แก่นแท้ของพระคริสต์คือความรัก
ในแง่หนึ่ง การรู้จักแก่นแท้ของพระคริสต์เปิดโอกาสให้เจ้าแยกพระคริสต์ในเนื้อหนังออกจากมนุษยชาติที่เสื่อมทราม เชื่อฟังและปฏิบัติต่อพระเจ้าในเนื้อหนังในฐานะพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง ในอีกแง่หนึ่ง เจ้าต้องมองเห็นพระราชกิจที่แท้จริงของพระเจ้าในเนื้อหนัง การแสดงความจริงของพระองค์ซึ่งจริงแท้ และการดำรงพระชนม์อยู่จริงของพระองค์ท่ามกลางมนุษยชาติด้วย เจ้าต้องมองเห็นว่าพระองค์ทรงชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอดเช่นไร ว่าพระองค์ไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะ ไม่ใช่อัครทูต ไม่ใช่ผู้ประทานคำเผยพระวจนะ หรือคนธรรมดาสามัญที่พระเจ้าทรงส่งมา แต่ทรงเป็นพระเจ้าในกายมนุษย์ เป็นพระคริสต์ และพระเจ้าพระองค์เอง แม้ว่าเนื้อหนังนี้จะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของมนุษยชาติ แต่พระองค์ก็ทรงเป็นคนธรรมดาที่มีแก่นแท้ของเทวสภาพ การรู้จักแก่นแท้แห่งเทวสภาพของพระเจ้าในเนื้อหนังนั้นสำคัญอย่างยิ่งยวด อย่างน้อยที่สุดเจ้าต้องสามารถใช้ข้อเท็จจริงที่เจ้าสามารถสังเกตเห็นได้มาพิสูจน์แก่นแท้แห่งเทวสภาพของพระคริสต์ การที่จะรู้จักแก่นแท้แห่งเทวสภาพของพระคริสต์นั้น เจ้าต้องกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ และรู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ การรู้จักแก่นแท้ของพระเจ้าในกายมนุษย์ยังผลให้ผู้คนแน่ใจได้ว่าพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์แล้วจริงๆ และเนื้อหนังนี้คือพระเจ้าโดยแท้ นี่เป็นทางเดียวที่ผู้คนจะสามารถมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และสัมฤทธิ์การเชื่อฟังอย่างแท้จริง รวมทั้งความรักแท้ และเมื่อสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้แล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าเจ้าเข้าใจแก่นแท้ของพระเจ้า
ทุกวันนี้ ผู้คนไม่รู้จักพระคริสต์อย่างแท้จริง พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับว่าเป็นความจริงและเป็นพระดำรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยมองข้ามเนื้อหนังนั้นอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่รู้ว่าต้นกำเนิดของเนื้อหนังคืออะไร หรือว่าเนื้อหนังนั้นและพระวิญญาณเกี่ยวข้องกันอย่างไร หลายคนเชื่อว่าเนื้อหนังดำรงอยู่เพื่อกล่าวพระวจนะ ว่าบุคคลผู้นี้ถูกใช้ให้ตรัสและทรงพระราชกิจ และนี่คือพันธกิจของพระองค์ พวกเขาเชื่อว่าเนื้อหนังกล่าวเมื่อใดก็ตามที่บุคคลผู้นี้ได้รับการดลใจ และพระราชกิจของพระองค์ก็เสร็จสิ้นทันทีที่บุคคลผู้นี้ทำงานเสร็จ ราวกับว่าบุคคลผู้นี้เป็นเพียงผู้ส่งสาร หากมีคนเชื่อเช่นนี้ สิ่งที่พวกเขารับรู้และเชื่อย่อมไม่ใช่พระเจ้าในเนื้อหนังหรือพระคริสต์ แต่เป็นเพียงใครบางคนที่คล้ายผู้เผยพระวจนะเท่านั้น บางคนคิดเช่นกันว่า “พระคริสต์คือบุคคลผู้หนึ่ง และไม่ว่าการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระองค์จะมีแก่นแท้เป็นอะไร หรือพระองค์จะแสดงพระอุปนิสัยอันใดของพระเจ้าออกมา พระองค์ก็ไม่อาจเป็นผู้แทนของพระเจ้าในสวรรค์หรือแทนองค์พระผู้สร้างผู้ทรงปกครองจักรวาลและสรรพสิ่งได้อย่างสมบูรณ์ ในเมื่อพระองค์คือพระเจ้าในเนื้อหนังและเป็นพระเจ้าในสวรรค์ที่เสด็จมายังแผ่นดินโลก เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงมีปาฏิหาริย์เหนือธรรมชาติเลย? เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงทำลายพญานาคใหญ่สีแดงหากพระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจ?” ผู้ที่กล่าวคำเหล่านี้ล้วนไม่มีความตระหนักรู้ทางฝ่ายวิญญาณ พวกเขาไม่เข้าใจว่าการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์คืออะไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขอบเขตของการบริหารจัดการพระราชกิจในเนื้อหนังของพระเจ้า ผู้ที่เป็นเป้าหมายแห่งความรอดของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงแสดง หรือสิ่งที่ผู้คนพึงรู้ แก่นแท้ของพระเจ้าในเนื้อหนังก็คือแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์สามารถทำได้ทุกสิ่งในนามของพระเจ้า พระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง และพระองค์ทรงทำได้ทุกอย่างที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะทำ อย่างไรก็ตาม การที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในครั้งนี้เป็นพระราชกิจระยะสุดท้ายในขอบเขตแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ และไม่เกี่ยวข้องกับการปกครองสรรพสิ่งหรือการปกครองชาติทั้งหลาย นี่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นเลย ดังนั้นสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้ก็คือ สิ่งที่ผู้คนจะเผชิญและจะสามารถเข้าใจได้ในระหว่างพระราชกิจขั้นตอนนี้ แก่นแท้ของพระราชกิจขั้นตอนนี้ สิ่งที่พระคริสต์ทรงมีและทรงเป็น และการแสดงให้เห็นพระอุปนิสัยของพระองค์ สิ่งที่พระคริสต์ทรงแสดงออกมาใช่แก่นแท้ของพระเจ้าหรือไม่? ใช่พระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือไม่? แน่นอนว่าใช่ แต่นี่คือทั้งหมดแล้วหรือ? บัดนี้เรากำลังบอกพวกเจ้าว่านี่ไม่ใช่ทั้งหมด นี่เป็นเพียงส่วนน้อยและจำกัด เป็นเพียงสิ่งที่ผู้คนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สิ่งที่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ และสิ่งที่พวกเขาเข้าใจได้ด้วยความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาในขณะที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น นี่ไม่ใช่ทุกสิ่ง และเป็นเพียงพระราชกิจที่ต้องทำภายในแผนการของพระเจ้าเท่านั้น
จะอธิบายพระเจ้าในเนื้อหนังให้ชัดเจนที่สุดได้อย่างไร? หากกล่าวอย่างง่ายๆ นี่ย่อมหมายถึงพระเจ้าผู้ทรงมีรูปสัณฐานบนแผ่นดินโลก นี่คือพระวิญญาณของพระเจ้าที่มีเนื้อหนังห่อหุ้มเหมือนคนทั่วไป หากพระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่ในเนื้อหนัง พระองค์ยังคงดำรงอยู่ในที่อื่นๆ หรือไม่? ทรงดำรงอยู่ พระเจ้าทรงปกครองจักรวาลและสรรพสิ่ง และทั่วทั้งจักรวาลก็มีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงปกครองอยู่ พระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ และบัดนี้พระองค์ก็ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จลงมายังแผ่นดินโลกแล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นดังที่ผู้คนจินตนาการถึงพระองค์ว่าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงพระราชกิจเฉพาะบนแผ่นดินโลกเท่านั้น ไม่ทรงเอาภารธุระในที่อื่นใด เมื่อก่อนเราเคยถามพี่น้องหญิงคนหนึ่งว่า “บัดนี้ที่พระเจ้าประทับอยู่บนแผ่นดินโลกในเนื้อหนัง ยังคงมีพระเจ้าอยู่ในสวรรค์หรือไม่?” เธอคิดอยู่นาทีหนึ่งแล้วตอบว่า “มีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น และตอนนี้พระองค์ก็ประทับอยู่บนแผ่นดินโลก ดังนั้นเวลานี้ย่อมไม่มีพระเจ้าอยู่ในสวรรค์” นี่ก็ผิดอีก พระเจ้าทรงปกครองจักรวาลและสรรพสิ่ง แล้วพระเจ้าก็คือดวงวิญญาณ พระองค์ประทับอยู่ที่แผ่นดินโลกนี่ แต่ยังคงทรงปกครองสรรพสิ่งอยู่ในสวรรค์และทรงพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก เราจึงถามใหม่ว่า “นั่นหมายความว่าในบางครั้งพระวิญญาณของพระเจ้าก็เสด็จจากไปด้วยกระนั้นหรือ?” เธอคิดอยู่สักครู่แล้วตอบว่า “บางทีพระองค์อาจจะต้องเสด็จจากไป ในบางครั้งเนื้อหนังจึงไม่รู้อะไร พระวิญญาณเสด็จจากไปขณะที่เนื้อหนังดำรงชีวิตไปตามปกติ แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับมาตอนที่พระองค์จะตรัส บางทีพระวิญญาณอาจจะเสด็จไปทำสิ่งอื่นระหว่างการนอนหลับ แต่เสด็จกลับมาตอนที่เนื้อหนังตื่นขึ้นมา ตรัสและทรงพระราชกิจผ่านทางเนื้อหนัง ถ้าไม่มีพระราชกิจให้ทรงกระทำ เนื้อหนังก็อาจจะมีพฤติกรรมและการกระทำตามปกติของมนุษย์เท่านั้น” หลายคนก็คิดเช่นนี้ มีผู้อื่นที่ห่วงกังวลว่า “ฉันไม่รู้ว่ามีการแบ่งเก็บเงินทองของพระเจ้ากันอย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ว่าถูกยกให้ใครอื่นไปแล้ว?” จิตใจของมนุษย์ซับซ้อนจริงๆ ผู้คนที่จิตใจมีเจตนาไม่ดีนั้นจะหวังไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างไร? กล่าวโดยสรุปก็คือในการรู้จักพระเจ้า ทั้งการรู้จักแก่นแท้ของพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และการรู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ต่างก็ไม่ใช่งานที่ง่ายนัก ในช่วงที่พระเจ้าทรงพระราชกิจในเนื้อหนังอยู่นั้น สิ่งใดก็ตามที่เจ้าสามารถมีประสบการณ์ด้วยและพบเจอย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าควรรู้ และเจ้าไม่ควรคิดเตลิดไปเองในเรื่องที่เจ้าไม่สามารถเข้าถึงได้ ตัวอย่างเช่น “หลังจากที่เนื้อหนังของพระเจ้าจากไปแล้ว พระเจ้าจะปรากฏองค์และทรงพระราชกิจของพระองค์อีกในรูปสัณฐานใด? พระองค์จะยังคงเสด็จมาพบพวกเราบนแผ่นดินโลกหรือไม่?” ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่สนใจเรื่องภายนอกเหล่านี้ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของพระคริสต์เลย ที่จริงแล้วการเข้าใจเรื่องเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ มีเรื่องบางเรื่องที่เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจ และเจ้าจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้เมื่อถึงเวลาที่เจ้าจำเป็นที่จะต้องเข้าใจ ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ และเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ได้มีผลกระทบแม้แต่น้อยกับความเชื่อที่ผู้คนมีในพระเจ้าในเนื้อหนัง กับความเชื่อในพระคริสต์ หรือการติดตามพระคริสต์ ทั้งยังไม่มีผลกระทบแม้แต่น้อยกับการไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คนหรือการลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาให้ดี และจะไม่เพิ่มพูนความเชื่อของเจ้าแต่อย่างใดหากว่าเจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ ผู้เผยวจนะในอดีตกาลแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ แล้วผู้คนได้รับสิ่งใด? สิ่งที่ทั้งหมดนี้สัมฤทธิ์ก็คือการทำให้ผู้คนยอมรับรู้การมีอยู่ของพระเจ้าเท่านั้น ไม่ว่าผู้เผยวจนะเหล่านั้นจะสร้างปาฏิหาริย์ได้กี่อย่าง พวกเขาก็ไม่ใช่พระเจ้า เพราะผู้เผยวจนะไม่ได้มีแก่นแท้ของพระเจ้า ส่วนพระเจ้าในเนื้อหนังนั้นแม้มิได้ทรงสร้างปาฏิหาริย์ก็ยังคงเป็นพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้า การที่พระองค์ไม่ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ทรงทำให้ดูไม่ได้ ทุกสิ่งที่พระวจนะของพระองค์สำเร็จลุล่วงย่อมมีมหิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าการแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เสียอีก นี่คือปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าด้วยซ้ำ การไล่ตามเสาะหาการรู้จักแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเจ้ามากนัก และนี่คือเส้นทางที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้า
พวกเจ้าควรตระหนักรู้ว่าระหว่างที่พระเจ้าทรงพระราชกิจในเนื้อหนัง นั่นคือเวลาที่ผู้คนสามารถพบเจอและมองเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น แก่นแท้ของพระองค์ และพระอุปนิสัยของพระองค์ได้มากที่สุด เป็นโอกาสอันดีที่สุดที่จะรู้จักพระเจ้า การรู้จักสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำและพระอุปนิสัยของพระองค์ที่ผู้คนพูดถึงในอดีตกาลนั้น—ยากที่จะสัมฤทธิ์เพราะพวกเขาเข้าไม่ถึงพระองค์ เมื่อโมเสสมองเห็นพระยาห์เวห์ปรากฏองค์แก่เขาในสมัยนั้น เขามองเห็นเพียงบางสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงกระทำเท่านั้น เขามีความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเกี่ยวกับพระเจ้ามากเท่าใด? มากกว่าสิ่งที่ผู้คนสมัยนี้รู้กระนั้นหรือ? สิ่งที่เขารู้สัมพันธ์กับชีวิตจริงยิ่งกว่าสิ่งที่ผู้คนสมัยนี้รู้หรือไม่? แน่นอนว่าไม่ ย้อนไปในสมัยที่พระเจ้าทรงพระราชกิจอยู่ในอิสราเอลนั้น พระองค์ทรงเผยให้เห็นพระราชกิจหลายอย่างของพระองค์ หลายคนมองเห็นพระยาห์เวห์แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และบ้างก็ถึงกับมองเห็นเงาร่างของพระยาห์เวห์จากเบื้องพระปฤษฎางค์ หลายคนยังมองเห็นทูตสวรรค์อีกด้วย กระนั้นมีกี่คนที่มารู้จักพระเจ้าในที่สุด? น้อยยิ่งกว่าน้อย! อันที่จริงไม่มีผู้ใดที่รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงเลย มีเพียงผู้คนในยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถมีความรู้มากมายเกี่ยวกับพระเจ้า ระหว่างที่พวกเขามีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ขณะที่พระองค์ทรงอยู่ในเนื้อหนัง เพราะพระเจ้าตรัสบอกต่อหน้าผู้คนทั้งหลายว่าพระองค์ทรงพระราชกิจอันใด พระราชกิจของพระองค์มีจุดประสงค์อันใด สิ่งใดคือน้ำพระทัยของพระองค์ สิ่งใดคือท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษยชาติ สภาวะและแก่นแท้อันใดของมนุษยชาติที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เป็นต้น ด้วยพระวจนะที่เปิดเผยเหล่านี้เท่านั้น ผู้คนจึงสามารถมองเห็นว่าที่จริงแล้วพระเจ้าทรงสัมพันธ์กับชีวิตปานนี้และเป็นจริงถึงเพียงนี้ ว่าพระองค์มีน้ำพระทัยเช่นนี้ให้มนุษยชาติจริงๆ ว่าพระองค์มีพระอุปนิสัยดังนี้จริงๆ พระราชกิจของพระองค์ช่างเลอเลิศโดยแท้ พระปัญญาของพระองค์ลุ่มลึกถึงปานนี้โดยแท้ และความกรุณาที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์ก็เป็นจริงถึงเพียงนี้โดยแท้ พระวจนะทั้งปวงที่พระเจ้าตรัสมานี้เป็นคำพยานให้แก่พระราชกิจของพระองค์ ให้แก่ความรักและพระอุปนิสัยของพระองค์ ตลอดจนการกระทำของพระองค์ พวกเรามีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้โดยตรงด้วยการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า พระวจนะที่พระเจ้าตรัสช่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นจริงยิ่งนัก ผู้คนมีประสบการณ์ว่าความรักและการยอมผ่อนปรนที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษยชาตินั้นไร้ที่สิ้นสุดโดยแท้ ในพระราชกิจของพระเจ้าและในพระวจนะที่พระองค์ตรัสมีการดำเนินการตามความปรารถนาของพระองค์ที่จะทรงช่วยผู้คนให้รอด และทั้งหมดนี้ก็เปิดโอกาสให้ผู้คนได้ลิ้มรสความปรารถนาของพระเจ้าผ่านทางประสบการณ์จริงของพวกเขา เพราะฉะนั้น ความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับแก่นแท้ของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์จึงมาจากช่วงเวลาที่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ความรู้จากช่วงเวลาอีกยุคสมัยหนึ่งย่อมไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่นี่ ด้วยเหตุนี้ การรู้จักแก่นแท้ของพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์จึงสามารถสัมฤทธิ์ได้เฉพาะในห้วงเวลาที่พระเจ้าทรงพระราชกิจอยู่ในเนื้อหนังเท่านั้น สิ่งใดก็ตามที่เจ้าเข้าใจซึ่งอยู่นอกห้วงเวลานี้ย่อมไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง หลังจากที่พระเจ้าทรงพระราชกิจในเนื้อหนังของพระองค์เสร็จสมบูรณ์และเสด็จจากไปแล้ว พระราชกิจของพระองค์ย่อมจะไม่เป็นจริงสำหรับเจ้าดังเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ซึ่งเป็นเวลาที่เจ้าพยายามที่จะมีประสบการณ์กับพระราชกิจอยู่ นี่เป็นเพราะเจ้าสามารถมองเห็นและสัมผัสพระราชกิจในเนื้อหนังของพระเจ้าทุกวันนี้ได้ พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจของพระองค์ต่อหน้าผู้คนอย่างต่อเนื่องอีกด้วย และพวกเขาก็ได้ผ่านประสบการณ์ด้วยตนเองว่าพระองค์ตรัสอย่างไรและทรงพระราชกิจอย่างไร ประสบการณ์ของเปโตรในยุคนั้นไม่ได้เป็นจริงเท่าประสบการณ์ของพวกเจ้าในยุคนี้ เปโตรติดตามพระเยซูในสมัยที่พระองค์ทรงพระราชกิจอยู่ในแคว้นยูเดีย และมีประสบการณ์กับสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและน่ารักในองค์พระเจ้า แต่วุฒิภาวะของเขาในตอนนั้นมีน้อย และสิ่งที่เขามีประสบการณ์ด้วยก็ตื้นเขิน เมื่อพระเยซูเสด็จจากไปแล้ว เปโตรก็คิดทบทวนอย่างละเอียดและดื่มด่ำกับพระวจนะของพระองค์ เขาทำให้ความเข้าใจของตนลึกซึ้งขึ้น เขาจึงได้รับมากขึ้น ในระหว่างที่พระเยซูทรงพระราชกิจอยู่นั้น พระองค์ได้ทรงแสดงบางสิ่งบางอย่างที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น รวมทั้งความเมตตาอันเปี่ยมรักของพระองค์ ความกรุณาของพระองค์ ความรอดที่พระองค์ทรงมีให้มนุษยชาติ พระคุณและความยอมผ่อนปรนอันไร้ที่สิ้นสุดที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขา ผู้คนที่ติดตามพระองค์ในเวลานั้นสามารถมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ได้บ้าง และผู้คนที่มาภายหลังก็ไม่เคยสามารถมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างลึกซึ้งเท่าผู้คนในสมัยนั้น นอกจากนี้ เมื่อผู้คนได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และอธิษฐานถึงพระเจ้า คอยทำความเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ สิ่งที่พวกเขามีประสบการณ์ด้วยในสมัยนั้นก็คลุมเครือและเลือนราง บางครั้งก็ยากที่จะทำความเข้าใจให้ชัดเจน และไม่มีผู้ใดแน่ใจได้ว่าความเข้าใจของตนถูกต้องแม่นยำ เพราะฉะนั้น เมื่อเปโตรถูกจับและคุมขังในที่สุด บางคนจึงถึงกับพยายามขบคิดว่าจะพาเขาออกมาอย่างไร ที่จริงแล้ว เจตนารมณ์ของพระเยซูในเวลานั้นคือการให้เปโตรถูกตรึงกางเขนในฐานะคำพยานครั้งสุดท้ายของเขา การเดินทางของเขาได้มาถึงปลายทางแล้ว และพระเจ้าก็ทรงจัดแจงเตรียมการให้เขามอบถวายคำพยานในลักษณะนี้เพื่อให้เขามีบั้นปลายอันดีงาม นี่คือเส้นทางที่เปโตรเลือกเดิน เมื่อเปโตรมาถึงสุดปลายเส้นทางของตน เขายังคงไม่เข้าใจเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระเยซู เขาเข้าใจความหมายของพระเยซูก็ต่อเมื่อพระองค์ตรัสบอกเขาเท่านั้น ดังนั้นแล้ว หากเจ้าต้องการที่จะเข้าใจแก่นแท้ของพระเจ้า การทำเช่นนั้นในยามที่พระเจ้าทรงอยู่ในเนื้อหนังย่อมจะเกิดผลดีอย่างที่สุด เจ้าสามารถมองเห็น สัมผัส ได้ยิน และรู้สึกได้อย่างลึกซึ้ง หากเจ้าพยายามที่จะมีประสบการณ์ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอย่างไรหลังจากที่พระราชกิจในเนื้อหนังของพระเจ้าเสร็จสิ้นไปแล้ว เมื่อเจ้ามองย้อนกลับไปก็ย่อมจะไม่ลุ่มลึกเท่า และความเข้าใจของเจ้าที่จะเกิดขึ้นนั้นย่อมจะตื้นเขิน ถึงเวลานั้นพระองค์ย่อมจะทรงทำได้เพียงถลุงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนเท่านั้น ครั้นได้รับการถลุงแล้ว ผู้คนย่อมสามารถเข้าใจความจริงมากขึ้นอีกนิดและใช้ความจริงที่พวกเขาได้รับมานั้นเป็นรากฐานแห่งชีวิตของตน เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามภายในตัวพวกเขา แต่ไม่ว่าเจ้าจะเสาะแสวงที่จะรักและรู้จักพระเจ้าเพียงใด ที่จริงแล้วเจ้าจะไม่ก้าวหน้ามากนัก ความก้าวหน้าของมนุษย์มีขีดจำกัด และขีดจำกัดนั้นก็ห่างไกลอย่างมากจากประโยชน์ที่จะได้รับจากการมีประสบการณ์กับพระราชกิจในเนื้อหนังของพระเจ้าและการมารู้จักพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงแสดงความจริงไว้เป็นอันมากระหว่างที่พระองค์ทรงอยู่ในเนื้อหนัง แล้วหลายคนก็มองเห็น แต่ไม่เข้าใจ ได้ยิน แต่ไม่รู้ นี่คือผู้คนที่ไม่รู้ความทางฝ่ายวิญญาณและเป็นผู้คนที่ไม่มีหัวใจ ผู้คนไม่มีมโนธรรมหรือสำนึก และพวกเขาก็ไม่สามารถรู้สึกได้ว่าพระเจ้าทรงรักและยอมผ่อนปรนต่อผู้คนมากเพียงใด ผู้คนด้านชาเสียจนพวกเขาได้รับเพียงความเข้าใจบางอย่างเท่านั้น และเริ่มเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องเมื่อพระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้นไปแล้ว
อะไรคือแก่นแท้ของพระคริสต์? สำหรับมนุษย์แล้ว แก่นแท้ของพระคริสต์คือความรัก สำหรับผู้ที่ติดตามพระองค์ แก่นแท้นั้นคือความรักอันไร้ขอบเขต หากพระองค์ไม่ทรงมีความรักหรือความกรุณา เช่นนั้นแล้ว ผู้คนย่อมจะไม่สามารถติดตามพระองค์มาจนถึงบัดนี้ บางคนกล่าวว่า “แต่พระเจ้าก็ทรงชอบธรรมด้วย” จริงอยู่ว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม แต่ในแง่ของพระอุปนิสัยของพระองค์ ความชอบธรรมของพระองค์หลักๆ แล้วแสดงออกผ่านทางความเกลียดชังที่พระองค์ทรงมีต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษยชาติ การทรงสาปแช่งมารซาตาน และการที่พระองค์ไม่ทรงเปิดโอกาสให้ผู้ใดล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์ เมื่อเป็นเช่นนั้น ความชอบธรรมของพระองค์มีความรักอยู่หรือไม่? จะว่าไป การทรงพิพากษาและชำระความเสื่อมทรามของผู้คนให้บริสุทธิ์ก็คือความรักมิใช่หรือ? เพื่อที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอด พระเจ้าได้ทรงสู้ทนการถูกดูหมิ่นเหยียดหยามอันร้ายแรงมากด้วยความอดทนสูงสุด นี่ก็คือความรักมิใช่หรือ? เพราะฉะนั้น เราจะกล่าวกับพวกเจ้าตามตรงว่าในพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำเพื่อมนุษยชาติยามที่ทรงอยู่ในเนื้อหนังนั้น สิ่งที่โดดเด่นและเห็นชัดที่สุดในแก่นแท้ของพระองค์ก็คือความรัก เป็นความยอมผ่อนปรนอันไม่มีที่สิ้นสุด หากนั่นไม่ใช่ความรัก และเป็นดังที่พวกเจ้าจินตนาการ—คือพระเจ้าทรงบดขยี้ผู้คนตามพระทัยทุกเมื่อ หรือทรงลงโทษ สาปแช่ง พิพากษา และตีสอนใครก็ตามที่พระองค์ทรงเกลียดชัง นั่นย่อมจะรุนแรงยิ่ง! หากพระองค์กริ้วผู้ใด พวกเขาก็จะสั่นเทาด้วยความยำเกรงและไม่สามารถยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้… นี่เป็นเพียงหนทางหนึ่งในการแสดงออกซึ่งพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป้าหมายของพระองค์ที่ปลายทางยังคงเป็นความรอด และความรักของพระองค์ก็ไหลเวียนอยู่ในพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงเผยให้เห็น คราวนี้จงหวนคิดดูว่าในขณะที่ทรงพระราชกิจอยู่ในเนื้อหนัง พระเจ้าทรงเผยสิ่งใดให้เห็นมากที่สุด? เป็นความรัก ความอดทนนั่นเอง ความอดทนคืออะไร? ความอดทนคือการมีความกรุณาเพราะมีความรักอยู่ภายใน พระเจ้าทรงกรุณาต่อผู้คนได้ก็เพราะพระองค์ทรงมีความรัก และทั้งหมดก็เป็นไปเพื่อที่จะช่วยผู้คนให้รอด นี่ก็เหมือนกับการที่คู่สมรสซึ่งรักกันอย่างแท้จริง มองข้ามข้อบกพร่องและข้อเสียของกันและกัน เมื่ออีกฝ่ายทำให้เจ้าโกรธ เจ้าก็สามารถทนได้ ทั้งหมดนี้ก่อเกิดบนรากฐานของความรัก หากเป็นความเกลียดชัง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่มีท่าทีเช่นนี้หรือเผยสิ่งเหล่านี้ให้เห็น และย่อมจะไม่มีผลเช่นนี้ หากพระเจ้าทรงมีแต่ความเกลียดชังและความกริ้วหรือเอาแต่ทรงพิพากษาและตีสอนโดยปราศจากความรัก เช่นนั้นแล้วสถานการณ์ย่อมจะไม่เป็นดังที่เจ้าเห็นอยู่ในขณะนี้ และความเป็นไปในชีวิตของพวกเจ้าก็ย่อมจะยุ่งยาก พระเจ้าจะยังคงประทานความจริงแก่พวกเจ้าได้กระนั้นหรือ? ทันทีที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนเสร็จสิ้น ผู้คนที่ไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อยย่อมจะถูกสาปแช่ง ต่อให้พวกเขาไม่ตายในทันที พวกเขาก็ย่อมจะเจ็บป่วย เกิดความบกพร่องทางกาย วิปลาส ตาบอด และถูกส่งไปให้พวกวิญญาณชั่วและปีศาจโสมมเหยียบย่ำ พวกเขาจะไม่เป็นอย่างที่พวกเขาเป็นอยู่ในขณะนี้ ด้วยเหตุนี้พวกเจ้าจึงได้ชื่นชมความรักของพระเจ้า ความยอมผ่อนปรน ความกรุณา และความเมตตาอันเปี่ยมรักของพระองค์เป็นอันมาก แต่ผู้คนก็ไม่คิดอะไรกับการนี้ โดยเชื่อว่า “พระเจ้าควรที่จะทรงเป็นเช่นนี้กับผู้คนอยู่แล้ว พระเจ้าทรงมีความชอบธรรมและพระพิโรธเช่นกัน แล้วพวกเราก็ไม่ได้มีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้น้อยลงแต่อย่างใด!” เจ้าเคยมีประสบการณ์กับความชอบธรรมและพระพิโรธของพระเจ้าจริงหรือ? หากเจ้าเคยมี เจ้าก็คงจะสิ้นชีวิตไปแล้ว มนุษยชาติจะอยู่เสียที่ใดในวันนี้? ความเกลียดชัง พระพิโรธ และความชอบธรรมของพระเจ้าล้วนแสดงออกมาจากรากฐานของการมีพระประสงค์ที่จะนำความรอดมาให้ผู้คนเหล่านี้ พระอุปนิสัยเช่นนี้รวมเอาความรัก ความกรุณาของพระเจ้า และความอดทนอันยิ่งใหญ่ของพระองค์เอาไว้ด้วย ความเกลียดชังนี้บรรจุความรู้สึกของการไม่มีทางเลือกอื่นเอาไว้ และรวมเอาความกังวลสนพระทัยและความหวังอันไร้ขอบเขตที่ทรงมีต่อมนุษยชาติเอาไว้ด้วย! ความเกลียดชังของพระเจ้ามุ่งไปที่ความเสื่อมทรามของมนุษยชาติ ความเป็นกบฏและบาปของผู้คน เป็นความเกลียดชังด้านเดียวที่เกิดขึ้นบนรากฐานของความรัก เพราะมีความรักจึงมีแต่ความเกลียดชัง ความเกลียดชังที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษยชาตินั้นแตกต่างจากความเกลียดชังที่พระองค์ทรงมีต่อซาตาน เพราะพระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอด แต่ไม่ทรงช่วยซาตาน พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอยู่ตรงนั้นตลอดมา พระพิโรธ ความชอบธรรม และการพิพากษาก็อยู่ตรงนั้นตลอดมา พระพิโรธ ความชอบธรรม และการพิพากษาไม่มีอยู่ตรงนั้นก็เฉพาะเมื่อพระองค์ทรงบัญชาให้พุ่งตรงไปยังมนุษยชาติ นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้าก่อนที่มนุษย์จะมองเห็นเสียอีก และเฉพาะเมื่อพวกเขาได้เรียนรู้ถึงความชอบธรรมของพระเจ้าแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงได้รู้ว่าความชอบธรรมของพระองค์เป็นเช่นนี้ ที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงชอบธรรม เปี่ยมบารมี หรือพิโรธ หรือเวลาที่พระองค์ทรงพระราชกิจสารพัดอย่างเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด นั่นก็เป็นเพราะความรักทั้งสิ้น บางคนกล่าวว่า “แล้วนั่นมีความรักอยู่เท่าใด?” นี่ไม่ใช่เรื่องของการมีเท่าใด อันที่จริงนี่มีความรักอยู่เต็มร้อย หากว่ามีน้อยกว่านี้ ก็จะไม่มีการช่วยมนุษยชาติให้รอด พระเจ้าทรงอุทิศความรักทั้งปวงของพระองค์ให้แก่มนุษยชาติ เหตุใดพระเจ้าจึงทรงบังเกิดเป็นมนุษย์? เคยกล่าวไปแล้วว่าพระเจ้าทรงทุ่มเทความพยายามทั้งหมดเพื่อที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอด และการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระองค์ก็บรรจุความรักทั้งปวงของพระองค์เอาไว้ นี่มีแต่จะแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่าความไม่เชื่อฟังที่มนุษยชาติมีต่อพระเจ้านั้นสุดโต่ง เนื่องจากสิ่งต่างๆ พ้นวิสัยที่จะกอบกู้ไปแล้ว พระเจ้าจึงไม่ทรงมีทางเลือกนอกจากบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่ออุทิศพระองค์เองให้แก่มนุษยชาติ พระเจ้าทรงอุทิศความรักทั้งหมดของพระองค์ให้แล้ว หากพระองค์ไม่ทรงรักมนุษยชาติ พระองค์ก็คงจะไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าอาจจะทรงใช้สายฟ้าฟาดลงมาจากฟ้าสวรรค์ ปลดปล่อยพระบารมีและพระพิโรธของพระองค์ใส่โดยตรง แล้วมนุษย์ก็จะล้มลงกับพื้น คงจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้พระเจ้าทรงก้าวผ่านความยุ่งยาก ยอมลำบากเช่นนี้ หรือทุกข์ทนกับการถูกเหยียดหยามเยี่ยงนี้อยู่ในเนื้อหนัง นี่คือตัวอย่างอันชัดแจ้ง พระองค์กลับทรงยอมทุกข์ทนกับความเจ็บปวด การถูกเหยียดหยาม ถูกทอดทิ้ง และถูกข่มเหง เพื่อที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอด แม้กระทั่งในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรเช่นนี้ พระองค์ก็ยังเสด็จมาเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด นี่คือความรักอันยิ่งใหญ่ที่สุดมิใช่หรือ? หากพระเจ้าทรงมีแค่ความชอบธรรมเท่านั้น หากพระองค์ทรงมีแต่ความเกลียดชังอันไร้ขอบเขตให้แก่มนุษยชาติ เช่นนั้นแล้วพระองค์คงจะไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ พระองค์จะทรงรอคอยจนกระทั่งมนุษยชาติเสื่อมทรามจนถึงขีดสุดก็ได้ แล้วจากนั้นก็ทรงทำลายล้างพวกเขาให้สิ้นและทำให้ทุกอย่างจบสิ้นก็ได้ เนื่องจากพระเจ้าทรงรักมนุษยชาติและเพราะพระองค์ทรงมีความรักให้มนุษยชาติอย่างที่สุด พระองค์จึงได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยมนุษย์ที่เสื่อมทรามอย่างสุดขั้วขนาดนี้ให้รอด หลังจากที่ก้าวผ่านการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ได้เรียนรู้ธรรมชาติของตนเองแล้ว หลายคนก็กล่าวว่า “ฉันจบสิ้นแล้ว ฉันจะไม่สามารถมีวันได้รับการช่วยให้รอด” เฉพาะเมื่อเจ้าเชื่อว่าตนเองจะไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดเท่านั้น เจ้าจึงจะตระหนักรู้ว่าพระเจ้าทรงมีความอดทนและความรักให้ผู้คนอย่างที่สุด! หากไร้ซึ่งความรักของพระเจ้า ผู้คนจะสามารถทำอันใดได้? พระเจ้ายังคงตรัสแก่พวกเจ้าแม้ว่าธรรมชาติของมนุษย์จะเสื่อมทรามถึงเพียงนี้แล้วก็ตาม เมื่อใดก็ตามที่พวกเจ้าตั้งคำถาม พระองค์ก็ทรงรีบตอบ ทรงเกรงว่าผู้คนอาจจะไม่เข้าใจ หรืออาจจะหลงผิด หรือใช้วิธีอันสุดโต่ง ด้วยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ พวกเจ้าเข้าใจหรือยังว่าความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษยชาติยิ่งใหญ่ปานใด?
ทุกวันนี้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า “เหตุใดพระเจ้าในเนื้อหนังจึงยังคงประทับอยู่บนแผ่นดินโลกในเมื่อตอนนี้พระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้นแล้ว? เป็นไปได้หรือไม่ว่ายังคงมีพระราชกิจอีกระยะหนึ่ง? เหตุใดจึงไม่ทรงเร่งทำพระราชกิจระยะถัดไป?” แน่นอนว่าย่อมมีความหมายอยู่ในเรื่องนี้ หลังจากที่พระเจ้าในเนื้อหนังได้ตรัสพระวจนะมามากมาย มีการสัมฤทธิ์ผลอันใดในตัวผู้คนบ้าง? ผู้คนเอาแต่ฟังและจดจำโดยไม่ทำความเข้าใจสักเท่าใดนัก จึงไม่มีความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในตัวพวกเขา ในสภาวะที่พวกเจ้าเป็นอยู่ในขณะนี้ ความจริงส่วนมากยังคงถูกบดบัง และการเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงก็เป็นไปไม่ได้เลย เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และตรัสพระวจนะมากมายเพียงนี้ พวกเจ้าคิดว่าจุดประสงค์ของพระองค์คือสิ่งใด? อะไรคือผลลัพธ์ขั้นสุดท้าย? หากพระองค์จะทรงเริ่มพระราชกิจระยะต่อไปในเวลานี้และปล่อยให้ผู้คนเหล่านี้ตัดสินใจเอาเอง ก็ย่อมจะเป็นการทิ้งพระราชกิจไปกลางคัน พระราชกิจในเนื้อหนังของพระเจ้าต้องทำทั้งสิ้นสองระยะเพื่อที่จะช่วยผู้คนทั้งหมดให้รอด นี่ก็เหมือนเมื่อครั้งที่พระเยซูเสด็จมาในยุคพระคุณนั่นเอง ใช้เวลาอยู่สามสิบสามปีครึ่งนับแต่การประสูติของพระองค์ไปจนถึงตอนที่พระองค์ทรงถูกตอกตรึงกับกางเขนและเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ตามอายุขัยโดยปกติของมนุษย์ นี่ไม่ใช่ระยะเวลาที่ยาวนาน แต่สำหรับการประทับอยู่บนแผ่นดินโลกของพระเจ้าแล้ว นี่ก็ไม่ใช่ระยะเวลาอันสั้น! สามสิบสามปีครึ่งนั้นทุกข์ทรมานทีเดียว! พระเจ้าในเนื้อหนังทรงมีแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้า พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพอยู่กับมนุษยชาติที่เสื่อมทรามนานสามสิบสามปีครึ่ง และนั่นคือสิ่งที่เจ็บปวด ไม่ว่าผู้คนจะปฏิบัติต่อพระองค์เป็นอย่างดีหรือไม่ หรือพระองค์ทรงมีสถานที่ให้วางพระเศียรหรือไม่ เมื่อตัดทั้งหมดนี้ออกไป ต่อให้ร่างของพระองค์ไม่ได้สู้ทนความทุกข์ทางกายมากนัก การดำรงพระชนม์อยู่กับมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่เจ็บปวดสำหรับพระเจ้าแล้ว เพราะทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ประเภทเดียวกัน! ตัวอย่างเช่น หากผู้คนใช้ชีวิตอยู่กับฝูงสุกรทั้งวัน ผ่านไปสักพักก็ย่อมจะชวนให้หงุดหงิดอย่างยิ่งเพราะเป็นคนละประเภทกัน มนุษย์จะใช้ภาษาอะไรมาพูดจาภาษาเดียวกันกับสุกรได้? ทั้งสองฝ่ายจะใช้ชีวิตด้วยกันได้อย่างไรโดยไม่เกิดความทุกข์? แม้กระทั่งสามีกับภรรยา หากไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็ย่อมพบว่าการใช้ชีวิตร่วมกันนั้นน่าชิงชัง เวลาสามสิบสามปีครึ่งของพระเจ้าในเนื้อหนังบนแผ่นดินโลกคือสิ่งที่เจ็บปวดอย่างยิ่งในตัวเอง และไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจพระองค์ได้ ผู้คนคิดด้วยซ้ำว่า “พระเจ้าในเนื้อหนังทรงทำและตรัสสิ่งใดก็ได้ตามแต่จะมีพระประสงค์ ทรงมีผู้คนมากมายคอยติดตามพระองค์ พระองค์มีความทุกข์อันใดกัน? พระองค์เพียงไม่ทรงมีสถานที่ให้พักพระเศียรเท่านั้น และเนื้อหนังของพระองค์ก็สู้ทนความเจ็บปวดและความทุกข์เล็กน้อย นั่นไม่ได้ฟังดูเจ็บปวดเท่าไรเลย!” จริงอยู่ว่าความเจ็บปวดเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถแบกรับและสู้ทนได้ และพระเจ้าในเนื้อหนังก็ทรงทำได้เช่นกัน พระองค์ทรงสู้ทนความเจ็บปวดได้ และสำหรับพระองค์แล้ว นั่นไม่ใช่ความทุกข์อันใหญ่หลวง ความทุกข์ส่วนใหญ่ที่พระองค์ทรงสู้ทนคือการดำรงพระชนม์อยู่กับมนุษยชาติที่เสื่อมทรามถึงขีดสุด การสู้ทนคำเยาะหยัน คำถากถาง การตัดสิน และการกล่าวโทษจากผู้คนทุกประเภท ตลอดจนถูกพวกปีศาจไล่ล่า ถูกโลกศาสนาปฏิเสธและเป็นปฏิปักษ์ด้วย ย่อมสร้างบาดแผลในดวงจิตที่ไม่มีผู้ใดสามารถชดเชยให้ได้ นี่คือสิ่งที่เจ็บปวด พระองค์ทรงช่วยมนุษยชาติที่เสื่อมทรามให้รอดด้วยความอดทนอย่างยิ่ง พระองค์ทรงรักผู้คนแม้จะทรงมีบาดแผล และนี่คือพระราชกิจที่เจ็บปวดอย่างลึกล้ำ การต้านทานอย่างรุนแรงของมนุษยชาติ การกล่าวโทษและใส่ร้าย การกล่าวหาเท็จ การข่มเหง การไล่ล่าและการสังหารของพวกเขาทำให้เนื้อหนังของพระเจ้าทำงานนี้โดยที่ตัวบุคคลเองมีความเสี่ยงอย่างมาก ผู้ใดจะสามารถเข้าใจพระองค์ได้ในยามที่พระองค์ทรงทุกข์ทนกับความเจ็บปวดเหล่านี้ ผู้ใดจะสามารถปลอบโยนพระองค์ได้? มนุษย์มีแต่ความกระตือรือร้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พวกเขาอาจจะยังคงพร่ำบ่นพระองค์หรือปฏิบัติต่อพระองค์อย่างนิ่งเฉยและดูดาย แล้วพระองค์จะไม่ทรงทุกข์ทนเพราะเรื่องนี้ได้อย่างไร? พระองค์ทรงรู้สึกเจ็บปวดมากถึงเพียงนั้นในพระทัย ความสุขสบายไม่กี่อย่างทางวัตถุจะชดเชยภยันตรายที่มนุษยชาติก่อให้แก่พระเจ้าได้หรือ? เจ้าคิดหรือว่าการกินดีและแต่งกายดีคือความสุข? ทัศนะเช่นนี้น่าขันนัก! องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นอิสระก็ต่อเมื่อทรงพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกและมีพระชนม์ชีพนานสามสิบสามปีครึ่งแล้ว ถูกตรึงกางเขนและทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้ว จากนั้นก็ปรากฏองค์ท่ามกลางมนุษย์เป็นเวลาสี่สิบวัน สิ้นสุดระยะเวลาหลายปีที่เจ็บปวดจากการมีพระชนม์ชีพท่ามกลางมนุษยชาติ แต่พระทัยของพระเจ้ายังคงเจ็บปวดเช่นเดิมด้วยความที่ทรงห่วงใยบั้นปลายของผู้คน ผู้ใดก็ไม่อาจเข้าใจหรือสู้ทนความเจ็บปวดนี้ได้ องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตอกตรึงกับกางเขนเพื่อแบกรับบาปของผู้คนทั้งปวง มนุษยชาติจะได้มีรากฐานของความรอด พระองค์ทรงไถ่มนุษยชาติจากเงื้อมมือของซาตานด้วยการทรงถูกตรึงกางเขน และพระองค์ก็ทรงสิ้นสุดพระชนม์ชีพอันเจ็บปวดในโลกนี้หลังจากที่ได้ทรงพระราชกิจแห่งการไถ่จนเสร็จสมบูรณ์ทั้งหมดแล้ว ทันทีที่พระราชกิจทั้งปวงของพระองค์เสร็จสมบูรณ์ พระองค์ก็ไม่ได้ทรงรอช้าแม้แต่วันเดียว พระองค์ปรากฏองค์ต่อผู้คนก็เพียงเพื่อให้ทุกคนรู้ว่าพระเจ้าได้สำเร็จลุล่วงพระราชกิจแห่งการไถ่มนุษยชาติแล้วและแผนการในเนื้อหนังของพระองค์ก็เสร็จสมบูรณ์แล้วอย่างแท้จริง พระองค์คงจะไม่เสด็จจากไปหากพระราชกิจส่วนใดยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ในยุคพระคุณ พระเยซูมักจะตรัสว่า “ยังไม่ถึงเวลาของเรา” คำตรัสที่ว่ายังไม่ถึงเวลาของพระองค์ หมายความว่ายังไม่ครบกำหนดเวลาแห่งพระราชกิจของพระองค์ กล่าวคือพระราชกิจในเนื้อหนังของพระเจ้าไม่ใช่เพียงการทรงพระดำเนินไปตามที่ต่างๆ มีพระดำรัส ตรวจสอบชีวิตคริสตจักร และตรัสสิ่งทั้งปวงที่จำเป็นต้องตรัส ดังที่ผู้คนจินตนาการ หลังจากที่พระเจ้าในเนื้อหนังเสร็จสิ้นพระราชกิจของพระองค์และตรัสเรื่องทั้งปวงนี้แล้ว พระองค์ยังต้องทรงรอผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายและคอยว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสไปนั้นจะสัมฤทธิ์ผลเช่นไร ดูว่าความรอดของมนุษยชาติจะมีลักษณะเป็นอย่างไร นี่ก็เป็นธรรมดามิใช่หรือ? หลังจากที่ทรงยอมจ่ายราคาอันหนักหนาสาหัสทั้งหมดแล้ว พระองค์จะทิ้งพระราชกิจนี้ไปเฉยๆ กระนั้นหรือ? พระองค์ต้องทรงยืนหยัดต่อไปจนถึงปลายทาง และต่อเมื่อเกิดผลแล้วเท่านั้น พระองค์จึงจะดำเนินพระราชกิจขั้นต่อไปด้วยความสบายพระทัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชกิจของพระเจ้าและแผนการบริหารจัดการของพระองค์เป็นสิ่งที่มีเพียงพระองค์เองเท่านั้นที่สามารถทำได้ ในท้ายที่สุดแล้วมนุษยชาติและผู้ที่ติดตามพระองค์จะเป็นเช่นไร ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดจะเป็นเช่นไร มีกี่คนที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ มีกี่คนที่รักพระองค์อย่างแท้จริง มีกี่คนที่รู้จักพระองค์อย่างแท้จริง มีกี่คนที่อุทิศตนให้แก่พระองค์ และมีกี่คนที่นมัสการพระองค์อย่างแท้จริง... คำถามทั้งหมดนี้ต้องมีผลลัพธ์ และไม่ได้เป็นไปตามที่ผู้คนจินตนาการว่า “ทันทีที่พระราชกิจบนแผ่นดินโลกของพระเจ้าเสร็จสมบูรณ์ พระองค์ก็ควรที่จะทรงสุขสำราญ พระองค์ทรงทำเรื่องสนุกได้แล้ว!” จงรู้ไว้ดังนี้ว่านี่ไม่สนุกเลย มันทุกข์ทรมาน! บางคนไม่เข้าใจและคิดว่า “หากพระเจ้าทรงพระราชกิจในเนื้อหนังของพระองค์เสร็จแล้วและไม่ตรัสอีกต่อไป นั่นก็หมายความว่าพระวิญญาณของพระองค์เสด็จจากไปแล้วกระนั้นหรือ?” คิดดังนั้นแล้วพวกเขาก็เริ่มสงสัยพระเจ้า มีบางคนที่กล่าวด้วยว่า “หลังจากที่พระเจ้าทรงพระราชกิจในเนื้อหนังของพระองค์สำเร็จสมบูรณ์และตรัสเสร็จสิ้นแล้ว แน่นอนที่สุดว่าพระองค์ต้องทรงรอคอยกระนั้นหรือ?” พระองค์ต้องทรงรอ พระราชกิจในเนื้อหนังของพระเจ้ามีขอบเขตบางอย่างอยู่ ไม่ได้เป็นดังที่ผู้คนจินตนาการว่าพอพระราชกิจเสร็จสิ้นก็สิ้นสุด และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงทำต่อได้เลย พระราชกิจในเนื้อหนังไม่ได้เป็นเช่นนั้น มีบางสิ่งที่พึงต้องให้เนื้อหนังคอยนำและจัดการด้วยตนเอง ไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามาทำสิ่งเหล่านี้ต่อได้ และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่พระราชกิจในเนื้อหนังของพระเจ้ามีนัยสำคัญ เจ้าเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่? ในอดีตที่ผ่านมาเราเคยกล่าวแก่บางคนด้วยความโมโหว่า “การทำตัวให้เข้ากับพวกเจ้านี้เป็นทุกข์” ซึ่งบางคนก็จะตอบว่า “หากพระองค์ไม่มีพระประสงค์ที่จะอยู่กับพวกเรา เหตุใดพระองค์จึงทรงรั้งรออยู่ที่นี่?” นี่คือความรักที่พระเจ้าทรงมีให้มนุษยชาติ! หากไม่มีความรัก พระเจ้าจะทรงสู้ทนมาได้จนถึงบัดนี้หรือ? บางครั้งพระองค์ก็กริ้วและตรัสอย่างเกรี้ยวกราด แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทำพระราชกิจของพระองค์น้อยลงแต่อย่างใด พระองค์ไม่ทรงพลาดขั้นตอนใดไปสักขั้นตอนเดียว พระองค์จะไม่ทรงละเว้นการทรงพระราชกิจที่ควรทำและการตรัสพระวจนะที่ควรตรัส พระองค์ทรงกระทำและตรัสทุกสิ่งที่ต้องทำและต้องตรัส บางคนกล่าวว่า “เหตุใดตอนนี้พระเจ้าจึงตรัสน้อยกว่าที่พระองค์เคยตรัสในกาลที่ผ่านมา?” เพราะขั้นตอนเหล่านั้นในพระราชกิจได้เสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว และขั้นตอนสุดท้ายก็คือการรอคอย เราเพียงกำลังทำงานชี้แนะเท่านั้น และตัวเราเองก็ต้องยุ่งยากทำทุกสิ่งที่เราทำได้ เหตุใดในระยะสุดท้ายนี้เราจึงมีสุขภาพไม่ดีมาตลอด? เจ้าก็รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่มีความหมายเช่นกัน นี่เป็นเพราะเราปรารถนาที่จะแบกรับโรคภัยไข้เจ็บและความเจ็บปวดบางส่วนของมนุษยชาติเอาไว้ พระเจ้าในเนื้อหนังอาจจะทรงผ่านประสบการณ์กับโรคภัยและความเจ็บปวดบางอย่าง แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเป็นระยะ งานที่ไม่จำเป็นต้องทำย่อมถูกความเจ็บป่วยของเนื้อหนังจำกัดไว้และไม่อาจทำได้ จากนั้นเมื่อถึงเวลา เนื้อหนังก็ต้องทนทุกข์บ้าง หากไม่มีข้อจำกัดมาก พระองค์ย่อมจะทรงต้องการที่จะตรัสกับมนุษยชาติให้มากขึ้นและประทานความช่วยเหลือแก่พวกเขาให้มากขึ้นอยู่เสมอ เพราะพระองค์กำลังทรงพระราชกิจแห่งความรอด สิ่งที่พระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังได้เผยให้เห็นตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงเวลาเสร็จสิ้นล้วนเป็นความรักของพระเจ้า แก่นแท้แห่งพระราชกิจของพระองค์คือความรัก และพระองค์ก็ทรงอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างและทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีเพื่อมนุษยชาติ
ฤดูหนาว ค.ศ. 1999