6. การจำแนกความแตกต่างระหว่างผู้นำแท้กับผู้นำเท็จ และระหว่างผู้เลี้ยงแท้กับผู้เลี้ยงเท็จ

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

งานของผู้ทำงานที่มีคุณสมบัติสามารถนำผู้คนไปสู่หนทางที่ถูกต้อง และให้พวกเขาได้รับการเข้าสู่ความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่า  งานของเขาสามารถนำผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  นอกจากนี้ งานที่เขาทำสามารถแตกต่างออกไปตามแต่ละบุคคล และไม่ได้ถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งทำให้ผู้คนได้รับการหลุดพ้นและเสรีภาพ และความสามารถที่จะค่อยๆ เติบโตในชีวิต และที่จะมีการเข้าสู่ความจริงที่ลุ่มลึกยิ่งขึ้น  ส่วนงานของผู้ทำงานที่ไม่มีคุณสมบัตินั้นไม่ถึงมาตรฐานที่ควรเป็นอย่างมาก  งานของเขานั้นโง่เขลา  เขาสามารถนำผู้คนมาสู่กฎเกณฑ์ต่างๆ ได้เท่านั้น และสิ่งที่เขาเรียกร้องจากผู้คนไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละบุคคล เขาไม่ได้ทำงานตามความจำเป็นจริงๆ ของผู้คน  ในงานชนิดนี้มีกฎเกณฑ์ต่างๆ มากจนเกินไปและมีหลักทฤษฎีมากจนเกินไป และงานนี้ไม่สามารถนำผู้คนมาสู่ความเป็นจริงได้ อีกทั้งไม่สามารถนำผู้คนเข้าสู่การปฏิบัติปกติของการเติบโตในชีวิตได้  งานนี้สามารถทำได้แค่ให้ผู้คนยึดติดกับกฎเกณฑ์ไร้ค่าไม่กี่ข้อเท่านั้น  การนำเช่นนั้นสามารถนำทางผู้คนให้หลงผิดไปเท่านั้นทำได้แค่นำทางผู้คนให้หลงผิดเท่านั้น  เขานำทางเจ้าให้กลายเป็นเหมือนเขา เขาสามารถนำเจ้าไปสู่สิ่งที่เขามีและเป็น  ในการที่ผู้ติดตามจะหยั่งรู้ได้ว่าผู้นำมีคุณสมบัติหรือไม่นั้น กุญแจสำคัญคือการดูที่เส้นทางที่พวกเขานำทางและผลลัพธ์ของการทำงานของเขา และมองเห็นว่าผู้ติดตามได้รับหลักการตามความจริงหรือไม่ และพวกเขาได้รับวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับการแปลงสภาพของพวกเขาหรือไม่  เจ้าควรจำแนกความแตกต่างระหว่างงานที่แตกต่างกันของผู้คนชนิดที่แตกต่างกัน เจ้าไม่ควรเป็นผู้ติดตามที่โง่เขลา  นี่ส่งผลกระทบต่อเรื่องการเข้าสู่ของผู้คน  หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะจำแนกความแตกต่างว่าการเป็นผู้นำของบุคคลใดมีเส้นทางและของบุคคลใดไม่มี เจ้าจะถูกหลอกลวงได้โดยง่าย  ทั้งหมดนี้มีผลโดยตรงต่อชีวิตของเจ้าเอง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

เจ้าจำเป็นต้องมีความเข้าใจต่อสภาวะมากมายที่ผู้คนจะเป็นอยู่เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติพระราชกิจแก่พวกเขา  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาผู้ที่ประสานงานในการปรนนิบัติพระเจ้าต้องทำความเข้าใจสภาวะเหล่านี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นอีก  หากเจ้าเพียงแค่พูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์มากมาย หรือหนทางทั้งหลายในการบรรลุการเข้าสู่เท่านั้น นั่นแสดงให้เห็นว่า ประสบการณ์ของเจ้าเป็นประสบการณ์ด้านเดียวมากเกินไป  หากไม่รู้จักสภาวะที่แท้จริงของเจ้าและไม่จับความเข้าใจหลักธรรมเกี่ยวกับความจริง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย  หากไม่รู้จักหลักธรรมทั้งหลายในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือไม่เข้าใจดอกผลที่พระราชกิจมีให้ ก็ย่อมลำบากยากเย็นสำหรับเจ้าที่จะหยั่งรู้งานของพวกวิญญาณชั่ว  เจ้าต้องเปิดโปงงานของพวกวิญญาณชั่ว รวมทั้งมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์ และเจาะทะลุตรงเข้าไปยังหัวใจของประเด็นปัญหา เจ้ายังต้องชี้ให้เห็นการเบี่ยงเบนหลายอย่างในการปฏิบัติของผู้คน และปัญหาที่พวกเขาอาจมีในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาด้วย เพื่อที่พวกเขาอาจระลึกรู้ในสิ่งเหล่านั้น  อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็ต้องไม่ทำให้พวกเขารู้สึกคิดลบหรือนิ่งเฉย  อย่างไรก็ดี เจ้าต้องเข้าใจความลำบากยากเย็นทั้งหลายที่มีอยู่อย่างเป็นรูปธรรมสำหรับผู้คนส่วนใหญ่ เจ้าต้องไม่ไร้เหตุผล หรือ “พยายามสอนสุกรให้ร้องเพลง” นั่นเป็นพฤติกรรมที่โง่เขลา  ในการแก้ไขความลำบากยากเย็นมากมายที่ผู้คนได้รับประสบการณ์นั้น ก่อนอื่นเจ้าต้องจับใจความพลวัตของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ได้ เจ้าต้องเข้าใจว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติพระราชกิจแก่ผู้คนที่แตกต่างกันอย่างไร เจ้าต้องมีความเข้าใจเรื่องความลำบากยากเย็นทั้งหลายที่ผู้คนเผชิญหน้า และเรื่องข้อบกพร่องของพวกเขา  และเจ้าต้องเข้าใจทะลุปรุโปร่งถึงประเด็นสำคัญของปัญหา และเข้าถึงแหล่งที่มาของมัน โดยไม่มีการเบี่ยงเบนหรือสร้างข้อผิดพลาดอันใด  มีเพียงบุคคลประเภทนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะประสานงานในการปรนนิบัติพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้เลี้ยงที่เหมาะสมควรเตรียมตัวให้พร้อมสรรพด้วยสิ่งใดบ้าง

บรรดาผู้ที่รับใช้พระเจ้าควรเป็นคนสนิทของพระเจ้า พวกเขาควรเป็นที่น่ายินดีต่อพระเจ้า และสามารถภักดีต่อพระเจ้าอย่างที่สุด  ไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติเป็นการส่วนตัวหรือในที่สาธารณะ เจ้าสามารถได้รับความชื่นบานยินดีของพระเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าสามารถตั้งมั่นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และไม่ว่าผู้คนอื่นๆ จะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรก็ตาม เจ้าเดินบนเส้นทางที่เจ้าควรเดินอยู่เสมอ และมอบทุกความใส่ใจแก่พระภาระของพระเจ้า ผู้คนเยี่ยงนี้เท่านั้นที่เป็นคนสนิทของพระเจ้า  ที่บรรดาคนสนิทของพระเจ้าสามารถรับใช้พระองค์ได้โดยตรงก็เพราะพวกเขาได้รับมอบพระบัญชาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและพระภาระของพระเจ้า พวกเขาสามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้าเสมือนเป็นหัวใจของพวกเขาเอง และรับเอาพระภาระของพระเจ้ามาเป็นภาระของตนเอง และพวกเขาก็ไม่คำนึงถึงความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในภายภาคหน้าของพวกเขา กล่าวคือ แม้เมื่อพวกเขาไม่มีความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้  และพวกเขาไม่มีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์อะไรเลย พวกเขาจะเชื่อในพระเจ้าด้วยหัวใจรักเสมอ  และดังนั้น บุคคลประเภทนี้จึงเป็นคนสนิทของพระเจ้า บรรดาคนสนิทของพระเจ้านั้น ยังเป็นคนไว้ใจของพระองค์ด้วยเช่นกัน เฉพาะบรรดาคนสนิทเท่านั้นที่สามารถร่วมแบ่งเบาความกระวนกระวายใจของพระองค์ และพระดำริของพระองค์ได้ และแม้ว่าเนื้อหนังของพวกเขาจะเจ็บปวดและอ่อนแอ พวกเขาก็สามารถสู้ทนความเจ็บปวดและละทิ้งสิ่งที่พวกเขารักเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  พระเจ้าทรงมอบภาระที่มากขึ้นให้แก่ผู้คนเช่นนั้น และสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนาที่จะทำนั้นได้รับการยืนยันสนับสนุนจากคำพยานของผู้คนเหล่านี้ เช่นนั้น ผู้คนเหล่านี้จึงเป็นที่น่ายินดีต่อพระเจ้า พวกเขาคือผู้รับใช้ของพระเจ้าที่มีใจตรงกันกับพระทัยของพระองค์เอง และเฉพาะผู้คนเยี่ยงนี้เท่านั้นที่สามารถปกครองร่วมกันกับพระเจ้าได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรับใช้โดยกลมเกลียวไปกับน้ำพระทัยพระเจ้า

ท่าทีของพวกเขานั้นไม่เป็นมิตรต่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าเสมอ พวกเขาไม่มีความเอนเอียงแม้แต่น้อยนิดที่จะนบนอบ ทั้งยังไม่เคยนบนอบหรือถ่อมใจตนเองอย่างเปรมปรีดิ์  พวกเขายกย่องตนเองต่อหน้าผู้อื่นและไม่เคยยอมนบนอบต่อผู้ใด  เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาพิจารณาว่าตนเองนั้นเก่งที่สุดในเรื่องการประกาศพระวจนะ และมีทักษะสูงสุดในการทำงานให้เกิดผลในตัวผู้อื่น  พวกเขาไม่เคยทิ้งขว้าง “ขุมทรัพย์” ที่ตนครอง แต่ปฏิบัติต่อขุมทรัพย์เหล่านั้นเฉกเช่นมรดกตกทอดของครอบครัวสำหรับนมัสการ เพื่อประกาศต่อผู้อื่นไปทั่ว และใช้ขุมทรัพย์เหล่านั้นเพื่ออบรมสั่งสอนพวกคนโง่เขลาที่ชื่นชูพวกเขา  ในคริสตจักรมีผู้คนแบบนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียวจริงๆ  อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็น “วีรบุรุษผู้มิอาจมีผู้ใดพิชิตได้” รุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ผ่านมาพักแรมในบ้านของพระเจ้า  พวกเขาถือการประกาศพระวจนะ (คำสอน) เป็นหน้าที่อันสูงส่งที่สุดของพวกเขา  ปีแล้วปีเล่า รุ่นแล้วรุ่นเล่า พวกเขายุ่งอยู่กับการบังคับใช้หน้าที่ “อันศักดิ์สิทธิ์และมิอาจฝ่าฝืนได้” ของตนอย่างกร้าวแกร่ง  ไม่มีใครกล้าแตะพวกเขา ไม่แม้แต่คนเดียวที่กล้าตำหนิพวกเขาอย่างเปิดเผย  พวกเขากลายเป็น “กษัตริย์” ในพระนิเวศของพระเจ้า อาละวาดเพ่นพ่านขณะที่พวกเขาปฏิบัติอย่างเผด็จการกับผู้อื่นมายุคแล้วยุคเล่า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหล่าผู้เชื่อฟังพระเจ้าด้วยใจจริงย่อมได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน

งานในจิตใจของมนุษย์นั้นง่ายเกินไปที่มนุษย์จะสัมฤทธิ์  ตัวอย่างเช่น ศิษยาภิบาลและผู้นำในโลกศาสนาอาศัยความสามารถพิเศษและตำแหน่งของพวกเขาในการทำงานของพวกเขา  ผู้คนที่ติดตามพวกเขามาเป็นเวลานานจะติดเชื้อความสามารถพิเศษของพวกเขา และได้รับอิทธิพลจากบางส่วนของสิ่งที่พวกเขาเป็น  พวกเขามุ่งเน้นอยู่กับความสามารถพิเศษ ความสามารถ และความรู้ของผู้คน และพวกเขาให้ความสนใจกับสิ่งเหนือธรรมชาติและหลักทฤษฎีที่ลุ่มลึกและไม่เป็นจริงมากมาย (แน่นอนว่าหลักทฤษฎีที่ลุ่มลึกเป็นสิ่งที่ไม่อาจบรรลุได้)  พวกเขาไม่มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของผู้คน แต่มุ่งเน้นไปที่การฝึกผู้คนให้เทศนาและทำงาน พัฒนาความรู้ของผู้คน และคำสอนทางศาสนามากล้นของพวกเขา  พวกเขาไม่มุ่งเน้นไปที่ว่าอุปนิสัยของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด หรือว่าผู้คนเข้าใจความจริงมากเพียงใด  พวกเขาไม่สนใจที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเนื้อแท้ของผู้คน และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะพยายามที่จะรู้ถึงสภาวะที่ปกติและไม่ปกติของผู้คน  พวกเขาไม่ตอบโต้มโนคติที่หลงผิดของผู้คน อีกทั้งพวกเขาไม่เผยมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเอง นับประสาอะไรที่พวกเขาจะตัดแต่งผู้คนเพื่อข้อบกพร่องหรือความเสื่อมทรามของพวกเขา  ผู้คนส่วนใหญ่ที่ติดตามพวกเขาปรนนิบัติด้วยความสามารถพิเศษของพวกเขา และทั้งหมดที่พวกเขาปลดปล่อยออกมาคือมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาและทฤษฎีทางเทววิทยา ซึ่งไม่สัมพันธ์กับความเป็นจริงและไร้ความสามารถที่จะให้ชีวิตกับผู้คนได้โดยสิ้นเชิง  อันที่จริงแล้ว เนื้อแท้ของงานของพวกเขาคือการบ่มพรสวรรค์ เลี้ยงดูผู้คนที่ไม่มีสิ่งใดให้กลายเป็นบัณฑิตทางศาสนาที่มีพรสวรรค์ ซึ่งในภายหลังก็ไปทำงานและเป็นผู้นำต่อไป

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

การรับใช้พระเจ้าไม่ใช่ภารกิจง่ายๆ  พวกที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีวันสามารถรับใช้พระเจ้าได้  หากอุปนิสัยของเจ้ายังไม่ได้รับการพิพากษาและตีสอนโดยพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยของเจ้าก็ยังคงเป็นตัวแทนซาตาน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเจ้ารับใช้พระเจ้าโดยเจตนาที่ดีของเจ้าเอง เป็นการพิสูจน์ว่าการปรนนิบัติของเจ้านั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเจ้า  เจ้ารับใช้พระเจ้าด้วยบุคลิกลักษณะตามธรรมชาติของเจ้า และตามความพึงใจส่วนบุคคลของเจ้า  ที่มากไปกว่านั้นคือ เจ้าคิดอยู่เสมอว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเต็มใจทำนั้นคือสิ่งที่น่าปีติยินดีต่อพระเจ้า และคิดว่าสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่อยากทำนั้นคือสิ่งที่น่ารังเกียจต่อพระเจ้า เจ้าทำงานตามความพึงใจของเจ้าเองโดยสิ้นเชิง  การนี้สามารถเรียกว่าเป็นการรับใช้พระเจ้าได้หรือ?  ท้ายที่สุดแล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อยในอุปนิสัยชีวิตของเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น การปรนนิบัติของเจ้าจะทำให้เจ้าดื้อดึงยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าฝังแน่นอย่างล้ำลึก และเมื่อเป็นเช่นนั้น จะมีกฎเกณฑ์ทั้งหลายเกี่ยวกับการปรนนิบัติพระเจ้าที่ขึ้นอยู่กับบุคลิกลักษณะของเจ้าเองเป็นสำคัญ และประสบการณ์ทั้งหลายที่ได้จากการปรนนิบัติของเจ้าตามอุปนิสัยของเจ้าเองก่อเป็นรูปเป็นร่างขึ้นภายในตัวเจ้า  เหล่านี้คือประสบการณ์และบทเรียนของมนุษย์  มันคือปรัชญาแห่งการดำรงชีวิตบนโลกของมนุษย์  ผู้คนเยี่ยงนี้สามารถจัดระดับให้เป็นพวกฟาริสีและพวกเจ้าหน้าที่ทางศาสนาได้  หากพวกเขาไม่ตื่นขึ้นและไม่กลับใจเลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะกลายเป็นเหล่าพระคริสต์เทียมเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์ผู้หลอกลวงผู้คนในยุคสุดท้ายอย่างแน่นอน  เหล่าพระคริสต์เทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ทั้งหลายที่พูดถึงนี้จะเกิดขึ้นจากท่ามกลางผู้คนเช่นนั้น  หากบรรดาผู้ที่รับใช้พระเจ้าปฏิบัติตามบุคลิกลักษณะของพวกเขาเองและกระทำตามเจตจำนงของพวกเขาเอง พวกเขาก็มีความเสี่ยงที่จะถูกขับออกไปได้ตลอดเวลา  พวกที่นำประสบการณ์ที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปีของตนมาใช้ในการรับใช้พระเจ้าเพื่อที่จะชนะใจผู้อื่น เพื่ออบรมสั่งสอนพวกเขาและควบคุมพวกเขา และเพื่ออยู่ในตำแหน่งสูง—และพวกที่ไม่เคยกลับใจ ไม่เคยสารภาพบาปพวกเขา ไม่เคยประกาศสละผลประโยชน์จากตำแหน่ง—ผู้คนเหล่านี้จะต้องล้มลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  พวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกับเปาโล โดยถือสิทธิความอาวุโสของตนและโอ้อวดเรื่องคุณวุฒิของตน  พระเจ้าจะไม่ทรงนำพาผู้คนเยี่ยงนี้ไปสู่การมีความเพียบพร้อม  การปรนนิบัติเช่นนั้นแทรกแซงพระราชกิจของพระเจ้า  ผู้คนยึดติดกับสิ่งเก่าๆ ตลอดเวลา  พวกเขายึดติดกับมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายในอดีต กับทุกสิ่งทุกอย่างจากวันเวลาที่ผ่านไปแล้ว  นี่เป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ต่อการปรนนิบัติของพวกเขา  หากเจ้าไม่สามารถสลัดสิ่งเหล่านั้นทิ้งไปได้ สิ่งเหล่านี้จะบีบคั้นชีวิตของเจ้าทั้งชีวิต  พระเจ้าจะไม่ทรงชมเชยเจ้า ไม่แม้แต่น้อย ไม่แม้กระทั่งว่าขาของเจ้าจะหักในขณะดำเนินงานหรือหลังของเจ้าจะหักขณะที่ใช้แรง ไม่แม้กระทั่งว่าเจ้าจะพลีชีพในการปรนนิบัติของเจ้าต่อพระเจ้า  ตรงกันข้ามอย่างยิ่ง คือ พระองค์จะตรัสว่า เจ้าเป็นคนทำความชั่วคนหนึ่ง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานปรนนิบัติทางศาสนาต้องได้รับการชำระล้าง

 เจ้าคิดว่าการมีความรู้มีค่าเท่ากับการมีความจริงกระนั้นหรือ?  นั่นไม่ใช่ทรรศนะที่สับสนหรอกหรือ?  เจ้าสามารถพูดถึงความรู้ได้มากมายเท่าจำนวนเม็ดทรายบนชายหาด กระนั้นสิ่งที่เจ้าพูดก็ไม่ได้มีเส้นทางจริงใดๆ อยู่เลย  เจ้าไม่ได้กำลังพยายามที่จะหลอกผู้คนโดยการทำสิ่งนี้อยู่หรอกหรือ?  เจ้าไม่ได้กำลังเล่นละครอันว่างเปล่า ไม่มีแก่นสารรองรับอยู่หรอกหรือ?  พฤติกรรมอย่างนี้ล้วนเป็นอันตรายต่อผู้คนทั้งสิ้น!  ทฤษฎียิ่งสูงและไร้ซึ่งความเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด มันก็ยิ่งไร้ความสามารถในการนำผู้คนให้เข้าไปอยู่ในความเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น  ทฤษฎียิ่งสูงมากขึ้นเท่าใด มันก็ยิ่งทำให้เจ้าท้าทายและต่อต้านพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  จงอย่าเอาใจใส่ทฤษฎีฝ่ายวิญญาณมากเกินไป—นี่ไม่มีประโยชน์!  ผู้คนบางคนพูดถึงทฤษฎีฝ่ายวิญญาณมาหลายทศวรรษแล้ว และพวกเขาได้กลายเป็นยักษ์ใหญ่แห่งลัทธิความเชื่อฝ่ายวิญญาณ แต่ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังคงล้มเหลวที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง  เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติหรือมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจึงไม่มีหลักธรรมหรือเส้นทางปฏิบัติ  ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความเป็นจริงของความจริงในตนเอง ดังนั้นพวกเขาจะสามารถพาผู้อื่นเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งความเชื่อในพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาทำได้เพียงนำผู้คนไปผิดทางเท่านั้น  นี่ไม่ใช่การทำร้ายผู้อื่นและตัวพวกเขาเองหรอกหรือ?  อย่างน้อยที่สุดเจ้าต้องสามารถแก้ไขปัญหาอันแท้จริงที่อยู่ตรงหน้าเจ้าได้  นั่นหมายความว่าเจ้าต้องสามารถปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า และนำความจริงไปปฏิบัติได้  นี่เท่านั้นคือการเชื่อฟังพระเจ้า  เฉพาะเมื่อเจ้าได้เข้าสู่ชีวิตแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะมีคุณสมบัติเหมาะสมพอที่จะทำงานให้พระเจ้า และเฉพาะเมื่อเจ้าสละเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า  จงอย่าสร้างถ้อยแถลงอันใหญ่โตและพูดคุยถึงทฤษฎีอันน่าทึ่งตลอดเวลา นี่ไม่เป็นจริง  การคุยโวถึงทฤษฎีฝ่ายวิญญาณเพื่อทำให้ผู้คนเลื่อมใสเจ้าไม่ใช่การเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า แต่กลับเป็นการโอ้อวดตัวเองเสียมากกว่า  แน่นอนว่านี่ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนและไม่สอนใจพวกเขา และสามารถชักนำให้พวกเขาเคารพบูชาทฤษฎีฝ่ายวิญญาณและไม่มุ่งเน้นที่การปฏิบัติความจริงได้โดยง่าย—และนี่ไม่ใช่การนำผู้คนไปผิดทางหรอกหรือ?  การทำเช่นนี้ต่อไปย่อมจะก่อให้เกิดทฤษฎีและกฎเกณฑ์อันไร้แก่นสารมากมายที่จะจำกัดควบคุมและดักจับผู้คนเอาไว้ ช่างน่าอับอายขายหน้าโดยแท้  

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงมุ่งเน้นความเป็นจริงให้มากขึ้น

ใครก็ตามที่ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้าคือผู้ที่ต่อต้านพระองค์ และใครก็ตามที่ได้มาเข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว แต่ยังไม่พยายามทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยก็ยิ่งถือว่าเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้าขึ้นไปอีก  มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า  ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า  พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์  พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์  ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า  พวกเขาอาจดูมี “องค์ประกอบอันเพียบพร้อม” แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า?  ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า

ก่อนหน้า: 3. การจำแนกความแตกต่างระหว่างพระคริสต์เที่ยงแท้กับพระคริสต์เทียมเท็จ

ถัดไป: 7. ความแตกต่างระหว่างความประพฤติดีภายนอกกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger