72. การกลับใจของคนหน้าซื่อใจคด

โดย ซินรุ่ย ประเทศเกาหลีใต้

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การรับใช้พระเจ้าไม่ใช่ภารกิจง่ายๆ  พวกที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีวันสามารถรับใช้พระเจ้าได้  หากอุปนิสัยของเจ้ายังไม่ได้รับการพิพากษาและตีสอนโดยพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยของเจ้าก็ยังคงเป็นตัวแทนซาตาน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเจ้ารับใช้พระเจ้าโดยเจตนาที่ดีของเจ้าเอง เป็นการพิสูจน์ว่าการปรนนิบัติของเจ้านั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเจ้า  เจ้ารับใช้พระเจ้าด้วยบุคลิกลักษณะตามธรรมชาติของเจ้า และตามความพึงใจส่วนบุคคลของเจ้า  ที่มากไปกว่านั้นคือ เจ้าคิดอยู่เสมอว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเต็มใจทำนั้นคือสิ่งที่น่าปีติยินดีต่อพระเจ้า และคิดว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่อยากทำนั้นคือสิ่งที่น่ารังเกียจต่อพระเจ้า เจ้าทำงานตามความพึงใจของเจ้าเองโดยสิ้นเชิง  การนี้สามารถเรียกว่าเป็นการรับใช้พระเจ้าได้หรือ?  ท้ายที่สุดแล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อยในอุปนิสัยชีวิตของเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น การปรนนิบัติของเจ้าจะทำให้เจ้าดื้อดึงยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าฝังแน่นอย่างล้ำลึก และเมื่อเป็นเช่นนั้น จะมีกฎเกณฑ์ทั้งหลายเกี่ยวกับการปรนนิบัติพระเจ้าที่ขึ้นอยู่กับบุคลิกลักษณะของเจ้าเองเป็นสำคัญ และประสบการณ์ทั้งหลายที่ได้จากการปรนนิบัติของเจ้าตามอุปนิสัยของเจ้าเองก่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้นภายในตัวเจ้า  เหล่านี้คือประสบการณ์และบทเรียนของมนุษย์  มันคือปรัชญาแห่งการดำรงชีวิตบนโลกของมนุษย์  ผู้คนเยี่ยงนี้สามารถจัดระดับให้เป็นพวกฟาริสีและพวกเจ้าหน้าที่ทางศาสนาได้  หากพวกเขาไม่ตื่นขึ้นและไม่กลับใจเลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะกลายเป็นเหล่าพระคริสต์เทียมเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์ผู้หลอกลวงผู้คนในยุคสุดท้ายอย่างแน่นอน  เหล่าพระคริสต์เทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ทั้งหลายที่พูดถึงนี้จะเกิดขึ้นจากท่ามกลางผู้คนเช่นนั้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปรนนิบัติทางศาสนาต้องได้รับการชำระล้าง)  พระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ เคยทำให้ฉันนึกถึงพวกฟาริสีและหมอศาสนาหน้าซื่อใจคด รวมถึงเหล่าศัตรูของพระคริสต์ผู้โฉดชั่วทั้งหลายที่หมกมุ่นอยู่กับสถานะ  ฉันคิดว่าพวกเขาคือคนที่พระเจ้าตรัสถึง ฉันรู้ว่าในหลักปฏิบัติ พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยบางสิ่งที่อยู่ในตัวเราทุกคน และรู้ว่าฉันก็มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามแบบนั้นเหมือนกัน  แต่ฉันไม่ได้มีความเข้าใจในตัวเองอย่างแท้จริง บางครั้งพวกฟาริสี ศัตรูของพระคริสต์ และคนหลอกลวงจึงดูเหมือนสิ่งที่ห่างไกลจากตัวฉันมาก  ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้น และฉันจะไม่มีวันไปถึงจุดนั้น  ฉันเป็นผู้เชื่อมาหลายปี ฉันได้ทำสิ่งที่ดี และยอมลำบากในหน้าที่ของตัวเอง  ไม่ว่าทางคริสตจักรมอบหมายหน้าที่อะไรมาให้ ฉันก็เชื่อฟังและปฏิบัติหน้าที่ตามนั้น  แถมฉันก็ไม่ได้มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำ และฉันก็ทำหน้าที่ของตัวเองไม่ว่าจะมีสถานะหรือไม่ก็ตาม  แล้วฉันจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ เป็นคนหลอกลวงได้อย่างไร?  แต่ที่จริง ฉันใช้ชีวิตอยู่ในมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของตัวเองอย่างสมบูรณ์ และต่อมาเมื่อเผชิญกับข้อเท็จจริง มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ของฉันก็ถูกทำให้กลับตาลปัตร

ฉันต้องไปรับผิดชอบงานข่าวประเสริฐของคริสตจักรที่ต่างจังหวัด  งานส่วนนั้นของพวกเขาเริ่มดีขึ้นได้ไม่นาน และเหล่าผู้นำก็เคารพนับถือฉันมาก  บางครั้งพวกเขาก็จะตามหาฉันเพื่อหารือเรื่องงานในแง่มุมอื่นๆ เพื่อมาปรึกษาฉัน  ยิ่งไปกว่านั้น ฉันเป็นผู้เชื่อมานาน และทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อหน้าที่ของฉันได้ พี่น้องชายหญิงจึงค่อนข้างเคารพฉันทีเดียว  ฉันก็เห็นว่าตัวเองอยู่บนแท่นบูชาด้วยเช่นกัน  ฉันมีความเชื่อมาตลอดหลายปี และมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ฉันจึงคิดว่าฉันจะเป็นเหมือนคนอื่นไม่ได้ ฉันต้องดูเก่งกว่าพวกเขา  ฉันคิดว่า ฉันจะเปิดเผยความเสื่อมทรามที่เลวร้ายกว่าที่พวกเขาเปิดเผยไม่ได้ คิดว่าฉันจะแสดงความอ่อนแอหรือความคิดลบอย่างพวกเขาไม่ได้  ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะคิดกับฉันอย่างไร?  พวกเขาจะไม่มองว่าขนาดเชื่อมาหลายปีวุฒิภาวะของฉันก็ยังเล็ก และดูถูกฉันเอาหรือ?  ต่อมา ฉันถูกผู้นำจัดการเพราะล่วงละเมิดหลักปฏิบัติในหน้าที่ของตัวเอง  เธอบอกว่า หลังจากเป็นผู้เชื่อมาหลายปี ฉันก็ยังขาดความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องต่างๆ รวมถึงขาดความเป็นจริงของความจริง  ฉันรู้สึกละอายใจและเสียหน้าอย่างเหลือเชื่อ แต่ฉันก็ไม่ได้ทบทวนความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตัวเอง หรือไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อชดเชยสิ่งที่ยังบกพร่องของฉันเลย  ฉันกลับเอาแต่พ่นถ้อยคำและหลักคำสอนที่ว่างเปล่า แสร้งทำเป็นรู้จักตัวเอง ทำตัวเหมือนเป็นคนฝ่ายจิตวิญญาณ เพื่อปกปิดว่าฉันขาดความเป็นจริงของความจริง

ฉันจำได้ว่า ครั้งหนึ่งเพื่อนร่วมงานผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าบอกว่าเขาอยากเจาะลึกหนทางที่แท้จริง  ผู้นำได้บอกฉันให้ไปเป็นพยานให้กับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าทันที  ฉันก็บอกว่าจะไป แต่ฉันค้นพบว่า เขามีมโนคติอันหลงผิดมากมายที่ยากจะแก้ไข  บังเอิญว่าตอนนั้นฉันยุ่งมาก ก็เลยพักงานนั้นไว้ก่อน  สองสัปดาห์ต่อมา ผู้นำก็มาถามฉันว่า “ที่ผ่านมาทำไมคุณไม่ไปแบ่งปันคำพยานกับเขา?  เขาอยากตรวจสอบหนทางที่แท้จริง และเขาก็นำผู้เชื่อมากมาย ที่ต่างปรารถนาการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ทำไมคุณยังไม่ให้คำพยานกับเขาเรื่องพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าอีกล่ะ”  ด้วยความรู้สึกผิดนิดหน่อย ฉันเลยรีบอธิบายในส่วนของตัวเองไปว่า “ฉันไม่ได้ทำเพราะมีเรื่องอื่นเกิดขึ้น”  พอผู้นำได้ยินแบบนี้เธอก็ฉุนมาก บอกว่าฉันไร้ความรับผิดชอบและไม่ไยดีหน้าที่ของตัวเอง ฉันผัดวันประกันพรุ่ง และฉันได้ขัดขวางงานข่าวประเสริฐของเราอย่างร้ายแรง  เธอตำหนิฉันแรงมาก  ตอนนั้นมีพี่น้องชายหญิงอยู่ที่นั่นกันหลายคน และฉันก็รู้สึกได้ว่าหน้าร้อนผ่าว  ฉันคิดว่า “จะเหลือศักดิ์ศรีให้ฉันสักหน่อย และไม่เข้มงวดกับฉันนักไม่ได้หรือ?  ฉันรู้ว่าฉันผิด ฉันไปแบ่งปันข่าวประเสริฐกับเขาตอนนี้ไม่ได้หรือ?  ไม่เห็นต้องจัดการกับฉันรุนแรงขนาดนี้เลย”  ฉันหาเหตุผลให้ตัวเองด้วยเหมือนกัน คิดว่าฉันก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ คิดว่าวันๆ ของฉันอัดแน่นไปด้วยการประกาศข่าวประเสริฐตั้งแต่เช้าจรดค่ำ  แต่เธอก็ยังพูดว่าฉันทำไปงั้นๆ และเป็นคนไร้ความรับผิดชอบ  จะเอาอะไรจากฉันกันอีก?  ฉันรู้สึกเหมือนหน้าที่ของฉันมันยากเกินไป  หลังการชุมนุมวันนั้น ฉันก็ซ่อนตัวอยู่ในห้องและร้องไห้  ฉันรู้สึกว่ามันผิดและคิดลบ แถมยังเต็มไปด้วยความเข้าใจผิดในพระเจ้า  ความรู้สึกกบฏก่อตัวขึ้นในใจฉัน  ฉันคิดว่า ด้วยความที่ผู้นำรุนแรงกับฉัน พระเจ้าต้องทรงรังเกียจฉันแน่ แล้วฉันจะทำหน้าที่นั้นต่อไปได้อย่างไร?  บางทีฉันควรแค่ก้มหน้าก้มตายอมรับผิด และเลิกทำ เพื่อที่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าจะได้ไม่ล่าช้า และฉันก็จะไม่ต้องทำงานที่ไม่มีใครเห็นค่า  พอปล่อยโฮออกมา ฉันก็รู้สึกว่าฉันไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง  ฉันเป็นผู้เชื่อมานานหลายปี และพอฉันถูกจัดการอย่างรุนแรงเข้าหน่อย ฉันก็รับไม่ไหว  ฉันหาเหตุผลและโต้แย้งกับพระเจ้า ถึงขั้นอยากจะยกธงขาวยอมแพ้  ฉันไม่ได้มีวุฒิภาวะที่แท้จริงอะไรเลย  ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้า ที่บอกให้เรายึดมั่นในหน้าที่เอาไว้ แม้ท้องฟ้าจะถล่มลงมาก็ตาม  การคิดแบบนี้กระตุ้นใจฉันจริงๆ  ไม่ว่าพระเจ้าหรือผู้นำจะคิดกับฉันอย่างไร ฉันก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าไม่ได้ และฉันต้องลุกขึ้นสู้กับความท้าทาย ไม่ว่าหน้าที่ของฉันจะยากแค่ไหนก็ตาม  พอคิดแบบนั้นฉันก็ไม่ได้รู้สึกเป็นทุกข์นัก  ฉันรีบเช็ดน้ำตาและไปหารือกับพี่น้องชายหญิงทันที  แค่ไม่กี่วัน ฉันก็พาเพื่อนร่วมงานคนนั้นเข้ามาอยู่ในร่องในรอยได้  แต่หลังจากนั้น ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจแสวงหาความจริงและทบทวนปัญหาของตัวเอง  ฉันกลับยืนกรานที่จะทำหน้าที่ตามจิตสำนึกและเจตจำนงของตัวเองต่อไป  ฉันคิดว่าฉันมีวุฒิภาวะและความสัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่บ้าง

ในความเป็นจริงนั้น ผู้นำจัดการฉันเพราะไร้ความรับผิดชอบ มักง่าย และไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  เรื่องพวกนี้เป็นปัญหาร้ายแรงจริงๆ  ฉันมีหน้าที่รับผิดชอบงานข่าวประเสริฐของเรา และพอฉันเห็นใครบางคนมีมโนคติอันหลงผิดมากมาย ฉันก็ไม่เต็มใจที่จะทุ่มตัวเองไปกับการสามัคคีธรรมและเป็นพยาน  ฉันแค่ทิ้งงานนั้นไว้เฉยๆ และปล่อยให้เวลาผ่านไปถึงครึ่งเดือน  สิ่งนั้นทำให้การตรวจสอบหนทางที่แท้จริงและการต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของหลายๆ คนล่าช้า!  การที่ฉันไม่ไยดีต่อหน้าที่ของตัวเองเป็นการต่อต้านพระเจ้าและล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์  ฉันดูเหมือนคนที่ไม่เคยว่างงาน และฉันก็ยอมลำบากในหน้าที่ของตัวเองได้ แต่เมื่อไหร่ที่เผชิญกับความท้าทาย ฉันก็ไม่จดจ่อกับการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเลย  ฉันกลับถอยหนีและทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ปล่อยพระบัญชาของพระเจ้าเอาไว้อย่างไม่ไยดี  นั่นมันการอุทิศตนแบบไหนกัน?  ผู้นำพูดเรื่องทัศนคติที่ไม่เอาใจใส่และขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของฉัน พูดถึงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของฉัน และก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันทำอะไรแบบนั้น  ผู้นำได้ชำแหละอุปนิสัยนั้นเพื่อฉัน ฉันจะได้รู้จักตัวเอง กลับใจ และเปลี่ยนแปลง แต่ฉันก็ไม่ได้ทบทวนตัวเอง หรือเห็นถึงรากเหง้าแห่งปัญหาของตัวเองอย่างแท้จริงเลย  ฉันทำเป็นยอมรับการถูกตัดแต่งและจัดการ แต่ฉันก็ไม่ได้มีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับตัวเองเลย  นั่นคือสาเหตุที่ฉันพูดสิ่งต่างๆ รวมถึงหลักคำสอนที่ว่างเปล่าไปบ้างในการชุมนุม และแสร้งว่าฉันได้รับการรู้จักตัวเองแล้ว  ฉันบอกว่าฉันไร้ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าล่าช้า สร้างความเสียหายร้ายแรงต่องานนั้น จนผู้นำตำหนิฉันซึ่งก็มีเหตุผลสมควรมาก และเธอกำลังพูดถึงสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของฉัน ฉันถึงไม่สามารถวิเคราะห์ถูกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำได้  แต่ฉันก็ไม่เคยสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่ฉันทำพลาด ธรรมชาติและผลที่ตามมาจากการกระทำของฉัน เช่นเดียวกับประเภทของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ฉันเปิดเผยไป ในทัศนคติที่ไม่ใส่ใจต่อหน้าที่ของฉัน รวมถึงฉันมีความคิดและมโนคติอันหลงผิดที่ไร้สาระแบบไหนบ้าง  ฉันไม่ได้ใส่ใจแง่มุมที่ปลีกย่อยไปอีกของเรื่องพวกนี้เลย  ฉันพูดอะไรออกไปแทนหรือ?  ก็เรื่องที่ว่าฉันพึ่งพาพระเจ้าและเข้าสู่จากแง่ดีอย่างไร  ฉันพูดเรื่องความเข้าใจเชิงบวกพวกนี้ไปเรื่อยๆ  ฉันบอกว่าฉันรู้สึกคิดลบ และพร่ำบ่นเมื่อถูกจัดการ และฉันก็อยากยกธงขาวยอมแพ้ แต่การคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันมาก และฉันก็รู้สึกว่าฉันไม่สามารถแหลกสลายได้ พระเจ้าทรงพระราชกิจในตัวฉัน รวมถึงทรงมอบสิ่งต่างๆ ให้ฉันมากมาย ดังนั้น ฉันต้องมีจิตสำนึก และจะทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังไม่ได้  ฉันจึงคิดว่า ไม่ว่าฉันจะถูกตัดแต่งและจัดการอย่างไร ไม่ว่าหน้าที่ของฉันจะยากสักแค่ไหน ฉันก็ต้องทำมันให้ดี และการที่ผู้นำจัดการกับฉัน ก็เพื่อให้ฉันได้ทบทวนและรู้จักตัวเอง ให้ฉันได้กลับใจและเปลี่ยนแปลง  ตอนที่คนอื่นๆ ได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาไม่ได้มีปัญญาแยกแยะในปัญหาและความเสื่อมทรามของฉัน และพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าฉันได้สร้างความเสียหายใหญ่โตอะไรต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ในทางกลับกัน พวกเขารู้สึกเหมือนว่าผู้นำทำรุนแรงกับฉันมาก คิดว่าฉันถูกตัดแต่งและจัดการแค่เพราะทำพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในงานของตัวเอง  พวกเขามีความเห็นใจและเข้าใจมากๆ  และพอเห็นว่าฉันไม่ได้คิดลบหลังจากถูกจัดการอย่างรุนแรง แต่กลับแบกรับหน้าที่ของตัวเองต่อไปได้ พวกเขาก็รู้สึกว่าฉันเข้าใจความจริงและมีวุฒิภาวะจริงๆ  พวกเขาเคารพและเทิดทูนฉันมาก  ตอนนั้น มีอยู่สองสามคนพูดว่าการที่ฉันยืนหยัดและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปได้ ในยามที่ถูกจัดการอย่างรุนแรงแบบนั้น น่ายกย่องจริงๆ  และบางคนก็บอกว่า หน้าที่ของฉันนั้นไม่ง่ายเลย บอกว่า ฉันไม่เพียงทุ่มเทเรี่ยวแรงทั้งหมดในงาน แต่ยังถูกตำหนิเมื่อมีบางอย่างเล็ดลอดไป  พวกเขาเห็นฉันเช็ดน้ำตาเพื่อกลับไปทำหน้าที่ต่อทันที และบอกว่าหากเป็นพวกเขา พวกเขาคงแหลกสลายไปนานแล้ว แถมยังไม่มีวุฒิภาวะเลย  พวกเขาฟังการสามัคคีธรรมของฉัน และไม่เข้าใจเส้นทางแห่งการปฏิบัติเพื่อยอมรับการจัดการและตัดแต่ง หรือเข้าใจว่าการตัดแต่งและจัดการ เป็นความรักและความรอดของพระเจ้า  พวกเขากลับเข้าใจพระเจ้าผิด ระวังตัวและตีตัวห่างจากพระเจ้า เข้าหาฉันมากขึ้นแทน  หลังจากนั้นฉันก็ถูกจัดการอีกสองสามครั้ง และมันก็เป็นแบบเดิมทุกครั้ง  ฉันมักจะพูดถึงหลักคำสอนตามตัวอักษร แสร้งเป็นฝ่ายจิตวิญญาณ และรู้จักตัวเอง แสร้งทำเป็นมีวุฒิภาวะและความสัมพันธ์กับชีวิตจริง และฉันก็หลอกพี่น้องชายหญิงทุกคน  ฉันไม่รู้ตัวเลย ไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น และฉันก็ยังภูมิใจในตัวเองมาก ที่พาตัวเองยืนหยัดผ่านมันมาได้  ฉันชื่นชมตัวเองอย่างเหลือเชื่อ และรู้สึกว่าฉันมีวุฒิภาวะและมีความเป็นจริงของความจริง  ฉันกลายเป็นคนโอหังและมั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ

ครั้งหนึ่ง พี่ชายคนหนึ่งได้ชี้ให้เห็นปัญหาบางอย่างในหน้าที่ของฉัน  ฉันปฏิเสธที่จะยอมรับ ตำหนิว่าเขากำลังมองหาปัญหา ว่าเขาเอาแต่จ้องจับผิด  ฉันรู้สึกรำคาญเขามาก  แต่ฉันกลัวว่าจะมีคนเห็นว่าฉันโอหังแค่ไหน แม้ว่าจะเป็นผู้เชื่อมาหลายปีแล้ว และจะมองฉันไม่ดี  ฉันยังกลัวด้วยว่าผู้นำจะรู้และบอกว่าฉันยอมรับความจริงไม่ได้ ฉันจึงแกล้งทำและบังคับตัวเองให้ไม่บ่นเรื่องนี้  ฉันทำเป็นใจเย็นและพูดกับเขาว่า “พี่ชาย บอกปัญหาทั้งหมดที่คุณเห็นมาเถอะ เราจะได้คุยกันไปทีละเรื่อง  ถ้าเราแก้ไขกันไม่ได้ เราจะได้เอาไปคุยกับผู้นำ”  เขาเลยไล่ปัญหาให้ฟังทีละเรื่อง และฉันก็ได้อธิบายคำแย้งตัวเองไปทีละประเด็น  สุดท้าย ฉันก็ได้อธิบายปัญหาส่วนใหญ่ที่เขาหยิบยกขึ้นมา  ฉันได้เห็นว่าปัญหาได้รับการแก้ไข และรู้สึกพอใจมาก  แต่เขากลับรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น จึงไปหารือกับผู้นำ  บางประเด็นที่เขาหยิบยกมาก็เป็นปัญหาจริงๆ  แล้วพอผู้นำรู้เข้า เธอก็จัดการและตัดแต่งฉันต่อหน้าทุกคนเลย  เธอบอกว่าฉันโอหัง และไม่ยอมรับข้อเสนอแนะจากใครเลย บอกว่าฉันไม่ทำตามหลักปฏิบัติในหน้าที่ แถมยังขาดความเป็นจริงของความจริงโดยสิ้นเชิง แม้จะเชื่อมาหลายปีแล้วก็ตาม  เธอบอกว่าฉันไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ บอกว่าฉันหลับหูหลับตาโอหัง และไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง  เรื่องนี้มันเกินกว่าที่ฉันจะฟังได้ แต่ฉันก็ไม่แน่ใจเลย ฉันคิดว่า “ฉันโอหัง และบางครั้งก็ค่อนข้างจะมั่นใจในตัวเอง แต่ฉันก็รับฟังข้อเสนอแนะได้บ้าง ไม่ได้โอหังไปทุกเรื่องขนาดนั้นเสียหน่อย”

หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็ถูกตีแผ่อีกครั้งในการพบปะเรื่องงาน  ผู้นำพบว่า ฉันผัดวันประกันพรุ่งในงานที่ฉันเป็นผู้รับผิดชอบ และได้ถามฉันว่า “ทำไมคุณทำงานแบบไร้ประสิทธิภาพแบบนี้?  มีปัญหาอะไรรึเปล่า?  ทำให้ดีกว่านี้ได้ไหม?”  ฉันตอบกลับไปว่า “ไม่ค่ะ ฉันทำไม่ได้”  ฉันรู้สึกเหมือนผู้นำไม่ได้เข้าใจสถานการณ์จริงของเรา รู้สึกว่าเธอคาดหวังมากเกินไป  หลังจากนั้น เธอได้อ่านพระวจนะบางส่วนของพระเจ้าให้เราฟัง และสามัคคีธรรมเรื่องนัยสำคัญของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  เธอยังบอกด้วยว่า เวลามันกระชั้นชิดมาก และเราต้องปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพกว่านี้  ฉันไม่ได้รับฟังสิ่งที่เธอพูดเลยจริงๆ  ฉันเอาแต่ยึดติดมโนคติอันหลงผิดและประสบการณ์ของตัวเอง คิดว่า “ฉันทำให้พวกเรามีประสิทธิภาพมากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ”  ฉันแอบถามพี่น้องชายหญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า “คุณว่าเราทำได้ไหม?”  แรงจูงใจเบื้องหลังของการที่ฉันถามพวกเขาไปแบบนี้ ก็เพื่อดึงพวกเขามาเป็นพวก เพื่อให้พวกเขาพูดเหมือนฉัน เพื่อโต้กลับผู้นำและทำให้งานคืบหน้าช้าลง  มันชัดเจนมาก แต่ฉันก็ไม่รู้ตัวเลย  พวกเขาไม่ได้มีปัญญาแยกแยะเรื่องของฉัน  จะบอกว่าพวกเขาไม่ได้ใช้ปัญญาแยกแยะเลยก็ได้  พวกเขาล้วนเข้าข้างและเห็นด้วยกับฉันกันหมด

ต่อมา ด้วยความที่ฉันโอหังและไม่มีประสิทธิภาพในหน้าที่ของตัวเอง และไม่เพียงแต่ไม่จัดการงานของทีมให้ดีเท่านั้น แต่ยังขวางทางด้วย ฉันเลยถูกปลดจากหน้าที่  แต่ฉันก็ต้องประหลาดใจที่พอถึงเวลาเลือกผู้นำอีกครั้ง ไม่ใช่แค่พี่น้องชายหญิงลงคะแนนให้ฉันเหมือนเดิมเท่านั้น แต่ผลยังเป็นเอกฉันท์ด้วย  ฉันได้ยินพวกเขาบางคนพูดว่า การปลดฉันออกไป ทำให้ทั้งทีมแตกกระเจิง จะมีใครมาบริหารทีมนั้นได้หรือ?  ตอนนั้นเองที่ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองมีปัญหาร้ายแรง ที่ทุกคนเชื่อฟังและสนับสนุนฉัน ทั้งๆ ที่ฉันทำงานแบบนั้น  ทุกคนลงคะแนนให้ฉันแม้ว่าผู้นำจะปลดฉัน และถึงกับสู้เพื่อให้ฉันได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม  ฉันทำให้พี่น้องชายหญิงหลงเจิ่นกันจริงๆ

ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “เท่าที่เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าทั้งหมดนั้น หากคริสตจักรทั้งหลายในบริเวณหนึ่งได้รับการส่งมอบให้พวกเจ้า และไม่มีผู้ใดควบคุมดูแลพวกเจ้าเป็นเวลาหกเดือน พวกเจ้าก็คงจะเริ่มหลงเจิ่น  หากไม่มีผู้ใดควบคุมดูแลเจ้าเป็นเวลาหนึ่งปี เจ้าก็คงจะนำคริสตจักรเหล่านั้นออกไปและหลงเจิ่น  หากผ่านไปสองปีแล้วก็ยังไม่มีผู้ใดควบคุมดูแลเจ้า เจ้าก็คงจะนำคริสตจักรเหล่านั้นมาอยู่ต่อหน้าเจ้า  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  พวกเจ้าเคยพิจารณาคำถามนี้มาก่อนหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถเป็นเช่นนี้ได้หรือไม่?  ความรู้ของพวกเจ้าสามารถจัดเตรียมให้แก่ผู้คนได้เป็นเวลาช่วงหนึ่งเท่านั้น  เมื่อเวลาผ่านไป หากเจ้าเอาแต่พูดสิ่งเดิมๆ ผู้คนบางคนก็จะหยั่งรู้การนั้น พวกเขาจะพูดว่าเจ้าตื้นเขินเกินไป ขาดพร่องความลึกซึ้งเกินไป  เจ้าจะไม่มีทางเลือกนอกจากพยายามและหลอกลวงผู้คนโดยประกาศคำสอนทั้งหลายต่อไป  หากเจ้าดำเนินการเช่นนี้อยู่เสมอ พวกที่อยู่เบื้องล่างเจ้าจะปฏิบัติตามวิธีการ ขั้นตอน และรูปแบบของเจ้าที่เกี่ยวกับความเชื่อและการรับประสบการณ์และการนำถ้อยคำกับคำสอนเหล่านั้นมาปฏิบัติ  ในท้ายที่สุด ในขณะที่เจ้าประกาศต่อไปเรื่อยๆ นั้น พวกเขาทั้งหมดจะมาใช้เจ้าเป็นแบบอย่าง  ในสภาวะความเป็นผู้นำของเจ้าต่อผู้อื่นนั้นเจ้าพูดถึงคำสอนทั้งหลาย ดังนั้น พวกที่อยู่เบื้องล่างเจ้าก็จะเรียนรู้คำสอนทั้งหลายจากเจ้า และในขณะที่สิ่งต่างๆ ก้าวหน้าไป เจ้าก็จะได้ใช้เส้นทางที่ผิดพลาดไปแล้ว  พวกที่อยู่เบื้องล่างเจ้าจะใช้เส้นทางใดก็ตามที่เจ้าใช้ พวกเขาทั้งหมดจะเรียนรู้จากเจ้าและติดตามเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงจะรู้สึกว่า  ‘บัดนี้ฉันเต็มไปด้วยพลังอำนาจ ผู้คนมากมายยิ่งนักรับฟังฉัน และคริสตจักรก็พร้อมที่จะรับใช้ฉัน’  ธรรมชาติที่ทรยศภายในมนุษย์นี้ทำให้เจ้าเปลี่ยนพระเจ้าเป็นหุ่นเชิดไปโดยไม่รู้สึกตัว และจากนั้นเจ้าก็จะก่อตั้งนิกายบางชนิดขึ้นด้วยตัวเจ้าเอง  นิกายที่หลากหลายเกิดขึ้นอย่างไร?  นิกายเหล่านั้นเกิดขึ้นด้วยวิธีนี้  จงมองไปที่บรรดาผู้นำของแต่ละนิกาย—พวกเขาล้วนโอหังและมองตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ และการตีความพระคริสตธรรมคัมภีร์ของพวกเขาขาดบริบทและถูกชี้นำโดยจินตนาการของพวกเขาเอง  พวกเขาล้วนพึ่งพาพรสวรรค์และความคงแก่เรียนในการทำงานของพวกเขา  หากพวกเขาไม่สามารถประกาศได้เลย ผู้คนจะติดตามพวกเขากระนั้นหรือ?  จะว่าไปแล้ว พวกเขาก็พอมีความรู้อยู่บ้าง และสามารถประกาศคำสอนบางอย่างได้ หรือพวกเขารู้วิธีที่จะเอาชนะผู้อื่น และใช้ประโยชน์จากชั้นเชิงบางอย่าง  พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อนำพาผู้คนมาอยู่ต่อหน้าพวกเขาเองและหลอกลวงผู้คนเหล่านั้น  ผู้คนเหล่านี้เชื่อพระเจ้าก็เพียงในนาม แต่ในความเป็นจริงพวกเขาติดตามบรรดาผู้นำของพวกเขา  เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับใครบางคนที่กำลังประกาศหนทางที่แท้จริง พวกเขาบางคนก็จะกล่าวว่า ‘พวกเราต้องปรึกษาผู้นำของพวกเราเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเรา’  มนุษย์เป็นสื่อกลางความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา นั่นมิใช่ปัญหาหรอกหรือ?  เช่นนั้นแล้ว บรรดาผู้นำเหล่านั้นได้กลายเป็นสิ่งใดไปแล้วกันเล่า?  พวกเขามิได้กลายเป็นพวกฟาริสี พวกผู้เลี้ยงเทียมเท็จ พวกศัตรูของพระคริสต์ และเครื่องสะดุดต่อการยอมรับหนทางที่แท้จริงของผู้คนไปแล้วกระนั้นหรือ?  ผู้คนเช่นนี้เป็นจำพวกเดียวกันกับเปาโล(“มีเพียงการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่เป็นการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ฉันเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้า ว่าฉันเป็นเหมือนฟาริสีที่พระองค์ทรงตีแผ่ทุกประการ และฉันไม่เพียงมีอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่ชั่วและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเท่านั้น แต่พฤติกรรมของฉันยังไปถึงจุดที่ฉันพาคนอื่นไปในทางที่ผิดและควบคุมพวกเขา รวมถึงวางพระเจ้าเอาไว้  ฉันนึกถึงฟาริสีและบรรดาหมอศาสนาหน้าซื่อใจคดพวกนั้น ที่เอาแต่พูดถึงหลักคำสอนและทำเหมือนพวกเขาทำงานหนักเพื่อทำให้ผู้คนเข้าใจผิด  พวกเขาพูดว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า และพวกเขาก็ดูเหมือนถ่อมตัวและรู้จักตัวเองจริงๆ แต่พวกเขาก็มักแสดงออกว่าพวกเขายอมแพ้ในองค์พระผู้เป็นเจ้ามากแค่ไหน พวกเขาทนทุกข์และได้ทำงานหนักมามากแค่ไหน  ผลก็คือ เหล่าผู้เชื่อนับถือพวกเขา และคิดว่าทุกอย่างที่พวกเขาพูดนั้นสอดคล้องกับน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า  พวกเขาไม่มีปัญญาแยกแยะเรื่องคนเหล่านี้เลย  พวกเขาถึงกับคิดว่า การเชื่อฟังคนเหล่านี้คือการเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า นั่นเป็นการเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงในนาม แต่ในความเป็นจริงมันคือการติดตามหมอศาสนา  เส้นทางที่ฉันเดินอยู่ แตกต่างจากเส้นทางของฟาริสีและหมอศาสนาอย่างไรกัน?  ฉันยังจดจ่อกับหลักคำสอนและการเสียสละแบบผิวเผิน เพื่อให้พี่น้องชายหญิงคิดว่าฉันทุ่มเทให้กับหน้าที่ของตัวเองอีกด้วย  ตอนที่ถูกจัดการ ฉันไม่ได้แสวงหาความจริงหรือทบทวนตัวเองอย่างแท้จริง  ฉันเอาแต่พูดสิ่งที่ดูเหมือนถูกเพื่อทำให้ทุกคนเข้าใจผิด พวกเขาจะได้คิดว่าฉันนบนอบต่อการจัดการ คิดว่าฉันมีวุฒิภาวะ แล้วพวกเขาก็จะชื่นชมและยอมฟังฉัน  ฉันถึงขั้นทำให้พวกเขาต่อต้านข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าไปกับฉัน  ฉันคือคนเดียวที่มีอำนาจแท้จริง  ฉันจะต่างอะไรจากพวกศัตรูของพระคริสต์ล่ะ?  ฉันไม่ใช่ผู้นำ และไม่ได้มีตำแหน่งสูงส่งอะไรเลย  ฉันแค่มีส่วนรับผิดชอบในบางงานร่วมกับพี่น้องหญิงอีกสองคน ภายใต้การกำกับดูแลของผู้นำ แต่ถึงอย่างนั้น ปัญหาของฉันก็เลวร้ายไปถึงขนาดนั้น  ถ้าฉันได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่านี้ มีแค่ฉันที่ต้องรับผิดชอบต่ออะไรบางอย่าง ฉันไม่อยากคิดเลยว่าฉันจะทำเรื่องชั่วร้ายใหญ่โตแบบไหนได้บ้าง  ฉันคิดว่า ด้วยความที่ฉันเป็นผู้เชื่อมานาน และฉันก็ทำหน้าที่ของตัวเองตลอดไม่ว่าจะเผชิญกับความยากลำบากหรือบททดสอบแบบไหน ฉันค่อนข้างมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี และฉันก็ไม่เคยดิ้นรนที่จะเป็นผู้นำ ฉันจึงไม่มีวันกลายเป็นฟาริสีหรือศัตรูของพระคริสต์  แต่พอเผชิญกับข้อเท็จจริง ฉันก็ตกตะลึงและพูดอะไรไม่ออก  ในที่สุดฉันก็ได้เห็นว่า มโนคติอันหลงผิดของฉันเป็นอันตรายและไร้สาระขนาดไหน รวมถึงเห็นว่าอุปนิสัยของฉันชั่วและน่ากลัวขนาดไหน  ฉันได้เห็นว่า ในฐานะผู้เชื่อ ฉันไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง และฉันก็ไม่ยอมรับหรือนบนอบต่อการถูกพิพากษา ตีสอน จัดการ หรือตัดแต่งโดยพระเจ้า  ฉันไม่ทบทวนและรู้จักธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตัวเองตามพระวจนะของพระเจ้า  ฉันพอใจที่จะเชื่อฟังแบบผิวเผิน และรับทราบด้วยคำพูด  แต่ไม่ว่าฉันจะดูเป็นคนดีหรือปฏิบัติตามกฎขนาดไหน ในจังหวะที่มีโอกาสเกิดขึ้น ธรรมชาติเยี่ยงซาตานแห่งการทรยศพระเจ้าของฉันก็โผล่ขึ้นมาอย่างครบถ้วน และฉันก็ทำเรื่องชั่วโดยไม่เจตนาไปโดยไม่รู้ตัว มันเป็นอย่างที่พระเจ้าตรัสอย่างแท้จริงเลยว่า “โอกาสที่พวกเจ้าจะทรยศเราก็ยังคงมีอยู่หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์

พระเจ้าทรงรู้ว่าฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก รวมถึงไม่รู้สึกรู้สาและดื้อรั้นแค่ไหน  ฉันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้จากแค่การรู้จักตัวเองเพียงเล็กน้อย  ดังนั้น ฉันจึงถูกพี่น้องชายหญิงตีแผ่และจัดการในเวลาต่อมา  ฉันจำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง พี่สาวคนหนึ่งพูดกับฉันแบบไม่อ้อมค้อมเลยว่า “ตอนนี้ฉันมีปัญญาแยกแยะเรื่องคุณบ้างแล้ว  คุณแทบไม่เคยสามัคคีธรรมตามความคิดที่ลึกที่สุด หรือเปิดเผยความเสื่อมทรามของตัวเองเลย  คุณเอาแต่พูดถึงการเข้าสู่และความเข้าใจในทางบวกบางอย่างของตัวเอง ราวกับความเสื่อมทรามของคุณได้รับการแก้ไขแล้วโดยสิ้นเชิง ราวกับคุณหลุดพ้นจากมัน”  เธอยังบอกด้วยว่า เธอเคยชื่นชมฉัน บอกว่า เธอคิดว่าฉันเป็นผู้ที่เชื่อมานานที่เข้าใจความจริง ฉันรู้วิธีได้รับประสบการณ์ในหลายสิ่ง และสามารถทนทุกข์และยอมลำบากในหน้าที่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอคิดว่าฉันยอมรับการถูกจัดการและตัดแต่งอย่างรุนแรงได้  นั่นคือเหตุผลที่เธอเคารพฉัน  เธอคิดว่าทุกอย่างที่ฉันพูดนั้นถูกต้อง และเธอก็มักจะฟังฉัน จนเกือบยกที่ของพระเจ้าในหัวใจของเธอให้ฉันไปแล้ว  การได้ยินเธอบอกว่าเธอเกือบจะมองฉันเป็นพระเจ้าแล้ว มันเหมือนสายฟ้าฟาดลงมาเลย  ฉันรู้สึกกลัวและต่อต้านมันจริงๆ  ฉันคิดว่า “ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง ฉันไม่ได้กลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ไปแล้วหรือ?  ทำไมคุณถึงโง่และไม่มีปัญญาแยกแยะขนาดนี้?  ฉันก็ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามเหมือนกัน คุณมองฉันในทางนั้นได้อย่างไร?”  ฉันเศร้าโศกอยู่หลายวัน  ฉันรู้สึกเสียใจทุกครั้งที่นึกถึงคำพูดของเธอ และฉันก็มีความรู้สึกหวาดกลัวแปลกๆ รู้สึกว่าบางอย่างที่เลวร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาหาฉัน  ฉันรู้ว่านี่คือพระพิโรธที่พระเจ้ามีต่อฉัน รู้ว่าพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์กำลังจะมาถึงฉัน และฉันต้องยอมรับผลที่ตามมาของการทำความชั่วแบบนั้น  ฉันรู้ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นไม่ทนต่อการถูกทำให้ขุ่นเคือง และฉันก็รู้สึกว่าฉันถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษไปแล้ว จึงคิดว่าเส้นทางแห่งความเชื่อของฉันได้สิ้นสุดลง  พอคิดแบบนี้ ฉันก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่  ฉันไม่เคยคิดเลยว่า ฉันที่ดูเหมือนไม่ได้ทำความชั่วร้ายแรงหรือทำเรื่องเลวร้ายจริงๆ จะมาถึงจุดที่มันร้ายแรงได้ขนาดนั้น  ฉันไม่ใช่แค่ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดด้วยหลักคำสอน แต่ฉันยังพาให้พวกเขามาเคารพฉันราวกับเป็นพระเจ้า  นั่นคือการเปลี่ยนพระเจ้าเป็นแค่หุ่นเชิด และมันล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างร้ายแรง  ฉันรู้สึกคิดลบจริงๆ และรู้สึกว่าการฝ่าฝืนกับความประพฤติชั่วถูกแผดเผาอยู่ในหัวใจของฉัน  ฉันรู้สึกเหมือนฉันเป็นอย่างพวกฟาริสี ศัตรูของพระคริสต์ เหมือนฉันเป็นของซาตาน เป็นคนปรนนิบัติที่จะถูกกำจัด  ฉันแค่ไม่เข้าใจว่าฉันปล่อยให้ตัวเองไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร  ในความเสียใจนั้น ฉันได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและกลับใจ บอกว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ได้ทำเรื่องชั่วยิ่งใหญ่  ข้าพระองค์ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์ และข้าพระองค์ควรถูกสาปแช่งและลงโทษ!  ข้าพระองค์ไม่ได้วอนขอการทรงอภัยจากพระองค์ เพียงแต่ขอให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้ง ให้ข้าพระองค์ได้เข้าใจธรรมชาติเยี่ยงซาตาน และได้เห็นความจริงของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามโดยซาตานของข้าพระองค์  พระเจ้า ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะกลับใจ ปรารถนาจะเป็นคนซื่อสัตย์และซื่อตรง”

ในวันถัดมา ฉันก็เริ่มทบทวนว่าทำไมฉันจึงไปถึงจุดที่เลวร้ายแบบนั้น ทบทวนว่ารากเหง้าของปัญหาอยู่ที่ไหน ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในการอุทิศตนครั้งหนึ่ง “ดังนั้นแล้ว เหล่าศัตรูของพระคริสต์กำหนดภาพลักษณ์แบบใดให้แก่ตัวพวกเขาเอง?  พวกเขากำลังแสร้งเป็นผู้ใดกัน?  แน่นอนว่าการปลอมแฝงของพวกเขาเป็นไปเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของสถานะและความมีหน้ามีตา  ไม่สามารถแยกขาดจากสิ่งเหล่านั้นได้ มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาก็คงจะไม่อาจเสแสร้งแกล้งทำเช่นนั้นได้—ไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถทำบางสิ่งที่โง่เขลาเช่นนั้นได้  เมื่อคำนึงถึงว่าพฤติกรรมเช่นนั้นถือกันว่าน่าตำหนิติเตียน น่าชิงชัง และน่ารังเกียจ เหตุใดพวกเขาจึงยังคงทำการนั้น?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขามีจุดมุ่งหมายและแรงจูงใจของพวกเขาเอง—มีเจตนาและแรงจูงใจมาเกี่ยวข้อง  หากเหล่าศัตรูของพระคริสต์จะได้รับสถานะในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน พวกเขาต้องทำให้ผู้คนเหล่านี้ยกย่องนับถือพวกเขา  และสิ่งใดเล่าทำให้ผู้คนทำการนั้น?  นอกเหนือไปจากการปลอมแฝงพฤติกรรมและถ้อยคำบางอย่าง ซึ่งในมโนคติอันหลงผิดของผู้คนนั้นเชื่อกันว่าดีงาม อีกหนึ่งแง่มุมก็คือ พวกศัตรูของพระคริสต์ยังปลอมแฝงพฤติกรรมและภาพลักษณ์บางอย่างซึ่งผู้คนเชื่อว่ายิ่งใหญ่และโอฬารอีกด้วย เพื่อทำให้ผู้อื่นยกย่องนับถือพวกเขา(“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (18)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “ไม่ว่าสภาวะแวดล้อมเป็นเช่นไร หรือพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในที่ใด พวกศัตรูของพระคริสต์ก็ทำตัวเหมือนไม่อ่อนแอ มีความรักสูงสุดให้แก่พระเจ้า เต็มไปด้วยความเชื่อในพระเจ้า ไม่เคยคิดลบ อันเป็นการซ่อนเร้นท่าทีที่แท้จริงและทรรศนะที่แท้จริงที่พวกเขายึดถืออยู่ในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขาว่าด้วยความจริงและว่าด้วยพระเจ้า จากผู้อื่น ในข้อเท็จจริงนั้น ในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขา พวกเขาเชื่อจริงๆ หรือว่าตัวพวกเขาเองนั้นเปี่ยมอำนาจในทุกด้าน?  พวกเขาเชื่อจริงๆ หรือว่าตัวพวกเขาเองนั้นไม่มีความอ่อนแอ?  ไม่  ดังนั้นเมื่อรู้ว่าพวกเขาครองความอ่อนแอ ความเป็นกบฏ และอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เหตุใดเล่าพวกเขาจึงพูดและประพฤติตนในหนทางเช่นนั้นต่อหน้าผู้อื่น?  จุดมุ่งหมายของพวกเขานั้นชัดเจน กล่าวคือ  เพียงเพื่อปกป้องสถานะของพวกเขาท่ามกลางผู้อื่นและต่อหน้าผู้อื่น  พวกเขาเชื่อว่าหากพวกเขาคิดลบอย่างเปิดเผย พูดถึงสิ่งทั้งหลายที่อ่อนแออย่างโจ่งแจ้ง เปิดเผยความเป็นกบฏ และพูดถึงการรู้จักตัวพวกเขาเองต่อหน้าผู้อื่น เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นบางสิ่งที่ทำอันตรายต่อสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขา นั่นคือการสูญเสีย  เพราะฉะนั้น พวกเขาคงเลือกที่จะตายมากกว่าจะพูดว่าพวกเขาอ่อนแอและคิดลบ และว่าพวกเขาไม่เพียบพร้อม แต่เป็นแค่บุคคลธรรมดาสามัญ  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขายอมรับว่าพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ว่าพวกเขาเป็นบุคคลธรรมดาสามัญ เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กและไม่มีนัยสำคัญ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะสูญเสียสถานะของพวกเขาในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน  และดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาย่อมไม่สามารถปล่อยมือจากสถานะนี้ไปได้ แต่กลับทำอย่างสุดความสามารถของพวกเขาเพื่อทำให้สถานะนั้นมั่นคงปลอดภัยแทน  ทุกครั้งที่พวกเขาเผชิญกับปัญหา พวกเขาจะก้าวไปข้างหน้า—แต่เมื่อเห็นว่าพวกเขาอาจถูกเปิดโปงได้ ว่าผู้คนอาจมองพวกเขาออก พวกเขาก็ซ่อนเร้นอย่างรวดเร็ว  หากมีพื้นที่ใดให้ยักย้าย หากพวกเขายังคงมีโอกาสที่จะเดินอวดตัวพวกเขาเอง ที่จะเสแสร้งว่าพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ ว่าพวกเขารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ และเข้าใจเรื่องนี้ และสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมรีบผลุนผลันไปข้างหน้าเพื่อคว้าโอกาสที่จะได้รับความซึ้งคุณค่าของผู้อื่น โอกาสที่จะปล่อยให้ผู้อื่นรู้ว่าพวกเขามีทักษะในด้านนี้(“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (18)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “ศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ต้องการแสดงบทบาทของผู้คนฝ่ายจิตวิญญาณ พวกเขาต้องการเป็นผู้ที่โดดเด่นกว่าใครในหมู่พี่น้องชายหญิง ต้องการเป็นผู้คนที่ครองความจริงและเข้าใจความจริง และสามารถช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอและมีวุฒิภาวะไม่เป็นผู้ใหญ่  และสิ่งใดคือจุดมุ่งหมายของพวกเขาในการเล่นบทบาทนี้?  ประการแรก พวกเขาเชื่อว่าตัวพวกเขาเองก้าวข้ามเนื้อหนังแล้ว อยู่เหนือความกังวลสนใจทางโลก สลัดความอ่อนแอของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติทิ้งไป และเอาชนะความต้องการทางเนื้อหนังของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติได้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาเชื่อว่าตัวพวกเขาเองคือบรรดาผู้ที่สามารถรับทำกิจสำคัญในพระนิเวศของพระเจ้า สามารถคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า มีจิตใจอันเต็มไปด้วยพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาขนานนามตัวพวกเขาเองว่าเป็นผู้คนที่บรรลุข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้แล้ว และสามารถคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า และสามารถได้รับปลายทางอันสวยงามตามพระสัญญาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าเอง  และดังนั้นพวกเขาจึงอิ่มอกอิ่มใจอยู่บ่อยครั้ง และพวกเขาคิดว่าตัวพวกเขาเองแตกต่างจากผู้อื่น  โดยการใช้คำพูดและวลีซึ่งพวกเขาสามารถจดจำได้และสามารถเข้าใจได้ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา พวกเขาตักเตือน กล่าวโทษ และก่อรูปข้อสรุปทั้งหลายเกี่ยวกับผู้อื่น ดังนั้นพวกเขาจึงใช้การปฏิบัติและภาษิตที่เกิดจากจินตนาการแห่งมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาเองอยู่บ่อยครั้งด้วยเช่นกัน เพื่อก่อรูปข้อสรุปทั้งหลายเกี่ยวกับผู้อื่นและสอนพวกเขา เพื่อทำให้ผู้อื่นปฏิบัติตามการปฏิบัติและภาษิตเหล่านี้ ด้วยการนี้จึงสัมฤทธิ์สถานะที่พวกเขาพึงปรารถนาท่ามกลางบรรดาพี่น้องชายหญิง  พวกเขาคิดว่า ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถกล่าวคำพูดและวลีที่ถูกต้อง และคำสอนที่ถูกต้องได้ สามารถตะโกนคำขวัญสองสามคำได้ สามารถเข้ารับหน้าที่รับผิดชอบเล็กน้อยในพระนิเวศของพระเจ้าได้ สามารถรับทำกิจสำคัญบางอย่างได้ เต็มใจที่จะนำ และมีความสามารถที่จะธำรงระเบียบปกติในกลุ่มผู้คนได้ เช่นนั้นแล้ว นั่นก็หมายความว่าพวกเขาเป็นฝ่ายจิตวิญญาณ และหมายความว่าตำแหน่งของพวกเขามั่นคงปลอดภัย  และดังนั้น ในขณะที่แสแสร้งว่าเป็นฝ่ายจิตวิญญาณและอวดตัวถึงความเป็นฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเขา พวกเขายังเสแสร้งว่าเปี่ยมอำนาจในทุกด้านและสามารถทำสิ่งใดก็ได้ เป็นบุคคลที่สมบูรณ์แบบ และคิดว่าพวกเขาสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ และเก่งในทุกสิ่งทุกอย่างอีกด้วย(“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (18)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)

พระวจนะของพระเจ้าได้แสดงให้ฉันเห็น ว่าทำไมฉันถึงหน้าซื่อใจคด และแสดงแต่ด้านที่ดีในการสามัคคีธรรมอยู่เสมอ ขณะที่พยายามอย่างหนักเพื่อซ่อนเร้นด้านที่ชั่วและน่ารังเกียจของฉัน จะได้ไม่มีใครเห็นมัน  มันคือการปกป้องที่ของฉันในหัวใจผู้คน เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่คนอื่นมองฉันว่าเป็นผู้เชื่อมานาน  แล้วพวกเขาก็จะมองว่าฉันพิเศษที่เชื่อมานานหลายปี แตกต่างจากพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ คิดว่าฉันเข้าใจความจริงและมีวุฒิภาวะ พวกเขาจะได้เคารพและเทิดทูนฉัน  ฉันตระหนักได้ว่าฉันนั้นโอหัง ชั่ว และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง! ฉันคิดว่าตัวเองเป็นผู้เชื่อมานาน และเข้าใจหลักคำสอนอยู่บ้าง ฉันจึงตั้งตนไว้บนแท่นบูชา และเริ่มเสแสร้งว่าเป็นผู้คนทางจิตวิญญาณ  ฉันขาดพร่องความเป็นจริงของความจริง และไม่ได้จดจ่อกับการแสวงหาและไล่ตามเสาะหาความจริง  ฉันเพียงแต่ใช้หลักคำสอน ความประพฤติดี และการเสียสละเพียงผิวเผินบางอย่าง เพื่อปกปิดความเป็นจริงอันน่ารังเกียจว่าฉันขาดพร่องความเป็นจริงของความจริง  ฉันไม่ได้ทบทวนและรู้จักตัวเองในตอนที่ถูกตัดแต่งและจัดการ ฉันไม่ได้ชำแหละปัญหาและความเสื่อมทรามของตัวเอง  ฉันปกปิดแรงจูงใจอันน่าเกลียดและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเอง จะได้ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับมัน เพื่อปกป้องตำแหน่งและภาพลักษณ์ของฉันไว้  การแสดงออกที่หน้าซื่อใจคดนี้ ต่างจากพวกฟาริสีที่ต่อต้านองค์พระเยซูเจ้าอย่างไร?  องค์พระเยซูเจ้าทรงตำหนิพวกฟาริสีว่า “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าพวกเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพที่ฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและทุกอย่างที่โสโครก พวกเจ้าก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความอธรรม(มัทธิว 23:27-28)  “โอ เจ้าพวกคนนำทางตาบอด เจ้ากรองลูกน้ำออกแต่กลืนตัวอูฐเข้าไป(มัทธิว 23:24)  ฉันเป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ?  มันดูเหมือนฉันสามัคคีธรรมตามประสบการณ์ของตัวเอง แต่ฉันก็แค่พูดถึงสิ่งต่างๆ ที่ทุกคนเห็นได้ แค่หลักคำสอนกลวงๆ ขณะที่ซ่อนเร้น และไม่เคยพูดถึงความคิดที่แท้จริง รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่ชั่วและเสื่อมทรามในตัวฉันเลยแม้แต่ครั้งเดียว  แบบนั้น ผู้คนก็จะคิดว่า ถึงแม้ฉันมีความเสื่อมทรามและความเป็นกบฏ ฉันก็ยังดีกว่าคนอื่นอยู่มาก  ฉันกำลังกรองลูกน้ำออกแต่กลืนอูฐทั้งตัวเข้าไป  ภายนอกฉันดูเป็นคนถ่อมใจ แต่ข้างใน ฉันก็แค่ป้องกันชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง ป้องกันภาพลักษณ์ของฉันในสายตาคนอื่น  ฉันช่างหน้าซื่อใจคด ปลิ้นปล้อน และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  ฉันหลอกลวงพี่น้องชายหญิงทุกคน ฉันไม่ได้เป็นคนดีและซื่อตรง หรืออยู่ในที่ของตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และฉันก็ไม่ได้รับประสบการณ์พระราชกิจของพระเจ้าจากมุมมองของคนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก ไม่ได้ยอมรับการพิพากษา ตีสอน ตัดแต่งและจัดการจากพระเจ้า เพื่อกำจัดความเสื่อมทรามของฉัน  แต่ฉันกลับใช้หน้าที่ของตัวเองเพื่อโอ้อวด เพื่อแต่งตั้งตัวเองและทำให้คนอื่นเข้าใจผิด ต่อกรกับพระเจ้าเพื่อประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร  นั่นไม่ใช่เส้นทางแห่งการต่อต้านพระเจ้า และเป็นศัตรูของพระคริสต์หรอกหรือ?  มันคือเส้นทางที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษ  สำหรับฉัน นอกจากการเชื่อมานานแล้ว ฉันก็ไม่มีอะไรเทียบกับคนอื่นได้เลยในแง่ความสามารถและการไล่ตามเสาะหาความจริง  ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ฉันไม่ได้มีความเป็นจริงของความจริง และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง  ฉันเป็นเหมือนภาพของซาตานที่โอหังและสำคัญตัว และฉันก็ไม่ได้มีหลักปฏิบัติในการทำหน้าที่  ฉันไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการใส่ใจน้ำพระทัยและนมัสการพระเจ้าเท่านั้น แต่ฉันยังขัดขวางงานข่าวประเสริฐของเราด้วย  พอพิจารณาถึงตลอดหลายปีที่ฉันเป็นผู้เชื่อมา มันก็น่าละอายใจจริงๆ  แต่ฉันคิดว่านั่นคือต้นทุนที่ฉันใช้ได้ เพื่อเชิดชูตัวเองและทำให้ผู้คนเคารพฉัน  ฉันมันไร้เหตุผลและไร้ยางอายสิ้นดี!

ในการอุทิศตนวันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “หากบุคคลหนึ่งไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เขาจะไม่มีวันเข้าใจความจริง  เจ้าสามารถพูดถึงจดหมายและคำสอนทั้งหลายหนึ่งหมื่นครั้ง แต่สิ่งเหล่านั้นจะยังคงเป็นแค่จดหมายและคำสอนทั้งหลาย  ผู้คนบางคนแค่พูดว่า ‘พระคริสต์ทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต’  ต่อให้เจ้าทวนซ้ำคำพูดเหล่านี้หนึ่งหมื่นครั้ง นั่นก็จะยังคงไร้ประโยชน์ เจ้าไม่มีความเข้าใจความหมายของสิ่งนั้น  เหตุใดจึงกล่าวกันว่าพระคริสต์ทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต?  เจ้าสามารถแสดงชัดถึงความรู้ที่เจ้าได้รับเกี่ยวกับการนี้จากประสบการณ์ได้หรือไม่?  เจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง หนทาง และชีวิตหรือยัง?  พระเจ้าได้ดำรัสพระวจนะของพระองค์เพื่อที่พวกเจ้าจะสามารถได้รับประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้นและได้รับความรู้ การแค่เพียงเปล่งเสียงจดหมายและคำสอนเท่านั้นช่างไร้ประโยชน์  เจ้าสามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้เฉพาะเมื่อเจ้าได้เข้าใจและเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้าแล้วเท่านั้น  หากเจ้าไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้  เจ้าสามารถหยั่งรู้ได้เฉพาะเมื่อเจ้ามีความจริงเท่านั้น หากปราศจากความจริง เจ้าก็ไม่สามารถหยั่งรู้ได้  เจ้าสามารถเข้าใจเรื่องราวหนึ่งได้อย่างเต็มที่เฉพาะเมื่อเจ้ามีความจริงเท่านั้น หากปราศจากความจริง เจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจเรื่องราวหนึ่งได้  เจ้าสามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้เฉพาะเมื่อเจ้ามีความจริงเท่านั้น หากปราศจากความจริง เจ้าก็ไม่สามารถรู้จักตัวเจ้าเองได้  อุปนิสัยของเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้เฉพาะเมื่อเจ้ามีความจริงเท่านั้น หากปราศจากความจริง อุปนิสัยของเจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  มีเพียงภายหลังจากเจ้ามีความจริงแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถรับใช้โดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ หากปราศจากความจริง เจ้าก็ไม่สามารถรับใช้โดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้  มีเพียงภายหลังจากเจ้ามีความจริงแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถนมัสการพระเจ้าได้ หากปราศจากความจริง การนมัสการของเจ้าจะไม่ใช่สิ่งใดมากไปกว่าการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการได้รับความจริงจากพระวจนะของพระเจ้า(“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  การอ่านพระวจนะนี้ ช่วยให้ฉันเข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าทำไมฉันถึงเลือกเส้นทางที่ผิดของการต่อต้านพระเจ้าเหมือนพวกฟาริสี  มันเป็นเพราะตลอดหลายปีนี้ ฉันไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริงหรือนำมันมาปฏิบัติเลย และเวลาที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็แค่จดจ่อที่ความหมายตามตัวอักษร  ฉันไม่ได้เข้าสู่ หรือปฏิบัติพระวจนะของพระองค์ และฉันก็ไม่ได้มีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับความจริงเลย  ฉันจึงได้แต่แจกแจงหลักคำสอนตามตัวอักษรไปโดยธรรมชาติ  ในความเชื่อ ฉันไม่ได้รักความจริงหรือกระหายพระวจนะของพระเจ้า และแทบไม่เคยสงบตัวเองเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์เลย อย่างเช่น บทตอนนั้นเปิดเผยความจริงแง่มุมไหน ฉันเข้าใจ ปฏิบัติ และเข้าสู่มากแค่ไหน น้ำพระทัยของพระเจ้าคืออะไร หรือพระวจนะของพระองค์สัมฤทธิ์ผลในตัวฉันมากแค่ไหน  เวลามีบางสิ่งเกิดขึ้น ฉันก็ไม่ได้พยายามคิดเกี่ยวกับสภาวะของตัวเองตามพระวจนะของพระเจ้า เพื่อทบทวนปัญหาส่วนตัวของฉันเอง และตรวจดูว่าฉันกำลังเปิดเผยความเสื่อมทรามแบบไหน รวมถึงฉันมีมโนคติอันหลงผิดที่ผิดพลาดแบบไหน  ฉันเอาแต่ทำตัวให้ยุ่งอยู่เสมอเหมือนเปาโล คิดเรื่องการทนทุกข์เพื่องานของฉัน และตอบสนองความทะเยอทะยานของตัวเอง  พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์แห่งยุคสุดท้ายได้ทรงแสดงความจริงมากมาย และพระองค์ทรงสามัคคีธรรมในรายละเอียดมากมาย ในความจริงทุกแง่มุม เพื่อให้เราได้เข้าใจความจริง เข้าใจความจริงแห่งความเสื่อมทรามโดยซาตานของเรา รวมถึงกลับใจและเปลี่ยนแปลง  แต่ฉันกลับถือเอาพระวจนะของพระเจ้าเป็นเรื่องเล่นๆ  ฉันไม่ได้ใคร่ครวญหรือแสวงหาพระวจนะเหล่านั้น ฉันไม่สนใจที่จะปฏิบัติหรือเข้าสู่พระวจนะเหล่านั้นเลย  สิ่งนี้ไม่สวนทางโดยสิ้นเชิงกับน้ำพระทัยของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดหรอกหรือ?  สิ่งนี้ไม่เหมือนกับเส้นทางที่ฟาริสีและศิษยาภิบาลในโลกศาสนาเลือกเดินโดยสิ้นเชิงหรือ?  พวกฟาริสีสนใจแค่การประกาศ การทนทุกข์ในงาน และการปกป้องตำแหน่งของพวกเขาเท่านั้น  พวกเขาไม่เคยปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า รวมถึงไม่มีความสามารถที่จะแบ่งปันประสบการณ์และความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าของพวกเขาเองเลย  พวกเขาไม่สามารถนำผู้คนเข้าสู่ควมเป็นจริงของความจริงได้ แต่ทำได้เพียงให้คนเข้าใจผิดด้วยองค์คัมภีร์ ความรู้ และหลักคำสอนตามตัวอักษร  นั่นทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่ต่อต้านพระเจ้า  ฉันไม่ได้พยายามที่จะปฏิบัติความจริงในความเชื่อ แถมยังทำตามกฎแค่บางข้อ  ฉันไม่ได้ทำชั่วร้ายแรงหรือทำผิดหนักหนา ฉันดูเหมือนคนที่ประพฤติดี และแบ่งปันในสิ่งที่ดูถูกต้องในการชุมนุม ฉันจึงคิดว่าในความเชื่อฉันก็ทำได้ดีแล้ว  แต่ฉันก็ตระหนักว่า ฉันกำลังเป็นพวกหน้าซื่อใจคดอยู่ไม่ใช่หรือ?  แบบนั้นจะเป็นความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงได้อย่างไร?  ถ้าฉันยังเชื่อแบบนั้นต่อไป โดยไม่มีความเป็นจริงของความจริงใดๆ เลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของฉันเลย ฉันจะไม่ลงเอยด้วยการถูกกำจัดหรอกหรือ?  ฉันเต็มไปด้วยความเสียใจ และได้อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์ไม่อยากเป็นคนหน้าซื่อใจคดอีกต่อไปแล้ว ข้าพระองค์ต้องการไล่ตามเสาะหาความจริง ยอมรับและนบนอบต่อการพิพากษาและตีสอนของพระองค์ รวมถึงเปลี่ยนแปลงตนเอง”

หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ในการอุทิศตน ความว่า “ตัวอย่างเช่น เจ้าคิดว่าทันทีที่เจ้ามีสถานะ เจ้าก็จำเป็นต้องมีการแสดงตัวแบบมีสิทธิอำนาจและพูดด้วยลักษณะท่าทางเฉพาะลักษณะหนึ่ง  หลังจากเจ้าตระหนักว่านี่เป็นหนทางการคิดที่ผิด เจ้าก็ควรละทิ้งมัน จงอย่าเดินบนเส้นทางนั้น  เมื่อเจ้ามีความคิดต่างๆ เช่นนี้ เจ้าก็ต้องออกจากสถานะนั้น และต้องไม่เปิดโอกาสให้ตัวเจ้าเองติดหนึบอยู่กับมัน  ทันทีที่เจ้าติดหนึบอยู่กับมัน และความคิดและทรรศนะเหล่านั้นก่อตัวขึ้นภายในตัวเจ้า เจ้าก็จะอำพรางตัวเจ้าเอง เจ้าจะห่อตัวเจ้าเองไว้ โดยทำให้แน่นอย่างไม่น่าเชื่อ เพื่อที่จะไม่มีใครมีความสามารถที่จะมองเห็นเจ้าหรือได้รับสำนึกถึงหัวใจและจิตใจของเจ้า  เจ้าก็จะพูดกับผู้อื่นราวกับว่าพูดมาจากข้างหลังหน้ากาก  พวกเขาจะไม่มีความสามารถที่จะมองเห็นหัวใจของเจ้า  เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะให้ผู้อื่นมองเห็นหัวใจของเจ้า เรียนรู้ที่จะเปิดกว้างหัวใจของเจ้าต่อผู้อื่น  และเข้าไปใกล้ชิดพวกเขา—เจ้าเพียงแค่ใช้วิธีเข้าหาที่เป็นตรงกันข้าม  นี่ไม่ใช่หลักธรรมหรือ?  นี่ไม่ใช่เส้นทางสู่การปฏิบัติหรือ?  จงเริ่มต้นจากภายในความคิดทั้งหลายและการตระหนักรู้ของเจ้า กล่าวคือ ณ ชั่วขณะที่เจ้ารู้สึกอยากจะหุ้มตัวเจ้าเองไว้ เจ้าต้องอธิษฐานดังนี้ ‘ข้าแต่พระเจ้า!  ข้าพระองค์ต้องการปลอมตัวข้าพระองค์เองอีกแล้ว และกำลังจะเข้าร่วมในอุบายและการหลอกลวงอีกครั้ง  ข้าพระองค์เป็นมารยิ่งนัก!  ข้าพระองค์ทำให้พระองค์ทรงรังเกียจข้าพระองค์เหลือเกิน!  ขณะนี้ข้าพระองค์ขยะแขยงตัวข้าพระองค์เองเหลือเกิน  โปรดทรงบ่มวินัยข้าพระองค์ ตำหนิข้าพระองค์ และลงโทษข้าพระองค์’  เจ้าต้องอธิษฐาน และนำท่าทีของเจ้าออกไปสู่ความสว่าง  การนี้เกี่ยวพันกับวิธีที่เจ้าปฏิบัติ  การปฏิบัตินี้มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ด้านใดของผู้คนทั่วไป?  การปฏิบัตินี้มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ความคิดและแนวคิด และเจตนาที่ผู้คนได้เปิดเผยเกี่ยวกับประเด็นปัญหาหนึ่ง รวมทั้งเส้นทางที่พวกเขาเดินและทิศทางที่พวกเขาไป  นั่นคือ ทันทีที่แนวคิดเช่นนั้นเกิดขึ้นกับเจ้า และเจ้าต้องการกระทำการกับแนวคิดเหล่านั้น เจ้าก็ควรลดทอนแนวคิดเหล่านั้น แล้วจึงชำแหละแนวคิดเหล่านั้น  ทันทีที่เจ้าลดทอนและชำแหละความคิดทั้งหลายของเจ้า เจ้าจะไม่แสดงออกและกระทำการกับความคิดเหล่านั้นน้อยลงอย่างมากหรือ?  ที่มากกว่านั้น อุปนิสัยที่เสื่อมทรามภายในของเจ้าจะไม่ทนทุกข์กับความถดถอยหรือ?(“เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา คนเราต้องมีเส้นทางการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าชี้เส้นทางแห่งการปฏิบัติให้ฉัน  ในการจะแก้ไขความหน้าซื่อใจคดและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่ชั่วและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของฉันนั้น ฉันต้องปฏิบัติความจริง และเป็นคนซื่อสัตย์ เรียนรู้ที่จะเปิดใจกับพระเจ้า และแบ่งปันสามัคคีธรรมที่จริงใจกับผู้อื่น รวมถึงแบ่งปันมุมมองและความคิดที่แท้จริงของฉันเมื่อเผชิญกับปัญหา  เมื่อไหร่ที่ฉันอยากเป็นคนไม่จริงใจอีก ฉันก็ต้องอธิษฐานต่อพระเจ้า ละทิ้งตัวเอง และทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม  ฉันต้องเปิดใจ เปิดเผย และชำแหละความเสื่อมทรามของตัวเอง และไม่ปล่อยให้อุปนิสัยเยี่ยงซาตานมีชัยชนะเหนือ  ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หากเจ้ามีความลับส่วนตัวมากมายซึ่งเจ้าอิดออดที่จะแบ่งปัน หากเจ้าไม่ชอบอย่างมากในการนำความลับของเจ้า—ความลำบากยากเย็นของเจ้า—มาตีแผ่ต่อหน้าผู้อื่นเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความสว่าง เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่า เจ้าคือใครบางคนที่จะบรรลุความรอดโดยง่าย และเป็นผู้ที่จะไม่โผล่พ้นจากความมืดมิดโดยง่าย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ)  ตอนนั้นฉันก็ได้รู้สึกว่า การเป็นคนซื่อสัตย์นั้นสำคัญแค่ไหน  ตลอดหลายปีแห่งความเชื่อของฉัน ฉันไม่เคยปฏิบัติหรือเข้าสู่สิ่งนั้นในฐานะความจริงพื้นฐานอย่างที่มันเป็น มันน่าสมเพช!  ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า เต็มใจที่จะกลับใจ ปฏิบัติความจริง และเป็นคนที่ซื่อสัตย์

นับจากนั้นมา เมื่อไหร่ที่ฉันได้ยินคนพูดว่าฉันเข้าใจความจริงและมีวุฒิภาวะ ฉันก็จะรู้สึกไม่สบายใจและอับอายมาก  ฉันไม่ได้หลงระเริงกับมันอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว  มีครั้งหนึ่ง ฉันได้พบพี่สาวคนหนึ่ง ที่ได้ยินว่าฉันเป็นผู้เชื่อมานาน และทนทุกข์ในหน้าที่ของตัวเองได้ และเธอก็นับถือฉันมาก  เธอพูดกับฉันต่อหน้าว่า “น้องสาว ฉันรู้ว่าคุณเชื่อมานาน คุณฟังการเทศนามาเยอะและเข้าใจความจริงมากมาย ฉันนับถือคุณจริงๆ”  พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ฉันก็กลัว และรู้สึกขนหัวลุกขึ้นมา  ฉันอธิบายความจริงของเรื่องนี้ไปทันที บอกว่า “พี่สาว มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก  อย่าดูแค่ภายนอกเลย  ฉันเชื่อในพระเจ้ามานาน แต่ก็ยังขาดพร่องความสามารถ และฉันก็ไม่ได้รักหรือไล่ตามเสาะหาความจริง  ฉันแค่ทำการเสียสละแบบผิวเผินมาตลอดหลายปีของความเชื่อ  ฉันทำเรื่องที่ดีและยอมลำบากบ้าง แต่ฉันก็ไม่ได้มีหลักปฏิบัติในหน้าที่ และฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตมากนัก  ฉันไม่สามารถทำหน้าที่ที่พระเจ้าทรงมีพระบัญชากับฉันได้เลย  ฉันไม่ได้พิจารณาน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือนมัสการพระองค์ แถมกลับต่อต้านพระเจ้าและนำความอัปยศมาสู่พระองค์”  ฉันได้แบ่งปันสามัคคีธรรมนี้กับเธอในภายหลังว่า  “มุมมองของคุณไม่สอดคล้องกับความจริง  อย่าหลับหูหลับตายกย่องผู้คน แต่จงมองดูผู้คนและสิ่งต่างๆ ตามความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  พระเจ้าทอดพระเนตรผู้คนอย่างไร?  พระองค์ไม่ได้ใส่พระทัยว่าพวกเขาเชื่อมาแล้วกี่ปี พวกเขาทนทุกข์และพยายามอย่างหนักแค่ไหน หรือพวกเขาสามารถประกาศได้มากแค่ไหน  พระองค์สนพระทัยว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงไหม อุปนิสัยของพวกเขาเปลี่ยนแปลงบ้างไหม พวกเขาเป็นพยานในหน้าที่ของตัวเองได้ไหม  บางคนที่ใหม่ในความเชื่อ ก็สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ อีกทั้งจดจ่อกับการปฏิบัติและการเข้าสู่ของตนเอง  พวกเขาคืบหน้าอย่างรวดเร็ว พวกเขาเก่งกว่าฉันมาก  คุณควรชื่นชมคนพวกนั้นสำหรับความตั้งใจจริงและความพยายามในการไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ใช่ฉันที่เป็นผู้เชื่อมานาน หรือได้ทนทุกข์มา  เวลาในความเชื่อของใครบางคนเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนด  ไม่มีอะไรให้นับถือเลย  หากผู้ที่เชื่อมานานไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลง แต่พวกเขาแค่ทำสิ่งที่ดีแบบผิวเผิน พวกเขาก็ยังเป็นฟาริสีที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด  นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการไล่ตามเสาะหาความจริงและการมีความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยถึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”  หลังแบ่งปันสามัคคีธรรมนั้นไป ฉันก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก  ฉันเลิกพูดยกย่องหลักคำสอนและโอ้อวดในการชุมนุมหลังจากนั้น แต่กลับเพียงแบ่งปันความเข้าใจในตัวเองตามพระวจนะของพระเจ้า  ฉันยังประกาศออกไปด้วยว่า “ฉันแทบไม่ได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวเองบ้างเลย  ฉันยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และฉันก็ไม่ได้ปฏิบัติหรือเข้าสู่สิ่งนี้ด้วย”  ฉันสามัคคีธรรมแบบผิวเผิน แต่กลับรู้สึกโล่งใจมากกว่าเดิม

ผ่านทางประสบการณ์ของฉัน ฉันได้เห็นสิ่งหนึ่งที่แน่นอน และฉันก็ได้รับประสบการณ์จากสิ่งนั้นมาก  ไม่ว่าใครจะเป็นผู้เชื่อมานานแค่ไหน ไม่ว่าพวกเขาจะดูเป็นคนดีแค่ไหน ไม่ว่าพวกเขาประพฤติตัวดีแค่ไหน พวกเขาทนทุกข์และทำงานมากมายแค่ไหน ถ้าพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ถ้าพวกเขาไม่ยอมรับมันและนบนอบเมื่อพระเจ้าทรงพิพากษา ตีสอน ตัดแต่ง และจัดการพวกเขา ถ้าพวกเขาไม่พยายามรู้จักตัวเองและเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ถ้าอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลง พวกเขาก็อยู่บนเส้นทางของพวกฟาริสีและศัตรูของพระคริสต์  เมื่อมีสถานการณ์ที่เหมาะสมปรากฏขึ้น พวกเขาก็จะกลับกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ เป็นคนหลอกลวง  นี่คือผลลัพธ์อันหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย  ฉันได้เห็นแล้วว่า ในการที่ผู้คนจะได้รับการช่วยให้รอดและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยนั้น การไล่ตามเสาะหาความจริง ยอมรับและนบนอบต่อการถูกพิพากษา ตีสอน และจัดการโดยพระเจ้านั้นสำคัญยิ่งยวดแค่ไหน!  ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 73. ความรอดของพระเจ้า

ถัดไป: 74. การเรียนรู้ที่จะนบนอบโดยผ่านทางความยากลำบาก

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger