งานและการเข้าสู่ (6)
งานและการเข้าสู่นั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงโดยธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้หมายถึงพระราชกิจของพระเจ้าและการเข้าสู่ของมนุษย์ การไร้ความสามารถโดยสิ้นเชิงของมนุษย์ที่จะแทรกซึมเข้าไปในพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และพระราชกิจของพระเจ้าได้นำพาความลำบากยากเย็นอย่างถึงที่สุดมาสู่การเข้าสู่ของเขา จนถึงวันนี้ ผู้คนมากมายยังคงไม่รู้ว่าพระราชกิจใดที่พระเจ้าจะทรงทำให้สำเร็จลุล่วงในยุคสุดท้าย หรือเหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงสู้ทนการเหยียดหยามสุดขีดเพื่อที่จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อยืนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมนุษย์ จากเป้าหมายในพระราชกิจของพระเจ้าจนถึงจุดประสงค์ในแผนการของพระเจ้าสำหรับยุคสุดท้ายนั้น มนุษย์อยู่ในความมืดไม่รู้อะไรเลยโดยสมบูรณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ด้วยเหตุผลสารพัดแล้ว ผู้คนมักครึ่งๆ กลางๆ และกำกวม[1]อยู่เสมอเกี่ยวกับการเข้าสู่ที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากพวกเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้นำพาความลำบากยากเย็นอย่างที่สุดมาสู่พระราชกิจในเนื้อหนังของพระเจ้า มันคงจะปรากฏให้เห็นว่าผู้คนล้วนได้กลายเป็นอุปสรรคกีดขวาง และจนถึงวันนี้พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจชัดเจน ด้วยเหตุผลนี้เอง เราคิดว่าพวกเราควรพูดคุยกันเกี่ยวกับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำกับมนุษย์ และเจตนารมณ์เร่งด่วนของพระเจ้า เพื่อทำให้พวกเจ้าทุกคนเป็นผู้รับใช้ที่จงรักภักดีของพระเจ้า ผู้ซึ่งจะเลือกตายมากกว่าที่จะละทิ้งพระเจ้า โดยสู้ทนทุกการเหยียดหยามเหมือนกับโยบ และผู้ซึ่งจะมอบถวายการเป็นอยู่ทั้งหมดของเจ้าแด่พระเจ้าและกลายเป็นคนสนิทที่พระเจ้าได้รับในยุคสุดท้ายเหมือนกับเปโตร พี่น้องชายหญิงทุกคนจะได้สามารถมอบทั้งหมดของพวกเขาและมอบถวายการเป็นอยู่ทั้งหมดของพวกเขาแด่น้ำพระทัยจากสวรรค์ของพระเจ้า กลายเป็นผู้รับใช้ที่บริสุทธิ์ในพระนิเวศของพระเจ้า และชื่นชมสัญญาแห่งความไม่มีที่สิ้นสุดที่พระเจ้าได้ประทานให้ เพื่อที่พระหทัยของพระเจ้าพระบิดาจะได้ชื่นชมกับการหยุดพักอันสงบสุขในไม่ช้า คำว่า “ทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดาสำเร็จลุล่วง” นั้น ควรจะเป็นคติประจำใจของทุกคนที่รักพระเจ้า คำพูดเหล่านี้ควรจะทำหน้าที่เป็นสิ่งนำทางของมนุษย์เพื่อการเข้าสู่ และเป็นเข็มทิศนำทางการกระทำของเขา นี่คือความแน่วแน่ที่มนุษย์ควรจะมี การนำพาพระราชกิจบนแผ่นดินโลกของพระเจ้าไปสู่ความครบบริบูรณ์โดยถ้วนทั่วและการร่วมมือกับพระราชกิจในเนื้อหนังของพระเจ้า—นี่คือหน้าที่ของมนุษย์ จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าได้เสร็จสิ้นแล้ว มนุษย์จะกล่าวอำลาพระองค์อย่างชื่นบานยินดีขณะที่พระองค์ทรงหวนคืนสู่พระบิดาในสวรรค์ก่อนกำหนด นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบที่มนุษย์ควรจะทำให้ลุล่วงหรอกหรือ?
ในยุคพระคุณนั้น เมื่อพระเจ้ากลับสู่สวรรค์ชั้นที่สาม พระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงของพระเจ้าได้เคลื่อนเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของมันแล้วอย่างแท้จริง ทั้งหมดที่ยังคงเหลือบนแผ่นดินโลกก็คือกางเขนที่พระเยซูทรงแบกไว้บนพระปฤษฎางค์ของพระองค์ ผ้าลินินเนื้อดีที่เคยห่อพระเยซูไว้ และมงกุฎหนามและเสื้อคลุมสีเลือดหมูที่พระเยซูทรงสวม (เหล่านี้คือสิ่งที่คนยิวใช้เพื่อเยาะเย้ยพระองค์) กล่าวคือ หลังจากที่พระราชกิจแห่งการตรึงกางเขนพระเยซูได้ก่อให้เกิดการสำนึกรับรู้ที่ยิ่งใหญ่แล้วนั้น สิ่งทั้งหลายก็คลี่คลายลงอีกครั้ง จากนั้นเป็นต้นมา เหล่าสาวกของพระเยซูก็ได้เริ่มดำเนินพระราชกิจของพระองค์ ทำการเป็นผู้เลี้ยงและให้น้ำในคริสตจักรทุกแห่ง เนื้อหาของงานของพวกเขามีดังต่อไปนี้ กล่าวคือ พวกเขาได้ขอให้ผู้คนทั้งปวงกลับใจ สารภาพบาปของพวกเขา และรับบัพติศมา และอัครทูตทั้งหมดได้ออกไปเผยแผ่เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลัง เหตุการณ์ที่ไม่เลือนหายไป เกี่ยวกับการตรึงกางเขนพระเยซู และดังนั้น ทุกคนต่างก็สุดที่จะห้ามใจได้จนต้องทรุดลงหมอบกราบเฉพาะพระพักตร์ของพระเยซูเพื่อสารภาพบาปของพวกเขา และยิ่งไปกว่านั้น เหล่าอัครทูตได้ไปทุกหนแห่งเพื่อถ่ายทอดพระวจนะที่พระเยซูได้ตรัสไว้ จากจุดนั้นก็ได้เริ่มมีการสร้างคริสตจักรขึ้นในยุคพระคุณ สิ่งที่พระเยซูได้ทรงทำไว้ในระหว่างยุคนั้นยังเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์และน้ำพระทัยของพระบิดาบนสวรรค์ด้วยเช่นกัน มีเพียงคำคมและการปฏิบัติมากมายเหล่านั้นเท่านั้นที่แตกต่างไปอย่างมากจากคำคมและการปฏิบัติของวันนี้ ทั้งนี้ก็เนื่องจากเป็นคนละยุคกัน อย่างไรก็ตาม ในแก่นแท้แล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนกัน กล่าวคือ คำคมและการปฏิบัติทั้งหลายของทั้งสองยุคนั้นก็คือพระราชกิจของพระวิญญาณของพระเจ้าในเนื้อหนัง และเป็นเช่นนั้นอย่างชัดเจนและแน่นอน พระราชกิจและถ้อยดำรัสประเภทนี้ได้ดำเนินต่อเนื่องมาตลอดทางจนถึงวันนี้ และดังนั้น สิ่งจำพวกนี้ยังคงมีอยู่ร่วมกันท่ามกลางสถาบันทางศาสนาทั้งหลายในปัจจุบัน และไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยโดยสิ้นเชิง เมื่อพระราชกิจของพระเยซูได้รับการสรุปปิดตัว และคริสตจักรทั้งหลายได้มาอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้องของพระเยซูคริสต์แล้ว ถึงกระนั้น พระเจ้าก็ได้ทรงริเริ่มแผนการของพระองค์สำหรับพระราชกิจของพระองค์ในอีกช่วงระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่พระองค์เสด็จมาเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้าย ตามที่มนุษย์มองเห็นนั้น การตรึงกางเขนของพระเจ้าได้สรุปปิดตัวพระราชกิจแห่งการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าไปแล้ว ได้ไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงไปแล้ว และเปิดโอกาสให้พระองค์ได้ยึดกุญแจสู่แดนคนตายไว้แล้ว ทุกคนคิดว่าพระราชกิจของพระเจ้าได้สำเร็จลุล่วงอย่างครบถ้วนแล้ว ในความเป็นจริง จากมุมมองของพระเจ้าแล้วนั้น มีเพียงส่วนเล็กน้อยในพระราชกิจของพระองค์เท่านั้นที่ได้สำเร็จลุล่วงไป ทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงทำไปคือการไถ่มวลมนุษย์ โดยที่พระองค์ยังไม่ได้ทรงพิชิตมวลมนุษย์ นับประสาอะไรที่จะได้เปลี่ยนโฉมหน้าเยี่ยงซาตานของมนุษย์ นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าตรัสว่า “แม้เนื้อหนังซึ่งปรากฏในรูปมนุษย์ของเราเคยก้าวผ่านความเจ็บปวดของความตายมาแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่เป้าหมายทั้งหมดของการปรากฏในรูปมนุษย์ของเรา พระเยซูคือบุตรผู้เป็นที่รักของเราและได้ถูกตอกตรึงกับกางเขนเพื่อเรา แต่พระองค์ไม่ได้สรุปปิดตัวงานของเราอย่างหมดสิ้น พระองค์เพียงแต่ได้ทำส่วนหนึ่งของงานนั้นเท่านั้น” ด้วยเหตุนี้เอง พระเจ้าจึงได้ทรงริเริ่มแผนการรอบที่สองเพื่อสานต่อพระราชกิจแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เจตนารมณ์สูงสุดของพระเจ้าก็คือ เพื่อทำให้ผู้คนเพียบพร้อมและเพื่อได้รับผู้คนทั้งหมดที่ถูกช่วยกู้มาจากเงื้อมมือของซาตาน ซึ่งเป็นเหตุผลที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมอีกครั้งหนึ่งเพื่อกล้าเผชิญอันตรายแห่งการเข้ามาสู่เนื้อหนัง สิ่งที่เป็นความหมายของ “การทรงปรากฏในรูปมนุษย์” นั้นอ้างอิงถึง องค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งไม่ทรงนำพาพระสิริมา (เพราะพระราชกิจของพระเจ้ายังไม่เสร็จสิ้น) แต่เป็นผู้ทรงปรากฏในอัตลักษณ์ของพระบุตรผู้เป็นที่รัก และเป็นพระคริสต์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงยินดีในพระองค์ยิ่งนัก นั่นคือเหตุผลที่การนี้ถูกกล่าวถึงว่าเป็น “การกล้าเผชิญอันตราย” เนื้อหนังซึ่งปรากฏในรูปมนุษย์นี้มีพลังอำนาจอันน้อยนิด และต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง[2]และฤทธานุภาพของพระองค์อยู่ห่างกันคนละขั้วจากสิทธิอำนาจของพระบิดาในสวรรค์ พระองค์เพียงแต่ทรงทำให้พันธกิจแห่งเนื้อหนังลุล่วงเท่านั้น โดยทำให้พระราชกิจของพระบิดาและพระบัญชาของพระองค์ครบบริบูรณ์โดยไม่กลายมาเป็นเกี่ยวข้องในพระราชกิจอื่น และพระองค์เพียงแต่ทรงทำให้ส่วนหนึ่งของพระราชกิจครบบริบูรณ์เท่านั้น นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าทรงมีพระนามว่า “พระคริสต์” ทันทีที่พระองค์เสด็จมายังแผ่นดินโลก—นั่นคือความหมายที่ฝังอยู่ในพระนามนี้ เหตุผลที่มีการกล่าวว่า การเสด็จมานั้นจะมาถึงพร้อมกับการทดลอง ก็เป็นเพราะว่ามีเพียงพระราชกิจชิ้นเดียวเท่านั้นที่ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลที่พระเจ้าพระบิดาทรงเรียกพระองค์ว่า “พระคริสต์” และ “พระบุตรผู้เป็นที่รัก” เท่านั้น แต่มิได้ทรงมอบพระสิริทั้งหมดให้พระองค์ก็เป็นเพราะว่าเนื้อหนังซึ่งปรากฏในรูปมนุษย์จะมาทำพระราชกิจชิ้นหนึ่งอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพื่อเป็นตัวแทนของพระบิดาในสวรรค์ แต่เพื่อทำพันธกิจของพระบุตรผู้เป็นที่รักให้ลุล่วงต่างหาก เมื่อพระบุตรผู้เป็นที่รักทรงทำพระบัญชาทั้งหมดทั้งมวลที่พระองค์ได้รับไว้บนบ่าของพระองค์จนครบบริบูรณ์ พระบิดาจึงจะทรงมอบพระสิริเต็มเปี่ยมให้พระองค์ พร้อมด้วยพระอัตลักษณ์ของพระบิดา คนเราสามารถกล่าวได้ว่า นี่คือ “รหัสแห่งสวรรค์” เพราะองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งได้เสด็จมาเป็นมนุษย์และพระบิดาในสวรรค์นั้นสถิตในสองอาณาจักรที่แตกต่างกัน ทั้งสองพระองค์เพียงแต่ทรงเพ่งมองกันในพระวิญญาณ พระบิดาเฝ้าทอดพระเนตรมองพระบุตรผู้เป็นที่รัก แต่พระบุตรไม่ทรงสามารถมองเห็นพระบิดาจากที่ไกลได้ เป็นเพราะหน้าที่รับผิดชอบที่เนื้อหนังสามารถทำได้นั้นเล็กจิ๋วเกินไป และพระองค์ทรงสามารถมีโอกาสที่จะถูกฆ่าได้ทุกขณะนั่นเอง คนเราจึงสามารถพูดได้ว่าการมาครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตรายอันใหญ่หลวงที่สุด การนี้เป็นประหนึ่งว่า เป็นอีกครั้งที่พระเจ้าทรงสละพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระองค์เข้าปากเสือ ที่ซึ่งพระชนม์ชีพของพระองค์อยู่ในอันตราย ทรงวางพระองค์ลงในที่ซึ่งซาตานรวมกำลังอยู่หนาแน่นที่สุด แม้แต่ในรูปการณ์แวดล้อมที่ระกำลำบากเหล่านี้ พระเจ้าก็ยังคงทรงส่งมอบพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระองค์ให้แก่ผู้คนแห่งสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความโสโครกและความผิดศีลธรรม เพื่อให้พวกเขา “เลี้ยงดูพระองค์จนถึงวัยผู้ใหญ่” นี่เป็นเพราะว่า การทำเช่นนั้นคือหนทางเดียวที่จะทำให้พระราชกิจของพระเจ้าดูเหมาะเจาะและเป็นธรรมชาติ และนั่นเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ความปรารถนาทั้งหมดของพระเจ้าพระบิดาสำเร็จลุล่วง และทำให้พระราชกิจส่วนสุดท้ายของพระองค์ท่ามกลางมวลมนุษย์ครบบริบูรณ์ พระเยซูมิได้ทรงทำมากไปกว่าทำให้ช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระเจ้าพระบิดาสำเร็จลุล่วงเท่านั้น เนื่องจากสิ่งกีดขวางที่ถูกยัดเยียดให้โดยเนื้อหนังซึ่งทรงปรากฏในรูปมนุษย์และความแตกต่างในพระราชกิจที่จะทำให้ครบบริบูรณ์ พระเยซูพระองค์เองจึงไม่ได้ทรงรู้ว่าจะมีการกลับมายังเนื้อหนังเป็นครั้งที่สอง ดังนั้น ไม่มีผู้อธิบายพระคัมภีร์หรือผู้เผยพระวจนะคนใดกล้าที่จะเผยพระวจนะอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าจะทรงปรากฏในรูปมนุษย์อีกครั้งในยุคสุดท้าย นั่นก็คือว่า พระองค์จะเสด็จมาสู่เนื้อหนังอีกครั้งเพื่อทรงพระราชกิจส่วนที่สองของพระองค์ในเนื้อหนัง ดังนั้น จึงไม่มีผู้ใดได้ตระหนักว่าพระเจ้าได้ทรงซ่อนเร้นพระองค์เองในเนื้อหนังนานมาแล้ว นั่นไม่น่าประหลาดใจอะไรนัก ในเมื่อพระเยซูได้ทรงรับพระบัญชานี้หลังจากที่พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้วเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่มีคำเผยพระวจนะที่ชัดเจนเกี่ยวกับการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้า และเป็นสิ่งที่จิตใจมนุษมิอาจไตร่ตรองหาข้อสรุปได้ต่อจิตใจมนุษย์ ในหนังสือการเผยพระวจนะทั้งหมดในพระคัมภีร์นั้น ไม่มีพระวจนะที่กล่าวถึงการนี้อย่างชัดเจน แต่เมื่อพระเยซูเสด็จมาทรงพระราชกิจ ได้มีการเผยพระวจนะที่ชัดเจนอยู่แล้วซึ่งได้กล่าวว่า หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะอยู่กับเด็ก และจะให้กำเนิดบุตรคนหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าพระองค์ได้ก่อเกิดขึ้นโดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ แม้จะเป็นเช่นนั้น พระเจ้ายังคงได้ตรัสว่าการนี้เกิดขึ้นโดยเสี่ยงกับความตาย ดังนั้นแล้วมันจะเสี่ยงมากกว่าสักเพียงใดที่จะเป็นกรณีในปัจจุบัน? ไม่น่าประหลาดใจเลยที่พระเจ้าตรัสว่า การปรากฏในรูปมนุษย์ครั้งนี้เป็นการเสี่ยงอันตรายอันใหญ่หลวงกว่าอันตรายที่เคยเกิดขึ้นในระหว่างยุคพระคุณหลายพันเท่า พระเจ้าได้เผยพระวจนะไว้ในหลายแห่งว่า พระองค์กำลังจะทรงได้รับบรรดาผู้ชนะในแผ่นดินซีนิม ในเมื่อมันเป็นในทิศตะวันออกของโลกนี่เองที่บรรดาผู้ชนะจะถูกได้รับ ดังนั้น สถานที่ซึ่งพระเจ้าจะทรงเหยียบย่างในการปรากฏในรูปมนุษย์ครั้งที่สองของพระองค์ก็ต้องเป็นแผ่นดินซีนิมโดยไม่มีข้อสงสัย ซึ่งเป็นจุดที่แน่ชัดว่าเป็นที่ซึ่งมังกรใหญ่สีแดงนอนขดตัวอยู่ ที่นั่น พระเจ้าจะทรงได้รับพงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดง เพื่อที่มันจะได้ถูกทำให้ปราชัยอย่างไม่มีชิ้นดีและได้รับความอับอาย พระเจ้ากำลังจะทรงปลุกผู้คนเหล่านี้ให้ตื่น โดยแบกภาระความทุกข์อย่างหนัก เพื่อปลุกเร้าพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะตื่นอย่างเต็มที่ และเพื่อทำให้พวกเขาเดินออกจากม่านหมอกและละทิ้งพญานาคใหญ่สีแดง พวกเขาจะตื่นจากความฝันของพวกเขา จะระลึกได้ถึงธาตุแท้ของพญานาคใหญ่สีแดง จะกลายเป็นสามารถมอบหัวใจทั้งดวงของพวกเขาให้แก่พระเจ้าได้ จะลุกขึ้นจากการกดขี่ของกำลังบังคับมืด จะยืนขึ้นในทิศตะวันออกของโลก และจะกลายเป็นข้อพิสูจน์แห่งชัยชนะของพระเจ้า ในหนทางนี้เท่านั้นที่พระเจ้าจะทรงได้รับพระสิริ ลำพังเหตุผลนี้เท่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงนำพระราชกิจที่เคยมาถึงปลายทางในอิสราเอลมาสู่ดินแดนที่พญานาคใหญ่สีแดงนอนขดตัวอยู่ และหลังจากที่ได้จากไปเกือบสองพันปี ก็ทรงได้มาสู่เนื้อหนังอีกครั้งเพื่อสานต่อพระราชกิจแห่งยุคพระคุณ พระเจ้ากำลังทรงเปิดตัวพระราชกิจใหม่ในเนื้อหนังต่อตาเปล่าของมนุษย์ แต่ในทรรศนะของพระเจ้า พระองค์กำลังทรงสานต่องานแห่งยุคพระคุณ แต่ก็เป็นหลังจากช่วงผลัดเปลี่ยนไม่กี่พันปีแล้วเท่านั้น และด้วยการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งที่ตั้งและโครงการในพระราชกิจของพระองค์เท่านั้น ถึงแม้จะปรากฏว่า ฉายาที่กายแห่งเนื้อหนังได้ใช้ในพระราชกิจของวันนี้แตกต่างไปจากพระเยซูโดยสิ้นเชิง แต่พวกพระองค์ก็ทรงกลายมาจากแก่นแท้และรากเหง้าเดียวกัน และพวกพระองค์ก็ทรงมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน พวกพระองค์อาจจะทรงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่แตกต่างกันที่ภายนอก แต่ข้อเท็จจริงที่เป็นจริงด้านในของพระราชกิจของพวกพระองค์นั้นก็เหมือนกันอย่างครบบริบูรณ์ จะว่าไปแล้ว ยุคเหล่านั้นก็แตกต่างกันดั่งเช่นกลางวันและกลางคืน ดังนั้น พระราชกิจของพระเจ้าจะสามารถทำตามแบบแผนที่ไม่เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร? หรือช่วงระยะที่แตกต่างกันของพระราชกิจของพระองค์จะสามารถขวางทางกันและกันได้อย่างไร?
พระเยซูได้ทรงเข้ารับการทรงปรากฏเป็นคนยิวคนหนึ่ง ได้ทรงเครื่องแต่งกายไปตามแบบของคนยิว และทรงเจริญวัยด้วยการกินอาหารแบบยิว นี่คือแง่มุมแบบมนุษย์ปกติของพระองค์ แต่วันนี้ เนื้อหนังซึ่งทรงปรากฏในรูปมนุษย์เข้าใช้รูปร่างของพลเมืองชาวเอเชียคนหนึ่งและเติบโตขึ้นในชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง เหล่านี้ไม่ได้ขัดแย้งกันกับเป้าหมายแห่งการปรากฏในรูปเป็นมนุษย์ของพระเจ้าแต่อย่างใด ในทางกลับกัน สิ่งเหล่านี้เสริมกันและกัน อันนำมาซึ่งนัยสำคัญที่แท้จริงแห่งการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า เพื่อความครบบริบูรณ์อันเต็มเปี่ยมยิ่งขึ้น เนื่องจากเนื้อหนังซึ่งทรงปรากฏในรูปมนุษย์ถูกอ้างอิงถึงว่าเป็น “บุตรมนุษย์” หรือ “พระคริสต์” ภายนอกของพระคริสต์ในปัจจุบันจึงไม่สามารถถูกกล่าวถึงในแง่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ได้ แต่ถึงอย่างไรแล้ว เนื้อหนังนี้ก็ถูกเรียกว่า “บุตรมนุษย์” และอยู่ในฉายาของกายแห่งเนื้อหนัง ทุกช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเจ้าบรรจุความหมายที่มีความลึกซึ้งอย่างมาก เหตุผลที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงก่อกำเนิดเป็นพระเยซูก็เพราะพระองค์ต้องทรงไถ่คนบาป พระองค์ต้องทรงปราศจากบาป แต่เพียงเมื่อพระองค์ทรงถูกบีบบังคับให้กลายเป็นสภาพเสมือนของเนื้อหนังที่เปี่ยมบาปและสุดท้ายก็ได้รับเอาบาปของพวกคนบาปมาแล้วเท่านั้น พระองค์จึงได้ทรงช่วยกู้พวกเขาจริงๆ ให้พ้นจากกางเขนที่ถูกสาปแช่ง กางเขนที่พระเจ้าทรงใช้ตีสอนมนุษยชาติ (กางเขนคือเครื่องมือของพระเจ้าสำหรับการสาปแช่งและการตีสอนมนุษยชาติ เมื่อใดก็ตามที่มีการพาดพิงถึงการสาปแช่งและการตีสอน ก็มีการอ้างอิงเฉพาะเจาะจงถึงพวกคนบาปไปด้วยพร้อมกัน) เป้าหมายคือเพื่อทำให้พวกคนบาปทั้งหมดกลับใจ และเพื่อทำให้พวกเขาสารภาพบาปของพวกเขา โดยวิถีทางของการตรึงกางเขน กล่าวคือ เพื่อประโยชน์แห่งการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงนั้น พระเจ้าได้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในกายแห่งเนื้อหนังที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมาก่อกำเนิดและเข้ารับบาปของมวลมนุษย์ทั้งหมดไว้กับพระองค์เอง การนี้อธิบายเป็นภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ว่า พระองค์ได้ถวายกายแห่งเนื้อหนังที่บริสุทธิ์เพื่อแลกเปลี่ยนกับคนบาปทั้งหมด ซึ่งเทียบเท่ากันกับที่พระเยซูทรงถูกวางเป็น “เครื่องบูชาลบล้างบาป” เบื้องหน้าซาตานเพื่อ “อ้อนวอน” ให้ซาตานนำมวลมนุษย์ทั้งปวงที่ไร้ความผิดซึ่งมันได้เหยียบย่ำลงไป กลับมาคืนให้กับพระเจ้า นั่นคือเหตุผลว่าเหตุใดการก่อกำเนิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงมีความจำเป็นต่อการสำเร็จลุล่วงช่วงระยะนี้ของพระราชกิจแห่งการไถ่ นี่คือภาวะจำเป็นอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็น “สนธิสัญญาสันติภาพ” ในการสู้รบระหว่างพระเจ้าพระบิดากับซาตาน นั่นคือเหตุผลว่าเหตุใดที่หลังจากพระเยซูทรงถูกส่งมอบให้แก่ซาตานแล้วเท่านั้น พระราชกิจช่วงระยะนี้จึงได้สรุปปิดตัว อย่างไรก็ตาม พระราชกิจแห่งการไถ่ของพระเจ้าในวันนี้ได้สัมฤทธิ์ความอลังการตระการตาในระดับที่ไม่มีใดเทียบเทียมมาก่อน และซาตานก็ไม่มีข้ออ้างที่จะทำการเรียกร้องต่อไปอีก ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่ทรงจำเป็นที่จะต้องก่อกำเหนิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อปรากฏในรูปมนุษย์อีกต่อไป ในเมื่อพระเจ้านั้นทรงบริสุทธิ์และไร้ความผิดโดยกำเนิด พระเจ้าในการปรากฏในรูปมนุษย์ครั้งนี้จึงไม่ใช่พระเยซูแห่งยุคพระคุณอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม พระองค์ยังคงทรงปรากฏในรูปมนุษย์เพื่อประโยชน์แห่งน้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดา และเพื่อประโยชน์แห่งการนำพาความปรารถนาของพระเจ้าพระบิดาไปสู่ความครบบริบูรณ์ แน่ใจหรือว่า นี่ไม่ใช่วิธีที่ไร้เหตุผลในการอธิบายสิ่งทั้งหลาย? การปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าต้องทำตามชุดกฎเกณฑ์ที่ถูกวางไว้กระนั้นหรือ?
ผู้คนมากมายมองหาหลักฐานในพระคัมภีร์ โดยหวังว่าจะพบคำเผยพระวจนะหนึ่งที่เกี่ยวกับการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า มนุษย์จะสามารถรู้ด้วยความคิดที่งุนงงสับสนและไม่ปะติดปะต่อของเขาได้อย่างไรว่า พระเจ้าได้ทรงหยุด “การทรงพระราชกิจ” ในพระคัมภีร์และได้ “ทรงกระโจน” พ้นเขตแดนของพระคัมภีร์ไปแล้วเพื่อที่จะรับพระราชกิจด้วยความหรรษาและความปรารถนาอันแรงกล้า พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงวางแผนการไว้เนิ่นนานแล้วแต่ไม่เคยตรัสบอกกับมนุษย์? ผู้คนขาดพร่องสำนึกรับรู้เกินไป หลังจากเพียงแค่ลิ้มรสพระอุปนิสัยของพระเจ้า พวกเขาก็ขึ้นแท่นและนั่งใน “เก้าอี้รถเข็น” ชั้นสูงโดยไม่ไยดีที่จะตรวจตราพระวจนะของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง กระทั่งไปไกลถึงขั้นที่จะเริ่มให้การศึกษากับพระเจ้าด้วยการสนทนาแบบคุยโวและวกวนเกี่ยวกับทุกสิ่งที่อยู่ใต้ดวงอาทิตย์ “ชายชรา” มากมายที่สวมแว่นตาสำหรับอ่านหนังสือและกำลังลูบเคราตนเองอยู่ เปิดหน้ากระดาษเหลืองๆ ของ “กาลานุกรมเก่า” (พระคัมภีร์) ที่เขาอ่านมาตลอดชีวิต ประเดี๋ยวเขาก็เปิดมาถึงหนังสืออิสยาห์ซึ่งทุกคนรู้จักกันดี ประเดี๋ยวเขาก็มาถึงหนังสือวิวรณ์ และประเดี๋ยวก็มาถึงหนังสือดาเนียล ด้วยคำพูดพึมพำและสายตาที่ดูสว่างวาบด้วยจิตวิญญาณ ขณะที่จ้องไปที่หน้าแล้วหน้าเล่าซึ่งหนาแน่นไปด้วยพระวจนะตัวจิ๋ว เขาอ่านอย่างเงียบกริบ สมองของเขาปั่นป่วนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พลันมือที่ลูบเครานั้นก็หยุดกึกลงและเริ่มกระตุกมัน อาจมีคนได้ยินเสียงเคราถูกถอนเป็นระยะๆ พฤติกรรมผิดปกติเช่นนั้นทำให้คนผงะอย่างงุนงง “เหตุใดจึงใช้แรงขนาดนั้นเล่า? เขาโกรธอะไรนักหนา?” เมื่อมองกลับไปที่ชายชราผู้นั้นอีกครั้ง พวกเราจะเห็นว่าตอนนี้คิ้วของเขากำลังปูดพอง ขนคิ้วสีเงินได้ตกลงมาเหมือนขนห่าน ห่างจากเปลือกตาของชายชราผู้นี้สักสองเซนติเมตรพอดิบพอดี ราวกับเป็นความบังเอิญ แต่กระนั้นก็ยังสมบูรณ์แบบเสียเหลือเกิน ขณะที่ชายชราผู้คนยังจับจ้องนิ่งอยู่ตรงหน้ากระดาษทั้งหลายที่ดูเหมือนขึ้นรา หลังจากย้อนกลับไปยังหน้าเดิมหลายครั้ง เขาก็พรวดพราดลุกขึ้นยืนอย่างอดใจไม่ได้ แล้วก็เริ่มพูดคุยราวกับว่ากำลังสนทนาสัพเพเหระ[3]อยู่กับใครบางคน แม้ว่าประกายที่เปล่งจากดวงตาของเขานั้นจะไม่ได้ละไปจากกาลานุกรมนั่นเลย ทันใดนั้นเองเขาก็ปิดหน้ากระดาษปัจจุบันและหันไปหา “อีกโลกหนึ่ง” อิริยาบทของเขารีบร้อน[4]และน่ากลัวยิ่งนัก จนเกือบทำให้ผู้คนประหลาดใจ ทีนี้ในระหว่างที่นิ่งเงียบอยู่นั่นเอง หนูน้อยที่ได้ออกจากรูของมันมา และเพิ่งจะเริ่มรู้สึกผ่อนคลายพอที่จะเคลื่อนที่ไปมาอย่างอิสระ ก็กลับต้องมาอกสั่นขวัญหายด้วยอิริยาบทอันไม่คาดฝันของเขา ทำเอามันวิ่งปรูดกลับไปเข้าไปในรูและหายวับไปในนั้นราวกับพวยควัน ไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย และบัดนี้ มือข้างซ้ายของชายชราก็กลับไปสู่การเคลื่อนไหวลูบเคราที่หยุดค้างไปชั่วคราวอีกครั้ง ลูบขึ้นลูบลง ลูบขึ้นลูบลง เขาขยับออกไปจากที่นั่งของเขา โดยทิ้งหนังสือนั้นไว้บนโต๊ะ สายลมผ่านเข้ามาทางรอยแยกในประตูและทางช่องหน้าต่างที่เปิดอยู่ พัดหนังสือปิดลงอย่างไม่กรุณา แล้วก็เปิดขึ้นมาใหม่ ภาพฉากนี้ช่างมีความเปลี่ยวดายอันเกินพรรณนา และนอกจากเสียงหน้าหนังสือที่ถูกลมพัดกระพือดังกรอบแกรบแล้ว สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงก็ดูเหมือนได้ตกอยู่ในความเงียบงัน เขาก้าวเดินไปกลับทั่วห้อง มือประสานกันอยู่ข้างหลัง เดี๋ยวหยุด เดี๋ยวออกเดิน ส่ายหน้าเป็นระยะๆ และในปากของเขานั้นดูเหมือนจะกำลังพูดซ้ำคำว่า “โอ้! พระเจ้า! พระองค์จะทรงทำสิ่งนั้นจริงๆ ละหรือ?” บางครั้งบางคราวเขาก็พูดพร้อมกับพยักหน้าด้วยว่า “โอ้ พระเจ้า! ผู้ใดจะสามารถหยั่งลึกถึงพระราชกิจของพระองค์ได้? มันไม่ยากหรอกหรือที่จะแสวงหารอยพระบาทของพระองค์? ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์จะไม่ทำสิ่งทั้งหลายที่สร้างปัญหาโดยไม่มีเหตุผลที่ดี” ถึงตอนนี้ ชายชราก็ขมวดคิ้วแน่นและหลับตาปี๋ แสดงให้เห็นท่าทางของความลำบากใจ และยังเป็นการแสดงออกแบบเจ็บปวดเหลือเกินด้วยเช่นกัน ราวกับว่าเขากำลังจะทำการคิดคำนวณแบบช้าๆ และรอบคอบ ชายชราที่น่าสงสาร! ดำรงอยู่มาชั่วชีวิตของเขา แล้วก็ “โชคร้าย” ที่ได้มาพบกับเรื่องนี้สายไปอย่างมากในวันนี้ จะสามารถทำสิ่งใดได้เกี่ยวกับเรื่องนี้? เราเองก็จนหนทางและไร้พลังอำนาจที่จะทำสิ่งใดเช่นกัน จะโทษผู้ใดกับการที่กาลานุกรมเก่าๆ ของเขากลายเป็นสีเหลืองตามอายุ? จะตำหนิผู้ใดเมื่อเคราและคิ้วของเขาทั้งหมดปกคลุมส่วนต่างๆ บนใบหน้าของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ราวกับหิมะสีขาว? ประหนึ่งว่าเส้นขนที่เคราของเขานั้นเป็นตัวแทนความอาวุโสของเขา แต่ทว่าใครเคยรู้บ้างว่ามนุษย์จะสามารถกลายเป็นโง่เขลาได้ถึงระดับที่เขาจะไปมองหาการสถิตของพระเจ้าในกาลานุกรมเก่าๆ เล่มหนึ่ง? กาลานุกรมเก่าๆ เล่มหนึ่งจะสามารถมีกระดาษได้สักกี่แผ่น? มันสามารถบันทึกกิจการทั้งหมดของพระเจ้าด้วยความถูกต้องแม่นยำที่ครบบริบูรณ์ได้จริงๆ กระนั้นหรือ? ผู้ใดกล้าที่จะรับประกันอย่างนั้นบ้าง? แต่ถึงกระนั้นมนุษย์ก็ยังคิดจริงๆ ว่าจะแสวงหาการทรงปรากฏของพระเจ้าและการสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยการแยกวิเคราะห์คำและคิดเล็กคิดน้อย[5] หวังที่จะเข้าสู่ชีวิตด้วยวิธีนั้น การพยายามเข้าสู่ชีวิตด้วยหนทางนี้นั้น ง่ายดายเหมือนที่มันฟังดูง่ายกระนั้นหรือ? นี่ไม่ใช่การให้เหตุผลเท็จในประเภทที่วิปริตอย่างไร้สาระที่สุดหรอกหรือ? เจ้าไม่เห็นว่าน่าขันหรอกหรือ?
เชิงอรรถ:
1. “กำกวม” บ่งบอกว่า ผู้คนไม่มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่ชัดเจนในพระราชกิจของพระเจ้า
2. “มีพลังอำนาจอันน้อยนิด และต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง” บ่งบอกว่า ความลำบากยากเย็นของเนื้อหนังนั้นมากมายเกินไป และงานที่ทำก็ถูกจำกัดมากเกินไป
3. “สนทนาสัพเพเหระ” เป็นคำอุปมาเปรียบเปรยหน้าตาอัปลักษณ์ของผู้คนในเวลาที่พวกเขาศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า
4. “รีบร้อน” อ้างอิงถึงอิริยาบถที่เร่งรีบและกระหายร้อนรนของ “ชายชรา” ขณะที่เขาอ้างอิงถึงพระคัมภีร์
5. “การแยกวิเคราะห์คำและคิดเล็กคิดน้อย” ใช้เพื่อเย้ยหยันผู้เชี่ยวชาญด้านเหตุผลวิบัติ ที่คิดเล็กคิดน้อยกับพระวจนะ แต่ไม่แสวงหาความจริงหรือทำความรู้จักพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์