เรื่องราวเกี่ยวกับการเฝ้าเดี่ยว: การรับเอาการดลใจจากเรื่องราวของการที่อับราฮัมพลีอุทิศอิสอัค
พระคัมภีร์บอกเล่าเรื่องราวของอับราฮัม เมื่ออับราฮัมอายุหนึ่งร้อยปี พระเจ้าได้ทรงมอบบุตรชายคนหนึ่งให้เขา ซึ่งก็คืออิสอัค อย่างไรก็ตาม เมื่ออิสอัคได้เติบโตขึ้น พระเจ้าได้ทรงบัญชาอับราฮัมให้ถวายบุตรชายคนนั้นเป็นเครื่องบูชา กระนั้นก็ตามเมื่ออับราฮัมได้วางบุตรชายคนเดียวของเขาบนแท่นบูชาของพระเจ้าและยกมีดของเขาขึ้นพร้อมที่จะเข่นฆ่าเด็กชายคนนั้น พระเจ้าทรงหยุดยั้งเขาไว้ ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่เพียงแต่พระเจ้าทรงหยุดอับราฮัมไว้ไม่ให้พลีอุทิศอิสอัคเท่านั้น แต่พระองค์ยังได้ทรงมอบพระพรอันยิ่งใหญ่ให้แก่อับราฮัมอย่างมากเกินพอและทำให้พงศ์พันธุ์ของเขาเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ด้วย
ทุกครั้งที่ฉันได้อ่านเรื่องราวนี้ ฉันมีความเลื่อมใสที่ออกมาจากใจให้กับอับราฮัมอยู่เสมอ เพราะฉันรู้สึกว่าเขามีความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ในพระเจ้า เขามีความสามารถที่จะนบนอบต่อแผนการของพระเจ้าและมอบถวายบุตรชายคนเดียวของเขาผู้ซึ่งเขารักอย่างสุดซึ้งเป็นเครื่องบูชา ด้วยการนั้นเขาจึงได้พิสูจน์ว่าตัวเองนั้นควรค่ากับฉายานาม “บิดาแห่งความเชื่อ” อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฉันไม่ได้เข้าใจก็คือว่า เหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงมอบบุตรชายให้แก่อับราฮัมเมื่อเขาอายุหนึ่งร้อยปี แล้วจึงทรงบัญชาให้เขาพลีอุทิศเด็กชายคนนั้น? ในท้ายที่สุดแล้ว อะไรหรือคือเจตนารมณ์ของพระเจ้า?
เป็นเวลานานที่ฉันไม่ได้เข้าใจ ไม่นานมานี้เองตอนที่ฉันได้อ่านตัวบทหนึ่งทางออนไลน์ที่ชื่อว่า “พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2” ที่ฉันได้เข้าใจว่า พระราชกิจของพระเจ้ากับอับราฮัมมีความหมายอันลึกซึ้งและยังเอิบอาบไปด้วยเจตนารมณ์ของพระเจ้าด้วยเช่นกัน ตอนนี้ฉันตั้งใจที่จะทำบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่ฉันรับไว้
1. ไม่มีบุคคลผู้ใดหรือสิ่งใดที่สามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินพระทัยของพระเจ้าที่จะทำบางสิ่งได้
ในพระคัมภีร์ หนังสือปฐมกาล บทที่ 17 ข้อพระคัมภีร์ที่ 15-17 กล่าวว่า “พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า ‘ส่วนซารายภรรยาของเจ้านั้น เจ้าอย่าเรียกชื่อนางว่า ซาราย แต่จงเรียกชื่อนางว่า ซาราห์ เราจะอวยพรนาง และยิ่งกว่านั้นอีก โดยนางนี่แหละ เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งแก่เจ้า เราจะอวยพรนาง และนางจะให้กำเนิดชนหลายชาติ กษัตริย์ของชนหลายชาติจะมาจากนาง’ อับราฮัมจึงซบหน้าลงหัวเราะและคิดในใจว่า ‘ชายผู้มีอายุหนึ่งร้อยปีแล้วจะมีบุตรได้หรือ? ซาราห์ผู้มีอายุเก้าสิบปีแล้วจะคลอดบุตรหรือ?’”
บทที่ 17 ข้อพระคัมภีร์ที่ 21 กล่าวว่า “ฝ่ายพันธสัญญาของเรา เราจะตั้งไว้กับอิสอัคผู้ซึ่งซาราห์จะคลอดให้แก่เจ้าปีหน้าในฤดูนี้”
บทที่ 21 ข้อพระคัมภีร์ที่ 2-3 กล่าวว่า “ซาราห์ก็ตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่งให้อับราฮัมเมื่อท่านชรา ตามเวลาซึ่งพระเจ้าได้ตรัสกับท่าน อับราฮัมตั้งชื่อบุตรชายที่เกิดมา ผู้ซึ่งซาราห์คลอดให้ท่านนั้นว่า อิสอัค”
เมื่อพระเจ้าได้ตรัสบอกแก่อับราฮัมว่าพระองค์จะทรงมอบบุตรชายคนหนึ่งให้แก่เขา อับราฮัมไม่ได้เชื่อพระองค์ โดยคิดว่าเขาและซาราห์ภรรยาของเขาได้ผ่านพ้นวัยที่มีบุตรได้ไปแล้วและไม่อาจเป็นไปได้ที่จะมีบุตร แต่แล้วพวกเขาก็ต้องแปลกใจ ในปีที่สอง ซาราห์ได้ให้กำเนิดบุตรชายจริงๆ ทุกครั้งที่ฉันอ่านข้อพระคัมภีร์เหล่านั้นจากคัมภีร์ ฉันก็คิดอยู่เสมอว่า หากเป็นฉัน ฉันก็คงจะได้มีปฏิกิริยาไปในหนทางเดียวกันกับอับราฮัม
“พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2” อธิบายการนั้นในหนทางนี้ว่า “สิ่งที่มนุษย์ทำหรือคิด สิ่งที่มนุษย์เข้าใจ แผนต่างๆ ของมนุษย์—ไม่มีสิ่งใดในการนี้ที่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างก้าวหน้าไปตามแผนของพระเจ้า โดยสอดคล้องกับเวลาและช่วงระยะที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ เช่นนี้เองคือหลักการแห่งพระราชกิจของพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงแทรกแซงในสิ่งใดก็ตามที่มนุษย์คิดหรือรู้ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่ทรงละเลยแผนของพระองค์หรือละทิ้งพระราชกิจของพระองค์เพียงเพราะมนุษย์ไม่เชื่อหรือไม่เข้าใจ ด้วยเหตุนี้ข้อเท็จจริงทั้งหลายสำเร็จลุล่วงไปตามแผนและพระดำริของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่พวกเรามองเห็นอย่างแม่นยำในพระคัมภีร์ กล่าวคือ พระเจ้าได้ทรงทำให้อิสอัคคลอดในเวลาที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ ข้อเท็จจริงเหล่านี้พิสูจน์ว่าพฤติกรรมและการประพฤติของมนุษย์ได้ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่? สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า! ความเชื่อในพระเจ้าอันน้อยนิดของมนุษย์ และมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของเขาเกี่ยวกับพระเจ้าส่งผลกระทบต่อพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่? ไม่ สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลกระทบเลย! ไม่แม้แต่นิดเดียว! แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าไม่ได้รับผลกระทบจากมนุษย์ เรื่องราว หรือสิ่งแวดล้อมใดเลย ทั้งหมดที่พระเจ้าตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำก็จะครบบริบูรณ์และสำเร็จลุล่วงไปตรงเวลาและตามแผนของพระองค์ และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถแทรกแซงพระราชกิจของพระองค์ได้ พระเจ้าทรงเพิกเฉยต่อบางแง่มุมจากความโง่เขลาและไม่รู้เท่าทันของมนุษย์ และแม้กระทั่งบางแง่มุมจากการต้านทานและมโนคติที่หลงผิดต่อพระองค์ของมนุษย์ และพระองค์ทรงพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงทำไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า และมันคือภาพสะท้อนแห่งฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์”
หลังจากที่อ่านบทตอนนี้แล้ว ฉันจึงได้เข้าใจว่า พวกเราเหล่ามนุษย์ไม่เข้าใจความทรงมหิทธิฤทธิ์และอธิปไตยของพระเจ้า ทั้งนี้ ความเชื่อของพวกเราในพระเจ้าไม่เพียงพอ เมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อพระวจนะของพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระเจ้าไม่เหมาะกับแนวคิดของพวกเรา หรือเกินล้ำความสามารถของพวกเราที่จะยอมรับ เมื่อนั้นท่าทีของพวกเราย่อมกลายเป็นสงสัย และพวกเราย่อมคิดว่าพระเจ้าไม่อาจเป็นไปได้ที่จะทรงสำเร็จลุล่วงสิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์—สิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะสัมฤทธิ์ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของบุคคลผู้ใดหรือสิ่งใด และแน่นอนว่าพระองค์ไม่อาจทรงถูกขัดขวางโดยอำนาจอันใดที่มีอยู่ได้เลย ตอนนั้นนั่นเองที่ฉันได้เห็นว่า ความทรงมหิทธิฤทธิ์และพระปัญญาของพระเจ้ามีปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง มิอาจหยั่งถึงได้อย่างแท้จริง พระราชกิจของพระเจ้าเกินล้ำการจินตนาการของมนุษย์ ทั้งนี้ พวกเราไม่มีหนทางที่จะจับใจความพระราชกิจนั้นได้โดยสิ้นเชิง
2. พระเจ้าทรงหวงแหนและรักความจริงใจของผู้คนราวสมบัติล้ำค่า ทั้งนี้ พระเจ้าทรงอวยพรบรรดาผู้ที่รับฟังพระวจนะของพระองค์และเชื่อฟังพระองค์
พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระองค์ตรัสว่า ‘จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัค บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก ไปยังดินแดนโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า’” (ปฐมกาล 22:2)
“เมื่อเขาทั้งสองมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกเขาไว้ อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบ แล้วมัดอิสอัคบุตรชายวางไว้บนแท่นบูชาบนฟืน แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือจับมีดจะฆ่าบุตรชาย” (ปฐมกาล 22:9-10)
“พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘เราเองปฏิญาณว่า เพราะเจ้าทำอย่างนี้และไม่ได้หวงบุตรชายของเจ้า คือบุตรชายคนเดียวของเจ้า ดังนั้นเราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองศัตรูทั้งหลายของเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ ประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เพราะว่าเจ้าเชื่อฟังเรา’” (ปฐมกาล 22:16-18)
จากบทตอนในคัมภีร์เหล่านี้เราสามารถเห็นได้ว่า เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงบัญชาอับราฮัมให้มอบถวายบุตรชายของเขาเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว อับราฮัมได้เชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ด้วยความเชื่อฟังครบบริบูรณ์ อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วพระเจ้าก็มิได้ทรงเอ่ยขอให้อับราฮัมสังหารอิสอัคเลยแม้แต่น้อย แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพระเจ้ากลับได้ทรงให้สัญญาว่าพระองค์จะทรงทำให้พงศ์พันธุ์ของอับราฮัมเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ ในอดีต ฉันไม่เคยได้เข้าใจว่า เหตุใดหรือพระเจ้าจึงได้ทรงเอ่ยขอให้อับราฮัมพลีอุทิศอิสอัค เพียงเพื่อจะหยุดยั้งอับราฮัมเมื่อเขายกมีดของเขาขึ้นเพื่อเข่นฆ่าบุตรชายของเขา? ที่มากกว่านั้นก็คือ เหตุใดหรือในตอนนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงมอบพระพรอย่างมากเกินพอให้แก่อับราฮัม?
สองส่วนนี้ของตัวบทที่ชื่อว่า “พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2” กล่าวว่า “เมื่ออับราฮัมยื่นมือออกไปจับมีดเพื่อฆ่าบุตรชายของเขา พระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นการกระทำของเขาหรือไม่? พระองค์ทรงเห็น ทุกขั้นตอน—ตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อพระเจ้าได้ทรงขอให้อับราฮัมพลีอุทิศอิสอัค จนถึงตอนที่อับราฮัมยกมีดขึ้นเพื่อฆ่าบุตรชายของเขาจริงๆ—ได้แสดงให้พระเจ้าทรงเห็นหัวใจของอับราฮัม และไม่ว่าความโง่เขลา ความไม่รู้เท่าทัน และความไม่เข้าใจพระเจ้าก่อนหน้านี้ของเขาจะเป็นอย่างไร ณ เวลานั้น หัวใจของอับราฮัมที่มีต่อพระเจ้านั้นซื่อตรงและซื่อสัตย์ และเขากำลังจะส่งมอบอิสอัค บุตรชายที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เขา คืนกลับไปให้แก่พระเจ้า พระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นการเชื่อฟังในตัวเขา การเชื่อฟังอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงพึงปรารถนา”
“สำหรับมนุษย์นั้น พระเจ้าทรงทำหลายสิ่งที่ไม่อาจจับใจความได้และแม้กระทั่งไม่อาจเชื่อได้ เมื่อพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะจัดวางเรียบเรียงใครบางคน การจัดวางเรียบเรียงนี้มักจะขัดแย้งกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์และเขาไม่อาจจับใจความได้ แต่กระนั้นแน่นอนว่าเป็นเพราะความไม่สอดคล้องและความไม่อาจจับใจความได้นี้นั่นเองที่เป็นการทดสอบและการทดลองมนุษย์ของพระเจ้า ในขณะเดียวกัน อับราฮัมก็สามารถแสดงให้เห็นการเชื่อฟังพระเจ้าภายในตัวเขาได้ ซึ่งเป็นสภาพเงื่อนไขที่เป็นรากฐานสำคัญมากที่สุดในการที่เขาจะสามารถทำให้สมดังสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ได้…ณ ชั่วขณะนั้นที่อับราฮัมยกมีดขึ้นเพื่อฆ่าอิสอัค พระเจ้าได้ทรงหยุดเขาหรือไม่? พระเจ้าไม่ได้ทรงปล่อยให้อับราฮัมพลีอุทิศอิสอัค เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงมีเจตนารมณ์ที่จะเอาชีวิตของอิสอัคอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้หยุดอับราฮัมทันเวลา สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น การเชื่อฟังของอับราฮัมได้ผ่านการทดสอบแล้ว สิ่งที่เขาได้ทำไปนั้นเพียงพอแล้ว และพระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นบทอวสานของสิ่งที่พระองค์ได้ตั้งพระทัยที่จะทำแล้ว บทอวสานนี้เป็นที่พึงพอพระทัยของพระเจ้าหรือไม่? สามารถกล่าวได้ว่าบทอวสานนี้เป็นที่พึงพอพระทัยของพระเจ้า ว่ามันคือสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ และเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงถวิลหารอคอยที่จะเห็น เรื่องนี้จริงหรือไม่? ถึงแม้ว่าในบริบทที่แตกต่างกันไป พระเจ้าจะทรงใช้วิธีการที่แตกต่างกันเพื่อทดสอบแต่ละบุคคล พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ในตัวอับราฮัม พระองค์ทอดพระเนตรเห็นว่าหัวใจของอับราฮัมนั้นซื่อตรง และว่าการเชื่อฟังของเขานั้นไม่มีเงื่อนไข แน่นอนว่า ‘การไม่มีเงื่อนไข’ นี้นั่นเองที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนา”
หลังจากที่ใคร่ครวญสองส่วนนี้แล้ว ฉันได้เข้าใจว่า สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงต้องประสงค์มาโดยตลอดนั้นก็คือการที่ผู้คนจริงใจต่อพระองค์ พระเจ้าได้ทรงบัญชาให้อับราฮัมพลีอุทิศอิสอัค แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะพระองค์ทรงต้องประสงค์ให้อับราฮัมสังหารบุตรชายของเขา แต่กลับเป็นเพราะพระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะใช้พระบัญชานี้เพื่อทดสอบอับราฮัม เพื่อดูว่าอับราฮัมจะเชื่อฟังและวางใจในพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ อิสอัคบุตรชายของอับราฮัมถูกมอบให้เขาเมื่อเขาอายุหนึ่งร้อยปี ดังนั้นพวกเราจึงสามารถจินตนาการได้ว่าเขารักบุตรชายของเขาเพียงใด พวกเราอาจพูดได้เสียด้วยซ้ำว่า อับราฮัมพิจารณาชีวิตของอิสอัคว่าสำคัญกว่าของเขาเอง กระนั้นก็ตามเมื่อพระเจ้าได้ทรงบัญชาอับราฮัมให้พลีอุทิศอิสอัค อับราฮัมไม่ได้พร่ำบ่นร้องทุกข์ต่อพระเจ้า อีกทั้งเขาก็ยังไม่ได้เอ่ยขอให้พระองค์ทรงอธิบายเหตุผลของพระองค์ แม้ว่าหัวใจของเขากำลังปวดร้าว อับราฮัมรู้ว่าอิสอัคคือของประทานจากพระเจ้า หากในตอนนี้พระเจ้าได้ทรงต้องประสงค์ให้เขาทำการพลีอุทิศ อับราฮัมก็รู้ว่าเขาต้องเชื่อฟัง ด้วยเหตุนี้อับราฮัมจึงได้นำเอาอิสอัคไปยังที่ที่มีการทำเครื่องบูชาเผาทั้งตัวโดยปราศจากความลังเล เขายกมีดของเขาขึ้นพร้อมที่จะส่งอิสอัคคืนให้พระเจ้า อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พระเจ้าสามารถทอดพระเนตรเห็นความจริงใจและความเชื่อฟังของอับราฮัม ดังนั้นในชั่วขณะนั้น พระองค์จึงได้ทรงหยุดยั้งเขา มอบพระพรของพระองค์ให้เขา และให้สัญญาว่าพงศ์พันธุ์ของเขาจะกลายเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ ในพระพรและพระสัญญาของพระเจ้าที่ให้แก่อับราฮัม ฉันได้เห็นว่าพระเจ้าทรงหวงแหนความจริงใจของผู้คนราวสมบัติล้ำค่า สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ก็คือการที่ผู้คนมีความสามารถที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์โดยปราศจากสภาพเงื่อนไขทั้งหลาย และนมัสการและเชื่อฟังพระองค์โดยปราศจากการเรียกร้องบางสิ่งตอบแทน
3. การค้นหาความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องราวของอับราฮัม
เมื่อได้เห็นว่าอับราฮัมได้รับบุตรชายอย่างไรเมื่ออายุหนึ่งร้อยปี ฉันจึงได้เข้าใจจริงๆ ในบางสิ่งเกี่ยวกับความทรงมหิทธิฤทธิ์และอธิปไตยของพระเจ้า ทั้งนี้ ฉันได้เข้าใจว่าเมื่อพระเจ้าได้ตัดสินพระทัยแล้วที่จะทำบางสิ่ง ย่อมไม่มีบุคคลผู้ใดหรือสิ่งใดมีความเป็นไปได้ที่จะสามารถเบี่ยงเบนหรือเหนี่ยวรั้งพระองค์ได้ ในเวลาเดียวกัน ฉันยังได้ระบุแยกแยะกฎเกณฑ์บางอย่างที่จะนำไปสู่การปฏิบัติด้วยเช่นกัน กล่าวคือ แม้ในยามที่พระวจนะหรือพระราชกิจของพระเจ้าไม่เหมาะกับแนวคิดของพวกเรา หรือในยามที่พวกเราไม่เข้าใจพระวจนะและพระราชกิจเหล่านั้นหรือไม่สามารถยอมรับพระวจนะและพระราชกิจเหล่านั้นได้ พวกเราก็ต้องยังคงไม่เข้าหาพระวจนะหรือพระราชกิจของพระเจ้าในแง่ของมโนทัศน์และการคิดของพวกเราเองอยู่ดี แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเรากลับควรธำรงไว้ซึ่งความเคารพพระเจ้าในหัวใจของพวกเรา และเสาะแสวงที่จะรู้จักเจตนารมณ์ของพระองค์ พวกเราควรยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าและนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ นั่นคือความมีเหตุมีผลประเภทที่พวกเราควรที่จะมีในฐานะเหล่ามนุษย์
เมื่อได้เห็นว่าพระเจ้าได้ทรงบัญชาอับราฮัมให้พลีอุทิศอิสอัคอย่างไร ฉันยังได้เข้าใจเจตนารมณ์อันจริงจังตั้งใจของพระเจ้าเบื้องหลังบททดสอบทั้งหลายอีกด้วย ด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเรานั่นเอง พระเจ้าจึงทรงทดสอบว่าพวกเราจริงใจต่อพระองค์หรือไม่ ทรงแปลงสภาพมุมมองที่ผิดของพวกเราว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาในความเชื่อของพวกเรา และทรงทำให้พวกเราสามารถที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ได้อย่างแท้จริง และยืนหยัดและเป็นพยานให้พระเจ้าได้ ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและทบทวนตัวเองได้อย่างจริงจังตั้งใจ พวกเราได้ติดตามพระเจ้าเสมอมา แต่ท่าทีประเภทใดหรือที่พวกเราได้มีต่อพระองค์? ในชีวิตของพวกเรา สิ่งใดหรือที่เป็นท่าทีของพวกเราเรื่อยมาเมื่อพวกเราได้ก้าวผ่านบททดสอบของพระองค์?
ขณะที่ฉันคิดถึงตัวเองและเหล่าพี่น้องชายหญิงรอบตัวฉัน ในยามที่ชีวิตครอบครัวของพวกเราเปี่ยมสันติสุขและงานของพวกเราก็กำลังเป็นไปอย่างราบรื่น บ่อยครั้งที่พวกเราขับร้องเพลงสรรเสริญเพื่อเป็นการสรรเสริญพระเจ้า อธิษฐานต่อพระองค์และขอบคุณพระองค์ และออกไปประกาศความรอดแห่งองค์พระเยซูเจ้าของพวกเรา แต่แล้วเมื่องานไม่ได้กำลังเป็นไปอย่างราบรื่น และชีวิตครอบครัวของพวกเราไม่เปี่ยมสันติสุข พวกเราก็พร่ำบ่นร้องทุกข์ต่อพระเจ้าและติเตียนพระองค์กับการที่ไม่ใส่พระทัยและทรงอารักขาพวกเรา เมื่อพวกเราเผชิญหน้าความเจ็บป่วย พวกเราอธิษฐานต่อพระเจ้า และเมื่อเวลาผ่านไปโดยไม่มีสัญญาณของการฟื้นตัว เมื่อนั้นพวกเราก็หมดความเชื่อในพระองค์ พวกเราไม่รู้สึกว่าอยากอ่านคัมภีร์หรืออธิษฐานเสียด้วยซ้ำ...จากการนี้พวกเราสามารถเห็นได้ว่า เมื่อเผชิญหน้าความลำบากยากเย็น พวกเราไม่ยอมรับและเชื่อฟังพระเจ้าดังที่อับราฮัมได้ทำ ตรงกันข้าม พวกเราพร่ำบ่นร้องทุกข์ต่อพระเจ้า และลองพยายามที่จะใช้เหตุผลกับพระองค์ ไม่มีอะไรเปรียบเทียบกันได้เลยระหว่างพวกเรากับอับราฮัม เมื่ออับราฮัมได้ก้าวผ่านบททดสอบนี้ เขาเต็มใจเชื่อฟังพระเจ้า เขาไม่ได้พร่ำบ่นร้องทุกข์ และเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติตนในหนทางนี้เพราะเขาต้องการพระพรหรือบำเหน็จตอบแทน—ทั้งหมดที่เขาต้องการคือการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย แต่พวกเรานั้นไม่—เมื่อพวกเรามีความเชื่อในพระเจ้า นั่นเป็นเพราะพวกเราต้องการที่จะรับพระพรและพระคุณของพระเจ้า เมื่อพวกเราเผชิญหน้าบททดสอบหรือความลำบากยากเย็นบางอย่าง พวกเราไม่มาหาพระเจ้าด้วยความเคารพหรือความเชื่อฟังที่แท้จริงอันใด ความเชื่อของพวกเราในพระเจ้ายุ่งเหยิงยิ่งนัก แม้ในยามที่พวกเราเลิกล้มสิ่งทั้งหลายที่สำคัญต่อพวกเราและทำการหมายมั่นอันลำบากยากเย็นเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของพระเจ้า พวกเราก็ยังคงกำลังพยายามทำข้อตกลงกับพระองค์อยู่ดี “ความเชื่อ” ประเภทนี้จะสามารถทำให้พวกเราได้รับการรับรองจากพระเจ้าได้อย่างไรกัน?
เป็นตอนนั้นเท่านั้นเองที่ฉันได้ตระหนักว่า ในการที่เชื่อในพระเจ้า พวกเราควรติดตามตัวอย่างของอับราฮัม—นับถือความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และมาสู่พระวจนะของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการบนโลกทั้งหมดของพระองค์ด้วยหัวใจที่ปราศจากราคี จงรักภักดี และเชื่อฟัง ในยามที่ก้าวผ่านบททดสอบของพระเจ้า พวกเราไม่ควรพร่ำบ่นร้องทุกข์ต่อพระองค์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเรากลับควรรับเอาที่ทางของพวกเราในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง และยืนหยัดและเป็นพยานให้พระเจ้า มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นพวกเราจึงจะสามารถรับการรับรองจากพระเจ้าได้
ด้วยการทรงชี้นำของพระเจ้าและโดยผ่านทางการอ่าน “พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2” ฉันได้ระลึกถึงเล็กน้อยเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าและเจตนารมณ์ของพระเจ้าในพระราชกิจของพระเจ้ากับอับราฮัม อาเมน!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ