พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์

นับแต่ชั่วขณะที่เจ้าเข้ามาในโลกนี้พร้อมกับเสียงร้องจ้า เจ้าก็เริ่มทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง  เจ้าแสดงไปตามบทบาทของเจ้าและเริ่มการเดินทางของชีวิตของเจ้า เพื่อแผนของพระเจ้าและเพื่อการทรงลิขิตของพระองค์  ไม่ว่าเจ้าจะมีภูมิหลังอย่างไร และการเดินทางข้างหน้าของเจ้าจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครสามารถหลีกหนีการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของฟ้าสวรรค์ได้ และไม่มีใครควบคุมชะตาลิขิตของตนเองได้ เพราะมีเพียงพระองค์ผู้ทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่งเท่านั้นที่สามารถทำงานเช่นนั้นได้  นับตั้งแต่วันที่มนุษย์ได้มาสู่การดำรงอยู่ พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจเช่นนี้มาตลอด บริหารจัดการจักรวาล กำกับกฎเกณฑ์แห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับทุกสรรพสิ่งและวิถีการเคลื่อนที่ของทุกสรรพสิ่งเหล่านั้น  เช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่ง—มนุษย์ได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างเงียบเชียบและไม่รู้ตัว ด้วยความอ่อนหวานและหยาดฝน ตลอดจนหยดน้ำค้างจากพระเจ้า เช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่ง—มนุษย์อยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระหัตถ์พระเจ้าโดยไม่รู้ตัว หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทุกอย่างในชีวิตของเขาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม ทุกสิ่งและทุกอย่าง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตาม พระดำริของพระเจ้า  นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงปกครองสรรพสิ่ง

ยามราตรีคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มนุษย์หาได้ไหวตัวรับรู้ไม่ เพราะหัวใจของมนุษย์ไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าราตรีคืบคลานมาอย่างไรและมาจากที่ใด  ครั้นพอราตรีเคลื่อนตัวเงียบเชียบจากไป มนุษย์จึงต้อนรับแสงทิวา แต่เรื่องว่าแสงนั้นมาจากที่ใด และขับไล่ความมืดของราตรีกาลออกไปอย่างไร มนุษย์ยิ่งไม่รู้และยิ่งไม่ทันตระหนัก  การหมุนเวียนปรับเปลี่ยนของวันและคืนเหล่านี้นำพามนุษย์จากช่วงเวลาหนึ่งสู่อีกช่วงเวลาหนึ่ง จากบริบทเชิงประวัติศาสตร์บริบทหนึ่งสู่บริบทถัดไป ขณะเดียวกันก็เป็นการให้ความมั่นใจว่าพระราชกิจของพระเจ้าในทุกช่วงเวลาและแผนการของพระองค์สำหรับทุกยุคยังคงถูกดำเนินการไปจนเสร็จสิ้น  มนุษย์ติดตามพระเจ้าพลางเดินผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไปด้วย แต่กระนั้นเขาไม่รู้หรอกว่า พระเจ้าทรงปกครองชะตากรรมของทุกสรรพสิ่งและบรรดาสิ่งที่มีชีวิตทั้งมวล ทั้งยังไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงและกำกับทุกสรรพสิ่งอย่างไร  สิ่งนี้ได้คลาดแคล้วไปจากมนุษย์ตั้งแต่ครั้งโบราณกาลจวบจนปัจจุบัน  สำหรับเหตุผลนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะกิจการทั้งหลายของพระเจ้านั้นซ่อนเร้นเกินไป และไม่ใช่เป็นเพราะแผนการของพระเจ้ายังไม่ถูกทำให้เป็นจริง แต่เป็นเพราะหัวใจและวิญญาณของมนุษย์นั้นอยู่ห่างไกลจากพระเจ้าเกินไป จนถึงจุดที่มนุษย์ยังคงอยู่ภายใต้การรับใช้ซาตานแม้ในขณะที่เขาติดตามพระเจ้าอยู่—และยังคงไม่รู้ตัว  ไม่มีใครแสวงหาย่างพระบาทของพระเจ้าและการทรงปรากฏของพระองค์อย่างจริงจัง และไม่มีใครเต็มใจที่จะอยู่ในการดูแลและการปกปักรักษาของพระเจ้า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับปรารถนาที่จะพึ่งพาการกร่อนทำลายของซาตาน ตัวมารร้าย เพื่อปรับตัวให้เข้ากับพิภพนี้ และเข้ากับกฎการดำรงอยู่ซึ่งมวลมนุษย์ที่ชั่วพากันทำตาม ณ จุดนี้ หัวใจและวิญญาณของมนุษย์ได้กลายเป็นบรรณาการให้ซาตาน และกลายเป็นของกินของซาตานไปแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น หัวใจและวิญญาณของมนุษย์ได้กลายเป็นที่พักอาศัยของซาตานและเป็นสนามเด็กเล่นอันเหมาะเจาะของมัน  ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงสูญเสียความเข้าใจที่มีต่อหลักธรรมของการเป็นมนุษย์ รวมถึงคุณค่าและความหมายของการดำรงอยู่เยี่ยงมนุษย์ไปโดยไม่รู้ตัว  ธรรมบัญญัติของพระเจ้าและพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ค่อยๆ เลือนหายไปในหัวใจของมนุษย์ เขาจึงเลิกแสวงหาหรือใส่ใจฟังเสียงของพระเจ้า  เมื่อเวลาผ่านไป มนุษย์ไม่เข้าใจอีกต่อไปแล้วว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงสร้างพวกเขาขึ้นมา ทั้งยังไม่เข้าใจพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า รวมถึงทุกสิ่งที่มาจากพระองค์  และแล้วมนุษย์ก็เริ่มต้านทานธรรมบัญญัติและกฤษฎีกาของพระเจ้า และหัวใจและวิญญาณของเขาจึงตายด้าน… พระเจ้าสูญเสียมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างมาแต่เดิม และมนุษย์ก็สูญเสียรากเหง้าที่เขาเคยมีแต่เดิม: นี่คือความเศร้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้  โดยข้อเท็จจริงนั้น ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงบัดนี้ พระเจ้าได้จัดเวทีแสดงละครโศกนาฏกรรมสำหรับมนุษย์ไว้เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องซึ่งมนุษย์เป็นทั้งนักแสดงนำและเหยื่อ  และไม่มีใครตอบได้ว่าผู้กำกับละครโศกนาฏกรรมนี้คือใคร

ในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ มหาสมุทรเหือดแห้งตกตะกอนกลายเป็นท้องทุ่ง ท้องทุ่งถูกน้ำท่วมจนกลายเป็นมหาสมุทร ครั้งแล้วครั้งเล่า  ไม่มีใครสามารถนำทางและชี้นำเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้ได้ เว้นแต่พระองค์ผู้ทรงปกครองทุกสิ่งทุกอย่างท่ามกลางทุกสรรพสิ่งในจักรวาลพระองค์เดียวเท่านั้น  ไม่มีผู้ทรงฤทธิ์ใดที่จะตรากตรำทำงานหรือทำการตระเตรียมให้กับมนุษยชาตินี้ ที่ยิ่งน้อยกว่านั้นก็คือ ไม่มีใครที่สามารถนำทางเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้สู่บั้นปลายแห่งความสว่างและปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากความอยุติธรรมทางโลกได้  พระเจ้าทรงกำสรดต่ออนาคตของมวลมนุษย์ พระองค์ตรมพระทัยกับการตกต่ำของมวลมนุษย์ และทรงเจ็บปวดที่มวลมนุษย์กำลังเดินตบเท้าทีละก้าวเข้าหาความเสื่อมสลายและเส้นทางที่ไม่อาจหวนคืน  มีใครเคยคิดหรือไม่ว่า มวลมนุษย์เช่นนี้ที่ได้ทำร้ายพระทัยของพระเจ้าและประกาศตัดสัมพันธ์กับพระองค์เพื่อแสวงหามารร้าย อาจมุ่งหน้าไปในทิศทางใด?  ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำไมจึงไม่มีใครสำนึกถึงพระพิโรธของพระเจ้า ทำไมจึงไม่มีใครแสวงหาหนทางที่จะทำให้พระเจ้าทรงยินดี หรือพยายามเข้าใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น และที่มากยิ่งกว่านั้นคือ ทำไมจึงไม่มีใครพยายามจับใจความในความตรมพระทัยและความเจ็บปวดของพระเจ้า  แม้กระทั่งหลังจากได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า มนุษย์ก็ยังคงเดินไปบนเส้นทางของตนต่อไป ยืนกรานในการหันเหไปจากพระเจ้า เลี่ยงหนีพระคุณและการดูแลของพระเจ้า และหลบเลี่ยงความจริงของพระองค์ เลือกชอบที่จะขายตนเองให้กับซาตาน—ศัตรูของพระเจ้า—มากกว่า  และมีใครหรือไม่ที่เคยคิดว่า หากมนุษย์ยังยืนกรานในความดื้อดึงต่อไป พระเจ้าจะทรงทำอย่างไรกับมนุษยชาติพวกนี้ที่ผลักไสพระองค์ออกห่างอย่างไร้เยื่อใย?  ไม่มีใครรู้ว่าเหตุผลที่พระเจ้าทรงเตือนความจำและเคี่ยวเข็ญซ้ำๆ นั่นก็เป็นเพราะ ในพระหัตถ์ของพระองค์นั้น พระองค์ได้ทรงตระเตรียมหายนะอย่างหนึ่งซึ่งไม่เคยมีอันใดเสมอเหมือนมาก่อนเอาไว้แล้ว เป็นหายนะที่เนื้อหนังและจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นมิอาจจะทนรับได้เลย  หายนะนี้ไม่ใช่แค่การลงโทษต่อเนื้อหนัง แต่ต่อดวงจิตด้วยเช่นกัน  เจ้าจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ว่า เมื่อแผนการของพระเจ้าเป็นอันล้มเหลวไป และเมื่อคำเตือนความจำและการเคี่ยวเข็ญของพระองค์ไม่ได้รับการตอบแทน พระโทสะแบบใดเล่าที่พระองค์จะทรงปลดปล่อยออกมา?  มันจะไม่เหมือนกับสิ่งใดเลยที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดได้เคยผ่านประสบการณ์หรือได้ยินมาก่อน  เราจึงจะกล่าวว่า หายนะนี้ไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีซ้ำอีก  เพราะว่าแผนการของพระเจ้านั้นก็คือ การสร้างมวลมนุษย์เพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น  นี่เป็นครั้งแรก และก็เป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน  เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครสามารถจับใจความเจตนารมณ์อันอุตสาหะและความมุ่งหวังอันแรงกล้าที่พระเจ้าจะทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดในครั้งนี้ได้เลย

พระเจ้าได้ทรงสร้างโลกนี้และทรงนำพามนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่พระองค์ประทานชีวิตให้เข้ามาในโลก  ต่อมา มนุษย์ก็มามีพ่อแม่และญาติพี่น้อง และไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป  ตั้งแต่ครั้งแรกที่มนุษย์เปิดตามองโลกแห่งวัตถุ เขาก็ได้ถูกลิขิตชะตาไว้แล้วให้ดำรงอยู่ภายในการทรงลิขิตของพระเจ้า  ลมปราณจากพระเจ้าสนับสนุนสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดทุกชีวิต ตลอดช่วงวัยเจริญเติบโตไปจนถึงวัยผู้ใหญ่  ในช่วงระหว่างกระบวนการนี้ ไม่มีใครรู้สึกว่ามนุษย์กำลังเติบโตขึ้นภายใต้การดูแลของพระเจ้า พวกเขากลับเชื่อว่ามนุษย์กำลังเติบโตภายใต้การดูแลอันเปี่ยมรักของบิดามารดาของเขา และสัญชาตญาณชีวิตของเขานั่นเองที่กำกับการเติบโตของเขา  นี่เป็นเพราะว่ามนุษย์ไม่รู้ว่าผู้ใดประทานชีวิตให้เขา หรือรู้ว่าตัวเขามาจากไหน นับประสาอะไรที่จะรู้หนทางที่สัญชาตญาณชีวิตสร้างปาฏิหาริย์ เขารู้เพียงว่าอาหารคือพื้นฐานที่ช่วยให้ชีวิตดำเนินต่อไป ความพากเพียรบากบั่นคือแหล่งกำเนิดแห่งการดำรงอยู่ของเขา และความเชื่อต่างๆ ในจิตใจของเขาคือทุนที่เขาต้องอาศัยพึ่งพาเพื่อความอยู่รอด  เกี่ยวกับพระคุณและการจัดเตรียมของพระเจ้านั้น มนุษย์คือไม่รับรู้อันใดเลยอย่างถึงที่สุด และดังนั้นพวกเขาจึงใช้ชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ไปอย่างสูญเปล่า… ไม่มีแม้แต่คนเดียวในมนุษยชาตินี้ที่พระเจ้าทรงดูแลทั้งวันคืน จะคิดขึ้นมาได้เองว่าจะนมัสการพระองค์ พระเจ้ายังทรงพระราชกิจต่อไปกับมนุษย์ผู้ซึ่งพระองค์ไม่เคยตั้งความคาดหวัง ก็เพียงเท่าที่พระองค์ทรงวางแผนการไว้เท่านั้น  พระเจ้าทรงทำเช่นนั้นด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่ง มนุษย์จะตื่นขึ้นจากฝันของเขาและพลันตระหนักถึงคุณค่าและความหมายของชีวิต รวมถึงราคาที่พระเจ้าทรงจ่ายเพื่อทั้งสิ้นทั้งมวลที่พระองค์ได้ประทานให้เขา และความกังวลร้อนใจขณะที่พระเจ้าทรงรอคอยให้มนุษย์หันกลับมาหาพระองค์  ไม่มีใครเคยสืบเสาะความลับเรื่องต้นกำเนิดและการดำรงสืบมาของชีวิตมนุษย์  มีเพียงพระเจ้าผู้เข้าพระทัยทุกสิ่งทั้งหมดนี้เท่านั้นที่ทรงสู้ทนต่อความเจ็บปวดและการโบยตีที่มนุษย์ผู้ซึ่งได้รับทุกอย่างจากพระเจ้าแต่กลับไม่รู้สึกสำนึกขอบคุณได้มอบให้แก่พระองค์  มนุษย์ชื่นชมทุกสิ่งทุกอย่างที่ชีวิตนำมาให้เป็นปกติ และในทำนองเดียวกัน นี่ก็ “เป็นไปตามครรลอง” ที่พระเจ้าทรงถูกทรยศโดยมนุษย์ ถูกลืมเลือนโดยมนุษย์และถูกบังคับขู่เข็ญโดยมนุษย์  เป็นไปได้หรือที่แผนการของพระเจ้าจะสำคัญขนาดนั้นจริงๆ?  เป็นไปได้หรือที่มนุษย์ สิ่งมีชีวิตนี้ซึ่งมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า จะสำคัญปานนั้นจริงๆ?  แน่นอนว่าแผนการของพระเจ้านั้นสำคัญจริงๆ?  อย่างไรก็ดี สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างโดยพระหัตถ์ของพระเจ้านี้ดำรงอยู่ก็เพื่อประโยชน์แห่งแผนการของพระองค์  เพราะฉะนั้น พระเจ้าจะทรงปล่อยให้แผนการของพระองค์สูญเปล่าไปกับความเกลียดชังที่มีต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้ไม่ได้  เพื่อเห็นแก่แผนการของพระองค์และลมปราณที่พระองค์ได้ทรงระบายออกไปพระเจ้าจึงทรงสู้ทนต่อความทรมานทั้งมวล ไม่ใช่เพื่อเนื้อหนังของมนุษย์แต่เพื่อชีวิตของมนุษย์  พระองค์ทรงทำเช่นนั้น มิใช่เพื่อจะได้เนื้อหนังของมนุษย์กลับคืนมา แต่เพื่อจะได้ชีวิตที่พระองค์ทรงระบายลมปราณให้กลับคืนมา  นี่คือแผนการของพระองค์

ทุกคนที่เข้ามาในพิภพนี้ต้องผ่านชีวิตและความตาย และพวกเขาส่วนใหญ่ได้ผ่านวัฏจักรแห่งความตายและการเกิดใหม่แล้ว  ผู้คนที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้จะตายในไม่ช้า และคนที่ตายแล้วจะกลับมาในอีกไม่นาน  ทั้งหมดนี้คือครรลองแห่งชีวิตที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสำหรับสิ่งมีชีวิตแต่ละราย  กระนั้นครรลองและวัฏจักรนี้คือความจริงที่ตรงชัดว่า พระเจ้าทรงปรารถนาให้มนุษย์มองเห็นว่า ชีวิตที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์นั้นไร้ขีดจำกัด ไม่ผูกติดกับลักษณะทางกายภาพ เวลาหรือพื้นที่  นั่นแลที่เป็นความล้ำลึกของชีวิตซึ่งถูกประทานมาให้มนุษย์โดยพระเจ้า และเป็นข้อพิสูจน์ว่าชีวิตมาจากพระองค์  แม้หลายคนอาจไม่เชื่อว่าชีวิตมาจากพระเจ้า มนุษย์ก็ชื่นชมทุกสิ่งที่มาจากพระเจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระองค์หรือปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระองค์ก็ตาม  หากว่าสักวันหนึ่งพระเจ้าเกิดเปลี่ยนพระทัยขึ้นมาอย่างกะทันหัน และปรารถนาจะทวงคืนทุกอย่างที่ดำรงอยู่ในโลก และเอาชีวิตที่พระองค์ทรงมอบให้กลับคืนไป เมื่อนั้น ทั้งหมดก็จะไม่มีเหลืออยู่อีกต่อไป  พระเจ้าทรงใช้ชีวิตของพระองค์จัดหาให้กับทุกสรรพสิ่ง ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต นำพาทุกสิ่งมาสู่ระบบระเบียบที่ดีโดยอาศัยอำนาจตามพระอิทธิฤทธิ์และสิทธิอำนาจของพระองค์  นี่คือความจริงที่ไม่มีใครเลยสามารถคิดได้เองและจับใจความได้ และความจริงที่ไม่อาจจับใจความได้เหล่านี้ก็คือ การสำแดงที่แท้จริงและภาคพันธสัญญาแห่งพลังชีวิตของพระเจ้า  บัดนี้ เราขอบอกความลับบางอย่างแก่เจ้าว่า ความยิ่งใหญ่แห่งชีวิตของพระเจ้าและพลังอำนาจแห่งชีวิตของพระองค์นั้นพ้นวิสัยที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างจะหยั่งถึงได้  เป็นเช่นนั้นในตอนนี้ เหมือนที่เคยเป็นในอดีต และจะเป็นเช่นนั้นในกาลข้างหน้าที่จะมาถึง  ความลับข้อที่สองที่เราจะบอกคือ แหล่งกำเนิดแห่งชีวิตของสิ่งทรงสร้างทั้งปวงมาจากพระเจ้า ไม่ว่าพวกมันอาจอยู่ในรูปแบบและโครงสร้างชีวิตที่แตกต่างกันอย่างไรก็ตามที  ไม่ว่าเจ้าจะเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทใดก็ตามที เจ้าก็ไม่อาจทวนย้อนวิถีโคจรของชีวิตที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ได้  ไม่ว่าในกรณีใด ทั้งหมดที่เราปรารถนาก็เพื่อให้มนุษย์เข้าใจว่า หากปราศจากการดูแล การปกปักรักษาและการจัดเตรียมของพระเจ้าแล้วไซร้ มนุษย์จะไม่สามารถได้รับทุกสิ่งที่พวกเขาคาดหวังจะได้รับเลย ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างขยันขันแข็งสักแค่ไหนหรือต่อสู้ดิ้นรนอย่างทุลักทุเลเท่าไร  หากไร้สิ่งจัดหาเพื่อชีวิตจากพระเจ้า มนุษย์จะสูญเสียสำนึกแห่งคุณค่าของการมีชีวิตและสำนึกแห่งความหมายของชีวิต  พระเจ้าจะทรงยอมให้มนุษย์ซึ่งทิ้งขว้างคุณค่าแห่งชีวิตของพระองค์อย่างไม่ใส่ใจนำพามีความสุขเสรีไร้กังวลปานนั้นได้เช่นไร?  ดังที่เราได้กล่าวไว้ก่อนนี้ว่า จงอย่าลืมว่าพระเจ้าคือแหล่งกำเนิดแห่งชีวิตของเจ้า  หากมนุษย์ไม่ทะนุถนอมทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้ มิเพียงแต่พระเจ้าจะทรงนำทุกสิ่งที่ทรงมอบให้แต่แรกกลับคืนไปเท่านั้น แต่พระองค์จะทรงทำให้มนุษย์ชดใช้คืนพระองค์เป็นสองเท่าของทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงมอบให้อีกด้วย

26 พฤษภาคม ค.ศ. 2003

ก่อนหน้า: พวกเจ้าควรจะพิจารณาความประพฤติทั้งหลายของพวกเจ้า

ถัดไป: การทอดถอนพระทัยขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger