เรื่องราวของการรายงานผู้นำเทียมเท็จ

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

โดย หลิว หยาง, เกาหลีใต้

ในปี 2010 ฉันกำลังทำหน้าที่บรรณาธิการในคริสตจักร ในการปฏิสัมพันธ์กับคุณหลี่ หนึ่งในผู้นำคริสตจักร ฉันเรียนรู้ว่าเธอได้รับเลือกเป็นผู้นำคริสตจักรเพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่เธอเริ่มเชื่อในพระเจ้า เธอบอกพวกเราบ่อยๆ ว่า “สองสามปีนี้ พระเจ้าทรงมีพระเมตตาต่อฉันเสมอ บรรดาผู้นำของฉันย้ายฉันไปตามคริสตจักรต่างๆ ที่มีความยากลำบากอยู่เสมอ บางครั้งฉันก็ไม่อยากไป แต่ฉันรู้ว่านี่คือพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้น ฉันเลยไม่สามารถคำนึงถึงผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของฉันได้ ฉันต้องภักดีต่อพระเจ้า ดังนั้นฉันจึงยอมรับ ทุกๆ คริสตจักรที๋ฉันไป ฉันพูดคุยกับผู้คนมากมาย แล้วคริสตจักรที่อยู่ในความวุ่นวาย ก็กลับคืนสู่ปกติ และชีวิตคริสตจักรและงานข่าวประเสริฐก็ได้ผลอีกครั้ง บางครั้งฉันเผชิญกับความยากลำบาก แต่ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้า พระเจ้าทรงเปิดทางเบื้องหน้า และทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น ฉันเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าช่างยอดเยี่ยม…” ในตอนนั้น การได้ยินประสบการณ์ของคุณหลี่ทำให้ฉันชื่นชมเธอ ฉันคิดว่าเธอสามารถแบกรับภาระและเป็นคนทำงานที่มีความสามารถ จำได้ว่าก่อนการพบปะครั้งหนึ่งฉันกำลังคุยเล่น และคุณหลี่ก็ขัดฉันด้วยการพูดว่า “เวลาที่นี่มีค่า ดังนั้นอย่าคุยเล่นกันในการพบปะเลย เรามาใช้เวลานี้เพื่อสามัคคีธรรมบนพระวจนะของพระเจ้ากันเถอะ” การได้ยินเธอพูดแบบนั้นทำให้ฉันอายนิดหน่อย แต่ฉันก็ยิ่งชื่นชมเธอยิ่งกว่าเดิม ฉันคิดว่า “หลายปีที่ผ่านมา ฉันได้พบผู้นำหลายคน แต่คุณหลี่เป็นคนแรกที่ฉันได้พบที่ช่างจริงจัง ช่างเคร่งครัด แล้วก็ทุ่มเทให้กับการไล่ตามความจริง” ฉันยกย่องและชื่นชมเธอมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่หลังจากที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเธอไปนานๆ ฉันตระหนักว่า ถึงการสามัคคีธรรมของเธอจะมีเหตุผลดีเสมอ และภายนอกเธอก็ดูเหมือนกับคนที่ไล่ตามความจริง เธอแทบจะไม่ให้การสามัคคีธรรมว่าเธอได้ทบทวนและได้รู้จักตัวเองตามพระวจนะของพระเจ้า หรือประสบการณ์จริงของเธอทางพระวจนะของพระเจ้าเลย การสามัคคีธรรมของเธอส่วนใหญ่เป็นการยกย่องตัวเองและอวดตัวในรูปแบบต่างๆ เพื่อทำให้คนอื่นคิดว่า เธอได้รับการบ่มเพาะและถูกใช้ในบทบาทสำคัญโดยพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อที่คนอื่นจะได้ชื่นชมเธอ แต่ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น คือข้อเท็จจริงที่ว่า ในเรื่องสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า เธอไม่ได้ปฏิบัติความจริง และเธอก็โกหกหลอกลวงตาไม่กระพริบ หลบเลี่ยงความรับผิดชอบ และพยายามปกป้องตัวเอง ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่ง คุณซุน ผู้นำที่รับผิดชอบงานของคุณหลี่ ทำความผิดในคริสตจักร เขายักยอกและยึดเอาของถวายของพระเจ้า และเขาถูกขนานนามว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์และถูกขับออก คุณหลี่ตระหนักถึงการกระทำอันชั่วร้ายของคุณซุน และที่จริงเธอก็มีส่วนในเรื่องพวกนั้นด้วย แต่หลังจาที่คุณซุนถูกขับออก เราได้คุยถึงการกระทำอันชั่วร้ายของคุณซุน และคุณหลี่ไม่เพียงปฏิเสธการมีส่วนร่วมในความชั่วร้ายของคุณซุน แต่เธอยังไม่ได้ทบทวนตัวเองหรือกลับใจต่อพระเจ้า และเธอก็สร้างภาพว่า ตัวเธอไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย ราวกับว่าเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย และไม่ได้มีส่วนในเรื่องนั้นเลยค่ะ ในตอนนั้น ฉันค้นพบว่าคุณหลี่พูดอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง เธอเป็นคนปากว่าตาขยิบ เพราะคุณหลี่ชำนาญในการปิดบังตัวเองและหลอกลวงด้วยถ้อยคำที่สูงส่ง สีหน้าแห่งการเทิดทูนบูชาก็ปรากฏขึ้น บนใบหน้าของพี่น้องชายหญิงบางคนเมื่อเอ่ยถึงชื่อเธอ เมื่อฉันกับคู่ทำงานเห็นพฤติกรรมของคุณหลี่ และผลสืบเนื่องของงานและการสามัคคีธรรมของเธอ เราใช้หลักธรรมแห่งปัญญาแยกแยะผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ ลงความเห็นว่าคุณหลี่เป็นผู้นำเทียมเท็จ และเขียนจดหมายรายงานเรื่องพวกนี้เกี่ยวกับคุณหลี่ไปยังบรรดาผู้นำของพวกเรา

หลังจากที่ส่งจดหมายไป เราก็รอให้บรรดาผู้นำของเราตรวจสอบในสิ่งที่เราพูดเกี่ยวกับคุณหลี่ แต่หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน เราก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับ ฉันกับคู่หูเฝ้าสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ และวันหนึ่ง คุณหลี่มาพบปะกับเราอย่างมีความสุข และบอกว่าพวกผู้นำตั้งใจจะฝึกฝนเธอ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ฉันคิดว่า “แทนที่เธอจะถูกปลด ผู้นำเทียมเท็จคนนี้กลับได้รับการฝึกฝน และถูกใช้ในหน้าที่สำคัญงั้นหรือ? เรารายงานเธอไปอย่างไม่ถูกต้อง เพราะเราไม่เข้าใจในหลักธรรมแห่งความจริงและขาดปัญญาแยกแยะหรือเปล่า?” หลังจากผ่านไปได้ราวเดือนกว่าๆ คุณหลี่ก็มาอีกครั้ง เพื่อพูดว่าคริสตจักรกำลังวางแผนที่จะคัดเลือกผู้นำใหม่ๆ และว่าพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่มีการประเมินในเชิงบวกต่อเธอ และต้องการเลือกเธอมาเป็นผู้นำ เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉันก็ตกตะลึง ฉันคิดว่า “คุณหลี่ช่างเจ้าเล่ห์ฉลาดแกมโกง เธอไม่เหมาะจะเป็นผู้นำเลยสักนิด ฉันควรเขียนจดหมายเพื่อรายงานคุณหลี่อีกฉบับ” แต่ในขณะที่ฉันกำลังเตรียมเขียนจดหมาย ฉันก็ลังเลขึ้นมา ณ จุดนั้น มีคนมากมายเหลือเกินที่ขาดปัญญาแยกแยะเรื่องคุณหลี่ และถูกหลอกโดยภาพลักษณ์ภายนอกอันเทียมเท็จของเธอ ถ้าฉันเขียนจดหมายเพื่อรายงานเธออีกครั้ง และพวกผู้นำของเราไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริง พวกเขาจะคิดว่าฉันยังเจ็บแค้นคุณหลี่อยู่หรือเปล่านะ? ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคุณหลี่รู้ว่าฉันเป็นคนเขียนจดหมาย เธอจะไม่พอใจ และพยายามบ่อนทำลายฉันอย่างลับๆ รึเปล่า? เหนือสิ่งอื่นใน หนังสือพระวจนะของพระเจ้า การเทศนา และการสามัคคีธรรมที่เรากำลังเผยแพร่ต่างก็ผ่านเธอทั้งหมด ดังนั้น ถ้าเราล่วงเกินเธอ เธอก็ไม่จำเป็นต้องกดดันเราโดยตรงในทางใดเลย แค่ไม่สนใจเรา ก็พอที่จะทำให้เราอับจนหนทางแล้ว การคิดถึงสิ่งเหล่านั้นทำให้ฉันรู้สึกขัดแย้งมาก ฉันควรจะรายงานเธออีกครั้ง หรือว่าลืมเรื่องเธอไปซะ? ขณะที่ฉันกำลังพิจารณาผลประโยชน์ อนาคต และชะตากรรมของฉันเอง มันรู้สึกราวกับว่ามีอิทธิพลมืดที่มองไม่เห็นผูกมัดและบีบบังคับฉัน เพื่อปกป้องตัวเองจากการกดขี่ของเธอ ฉันดิ้นรนเล็กน้อย และในท้ายที่สุดก็ตัดสินใจที่จะประนีประนอม ฉันตัดสินใจที่จะเก็บเรื่องการรายงานเธอเอาไว้ก่อนในตอนนี้ ฉันปลอบใจด้วยการบอกตัวเองว่า “อย่างน้อยตอนนี้เราก็มีปัญญาแยกแยะเรื่องคุณหลี่แล้ว และจะไม่ถูกเธอหลอกอีก นี่มากพอสำหรับตอนนี้ บางทีสักวันหนึ่ง พระเจ้าจะทรงเปิดเผยสิ่งต่างๆ และทุกคนก็จะได้รับการหยั่งรู้เกี่ยวกับคุณหลี่ และเห็นในสิ่งที่เธอเป็น เมื่อวันนั้นมาถึง เธอก็จะถูกแทนที่อย่างแน่นอน”

หนึ่งเดือนกว่าผ่านไป เราได้รับจดหมายจากพี่น้องหญิงสองคน จดหมายจากพี่น้องหญิงทั้งสองนี้บอกว่า พวกเธอได้หยั่งรู้คุณหลี่ว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ และต้องการรายงานเธอ และพวกเธอก็ถามความคิดเห็นของเรา และถามว่าเรามีคำแนะนำอะไรหรือเปล่า ฉันคิดถึงที่ว่า เราไม่ได้รับจดหมายตอบกลับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เราได้รายงานคุณหลี่ไป ถ้าเรารายงานอีกครั้ง ผู้นำของเราอาจจะบอกว่า เราได้ตั้งกลุ่มเพื่อโจมตีผู้นำ และกำลังรบกวนงานคริสตจักรรึเปล่า? ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้น ก็มีแนวโน้มมากว่าจะเป็นก่อนที่คุณหลี่จะถูกปลด เราที่เป็นคนรายงานเธอ จะถูกแทนที่และถูกส่งกลับบ้านเสียเอง ด้วยความคิดนี้ในใจ ฉันกับคู่ทำงานจึงตอบจดหมายพี่น้องหญิงทั้งสองว่า “พวกคุณสามารถรายงานเธอได้เอง เมื่อก่อนเราเคยรายงานเธอแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้น ครั้งนี้เราจะไม่รายงานเธออีก” หลังจากที่เราตอบไป ฉันก็รู้สึกผิดมาก ฉันตระหนักว่าฉันกำลังหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ และเล่นตุกติกเพื่อปกป้องตัวเอง มันช่างขี้ขลาดและหดหัวต่อหน้าอิทธิพลมืด เพื่อให้ฉันไม่ต้องประณามตัวเองในใจ ฉันใช้เหตุผลเดียวกับก่อนหน้านี้ปลอบใจตัวเองว่า “สำหรับตอนนี้ มีคนขาดการแยะแยะต่อคุณหลี่มากเกินไป ถ้าเรายืนยันที่จะรายงานเธอ และสนับสนุนให้ปลดเธอ เหล่าพี่น้องชายหญิงจะไม่ยินยอม พวกเขาจะพยายามปกป้องเธอ เราควรรอจนกระทั่งพี่น้องชายหญิงมีปัญญาแยกแยะ เมื่อเวลาเหมาะสม เธอย่อมจะถูกแทนที่ไปเองตามธรรมชาติ” ถึงแม้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ฉันคิด ทุกครั้งที่ฉันเห็นบทตอนของพระวจนะของพระเจ้าเรื่องการเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ ฉันก็รู้สึกว่าถูกมโนธรรมของฉันประณาม ฉันอดไม่ได้ที่จะคิดว่า ถ้าฉันไม่แก้ปัญหาเรื่องผู้นำเทียมเท็จตรงหน้าฉัน ไม่ใช่ว่าฉันกำลังฝืนทนและมอบที่กำบังให้ซาตานในขณะที่มันก่อกวนและรบกวนงานคริสตจักรหรือ? โดยเฉพาะเมื่อฉันเห็นว่า พี่น้องชายหญิงที่เป็นเจ้าบ้านให้เราชื่นชมหลี่ ทันทีที่เราเปิดโปงพฤติกรรมของเธอว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ พวกเขาจะไม่ได้แค่ขาดปัญญาแยกแยะ พวกเขายังจะโกรธเคืองและตำหนิเราด้วย และคิดว่าเรากำลังจงใจโจมตีคุณหลี่ เมื่อฉันเห็นว่าผู้นำเทียมเท็จคนนี้ได้หลอกลวงผู้คนอย่างล้ำลึกแค่ไหน และไม่รู้ว่ามีพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรที่ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงนี้มากเท่าไร ฉันก็รู้สึกยิ่งกว่าเดิมว่า ผู้นำเทียมเท็จเป็นตัวถ่วงและสิ่งกีดขวางการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ในตอนนั้น ฉันไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการที่คุณหลี่ถูกแทนที่ให้เร็วที่สุด แต่ฉันก็ไม่มีความกล้าที่จะเขียนจดหมายเพื่อรายงานเธออีกครั้ง แม้แต่แค่หลีกเลี่ยงที่จะล่วงเกินพี่น้องชายหญิงที่เป็นเจ้าบ้านให้เรา ฉันก็ไม่กล้าเปิดโปงพฤติกรรมของคุณหลี่ค่ะ แต่ในหัวใจของฉัน ฉันประณามและกล่าวโทษตัวเอง ฉันสงสัยว่าฉันขี้ขลาดและไร้ประโยชน์ขนาดนี้ได้ยังไง ฉันเห็นผู้นำเทียมเท็จคนหนึ่งกำลังรบกวนงานของคริสตจักรและไม่กล้ารายงาน ฉันไม่กล้าแม้แต่จะพูดความจริง ฉันไม่ได้เป็นแค่ทาสของซาตานหรอกหรือ? ฉันคิดถึงบทตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้า “เจ้าทั้งปวงกล่าวว่าเจ้าคำนึงถึงพระภาระของพระเจ้า และจะปกป้องคำพยานของคริสตจักร แต่ใครหรือในหมู่พวกเจ้าที่ได้คำนึงถึงพระภาระของพระเจ้าจริงๆ? จงถามตัวเจ้าเองว่า เจ้าเป็นใครคนหนึ่งซึ่งได้แสดงให้เห็นความคำนึงถึงพระภาระของพระองค์หรือไม่? เจ้าสามารถปฏิบัติความชอบธรรมเพื่อพระองค์หรือไม่? เจ้าสามารถยืนขึ้นและพูดเพื่อเราหรือไม่? เจ้าสามารถนำความจริงมาปฏิบัติอย่างหนักแน่นมั่นคงหรือไม่? เจ้ากล้าพอที่จะต่อสู้กับความประพฤติทั้งปวงของซาตานหรือไม่? เจ้าจะสามารถวางภาวะอารมณ์ทั้งหลายของเจ้าลง และเปิดโปงซาตานเพื่อเห็นแก่ประโยชน์แห่งความจริงของเราไหม? เจ้าสามารถยอมให้เจตนาของเราได้รับการทำให้ลุล่วงภายในตัวเจ้าไหม? เจ้าได้มอบถวายหัวใจของเจ้าในชั่วขณะที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดหรือไม่? เจ้าเป็นใครคนหนึ่งที่จะกระทำตามเจตจำนงของเราหรือไม่? จงถามคำถามเหล่านี้กับตัวเจ้าเอง และคิดเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ให้บ่อย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 13) สิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าปิดเผยทำให้ฉันรู้สึกอับอายและละอายใจ ปกติแล้ว ฉันตะโกนวลีติดปากออกมาได้ดี บอกว่าฉันจะพิจารณาถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า และจะยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้า และฉันก็มักจะอธิษฐาน บอกว่าฉันต้องการรักและทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่ทันทีที่มีบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ และฉันถูกเรียกให้ลุกขึ้นและพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า ฉันก็หดหัวกลับเข้าไปในกระดองของฉัน ฉันรู้อย่างชัดเจนว่า ความปรารถนาอันสูงสุดของพระเจ้า คือการเนรเทศผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ และฉันมีปัญญาแยกแยะเรื่องคุณหลี่ แต่เพราะฉันกลัวว่าจะถูกกดหัวและปลดจากตำแหน่ง ฉันยอมให้เธอทำอันตรายและหลอกลวงพี่น้องชายหญิง ของเราในคริสตจักรต่อไป และไม่กล้ารายงานเธอ แย่กว่านั้นคือข้อเท็จจริงว่า เมื่อฉันเห็นพี่น้องชายหญิงที่เป็นเจ้าบ้านให้ฉันถูกคุณหลี่หลอกลวง ฉันไม่ได้คิดว่าจะช่วยให้พวกเขามีปัญญาแยกแยะผู้นำเทียมเท็จได้อย่างไร กลับกัน ฉันประนีประนอม ด้วยกลัวว่าการเปิดโปงคุณหลี่ จะทำให้พวกเขาไม่พอใจและไม่เป็นเจ้าบ้านให้กับเราอีก เพื่อให้แน่ใจว่าผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของฉันจะไม่ได้รับอันตราย ฉันปิดปากเงียบเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้นำเทียมเท็จของคุณหลี่ ฉันทบทวนพฤติกรรมของฉัน และเห็นว่าฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจจริงๆ เพื่อปกป้องตัวฉันเอง ฉันยอมให้ผู้นำเทียมเท็จมีอำนาจในคริสตจักร และทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับมัน ฉันเพลิดเพลินกับทุกอย่างที่พระเจ้าทรงจัดหาให้ฉัน และได้รับการต้อนรับและดูแลจากพี่น้องชายหญิงของฉัน แต่ฉันไม่ได้ปกป้องงานของพระนิเวศของพระเจ้า ฉันทำราวกับว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน และมันไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉัน ฉันเรียกสิ่งนี้ว่ามโนธรรมหรือเหตุผลได้ยังไง? ฉันทบทวนสภาวะและพฤติกรรมของตัวเอง และรู้สึกผิดและละอายใจมาก ฉันเห็นว่าอันที่จริงแล้วฉันเป็นคนเห็นแก่ตัว ฉลาดแกมโกงและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ฉันไม่ควรค่าที่จะดำรงอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยสิ้นเชิง!

หลังจากนั้น ฉันได้อ่านบทตอนหนึ่งในพระวจนะของพระเจ้า “พระวงศ์ของพระเจ้าไม่ยอมให้พวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงหลงเหลืออยู่ อีกทั้งไม่ยอมให้หลงเหลือผู้ที่จงใจรื้อทำลายคริสตจักรอยู่เลย อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะทำงานแห่งการขับไล่ ผู้คนเช่นนั้นจะเพียงแค่ถูกเปิดโปงและถูกกำจัดไปในที่สุด งานที่ไร้ประโยชน์จะไม่ถูกนำมาใช้กับผู้คนเหล่านี้อีกแล้ว พวกที่เป็นของซาตานไม่สามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงได้ แต่ทว่าบรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงสามารถทำได้ พวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงไม่คู่ควรกับการได้ยินเรื่องหนทางแห่งความจริง และไม่คู่ควรกับการเป็นพยานต่อความจริง ความจริงนั้นไม่ใช่สำหรับหูของพวกเขาอย่างแน่นอน แต่ทว่า มันมุ่งตรงไปที่บรรดาผู้ปฏิบัติความจริง ก่อนที่วาระสุดท้ายของทุกคนจะถูกเปิดเผยนั้น พวกที่รบกวนคริสตจักรและขัดจังหวะพระราชกิจของพระเจ้าจะถูกทิ้งไว้ก่อนในตอนนี้ เพื่อจะถูกจัดการในภายหลัง เมื่อพระราชกิจนั้นครบบริบูรณ์ ผู้คนเหล่านี้แต่ละคนจะถูกเปิดโปง แล้วจากนั้น พวกเขาจะถูกกำจัดไป สำหรับเวลานี้ ในขณะที่ความจริงกำลังถูกจัดเตรียมไว้ให้นั้น พวกเขาจะถูกเมินเฉย เมื่อความจริงทั้งปวงถูกเปิดเผยต่อมนุษย์ ผู้คนเหล่านั้นควรถูกกำจัดไป นั่นจะเป็นเวลาที่ผู้คนทั้งหมดจะถูกแบ่งชั้นไปตามประเภทของพวกเขา เล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ ของบรรดาผู้ที่ไม่มีการหยั่งรู้จะนำพวกเขาไปสู่ความย่อยยับในมือของคนชั่ว พวกเขาจะถูกล่อลวงออกไปโดยคนชั่วเหล่านั้น ไม่มีวันจะคืนกลับมา และการบำบัดเช่นนี้คือสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ เพราะพวกเขาไม่รักความจริง เพราะพวกเขาไม่สามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงได้ เพราะพวกเขาติดตามผู้คนที่ชั่วร้ายและยืนอยู่ในฝ่ายเดียวกับผู้คนที่ชั่วร้าย และเพราะพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับผู้คนที่ชั่วร้ายและเยาะเย้ยท้าทายพระเจ้า พวกเขารู้ดีอย่างยิ่งว่าสิ่งที่ผู้คนชั่วร้ายเหล่านั้นแผ่ออกมาคือความชั่ว ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังทำหัวใจให้แข็งกระด้างและหันหลังให้กับความจริงเพื่อติดตามพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ผู้ซึ่งไม่ปฏิบัติความจริงแต่ปฏิบัติสิ่งทั้งหลายที่ทำลายล้างและน่ารังเกียจไม่ได้กำลังกระทำความชั่วกันทุกคนหรอกหรือ? ถึงแม้ว่าท่ามกลางพวกเขาจะมีบรรดาผู้ที่แต่งลักษณะของตนเองเสมือนเป็นกษัตริย์ และคนอื่นๆ ที่ติดตามพวกเขา ธรรมชาติที่เยาะเย้ยท้าทายพระเจ้าของพวกเขานั้นไม่ได้เป็นแบบเดียวกันทั้งหมดหรอกหรือ? พวกเขามีข้อแก้ตัวอะไรได้บ้างที่อ้างว่าพระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด? พวกเขามีข้อแก้ตัวอะไรได้บ้างที่อ้างว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม? มิใช่ความชั่วของพวกเขาเองหรอกหรือที่กำลังทำลายพวกเขา? มิใช่ความเป็นกบฏของพวกเขาเองหรอกหรือที่กำลังลากพวกเขาลงไปในนรก? ผู้คนที่ปฏิบัติความจริงนั้น ในที่สุดจะได้รับการช่วยให้รอดและถูกทำให้มีความเพียบพร้อมเนื่องจากความจริง บรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริงนั้น ในที่สุดจะนำการทำลายล้างมาสู่ตัวพวกเขาเองเนื่องจากความจริง เหล่านี้คือบทอวสานที่รอคอยบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงและพวกที่ไม่ได้ปฏิบัติความจริงอยู่(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง) หลังจากที่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันเห็นว่าฉันคือคนประเภทที่ไม่ได้ปฏิบัติความจริงที่ถูกเปิดเผยโดยพระวจนะของพระเจ้า ฉันคือคนที่พระเจ้าทรงดูหมิ่น ฉันพยายามรักษาและปกป้องตัวเองในทุกๆ เรื่อง เมื่อเผชิญหน้ากับผู้นำเทียมเท็จ ฉันไม่กล้าปฏิบัติความจริงและรายงานเธอ ไม่ใช่ว่าฉันแค่คุกเข่าลงต่อหน้าซาตานและสมรู้ร่วมคิดกับซาตานเพื่อต้านทานพระเจ้าหรอกหรือ? ภายนอก ฉันไม่ได้กำลังเคียงข้างคุณหลี่และปกป้องเธอ แต่ฉันเห็นผู้นำเทียมเท็จ และไม่ได้รายงานหรือเปิดโปงเธอ ฉันปล่อยให้เธอทำให้พี่น้องชายหญิงในคริสตจักรสับสนและหลอกลวงพวกเขา ก่อความไม่สงบ และทำให้งานคริสตจักรหยุดชะงัก ในการทำเช่นนี้ ฉันได้ยืนอยู่ข้างซาตาน และช่วยกองทัพอันชั่วร้ายของซาตาน พระวจนะของพระเจ้าตรัสว่า “พวกเขารู้ดีอย่างยิ่งว่าสิ่งที่ผู้คนชั่วร้ายเหล่านั้นแผ่ออกมาคือความชั่ว ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังทำหัวใจให้แข็งกระด้างและหันหลังให้กับความจริงเพื่อติดตามพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ผู้ซึ่งไม่ปฏิบัติความจริงแต่ปฏิบัติสิ่งทั้งหลายที่ทำลายล้างและน่ารังเกียจไม่ได้กำลังกระทำความชั่วกันทุกคนหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง) พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยในสิ่งที่ฉันทำอย่างเที่ยงตรง ฉันคิดถึงสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสเอาไว้ “ใครไม่อยู่ฝ่ายเราก็ต่อต้านเรา และใครไม่รวบรวมไว้กับเรา ก็ทำให้กระจัดกระจาย(มัทธิว 12:30) ในการสู้รบระหว่างพระเจ้ากับซาตาน การไม่ยืนข้างพระเจ้าคือการยืนข้างซาตาน ไม่มีพื้นที่ตรงกลาง แต่ฉันก็พยายามทำตัวฉลาด ทำตัวเป็นกลาง เพื่อปกป้องตัวเอง นี่มันต่างไปจากการเลือกข้างซาตานและหักหลังพระเจ้าตรงไหนกัน? เมื่อก่อน ฉันคิดถึงคนมากมายที่ขาดการหยั่งรู้เรื่องคุณหลี่ แต่ทันทีที่พระเจ้าได้เปิดเผยเธอโดยสมบูรณ์ และเวลาที่เหมาะสมมาถึง เธอย่อมจะถูกแทนที่ไปโดยธรรมชาติ จากภายนอก ความคิดนั้นดูมีเหตุผลมาก แต่ความจริงแล้ว ฉันกำลังหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ มันเป็นแค่ข้ออ้างเพื่อหลบเลี่ยงการปฏิบัติความจริง แก่นแท้ของสิ่งที่ฉันทำ คือการอภัยให้กับความชั่วและการทำให้หยุดชะงักของผู้นำเทียมเท็จในคริสตจักร ในตอนนั้น ฉันเห็นพี่น้องชายหญิงหลายคนสามารถถูกเหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์หลอกและควบคุมเอาได้ และจะไม่มีการปลดปล่อยเมื่อพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลมืดของซาตาน ความชั่วนี้ทำโดยเหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ และยังมีสาเหตุมาจากคนอย่างเราๆ ที่มีการหยั่งรู้ เหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ แต่ไม่ได้รายงานหรือเปิดโปงพวกเขาด้วย มันไม่ถือว่าล้ำเส้นเกินไปที่จะเรียกฉันว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของผู้นำเทียมเท็จ การคิดถึงทั้งหมดนี้ทำให้ฉันเป็นทุกข์ระทม ฉันเกลียดตัวเองที่เห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ อ่อนแอ และไร้ความสามารถ ฉันเป็นทาสที่ไร้ค่าไร้ประโยชน์! ฉันไม่มีคำพยานในสงครามต่อต้านความชั่วแม้แต่น้อย ฉันกลายเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชังไปแล้ว! ฉันได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานเพื่อกลับใจ ฉันขอให้พระเจ้าประทานพละกำลังเพื่อเอาชนะอำนาจมืดของเหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ เพื่อยืนอยู่ข้างพระเจ้าอย่างแท้จริง และเพื่อบอก “ไม่” ต่อกองทัพของซาตาน ในตอนนั้น หลังจากที่ฉันพบหลักฐานเพิ่มขึ้น ฉันก็อยากจะเขียนจดหมายรายงานคุณหลี่ แต่ก่อนที่ฉันจะได้เขียน คริสตจักรก็ได้สอบสวนและตัดสินว่า คุณหลี่เป็นผู้นำเทียมเท็จที่เดินไปบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ และให้คนมารับหน้าที่แทนเธอค่ะ เป็นตอนนั้นเองที่ฉันได้รู้ว่า จดหมายต้นฉบับที่เราส่งไปรายงานเธอ ถูกสกัดกั้นและยับยั้งเอาไว้โดยผู้นำเทียมเท็จอีกคนหนึ่ง ผู้นำเทียมเท็จคนนั้นเองก็ถูกแทนที่เพราะไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงค่ะ พวกเรามีความสุขมากที่ได้ยินข่าวนี้ในตอนนั้น แต่ฉันเองก็รู้สึกผิด ราวกับว่าฉันติดหนี้ด้วย เพราะว่าฉันพลาดที่จะปกป้องงานของพระนิเวศของพระเจ้า หรือยืนหยัดเป็นพยานในสภาพแวดล้อมนี้

หลังจากที่คุณหลี่ถูกแทนที่ ผู้นำคริสตจักรคนใหม่ก็เข้ามารับช่วงต่องานคริสตจักร และฉันก็คิดว่าเรื่องนี้ได้จบลงแล้ว แต่มันกลายเป็นว่าไม่ใช่แบบนั้น วันหนึ่ง ราวหนึ่งเดือนเศษหลังจากนั้น พี่น้องหญิงที่ฉันเป็นคู่ทำงานด้วยกลับมาจากข้างนอกและบอกฉัน ว่าคุณหลี่ยังคงถือทิฐิหลังจากที่ถูกแทนที่ เธอยังคงเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดในหมู่พี่น้องชายหญิงเพื่อหลอกลวงพวกเขา และทำให้พวกเขาเห็นใจ และได้สร้างพรรคพวกขึ้นมารอบๆ ตัวเธอ เพื่อให้ผู้นำคนใหม่จำเธอได้ เธอจะได้กลับมารับตำแหน่งผู้นำอีก เมื่อฉันได้ยินเรื่องนี้ ฉันก็ตกตะลึง ฉันทำอะไรได้บ้าง? ฉันต้องหาทางบอกเหล่าผู้นำของเราเกี่ยวกับพฤติกรรมอันชั่วร้ายของคุณหลี่ให้เร็วที่สุด โชคดีที่เรามีโอกาสได้พบกับเหล่าผู้นำคริสตจักรคนใหม่ และพวกเขาก็กำลังหารือกันเรื่องเขียนจดหมายรายงานสถานการณ์ของคุณหลี่ให้เหล่าผู้นำของพวกเขาอยู่ และกำลังตัดสินใจว่าจะอธิบายสถานการณ์ให้ชัดเจนยังไงดี ฉันบอกพวกเขาว่า มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับเราที่จะเขียนจดหมาย และเสนอแนะให้พวกเราเป็นคนเขียนจดหมายเอง และพวกเขาก็ตอบตกลงด้วยความยินดี วันต่อมา หลังจากที่ฉันกับคู่หูเขียนจดหมายรายงานเสร็จ และกำลังเตรียมจะส่งมันให้เหล่าผู้นำเพื่อตรวจทานและตรวจสอบ จู่ๆ คู่หูของฉันก็พูดขึ้นว่า “เซ็นชื่อของเราลงไปในจดหมายด้วยเถอะ” ฉันตกตะลึงเมื่อได้ยินอย่างนั้น ฉันแค่คิดว่าจะช่วยพวกเขาเขียนจดหมาย ฉันไม่ได้พิจารณาถึงว่าจะเซ็นชื่อของฉันเองลงไปในนั้นด้วย เมื่อคู่หูของฉันพูดอย่างนั้น ความอยากปกป้องตัวเองของฉันก็โผล่ออกมาอีกครั้ง ฉันคิดว่า “คุณหลี่และกลุ่มของเธอช่างเลวทราม มีเล่ห์เหลี่ยม และพวกเขารู้ว่าจะหลอกคนอื่นได้ยังไง ถ้าครั้งนี้เราเนรเทศพวกเขาไม่สำเร็จ และหลี่เกิดได้คืนอำนาจด้วยวิธีบางอย่าง และกลายเป็นผู้นำคริสตจักรอีกครั้ง จะเกิดอะไรขึ้นกับเรา? เมื่อดูจากประวัติที่คุณหลี่ที่ใช้อำนาจของเธอในทางที่ผิดด้วยการไล่พวกคนที่เธอเกลียดชังออก ถ้าเธอได้คืนอำนาจอีกครั้ง เธอต้องให้คนอื่นมาทำหน้าที่แทนเรา ส่งเรากลับบ้าน หรือแม้แต่ขับเราออกแน่ๆ ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้น ที่ฉันเชื่อในพระเจ้ามาจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ? ฉันจะได้รับความรอดรึเปล่า? แต่ถ้าไม่เซ็นชื่อในจดหมาย มันก็จะไม่น่าเชื่อถือ เพราะเราเขียนมันในฐานะของตัวแทน” ฉันคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจากนั้นก็บอกคู่หูของฉันว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เซ็นชื่อในฐานะของตันแทนกันเถอะ” ความจริงก็คือ ฉันต้องการรักษาระยะห่างจากเรื่องนี้ไว้ระดับหนึ่ง เพื่อที่ถ้าสิ่งที่ฉันกลัวได้เกิดขึ้นจริงๆ ฉันก็จะสามารถปกป้องตัวเองได้ ต่อให้ถ้าฉันถูกกดหัว มันก็จะไม่รุนแรงนัก ในตอนนั้นเอง คู่ทำงานได้จัดการกับฉัน “ทำไมการใส่ชื่อของเธอลงไปในจดหมายฉบับนี้มันถึงได้ยากนัก? เธอกำลังทำตัวฉลาดแกมโกงมากนะ!” ข้อสังเกตุนั้นกรีดลึกลงไปในหัวใจของฉัน ฉันตระหนักว่าพระเจ้ากำลังทรงใช้คู่ทำงานของฉันเพื่อจัดการกับฉัน และเพื่อเตือนให้ฉันไม่พยายามปกป้องตัวเองหรือทำตัวฉลาดแกมโกงอีก ว่าฉันต้องปฏิบัติความจริงและเป็นคนที่ซื่อสัตย์

ต่อมา ฉันได้ทบทวนตัวเอง ฉันถามตัวเองว่า ทำไมทุกครั้งที่เกิดเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า ที่เรียกร้องให้ฉันแสดงความคิดเห็นของฉัน ฉันถึงได้หวาดกลัว หดหัว และพยายามปกป้องตัวเอง? ธรรมชาติอะไรที่กำลังควบคุมฉันอยู่เมื่อฉันทำเช่นนี้? พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามโดยผ่านทางการศึกษาและอิทธิพลของพวกรัฐบาลแห่งชาติกับของผู้มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ คำพูดฝ่ายผีปีศาจของพวกเขาได้กลายเป็นธรรมชาติชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว ‘ทุกคนทำเพื่อตนเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ เป็นหนึ่งคติพจน์เยี่ยงซาตานอันเป็นที่รู้จักกันดีที่ได้ถูกปลูกฝังเข้าไปในทุกคนและที่ได้กลายเป็นชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว ยังมีคำพูดอื่นๆ ของปรัชญาทั้งหลายสำหรับการดำรงชีวิตที่เป็นเหมือนคติพจน์นี้อยู่อีก ซาตานใช้วัฒนธรรมตามประเพณีของแต่ละชนชาติในการให้การศึกษาผู้คน หลอกลวงผู้คน และทำให้ผู้คนเสื่อมทราม เป็นเหตุให้มวลมนุษย์ตกลงไปและถูกกลืนกินโดยนรกขุมลึกแห่งการทำลายล้างซึ่งไร้พรมแดน และในตอนสุดท้ายแล้ว ผู้คนก็ถูกพระเจ้าทรงทำลายเพราะพวกเขารับใช้ซาตานและต้านทานพระเจ้า ลองจินตนาการถึงการถามคำถามต่อไปนี้กับใครบางคนที่ได้มีบทบาทแข็งขันในสังคมมาหลายทศวรรษว่า ‘ด้วยความที่ท่านได้ดำรงชีวิตอยู่ในโลกเป็นเวลานานเหลือเกินและสัมฤทธิ์ผลไปมากมายยิ่งนัก อะไรหรือคือคติพจน์หลักซึ่งมีชื่อเสียงที่ท่านใช้ดำรงชีวิต?’ เขาอาจกล่าวว่า ‘คติพจน์ที่สำคัญที่สุดก็คือ “ข้าราชการไม่โขกสับพวกที่ให้ของกำนัล และพวกที่ไม่ประจบย่อมไม่สำเร็จลุล่วงอันใดเลย”’ คำพูดเหล่านี้มิใช่เป็นตัวแทนของธรรมชาติของบุคคลนั้นหรอกหรือ? การใช้วิถีทางใดก็ตามอย่างขาดหลักศีลธรรมเพื่อได้มาซึ่งตำแหน่งได้กลายเป็นธรรมชาติของเขา วงการข้าราชการและความสำเร็จในอาชีพการงานคือชีวิตของเขา ยังคงมีพิษซาตานอีกมากมายในชีวิตของผู้คน ในการประพฤติปฏิบัติและพฤติกรรมของพวกเขา พวกเขาแทบจะไม่ครองความจริงแต่อย่างใดเลย ตัวอย่างเช่น ปรัชญาทั้งหลายของพวกเขาสำหรับการดำรงชีวิต หนทางของพวกเขาในการทำสิ่งทั้งหลาย และคำคมสารพันล้วนเต็มไปด้วยสารพัดพิษของพญานาคใหญ่สีแดง และพวกมันทั้งหมดล้วนมาจากซาตาน ด้วยเหตุนั้น ทุกสรรพสิ่งซึ่งไหลเวียนผ่านกระดูกและเลือดของผู้คนเป็นสรรพสิ่งของซาตาน…มวลมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลุ่มลึก น้ำพิษของซาตานไหลเวียนผ่านเลือดของทุกบุคคล และสามารถเห็นได้ว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเสื่อมทราม ชั่ว และเป็นปฏิกิริยานิยม เต็มอิ่มและชุ่มแช่อยู่ในปรัชญาทั้งหลายของซาตาน—ในความครบถ้วนบริบูรณ์ของมันนั้น มันคือธรรมชาติหนึ่งซึ่งทรยศพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่ผู้คนต้านทานพระเจ้าและยืนหยัดอยู่ในการต่อต้านพระเจ้า(“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) เมื่อฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันเห็นว่าฉันไม่กล้าเผชิญหน้ากับเหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ เพราะธรรมชาติของฉันเต็มไปด้วยหลักการ กฎหมาย และปรัชญาทางโลกเยี่ยงซาตาน อย่างเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “จงอยู่ให้ห่างจากปัญหา” และ “ผู้คนที่มีไหวพริบนั้น เก่งในการปกป้องตัวเอง ด้วยการแค่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาเท่านั้น” ยังมี “แต่ละคนกวาดหิมะจากบันไดหน้าประตูของตน พวกเขาไม่สนกับเกล็ดน้ำแข็งบนหลังคาของเพื่อนบ้าน” เพราะว่าฉันใช้ชีวิตด้วยน้ำพิษเยี่ยงซาตานพวกนี้ ฉันถึงได้เห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ ขี้ขลาด และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงขนาดนี้ ในทุกๆ เรื่อง สิ่งแรกที่ฉันพิจารณาก็คือผลได้ผลเสียของตัวฉันเอง ฉันนึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่ฉันอยากรายงานคุณหลี่ ฉันไม่กล้าทำเพราะว่าฉันอยากปกป้องตัวเอง ตอนนี้ คุณหลี่กำลังตั้งกลุ่มในคริสตจักรเพื่อแย่งชิงอำนาจ และก่อความไม่สงบและทำให้งานคริสตจักรหยุดชะงัก แต่ฉันก็ยังขาดความกล้าหาญที่จะลุกขึ้นมาและปฏิบัติความจริง ฉันหดหัวเข้าไปซ่อนในกระดองราวกับเต่า หวาดกลัวว่าทันทีที่ฉันโผล่หัวออกมา ฉันจะถูกลงโทษถ้าถูกเหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์พบตัวเข้า น้ำพระทัยของพระเจ้าก็คือ ให้คนประเภท เยี่ยงซาตานและเหล่าปีศาจศัตรูของพระคริสต์พวกนี้ ที่ต่อสู้แย่งชิงชื่อเสียงและโชคลาภ และทำให้งานคริสตจักรหยุดชะงัก ถูกไล่ออกไปจากคริสตจักร เพื่อที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถได้รับการพิทักษ์รักษาจากการถูกหลอกลวง และงานคริสตจักรจะไม่ถูกก่อความไม่สงบ แต่ฉันก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่ตลอดเวลา ไม่มีความกังวลใดของฉันที่พิจารณาถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าเลย ฉันคิดแค่ว่าจะป้องกันไม่ให้ผลประโยชน์ของฉันเองเสียหายได้ยังไง ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจนัก! ฉันเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้าในนาม แต่ไม่มีที่สำหรับพระเจ้าอยู่ในหัวใจของฉันเลย ฉันกระทั่งมองพระนิเวศของพระเจ้าในฐานะของสังคม เป็นสถานที่ที่ปราศจากความยุติธรรมหรือความชอบธรรม ที่ๆ ฉันต้อระมัดงระวังละเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นก็เสี่ยงกับการถูกกดหัวและถูกลงโทษ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ฉันเลือกใช้ปรัชญาของซาตานมาปกป้องตัวเอง แต่มุมมองนั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการหมิ่นประมาท! พระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่โลกภายนอก กฏอันเลวทรามในโลก ความชั่วออกอาละวาด และคนดีก็ทำได้เพียงถูกรังแกและกดขี่ ทว่า พระนิเวศของพระเจ้าถูกปกครองโดยพระคริสต์ ความจริง และความชอบธรรมค่ะ เหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ไม่มีที่ยืนในพระนิเวศของพระเจ้า และในขณะที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้รับความเข้าใจในความจริงและการหยั่งรู้ พวกเขาถูกเปิดเผย ถูกรายงาน เปิดโปง เนรเทศ และกำจัดทิ้ง นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าตรัสว่า “คนชั่วจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คนชั่วจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน) พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และเป็นหลักฐานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระราชกิจของพระเจ้า เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องนี้เมื่อกว่าครึ่งปีก่อน ฉันได้เห็นตัวอย่างจริงๆ ของเหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกแทนที่และขับออกเช่นกัน นั่นไม่ใช่ความชอบธรรมของพระเจ้าหรอกหรือ? แต่ในตอนนั้น ฉันมืดบอดโดยสมบูรณ์ ฉันพิจารณาถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวฉันเองเพียงอย่างเดียว ฉันเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่ได้เชื่อในพระวจนะของพระเจ้า ความสัตย์ซื่อของพระองค์ หรือความชอบธรรมของพระองค์ ฉันกระทั่งมองพระเจ้าจากมุมมองของเหล่าผู้ไม่เชื่อ ฉันมองว่าฉันไม่ได้เป็นอื่นใดนอกจากผู้ปราศจากความเชื่อ และสิ่งที่ฉันทำได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า ถ้าฉันยังใช้ชีวิตอยู่โดยปรัชญาและกฏหมายเยี่ยงซาตานพวกนี้ต่อไป ไม่ไขว่คว้าการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย และไม่ปฏิบัติความจริง ในท้ายที่สุด ฉันจะถูกกล่าวโทษและกำจัดทิ้งโดยพระเจ้า ขณะที่ฉันคิดถึงเรื่องพวกนี้ ฉันก็ตระหนักว่าฉันควรทำหน้าที่และความรับผิดชอบของฉันให้ลุล่วงถึงที่สุด และแม้ถ้าวันหนึ่ง ฉันถูกบีบหรือไล่ออกไปโดยเหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ นั่นก็จะเป็นบทเรียนให้ฉันเรียนรู้และเจตนารมณ์อันดีของพระเจ้าในนั้นค่ะ ทันทีที่ฉันเข้าใจสิ่งนี้ ฉันก็เซ็นชื่อของฉันในจดหมายรายงานด้วยจิตวิญญาณที่ตรงไปตรงมาค่ะ ในตอนนั้น ฉันรู้สึกปลอดภัยและสงบสุข และยังมีความรู้สึกภาคภูมิใจด้วย ฉันรู้สึกว่าในที่สุดฉันก็ได้ลุกขึ้นสู้และกลายเป็นคนที่เหมาะสม

ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากนั้น ข่าวดีที่พวกเรากำลังรอคอยในที่สุดก็มาถึง คุณหลี่ได้ทำความประพฤติชั่วมากมายและปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เธอจึงถูกระบุว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์และถูกไล่ออกจากคริสตจักรโดยสมบูรณ์ พวกคนทำชั่วที่ติดตามคุณหลี่ในความประพฤติชั่วของเธอ และทำให้งานคริสตจักรหยุดชะงักเองก็ถูกไล่ออกด้วย บางคนได้แสดงออกถึงความสำนึกผิดและไม่ถูกจัดว่าเป็นคนทำชั่ว และได้รับอนุญาตให้อยู่ในคริสตจักรต่อไป และได้รับโอกาสให้กลับใจค่ะ ความวุ่นวายที่ดำเนินมาหลายเดือน ในที่สุดก็ถึงจุดจบ และชีวิตคริสตจักรปกติก็กลับคืนมา ฉันมีความสุขมากที่ได้เห็นผลลัพธ์นี้ แต่ฉันเองก็รู้สึกผิดและสำนึกเสียใจด้วย เพราะในเรื่องของการรายงานผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ ฉันพลาดที่จะยืนหยัดเป็นพยานอย่างจริงใจ สิ่งที่ถูกเปิดโปงในตัวฉันมีเพียงเหล่าอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันฉลาดแกมโกง ความเห็นแก่ตัว และความต่ำทราม และความต้องการที่จะปกป้องตัวเอง ฉันกระทั่งสงสัยในความชอบธรรมของพระเจ้า และกฏแห่งความจริงในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันยังคงเป็นผู้ปราศจากความเชื่ออยู่มาก ฉันเห็นว่าฉันเสื่อมทรามอย่างหนัก และฉันก็เป็นหนี้บุญคุณพระเจ้ามากเหลือเกิน ดังนั้น ฉันจึงเอ่ยคำปฏิญาณ ว่าครั้งหน้าที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ฉันจะยืนข้างพระเจ้า

ฉันแปลกใจเมื่อมีเรื่องแบบเดิมเกิดขึ้นอีกครั้งในอีก 4 ปีต่อมา เหล่าผู้นำของคริสตจักรของฉัน คุณหวังและอีก 2 คน เพราะพวกเขาพูดถึงพวกจดหมายและหลักคำสอนต่างๆ และไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง จึงถูกกล่าวโทษว่าเป็นพวกผู้นำเทียมเท็จและถูกปลด และพระนิเวศของพระเจ้าก็ส่งผู้นำ 2 คนมาดูแลคริสตจักรของเราเป็นการชั่วคราว เมื่อพี่น้องหญิง 2 คนนี้มาถึง คุณหวังพูดว่า คริสตจักรของเราไม่รับ “ของให้ทาน” มันหมายความว่า เขาไม่ยอมรับพี่น้องหญิง 2 คนที่ย้ายมาจากข้างนอกเป็นผู้นำของเรา และเขาต้องการอำนาจของเขาคืน เขากับมัคนายกคริสตจักรหลายคนเริ่มมองหาข้ออ้างในการโจมตีผู้นำใหม่สองคนนั้น และโน้มน้าวพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ให้ยืนอยู่ข้างพวกเขา และเขียนจดหมายรายงานเกี่ยวกับพวกผู้นำใหม่หลายฉบับ ต่อมา พวกเขายังขอให้ฉันช่วยรายงานพวกผู้นำคนใหม่ด้วย ในตอนนั้น เมื่อฉันได้อ่านจดหมายรายงานที่พวกเขาเขียน ฉันเห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าหลักฐานการกระทำชั่วบางอย่างที่พวกเขาให้มา ความจริงแล้วเป็นแค่ตัวอย่างทั่วไปของการเปิดโปงความเสื่อมทราม ไม่ใช่ความประพฤติอันชั่วร้ายเลย ในจดหมายฉบับอื่นๆ ล้วนเกินจริงโดนสิ้นเชิง และบางฉบับ ก็เป็นการกล่าวหาแบบผิดๆ และคำโกหกที่บิดเบือนข้อเท็จจริงชัดๆ เหล่าคำกล่าวโทษของพวกเขาในจดหมายพวกนั้น ทั้งเกินไป หยาบช้า และเลวทราม นั่นเป็นตอนที่ฉันตระหนักว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของจดหมายรายงานของพวกเขา ไม่ใช่เพื่อปกป้องงานของพระนิเวศของพระเจ้า เนรเทศเหล่าผู้นำเทียมเท็จ หรือปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร มันเพื่อกุมอำนาจ แย่งตำแหน่งผู้นำคริสตจักรของพวกเขาคืน ควบคุมคริสตจักร และควบคุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร หลังจากนั้น ตามหลักธรรมแห่งการหยั่งรู้ศัตรูของพระคริสต์แล้ว ฉันตัดสินว่าพวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์ ตอนแรก ฉันอยากจะอยู่ในพ้นจากเรื่องนี้ เพราะนอกจากเหล่าผู้นำที่ถูกแทนที่แล้ว คนอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้องในจดหมายรายงาน กำลังทำงานรับใช้เป็นมัคนายกและผู้นำกลุ่มต่างๆ อยู่ ในขณะที่ฉันเป็นแค่ผู้เชื่อธรรมดาๆ ที่ไม่มีสถานะอะไรให้พูดถึง ดังนั้น คนพวกนี้ไม่ใช่คนที่ฉันสามารถล่วงเกินได้ แต่ฉันก็คิดถึงว่าคุณหลี่ถูกรายงานและไล่ออกไปเมื่อหลายปีก่อนยังไง และฉันไม่ได้มีคำพยานที่แท้จริงยังไง ฉันตัดสินใจที่จะไม่ซ่อนหรือหดหัวอีก ดังนั้น ฉันจึงสามัคคีธรรมกับเหล่าพี่น้องชายหญิงรอบตัวฉัน เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถเข้าใจถึงเป้าหมายและเจตนาที่แท้จริงของเหล่าคนที่เขียนจดหมายรายงานนี้ได้อย่างชัดเจน และมีการหยั่งรู้เกี่ยวกับพวกเขา หลังจากนั้น ฉันได้เปิดโปงความประพฤติชั่วที่พวกเขาได้ทำเพื่อแย่งอำนาจ และรายงานพวกเขาไปยังพระนิเวศของพระเจ้า ต่อจากนั้น พระนิเวศของพระเจ้าได้สืบสวนและตรวจสอบสถานการณ์ ตัดสินว่าคนเหล่านี้เป็นศัตรูของพระคริสต์ และไล่พวกเขาออกไปจากคริสตจักรค่ะ เมื่อฉันเห็นว่าประกาศไล่ออกของศัตรูของพระคริสต์กลุ่มนี้มีหลักฐานบางอย่างที่ฉันเป็นคนส่งให้อยู่ด้วย ฉันมีความสุขมาก และก็ชูใจด้วย ฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ดำเนินชีวิตไปตามความรับผิดชอบของฉันในเรื่องนี้

ประสบการณ์ในสิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันได้เห็นปัญญาอันประเสริฐของพระราชกิจของพระเจ้าค่ะ! พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการเหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์เพื่อที่เราจะได้สามารถพัฒนาการหยั่งรู้ ทันทีที่เราเข้าใจอย่างชัดเจนว่า เหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์หลอกลวงคนอื่นๆ เพื่อชิงอำนาจยังไง ว่าพวกเขาทำลายและทำให้งานของพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงักยังไง และพวกเขาถูกเปิดเผยและขับออก ไปทีละขั้นๆ ยังไง เราก็ได้รับความรู้เรื่องพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าขึ้นบ้าง เราเห็นว่าพระนิเวศของพระเจ้าถูกปกครองโดยพระคริสต์และความจริงยังไง เราเห็นว่าความชอบธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าไม่อาจล่วงเกินได้ และเราได้ให้กำเนิดหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ประสบการณ์แห่งความล้มเหลวของพวกเขายังเตือนให้เราม่ติดตามเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ด้วย แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เมื่อเหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ปรากฏขึ้น เราควรปฏิบัติความจริง และปกป้องงานของพระนิเวศของพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

มองหาอิสรภาพจากสถานะ

โดย ต่งเอิน ประเทศฝรั่งเศส ฉันมาเป็นผู้นำคริสตจักรในปี 2019 ฉันทำตามใจ และไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ และไม่ได้จัดวางคนให้เหมาะสมกันงาน...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger