บทที่ 24
การตีสอนของเราเกิดขึ้นแก่ผู้คนทั้งปวง กระนั้นการตีสอนของเราก็ยังคงห่างไกลจากผู้คนทั้งปวงด้วย ตลอดชีวิตของทุกคนเต็มไปด้วยความรักและความเกลียดชังต่อเรา และไม่มีผู้ใดได้เคยรู้จักเรา—และท่าทีของมนุษย์ต่อเราเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย และไม่สามารถเป็นปกติได้ กระนั้นเราได้ดูแลและคุ้มครองปกป้องมนุษย์เสมอมา และเป็นเพียงเพราะความปัญญาทึบของเขาเท่านั้นนั่นเอง เขาจึงไม่สามารถมองเห็นกิจการของเราทั้งหมดและเข้าใจเจตนารมณ์อันกระตือรือร้นของเรา เราคือองค์หนึ่งเดียวผู้นำท่ามกลางบรรดาชนชาติทั้งมวล และเราคือองค์สูงสุดท่ามกลางผู้คนทั้งปวง มันเป็นเพียงว่ามนุษย์ไม่รู้จักเรา เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เราได้ใช้ชีวิตท่ามกลางมนุษย์และได้รับประสบการณ์กับชีวิตในโลกของมนุษย์ กระนั้นเขาก็ได้เพิกเฉยต่อเราและปฏิบัติต่อเราเหมือนสิ่งมีชีวิตจากอวกาศเสมอ ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงปฏิบัติต่อเราเหมือนคนแปลกหน้าในถนนเพราะความแตกต่างในอุปนิสัยและภาษา ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าของเราก็เป็นเฉพาะตัวเกินไปเช่นกัน ซึ่งผลก็คือมนุษย์ขาดพร่องความมั่นใจที่จะเข้าหาเรา เมื่อนั้นเท่านั้น เราจึงรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวอ้างว้างของชีวิตท่ามกลางมนุษย์ และเมื่อนั้นเท่านั้น เราจึงสำนึกรับรู้ถึงความไม่เป็นธรรมของโลกของมนุษย์ เราเดินท่ามกลางบรรดาผู้ที่เดินผ่านไป เฝ้าสังเกตใบหน้าของพวกเขาทั้งหมด มันเป็นราวกับว่าพวกเขามีชีวิตท่ามกลางโรคภัยไข้เจ็บ โรคภัยไข้เจ็บที่เติมเต็มใบหน้าของพวกเขาด้วยความหดหู่ใจ และมันเป็นราวกับว่าพวกเขามีชีวิตท่ามกลางการตีสอนเช่นกัน ซึ่งป้องกันไม่ให้มีการปลดปล่อยตัวพวกเขาให้เป็นอิสระ มนุษย์พันธนาการตัวเอง และแสร้งแสดงความถ่อมตัว ผู้คนส่วนใหญ่สร้างความประทับใจเทียมเท็จเบื้องหน้าเราเพื่อที่เราอาจจะปรบมือให้พวกเขา และผู้คนส่วนใหญ่จงใจทำให้ตัวเองดูเหมือนน่าสงสารเบื้องหน้าเราเพื่อที่พวกเขาอาจจะได้รับความช่วยเหลือของเรา ลับหลังเรา ผู้คนทั้งหมดฉอเลาะและไม่เชื่อฟังเรา เราไม่ถูกต้องหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่กลยุทธ์การอยู่รอดของมนุษย์หรอกหรือ? ผู้ใดเล่าได้เคยดำเนินชีวิตตามเราในชีวิตของพวกเขา? ผู้ใดเล่าได้เคยยกย่องเราท่ามกลางผู้อื่น? ผู้ใดเล่าได้เคยถูกมัดเฉพาะพระพักตร์พระวิญญาณ? ผู้ใดเล่าได้เคยตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อเราเบื้องหน้าซาตาน? ผู้ใดเล่าได้เคยเพิ่มเติมสัจจะให้กับ “ความจงรักภักดี” ที่พวกเขามีต่อเรา? ผู้ใดเล่าได้เคยถูกพญานาคใหญ่สีแดงเหวี่ยงทิ้งไปเพราะเรา? ผู้คนได้ให้ตัวเองเข้าร่วมกับซาตานและบัดนี้เกลือกกลิ้งกับมันในโคลนตม พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเยาะเย้ยท้าทายเรา พวกเขาเป็นนักประดิษฐ์การต่อต้านเรา และพวกเขาเป็น “นักเรียนขั้นก้าวหน้า” ในหนทางที่พวกเขาจัดการกับเราอย่างขอไปที มนุษย์สำรวจค้นที่นี่และที่นั่นบนแผ่นดินโลกเพื่อประโยชน์แห่งชะตาลิขิตของเขาเอง และเมื่อเรากวักมือเรียกเขา เขาก็ยังคงไร้ความสามารถที่จะรู้สึกถึงความล้ำค่าของเราได้ และยังมี “ความเชื่อ” ต่อไปในการพึ่งพาตนเองของเขา โดยไม่เต็มใจที่จะเป็น “ภาระ” กับผู้อื่น “ความทะเยอทะยาน” ของมนุษย์นั้นล้ำค่า กระนั้นก็ไม่เคยได้มีความทะเยอทะยานของผู้ใดได้สัมฤทธิ์คะแนนเต็ม กล่าวคือ ความทะเยอทะยานเหล่านั้นทั้งหมดแตกละเอียดเบื้องหน้าเรา ล้มคว่ำโดยปราศจากเสียง
เราพูดทุกๆ วัน และแต่ละวันเราทำสิ่งใหม่ๆ หากมนุษย์ไม่นำพละกำลังทั้งหมดของเขามาใช้ เช่นนั้นแล้ว เขาก็จะมีความลำบากยากเย็นในการได้ยินเสียงของเรา และเขาจะพบว่ามันยากที่จะมองเห็นใบหน้าของเรา ผู้ที่เป็นที่รักอาจสบายดีอย่างสุดขั้ว และพระดำรัสของพระองค์มีความอ่อนโยนที่สุด แต่มนุษย์ไม่สามารถมองดูพระพักตร์อันทรงมีสง่าราศีของพระองค์และได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ได้ง่ายๆ ตลอดยุคทั้งหลาย ไม่มีผู้ใดได้เคยมองดูใบหน้าของเราง่ายๆ ครั้งหนึ่งเราได้พูดกับเปโตรและ “ได้ปรากฏ” ต่อเปาโล แต่ไม่มีผู้ใดอื่นอีก—ยกเว้นคนอิสราเอล—ได้เคยมองเห็นใบหน้าของเราอย่างแท้จริง วันนี้ เราได้มาท่ามกลางมนุษย์เป็นการส่วนตัวเพื่อใช้ชีวิตร่วมกับเขา เป็นไปได้ไหมว่าการนี้ไม่ดูเหมือนหายากและล้ำค่าสำหรับพวกเจ้า? พวกเจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำการใช้เวลาของเจ้าอย่างดีที่สุดหรอกหรือ? เจ้าต้องการที่จะปล่อยให้มันผ่านเจ้าไปในหนทางนี้หรือ? เข็มของนาฬิกาบอกเวลาจะสามารถหยุดอย่างฉับพลันในจิตใจของผู้คนได้หรือ? หรือเวลาจะสามารถไหลย้อนกลับได้หรือ? หรือมนุษย์จะสามารถกลับกลายเป็นหนุ่มได้อีกครั้งหรือ? ชีวิตที่ได้รับพระพรของวันนี้จะสามารถมีวันมาอีกครั้งได้หรือ? เราไม่ได้ให้ “บำเหน็จรางวัล” ที่เหมาะสมแก่มนุษย์เพื่อ “ของเสีย” ของเขา เราเพียงแค่ยืนกรานในการทำงานของเรา แยกออกจากสิ่งอื่นใดทั้งหมด และไม่หยุดกระแสแห่งเวลาเพราะมนุษย์ไม่ว่าง หรือเพราะเสียงร้องของเขา เป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่ไม่มีผู้ใดได้มีความสามารถที่จะแบ่งแยกพละกำลังของเรา และไม่มีผู้ใดได้มีความสามารถที่จะพลิกคว่ำแผนการดั้งเดิมของเรา เราจะอยู่เหนือล้ำพื้นที่ และกินเวลาหลายยุค และเริ่มดำเนินการแก่นสำคัญของแผนการทั้งหมดทั้งมวลของเรา ทั้งเหนือและท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง ไม่มีบุคคลสักคนเดียวได้มีความสามารถที่จะได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากเราหรือ “บำเหน็จรางวัล” จากมือของเรา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอ้าปากของพวกเขาและอธิษฐานเพื่อสิ่งเหล่านี้ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะยืดมือของพวกเขาออกไป และเรียกร้องสิ่งเหล่านี้จากเรา โดยลืมสิ่งอื่นทุกสิ่ง ผู้คนเหล่านี้ไม่มีสักคนได้เคยทำให้เราสะเทือนใจ และพวกเขาทั้งหมดได้ถูกผลักถอยหลังโดยเสียงที่ “ไร้หัวใจ” ของเรา ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่าพวกเขา “อายุน้อยเกินไป” และดังนั้น จึงรอให้เราแสดงให้เห็นความปรานีอันยิ่งใหญ่ มีความสงสารเห็นใจต่อพวกเขาเป็นครั้งที่สอง และพวกเขาขอให้เราอนุญาตให้พวกเขาเข้ามาโดยผ่านทางประตูหลัง กระนั้นเราจะสามารถก้าวก่ายแผนการของเราอย่างเรื่อยเปื่อยได้อย่างไร? เราจะสามารถหยุดแผ่นดินโลกไม่ให้หมุนรอบตัวเพื่อประโยชน์แห่งวัยเยาว์ของมนุษย์ได้ไหม เพื่อที่เขาจะสามารถมีชีวิตต่อไปอีกสักหลายปีบนแผ่นดินโลก? สมองของมนุษย์ซับซ้อนเหลือเกิน กระนั้นก็ดูเหมือนว่ามีสิ่งทั้งหลายที่มันขาดพร่องเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ในจิตใจของมนุษย์บ่อยครั้งจะปรากฏ “หนทางน่าอัศจรรย์” เพื่อจงใจทำให้งานของเราหยุดชะงัก
ถึงแม้ว่ามีหลายครั้งมากที่เราได้ให้อภัยมนุษย์ต่อบาปของเขาและได้แสดงให้เขาเห็นความโปรดปรานพิเศษเพราะความอ่อนแอของเขา แต่ก็มีหลายครั้งมากเช่นกันที่เราได้ให้การปฏิบัติต่อที่เหมาะสมแก่เขาเพราะความไม่รู้เท่าทันของเขา มันเป็นเพียงว่ามนุษย์ไม่เคยได้รู้ว่าจะซึ้งคุณค่าความเมตตาของเราอย่างไร จนกระทั่งเขาได้จมลงสู่สถานการณ์ปัจจุบันของเขา นั่นคือ เมื่อถูกปกคลุมด้วยฝุ่นดิน เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่ง ผมของเขาปกปิดศีรษะของเขาเหมือนวัชพืชกอหนึ่ง ใบหน้าของเขาเกรอะกรังด้วยคราบเปื้อน เท้าของเขาสวมใส่ไว้ด้วยรองเท้าทำเองอย่างหยาบๆ มือของเขาเหมือนกรงเล็บของนกอินทรีที่ตายแล้วซึ่งห้อยอย่างอ่อนแรงที่ข้างกายของเขา เมื่อเราเปิดตาของเราและมอง เป็นราวกับว่ามนุษย์เพิ่งได้ปีนออกมาจากบาดาลลึก เราอดไม่ได้ที่จะโกรธ นั่นคือ เราได้ยอมผ่อนปรนต่อมนุษย์เสมอมา กระนั้นเราจะสามารถอนุญาตให้มารมาและไปจากราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเราตามใจชอบของมันได้อย่างไร? เราจะสามารถอนุญาตให้ขอทานกินโดยไม่ต้องจ่ายเงินในครอบครัวของเราได้อย่างไร? เราจะสามารถยอมผ่อนปรนต่อการมีผีโสโครกเป็นแขกในครอบครัวของเราได้อย่างไร? มนุษย์ได้ “เข้มงวดกับตัวเอง” และ “โอนอ่อนต่อผู้อื่น” เสมอมา กระนั้น เขาก็ไม่เคยได้สุภาพนอบน้อมต่อเราแม้เพียงน้อยนิด เพราะเราคือพระเจ้าในสวรรค์ และดังนั้น เขาจึงปฏิบัติต่อเราอย่างแตกต่าง และไม่เคยได้มีความรักใคร่แม้เพียงเล็กน้อยสำหรับเรา มันเป็นราวกับว่าตาของมนุษย์หลักแหลมเป็นพิเศษ นั่นคือ ทันทีที่เขาเผชิญกับเรา สีหน้าบนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีและเขาก็เติมการแสดงออกเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ใบหน้าอันเฉยเมย เย็นชาของเขา เราไม่กำหนดบทลงโทษที่เหมาะสมต่อมนุษย์เพราะท่าทีของเขาต่อเรา แต่เพียงแค่มองดูท้องฟ้าจากเหนือจักรวาลทั้งหลายและจากนั้นก็ดำเนินการงานของเราบนแผ่นดินโลกจนแล้วเสร็จ ในความทรงจำของมนุษย์ เราไม่เคยได้แสดงให้เห็นความเมตตาต่อบุคคลใด แต่เราก็ไม่เคยได้ทำไม่ดีต่อผู้ใดเช่นกัน เพราะมนุษย์ไม่ได้ทิ้ง “ที่นั่งว่าง” ไว้ให้เราในหัวใจของเขา เมื่อเราขว้างความระมัดระวังทิ้งไปกับสายลมและอาศัยอยู่ภายในเขา เขาก็ใช้กำลังบังคับให้เราออกไปอย่างไม่มีพิธีรีตอง และจากนั้นก็ใช้การพูดที่ลื่นไหลและการประจบสอพลอเพื่อสร้างคำแก้ตัว โดยพูดว่าเขาขาดพร่องเกินไปและไม่สามารถจัดเตรียมตัวเองเพื่อความชื่นชมยินดีของเราได้ ขณะที่เขาพูด ใบหน้าของเขากลายเป็นคล้ำลงด้วย “เมฆดำ” อยู่เนืองๆ ราวกับว่าความวิบัติอาจมาท่ามกลางมนุษย์ ณ เวลาใดก็ได้ กระนั้นก็ตาม เขายังคงขอให้เราจากไป โดยไม่พิจารณาถึงอันตรายที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด แม้ว่าเราให้วจนะของเราและความอบอุ่นแห่งอ้อมกอดของเราแก่มนุษย์ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีอวัยวะสำหรับฟัง และดังนั้น เขาจึงไม่ให้ความสนใจแม้เพียงเล็กน้อยต่อเสียงของเรา แต่กลับกุมศีรษะของเขาไว้ขณะที่เขาตีจากไปอย่างรวดเร็ว เราไปจากมนุษย์โดยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็โกรธเล็กน้อยเช่นกัน ในขณะเดียวกัน มนุษย์ก็หายไปในทันทีท่ามกลางการโจมตีของพายุใหญ่และคลื่นทรงพลัง ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ร้องเรียกเรา แต่เขาจะสามารถส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของลมและคลื่นได้อย่างไร? ร่องรอยทั้งหมดของมนุษย์ก็สูญหายทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งไม่ได้พบเจอเขาที่ใดเลย
ก่อนหน้ายุคทั้งหลายนั้น เราได้มองดูแผ่นดินทั้งหมดจากเหนือจักรวาลทั้งหลาย เราได้วางแผนภาระหน้าที่ยิ่งใหญ่บนแผ่นดินโลก นั่นคือ การสร้างมวลมนุษย์ผู้ซึ่งสมดังใจเรา และการสร้างราชอาณาจักรบนแผ่นดินโลกเหมือนกับราชอาณาจักรที่อยู่ในสวรรค์ โดยอนุญาตให้ฤทธานุภาพของเราเติมเต็มท้องฟ้าและให้สติปัญญาของเรากระจายไปทั่วทั้งจักรวาล และดังนั้นในวันนี้ หลายพันปีต่อมา เราดำเนินการแผนการของเราต่อไป กระนั้น ไม่มีผู้ใดรู้เกี่ยวกับแผนการหรือการบริหารจัดการของเราบนแผ่นดินโลก และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะมองเห็นราชอาณาจักรของเราบนแผ่นดินโลก ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงไล่ตามเงา และมาเบื้องหน้าเราเพื่อพยายามหลอกเรา โดยต้องการจ่าย “ราคาเงียบ” สำหรับพรทั้งหลายของเราในสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงยั่วยุความโกรธของเราและเรานำการพิพากษามาสู่เขา แต่เขาก็ยังคงไม่ตื่นรู้ มันเป็นราวกับว่าเขากำลังทำงานอยู่ใต้ดิน โดยไม่รู้เท่าทันอย่างครบบริบูรณ์ต่อสิ่งซึ่งอยู่เหนือพื้นดินในขณะที่เขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาสิ่งใดนอกเหนือไปจากความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเขาเอง ท่ามกลางผู้คนทั้งหมด เราไม่เคยได้เห็นผู้ใดที่มีชีวิตภายใต้ความสว่างสุกใสของเรา พวกเขามีชีวิตในพิภพโลกแห่งความมืด และดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้กลายเป็นคุ้นเคยกับการมีชีวิตท่ามกลางความหม่นหมอง เมื่อความสว่างมา พวกเขาอยู่ห่างไปไกล และมันเป็นราวกับว่าความสว่างได้รบกวนงานของพวกเขา ผลลัพธ์คือพวกเขาดูรู้สึกรำคาญเล็กน้อย ราวกับว่าความสว่างได้พังทลายสันติสุขของพวกเขาทั้งหมดและทิ้งให้พวกเขาไร้ความสามารถที่จะนอนหลับสนิทได้ ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงเรียกพละกำลังของเขาทั้งหมดมาเพื่อขับไล่ความสว่างไปเสีย ความสว่างก็เช่นกันดูเหมือนจะขาดพร่องความตระหนักรู้ และดังนั้น จึงปลุกเร้าให้มนุษย์ตื่นจากหลับของเขา และเมื่อมนุษย์ตื่นขึ้น เขาก็หลับตาลง ท่วมท้นด้วยความโมโห เขาค่อนข้างไม่พอใจกับเรา กระนั้น ในหัวใจของเรา เรารู้เรื่องดี เราค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นของความสว่าง ทำให้ผู้คนทั้งหมดมีชีวิตท่ามกลางความสว่างของเรา จนกระทั่งไม่นานต่อมา พวกเขากลายเป็นชำนาญในการคบหาสมาคมกับความสว่าง และยิ่งไปกว่านั้น ทั้งหมดทะนุถนอมความล้ำค่าของความสว่าง ณ เวลานี้ ราชอาณาจักรของเราได้มาท่ามกลางมนุษย์แล้ว ผู้คนทั้งหมดเต้นรำด้วยความชื่นบานยินดีและเฉลิมฉลอง แผ่นดินโลกเต็มไปด้วยความยินดีปรีดาในฉับพลัน และหลายพันปีแห่งความเงียบก็ถูกทำลายโดยการมาถึงของความสว่าง…
26 มีนาคม ค.ศ. 1992