บทที่ 9
ในเมื่อเจ้าอยู่ท่ามกลางผู้คนในครอบครัวของเรา และในเมื่อเจ้าสัตย์ซื่อในราชอาณาจักรของเรา เจ้าต้องยึดมั่นต่อมาตรฐานของข้อพึงประสงค์ของเราในทุกสิ่งที่เจ้าทำ เราไม่ได้ขอให้เจ้าเป็นอะไรมากไปกว่าก้อนเมฆที่ล่องลอย แต่ให้เจ้าเป็นหิมะที่เปล่งประกาย และครอบครองแก่นแท้ของมัน และยิ่งกว่านั้น คุณค่าของมันด้วย เพราะเรามาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เราจึงไม่เหมือนดอกบัวซึ่งมีเพียงชื่อและไม่มีแก่นแท้ เนื่องจากมันมาจากโคลนตมและไม่ใช่จากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เวลาที่สวรรค์ใหม่เคลื่อนลงสถิตบนแผ่นดินโลกและโลกใหม่แผ่ขยายไปทั่วท้องฟ้าแน่นอนว่าก็เป็นเวลาที่เรากำลังทำงานอย่างเป็นกิจจะลักษณะท่ามกลางมนุษย์อีกด้วย ใครเล่าท่ามกลางมนุษยชาติที่รู้จักเรา? ใครเล่าได้เห็นชั่วขณะของการมาถึงของเรา? ใครเล่าได้เห็นว่าเราไม่เพียงมีชื่อเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น ยังครองแก่นแท้อีกด้วย? เรากวาดก้อนเมฆสีขาวออกไปด้วยมือของเราและเฝ้าสังเกตท้องฟ้าอย่างใกล้ชิด ไม่มีอะไรในอวกาศที่ไม่ถูกจัดการเตรียมการด้วยมือของเรา และภายใต้มือของเรา ไม่มีใครไม่มีส่วนช่วยด้วยความพยายามเล็กน้อยของเขาหรือเธอให้กับความสำเร็จลุล่วงของกิจการเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ของเรา เราไม่ได้ทำการเรียกร้องอย่างหนักหน่วงจากผู้คนบนแผ่นดินโลก เนื่องจากเราได้เป็นพระเจ้าผู้ทรงภาคปฏิบัติตลอดมาและเพราะเราเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ได้สร้างมนุษย์และรู้จักพวกเขาดี ผู้คนทั้งหมดอยู่เบื้องหน้าพระเนตรแห่งองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แม้แต่พวกที่อยู่ในมุมที่ห่างไกลที่สุดของแผ่นดินโลกจะสามารถหลีกเลี่ยงการพินิจพิเคราะห์โดยวิญญาณของเราได้อย่างไร? แม้ว่าผู้คน “รู้จัก” วิญญาณของเรา แต่พวกเขายังคงทำให้วิญญาณของเราขุ่นเคือง วจนะของเราแผ่วางใบหน้าที่น่าเกลียดของผู้คนทั้งหมด รวมถึงความคิดที่อยู่ข้างในสุดของพวกเขา และทำให้ทั้งหมดบนแผ่นดินโลกถูกทำให้ชัดเจนโดยความสว่างของเราและล้มลงท่ามกลางการพินิจพิเคราะห์ของเรา อย่างไรก็ตาม แม้จะล้มลง แต่หัวใจของพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะไถลห่างไปไกลจากเรา ในบรรดาวัตถุแห่งการทรงสร้าง ใครเล่าไม่ได้มารักเราอันเป็นผลจากกิจการของเรา? ใครเล่าไม่โหยหาเราอันเป็นผลจากวจนะของเรา? มีใครบ้างไหมที่ไม่ก่อเกิดความรู้สึกของความผูกพันอันเป็นผลจากความรักของเรา? เป็นเพียงเพราะการทำให้เสื่อมทรามของซาตานเท่านั้นนั่นเอง มนุษย์จึงไร้ความสามารถที่จะเข้าถึงสภาวะที่เราพึงประสงค์ แม้แต่มาตรฐานต่ำที่สุดที่เราพึงประสงค์ก็สร้างความคลางแคลงใจในผู้คน โดยไม่ต้องพูดถึงวันนี้—ในยุคสมัยนี้ที่ซาตานวิ่งพล่านและเป็นเผด็จการอย่างบ้าคลั่ง—หรือเวลาที่มนุษย์ถูกเหยียบย่ำโดยซาตานอย่างหนักเสียจนร่างกายของพวกเขาถูกปกคลุมไปทั่วด้วยสิ่งโสโครก เมื่อใดเล่าที่ความล้มเหลวของมนุษย์ในการดูแลหัวใจของเราอันเป็นผลจากความชั่วช้าของพวกเขาไม่ได้ทำให้เราตรอมใจ? เป็นไปได้ไหมว่าเราสงสารซาตาน? เป็นไปได้ไหมว่าเราเข้าใจผิดในความรักของเรา? เมื่อผู้คนไม่เชื่อฟังเรา หัวใจของเราก็ร่ำไห้อย่างลับๆ เมื่อพวกเขาต้านทานเรา เราก็ตีสอนพวกเขา เมื่อพวกเขาถูกเราช่วยให้รอดและฟื้นคืนชีพจากความตาย เราก็บำรุงเลี้ยงพวกเขาด้วยความเอาใจใส่สูงสุด เมื่อพวกเขานบนอบต่อเรา หัวใจของเราก็จะสงบและเราก็สำนึกรับรู้ทันทีถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในฟ้าสวรรค์และในทุกสรรพสิ่ง เมื่อมนุษย์สรรเสริญเรา เราจะสามารถไม่ชื่นชมมันได้อย่างไร? เมื่อพวกเขารู้เห็นเราและได้รับการรับไว้โดยเรา เราจะสามารถไม่รู้สึกมีเกียรติได้อย่างไร? เป็นไปได้ไหมว่า ไม่ว่ามนุษย์จะปฏิบัติตนและประพฤติตัวอย่างไรก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองและการจัดหาของเรา? เมื่อเราไม่ได้ให้การชี้ทาง ผู้คนก็จะอยู่เฉยและเฉื่อยชา นอกจากนี้ เมื่อลับหลังเรา พวกเขาเข้าร่วมในกิจกรรมสกปรกที่ “น่ายกย่อง” เหล่านั้น เจ้าคิดหรือไม่ว่าเนื้อหนังซึ่งเราใช้สวมใส่กับตัวเราเองนั้น ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการกระทำของเจ้า พฤติกรรมของเจ้า และคำพูดของเจ้า? หลายปีแล้วที่เราได้สู้ทนลมและฝน และเราก็ยังได้รับประสบการณ์ความขมขื่นของโลกมนุษย์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาไตร่ตรองใกล้ชิดขึ้น ไม่มีความทุกข์ในปริมาณใดสามารถทำให้มนุษย์ที่มีเนื้อหนังสูญเสียความหวังในเรา และนับประสาอะไรที่ความหวานใดจะสามารถทำให้มนุษย์แห่งเนื้อหนังกลายเป็นเย็นชา ท้อใจ หรือเมินเฉยต่อเรา จริงหรือที่ความรักของพวกเขาต่อเรานั้นจำกัดอยู่ที่การขาดความทุกข์หรือไม่ก็การขาดความหวาน?
ในวันนี้ เราอาศัยอยู่ในเนื้อหนังและได้เริ่มดำเนินงานที่เราต้องทำอย่างเป็นทางการแล้ว แม้ว่ามนุษย์จะกลัวเสียงของวิญญาณของเรา แต่พวกเขาก็ต่อต้านแก่นแท้ของวิญญาณของเรา เราไม่จำเป็นต้องอธิบายอย่างละเอียดว่ามันยากเพียงใดที่มนุษย์จะรู้จักเราในสภาวะเนื้อหนังในวจนะของเรา ดังที่เราได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เราไม่ได้เข้มงวดในข้อพึงประสงค์ของเรา และมันไม่จำเป็นที่พวกเจ้าต้องสัมฤทธิ์ผลความรู้เต็มรูปแบบเกี่ยวกับเรา (เนื่องจากมนุษย์นั้นขาดพร่อง นี่คือสภาพเงื่อนไขโดยธรรมชาติ และไม่มีสภาพเงื่อนไขใดซึ่งได้มาภายหลังจะสามารถชดเชยได้) เจ้าเพียงแค่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดที่เราได้ทำและพูดจบไปแล้วในรูปลักษณ์เนื้อหนัง ในเมื่อข้อพึงประสงค์ของเราไม่เข้มงวด มันจึงเป็นความหวังของเราว่าพวกเจ้าทั้งหมดสามารถมารู้จักกับกิจการและวจนะเหล่านี้ และสัมฤทธิ์ผลการบรรลุ เจ้าต้องปลดเปลื้องตัวเองจากมลทินต่างๆ ของเจ้าในโลกที่โสมมนี้ เจ้าต้องเพียรพยายามสร้างความก้าวหน้าใน “ครอบครัวแห่งจักรพรรดิ” ที่ล้าหลังนี้ และเจ้าต้องไม่มีวันปล่อยให้ตนเองย่อหย่อน เจ้าไม่ควรโอนอ่อนกับตัวเองแม้แต่น้อย เจ้าจะจำเป็นต้องอุทิศเวลาและความพยายามอย่างมากเพื่อที่จะได้รู้ในสิ่งที่เราเอ่ยในวันเดียว และมันต้องใช้เวลาตลอดชีวิตที่จะรับประสบการณ์และได้รับความรู้จากแม้เพียงประโยคเดียวที่เราพูดออกไป วจนะที่เรากล่าวนั้นไม่คลุมเครือและไม่เป็นนามธรรม และไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่า ผู้คนมากมายหวังจะได้รับวจนะของเรา แต่เราไม่ใส่ใจพวกเขาเลย ผู้คนมากมายกระหายความอุดมสมบูรณ์ของเรา แต่เราไม่ให้พวกเขาแม้แต่น้อย ผู้คนมากมายปรารถนาที่จะเห็นใบหน้าของเรา แต่เราก็ได้ซ่อนเร้นมันไว้ตลอด ผู้คนมากมายฟังเสียงเราอย่างตั้งใจ แต่เราหลับตาลงแล้วเอียงศีรษะไปด้านหลัง โดยไม่สะทกสะท้านต่อ “การโหยหา” ของพวกเขา ผู้คนมากมายกลัวเสียงพูดของเรา แต่วจนะของเราเป็นทางรุกเสมอ ผู้คนมากมายหวาดกลัวที่จะเห็นใบหน้าของเรา แต่เราก็ปรากฏตัวโดยเจตนาเพื่อที่จะกำราบพวกเขาลง พวกมนุษย์ไม่เคยได้เห็นใบหน้าของเราอย่างแท้จริง อีกทั้งพวกเขาไม่เคยได้ยินเสียงของเราอย่างแท้จริงเช่นกัน นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้จักเราอย่างแท้จริง แม้ว่าพวกเขาอาจจะถูกเรากำราบ แม้ว่าพวกเขาอาจจะทิ้งเราไป และแม้ว่าพวกเขาอาจจะถูกมือเราตีสอน แต่พวกเขายังคงไม่รู้ว่าทั้งหมดที่พวกเขาทำก็เพื่อไล่ตามหัวใจของเราเองอย่างแท้จริงหรือไม่ และยังคงไม่รู้เท่าทันว่าเป็นใครกันแน่ที่เราเปิดเผยหัวใจของเราให้ นับตั้งแต่การสร้างโลกเป็นต้นมา ไม่มีใครได้เคยรู้จักเราอย่างแท้จริงหรือได้เห็นเราอย่างแท้จริง และแม้ว่าเราได้บังเกิดเป็นมนุษย์ในวันนี้ พวกเจ้าก็ยังคงไม่รู้จักเรา นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ? เจ้าเคยได้เห็นการกระทำและอุปนิสัยของเราในเนื้อหนังแม้แต่น้อยหรือไม่?
ในสวรรค์คือที่ที่เราเอนกาย และใต้ฟ้าเป็นที่ที่เราได้พักผ่อน เรามีที่ให้อยู่อาศัย และเรามีเวลาที่เราแสดงฤทธานุภาพของเรา หากเราไม่ได้อยู่บนแผ่นดินโลก หากเราไม่ได้ปกปิดตัวเองไว้ในเนื้อหนัง และหากเราไม่ได้ถ่อมตนและหลบซ่อนแล้วไซร้ สวรรค์และแผ่นดินโลกจะไม่เปลี่ยนแปลงไปนานแล้วเช่นนั้นหรือ? พวกเจ้า ประชากรของเรา จะไม่ได้ถูกเราใช้แล้วเช่นนั้นหรือ? อย่างไรก็ตาม มีปัญญาในการกระทำของเรา และแม้ว่าเราตระหนักรู้อย่างเต็มที่ถึงการชอบหลอกลวงของพวกมนุษย์ แต่เราก็ไม่ทำตามตัวอย่างของพวกเขา แต่กลับให้บางสิ่งแก่พวกเขาเป็นการแลกเปลี่ยน ปัญญาของเราในอาณาจักรแห่งจิตวิญญาณนั้นไม่มีที่สิ้นสุด และปัญญาของเราในเนื้อหนังนั้นคงอยู่ชั่วกัลปาวสาน นี่ไม่ใช่ชั่วขณะจริงที่กิจการของเราถูกทำให้ชัดแจ้งหรอกหรือ? เราได้ให้อภัยและยกโทษให้พวกมนุษย์หลายครั้งในยุคแห่งราชอาณาจักร ตราบจนวันนี้ เราจะสามารถหน่วงเหนี่ยวเวลาของเราต่อไปได้อีกอย่างแท้จริงหรือ? แม้ว่าเราจะค่อนข้างมีความปรานีต่อ พวกมนุษย์ที่เปราะบาง แต่เมื่องานของเราครบบริบูรณ์ เราจะยังคงสามารถนำความยุ่งยากมาสู่ตัวเองด้วยการทำงานเก่าได้หรือ? เราจะเจตนายอมให้ซาตานกล่าวหาเราหรือไม่? เราไม่จำเป็นต้องให้พวกมนุษย์ทำสิ่งใดนอกจากยอมรับความเป็นจริงของวจนะของเราและความหมายดั้งเดิมของวจนะเหล่านั้น แม้ว่าวจนะของเราจะเรียบง่าย แต่ในแก่นแท้แล้ว ก็ซับซ้อน เพราะพวกเจ้าเล็กเกินไปและได้กลายเป็นด้านชาเกินไป เมื่อเราเปิดเผยความล้ำลึกต่างๆ ของเราโดยตรงและทำให้เจตจำนงของเราชัดแจ้งในเนื้อหนัง พวกเจ้าไม่สังเกต เจ้าฟังเสียง แต่ไม่เข้าใจความหมายของมัน เราพ่ายแพ้ต่อความโทมนัส แม้ว่าเราจะอยู่ในเนื้อหนัง แต่เราก็ไร้ความสามารถที่จะทำงานของพันธกิจของเนื้อหนังได้
ใครเล่าได้มารู้จักกิจการของเราในเนื้อหนังจากวจนะและการกระทำของเรา? เมื่อเราเปิดเผยความล้ำลึกทั้งหลายของเราเป็นลายลักษณ์อักษร หรือพูดถึงความล้ำลึกเหล่านั้นดังๆ ผู้คนทั้งหมดก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก พวกเขาหลับตาลงในความเงียบ ทำไมสิ่งที่เราพูดจึงไม่สามารถจับความเข้าใจได้สำหรับมนุษย์? ทำไมวจนะของเราจึงยากหยั่งถึงสำหรับพวกเขา? ทำไมพวกเขาถึงตาบอดนักต่อกิจการของเรา? ใครเล่าสามารถเห็นเราและไม่มีวันลืม? มีใครบ้างท่ามกลางพวกเขาที่สามารถได้ยินเสียงของเราและไม่ยอมให้ผ่านพวกเขาไป? ใครเล่าสามารถสำนึกรับรู้เจตจำนงของเราและทำให้หัวใจเราพอใจ? เรามีชีวิตและเคลื่อนไหวท่ามกลางผู้คน เราได้มารับประสบการณ์ชีวิตของพวกเขา—และแม้ว่าเรารู้สึกว่าทุกสิ่งดีแล้วหลังจากเราที่ได้สร้างพวกมันเพื่อมนุษย์ เราก็ไม่ได้รับความชื่นบานยินดีจากชีวิตท่ามกลางมนุษย์และไม่ได้รับความเปรมปรีดิ์จากความสุขใดท่ามกลางพวกเขา เราไม่รังเกียจและละทิ้งพวกเขา แต่เราก็ไม่ยอมอ่อนไหวต่อพวกเขาด้วย—เนื่องจากพวกมนุษย์ไม่รู้จักเรา พวกเขาจึงพบว่าเป็นการยากที่จะเห็นใบหน้าของเราในความมืด ท่ามกลางเสียงอึกทึกทั้งหมดนั่น พวกเขามีปัญหาหนักในการได้ยินเสียงของเราและไร้ความสามารถที่จะหยั่งรู้สิ่งที่เราพูดได้ ดังนั้น โดยผิวเผินแล้ว ทั้งหมดที่พวกเจ้าทำอยู่ในการนบนอบต่อเรา แต่ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้ายังคงไม่เชื่อฟังเรา อาจกล่าวได้ว่าธรรมชาติเก่าของมวลมนุษย์ทั้งปวงเป็นเช่นนี้แหละ ใครเล่าคือข้อยกเว้น? ใครเล่าไม่ใช่วัตถุแห่งการตีสอนของเรา? อย่างไรก็ตาม ใครเล่าไม่ได้มีชีวิตภายใต้การยอมผ่อนปรนของเรา? หากมนุษย์ทั้งมวลได้ถูกความพิโรธของเราทำลาย อะไรเล่าจะเป็นนัยสำคัญของการสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกของเรา? ครั้งหนึ่ง เราได้เตือนผู้คนมากมาย เตือนสติผู้คนมากมาย และพิพากษาผู้คนมากมายโดยเปิดเผย—นี่ไม่ดีมากกว่าการทำลายมนุษยชาติโดยตรงหรอกหรือ? จุดมุ่งหมายของเราคือไม่ทำให้ผู้คนถึงตาย แต่ทำให้พวกเขารู้ถึงกิจการทั้งหมดของเราท่ามกลางการพิพากษาของเรา เมื่อพวกเจ้าขึ้นจากบาดาลลึก—กล่าวคือ เมื่อเจ้าปลดปล่อยตัวเองจากการพิพากษาของเรา—บรรดาการพิจารณาและแผนการส่วนตัวของพวกเจ้าจะหายไปทั้งหมด และทุกคนก็จะทะเยอทะยานที่จะทำให้เราพึงพอใจ ในการนี้ เราจะไม่ได้สัมฤทธิ์ผลเป้าหมายของเราแล้วหรอกหรือ?
1 มีนาคม ค.ศ. 1992