผยการทรงกลับมาแก่พระสันตปาปาและเหล่ามุขนายกก่อน เรื่องนี้ไม่มีรากฐาน  องค์พระเยซูเจ้าไม่เคยตรัสแบบนั้น  และสิ่งนั้นก็ไม่ได้บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์  ในการถวายการต้อนรับ เราต้องทำตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้เอง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า “ดูเถิด เรากำลังยืนเคาะประตู หากผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปกินอาหารร่วมกับเขา และเขาจะกินอาหารร่วมกับเรา(วิวรณ์ 3:20)  “เรายังมีอีกหลายอย่างที่จะบอกแก่พวกท่าน แต่เวลานี้พวกท่านยังรับไม่ไหว แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงสอนพวกท่านถึงความจริงทั้งปวง(ยอห์น 16:12-13)  พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นช่างชัดเจนอย่างสมบูรณ์  พระองค์จะตรัสมากกว่านั้น และจะบอกความจริงแก่พวกเราเมื่อเสด็จมา  พวกเราจะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อได้ยินพระสุรเสียงและยอมรับความจริงที่พระองค์ทรงแสดง องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักพวกมัน และพวกมันก็ตามเรา(ยอห์น 10:27)  อัครฑูตอย่างเปโตรและมัทธิวผู้ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า ฟังสิ่งที่พระองค์ประกาศเป็นอย่างแรก แล้วจึงตระหนักว่า พระองค์คือพระเมสสิยาห์ที่พวกเขาเฝ้ารอ  องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตัดสินว่าเราคือแกะของพระองค์หรือไม่ จากการดูว่าเราได้ยินพระสุรเสียงหรือไม่ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า เหตุใดกุญแจสำคัญในการสืบค้นหนทางที่แท้จริงก็คือการฟังพระสุรเสียง และใช้เพื่อรับรู้และยอมรับพระองค์ นี่คือสิ่งที่เชื่อถือได้มากที่สุด  ในวิวรณ์ก็มีกล่าวไว้หลายครั้งว่า “ใครที่มีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับเหล่าคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ บทที่ 2, 3)  องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่เปิดเผยต่อผู้นำทางศาสนาและมุขนายกก่อนเมื่อพระองค์ทรงกลับมาในยุคสุดท้าย  พระองค์จะตรัสต่อคริสตจักรทั้งหลายโดยตรง ให้ทุกคนได้ยินพระสุรเสียง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงมากมาย เปิดเผยธรรมล้ำลึกของพระคัมภีร์ไว้มากมาย บอกเราถึงแผนการบริหารจัดการของพระองค์เพื่อความรอดของเรา และให้เส้นทางที่จะได้รับการช่วยให้รอดและเข้าสู่อาณาจักรแก่เรา  นี่ทำให้สิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ลุล่วง “แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงสอนพวกท่านถึงความจริงทั้งปวง เพราะพระองค์จะไม่ตรัสถึงพระองค์เอง แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่ทรงได้ยิน และจะทรงบอกแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น(ยอห์น 16:13)  บรรดาผู้ที่รับรู้พระสุรเสียงของพระเจ้าจากพระวจนะและติดตามพระองค์ ย่อมเป็นแกะของพระองค์ และมีเพียงพวกเขาที่ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ผมเลยแย้งมุขนายกหวังไปว่า “คุณอ้างว่า พระสันตะปาปาและเหล่ามุขนายกควรรู้เรื่องการทรงกลับมาก่อน แต่สิ่งนี้อ้างอิงจากพระวจนะไหม?  องค์พระเยซูเจ้าไม่เคยตรัสอะไรแบบนั้น พระเจ้าพระบิดา หรือพระจิตเจ้าเองก็ไม่เคยตรัส  ในพระคัมภีร์ไม่มีเรื่องแบบนั้นบันทึกไว้เลย  สิ่งที่คุณพูด เป็นแค่มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ไม่ใช่หรือ?  เพื่อถวายการต้อนรับ เราต้องทำตามพระวจนะไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดหรือความคิดฝันของเรา ในพันธสัญญาเดิมมีบันทึกไว้ว่า เด็กชายซามูเอลรับใช้พระยาห์เวห์ต่อหน้าเอลี จากความคิดฝันของมนุษย์นั้น พระยาห์เวห์ควรให้การเปิดเผยแก่เอลีก่อน แต่พระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้น พระองค์ทรงเรียกเด็กชายซามูเอลมาถึงสี่ครั้ง เพื่อบอกน้ำพระทัย และเมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมา แทนที่จะเปิดเผยต่อบาทหลวงชาวยิวและธรรมาจารย์ แต่ทูตสวรรค์กลับปรากฏตัวต่อคนเลี้ยงแกะ และบอกพวกเขาเรื่องการประสูติขององค์พระเยซูเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงงานตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ ไม่ว่าใครจะเชื่อมานานแค่ไหน หรือมีสถานะใด หากเต็มใจปล่อยวางมโนคติอันหลงผิด ถ่อมใจแสวงหา และมุ่งฟังพระสุรเสียง พวกเขาก็สามารถเป็นพยานต่อการทรงปรากฏได้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในยุคสุดท้าย แสดงความจริง และทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา พระองค์ไม่จำเป็นต้องร้องขอความเห็นจากใคร หรือเผยต่อใครเป็นการเฉพาะ  นี่คือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองซึ่งมนุษย์ไม่อาจแทรกแซงได้ ใครก็ตามที่ไม่เชื่อฟังหรือเป็นกบฏ มีแต่จะล่วงเกินพระอุปนิสัยเท่านั้น เช่นเดียวกับพวกธรรมาจารย์และฟาริสี ที่ยึดมโนคติอันหลงผิดมากล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า และตรึงกางเขนพระองค์ พวกเขาทำบาปหันต์ และถูกพระเจ้าทรงแช่งด่าและลงโทษ นั่นไม่ใช่บทเรียนอันขมขื่นที่เราก็สามารถคิดทบทวนได้หรอกหรือ?”  เขาพูดด้วยความโกรธจัดว่า “คุณมันอวดดี กล้าต่อต้านพระสันตะปาปา! รู้ไหมว่าบาทหลวงหลิวถูกไล่ออกจากวัดหลังเข้าร่วมกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก สมาชิกวัดปฏิเสธเขา ครอบครัวก็ต่อต้านเขา เขาเลิกเป็นบาทหลวง และปฏิเสธทั้งบ้านทั้งรถ คุณไม่คิดว่านั่นผิดปกติหรอกหรือ?” แล้วผมก็คิดว่า ศาสนจักรคาทอลิกไม่มีงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วจริงๆ มุขนายกทุกคนเอาแต่พูดเรื่องเงิน สถานะ และความพอใจ เหมือนกับผู้ไม่เชื่อทั้งหลาย นั่นจะเป็นการรับใช้พระเจ้าได้ยังไง? ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามรบกวนหรือขวางทางผมยังไง ผมก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จึงบอกไปว่า “พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘เราควรเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่ามนุษย์’ (กิจการอัครสาวก 5:29)  ผมเชื่อฟังแค่พระวจนะ ไม่ฟังคำพูดคน ทำลายความคิดนั้น และหยุดแนะนำผมเถอะ” พอเห็นผมไม่ยอมฟัง เขาก็ปึงปังจากไป

จากนั้น มุขนายกจ้าวและมุขนายกหวังก็เอาแต่พยายามมาก่อกวนและขวางทางผม  พวกเขาบอกว่า “บาทหลวงเว่ย คุณจะไร้จิตสำนึกไม่ได้นะ!  ตอนนั้น เพื่อจะช่วยให้คุณได้เป็นบาทหลวง พวกเราและบาทหลวงคนอื่นๆ ยอมเสี่ยงติดคุกเพื่อปกป้องคุณ ยอมลำบากไปไม่น้อยเพื่อช่วยฝึกคุณอยู่เป็นสิบปีจนคุณเทศน์ได้ เราให้อาหารและน้ำดื่ม  พ่อแม่คุณทำงานหนักมาก คุณถึงมาเป็นบาทหลวงได้เร็ว  แต่ตอนนี้คุณกลับต่อต้านพวกเขาเพราะความเชื่อของคุณที่มีต่อฟ้าแลบจากทิศตะวันออก  คุณยังจะสู้หน้าพวกเราได้หรือ?  คุณยังจะสู้หน้าพ่อแม่ได้หรือ?  ล้มเลิกความเชื่อนี้และกลับมาหาเราเถอะ  พวกเรารอคุณอยู่นะ”  พอเขาพูดเรื่องพวกนั้น จิตใจผมก็ปั่นป่วน  พลันนึกถึงหลายปีที่มุขนายกคอยดูแลผม พวกเขาทำอะไรมากมายจริงๆ  พวกตำรวจไล่ล่าผมในช่วงหลายปีนั้น และมุขนายกก็จัดเตรียมสิ่งต่างๆ ให้ผมอย่างรอบคอบจริงๆ เพื่อให้ผมได้อยู่อย่างปลอดภัย  ครอบครัวผมยากจน และมุขนายกก็คอยดูแลผม  ผมกลัวว่าถ้าไม่ฟังพวกเขา มันคงเป็นเรื่องไร้สำนึก แต่ผมก็รู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา และผมไม่อาจหันหลังให้พระองค์ได้ ผมเลยกล่าวคำอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้สึกอ่อนแอ โปรดมอบความเชื่อและความเข้มแข็งให้ข้าพระองค์ไม่หวั่นไหวจากอิทธิพลภายนอกด้วยเถิด” หลังจากนั้น ผมก็เปิดหนังสือ “พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์” และเห็นบทตอนนี้ “นับแต่ชั่วขณะที่เจ้าเข้ามาในโลกนี้พร้อมกับเสียงร้องจ้า เจ้าก็เริ่มทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง  เจ้าแสดงไปตามบทบาทของเจ้าและเริ่มการเดินทางของชีวิตของเจ้า เพื่อแผนของพระเจ้าและเพื่อการทรงลิขิตของพระองค์  ไม่ว่าเจ้าจะมีภูมิหลังอย่างไร และการเดินทางข้างหน้าของเจ้าจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครสามารถหลีกหนีการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของฟ้าสวรรค์ได้ และไม่มีใครควบคุมชะตาลิขิตของตนเองได้ เพราะมีเพียงพระองค์ผู้ทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่งเท่านั้นที่สามารถทำงานเช่นนั้นได้  นับตั้งแต่วันที่มนุษย์ได้มาสู่การดำรงอยู่ พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจเช่นนี้มาตลอด บริหารจัดการจักรวาล กำกับกฎเกณฑ์แห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับทุกสรรพสิ่งและวิถีการเคลื่อนที่ของทุกสรรพสิ่งเหล่านั้น  เช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่ง—มนุษย์ได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างเงียบเชียบและไม่รู้ตัว ด้วยความอ่อนหวานและหยาดฝน ตลอดจนหยดน้ำค้างจากพระเจ้า เช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่ง—มนุษย์อยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระหัตถ์พระเจ้าโดยไม่รู้ตัว(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์)  ผมยังนึกถึงสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “จงดูหมู่นกในอากาศเถิด พวกมันมิได้หว่าน หรือเก็บเกี่ยว หรือเก็บรวบรวมไว้ในยุ้งฉาง และพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ของท่านก็ทรงเลี้ยงอาหารพวกมัน พวกท่านมิได้มีค่ามากกว่าพวกนกหรอกหรือ?(มัทธิว 6:26)  พระเจ้าทรงดูแลนกบนฟ้า ลองนึกถึงมนุษย์ดูสิ!  พระเจ้าทรงสร้างผมมา และทรงประทานชีวิตให้ผม ทั้งอาหารและเสื้อผ้า ทุกอย่างพระเจ้าก็ประทานมาให้ การที่มุขนายกดูแลผม ก็เป็นเพราะการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และผมมีโอกาสรับใช้พระเจ้าในฐานะบาทหลวง ก็เป็นสิ่งที่ทรงเตรียมการและกำหนดมา และเป็นความรักของพระองค์ ควรเป็นพระเจ้าที่ผมต้องขอบคุณ ถ้าผมทรยศพระเจ้าเพื่อตอบแทนสิ่งที่เรียกว่าบุญคุณคน นั่นคงจะเป็นสิ่งที่ไร้สำนึกจริงๆ! ผมนึกได้ถึงเรื่องที่มุขนายกและบาทหลวงพวกนี้อิจฉาริษยาและกระหายในอำนาจ อยากได้ประโยชน์จากสถานะ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว นอกจากพวกเขาจะไม่ยอมแสวงหาและพิจารณาดูแล้ว ก็ยังกีดกันไม่ให้คนอื่นต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงขั้นแพร่คำโกหกและการกล่าวดูหมิ่น นั่นไม่ใช่การกระทำชั่วหรอกหรือ?  ไม่ว่าพวกเขาจะดูเป็นคนดีแค่ไหน พวกเขาก็ไม่ได้พยายามพาผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ เพื่อให้ได้รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า และได้รับความจริงและชีวิตจากพระองค์  แต่พวกเขาพาคนมาอยู่หน้าตัวเอง ให้คนเหล่านั้นเทิดทูนและติดตามพวกเขา ผลักผู้คนไปจากองค์พระผู้เป็นเจ้าไกลขึ้นทุกที ทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเปิดโปงฟาริสีว่า “วิบัติเกิดแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี พวกคนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูสู่แผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่ยอมเข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยินยอม  วิบัติจงมีแก่พวกท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสี พวกหน้าซื่อใจคด เพราะพวกท่านกลืนกินบ้านของหญิงม่ายทั้งหลาย ทำทีสวดภาวนายืดยาว ท่านจะได้รับการพิพากษาที่รุนแรงกว่าด้วยเหตุนี้(มัทธิว 23:13-14)  มุขนายกและบาทหลวงใช้อำนาจคุมผู้คนไว้แน่นหนา ห้ามไม่ให้ต้อนรับการทรงกลับมา แล้วนั่นจะต่างจากธรรมาจารย์และฟาริสียังไง? พวกเขาไม่ใช่ผู้รับใช้ชั่วที่พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายเปิดโปงหรอกหรือ? การมีสำนึกต่อพวกเขาจะเป็นการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง!

จากนั้น นักบวชจากมณฑลอื่นก็รู้เรื่องที่ผมยอมรับในพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  เหล่ามุขนายกและบาทหลวงจากหลายเขตวัดพากันมาปิดล้อมผม  พวกเขาเต็มไปด้วยคำติเตียน โจมตี และกล่าวโทษ บอกว่าความเชื่อที่ผมมีต่อฟ้าแลบทางทิศตะวันออกเป็นการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า ว่าผมเป็นคนทรยศและควรถูกแช่งด่า  ที่แย่ที่สุด คือพวกเขาสร้างสถานการณ์และบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อดูหมิ่นและใส่ร้ายป้ายสีคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และเพื่อหมิ่นประมาทพระองค์  แทบไม่มีใครใจเย็นฟังผมเลย ผมฉุนขาด คนที่เห็นชัดๆ อยู่ว่าทำงานเพื่อพระเจ้า เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?  ทุกสิ่งที่ออกมาจากปากพวกเขาล้วนเป็นคำกล่าวโทษและคำหมิ่นประมาท และเกลียดชังพระเจ้าอย่างมาก  ผ่านไปสักพัก ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมาบีบหัวใจผมไว้แน่น และหาความสงบไม่ได้เลย  ผมรู้ว่า ด้วยการที่พวกเขากล่าวโทษและปฏิเสธผมแบบนั้น สัตบุรุษของพวกเขาก็ต้องทำกับผมแบบเดียวกันแน่ ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน ผมก็อาจจะตกเป็นข่าวลือและถูกพวกเขาดูหมิ่น  นี่เป็นเรื่องที่เจ็บปวด และน่าผิดหวังมากสำหรับผม ตอนนั้นผมก็นึกถึงสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า “พวกท่านย่อมได้รับพรในยามที่พวกเขาประณามท่าน ข่มเหงท่าน และพูดจาให้ร้ายและเป็นเท็จแก่ท่าน เพราะเรา(มัทธิว 5:11)  พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และมาเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ทนทุกข์กับการกล่าวโทษและการปฏิเสธในของโลกศาสนา แต่พระองค์ยังคงแสดงความจริง เพื่อช่วยให้เรารอด  การทนทุกข์ของผมนับเป็นอะไรเมื่อเทียบกันแล้ว? นับว่าคุ้มค่าที่จะทนทุกข์สักเล็กน้อย เพื่อได้ติดตามพระเจ้าและได้รับความจริงและชีวิต พอคิดแบบนั้นแล้ว ผมก็ไม่กังวลกับการถูกคนอื่นตัดสินและกล่าวโทษอีก พวกเขาอาจปฏิเสธและกล่าวโทษผม แต่ผมก็มีโอกาสได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ได้อ่านพระวจนะและได้รับการให้น้ำและการจัดเตรียมจากพระองค์  นี่คือพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  นี่ช่างเป็นการชูใจและทำให้ผมสงบสุขได้จริงๆ  ตอนอยู่ที่วัดเดิม ผมไม่ได้รับการค้ำจุนทางฝ่ายวิญญาณ และใช้ชีวิตอยู่ในความมืด  แต่การติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทำให้ผมได้เสบียงแห่งความจริง และมองเห็นความรอดที่กำลังจะมาถึง เหมือนได้กลับมาจากความตาย  ผมได้พบหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์ และไม่ว่านักบวชคาทอลิกจะกล่าวโทษและขัดขวางผมยังไง ผมก็จะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จากนั้น ผมได้อ่านพระวจนะบทตอนนี้ “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในตัวผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการรบกวนของมนุษย์  แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานที่พวกเขามีให้พระเจ้า  เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือการกระทำของมนุษย์และการรบกวนของพวกมนุษย์  เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังทั้งหมดนั้นคือการสู้รบ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง)  จากพระวจนะของพระเจ้า ผมเข้าใจว่าดูผิวเผิน ผมถูกเหล่ามุขนายกและบาทหลวงโจมตีและข่มเหง  อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังการนั้น เป็นซาตานที่ก่อกวนและทดสอบผม  ซาตานใช้เงิน อำนาจ และยศศักดิ์ผ่านทางมุขนายกและบาทหลวงเหล่านั้น เพื่อมาทดลองให้ผมทรยศต่อพระเจ้า พอไม่เป็นไปตามต้องการ พวกเขาก็ด่าทอผม บังคับให้ผมล้มเลิกความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และสูญเสียความรอดของพระองค์  ผมจะหลงกลซาตานไม่ได้ ยิ่งพวกนักบวชตัดสินและโจมตีผมมากเท่าไร ผมก็ยิ่งเห็นความจริงที่ว่าพวกเขาต่อต้านพระเจ้าและเกลียดความจริงมากแค่ไหน ไม่มีสักคนในหมู่พวกเขาที่แสวงหาหรือโหยหาการทรงปรากฏของพระเจ้า หรือต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า  พวกเขาโอหังและไม่สามารถยอมรับความจริงได้ พวกเขาปราศจากความเชื่อ เป็นฟาริสีสมัยใหม่ที่ต่อต้านพระเจ้า

เช้าตรู่วันหนึ่งในอีกยี่สิบวันต่อมา  ขณะฟ้าเริ่มสาง ผมอธิษฐานอยู่ในโบสถ์กับเหล่าภารดา แม่ชีและสัตบุรุษที่เพิ่งยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  ตอนนั้นเองที่บาทหลวงหวังและบาทหลวงหลี่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับสังฆานุกรและสัตบุรุษบางคนที่ปกติก็ไม่เคร่งนัก รวมแล้วราวเจ็ดสิบกว่าคน พากันบุกเข้ามาในลานวัด  พวกเขามีสีหน้าที่ดูน่ากลัวจริงๆ ผมคิดว่า พวกเขากำลังจะใช้ความรุนแรง เพื่อกีดกันเหล่าพี่น้องจากการสืบค้นหนทางที่แท้จริง  ผมกลัวมากทีเดียว และรีบอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า วุฒิภาวะของข้าพระองค์ยังน้อยนัก โปรดมอบความเชื่อและความเข้มแข็งให้แก่ข้าพระองค์ เพื่อไม่ก้มหัวให้กองกำลังศาสนาที่เป็นศัตรูของพระคริสต์นี้ด้วยเถิด”  ผมรู้สึกโล่งใจหลังได้อธิษฐาน และไม่กลัวมากนัก  ผมเข้าไปหาพวกเขาด้วยความสงบมาก และบอกว่า “บาทหลวงหวัง บาทหลวงหลี่ คุณพาคนพวกนี้มาทำไม?” บาทหลวงหวังชี้หน้าผมและพูดว่า “คุณยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ที่แย่กว่านั้นคือ คุณดึงสัตบุรุษไปเข้าร่วม การต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องใหญ่ แต่คุณแอบไปเข้ากับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกโดยไม่หารือกับเรา  คุณกำลังก่อกบฏ! ลืมพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือ?  พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘เวลานั้น หากผู้ใดบอกท่านว่าพระคริสต์อยู่ที่นี่ หรือพระคริสต์อยู่ที่นั่น จงอย่าเชื่อเขา เพราะจะมีพระคริสต์เทียมเท็จ และประกาศกเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น และจะทำเครื่องหมายและปาฏิหาริย์ยิ่งใหญ่ ถ้าเป็นไปได้ก็จะหลอกลวงแม้แต่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้(มัทธิว 24:23-24)  ข่าวการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องเท็จ คุณถูกชักพาให้หลงผิดและได้ทรยศต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และคุณเหลือโอกาสสุดท้ายแล้ว ล้มเลิกจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออก และพาทุกคนกลับเข้าคอกแกะซะ แล้วคุณจะได้เป็นบาทหลวงเหมือนเดิม” ผมพูดอย่างหนักแน่นว่า “บาทหลวงหวัง อยากทำอะไรกับผมก็ตามสบาย แต่การกีดกันไม่ให้พวกเราสืบค้นหนทางที่แท้จริง ไม่ให้ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า และไม่ให้ต้อนรับการทรงกลับมา คือเรื่องที่รับไม่ได้เลย จริงที่ว่า มีพระคริสต์เทียมและประกาศกเทียมชักพาผู้คนในยุคสุดท้ายให้หลงผิด แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า พระองค์จะทรงกลับมาแน่นอน เราไม่อาจพลาดการต้อนรับการทรงกลับมาเพราะกลัวพระคริสต์เทียมหลอก แบบนั้นจะต่างอะไรกับการไม่กินอาหารเพราะกลัวจะสำลักเล่า?  องค์พระเยซูเจ้า บอกเราว่าให้คอยระวังพระคริสต์เทียม เพราะพวกเขาไม่อาจแสดงความจริงได้ จะทำได้แค่ชักพาให้คนหลงผิดด้วยเครื่องหมายอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ พระคริสต์เจ้าในรูปมนุษย์เท่านั้นที่สามารถแสดงความจริง มอบชีวิตแก่มนุษย์ และชี้ทางสู่ความรอด ทางสู่ราชอาณาจักรให้แก่เราได้ พระคริสต์เจ้าคือพระวิญญาณของพระเจ้าในกายเนื้อหนัง และทรงครองแก่นแท้แบบพระเจ้า จึงมีแค่พระองค์เท่านั้นที่สามารถแสดงความจริงเพื่อค้ำชูและเลี้ยงมนุษย์ได้ พระองค์เท่านั้นที่แสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า ทรงพระราชกิจการไถ่และช่วยมนุษย์ให้รอดได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ ไม่มีใครเลียนแบบได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงปรากฏและทรงพระราชกิจในยุคสุดท้าย ทรงเผยธรรมล้ำลึกแห่งแผนการบริหารจัดการหกพันปี และการประสูติเป็นมนุษย์ ทรงแสดงความจริงที่จำเป็นต่อการชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอด  มีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงพระราชกิจทั้งหมดนี้ได้ นอกจากพระเจ้า ใครจะแสดงความจริงได้อีก?  ใครที่จะทรงพระราชกิจการพิพากษาในยุคสุดท้ายได้อีก?  ใครที่จะชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอดได้อีก?  ไม่มีเลยสักคน การที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดงความจริงมากมายได้พิสูจน์แล้วว่า พระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา และเป็นพระคริสต์เจ้าแห่งยุคสุดท้าย”  บาทหลวงหวังถลึงตา ชี้หน้าผมและพูดว่า “พวกเราไม่สนหรอก ว่าคุณพูดถูกยังไง! ในเมื่อคุณไม่ยอมหันหลังกลับ และหัวเด็ดตีนขาดก็จะอยู่กับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก  มุขนายกบอกให้เรามาเตือนคุณ คุณต้องหยุดการเผยแพร่ฟ้าแลบทางทิศตะวันออก และส่งหนังสือของพวกเขามาเดี๋ยวนี้!” แล้วบาทหลวงหลี่ก็พูดว่า “ส่งกุญแจโบสถ์และตัวผู้ประกาศของฟ้าแลบจากทิศตะวันออกมาด้วย!” ตอนนั้นเอง บาทหลวงหวังก็สั่งเหล่าสัตบุรุษว่า “หาให้ทั่ว หาให้เจอหนังสือฟ้าแลบจากทิศตะวันออกทุกเล่ม! ไม่มีหนังสือ พวกเขาก็ปฏิบัติความเชื่อไม่ได้” จากนั้น เขาก็สั่งให้สองสามคนมาจับตัวผมไว้ และสังฆานุกรคนหนึ่งก็คุกเข่าตรงหน้าผม และร้องลั่นว่า “คุณเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ได้! เราจะทำยังไงถ้าคุณไม่เป็นบาทหลวงของเราอีกต่อไป?  คุณต้องนำเราไปสู่สวรรค์…” ผมดิ้นหนีจากพวกเขาไม่ได้เลย ผมได้แต่มองพวกเขาถือจอบและเสียมปรี่เข้าไปในลานวัดอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงหน้าต่างและประตูแตก  ผมรู้สึกโกรธมากและกังวลจริงๆ พี่น้องชายเฉินกวงที่เป็นคนประกาศข่าวประเสริฐอยู่ข้างในนั้น และถ้าคนพวกนี้จับตัวเขาได้ก็คงเป็นปัญหา ส่วนสัตบุรุษคนอื่นที่นั่นยังใหม่กับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และยังไม่มีรากฐานที่ดี ผมกลัวว่าพวกเขาอาจไม่แข็งแกร่งพอที่จะยืนหยัดต่อการก่อกวนรูปแบบนั้น ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็รื้อทุกห้องในวัดจนกระจุยกระจาย และถึงกับทำตู้ศีลคว่ำลงมา  พวกเขาไม่พบหนังสือพระวจนะของพระเจ้า และยังไม่ยอมเลิกรา พวกเขาบุกไปที่บ้านสมาชิกโบสถ์ ข่มขู่และคุกคามพวกเขา และเผยแพร่ข่าวลือ เอาหนังสือพระวจนะมาจากพวกเขาเป็นส่วนมาก พี่น้องชายเฉินกวงถูกซ้อมอย่างรุนแรงจนลุกจากพื้นไม่ได้ บาทหลวงพวกนั้นถึงกับบอกว่าจะเอาตัวพี่น้องชายเฉินกวงไปส่งให้ตำรวจ ผมโกรธจริงๆ และบอกพวกเขาไปว่า “บราเดอร์เฉินกวงเป็นผู้เชื่อแท้จริง การที่ซ้อมเขาอย่างรุนแรง และถึงกับขู่ว่าจะเอาไปส่งตำรวจ คุณยังมีมโนธรรมอยู่ไหม? คุณเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าหรือเปล่า? การทำความชั่วเพื่อต่อต้านพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรมจะต้องได้เจอกับผลที่ตามมาอย่างแน่นอน” พอได้ยินที่ผมพูด เหล่าบาทหลวงและสังฆานุกรเลยไม่พาเขาส่งตำรวจ จากนั้น บาทหลวงหวังก็พูดกับผมว่า “เหล่ามุกขนายกกับบาทหลวงก็แค่หวังดี ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจเรื่องนั้น  กลับไปอาสนวิหารกลับพวกเราเถอะ”  ผมบอกเขาไปว่า “ผมจะไม่กลับไปกับคุณ ผมได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และกำลังติดตามย่างพระบาทของลูกแกะ ผมอยู่บนเส้นทางนี้แล้ว!”  จากนั้นพวกเขาก็ปึงปังกลับไป

คืนนั้น ผมได้แต่นอนไม่หลับอยู่บนเตียง ภาพที่เกิดขึ้นวันนั้น ฉายอยู่ในหัวของผมราวกับภาพยนตร์ จิตใจของผมปั่นป่วน  ผมสงสัยว่า มุขนายกและบาทหลวงที่รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามาทั้งชีวิต จะเกลียดเราอย่างมากเพราะสืบค้นหนทางที่แท้จริงได้ยังไง วัดเป็นสถานคารวกิจ แต่พวกเขากล้าที่จะพังจนเละได้จริงๆ ทุบตีพี่น้องชายที่แบ่งปันข่าวประเสริฐ และเอาหนังสือพระวจนะของพระเจ้าไปจากผู้เชื่อ พวกเขาสามารถทำชั่วในรูปแบบใดก็ได้ พวกบาทหลวงมีเส้นสายของรัฐ  บอกไม่ได้ว่า พวกเขาจะเอาเรื่องผมไปแจ้งตำรวจเมื่อไหร่  ผมปฏิเสธไม่เข้าร่วมกับโบสถ์ของทางการมาโดยตลอด และหัวหน้าส่วนการเมืองและความมั่นคงของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะก็เห็นผมเป็นเหมือนหนามยอกอกเขาเสมอมา  เขาเคยขู่ผมว่า การที่ผมไม่เข้าร่วมกับคริสตจักรสามตน ทำให้เขาถูกกรมรักษาความปลอดภัยสาธารณะมณฑลและสำนักงานความมั่นคงสาธารณะของนครปกครองโดยตรงต่อว่า มีโอกาสเมื่อไหร่ เขาจะทำให้ผมเห็นว่าอะไรเป็นอะไร  ตอนนี้ ถ้าผมที่เป็นผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ถูกตำรวจจับ พวกเขาอาจถึงกับทรมานผมจนตาย การถูกปฏิเสธและกล่าวโทษจากโลกศาสนา และการไล่ล่าจากทางพรรค ทำให้ผมเจ็บปวดมาก  ผมแค่ติดตามย่างพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้า ติดตามพระคริสต์เจ้าแห่งยุคสุดท้าย  ทำไมถึงเป็นเรื่องที่ยากนัก? คืนนั้นผมนอนไม่หลับเลย  ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงช่วยเหลือข้าพระองค์และประทานความเชื่อกับความเข้มแข็ง ให้ข้าพระองค์เอาชนะความอ่อนแอทางเนื้อหนัง และตั้งมั่นผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ด้วยเถิด” แล้วผมก็นึกถึง บทเพลงสรรเสริญพระวจนะที่ผมได้รู้มาว่า

1  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ องค์ประธานแห่งสรรพสิ่งทั้งปวง ทรงใช้ฤทธานุภาพแห่งความเป็นกษัตริย์ของพระองค์จากพระบัลลังก์ของพระองค์  พระองค์ทรงปกครองเหนือจักรวาลและสรรพสิ่งทั้งปวง และพระองค์กำลังทรงนำพวกเราทั้งแผ่นดินโลก  พวกเราจะอยู่ใกล้ชิดพระองค์ในทุกชั่วขณะ และจะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ในความนิ่งสงบ ไม่มีวันพลาดแม้ชั่วขณะเดียว และพร้อมด้วยบทเรียนสำหรับให้พวกเราเรียนรู้ตลอดเวลา  ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่สภาพแวดล้อมรอบตัวไปจนถึงผู้คน กิจการงาน และสิ่งทั้งหลาย ล้วนดำรงอยู่ด้วยการอนุญาตแห่งพระบัลลังก์ของพระองค์ทั้งสิ้น  จงอย่าปล่อยให้ความคับข้องหมองใจเกิดขึ้นในหัวใจของเจ้าไม่ว่าด้วยเหตุอันใด มิเช่นนั้นพระเจ้าจะไม่ประทานพระคุณแก่เจ้า

…………

4  ความเชื่อเป็นเหมือนสะพานไม้ซุงต้นเดียว กล่าวคือ พวกที่ยึดติดอยู่กับชีวิตอย่างยอมจำนนจะประสบความลำบากยากเย็นในการข้ามสะพานนั้นไป แต่บรรดาผู้ที่พร้อมจะพลีอุทิศตัวพวกเขาเองจะสามารถข้ามไปได้ด้วยเท้าที่มั่นคงและปราศจากความกังวล  หากว่ามนุษย์เก็บงำความคิดที่ขลาดอายและเกรงกลัว นั่นก็เป็นเพราะซาตานได้หลอกพวกเขา ด้วยกลัวว่าพวกเราจะข้ามสะพานแห่งความเชื่อเพื่อเข้าสู่พระเจ้า…

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6

การครวญเพลงนี้ซ้ำๆ ช่วยมอบความแข็งแกร่งในใจให้ผม จริงที่ว่า ทุกสิ่งในจักรวาลล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า รวมถึงโชคชะตาของผม ดังนั้นไม่ว่าผมจะถูกจับหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าเช่นกัน ซาตานรู้ความอ่อนแอของผม มันจึงใช้ชื่อเสียง สถานะ และการข่มขู่ว่าจะจับกุมมาโจมตีผม เพื่อให้ผมทรยศพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และพระเจ้าก็ทรงใช้สถานการณ์นั้นเพื่อทำให้ความเชื่อของผมเพรียบพร้อม และเพื่อดูว่า ผมแน่วแน่ที่จะยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อติดตามพระองค์ต่อไปไหม  ผมทนทุกข์จากการถูกพวกเขาบีบบังคับ แต่ผมก็รู้สึกถึงการทรงนำของพระเจ้า และความเชื่อของผมในพระองค์ก็เติบโตขึ้น  ผมจำได้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า “สำหรับผู้ที่จะช่วยชีวิตตนให้รอด ย่อมจะสูญเสียชีวิต และผู้ที่จะสูญสิ้นชีวิตของตนเพื่อเรา ย่อมจะค้นพบชีวิต(มัทธิว 16:25)  เพื่อที่จะไถ่มวลมนุษย์ องค์พระเยซูเจ้า ทรงถูกตรึงกางเขนโดยโลกศาสนาและรัฐบาล  เหล่าสาวกที่ติดตามพระองค์ก็ล้วนถูกข่มเหง  พวกเขาถูกปาหินจนตาย  ถูกม้าลากจนตาย หรือถูกแขวนคอ  พวกเขาทำการมรณสักขีเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นคำพยานอันงดงาม และสมดังการเห็นชอบของพระเจ้า  การติดตามพระเจ้า คือการเลือกเดินบนทางแห่งกางเขน องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นต้นแบบให้พวกเราแล้ว พวกเราควรดื่มจากถ้วยอันขมขื่นที่พระองค์ทรงดื่ม และเดินบนทางที่พระองค์ทรงเดิน ตอนนี้ที่ผมติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ต่อให้จะหมายถึงการที่ผมถูกพรรคคอมมิวนิสต์จับกุมและทรมาน แต่นั่นก็จะเป็นการทนทุกข์เพื่อความชอบธรรม จะเป็นสิ่งที่พระเจ้าจะทรงเห็นชอบและเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง ไม่ว่าหลังจากนั้นผมจะเจอกับอะไร ผมก็พร้อมมอบชีวิต และพร้อมติดตามพระเจ้าไปถึงปลายทาง

ต่อมาผมก็นึกดูว่า ทำไมมุขนายกและบาทหลวงถึงไม่แสวงหาหรือพิจารณาข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าเลยสักนิด และยังต่อต้านอย่างมาก ผมได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ “พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ต้นตอหรือไม่ว่าทำไมพวกฟาริสีจึงต่อต้านพระเยซู?  พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้แก่นแท้ของพวกฟาริสีหรือไม่?  พวกเขาเต็มไปด้วยความเพ้อฝันเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์  ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาเชื่อเพียงว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา ทว่าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงชีวิต  และดังนั้น แม้กระทั่งวันนี้พวกเขาก็ยังคงรอคอยพระเมสสิยาห์ เพราะพวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับหนทางแห่งชีวิต และไม่รู้ว่าหนทางแห่งความจริงคืออะไร  พวกเจ้าพูดว่า ผู้คนที่โง่เขลา ดื้อรั้น และไม่รู้ความเช่นนั้นได้รับพรของพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาจะสามารถมองเห็นพระเมสสิยาห์ได้อย่างไร?  พวกเขาต่อต้านพระเยซูเพราะพวกเขาไม่รู้ทิศทางของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพวกเขาไม่รู้หนทางแห่งความจริงที่พระเยซูตรัส และยิ่งไปกว่านั้น เพราะพวกเขาไม่เข้าใจพระเมสสิยาห์  และเนื่องจากพวกเขาไม่เคยพบเห็นพระเมสสิยาห์และไม่เคยอยู่กับพระเมสสิยาห์ พวกเขาจึงทำผิดพลาดด้วยการยึดติดกับพระนามของพระเมสสิยาห์เท่านั้น พลางต่อต้านแก่นแท้ของพระเมสสิยาห์ในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้  โดยแก่นแท้แล้ว พวกฟาริสีเหล่านี้ดื้อรั้น โอหัง และไม่เชื่อฟังความจริง  หลักธรรมของความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าคือ ไม่ว่าการประกาศของพระองค์จะลุ่มลึกเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระองค์จะสูงส่งเพียงใดก็ตาม พระองค์ไม่ใช่พระคริสต์หากพระนามของพระองค์ไม่ใช่พระเมสสิยาห์  การเชื่อแบบนี้ไม่โง่เขลาและไร้สาระน่าขันหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว)  การอ่านพระวจนะของพระเจ้า ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า พวกฟาริสีกดขี่องค์พระเยซูเจ้า เพราะพวกเขามีธรรมชาติที่ดื้อรั้น โอหัง และเกลียดชังความจริง  พวกเขาได้ยินพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า แต่จะไม่ยอมรับว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสคือความจริง พวกเขาเห็นว่า องค์พระเยซูเจ้าทรงทำให้คนตาบอดกลับมามองเห็น รักษาคนเป็นโรคเรื้อน และทำให้คนตายฟื้นคืนชีวิต ทรงแสดงเครื่องหมายและปาฏิหาริย์มากมาย แต่กลับไม่ยอมรับว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ที่ประกาศพระวาจาไว้ คือพระเจ้าพระองค์เอง  พวกเขามั่นใจว่าองค์พระเยซูเจ้าเป็นเพียงมนุษย์ ถึงกับหมิ่นประมาทพระองค์ กล่าวว่าพระองค์ทรงขับไล่ปีศาจได้โดยอาศัยเจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง พวกเขาไม่รับรู้พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ยอมรับความจริง หรือเชื่อฟังพระวจนะ เอาแต่ติดอยู่กับชื่อ “เมสสิยาห์” และยืนกรานในมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเอง จนสุดท้ายก็ตรึงกางเขนองค์พระเยซูเจ้า ตอนนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษา และชำระมวลมนุษย์ รวมถึงเปิดเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและเปี่ยมบารมีที่ไม่อาจทำให้มัวหมองได้ พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นเปี่ยมสิทธิอำนาจและอานุภาพ อีกทั้งสะเทือนหัวใจของผู้เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงจากทุกนิกาย พวกเขาทุกคนจำได้ว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นเป็นความจริง และนั่นก็เป็นพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีต่อคริสตจักรทั้งหลาย แต่เหล่ามุขนายกและบาทหลวงยึดอยู่กับพระคัมภีร์ซึ่งเป็นตัวอักษร และมโนคติอันหลงผิดกับความคิดฝันของตน เฝ้ารออย่างโอหังให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา และเปิดเผยต่อพวกเขาก่อน พวกเขาไม่แสวงหาความจริง หรือพยายามเงี่ยหูฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าเลย แต่กลับบ้าคลั่งกีดกันผู้คนไม่ให้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย ทุกอย่างที่พวกเขาทำลงไป ได้เผยโฉมหน้าแท้จริงของการเกลียดความจริงและพระเจ้า พวกเขาเป็นฟาริสีสมัยใหม่ในทุกแง่มุม

หลังจากวัดถูกทำลายไปแล้ว ผมกับภารดาและแม่ชีสองสามคนที่อยากแบ่งปันข่าวประเสริฐ ก็ออกจากวัดนั้นมา จากนั้นอีกไม่กี่วัน พี่น้องชายคนหนึ่งก็ส่งข้อความมาบอกว่า ห้ามกลับไปเด็ดขาด เพราะหลังจากผมออกมา วันรุ่งขึ้นตำรวจก็ไปที่นั่นเพื่อจับกุมผม พอไม่เจอ พวกเขาก็เลยตั้งแคมป์รอผมอยู่ในวัด พวกเขาจับคนที่เพิ่งยอมรับข่าวประเสริฐไปหลายคน และอยากรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน พี่น้องชายคนนั้นบอกว่า หัวหน้ากองพันความมั่นคงแห่งชาติ ได้รับรายงานสมทบจากสังฆานุกรหลายชุมชนวัด ว่าผมไม่เข้าร่วมคริสตจักรสามตน แถมยังบอกสังฆานุกรและบาทหลวงคนอื่นไม่ให้เข้าร่วมด้วย นั่นจึงเป็นการต่อต้านรัฐบาลโดยตรง หัวหน้าคนนั้นบอกว่า การประกาศฟ้าแลบจากทิศตะวันออกถือเป็นอาชญากรรมที่มีโทษถึงตาย พวกเขาจะยิงทิ้งเลยก็ได้ ตำรวจข่มขู่พี่น้องชายหญิง บอกว่าถ้าไม่ยอมบอกที่ซ่อนตัวของผม พวกเขาอาจถูกตัดสินว่าเป็นอาชญากร ตอนได้ยินข่าวนี้ ผมโกรธอย่างสุดขีดเลย พรรคตามรังควานผมไม่หยุดอยู่หลายปี กดดันให้ผมเข้าร่วมกับสามตน ตอนนี้พอผมติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และแบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้าย ผมก็กลายเป็นหนามยอกอกขึ้นมาจริงๆ พวกเขาอยากจะจับผม และเห็นผมตายในทันที ปีศาจพรรคคอมมิวนิสต์พวกนั้นชั่วร้ายเหลือเกิน! ผมรู้อยู่ในใจว่า ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเหล่ามุขนายกและบาทหลวง สังฆานุกรไม่มีวันรายงานเรื่องผมด้วยตัวเอง การทำแบบนั้น ยิ่งแสดงให้เห็นธรรมชาติร้ายกาจและต่ำทรามของพวกเขาชัดกว่าเดิม แล้วผมก็นึกถึงพวกฟาริสีขึ้นมา เพื่อกีดกันไม่ให้ผู้เชื่อในศาสนายิวยอมรับความรอดขององค์พระเยซูเจ้า พวกเขาร่วมมือกับคณะปกครองโรมัน ตรึงกางเขนองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างโหดเหี้ยม แถมยังไล่ล่า และข่มเหงเหล่าสานุศิษย์ของพระองค์ ตอนนี้ พวกนักบวชก็กำลังร่วมมือกับระบบการปกครองพรรคคอมมิวนิสต์เยี่ยงซาตานเพื่อจับกุมผม และบังคับให้ผมหันไปต่อต้านพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาไม่ต่างอะไรจากพวกฟาริสีในสมัยนั้นเลย!

ไม่นานนัก หลังจากการรายงานของสังฆานุกร ผมก็พบว่าบ้านที่ผมไปพักอาศัย กำลังถูกตำรวจจับตาดู พี่น้องชายหญิงเลยแอบพาผมออกจากบ้านทันที วันรุ่งขึ้น ผมก็ได้รู้ว่าคู่สามีภรรยาเจ้าของบ้านถูกจับ พวกตำรวจเอารูปของผมให้พวกเขาดู และอยากรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน จากนั้น ผมเลยต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ เพื่อเลี่ยงการถูกจับ  ผมต้องคอยหลบซ่อนเพื่อหนีพรรคคอมมิวนิสต์อยู่ตลอด และสงสัยว่า เมื่อไหร่วันเหล่านั้นจะสิ้นสุดลงสักที  ช่วงปฏิวัติทางวัฒนธรรม ลุงของผมถูกทุบตีจนตายเพราะเป็นคาทอลิก บนตัวท่านมีแต่รอยโซ่ และแผลเป็นจากการถูกประทับตรา  เรื่องนั้นยังคงฝังอยู่ในใจผม ผมกลัวว่า ถ้าผมตกไปอยู่ในมือของพรรค พวกเขาจะทรมานผมยังไง?

แล้วผมก็ได้ยินบทเพลงสรรเสริญพระวจนะเพลงหนึ่งร้องว่า

เจ้าควรละทิ้งทั้งหมดเพื่อความจริง

1  เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น  นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ  เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ชีวิตครอบครัวอันสงบสุข และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วยาม

2  เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น…

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

ขณะที่ขับร้อง ผมก็นึกถึงความหมายของเพลง ทำให้ผมเข้าใจน้ำพระทัยดีขึ้นอย่างมาก และความเชื่อผมก็เติบโต  ในประเทศจีน ประเทศที่ต่อต้านพระเจ้านี้ การติดตามพระเจ้าและการได้รับความจริงจำเป็นต้องทนทุกข์บ้าง ความเชื่อของเราถูกทำให้เพียบพร้อมได้ด้วยการผ่านความยากลำบากและบททดสอบเท่านั้น และทำให้เราได้รับวิจารณญาณในหลายสิ่ง  ผมถูกโลกศาสนาปฏิเสธและหักหลัง เพราะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย และตอนนี้ ผมก็ถูกพญานาคใหญ่สีแดงไล่ล่า จนต้องคอยหนี  ผมใช้ชีวิตแบบแขวนอยู่บนเส้นด้ายทุกวัน และทนทุกข์มากจริงๆ  แต่ว่าประสบการณ์เหล่านั้น ก็ช่วยให้ผมมองเห็นความเป็นจริง ที่ว่านักบวชเกลียดความจริงและพระเจ้าได้ชัดเจนขึ้น  ผมยังได้รับประสบการณ์การทรงนำของพระเจ้าอย่างแท้จริงอีกด้วย  เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมทุกข์ใจและอ่อนแอ พระเจ้าก็ทรงนำให้ผมเข้าใจน้ำพระทัย มอบความเข้มแข็งและความเชื่อ เพื่อที่ผมจะได้ไม่อ่อนแอและหวาดกลัวอีกต่อไป  ผมเองรู้สึกได้ว่าพระเจ้าทรงนำและเฝ้าดูแลผมอยู่ตลอด  ถึงแม้จะค่อนข้างทุกข์ใจมาก แต่นั่นก็มีความหมายและมีคุณค่า  ต่อให้ผมจะต้องลงเอยด้วยการถูกจับ ผมก็รู้ว่านั่นคงเป็นเพราะพระเจ้าทรงอนุญาต และผมก็พร้อมจะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์  ผมพร้อมแล้วที่จะติดตามพระเจ้าไม่ว่าสิ่งต่างๆ จะยากลำบากยังไงก็ตาม

แม้ผมจะออกจากวัดมาแล้ว แต่พวกนักบวชก็ยังพยายามทุกทาง เพื่อกีดกันไม่ให้ผมเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  วันหนึ่ง ผมออกไปพบใครบางคนที่สถานีรถโดยสาร ทันทีที่ไปถึงทางเข้า จู่ๆ ก็มีคนมากมายมาล้อมและจับตัวผมไว้  ผมตกใจมาก และไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น  จากนั้น ก็มีคนในครอบครัวกับญาติของผมบางคนลงมาจากรถและดันผมเข้าไปในรถโดยไม่อธิบายอะไรเลย  ผมมารู้ทีหลังว่า เหล่ามุขนายกขอให้สังฆานุกรคนหนึ่งโทรบอกครอบครัวผมและสัตบุรุษบางคน ว่าผมเข้าร่วมกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก บอกว่าผมเสียสติไปแล้วจากการฉีดยาและเสพยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ว่าผมไม่อยากเป็นบาทหลวงและไม่สนแม้กระทั่งเรื่องเงิน  พวกเขาบอกว่าผมถูกควบคุม และขัดต่อคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าไปแต่งงานกับหญิงหม้าย บอกว่าลูกผมอายุเท่านั้นเท่านี้ เขาขอให้ครอบครัวและญาติๆ ของผมร่วมมือกับมุขนายก เพื่อดึงผมกลับไป ขอให้ห้ามผมไม่ให้ติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิธิฤทธิ์และแบ่งปันข่าวประเสริฐ ครอบครัวของผมเทิดทูนนักบวชมาก เลยเชื่อในสิ่งที่คนพวกนั้นพูดอย่างสนิทใจ ก็เลยฟังคำมุขนายกและมาจับตัวผม  การได้ฟังข่าวลือพวกนั้นทำให้ผมโกรธมาก  และยิ่งเห็นชัดมากขึ้น ว่านักบวชคือปีศาจในรูปมนุษย์  พระคัมภีร์กล่าวว่า “ท่านมาจากบิดาของท่านซึ่งเป็นปีศาจ และท่านจะทำตามความต้องการของบิดาท่าน เขาเป็นฆาตกรมาตั้งแต่แรก และเขาไม่ได้ยืนหยัดอยู่ในความจริง เพราะความจริงไม่อยู่ในตัวเขา ยามที่เขาพูดปด เขาก็พูดออกมาเอง เพราะเขาคือคนโกหก และเป็นบิดาแห่งการโกหก(ยอห์น 8:44)  มีเพียงปีศาจที่กล้าโกหกอย่างอุกอาจ และเผยแพร่ข่าวลือ เป็นคำพยานเท็จเพื่อหลอกลวงผู้คน

แล้วครอบครัวก็บังคับใช้กำลังพาตัวผมไปอาสนวิหาร มุขนายกจ้าวยิ้มกว้าง และอ้าแขนรับผมอย่างจอมปลอม “กลับมาแล้ว แกะผู้หลงทางกลับมาบ้านแล้ว” แล้วเขาก็ขอให้ทุกคนออกไป เพื่อจะคุยกับผมตามลำพังว่า “เมื่อก่อน คุณอยากจะไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย แต่เราไม่เห็นด้วย คราวนี้เราจะเห็นด้วยกับทุกคำขอของคุณ คุณจะไปเรียนมหาวิทยาลัยไหนก็ได้ วิทยาลัยศาสนศาสตร์หลายแห่งขาดผู้ให้การอบรม และสังฆตำบลหลายที่ก็ขาดบาทหลวง ถ้าคุณไม่อยากเข้ามหาวิทยาลัย จะไปเป็นผู้อบรมที่วิทยาลัยศาสนศาสตร์ หรือจะเลือกว่าอยากเป็นบาทหลวงในสังฆตำบลไหนก็ได้ คุณอายุมากขึ้นเรื่อยๆ และมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในไม่กี่ปีมานี้ เราเตรียมทั้งเงินทอง รถ และบ้านไว้ให้แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงินบำนาญเลยด้วยซ้ำแค่เลิกยุ่งกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก มาเป็นบาทหลวง คุณก็จะไม่ต้องกังวลอะไรเลย” ผมรู้สึกรังเกียจมาก ที่ได้ฟังเขาพูดแบบนี้ มุขนายกพวกนั้นคิดถึงแต่สถานะ เงินทอง และชื่อเสียง พวกเขาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่ทำตามพระวจนะ พวกเขาไม่แสวงหาหรือพิจารณาตรวจสอบข่าวที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วเลยสักนิด เพื่อปกป้องสถานะและชื่อเสียงของตน พวกเขาบ้าคลั่งกับการกีดกันผู้อื่นไม่ให้ยอมรับข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า สถานะและชื่อเสียงจะช่วยให้พวกเขารอดจากบาปได้จริงหรือ?  ผมจึงพูดกับมุขนายกจ้าวไปว่า “คุณพ่อ ผมไม่ต้องการของพวกนั้น ตอนที่ซาตานล่อลวงองค์พระเยซูเจ้า มันใช้เงินทองและชื่อเสียง พยายามให้พระองค์ก้มหัวต่อหน้ามัน ดังนั้น บรรดาสิ่งที่คุณพูดนั้นมาจากใครกันแน่? ตอนคุณเจิมถวายผมเป็นสมณะ พวกเราปฏิญาณต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าจะแบกกางเขน และติดตามพระองค์ไปตลอดชีวิต ตอนนี้พระองค์ทรงกลับมาแล้ว และผมก็แน่วแน่ที่จะติดตามพระองค์ ต่อให้พระสันตะปาปาจะทำให้ทุกคนต่อต้านผม และทำให้พวกเขาปฏิเสธผม ก็หยุดผมไม่ได้หรอก!”  พอเห็นว่าล่อลวงผมไม่สำเร็จ มุขนายกจ้าวก็เตือนผมว่า “หยุดพูดเรื่องฟ้าแลบจากทิศตะวันออกกับคนในวัดจะดีดว่านะ!” ผมไม่ตอบอะไรเขา จากนั้น เขาก็พาเราไปทานข้าว ซึ่งมีญาติของผมบางคนรออยู่ที่นั่นแล้ว  ญาติคนหนึ่งพูดกับผมว่า  “นายเป็นบาทหลวงคนเดียวจากทั้งตระกูลของเรา และเป็นความภูมิใจของครอบครัว เราไม่เคยคิดว่านายจะเข้าร่วมกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก พ่อนายอายุตั้งแปดสิบกว่าแล้ว แต่นายกลับออกไปประกาศฟ้าแลบจากทิศตะวันออกแทนที่จะอยู่ดูแลพ่อแม่ นายถึงกับยอมสละความเป็นบาทหลวง นี่เป็นการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า และจะทำให้นายตกนรก!” แล้วพี่ชายผมก็แทรกขึ้นมาว่า “ฉันยอมทนทุกข์มากมายให้แกได้เป็นบาทหลวง ตอนแกเรียนที่วิทยาลัยศาสนา ขนาดเราแทบไม่มีอะไรจะกิน ฉันยังต้องดิ้นรนหาอาหารกับเงินให้แก กว่าจะทำให้แกเป็นบาทหลวงได้มันไม่ง่ายเลย แต่ตอนนี้แกดันอยู่กับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก แกทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า แกไม่ใช่บาทหลวง และไม่สนเรื่องเงิน แกเสียสติไปแล้วหรือ?” ผมตอบไปว่า “จริงอยู่ ที่ผมต้องให้พี่สนับสนุนเพื่อจะมาเป็นบาทหลวง แต่อะไรคือการบอกว่าผมจะไม่กลับบ้านไปดูแลพ่อแม่? ตอนที่ได้เป็นบาทหลวง ผมปฏิญาณต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ว่า จะทิ้งบ้าน ครอบครัว และโอกาสแต่งงาน เพื่อรับใช้พระองค์ชั่วชีวิต ในพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า ‘ผู้ที่รักบิดาหรือมารดามากกว่าเรา ไม่คู่ควรกับเรา และผู้ที่รักบุตรชายหรือบุตรหญิงมากกว่าเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา รวมทั้งผู้ที่ไม่รับเอาไม้กางเขนของตนและติดตามเรา ก็ย่อมไม่คู่ควรกับเรา(มัทธิว 10:37-38)  พี่บอกว่าผมควรล้มเลิกการแบ่งปันข่าวประเสริฐและกลับบ้านไปเป็นลูกกตัญญู แต่นั่นสอดคล้องกับพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ?  ความเชื่อของเรา หมายถึงการแบกกางเขนและแบ่งปันข่าวประเสริฐไปยังทุกครอบครัวและทุกบ้าน ตอนนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว และกำลังทรงพระราชกิจการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศ ดังนั้นการแบ่งปันข่าวประเสริฐนี้ จึงเป็นสิ่งชอบธรรมมาก  ผมไม่ได้ทรยศพระเจ้า แต่กำลังเดินตามย่างพระบาทของพระองค์…”  ผมยังไม่ทันพูดจบ พี่ชายก็พุ่งเข้ามาราวกับว่าจะตีผม บอกว่าผมทำให้วงศ์ตระกูลอับอาย และจะหักขาผมทิ้งถ้ายังแบ่งปันข่าวประเสริฐนั้นต่อ  เขายังพูดจาหมิ่นประมาทอีกด้วย  จากนั้น มุขนายกจ้าวก็กักตัวผมไว้ไม่ให้กลับ บอกว่าผมต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์ ถ้าออกไปผมก็จะถูกตาม ผมรู้สึกเหมือนเป็นอาชญากรที่ไม่มีอิสรภาพเลย โชคดีที่ในวันที่สี่ ผมพึ่งพาพระเจ้าและหลบหนีออกมาตอนที่พวกเขาไม่ทันได้ใส่ใจ กลับมาหาพี่น้องชายหญิงเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐต่อไป

ผมเห็นว่า พวกนักบวชไม่ใช่แค่กีดกันผู้คนจากการฟังพระสุรเสียงพระเจ้าและต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ยังใช้กลอุบายทุกอย่างเพื่อหลอกลวงผู้เชื่อ และนำพวกเขาไปบนเส้นทางที่ต่อต้านพระเจ้า ทำให้พวกเขาเป็นเครื่องสังเวย ที่ครอบครัวของผมกำลังต่อต้านพระเจ้า และกล่าวคำดูหมิ่นพระพระองค์นั้น ก็เป็นผลมาจากคำโกหก กล่าวโทษและโจมตีพระเจ้าของมุขนายกโดยแท้  ผมนึกถึงตอนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสาปแช่งพวกฟาริสีว่า “วิบัติเกิดแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี พวกคนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูสู่แผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่ยอมเข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยินยอม… วิบัติจงมีแก่พวกท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสี พวกหน้าซื่อใจคด เพราะพวกท่านเดินทางไปทั่วทั้งทางทะเลและทางบก เพื่อทำให้คนคนหนึ่งกลับใจ และเมื่อเขากลับใจ ท่านก็ทำให้เขาเป็นบุตรแห่งนรกเป็นสองเท่าของท่าน(มัทธิว 23:13, 15)  พวกมุขนายกและบาทหลวงยังพาคนมาเข้าศาสนา และทำให้ทุกคนฟังพวกเขา แข็งขืนต่อพระเจ้า จนพวกเขากลายเป็นบุตรนรก พวกเขาคือปีศาจที่กลืนกินวิญญาณของผู้คน! พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า  ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถทำได้ตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเขาทั้งหมดเป็นคนต่ำทรามที่ไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวอบรมพระเจ้า  พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ในขณะที่พวกเขาถือธงของพระองค์  พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์  ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าหัวหน้าปีศาจที่จงใจก่อกวนผู้ที่พยายามก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง และเป็นเครื่องสะดุดที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พวกเขาอาจดูมี ‘สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าคนเหล่านั้นเป็นเพียงศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า?  ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า)  พระวจนะทำให้ผมเห็นว่า ที่จริงแล้วพวกผู้นำทางศาสนาเป็นคนแบบไหน พวกเขามักโอ้อวดสิทธิอำนาจในการยกโทษบาปของตน เมื่อผู้เชื่อทำบาป ก็ต้องไปคุกเข่าต่อหน้านักบวชและสารภาพเพื่อรับการยกโทษ พวกนักบวชเข้าสวมตำแหน่งของพระเจ้าและทำหน้าที่เพื่อหลอกลวงผู้คน ทำให้ผู้คนเทิดทูนพวกเขา ติดตามพวกเขา และปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนพระเจ้า  เมื่อถูกลวงหลอกถึงขนาดนี้ ผู้คนก็เริ่มไม่เต็มใจที่จะฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าและติดตามพระองค์ นักบวชจึงได้กลายเป็นเหมือนพระเจ้าในสายตาของสัตบุรุษ  ตอนนี้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว และกำลังแสดงความจริงเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พวกเขากลับไม่แสวงหา หรือสืบค้น และจะไม่ยอมให้ผู้เชื่อยอมรับเรื่องนี้ด้วย แต่พวกเขากลับเผยแพร่คำโกหก ตัดสิน กล่าวโทษ และใส่ร้ายคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แทน  พวกเขาไม่รักพระเจ้าหรือความจริง รักแต่สถานะและเงินทอง และยังกระหายในผลประโยชน์ของสถานะ เพื่อปกป้องตำแหน่งและการดำรงชีพของตัวเอง พวกเขาจึงกำผู้เชื่อไว้ในมืออย่างแน่นหนา กลืนกินวิญญาณของผู้คน ขณะที่อ้างว่ารับใช้พระเจ้า พวกเขาเป็นปีศาจขนานแท้ เป็นศัตรูของพระคริสต์ที่ซ่อนตัวอยู่ในวัด เกลียดความจริง เป็นศัตรูของพระเจ้า พอเจอการทดลองและการรบกวนจากผู้นำศาสนาครั้งแล้วครั้งเล่า ผมก็เห็นชัดเจนว่า พวกเขามีแก่นแท้ต่อต้านพระเจ้าเป็นศัตรูของพระคริสต์ พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้วิจารณญาณ ความเชื่อและความเข้มแข็งกับผม ผมจึงเอาชนะการทดลองและการโจมตีของพวกเขามาได้ ได้เห็นแก่แท้ของศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ในโลกศาสนา ได้เป็นอิสระจากการบีบคั้น และได้ติดตามพระเจ้า  ผมได้ประสบกับตัวเองว่า พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริงและชีวิต ผมรู้สึกขอบคุณความรอดของพระเจ้ามากครับ!

ก่อนหน้า: 31. ความไม่ละอายแห่งการโอ้อวด

ถัดไป: 33. เรื่องราวของการรายงานผู้นำเทียมเท็จ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger