ความเจ็บป่วยและความยากลำบากแสดงให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของฉัน

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

โดย ถิง ถิง, ประเทศจีน

ฉันมีอาการปวดหัวบ่อย บางครั้งปวดมากถึงขั้นนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ฉันเคยไปหาหมอตอนเป็นวัยรุ่น หมอบอกว่าเป็นภาวะหลอดเลือดสมองหดเกร็ง ต้องรักษาด้วยการใช้ยา แต่พอเห็นผลข้างเคียงของยาที่หมอสั่งให้แล้ว ฉันก็ไม่กล้าใช้ยาพวกนั้น ฉันเลยแค่ทนปวดไป พอมายอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ อยู่ดีๆ อาการของฉันก็ดีขึ้นมาก ฉันขอบคุณพระเจ้าจากใจจริง ฉันจึงอุทิศตนไปร่วมการชุมนุมและทำหน้าที่ โดยคิดว่าเมื่อฉันเป็นผู้เชื่อแล้ว พระเจ้าจะต้องทรงดูแลฉันแน่ ถ้าฉันลำบาก พระองค์ก็จะทรงเปิดทาง คอยดูแลให้ครอบครัวฉันอยู่ดีมีสุข คอยปกป้องสุขภาพฉัน ต่อมา ฉันก็ลาออกจากงาน และออกจากบ้านเพื่อทำหน้าที่เต็มเวลา ฉันทำหน้าที่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เวลาผ่านไปหลายปีโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ สุขภาพฉันแย่ลง ฉันมักจะเหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก และหายใจไม่อิ่ม เช้าบางวันฉันไม่กล้าเปิดปากพูดด้วยซ้ำ เพราะแค่พูดก็เหนื่อยแล้ว แล้วฉันก็จะเหนื่อยล้าไปตลอดทั้งช่วงเช้า ตอนแรกฉันก็ไม่ได้สนใจเท่าไร คิดว่า “อาการของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ฉันต้องทำหน้าที่ต่อไป อีกสักพักอาการก็จะดีขึ้น” แต่ว่าหลังจากสองปีผ่านไป สุขภาพฉันก็แย่ลงเรื่อยๆ นอกจากเหนื่อยแล้ว บางครั้งหัวใจฉันก็เริ่มเต้นแรง หรือไม่ ฉันก็จะเหงื่อแตกพลั่ก กระสับกระส่ายมาก จนต้องนอนลงทันที พูดยังไม่ได้ด้วยซ้ำ ที่แย่ที่สุดคืออาการปวดหัวกลับมาอีก บางทีก็รู้สึกเหมือนเส้นเลือดมันกำลังจะระเบิด ฉันลองกินยาจีนแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร พอไปตรวจร่างกาย หมอเจอโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและหลอดเลือดสมองหดเกร็งขั้นรุนแรง เขาบอกว่าถ้าหลอดเลือดฉันแตก ฉันอาจจะตายได้ทุกเมื่อ พอได้ยินแบบนี้ ฉันก็นึกถึงคุณปู่ที่เสียชีวิตจากลิ่มเลือดในสมองขึ้นมา กับพ่อฉันซึ่งเกิดเลือดออกในสมองเฉียบพลันจนเสียชีวิตไปตอนอายุสี่สิบ ตอนนี้ฉันปวดหัวอย่างรุนแรงตลอดเวลา วันหนึ่งฉันจะมีภาวะหลอดเลือดแตก เหมือนพ่อฉันหรือเปล่า? หลายปีมานี้ ฉันทิ้งทุกอย่างมาทำหน้าที่ แล้วทำไมสุขภาพฉันถึงแย่ลงล่ะ? พระเจ้าควรทรงอารักขาฉันสิ วันต่อมา ฉันยังคงทำหน้าที่ฉันต่อ แต่ฉันก็อมทุกข์อยู่ตลอดเนื่องจากอาการป่วย ถึงแม้จะอธิษฐาน อ่านพระวจนะและแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า ว่าจะผ่านความเจ็บป่วยได้อย่างไร แต่พอเห็นว่าอาการไม่ดีขึ้น ฉันก็หมดความตั้งใจที่จะอธิษฐานและแสวงหา ฉันไม่มีเงินเหลือแล้ว ก็เลยกลับบ้าน แต่แม่สามีบอกว่าโรงงานสามีฉันล้มละลาย และไม่ได้จ่ายเงินให้เขา ได้ยินแบบนั้นฉันก็รู้สึกหงุดหงิดผิดหวังมาก ฉันไม่สบายมาก สามีตกงาน แถมไม่ได้เงินชดเชย อย่าว่าแต่จะรักษาตัวเลย เราจะอยู่กันยังไงต่อไปล่ะ? ในตอนนั้น พอคิดถึงสุขภาพที่ทรุดโทรมของฉัน กับการตกงานของสามี ฉันก็รู้สึกเจ็บปวดมากจนแทบทนไม่ไหวเลยค่ะ ฉันคิดว่า “ฉันยอมละทิ้งตั้งมากมายเพื่อหน้าที่ แล้วทำไมพระเจ้าถึงไม่ทรงเฝ้าดูฉัน?” แต่ก็คิดได้ว่า “ฉันต้องนบนอบสิ ไม่ใช่ติเตียน ใครจะรู้ สามีฉันอาจจะได้งานที่ดีก็เป็นได้ แล้วก็ได้เงินชดเชยที่เขายังไม่ได้” ฉันจึงอธิษฐานว่า “พระเจ้า สามีข้าพระองค์จะได้งานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพระองค์ ข้าพระองค์ขอวางการนี้ไว้ในพระหัตถ์พระองค์…” ขณะที่อธิษฐาน ฉันก็มีความหวังขึ้นมาบ้าง ฉันอยากให้เขาหางานทำได้เร็วๆ แต่ว่า หลายเดือนผ่านไป เขาก็ยังหางานไม่ได้เลย ฉันผิดหวังมาก หมดเรี่ยวแรงเลยค่ะ ภายนอกเหมือนฉันทำหน้าที่ แต่พอนึกถึงเรื่องครอบครัว หรือเรื่องสุขภาพ ฉันก็จะรู้สึกแย่มาก มีอยู่หลายครั้งที่ฉันน่าจะทำหน้าที่ได้ดีขึ้นถ้าทุ่มเทอีกหน่อย แล้วฉันก็คิดว่า “ทำเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ถึงทุ่มเทไปมากกว่านี้ จะมีอะไรดีขึ้นล่ะ?” ดังนั้น ฉันจึงหมดความกระตือรือร้น ที่จะทำหน้าที่เหมือนเมื่อก่อน งานที่ได้รับมาก็ไม่ค่อยคืบหน้า ฉันไม่มีไฟในตัวเองเหมือนเมื่อก่อน พอฉันเห็นพี่น้องชายหญิงติดขัดในหน้าที่ ฉันก็ไม่รู้สึกว่าอยากจะเข้าไปช่วยเหลือ แนวทางที่คิดลบหย่อนยานของฉันกระทบงานคริสตจักรอย่างร้ายแรง แต่ในตอนนั้น ฉันรู้สึกด้านชามากจนไม่ได้คิดอะไร ฉันทุกข์ระทมกับเรื่องในครอบครัวมาก ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ทุกข์ระทมมาสักพักแล้ว เอาแต่เรียกร้องจากพระองค์ หัวใจข้าพระองค์ไม่อยู่กับหน้าที่ ข้าพระองค์ควรนบนอบ แต่กลับปล่อยวางไม่ได้ ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าจะผ่านมันไปอย่างไรดี โปรดให้ข้าพระองค์ได้เข้าใจน้ำพระทัยด้วยเถิด”

วันหนึ่งไม่นานหลังอธิษฐาน พระวจนะบทตอนหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวว่า “ตลอดครรลองแห่งการทรงพระราชกิจของพระองค์ นับตั้งแต่ปฐมกาลเป็นต้นมา พระเจ้าได้ทรงกำหนดบททดสอบสำหรับทุกบุคคลไว้แล้ว—หรือเจ้าสามารถพูดได้ว่าทุกบุคคลที่ติดตามพระองค์—และการทดสอบเหล่านี้มาในขนาดอันหลากหลาย มีพวกที่ได้รับประสบการณ์กับการทดสอบแห่งการถูกครอบครัวของพวกเขาปฏิเสธ พวกที่ได้รับประสบการณ์กับการทดสอบแห่งสิ่งแวดล้อมอันทุกข์ยาก พวกที่ได้รับประสบการณ์กับการทดสอบแห่งการถูกจับกุมและถูกทรมาน พวกที่ได้รับประสบการณ์กับการทดสอบแห่งการต้องเผชิญหน้ากับตัวเลือกทั้งหลาย และพวกที่ได้เผชิญหน้ากับการทดสอบแห่งเงินตราและสถานะ กล่าวโดยทั่วไปแล้ว พวกเจ้าแต่ละคนได้เผชิญหน้ากับการทดสอบทุกลักษณะแล้ว เหตุใดพระเจ้าจึงทรงพระราชกิจเช่นนี้? เหตุใดพระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกคนเยี่ยงนี้? ผลลัพธ์จำพวกใดที่พระองค์ทรงแสวงหา? นี่คือประเด็นที่เราปรารถนาที่จะสื่อสารกับพวกเจ้า นั่นคือ พระเจ้าทรงต้องประสงค์ดูว่าบุคคลผู้นี้เป็นชนิดที่ยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่ สิ่งนี้หมายความว่าเมื่อพระเจ้ากำลังทรงให้การทดสอบแก่เจ้า และให้เจ้าเผชิญหน้ากับรูปการณ์แวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่ง เจตนารมณ์ของพระองค์คือเพื่อทดสอบว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์) ฉันจึงได้ตระหนักว่า พระเจ้าทรงเปลี่ยนพระราชกิจของพระองค์ และกำหนดสภาพแวดล้อมให้แตกต่างกันในแต่ละคน ทรงต้องการดูว่าพวกเขามีท่าทีอย่างไรในต่างสถานการณ์ และยำเกรงพระเจ้า หลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่ ตอนนั้นฉันเลยคิดได้ค่ะ ที่ผ่านมา ฉันป่วยหนักขึ้นตลอด สามีก็ตกงาน ไม่มีแหล่งรายรับเข้ามา พระเจ้าเป็นผู้ทรงอนุญาตทั้งหมด ฉันควรจะนบนอบ แสวงหาความจริง และเรียนรู้บทเรียน แต่ฉันกลับไม่แสวงหาน้ำพระทัย ไม่คิดถึงวิธีที่จะเป็นพยาน แต่กลับหดหู่และพร่ำบ่น นี่คือการต่อต้านพระเจ้าไม่ใช่หรือ? แล้วฉันก็นึกถึงโยบ ที่มีปศุสัตว์และสมบัติมากมายแต่ถูกขโมยไปหมด แล้วเขาก็เป็นฝีเต็มตัว แต่เขาก็ไม่ติเตียนพระเจ้า แต่กลับศิโรราบและพูดว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) ความเชื่อของโยบคือความเชื่อที่แท้จริง พอคิดถึงประสบการณ์ของโยบ ฉันก็รู้สึกละอาย เขาเอง ไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากนัก แต่เมื่อเผชิญบททดสอบยิ่งใหญ่ เขากลับยังคงความเชื่อและยืนหยัดเป็นพยาน แต่ทุกวันพระวจนะคอยนำและเป็นเสบียงอาหารให้ฉัน ฉันกลับไม่มีความเชื่อความนบนอบที่แท้จริง การเผชิญความเจ็บป่วย สามีตกงาน ทำให้ฉันหดหู่และพร่ำบ่น ฉันช่างเป็นกบฏเหลือเกิน!

แล้วฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยความนบนอบ ยินดีที่จะกลับใจ ขอความรู้แจ้งจากพระองค์ ให้ฉันได้รู้จักตัวเอง แล้วฉันก็ได้อ่านพระวจนะสองบทตอน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือการที่จะสามารถได้รับสันติสุขภายหลังการเชื่อในพระเจ้า เพื่อลูกหลานของเจ้าจะได้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อสามีของเจ้าจะมีงานที่ดี เพื่อบุตรชายของเจ้าจะได้เจอภรรยาที่ดี เพื่อบุตรสาวของเจ้าจะได้เจอสามีที่มีความประพฤติดีเหมาะสม เพื่อม้าและโคของเจ้าจะไถพรวนผืนดินได้ดี เพื่อปีที่มีสภาพอากาศที่ดีสำหรับพืชผลของเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าแสวงหา การไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็เพียงเพื่อจะมีชีวิตในความสุขสบาย เพื่อที่จะไม่มีอุบัติภัยตกมาถึงครอบครัวของเจ้า เพื่อที่สายลมจะโชยผ่านเจ้า เพื่อที่ใบหน้าของเจ้าจะไม่สัมผัสกรวดทราย เพื่อที่พืชผลของครอบครัวเจ้าจะไม่ถูกน้ำท่วม ไม่ได้รับผลกระทบจากความวิบัติอันใด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในรังอันอุ่นสบาย คนขี้ขลาดอย่างเจ้าผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาเนื้อหนังเสมอนั้น—เจ้ามีหัวใจ เจ้ามีจิตวิญญาณหรือไม่? เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกหรือ? เราให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้าโดยไม่ได้ขออะไรกลับคืน กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)การเชื่อในพระเจ้าของเจ้าคืออะไร? เจ้าได้มอบถวายชีวิตของเจ้าอย่างแท้จริงแล้วหรือยัง? หากพวกเจ้าได้ทนทุกข์กับการทดสอบอย่างเดียวกับโยบ จะไม่มีใครในท่ามกลางพวกเจ้าที่ติดตามพระเจ้าในวันนี้มีความสามารถที่จะตั้งมั่นได้ พวกเจ้าทั้งหมดคงจะล้มลง และที่จริงแล้วมีความแตกต่างกันอย่างลิบลับระหว่างพวกเจ้ากับโยบ วันนี้ หากทรัพย์สินของพวกเจ้าถูกยึดไปครึ่งหนึ่ง พวกเจ้าก็คงจะกล้าปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า หากบุตรหรือบุตรีของพวกเจ้าถูกพรากไปจากพวกเจ้า พวกเจ้าคงจะวิ่งไปตามถนนพลางร้องขอความเป็นธรรม หากหนทางเดียวในการหาเลี้ยงชีพของเจ้ามาถึงทางตัน เจ้าคงจะลองยกเรื่องนั้นมาหารือกับพระเจ้า เจ้าคงจะถามว่าทำไมเราจึงกล่าววจนะมากมายตั้งแต่ต้นเพื่อทำให้เจ้ากลัว ไม่มีสิ่งใดที่พวกเจ้าจะไม่กล้าทำในเวลาเช่นนั้น นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเจ้าไม่ได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่แท้จริงใดๆ และไม่มีวุฒิภาวะที่แท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (3)) พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยสภาวะแท้จริงของฉัน จนฉันเลิกสงสัย ภายนอกฉันดูเหมือนทำหน้าที่ทุกวัน แต่ในใจกลับซ่อนเหตุจูงใจอันน่าดูหมิ่นเอาไว้ว่า ถ้าฉันทำหน้าที่ในคริสตจักร พระเจ้าควรทรงอารักขาครอบครัวและสุขภาพของฉัน ทุกอย่างควรราบรื่น เมื่อไรที่ฉันไม่ได้ตามที่เรียกร้องและปรารถนา เมื่อผลประโยชน์ฉันถูกเพิกเฉย ฉันก็เริ่มติเตียนพระเจ้า ที่สุขภาพฉันไม่ดีขึ้น ที่สามีหางานไม่ได้ มันจะต่างอะไรกับการที่อยากจะ “นำเรื่องนั้นมาหารือกับพระเจ้า”? ถึงตอนนั้นฉันก็ตระหนักว่า แรงขับเคลื่อนความเชื่อของฉันตลอดมาก็คือความอยากได้พระพร ฉันมีความเชื่อเพียงเพื่อพระพร ความคิดว่า “ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ใครรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไป” เป็นพิษของซาตานที่ฉันใช้ดำเนินชีวิต ฉันใช้ความคิดการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนในทางโลกต่อพระเจ้า ใช้พระองค์ ใช้หน้าที่ฉัน เพื่อบรรลุเป้าหมายอันน่าดูหมิ่นในการได้รับพระพร ฉันทำการต่อรองกับพระเจ้า เล่นไม่ซื่อและต่อสู้กับพระองค์ พระเจ้าทรงพาฉันเข้าไปสู่พระนิเวศ คอยค้ำชูให้น้ำด้วยพระวจนะ เพื่อให้ฉันได้รับความจริง หลุดพ้นอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน และได้รับความรอด ฉันพยายามอ้างเหตุผลกับพระเจ้า และยังติเตียนพระองค์อีกด้วย ฉันคิดคำนวณว่าจะเล่นไม่ซื่อกับพระเจ้า ถ้าไม่ได้ตามที่อยาก ฉันก็อ้างเหตุผลติเตียนพระเจ้า ฉันน่าดูหมิ่นรังเกียจ ไม่คู่ควรมีชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์ ฉันเกลียดตัวเองเหลือเกิน ทำไมถึงไร้มโนธรรมและเหตุผลขนาดนั้น ฉันนึกถึงคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร ที่ไม่ได้ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยให้รอดจากเงื้อมมือฟาโรห์อียิปต์ แต่กลับติเตียนที่พวกเขาไม่มีเนื้อสัตว์ ทำให้พระเจ้าทรงพิโรธ ตรัสว่า “พวกเขาจะไม่ได้เข้าสู่การหยุดพักของเรา(สดุดี 95:11) สุดท้ายพวกเขาก็ตายในถิ่นทุรกันดาร ถ้าอาศัยความชอบธรรมของพระเจ้า การพร่ำบ่นของฉันควรได้รับการลงโทษ แต่พระเจ้าก็ไม่ได้พรากชีวิตฉันไป กลับทรงพิพากษา และให้ความรู้แจ้งด้วยพระวจนะ เพื่อให้ฉันเห็นความเชื่อที่ผิดของตัวเอง และแรงขับเคลื่อนอันน่ากลัวเพื่อพระพร ทรงให้โอกาสฉันกลับใจและเปลี่ยนแปลง นี่คือความรอดและความรักของพระเจ้าที่มีต่อฉัน

ต่อมา ฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม ที่ช่วยให้ฉันรู้จักตัวเองได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นค่ะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แม้ว่าปากของพวกเขาอาจจะไม่พูดการนั้น แต่เมื่อผู้คนเริ่มเชื่อในพระเจ้าเป็นครั้งแรก พวกเขาอาจกำลังคิดอยู่ในหัวใจของพวกเขาก็เป็นได้ว่า ‘ฉันต้องการที่จะไปสวรรค์ ไม่ใช่นรก ฉันต้องการให้ไม่เพียงแค่ฉันเท่านั้นที่ได้รับการอวยพร แต่ทั้งครอบครัวของฉันด้วย ฉันต้องการที่จะกินอาหารที่ดี สวมใส่เสื้อผ้าที่ดี ชื่นชมสิ่งที่ดี ฉันต้องการครอบครัวที่ดี สามี (หรือภรรยา) ที่ดี และลูกๆ ที่ดี ในท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็ต้องการที่จะครองอำนาจเป็นกษัตริย์’ ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาต้องการ อุปนิสัยนี้ของพวกเขา สิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาคิดในหัวใจของพวกเขา ความอยากอันฟุ้งเฟ้อเหล่านี้—สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแบบเฉพาะของธรรมชาติอันโอหังของมนุษย์ อะไรหรือทำให้เราพูดเช่นนี้? สถานะของผู้คนคือเหตุปัจจัยสำคัญของการนี้ มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาจากผงคลีดิน ทั้งนี้ พระเจ้าได้ทรงก่อร่างมนุษย์ดินเหนียวขึ้น แล้วทรงระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าไปในตัวเขา เช่นนั้นคือสถานะอันต่ำต้อยของมนุษย์ แต่กระนั้นผู้คนกลับยังคงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยต้องการนี่นั่นสารพัด สถานะของมนุษย์ต่ำศักดิ์ยิ่งนัก เขาไม่ควรเปิดปากของเขาและเรียกร้องสิ่งใดจากพระเจ้า แล้วผู้คนควรทำสิ่งใดนะหรือ? พวกเขาก็ควรตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้ฟันฝ่าจนประสบความสำเร็จ โดยไม่ให้คำติบ่นทั้งหลายของผู้อื่นสามารถมาส่งผลกระทบ เริ่มทุ่มเททำงานหนักอย่างจริงจัง และเชื่อฟังอย่างเปรมปรีดิ์ นี่ไม่ใช่คำถามเกี่ยวกับการอ้าแขนรับความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างเปรมปรีดิ์ ทั้งนี้ นี่คือสถานะที่ผู้คนมีพร้อมมาตั้งแต่เกิด ทั้งนี้ พวกเขาก็ควรเชื่อฟังและถ่อมใจมาโดยกำเนิด ด้วยเหตุที่สถานะของพวกเขานั้นถ่อมใจ ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่ควรเรียกร้องสิ่งทั้งหลายจากพระเจ้า อีกทั้งยังไม่ควรมีความอยากอันฟุ้งเฟ้อต่อพระเจ้า(“ธรรมชาติอันโอหังคือรากเหง้าของการต้านทานพระเจ้าของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) การพิพากษาของพระเจ้าตีแผ่ฉันหมดเปลือก พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง เป็นองค์ผู้ปกครองยิ่งใหญ่ แต่ฉันเป็นเพียงแค่สิ่งทรงสร้าง จากผงคลีดินจากพระหัตถ์ของพระเจ้า โดยแก่นแท้แล้ว ฉันนั้นต่ำต้อย และไร้ค่า ซ้ำฉันยังถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ไม่มีความเป็นมนุษย์สักนิด ฉันไม่คู่ควรกับการเรียกร้องสิ่งใดจากพระเจ้า ที่วันนี้ฉันยังมีชีวิตอยู่ได้ ก็เพราะพระเจ้าประทานลมหายใจนี้แก่ฉัน นี่คือพระคุณของพระเจ้าแล้ว แต่ฉันกลับโอหัง ไร้เหตุผล เอาแต่เรียกร้องจากพระเจ้าอยู่ตลอด โดยคิดว่าตัวฉันมีความเชื่อ พระเจ้าควรทรงอวยพรอารักขาฉันทุกเรื่อง เพื่อให้ฉันมีสุขภาพแข็งแรงเสมอ ปลอดโชคร้าย และสามีได้ทำงานดีๆ ให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ไม่งั้น ฉันก็จะติเตียนพระเจ้า ฉันนี่ช่างไม่รู้จักตัวเองเลยจริงๆ ช่างไร้เหตุผล น่าอับอายสิ้นดี! ตอนนั้นฉันเกลียดตัวเองจริงๆ ฉันนึกถึงพระวจนะที่ว่า “หากเจ้าจงรักภักดีอย่างมากมาโดยตลอด มีความรักมากมายให้เรา กระนั้นเจ้าก็ยังทนทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ ความยากจน และการทอดทิ้งของเพื่อนๆ และญาติๆ ของเจ้า หรือหากเจ้าทนฝ่าโชคร้ายอื่นใดในชีวิต ความจงรักภักดีและความรักของเจ้าที่มีต่อเราจะยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ปัญหาที่ร้ายแรงมาก: การทรยศ (2)) ฉันอ่านบทตอนอื่นด้วยค่ะ ที่ว่า “ในการเชื่อในพระเจ้าของเขา เปโตรได้พยายามที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในทุกสิ่งทุกอย่าง และได้พยายามเชื่อฟังทั้งหมดที่ได้มาจากพระเจ้า โดยที่ไม่มีการปริปากบ่นแม้แต่น้อย เขาสามารถยอมรับการตีสอนและการพิพากษา ตลอดจนกระบวนการถลุง ความทุกข์ลำบาก และการดำเนินต่อไปโดยความไม่มีสิ่งใดเลยในชีวิตของเขา ซึ่งไม่มีสิ่งใดเลยในบรรดาเหล่านี้ที่จะสามารถปรับเปลี่ยนความรักของเขาที่มีแด่พระเจ้าได้ นี่ไม่ใช่ความรักขั้นสูงสุดที่มีแด่พระเจ้าหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่การลุล่วงหน้าที่ของสิ่งทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าหรอกหรือ? ไม่ว่าในการตีสอน การพิพากษา หรือความทุกข์ลำบาก เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังจนตายได้เสมอ และนี่คือสิ่งที่ควรสัมฤทธิ์โดยสิ่งทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า นี่คือความบริสุทธิ์ของความรักที่มีแด่พระเจ้า หากมนุษย์สามารถสัมฤทธิ์ผลได้มากขนาดนี้ เช่นนั้นแล้วเขาก็เป็นสิ่งทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และไม่มีสิ่งใดเลยที่ทำให้สมดังที่พระผู้สร้างทรงพึงปรารถนาได้ดีกว่า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน) พระวจนะเหล่านี้บันดาลใจฉันราวกับพระเจ้าทรงถามฉันต่อหน้าว่า “ถ้าเจ้าเจ็บป่วยแบบนี้ทั้งชีวิต และต้องเผชิญปัญหาการเงินมากขึ้น เจ้าจะยังอุทิศต่อหน้าที่หรือไม่?” ฉันรู้สึกเลยในตอนนั้นว่า เหมือนพระเจ้าทรงรอคำตอบอยู่ ฉันนึกไปถึงเปโตร ผู้ที่เป็นชาวประมง บางครั้งเขาทำงานทั้งวันแต่ไม่ได้อะไรเลย แต่เขาก็ไม่เคยพร่ำบ่นถึงสิ่งที่เขาขาดต่อพระเจ้า เพราะทรัพย์สมบัตินอกกายไม่ใช่สิ่งที่เขาเสาะหา เขาแสวงหาการได้รู้จักและรักพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงทำให้เขาเพียบพร้อม แต่ฉันอยากสบายกาย ปราศจากความเจ็บป่วยและความยากลำบาก และต่อให้พอใจทางกายแล้ว ก็คงจะไม่ได้รับความจริง ไม่ได้รับเห็นชอบจากพระเจ้า นั่นย่อมไร้ความหมายใช่ไหมคะ? ดูอย่างผู้ไม่เชื่อ พวกเขาไล่ตามเงินทองและความสุขทางกาย และต่อให้พวกเขาได้ทุกอย่างที่ต้องการ ก็ไม่มีความเชื่อหรือความจริง ชีวิตมีแต่ความเจ็บปวด พอมหาวิบัติมาถึง พวกเขาก็จะยอมจำนน ทนกัดฟันร่ำไห้ ถึงแม้ฉันจะขาดสิ่งของนอกกายบางอย่างในชีวิต ฉันก็มีพระเจ้า มีพระวจนะไว้คอยนำค้ำชูฉัน ถ้าฉันใช้ในชีวิตเสมือนมนุษย์จริงๆ และได้รับเห็นชอบจากพระเจ้า ฉันจะมีความสุขยิ่งกว่ามีเงินมากมายเสียอีก ดังนั้น ฉันจึงกล่าวอธิษฐานเงียบๆ ว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์จะดีขึ้นหรือไม่ จะเจอทางออกจากเรื่องนี้หรือไม่ ก็เต็มใจทำหน้าที่ และนบนอบต่อการจัดการเตรียมการ และการปกครองของพระองค์ จะไม่ต่อรองกับพระองค์ ขอทรงประทานความเข้มแข็งในการเป็นพยานด้วยเถิด” หลังอธิษฐาน หัวใจฉันก็ชื่นบานและเต็มไปด้วยความสว่าง ราวกับพระเจ้าทรงอยู่ใกล้

จากนั้น ฉันก็ได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งซึ่งให้เส้นทางปฏิบัติกับฉัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ไม่สำคัญว่าบททดสอบอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องปฏิบัติต่อบททดสอบนั้นว่าเป็นภาระที่พระเจ้าทรงมอบแก่เจ้า สมมติผู้คนบางคนถูกรุมเร้าด้วยความเจ็บไข้ใหญ่หลวงและความทุกข์ที่ไม่อาจรับได้ บางคนเผชิญหน้ากับความตายด้วยซ้ำ พวกเขาควรเข้าหาสถานการณ์ประเภทนี้อย่างไร? ในหลายกรณี บททดสอบของพระเจ้าคือภาระที่พระองค์ทรงมอบแก่ผู้คน ไม่ว่าภาระที่พระเจ้าประทานให้แก่เจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด นั่นคือน้ำหนักของภาระที่เจ้าควรดำเนินการ เพราะพระเจ้าเข้าพระทัยเจ้า และทรงรู้ว่าเจ้าจะมีความสามารถที่จะแบกรับมัน ภาระที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่เจ้าจะไม่มากเกินกว่าวุฒิภาวะของเจ้าหรือขีดจำกัดความอดทนของเจ้า ดังนั้น จึงไม่มีคำถามเลยว่าเจ้าจะมีความสามารถที่จะแบกรับมันหรือไม่ ไม่สำคัญว่าภาระที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้ามีลักษณะใด บททดสอบเป็นประเภทใด จงจำไว้สิ่งหนึ่งว่า เจ้าเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ ว่าเจ้าได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์หลังจากที่เจ้าอธิษฐานหรือไม่ ว่าบททดสอบคือการที่พระเจ้าทรงบ่มวินัยเจ้าหรือตักเตือนเจ้า นั่นไม่สำคัญหากว่าเจ้าไม่เข้าใจ ตราบเท่าที่เจ้าไม่หยุดการปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าควรจะปฏิบัติ และสามารถปฏิบัติตามหน้าที่ของเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ พระเจ้าก็จะพึงพอพระทัย และเจ้าจะตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า…หากในความเชื่อในพระเจ้าและในการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า เจ้าสามารถกล่าวได้ว่า ‘ความป่วยไข้หรือเหตุการณ์ไม่น่าพึงใจอันใดก็ตามที่พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้บังเกิดกับฉัน—ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด—ฉันต้องเชื่อฟัง และอยู่ในที่ของฉันในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ก่อนสิ่งอื่นทั้งปวง ฉันต้องนำความจริงแง่มุมนี้—การเชื่อฟัง—มาปฏิบัติ ฉันนำการนี้มาทำให้เป็นผล และใช้ชีวิตตามความเป็นจริงแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า ที่มากกว่านั้นคือ ฉันต้องไม่ทิ้งสิ่งที่พระเจ้าได้มีพระบัญชาแก่ฉันและหน้าที่ที่ฉันควรปฏิบัติ ต่อให้เป็นลมหายใจห้วงสุดท้ายของฉัน ฉันก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของฉัน’ นี่ไม่ใช่การเป็นคำพยานหรอกหรือ? เมื่อเจ้ามีการตัดสินใจแน่วแน่ประเภทนี้และสภาวะประเภทนี้ เจ้าจะยังคงมีความสามารถที่จะคร่ำครวญเกี่ยวกับพระเจ้าได้หรือ? ไม่ เจ้าทำไม่ได้(“เส้นทางมาจากการไตร่ตรองความจริงบ่อยครั้ง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พอคิดเช่นนี้ ช่วยให้ฉันเห็น ว่าความเจ็บป่วยของฉัน และความโชคร้ายที่บ้านนั้น เป็นสิ่งที่ฉันจำเป็นจะต้องนบนอบ สุขภาพของฉันจะดีขึ้น หรือว่าจะแย่ลงแค่ไหนก็ตาม ฉันก็ต้องทำหน้าที่ของฉันต่อไป และเป็นพยานให้แก่พระเจ้า

หลังจากนั้น ฉันก็ยังดิ้นรนต่อสู้กับสุขภาพ และเรื่องทางบ้านก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่ฉันไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองเลย ทุกครั้งที่อาการแย่ลง เช่นเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก แล้วก็ปวดหัว ฉันจะอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ไม่ว่าสุขภาพเป็นอย่างไร ข้าพระองค์ก็เต็มใจนบนอบ ต่อให้นี่เป็นลมหายใจสุดท้าย ข้าพระองค์ก็จะทำหน้าที่ ยืนหยัดเป็นพยานเพื่อสนองพระองค์” หลังจากอธิษฐาน ฉันรู้สึกถึงหัวใจที่แข็งแรงขึ้น ความเจ็บปวดก็จะบรรเทาลง ที่น่าอัศจรรย์ คือพอฉันได้เรียนรู้บทเรียน พอผ่านไป สุขภาพฉันก็ค่อยๆ เริ่มดีขึ้นมา อาการเหล่านั้นก็มาน้อยลงเรื่อยๆ สามีฉันก็หางานได้เช่นกัน ประสบการณ์นี้มันสอนฉันว่า ทุกอย่างทรงทำเพื่อชำระเราให้บริสุทธิ์ แม้อาจไม่ตรงกับมโนคติหลงผิดของเรา การเจ็บป่วยนี้ ฉันต้องทนทุกข์ทางกาย แต่ว่ามันเป็นประโยชน์มากกับชีวิตของฉัน แล้วฉันก็แก้ไขมุมมองผิดพลาดนี้ได้ ขอบคุณสำหรับความรอดของพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

สงครามจิตวิญญาณ

โดย หยางจื้อ ประเทศสหรัฐอเมริกา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่ที่ผู้คนเริ่มเชื่อในพระเจ้า...

ติดต่อเราผ่าน Messenger