นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (1)
ยอห์นทำงานเพื่อพระเยซูอยู่เจ็ดปี และได้ปูทางไว้ให้เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึง ก่อนหน้านี้ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรสวรรค์ที่ยอห์นประกาศนั้นได้ยินกันไปทั่วทั้งแผ่นดิน จนเผยแพร่ไปทั่วยูเดีย และทุกคนเรียกเขาว่าผู้เผยพระวจนะ ณ เวลานั้นกษัตริย์เฮโรดทรงประสงค์ที่จะสังหารยอห์น กระนั้นก็ไม่กล้าลงมือ เพราะผู้คนให้ความนับถือยอห์นอย่างสูง และเฮโรดเกรงว่าหากตนสังหารยอห์นเสียแล้ว พวกเขาจะก่อกบฏ งานที่ยอห์นทำหยั่งรากลงท่ามกลางผู้คนทั่วไป และเขาทำให้ชาวยิวกลายเป็นผู้เชื่อ เขาปูทางให้กับพระเยซูอยู่นานเจ็ดปี จนถึงเวลาที่พระเยซูทรงเริ่มปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ ยอห์นจึงเป็นผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้เผยพระวจนะทั้งปวง เฉพาะเมื่อยอห์นถูกจำคุกแล้วเท่านั้น พระเยซูจึงได้เริ่มพระราชกิจของพระองค์อย่างเป็นกิจจะลักษณะ ก่อนหน้ายอห์น ไม่เคยมีผู้เผยพระวจนะที่ได้ปูทางให้แก่พระเจ้า เพราะก่อนหน้าพระเยซูนั้น พระเจ้าไม่เคยทรงบังเกิดเป็นมนุษย์มาก่อน ดังนั้น ในบรรดาผู้เผยพระวจนะทั้งหมดมาจนกระทั่งถึงยอห์น เขาจึงเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ปูทางให้แก่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และในลักษณะนี้ ยอห์นจึงกลายเป็นผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ ยอห์นได้เริ่มเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรสวรรค์เป็นเวลาเจ็ดปีก่อนการรับบัพติศมาของพระเยซู สำหรับผู้คนแล้ว งานที่เขาทำดูเหมือนเหนือกว่าพระราชกิจในภายหลังของพระเยซู แต่กระนั้นก็ตาม เขายังคงเป็นเพียงผู้เผยพระวจนะเท่านั้น เขาไม่ได้ทำงานและพูดในพระวิหาร แต่เป็นในเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ภายนอกพระวิหาร แน่นอนว่าเขาทำการนี้ท่ามกลางผู้คนชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่ยากจน ยอห์นแทบจะไม่ติดต่อกับชนชั้นสูงของสังคม และเขาจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐท่ามกลางผู้คนธรรมดาของยูเดียเท่านั้น การนี้เป็นไปเพื่อตระเตรียมผู้คนที่ถูกต้องไว้ให้แก่องค์พระเยซูเจ้า และเพื่อตระเตรียมสถานที่ทั้งหลายที่เหมาะสมไว้ให้พระองค์ทรงพระราชกิจ ด้วยการมีผู้เผยพระวจนะดังเช่นยอห์นมาปูทางให้ องค์พระเยซูเจ้าจึงสามารถออกดำเนินไปบนหนทางแห่งกางเขนของพระองค์ได้ในทันทีที่พระองค์เสด็จมาถึง เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ไม่ต้องทรงพระราชกิจแห่งการเลือกสรรประชากร และพระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องทรงแสวงหาผู้คนหรือสถานที่ที่จะใช้ในการทรงพระราชกิจด้วยพระองค์เอง พระองค์ไม่ได้ทำพระราชกิจเช่นนั้นเมื่อพระองค์เสด็จมา บุคคลที่เหมาะสมได้ตระเตรียมสิ่งต่างๆ ดังกล่าวไว้ให้แก่พระองค์แล้วก่อนที่พระองค์จะเสด็จมาถึง ยอห์นได้ทำงานนี้เสร็จสมบูรณ์ไปแล้วก่อนที่พระเยซูจะเริ่มพระราชกิจของพระองค์ เพราะเมื่อพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์เสด็จมาถึงเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ได้เริ่มพระราชกิจกับบรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์มานานได้ทันที พระเยซูไม่ได้เสด็จมาเพื่อทรงงานที่เกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขของมนุษย์ พระองค์เสด็จมาเพื่อปฏิบัติพันธกิจที่พระองค์ต้องทรงปฏิบัติเท่านั้น ทุกสิ่งนอกเหนือจากนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพระองค์ เมื่อยอห์นมานั้น เขาได้แต่นำกลุ่มของผู้ที่ยอมรับข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรสวรรค์กลุ่มหนึ่งออกมาจากพระวิหารและออกมาจากท่ามกลางชาวยิว เพื่อที่ผู้คนเหล่านั้นอาจกลายเป็นเป้าหมายแห่งพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า ยอห์นทำงานอยู่นานเจ็ดปี ซึ่งหมายความว่าเขาได้เผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นเวลาเจ็ดปี ในระหว่างที่เขาทำงาน ยอห์นไม่ได้แสดงการอัศจรรย์มากมาย เพราะงานของเขาคือการปูทาง งานของเขาคืองานแห่งการตระเตรียม งานอื่นนอกจากนี้ซึ่งเป็นพระราชกิจที่พระเยซูจะทำนั้นไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขาเพียงขอให้มนุษย์สารภาพบาปของตนและกลับใจ แล้วก็บัพติศมาผู้คนเท่านั้น เพื่อให้พวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอด แม้ว่าเขาได้ทำงานใหม่และเปิดเส้นทางที่มนุษย์ไม่เคยเดินมาก่อน แต่เขาก็เพียงปูทางไว้ให้แก่พระเยซูเท่านั้น เขาเป็นเพียงผู้เผยพระวจนะที่ทำงานแห่งการตระเตรียมเท่านั้น และเขาไม่สามารถทำพระราชกิจของพระเยซูได้ แม้ว่าพระเยซูจะไม่ใช่ผู้ประกาศข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรสวรรค์คนแรก และแม้ว่าพระองค์จะทรงสานต่อเส้นทางที่ยอห์นได้เริ่มดำเนินการไว้ แต่ก็ไม่มีใครอื่นที่สามารถทำพระราชกิจของพระองค์ได้ และพระราชกิจนั้นก็เหนือกว่างานของยอห์น พระเยซูไม่สามารถตระเตรียมหนทางของพระองค์เองได้ เพราะพระราชกิจของพระองค์ดำเนินไปโดยตรงในนามของพระเจ้า และดังนั้นไม่สำคัญว่ายอห์นได้ทำงานไปกี่ปี เขาก็ยังคงเป็นผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง และยังคงเป็นผู้บุกเบิกหนทาง พระราชกิจสามปีที่พระเยซูทำนั้นเหนือกว่างานเจ็ดปีของยอห์น เพราะแก่นแท้แห่งพระราชกิจของพระองค์ต่างออกไป เมื่อพระเยซูทรงเริ่มปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ ซึ่งเป็นเวลาที่งานของยอห์นสิ้นสุดลงด้วยนั้น ยอห์นได้ตระเตรียมผู้คนและสถานที่สำหรับให้องค์พระเยซูเจ้าทรงใช้งานไว้มากพอแล้ว และทั้งหมดนั้นมีเพียงพอสำหรับให้องค์พระเยซูเจ้าได้เริ่มต้นพระราชกิจสามปีของพระองค์ และดังนั้นทันทีที่งานของยอห์นเสร็จสิ้น องค์พระเยซูเจ้าจึงได้เริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์เองอย่างเป็นกิจจะลักษณะ และถ้อยคำที่ยอห์นเคยพูดไว้ก็ย่อมถูกทิ้งไป นั่นเป็นเพราะงานที่ยอห์นทำไปแล้วนั้นเป็นไปเพื่อการเปลี่ยนผ่านเท่านั้น และถ้อยคำของเขาก็ไม่ใช่ถ้อยคำแห่งชีวิตที่จะนำทางมนุษย์ไปสู่การเติบโตครั้งใหม่ ท้ายที่สุดแล้ว ถ้อยคำของเขาก็มีประโยชน์เพียงชั่วคราวเท่านั้น
พระราชกิจที่พระเยซูทำนั้นไม่เหนือธรรมชาติ แต่มีกระบวนการ และล้วนก้าวหน้าไปตามกฎเกณฑ์ปกติของสิ่งทั้งหลาย เมื่อถึงหกเดือนสุดท้ายในชีวิตของพระองค์ พระเยซูทรงรู้แน่ชัดว่าพระองค์เสด็จมาเพื่อทำพระราชกิจนี้ และพระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ได้เสด็จมาเพื่อถูกตรึงบนกางเขน ก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงกางเขน พระเยซูได้ทรงอธิษฐานต่อพระเจ้าพระบิดาอย่างต่อเนื่อง ดังเช่นที่พระองค์ได้ทรงอธิษฐานสามครั้งในสวนเกทเสมนี หลังจากที่พระองค์ทรงรับบัพติศมา พระเยซูได้ทรงปฏิบัติพันธกิจของพระองค์เป็นเวลาสามปีครึ่ง และพระราชกิจที่เป็นทางการของพระองค์ก็ดำเนินไปเป็นเวลาสองปีครึ่ง ในระหว่างปีแรกนั้น พระองค์ถูกซาตานกล่าวหา ถูกมนุษย์รังควาน และถูกมนุษย์ทดลอง พระองค์ทรงเอาชนะการทดลองมากมายในขณะที่พระองค์ดำเนินพระราชกิจของพระองค์ ในช่วงหกเดือนสุดท้ายเมื่อพระเยซูจะถูกตรึงกางเขนในอีกไม่ช้านั้น มีถ้อยคำออกมาจากปากของเปโตรว่าพระองค์คือพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ชีพ ว่าพระองค์คือพระคริสต์ เมื่อนั้นเท่านั้นที่พระราชกิจของพระองค์กลายเป็นที่รู้กันไปทั่ว และเมื่อนั้นเท่านั้นที่ตัวตนของพระองค์ถูกเปิดเผยแก่สาธารณะว่าทรงเป็นใคร หลังจากนั้นพระเยซูก็ตรัสแก่บรรดาสาวกของพระองค์ว่าพระองค์จะถูกตรึงกางเขนเพื่อมนุษย์ และว่าสามวันหลังจากนั้นพระองค์จะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ว่าพระองค์ได้เสด็จมาเพื่อดำเนินพระราชกิจแห่งการไถ่ และพระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอด เฉพาะช่วงหกเดือนสุดท้ายนี้เท่านั้นที่พระองค์ทรงเปิดเผยตัวตนของพระองค์และพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ นี่ยังเป็นห้วงเวลาของพระเจ้าอีกด้วย และนี่คือวิธีที่พระราชกิจจะดำเนินไป ณ เวลานั้นพระราชกิจส่วนหนึ่งของพระเยซูสอดคล้องกับพันธสัญญาเดิม และยังสอดคล้องกับกฎบัญญัติของโมเสสและพระวจนะของพระยาห์เวห์ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติด้วย สิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้พระเยซูเคยทำในพระราชกิจส่วนหนึ่งของพระองค์ พระองค์ทรงประกาศแก่ผู้คนและสอนพวกเขาในธรรมศาลา และพระองค์ทรงใช้คำพยากรณ์ ของบรรดาผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมมาว่ากล่าวพวกฟาริสีที่เป็นปฏิปักษ์กับพระองค์ และทรงใช้ถ้อยคำต่างๆ จากองค์พระคัมภีร์เพื่อเปิดเผยการไม่เชื่อฟังของพวกเขาและด้วยเหตุนั้นจึงกล่าวโทษพวกเขา เนื่องจากพวกเขาดูหมิ่นสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชกิจส่วนมากของพระเยซูมิได้ดำเนินตามธรรมบัญญัติต่างๆ ในองค์พระคัมภีร์ และยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่พระองค์ทรงสอนนั้นสูงกว่าถ้อยคำของพวกเขาเอง สูงยิ่งกว่าสิ่งที่บรรดาผู้เผยพระวจนะได้พยากรณ์ไว้ในองค์พระคัมภีร์เสียอีก พระราชกิจของพระเยซูเป็นไปเพื่อการไถ่มนุษย์และเพื่อการตรึงกางเขนเท่านั้น และดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นอันใดที่พระองค์จะต้องตรัสพระวจนะให้มากขึ้นเพื่อที่จะพิชิตมนุษย์คนใด สิ่งที่พระองค์ทรงสอนมนุษย์มีมากมายที่ดึงมาจากถ้อยคำในองค์พระคัมภีร์ และถึงแม้ว่าพระราชกิจของพระองค์มิได้มากเกินกว่าองค์พระคัมภีร์ แต่พระองค์ก็สามารถสำเร็จลุล่วงพระราชกิจแห่งการตรึงกางเขน พระราชกิจของพระองค์ไม่ใช่พระราชกิจแห่งวจนะ อีกทั้งไม่ใช่พระราชกิจที่ทำไปเพื่อการพิชิตมวลมนุษย์ แต่เป็นพระราชกิจที่ทำไปเพื่อไถ่มวลมนุษย์ พระองค์เพียงแต่ทรงทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปให้แก่มวลมนุษย์เท่านั้น และไม่ได้ทรงทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดวจนะสำหรับมวลมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจเพื่อชนต่างชาติ ซึ่งเป็นพระราชกิจแห่งการพิชิตมนุษย์ แต่เป็นพระราชกิจแห่งการตรึงกางเขน พระราชกิจที่ทำท่ามกลางบรรดาผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้า ถึงแม้ว่าพระราชกิจของพระองค์ดำเนินไปบนรากฐานขององค์พระคัมภีร์ และถึงแม้ว่าพระองค์ทรงใช้สิ่งที่ผู้เผยพระวจนะในอดีตได้เคยพยากรณ์เอาไว้มากล่าวโทษพวกฟาริสีก็ตาม แต่นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พระราชกิจแห่งการตรึงกางเขนเสร็จสมบูรณ์ หากพระราชกิจของวันนี้ยังคงดำเนินไปบนรากฐานของคำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะคนเก่าๆ ในองค์พระคัมภีร์ เช่นนั้นแล้วก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะพิชิตพวกเจ้า เพราะพันธสัญญาเดิมไม่ได้บันทึกความไม่เชื่อฟังและบาปของพวกเจ้าผู้คนชาวจีนเอาไว้ และไม่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับบาปของพวกเจ้า ดังนั้นหากยังมีพระราชกิจนี้หลงเหลืออยู่ในพระคัมภีร์ พวกเจ้าก็คงจะไม่มีวันยอมจำนน พระคัมภีร์เพียงบันทึกประวัติศาสตร์ของชาวอิสราเอลไว้อย่างจำกัดเท่านั้น ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่สามารถกำหนดได้ว่าพวกเจ้าเป็นคนชั่วหรือคนดี หรือพิพากษาพวกเจ้าได้ จงจินตนาการดูว่าหากเราต้องพิพากษาพวกเจ้าไปตามประวัติศาสตร์ของชาวอิสราเอล—พวกเจ้าจะยังคงติดตามเราเช่นที่พวกเจ้าทำในวันนี้หรือไม่? พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเจ้านั้นยากเพียงใด? หากไม่มีการกล่าววจนะใดๆ ในระหว่างช่วงระยะนี้ เช่นนั้นแล้วก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยจะเสร็จสมบูรณ์ เนื่องจากเราไม่ได้มาเพื่อที่จะถูกตอกตรึงกับกางเขน เราจึงต้องกล่าววจนะที่แยกต่างหากจากพระคัมภีร์ เพื่อที่พวกเจ้าอาจได้รับการพิชิต พระราชกิจที่พระเยซูทำไปนั้นเป็นเพียงช่วงระยะหนึ่งที่สูงกว่าพันธสัญญาเดิม และใช้เริ่มต้นยุคหนึ่ง และเพื่อนำยุคนั้น เหตุใดพระองค์จึงตรัสว่า “เราไม่ได้มาล้มเลิกธรรมบัญญัติ แต่มาทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ทุกประการ”? กระนั้น ในพระราชกิจของพระองค์ก็ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่แตกต่างไปจากธรรมบัญญัติและพระบัญญัติที่ชาวอิสราเอลแห่งพันธสัญญาเดิมปฏิบัติและติดตามอยู่ เพราะพระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อเชื่อฟังธรรมบัญญัติ แต่มาเพื่อทำให้ธรรมบัญญัติเป็นจริง กระบวนการในการทำให้ธรรมบัญญัติเป็นจริงนั้นประกอบด้วยสิ่งต่างๆ มากมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง กล่าวคือ พระราชกิจของพระองค์สัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นจริงมากขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นยังมีชีวิตชีวามากขึ้น และไม่ใช่การหลับหูหลับตาทำตามกฎต่างๆ ชาวอิสราเอลไม่ได้รักษาวันสะบาโตหรอกหรือ? เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์ไม่ได้ทรงรักษาวันสะบาโต เพราะพระองค์ตรัสว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต และเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือวันสะบาโตเสด็จมาถึง พระองค์ย่อมจะทรงทำตามที่พระองค์ทรงปรารถนา พระองค์เสด็จมาเพื่อทำให้ธรรมบัญญัติของพันธสัญญาเดิมสมบูรณ์และเพื่อเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัติ ทั้งหมดที่ทำในวันนี้ล้วนขึ้นอยู่กับปัจจุบัน กระนั้นก็ยังคงตั้งอยู่บนรากฐานแห่งพระราชกิจของพระยาห์เวห์ในยุคธรรมบัญญัติ และไม่ละเมิดวงเขตนี้ ตัวอย่างเช่น การระวังลิ้นของเจ้า และไม่ล่วงประเวณี—สิ่งเหล่านี้มิใช่ธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิมหรอกหรือ? วันนี้สิ่งที่พึงประสงค์จากพวกเจ้ามิได้จำกัดอยู่แต่เพียงพระบัญญัติสิบประการเท่านั้น แต่ประกอบด้วยพระบัญญัติและธรรมบัญญัติในระดับที่สูงกว่าพระบัญญัติและธรรมบัญญัติที่เคยมีมาก่อน กระนั้นการนี้ก็มิได้หมายความว่าสิ่งที่เคยมีมาก่อนได้ถูกลบล้างไปแล้ว เพราะพระราชกิจแต่ละช่วงระยะของพระเจ้าดำเนินไปบนรากฐานของช่วงระยะที่เคยมีมาก่อน ส่วนพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทำในตอนนั้นในอิสราเอล เช่น การพึงประสงค์ให้ผู้คนมอบถวายเครื่องบูชา ให้เกียรติบิดามารดาของพวกเขา ไม่นมัสการรูปเคารพ ไม่ทำร้ายหรือสาปแช่งผู้อื่น ไม่ล่วงประเวณี ไม่สูบยาหรือดื่มสุรา และไม่กินซากที่ตายแล้วหรือดื่มเลือด—นี่ไม่ได้เป็นรากฐานสำหรับการปฏิบัติของพวกเจ้าจนกระทั่งถึงวันนี้หรอกหรือ? บนรากฐานของอดีตนี่เองที่พระราชกิจได้ดำเนินมาจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้ว่าธรรมบัญญัติในอดีตจะไม่ถูกกล่าวถึงอีกต่อไปแล้ว และมีข้อพึงประสงค์ใหม่ๆ ให้เจ้าทำ แต่ธรรมบัญญัติเหล่านี้หาได้ถูกลบล้างไปไม่ กลับถูกยกให้สูงขึ้นแทน การกล่าวว่าธรรมบัญญัติเหล่านี้ถูกลบล้างไปแล้วย่อมหมายความว่ายุคก่อนหน้านี้ล้าสมัย ในทางตรงข้ามกลับมีพระบัญญัติบางประการที่เจ้าต้องปฏิบัติตามให้ได้ไปชั่วกัลปาวสาน พระบัญญัติในอดีตได้รับการปฏิบัติตามแล้ว กลายเป็นความเป็นอยู่ของมนุษย์ไปแล้ว และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่พระบัญญัติต่างๆ เช่น “จงอย่าสูบยา” และ “จงอย่าดื่มสุรา” และอื่นๆ ทว่าบนรากฐานนี้ พระบัญญัติใหม่ๆ ก็ถูกกำหนดขึ้นตามความจำเป็นของพวกเจ้าในวันนี้ ตามวุฒิภาวะของพวกเจ้า และตามพระราชกิจของวันนี้ การประกาศพระบัญญัติสำหรับยุคใหม่ไม่ได้หมายถึงการลบล้างพระบัญญัติของยุคเก่า แต่เป็นการยกพระบัญญัติเหล่านั้นให้สูงขึ้นบนรากฐานนี้ เพื่อทำให้การกระทำของมนุษย์ครบบริบูรณ์ยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับความเป็นจริงยิ่งขึ้น หากวันนี้พวกเจ้าพึงต้องติดตามพระบัญญัติและปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพันธสัญญาเดิมในลักษณะเดียวกับชาวอิสราเอลเท่านั้น และหากพวกเจ้าถึงกับต้องท่องจำธรรมบัญญัติที่พระยาห์เวห์ได้ทรงกำหนดขึ้น ก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลง หากพวกเจ้าต้องปฏิบัติตามพระบัญญัติที่มีอยู่จำกัดเพียงไม่กี่ข้อเหล่านั้นหรือท่องจำธรรมบัญญัติจำนวนนับไม่ถ้วนเท่านั้น อุปนิสัยเก่าๆ ของพวกเจ้าก็คงจะยังฝังลึก และคงจะไม่มีทางที่จะถอนทิ้งไปได้ ด้วยเหตุนี้พวกเจ้าย่อมจะกลายเป็นต่ำทรามยิ่งขึ้น และไม่มีพวกเจ้าสักคนที่จะมาเชื่อฟัง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระบัญญัติง่ายๆ ไม่กี่ประการหรือธรรมบัญญัติจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นไม่สามารถช่วยให้พวกเจ้ารู้จักกิจการของพระยาห์เวห์ได้ พวกเจ้าไม่เหมือนกับชาวอิสราเอล กล่าวคือ พวกเขาสามารถเป็นประจักษ์พยานถึงกิจการของพระยาห์เวห์และถวายการเฝ้าเดี่ยวแด่พระองค์เพียงองค์เดียวได้โดยการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติและท่องจำพระบัญญัติ แต่พวกเจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้ และพระบัญญัติไม่กี่ประการของยุคพันธสัญญาเดิมก็ไม่เพียงไม่สามารถคุ้มครองปกป้องพวกเจ้าหรือทำให้พวกเจ้ายอมมอบหัวใจของพวกเจ้าได้เท่านั้น แต่กลับจะทำให้พวกเจ้าหละหลวมและจะทำให้พวกเจ้าร่วงหล่นลงสู่แดนคนตายแทน เนื่องจากงานของเราคืองานแห่งการพิชิตชัย ซึ่งมุ่งหมายไปที่ความไม่เชื่อฟังของพวกเจ้าและอุปนิสัยเก่าๆ ของพวกเจ้า พระวจนะที่มีเมตตาของพระยาห์เวห์และพระเยซูจึงห่างไกลจากพระวจนะที่รุนแรงแห่งการพิพากษาของวันนี้อยู่มากนัก หากไม่มีพระวจนะที่รุนแรงเช่นนี้ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะพิชิตพวกเจ้า “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่ไม่เชื่อฟังมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว ธรรมบัญญัติของพันธสัญญาเดิมไร้อำนาจกับพวกเจ้ามานานแล้ว และการพิพากษาของวันนี้ก็น่าเกรงขามกว่าธรรมบัญญัติเก่าๆ มากนัก สิ่งที่เหมาะสมกับพวกเจ้าที่สุดก็คือการพิพากษา และไม่ใช่กฎระเบียบปลีกย่อยของธรรมบัญญัติ เพราะพวกเจ้าไม่ใช่มวลมนุษย์ของเมื่อสมัยปฐมกาล แต่เป็นมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามมาเป็นเวลาหลายพันปี สิ่งที่มนุษย์ต้องสัมฤทธิ์ในตอนนี้สอดคล้องกับสภาวะจริงของมนุษย์ในวันนี้ เป็นไปตามขีดความสามารถและวุฒิภาวะจริงของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน และไม่กำหนดให้เจ้าต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทั้งหลาย การนี้เป็นไปเพื่อที่ว่าอาจมีการสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยเก่าๆ ของเจ้าได้ และเพื่อที่เจ้าอาจละทิ้งมโนคติอันหลงผิดของเจ้าไปเสีย เจ้าคิดว่าพระบัญญัติคือกฎเกณฑ์กระนั้นหรือ? อาจกล่าวได้ว่าพระบัญญัติคือข้อพึงประสงค์ที่มีต่อมนุษย์ตามปกติ หาใช่กฎเกณฑ์ที่เจ้าต้องปฏิบัติตามไม่ จงดูการห้ามสูบยาเป็นตัวอย่าง—นั่นคือกฎเกณฑ์หรือ? นั่นไม่ใช่กฎเกณฑ์! แต่เป็นสิ่งที่สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงต้องมี นั่นไม่ใช่กฎ แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ระบุไว้สำหรับมวลมนุษย์ทั้งหมด วันนี้พระบัญญัติสิบกว่าประการที่กำหนดไว้แล้วนั้นก็ไม่ใช่กฎเกณฑ์เช่นกัน แต่เป็นสิ่งที่พึงต้องมีเพื่อสัมฤทธิ์สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ผู้คนไม่มีหรือไม่รู้จักสิ่งต่างๆ เช่นนั้นในอดีต และดังนั้นผู้คนจึงต้องสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านั้นในวันนี้ และสิ่งต่างๆ เช่นนั้นไม่นับว่าเป็นกฎเกณฑ์ ธรรมบัญญัติไม่เหมือนกับกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์ที่เราพูดถึงนั้นอ้างอิงถึงพิธีกรรม พิธีการ หรือวิธีปฏิบัติที่เบี่ยงเบนและผิดพลาดของมนุษย์ เหล่านั้นคือกฎระเบียบที่ไม่ช่วยอะไรมนุษย์เลย ไม่มีผลดีต่อเขาเลย ล้วนก่อให้เกิดครรลองแห่งการกระทำที่ไม่มีความหมายอันใด นี่คือตัวอย่างของกฎเกณฑ์ และกฎเกณฑ์เช่นนั้นต้องถูกทิ้งไปเพราะไม่เป็นผลดีต่อมนุษย์ สิ่งที่เป็นผลดีต่อมนุษย์ต่างหากที่ต้องนำมาปฏิบัติ