เป็นอิสระจากการต่อสู้ดิ้นรนของฉันที่จะแซงหน้า
ตอนแรกที่ฉันเริ่มการรับใช้ในฐานะหัวหน้าของทีมให้น้ำ พี่น้องชายหญิงในหน้าที่นั้นก็จะปรึกษากับฉันเมื่อพวกเขาเจอปัญหา และค่อนข้างคิดกับฉันสูงส่งทีเดียว เมื่อมีผู้เชื่อแปลกหน้ามาใหม่ที่จำเป็นต้องให้น้ำ บรรดาผู้นำก็จะเจาะจงขอให้ฉันดูแลเรื่องนี้ และมอบงานให้ฉันสอนภาษาเยอรมันให้คนอื่นๆ ในทีมค่ะ ทุกคนก็เลยชื่นชมยกย่องฉันมากขึ้นไปอีก และกระตือรือร้นที่จะคุยกับฉันเรื่องปัญหาของพวกเขา ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันเป็นคนที่ทีมขาดไม่ได้ และฉันรักการได้รับการเลื่อมใสและมีคนอื่นห้อมล้อมค่ะ
แล้วบรรดาผู้นำก็ดึงพี่ฟางมาร่วมทีมของเรา โดยพูดว่าเธอจะให้น้ำผู้มาใหม่ร่วมไปกับพวกเรา เมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็พบว่าเธอมีความสามารถที่ดี การสามัคคีธรรมบนความจริงของเธอชัดเจน และเมื่อผู้มาใหม่มีคำถามหรือปัญหา เธอไม่เพียงสามารถหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องมาได้ แต่เธอยังร้อยเรียงประสบการณ์ของเธอเองเข้าไปในสามัคคีธรรมด้วยค่ะ พวกเขาได้พบทางออกที่ต้องการรวดเร็วมากจริงๆ ค่ะ หลังจากนั้นสักพัก พี่น้องชายหญิงก็จะไปหาพี่ฟางเมื่อพวกเขาเจอเข้ากับอุปสรรค นี่ทำให้ฉันท้อใจค่ะ ฉันคิดว่า “ตั้งแต่เธอมา ทุกคนก็ชื่นชมยกย่องเธอ และไปปรึกษาปัญหากับเธอหมด พวกเขาคิดว่าเธอมีความสามารถมากกว่าฉันหรือเปล่า? แต่ฉันเป็นผู้นำทีมนะ! ฉันปล่อยให้เธอแย่งตำแหน่งฉันไม่ได้ แต่ฉันต้องแย่งสง่าราศรีที่เป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของฉันคืนมา”
ครั้งหนึ่ง ทันทีหลังจากการชุมนุม พี่หวังรวบรวมเอกสารในภาษาเยอรมันแล้วส่งออกไปให้กลุ่ม บอกว่าเธอได้ใช้ซอฟต์แวร์การแปลสำหรับบางส่วน เธอต้องการให้ฉันกับพี่ฟางตรวจสอบว่ามีปัญหาอะไรไหมหลังจากการชุมนุม พออ่านจนจบ ฉันก็พบปัญหาทุกรูปแบบกับการแปลนี้ และคิดว่า “นี่แหละโอกาสของฉัน พี่ฟางรู้ภาษาเยอรมันอยู่บ้าง แต่ไม่ดีเท่ากับฉัน ตอนนี้ทุกคนต้องได้เห็นว่าฉันมีความสามารถมากกว่าเธอ” ดังนั้นฉันก็เลยตรวจทานทั้งเอกสาร ตรวจแก้และจัดรูปหน้าใหม่ ฉันรู้สึกเหมือน ทันทีที่พี่น้องชายหญิงเห็นว่างานที่ฉันทำนั้นให้ความชัดเจนและสอดคล้องกันมากแค่ไหน พวกเขาก็จะเห็นพรสวรรค์ของฉันอย่างแน่นอน ฉันลงเอยด้วยการใช้เวลาตลอดการชุมนุมนั้นไปกับเอกสารนั้น แทนที่จะฟังจริงๆ แม้แต่หลังจากการชุมนุม ฉันก็ใช้เวลาตลอดค่ำ ตรวจสอบและเรียบเรียงซ้ำทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง ฉันปวดหัวและตาแห้งจากการทำงานกับเอกสารนั้นอย่างหนัก แต่เมื่อฉันคิดถึงเรื่องที่พี่น้องชายหญิงจะเห็นงานเบื้องหลังฉากของฉัน และได้รับการเลื่อมใสจากพวกเขาคืนมา ความเหน็ดเหนื่อยของฉันก็มลายสิ้นเลยค่ะ ฉันส่งเอกสารนั้นให้กับกลุ่มในวันรุ่งขึ้น แต่ตอนที่ทุกคนกำลังเสวนาปัญหาเกี่ยวกับการให้น้ำผู้มาใหม่ ทุกคนกำลังถามพี่ฟางถึงประเด็นที่พวกเขาไม่เข้าใจ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่พูดถึงฉันในฐานะคนที่แก้ไขงานแปลนั้น ฉันรู้สึกข้องใจจริงๆ และนึกสงสัยว่า ทำไมฉันถึงกลายเป็นตกขอบไปตั้งแต่พี่ฟางมานะ เธอไม่ได้ดีไปกว่าฉันอะไรเลย ฉันแค่นั่งอยู่ที่คอมพิวเตอร์โดยไม่พูดอะไรสักคำ และฉันไม่มีความอยากที่จะเข้าร่วมการเสวนานั่นเลยค่ะ ฉันถึงกับมีความคิดที่ว่าไม่ต้องการทำหน้าที่นั้นโดยสิ้นเชิงค่ะ ตอนนั้นเอง อยู่ๆ พี่สาวคนหนึ่งก็ถามคำถามฉัน และฉันก็ไม่รู้จะตอบยังไง เพราะฉันไม่ได้ติดตามการเสวนานั่นเลยค่ะ พอเห็นว่าฉันไม่พูดอะไรเลย พี่ฟางก็พูดแทรกความเห็นของเธอเองเข้ามา และทุกคนก็เห็นด้วยกับเธอค่ะ ใบหน้าของฉันร้อนผ่าว ฉันรีบหาส่วนที่สอดรับกันของเอกสารนั้น เพียงเพื่อจะรู้ตัวว่าพวกเขาเพิ่งสามัคคีธรรมข้อมูลในนั้นไปเกือบหมดแล้ว แต่ฉันไม่ได้ฟังเลยค่ะ ตอนนั้นฉันรู้สึกผิดทีเดียว ฉันเป็นผู้นำทีมในการให้น้ำ ดังนั้นฉันจึงควรได้ชี้นำกระบวนการเรียนรู้และช่วยจัดการแก้ไขปัญหาของผู้คนในหน้าที่ของพวกเขา แต่ฉันกลับเปรียบเทียบตัวเองกับพี่ฟางอยู่เสมอ และเป็นห่วงแต่เรื่องที่ว่าคนอื่นคิดกับฉันยังไง ฉันไม่ได้ใส่หัวใจของฉันลงไปในหน้าที่เลยค่ะ ฉันจะทำหน้าที่ให้ดีได้ยังไงด้วยท่าทีแบบนั้น?
หลังจากการชุมนุม ฉันก็ทบทวนถึงสภาวะที่ฉันเป็นอยู่เมื่อไม่นานก่อนหน้านั้น ตั้งแต่พี่ฟางเข้ามา ทุกคนก็ไปปรึกษาปัญหากับเธอ และฉันก็ต่อต้านจริงๆ รู้สึกเหมือนบทบาทผู้นำของฉันและสง่าราศรีของฉันถูกแย่งเอาไป ฉันพยายามทุกอย่างเพื่อโอ้อวด ต้องการได้รับตำแหน่งที่ฉันมีในหัวใจของทุกคนคืนมา เมื่อฉันไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ มันก็เหมือนฉันถูกทำให้สูญเสียความมั่นใจ และฉันถึงกับต้องการล้มเลิกค่ะ นั่นไม่ใช่การทรยศพระเจ้าหรอกหรือ? เมื่อตระหนักว่าฉันไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้รู้จักตัวเองค่ะ พระวจนะของพระเจ้าตรัสว่า “เมื่อผู้คนไม่เข้าใจหรือไม่ปฏิบัติความจริง บ่อยครั้งที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน พวกเขาดำรงอยู่ท่ามกลางบ่วงนานัปการของซาตาน โดยเค้นสมองของพวกเขาเพื่อเห็นแก่ประโยชน์แห่งอนาคต ความภาคภูมิใจ สถานะ และผลประโยชน์ส่วนตนอื่นๆ ของพวกเขาเอง แต่หากเจ้านำท่าทีนี้มาใช้กับหน้าที่ของเจ้า กับการแสวงหาและการไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะได้รับความจริง…หากเจ้าทำงานกับความจริงอย่างสุดความพยายามอยู่เสมอ โดยมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยครั้ง แสวงหาความจริงบ่อยครั้ง เจ้าย่อมจะเก็บเกี่ยวดอกผลแห่งความจริง และสิ่งที่เจ้าทำในชีวิตก็จะมีสภาพคล้ายมนุษย์ และสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ และความจริงความเป็นจริง หากเจ้าวางแผน ใคร่ครวญ ใช้เวลาพิจารณา ทุ่มเททำงานหนัก—แม้กระทั่งมอบชีวิตของเจ้า—ในสิ่งต่างๆ ที่เป็นผลดีต่อเจ้าอยู่บ่อยครั้ง โดยยอมทุ่มเทอย่างไม่อั้น เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็อาจจะได้รับความเคารพจากผู้คน และได้รับผลดีและรูปแบบของความภาคภูมิใจที่แตกต่างออกไป—แต่สิ่งใดสำคัญกว่ากัน สิ่งเหล่านี้หรือความจริง? (ความจริง) ผู้คนเข้าใจข่าวสารนี้ กระนั้นพวกเขาก็ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และให้คุณค่าแต่กับผลประโยชน์และสถานะของพวกเขาเองเท่านั้น ดังนั้น พวกเขาเข้าใจการนี้อย่างแท้จริงหรือไม่ หรือว่านี่เป็นความเข้าใจที่ผิดกันแน่? ในข้อเท็จจริงแล้วพวกเขาโฉดเขลา พวกเขามองไม่เห็นเรื่องทั้งหลายดังกล่าวอย่างชัดเจน เมื่อพวกเขาสามารถมองเห็นเรื่องเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน พวกเขาย่อมจะได้รับวุฒิภาวะไปแล้วเล็กน้อย การนี้พึงต้องให้พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง ให้ทำงานหนัก พวกเขาไม่อาจสับสนมึนงงและสะเพร่า เมื่อถึงวันหนึ่งที่พระเจ้าตรัสว่าพระองค์เสร็จสิ้นการตรัสแล้ว ว่าพระองค์ไม่ปรารถนาที่จะตรัสสิ่งใดแก่มวลมนุษย์อีกและไม่ทรงปรารถนาที่จะทำสิ่งใดอีก เมื่อถึงเวลาทดสอบงานของมนุษย์ หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมได้รับการลิขิตชะตาให้ถูกกำจัดทิ้ง” (การสามัคคีธรรมของพระเจ้า) พระวจนะของพระเจ้า ตรงใจฉันจริงๆ ฉันนึกย้อนไปถึงพฤติกรรมที่เพิ่งผ่านมาของฉัน และแม้ดูเหมือนว่าฉันกำลังทำหน้าที่ แต่ฉันก็แค่ปกป้องผลประโยชน์และสถานะของตัวเองอยู่ในทุกขณะ เมื่อฉันเห็นพี่ฟางล้ำหน้าฉันในความสามารถและฝีมือ และเห็นว่าสมาชิกทีมคนอื่นๆ นับถือเธออย่างสูง ฉันก็รู้สึกอยู่ในภาวะวิกฤติ เหมือนตำแหน่งของฉันกำลังสั่นคลอน ฉันเริ่มแอบแข่งขันกับเธอ โดยเปรียบเทียบตัวเองกับเธอ และต้องการให้ทุกคนคิดว่าฉันทำงานนี้ได้ดีกว่าเธอ ฉันแค่ต้องการชนะใจให้ได้ความเลื่อมใสของทุกคนคืนมา ฉันไม่ได้กำลังปกป้องสถานะส่วนตัวของฉันในขณะที่โบกธงแสดงการทำหน้าที่ของฉันหรอกเหรอคะ? พระเจ้าทรงยกชูฉันขึ้นเพื่อทำหน้าที่หัวหน้าทีม เพื่อที่ฉันจะสามารถดูแลน้ำพระทัยของพระองค์และค้ำจุนงานของคริสตจักรได้ และยังเป็นในความหวังด้วยว่าฉันจะสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อเรียนรู้ที่จะใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา และปฏิบัติตามความจริงในหน้าที่ของฉัน เพื่อที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันจะสามารถได้รับการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ฉันไม่ได้กำลังปฏิบัติตามความจริงเลยค่ะ ฉันเพียงแต่ติดอยู่ในสภาวะของการต่อสู้เพื่อชื่อและผลตอบแทน และทั้งหมดที่ฉันคิดถึงก็คือจะทำให้เกินหน้าพี่ฟางยังไง และฉันจะสามารถทำให้พี่น้องชายหญิงเลื่อมใสฉันได้หรือไม่ ฉันเห็นหน้าที่ของตัวเองเป็นเรื่องรองอย่างสิ้นเชิง เมื่อฉันล้มเหลวที่จะได้รับเกียรติยศและสถานะ ฉันก็ต้องการล้มเลิกและทรยศพระเจ้า นั่นคือการต้านทานพระเจ้าค่ะ ถึงจุดนี้ฉันรู้สึกกลัวเล็กน้อย และฉันตระหนักว่าจิตวิญญาณของฉันนั้นมืดมนและเจ็บปวด และฉันได้สูญเสียงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไป เพราะทุกอย่างที่ฉันกำลังทำนั้นน่าขยะแขยงสำหรับพระเจ้า พระองค์จึงทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากฉัน ถ้าฉันไม่กลับใจ พระองค์จะทรงกำจัดฉันทิ้งค่ะ เมื่อฉันตระหนักถึงทั้งหมดนี้ ฉันก็รีบมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน พูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่ต้องการพูดหรือกระทำแค่เพื่อเกียรติยศและสถานะของข้าพระองค์ แต่ดูเหมือนว่าข้าพระองค์จะห้ามใจไม่ได้เลย โปรดทรงนำข้าพระองค์เพื่อที่ข้าพระองค์จะสามารถนำความจริงไปสู่การปฏิบัติได้ด้วยเถิด”
ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งหลังจากนั้น และพระวจนะนั้นแสดงให้ฉันเห็นว่าจะปล่อยวางทั้งหมดนั้นยังไงค่ะ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “บรรดาผู้ที่มีความสามารถในการนำความจริงมาปฏิบัติ ย่อมสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้เมื่อทำสิ่งทั้งหลาย เมื่อเจ้ายอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า หัวใจของเจ้าก็จะได้รับการแก้ไขให้เข้าใจถูกต้อง หากเจ้าเพียงทำสิ่งทั้งหลายเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นอยู่ตลอดเวลา และไม่ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระเจ้ายังคงทรงอยู่ในหัวใจของเจ้ากระนั้นหรือ? ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่มีความเคารพให้กับพระเจ้า จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าพิจารณาสถานะ เกียรติยศ หรือความมีหน้ามีตาของตัวเจ้าเอง จงอย่าพิจารณาถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน อันดับแรกเจ้าต้องพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และทำให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นที่หนึ่ง เจ้าควรมีความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่าเจ้าได้มีราคีในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงหรือไม่ ว่าเจ้าได้ทำจนถึงที่สุดของเจ้าที่จะจงรักภักดีต่อพระเจ้า ทำดีที่สุดของเจ้าที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และให้ทั้งหมดของเจ้าไปแล้วหรือยัง รวมไปถึงการที่ว่าเจ้าได้ให้ความคิดโดยหมดทั้งหัวใจต่อหน้าที่ของเจ้าและงานในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้ จงคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อยู่เนืองนิจ และจะง่ายยิ่งขึ้นสำหรับเจ้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ได้ดี” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าชัดเจนอย่างสมบูรณ์ค่ะ พระเจ้าทรงมีที่ในหัวใจของคนที่พิจารณาน้ำพระทัยของพระองค์อย่างแท้จริง และพวกเขาสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ในทุกสิ่งที่พวกเขาทำได้ พวกเขาปล่อยวางหน้าตา สถานะ และผลประโยชน์ของพวกเขาเองได้ และพิจารณาผลประโยชน์ของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ทุ่มเททุกอย่างที่พวกเขามีลงในการทำหน้าที่ของพวกเขา คนประเภทนั้นนำความชื่นบานยินดีมาสู่พระเจ้า เมื่อคิดถึงเรื่องนี้จริงๆ การสามัคคีธรรมบนความจริงของพี่ฟางนั้นชัดเจนจริงๆ และสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ และข้อเสนอแนะของเธอก็เป็นประโยชน์ต่องานของเรามากกว่าของฉันค่ะ นี่เป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรและชีวิตของพี่น้องชายหญิงจริงๆ มันดีสำหรับงานของเราถ้าคนอื่นไปขอความช่วยเหลือจากพี่ฟางมากกว่าฉัน เพื่อที่ทุกคนจะสามารถเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน นั่นเป็นสิ่งที่ดีค่ะ แต่แทนที่จะพิจารณาเรื่องนั้นสักนิด ฉันกลับห่วงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองและจุดที่ฉันยืนอยู่ เมื่อเห็นคนอื่นชื่นชมยกย่องพี่ฟาง ฉันรู้สึกเหมือนว่าเธอได้ขโมยที่ของฉันไป ฉันก็เลยแอบตั้งตนเป็นคู่แข่งกับเธอ ฉันไม่ได้กำลังก่อกวนให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศเสียหายหรอกเหรอคะ? ฉันรู้สึกแย่มากเมื่อทั้งหมดนี้ชัดเจนสำหรับฉัน ฉันดูหมิ่นตัวเองจริงๆ และต้องการปฏิบัติตามความจริงเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย หลังจากนั้น ฉันก็ตั้งใจพยายามปล่อยวางหน้าตาและสถานะของฉัน และเมื่อเราอยู่ในการสามัคคีธรรมและการเรียน ฉันก็เลิกคิดถึงเรื่องการโอ้อวดเพื่อให้ดูดีกว่าเธอค่ะ กลับกัน ฉันมุ่งไปที่การนิ่งสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและคิดถึงเรื่องจะสามัคคีธรรมยังไงให้มีประสิทธิผลที่สุด ฉันรับมือได้อย่างเหมาะสมเมื่อฉันเห็นพี่น้องชายหญิงนำปัญหาไปหาพี่ฟาง ฉันรู้สึกว่าไม่สำคัญว่าพวกเขาจะถามใคร ตราบใดที่ปัญหานั้นได้รับการแก้ไข และเมื่อฉันเจอเข้ากับปัญหาในหน้าที่ของฉัน ฉันก็เริ่มไปหาเธอเหมือนกัน และฟังสิ่งที่เธอบอกค่ะ ฉันรู้สึกมีสันติสุขขึ้นมากเมื่อฉันทำสิ่งต่างๆ แบบนี้ และฉันมีการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหน้าที่ของฉัน ซึ่งช่วยแก้ไขปัญหาบางประการด้วย ผลก็คืองานของทีมดีขึ้น ฉันรู้สึกขอบคุณสำหรับการทรงนำของพระเจ้าค่ะ
หลังจากประสบการณ์นี้ ฉันคิดว่าฉันมีความรู้เรื่องตัวเองบ้างและได้เปลี่ยนไปประมาณหนึ่ง แต่แล้วบางอย่างก็เกิดขึ้นหลังจากนั้นซึ่งเปิดโอกาสให้ฉันทบทวนและเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งค่ะ บ่ายวันหนึ่งผู้นำคนหนึ่งส่งข้อความหาฉัน บอกว่าเธอต้องการให้พี่ฟางทำงานกับฉัน ในงานหนึ่งของฉัน เพื่อให้มันเสร็จสิ้นให้เร็วที่สุด ฉันไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนี้เลยค่ะ ฉันเป็นผู้รับผิดชอบงานนี้มาตลอด ดังนั้นการที่จู่ๆ พี่ฟางก็เข้ามาร่วมทำให้ฉันรู้สึกเหมือน ผู้นำคนนั้นคิดว่าเธอดีกว่าฉัน คิดว่าพี่ฟางสามารถช่วยฉันปรับปรุงงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ แล้วถ้าโครงการนั้นออกมาดี ความพยายามของพี่ฟางก็จะเป็นที่สังเกตเห็น ฉันรู้ว่าเธอมีประสิทธิภาพและฉลาด และทั้งความสามารถและฝีมือการทำงานของเธอก็ดีกว่าของฉัน แถมคนอื่นๆ ก็ชอบเธอกันทั้งนั้น มันรู้สึกเหมือนเป็นวิกฤติที่กำลังใกล้เข้ามา ถ้าผู้นำเห็นว่าพี่ฟางทำได้ดีกว่าฉัน เธอจะให้พี่ฟางมารับตำแหน่งหัวหน้าทีมแทนฉันไหม? พอคิดแบบนั้น ฉันก็รู้สึกว่าในอกคับแน่นไปด้วยความวิตกกังวล ฉันตระหนักว่าฉันกำลังแข่งขันกับพี่ฟางเพื่อสถานะอีกแล้ว แต่พอฉันคิดถึงเรื่องความเป็นไปได้ที่เธอจะมาแทนที่ฉัน ฉันก็กังวลจริงๆ กลัวอยู่ลึกๆ ว่าจะเสียตำแหน่งของฉันไป ฉันคิดว่า “ฉันต้องพิสูจน์กับผู้นำทันทีว่าฉันทำงานนี้ได้” ดังนั้น ฉันจึงแบ่งโครงการออกเป็นสองส่วนเพื่อที่เราจะได้รับไปคนละครึ่ง แบบนั้น ผู้นำจะเห็นได้ว่าใครทำอะไรไป และจะชัดเจนว่าใครทำได้สำเร็จมากที่สุด แล้วสำนึกของการแข่งขันที่ฉันยังไม่ได้กำจัดทิ้งให้หมดก็พลุ่งขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนที่แบ่งงานกันฉันไม่ได้สื่อสารกับพี่ฟางในรายละเอียด ไม่ต้องการแบ่งปันทุกอย่างที่ฉันรู้กับเธอ ฉันกลัวว่าเธอจะตามทันได้อย่างรวดเร็ว ฉันแค่ส่งข้อความแบบขอไปทีให้กับเธอ เกี่ยวกับการแบ่งงานกันทำ แล้วเราก็แยกกันทำงาน ตลอดสองสามวันจากนั้น ฉันทำงานของโครงการนี้ไม่หยุด คิดว่าตราบใดที่ฉันทำออกมาดีและรวดเร็ว ผู้นำก็จะคิดว่าฉันมีประสิทภาพและมีประสิทธิผลมากกว่าพี่ฟาง แล้วฉันก็จะได้รับการเห็นชอบจากเธอและตำแหน่งของฉันก็จะปลอดภัย ในช่วงเวลานี้ เมื่อพี่น้องชายหญิงต้องการความช่วยเหลือในหน้าที่ของพวกเขา ฉันก็ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้เวลากับมัน รู้สึกว่ายิ่งทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งพิสูจน์ความสำคัญของตัวเองได้มากเท่านั้น ว่าฉันสามารถทำได้ทั้งหมดเลย แล้วฉันก็คิดว่าฉันแข็งแกร่งเหมือนกับหิน ฉันยังคอยจับตาดูความคืบหน้าของพี่ฟางด้วย กลัวว่าฉันจะตามหลังเธอ ฉันไม่เคยหาความสงบในหน้าที่ของฉันได้จริงๆ เลย แต่กลับยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นทุกที ฉันไม่มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึก ต่อปัญหาที่เจอ ฉันจึงคืบหน้าช้ามากค่ะ ฉันกำลังเอาแต่มุ่งมั่นไล่ตามชื่อและสถานะเท่านั้น หากผู้นำไม่ล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันก็คงไม่ได้ทบทวนตัวเองค่ะ ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ เมื่อเห็นว่าไม่มีความคืบหน้าจริงๆ เลย ผู้นำก็ตรวจสอบกับฉันถึงสถานะของงานและถามว่าการร่วมมือของเราเป็นยังไงบ้าง เธอยังชี้ชัดด้วยว่าไม่มีงานหลักอันไหนของฉันที่ทำได้ดีเลย และถามฉันว่าฉันกำลังทำงานอะไรอยู่ ฉันแก้ตัวกับเธอค่ะ บอกว่าฉันจัดสรรเวลาได้ไม่ดี และงานก็ยากทีเดียว ที่จริง ฉันรู้ ว่ามันเป็นเพราะฉันแค่กำลังไล่ตามชื่อและผลตอบแทนอีกครั้ง ดังนั้นฉันจึงทำงานกับพี่ฟางได้ไม่ดี และหัวใจของฉันก็ไม่อยู่ในที่ที่ถูกต้อง เพราะแบบนั้นฉันจึงสูญเสียการทรงนำของพระเจ้าไปค่ะ พอเห็นฉันหาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง ผู้นำก็จัดการกับฉันที่ไม่เรียงลำดับความสำคัญงานของฉันให้เหมาะสม และถามถึงสภาวะของฉันค่ะ ฉันแบ่งปันกับเธอถึงสิ่งที่ฉันได้เปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้
เธออ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งให้ฉันฟัง และสามัคคีธรรมต่อและชำแหละธรรมชาติและรากเหง้าของการต่อสู้เพื่อชื่อและสถานะ นี่ช่วยให้ฉันเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันดีขึ้นค่ะ พระวจนะของพระเจ้าตรัสว่า “เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาอยู่ในกลุ่มหนึ่ง สิ่งแรกที่ผู้คนชนิดที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ทำก็คือ การทำให้ได้มาซึ่งความไว้วางใจและความซึ้งคุณค่าจากผู้คน และทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นรู้สึกเลื่อมใสในตัวพวกเขา เคารพยกย่องพวกเขา และชื่นชมบูชาพวกเขา เพื่อที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขาในการมีอำนาจเด็ดขาดและมีอำนาจตัดสินใจขั้นสุดท้ายในกลุ่ม…พวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสถานะ เพื่อเป็นจ่าฝูงในกลุ่ม โดยไม่ละเว้นปัจเจกบุคคลหรือปัจจัยอันใดที่คุกคามสถานะของพวกเขาเลย แน่นอนว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ย่อมต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อสัมฤทธิ์การนี้ ใครก็ตามที่พูดจาฉะฉาน ผู้ที่พูดอย่างมีตรรกะ ในลักษณะที่มีแบบแผนและมีระบบระเบียบอย่างดี ย่อมกลายเป็นเป้าหมายแห่งความอิจฉาริษยาของพวกเขา เป็นเป้าหมายให้เลียนแบบ และที่มากกว่านั้นก็คือ เป็นเป้าหมายแห่งการแข่งขันของพวกเขา บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีความเชื่อมั่น ผู้ที่ช่วยเหลือและเกื้อหนุนพี่น้องชายหญิงบ่อยครั้ง โดยพาพวกเขาออกจากความคิดลบและความอ่อนแอ ก็กลายเป็นเป้าหมายแห่งการแข่งขันของพวกเขาด้วย ใครก็ตามที่เก่งกาจในกิจบางอย่าง และได้รับความเคารพยกย่องเล็กน้อยจากพี่น้องชายหญิง ก็กลายเป็นเป้าหมายแห่งการแข่งขันของพวกเขาเช่นกัน บรรดาผู้ที่มีการงานเกิดผล และผู้ที่ได้รับการสรรเสริญจากเบื้องบน ยิ่งเป็นเป้าหมายสำหรับการแข่งขันของพวกเขามากขึ้นไปอีกเสียด้วยซ้ำ แล้วอะไรคือคำกล่าวอันเป็นเครื่องหมายการค้าของพวกเขาในทุกกลุ่ม? ไม่จำเป็นว่าผู้คนดังกล่าวต้องการที่จะได้รับสถานะสูงสุด เพียงแต่ว่าพวกเขามีอุปนิสัยบางอย่าง วิธีการคิดบางอย่าง ที่ทำให้พวกเขาทำสิ่งเหล่านี้ อะไรคือวิธีการคิดแบบนี้? ย่อมเป็น ‘ฉันต้องแข่งขัน! แข่งขัน! แข่งขัน!’ ‘แข่งขัน’ นั่นเองคืออุปนิสัยของพวกเขา อุปนิสัยของพวกเขาคือสิ่งที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ ไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมอุปนิสัยนั้นได้ แม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ไม่สามารถ พวกเขาต้องแข่งขัน” (“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สาม)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) ฉันคิดทบทวนว่าบทตอนนี้เปิดเผยอะไรเกี่ยวกับสภาวะเหล่านี้ มันอธิบายสภาวะที่ผ่านมาของฉันอย่างสมบูรณ์ ในการทำหน้าที่ ฉันอยากมีสถานะระดับหนึ่งและอยากให้คนอื่นชื่นชมยกย่องฉันเสมอ เมื่อฉันรู้สึกเหมือนว่าพี่ฟางดูเหมือนจะมาแทนที่ฉัน ฉันก็ปฏิบัติต่อเธอเป็นคู่ปรับ แอบตั้งตนต่อต้านเธอเพื่อให้ฉันสามารถรักษาตำแหน่งไว้ได้ ฉันต้องการแบ่งงานออกเพื่อดูว่าเราคนไหนจะมีประสิทธิผลมากกว่ากัน และต้องการใช้การช่วยพี่น้องชายหญิงกับปัญหาของพวกเขา เพื่อแสดงว่าฉันทุ่มเทกับงานมากกว่าเธอ ว่าฉันเข้าใจความจริงและงานดีกว่า โดยหวังว่าทุกคนจะเห็นว่าฉันเป็นสมาชิกทีมที่แข็งแกร่งและมีความสามารถ เพื่อให้ตำแหน่งของฉันมั่นคงค่ะ ฉันย้ำคิดย้ำทำอยู่กับว่าจะโอ้อวดยังไง โดยเปรียบเทียบตัวเองกับเธอในทุกๆ เรื่อง นี่ไม่ผิดกับอุปนิสัยศัตรูของพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงเปิดเผยออกมาหรอกหรือ? พอคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็เห็นว่าผู้นำต้องการให้เราทำงานร่วมกัน ตั้งแต่แรกก็เพื่อให้เราได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเสร็จโครงการเร็วขึ้น แต่ฉันถูกครอบงำด้วยอุบายหยุมหยิม จึงต้องการใช้หน้าที่สถาปนาตัวเอง งานของคริสตจักรไม่ได้ผ่านเข้ามาในความคิดฉันเลย ฉันไม่ได้ใส่หัวใจของฉันลงในพระบัญชาของพระเจ้า แต่กลับไม่คิดถึงอะไรเลยนอกจากจะทำยังไงให้ตัวเองดูดี ฉันวางอุบายและพยายามต่อต้านพี่ฟางเพื่อให้มั่นใจในตำแหน่งของฉัน ทำให้งานของเราล่าช้า นั่นจะเป็นการทำหน้าที่ของฉันได้ยังไงคะ? เห็นชัดว่า ฉันกำลังรับใช้ซาตานอย่างเต็มที่ บ่อนทำลายงานของคริสตจักร!
มีพระวจนะของพระเจ้าบทตอนอื่นๆ ที่ฉันได้อ่านค่ะ “หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพยายามเอาชนะใจผู้คนอยู่เสมอ ปรารถนาที่จะทำให้สมดังความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของเจ้าเองอยู่เสมอ และปรารถนาที่จะสนองความโหยหาในสถานะของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ มีสิ่งใดเกี่ยวกับเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ที่สอดคล้องกับความจริงหรือไม่? (ไม่มี) แล้วหากเส้นทางนั้นไม่ลงรอยกับความจริงเล่า? ผู้คนเหล่านี้กระทำการไปเพื่อสิ่งใด? (เพื่อสถานะ) สิ่งใดที่แสดงให้เห็นอยู่ในตัวผู้คนที่ทำสิ่งทั้งหลายเพื่อสถานะ? บางคนพูดว่า ‘พวกเขากล่าวคำสอนอยู่เสมอ พวกเขาไม่เคยสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงความเป็นจริงเลย พวกเขาพูดเพื่อตัวพวกเขาเองเสมอ พวกเขาไม่เคยยกย่องหรือให้การเป็นพยานต่อพระเจ้า ผู้คนที่มีสิ่งดังกล่าวแสดงให้เห็นอยู่ภายในย่อมกระทำการเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของสถานะ’” (“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สาม)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) “หากเจ้าย้ำคิดเรื่องสถานะและความมีเกียรติในสังคม หากเจ้าทะนุถนอมสิ่งเหล่านี้จริงๆ ผูกพันกับสิ่งเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง ไม่สามารถทนล้มเลิกสิ่งเหล่านี้ได้ หากเจ้ารู้สึกเสมอว่าเมื่อปราศจากสถานะและความมีเกียรติในสังคมก็ไม่มีความชื่นบานหรือความหวังในการดำรงชีวิต ว่าเจ้าต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตของเจ้าเพื่อสถานะและความมีเกียรตินั้น ว่าเจ้าต้องมีสองสิ่งนี้คอยชี้นำ ว่าต่อให้เจ้าไม่สัมฤทธิ์เป้าหมายของเจ้าในท้ายที่สุด แต่เจ้าก็ไม่สามารถล้มเลิกโดยสิ้นเชิงได้ และเจ้าต้องพากเพียรบากบั่นจวบจนวาระสุดท้ายตราบเท่าที่ยังมีสายใยแห่งความหวัง—หากเจ้ามีความคิดดังกล่าว เช่นนั้นแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเข้มงวดกับตัวเองมากในแง่ของสิ่งที่เจ้าปฏิบัติ และเจ้าก็หมิ่นเหม่ที่จะแสร้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับการปฏิบัติของเจ้า…การไล่ตามเสาะหาสถานะดังกล่าวย่อมส่งผลต่อความสามารถของเจ้าที่จะเป็นสิ่งทรงสร้างที่ยอมรับได้ของพระเจ้า และแน่นอนว่าส่งผลต่อความสามารถของเจ้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ถึงมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับได้อีกด้วย เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้? ไม่มีสิ่งใดที่น่าชังสำหรับพระเจ้ามากไปกว่าเวลาที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาสถานะ เพราะการไล่ตามเสาะหาสถานะเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทราม กำเนิดจากความเสื่อมทรามของซาตาน และในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วไม่ควรดำรงอยู่ พระเจ้าไม่ได้ทรงลิขิตว่าควรมอบการไล่ตามเสาะหาสถานะแก่มนุษย์ หากเจ้าแข่งขันและต่อสู้เพื่อสถานะอยู่เสมอ หากเจ้าทะนุถนอมสถานะอยู่เป็นนิตย์ หากเจ้าต้องการคว้าสถานะมาให้ตนเอง นี่ไม่มีธรรมชาติของการต่อต้านพระเจ้าอยู่เล็กน้อยหรอกหรือ? พระเจ้าไม่ได้ทรงลิขิตสถานะขึ้นมาให้แก่ผู้คน พระเจ้าทรงจัดเตรียมความจริง หนทาง และชีวิตให้ผู้คน และในท้ายที่สุดแล้วก็ทรงทำให้พวกเขากลายเป็นสิ่งทรงสร้างที่ยอมรับได้ของพระเจ้า สิ่งทรงสร้างขนาดเล็กและไร้นัยสำคัญของพระเจ้า—ไม่ใช่ใครบางคนที่มีสถานะและความมีเกียรติในสังคมและเป็นที่เคารพของผู้คนหลายพันคน และดังนั้น ไม่ว่าจะมองจากมุมมองใด การไล่ตามเสาะหาสถานะก็คือทางตัน ไม่ว่าคำแก้ตัวของเจ้าสำหรับการไล่ตามเสาะหาสถานะจะสมเหตุสมผลเพียงใด เส้นทางนี้ก็ยังคงเป็นเส้นทางที่ผิด และไม่เป็นที่สรรเสริญของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าพยายามหนักเพียงใดหรือว่าเจ้าจ่ายราคามากเพียงใด หากเจ้าพึงปรารถนาสถานะ พระเจ้าก็จะไม่ประทานสถานะแก่เจ้า หากพระเจ้าไม่ทรงมอบสถานะ เจ้าย่อมจะล้มเหลวในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสถานะ และหากเจ้ายังคงต่อสู้อยู่เรื่อยไป ก็ย่อมจะมีจุดจบเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ ความตาย! นี่คือทางตัน—เจ้าเข้าใจการนี้ใช่หรือไม่?” (“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สาม)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) ฉันกลัวมากหลังจากอ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า ฉันไม่ได้ไล่ตามความจริงในหน้าที่ของฉัน แต่กลับกันฉันกำลังโผนเข้าใส่ชื่อและสถานะเพื่อลุล่วงความอยากได้อยากมีของฉัน ฉันอยู่บนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ค่ะ ฉันสงสัยว่า ทำไมฉันถึงมุ่งเน้นกับการไล่ตามสิ่งเหล่านี้มากนัก? มันเป็นเพราะความเสื่อมทรามของซาตาน ตั้งแต่ฉันยังเล็ก ฉันได้ยินคำพูดอย่าง “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ” และ “ทหารดีคนไหนก็ฝันอยากเป็นนายพลทั้งนั้น” พอจุ่มแช่อยู่ในพิษพวกนี้ของซาตาน ฉันรู้สึกเหมือนไม่มีค่าเลยถ้าให้ฉันยินดีกับการเป็นคนทั่วไป ไม่ว่าไปที่ไหน ฉันก็ต้องการอยู่บนสุด ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีคุณค่า นั่นกลายเป็นรากฐานของฉันในฐานะบุคคลหนึ่งค่ะ ฉันหยุดตัวเองไม่ได้ที่จะไม่ใช้ชีวิตตามปรัชญาซาตานพวกนี้ทั้งที่กลายเป็นผู้เชื่อแล้ว พอเห็นใครบางคนที่ทำได้ดีกว่าฉัน ฉันก็ต้องลุกขึ้นสู้กับพวกเขา และคิดถึงทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ฉันต้องการมีที่ในใจผู้คน มีผู้คนห้อมล้อมชื่นชมยกย่องฉัน ฉันคิดว่านั่นหมายความฉันมีค่าน่ะค่ะ ด้วยมุมมองและการไล่ตามเสาะหาแบบนั้น ฉันก็ไม่สามารถทำหน้าที่ของฉันจากจุดของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ แต่ฉันกลับแสร้งทำหน้าที่ของฉันในขณะที่แก่งแย่งสถานะกับพระเจ้า ฉันกำลังล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและต้านทานพระองค์ค่ะ! ฉันรู้ว่าถ้าฉันไม่กลับใจ พระเจ้าจะทรงกำจัดฉันทิ้งไม่ช้าก็เร็ว ความคิดนี้ทำให้ฉันกลัวมากจริงๆ ฉันเห็นว่าเส้นทางที่ฉันอยู่นั้นอันตรายอย่างเหลือล้น ฉันมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าทันทีและกลับใจ ไม่ว่าฉันจะสามารถรับใช้ต่อไปในฐานะผู้นำทีมได้หรือไม่ ไม่ว่าพี่ฟางจะมารับตำแหน่งแทนฉันหรือไม่ ฉันก็พร้อมจะนบนอบค่ะ ฉันเคยคิดเสมอว่ามันเป็นการแสดงความเสื่อมทรามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฉันก็เลยไม่ได้จริงจังกับมันเกินไปค่ะ แต่ผ่านการพิพากษาและเปิดเผยของพระวจนะของพระเจ้า ฉันตระหนักว่ามันร้ายแรงแค่ไหน แล้วฉันก็พึงปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะแก้ไขความเสื่อมทรามนี้ หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงผู้คนที่ไล่ตามสิ่งเหล่านี้ มีบทตอนหนึ่งที่ทิ้งความประทับใจลึกซึ้งเป็นพิเศษในใจฉัน และช่วยให้ฉันพบเส้นทางค่ะ “ในฐานะหนึ่งในสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง มนุษย์ต้องรักษาตำแหน่งของเขาเอง และประพฤติตนอย่างมีจิตสำนึก จงคุ้มกันสิ่งที่พระผู้สร้างทรงมอบความไว้วางพระทัยแก่เจ้าอย่างเป็นหน้าที่ จงอย่ากระทำการล้ำเส้น หรือทำสิ่งทั้งหลายที่นอกเหนือช่วงความสามารถของเจ้า หรือที่เป็นที่เกลียดชังของพระเจ้า จงอย่าพยายามที่จะยิ่งใหญ่ หรือกลายเป็นยอดมนุษย์ หรือเหนือสิ่งอื่นใด จงอย่าพยายามที่จะกลายเป็นพระเจ้า นี่คือวิธีที่ผู้คนไม่ควรอยากที่จะเป็น การพยายามที่จะกลายเป็นยิ่งใหญ่หรือยอดมนุษย์นั้นช่างไร้สาระ การเสาะแสวงที่จะกลายเป็นพระเจ้ายิ่งเป็นที่เสื่อมเสียยิ่งกว่า มันน่าขยะแขยงและน่าดูหมิ่นนัก สิ่งที่น่าชมเชยและสิ่งที่สิ่งทรงสร้างทั้งหลายควรจะยึดมั่นไว้มากกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ การกลายเป็นสิ่งทรงสร้างที่แท้จริง นี่คือเป้าหมายเดียวเท่านั้นที่ผู้คนทุกคนควรไล่ตามเสาะหา” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1) พระวจะของพระเจ้าทำให้หัวใจของฉันสดใสขึ้นและช่วยให้ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ค่ะ การเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ เป็นยอดมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรไล่ตาม เราควรรับหน้าที่ของเราในฐานะสิ่งทรงสร้าง และดำเนินสิ่งที่พระเจ้าทรงไว้วางใจหมายให้เราอย่างมั่นคง นี่คือการไล่ตามที่ถูกต้อง และเป็นสิ่งเดียวที่พระเจ้าทรงเห็นชอบค่ะ
เมื่อฉันพบว่าตัวเองต้องการต่อสู้เพื่อชื่อและผลตอบแทนอีกครั้งหลังจากนั้น ฉันจะพยายามอธิษฐานต่อพระเจ้าและละทิ้งตัวเอง และไปหาพี่ฟางเพื่อคุยกับเธอเรื่องปัญหาในหน้าที่ของเรา เมื่อฉันเปิดใจกับเธอจริงๆ ฉันก็ค้นพบว่าเธอมีความคิดที่ดีทีเดียวว่าจะทำสิ่งต่างๆ ยังไง เมื่อเราช่วยกันคิด ไม่นานเลย เราก็มีแผนการสำหรับลงมือทำค่ะ พี่ฟางยังพยายามแบ่งปันบทสรุปของประสบการณ์ของเธอกับฉันอีกด้วย เพื่อช่วยให้ฉันปรับปรุงประสิทธิภาพของฉันค่ะ ฉันรู้สึกทั้งละอายใจและประทับใจ การมีคู่ทำงานแบบนั้นอยู่เคียงข้างช่วยฉันได้มากเลยค่ะ และฉันก็เกลียดตัวเองที่ตาบอดมาตลอด ที่แค่ต่อสู้เพื่อชื่อและผลตอบแทนและพลาดโอกาสมากมายที่ได้รับความจริง หลังจากนั้น ฉันก็เลิกเป็นกังวลเรื่องที่พี่ฟางจะมาแทนที่ฉันในฐานะผู้นำทีม ฉันกลายมาเป็นผ่อนคลายขึ้นมาก และมีประสิทธิผลขึ้นมากในหน้าที่ของฉัน แล้วพอเราทำงานเป็นทีม เราก็ทำโครงการนั้นเสร็จก่อนที่จะรู้ตัวเสียอีก การก้าวผ่านทั้งหมดนี้ ฉันรู้สึกจริงๆ ว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างฉัน และพระองค์ทรงสร้างสถานการณ์มากมายเพื่อชำระให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันค่ะ พระวจนะของพระองค์ยังทรงพิพากษา เปิดโปง ให้ความรู้แจ้ง และชี้นำฉัน เปิดโอกาสให้ฉันได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวเอง ฉันท่วมท้นไปด้วยความสำนึกบุญคุณต่อพระเจ้า และฉันตกลงใจที่จะทำหน้าที่ของฉันให้ดีและทำให้พระองค์พึงพอพระทัยค่ะ
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ