เป็นอิสระจากแอกแห่งสถานะ

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

โดย วลาเดีย, ฝรั่งเศส

ปีที่แล้ว พี่ลอร่า ผู้นำคริสตจักรของเรา ถูกแทนที่เพราะพี่เขาไม่ได้ทำงานอะไรที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลย หลังจากที่ทุกคนเสวนากันแล้ว ฉันก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้นำคริสตจักรแทน ทันทีที่ฉันได้รับเลือก ฉันเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันหนักมาก เพราะฉันรู้ว่านี่เป็นหน้าที่ใหม่ทั้งหมด แต่ในขณะเดียวกันฉันก็มีความสุขมาก เพราะความอยากของฉันที่มีต่อสถานะได้ลุล่วงแล้ว ฉันคิดว่าฉันได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำคริสตจักร ก็เพราะขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานของฉัน ฉันทำเต็มที่เพื่อลุล่วงหน้าที่ของฉัน ถ้าฉันไม่เข้าใจอะไร ฉันจะแสวงหาความช่วยเหลือและศึกษาอย่างมีการวางแผนล่วงหน้า และฉันก็มักจะไปตรวจดูพี่น้องชายหญิง และหาพระวจนะของพระเจ้ามาให้พวกเขาสามัคคีธรรมกัน ส่วนพี่น้องที่เพิ่งเข้ามาร่วมกับศริสตจักร ฉันก็มักจะไปให้น้ำพวกเขา ฉันชอบเวลาที่พวกเขายิ้มและบอกฉันว่า “ขอบคุณนะพี่” ในตอนนั้น ฉันไม่อยากหยุดพักเลย แม้แต่ชั่วขณะ ฉันอยากทำงานทุกอย่างด้วยตัวเอง

แต่สุดท้ายแล้ว ฉันก็มีการสอบของมหาวิทยาลัย ฉันก็เลยต้องทำงานน้อยลง ตอนที่ฉันสอบเสร็จและกลับไปชุมนุม ฉันสังเกตเห็นว่าพี่น้องชายหญิงได้ก้าวหน้าไปมาก มีพี่น้องหญิงสองคนที่สามารถหาพระวจนะของพระเจ้ามาช่วยแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องชายหญิงบางคนในกลุ่มของเราได้ นี่คือสิ่งที่ดี แต่ฉันรู้สึกขัดใจนิดหน่อย ฉันคิดว่าพี่น้องชายหญิงไม่ได้จำเป็นต้องมีฉันแล้ว และคงจะไม่มาหาฉันอีก มีครั้งหนึ่ง ฉันไปที่การชุมนุมของกลุ่ม เมื่อก่อนนี้ พี่น้องชายหญิงในกลุ่มนั้นไม่มีความสามารถที่จะสามัคคีธรรมกันได้มากนัก แต่ครั้งนี้ฉันเห็นพี่เอเวลีนโต้ตอบกับทุกคนได้ดีมาก พี่เขาแสดงความรักและอดทน หนุนใจให้พี่น้องชายหญิงคนอื่นเสวนาความเข้าใจของตนในพระวจนะของพระเจ้า เมื่อมีการหนุนใจและการชี้นำจากพี่เขา ทุกคนก็สัมพันธ์สนิทกันอย่างแข็งขัน และดูค่อนข้างสนิทกับพี่เขา พอได้เห็นอย่างนั้น ฉันกลับรู้สึกผิดหวัง เหมือนว่าวันหนึ่งพี่เอเวลินอาจจะมาแทนที่ฉัน เริ่มรู้สึกเหมือนว่าเป็นวิกฤตจริงๆ หลังจากนั้นไม่นาน ฉันได้เห็นพี่น้องหญิงคนหนึ่งส่งข้อความมาในกลุ่มของเราเพื่อขอคำแนะนำ เธอถามว่า “เราจะสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ยังไง?” ฉันกำลังเตรียมตัวตอบ แต่พี่เอเวลินก็ส่งพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอนไป พร้อมกับความเข้าใจบางส่วนของพี่เขาเอง ฉันคิดว่าบทตอนที่พี่เขาหาเจอค่อนข้างเหมาะสมเลย และความเข้าใจของพี่เขาก็สัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก แถมยังแผ่ให้เห็นเส้นทางปฏิบัติที่ต้องติดตาม ทำเอา…ฉันไม่มีอะไรจะเสริมเลยค่ะ และฉันก็รู้สึกค่อนข้างเศร้า กลุ่มนั้นเคยเป็นความรับผิดชอบของฉัน ฉันเคยเป็นคนที่คอยหาพระวจนะของพระเจ้ามาช่วยแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องชายหญิง ฉันเริ่มคิดว่า ถ้าพี่เขามีการวางแผนล่วงหน้าดีมากกับการตอบคำถามของทุกคน แล้วทุกคนจะคิดยังไงกับฉันล่ะ? พวกเขาจะคิดว่าผู้นำของตนไม่สามารถตอบคำถามได้หรือเปล่า? คิดว่าฉันไม่มีความสามารถเท่าพี่เอเวลินหรือเปล่า? ถ้าพี่เขามีใจกระตือรือร้นมากที่จะช่วยพวกเขาตลอดเวลา พวกเขาจะคิดว่าฉันเป็นผู้นำที่ไร้ประโยชน์หรือเปล่า? ฉันคิดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา และเริ่มที่จะรู้สึกอิจฉาพี่เขา ฉันถึงกับคิดว่า “ไม่ได้การละ ฉันต้องทำงานให้หนักกว่าเธอ ฉันจะปล่อยให้เธอชนะฉันไม่ได้” แต่หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มทำความผิดพลาดตลอดเลย ฉันทำความผิดพลาดแม้กระทั่งงานที่เรียบง่ายที่สุด มีครั้งหนึ่ง ฉันเขียนข้อความ ที่ฉันตั้งใจจะส่งเพื่อเตือนความจำผู้นำอีกคนกับมัคนายก เรื่องเวลาชุมนุมของเรา แต่ฉันดันพลาดส่งข้อความไปให้กลุ่มสมาชิกใหม่ ฉันมารู้ตัวว่าส่งผิดกลุ่มก็ตอนที่พี่น้องหญิงคนหนึ่งโทรมาบอกฉัน มันค่อนข้างน่าอายมาก ฉันก็เลยลบข้อความนั้นอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ฉันก็ยังรู้สึกแย่กับมันอยู่พอสมควร ในตอนนั้นฉันคิดว่า ฉันสับสนระหว่างกลุ่มสมาชิกใหม่กับกลุ่มผู้นำได้ยังไงกันนะ? ชั่วขณะนั้นฉันรู้สึกไร้ประโยชน์มาก เหมือนว่าฉันไม่สามารถทำอะไรถูกได้เลย แล้วไหนจะการสอบของมหาวิทยาลัยอีก ฉันก็เลยไม่สามารถทุ่มเทอุทิศตนให้กับหน้าที่ได้เต็มที่ ฉันคิดกับตัวเองว่า “จบแล้วล่ะ บทบาทของฉันจะต้องถูกปรับเปลี่ยนละ ฉันกำลังจะถูกพี่เอเวลินแทนที่แล้ว” หลังจากนั้นฉันรู้สึกหดหู่มาก ฉันเริ่มทำหน้าที่แบบขอไปที ไม่อยากทำอะไรเลย ฉันรู้สึกเหมือนเวลาระหว่างการชุมนุมผ่านไปช้ามาก และบางครั้งฉันจะเลื่อนดูเฟซบุ๊กไปเรื่อยๆ ฉันถึงกับเริ่มดู วิดีโอตลกที่ไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตเลย ฉันเคยเตรียมการเสมอก่อนการชุมนุม โดยการแบกภาระไว้ พร้อมกับไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าอย่างรอบคอบ และคิดถึงปัญหาของพี่น้องชายหญิงที่ยังแก้ไขไม่ได้ และคิดว่าฉันควรจะสามัคคีธรรมกับพวกเขายังไง แต่แล้วฉันก็หยุดรับภาระนั้น และหยุดไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า มีครั้งหนึ่งก่อนการชุมนุมในตอนค่ำ ฉันถึงกับออกไปซื้อเสื้อผ้า ฉันมากลับเข้าบ้านก็ตอนอีกไม่กี่นาทีก่อนเริ่มการชุมนุม ในตอนเช้า ฉันไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างรอบคอบ และฉันก็ไม่ได้ส่งเข้ากลุ่มเพื่อให้พี่น้องชายหญิงได้ไตร่ตรองเลย ในตอนนั้น ฉันรู้สึกเหมือนใจฉันอยู่ห่างจากพระเจ้ามาก ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ฉันพูดกับพระองค์ว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์รู้ว่าข้าพระองค์ได้ไถลห่างจากพระองค์ไปไกล ข้าพระองค์รู้ว่าที่ผ่านมาข้าพระองค์มีท่าทีที่ไม่ดีต่อหน้าที่ของข้าพระองค์เอง ข้าพระองค์อยากกลับใจ แต่ใจของข้าพระองค์อ่อนแอมากเหลือเกิน ข้าพระองค์หวังว่าพระองค์จะทรงช่วยที”

ในเวลาต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่มีประโยชน์มากๆ พระเจ้าตรัสว่า “ลึกลงไปนั้น ผู้คนเก็บงำสภาวะที่ไม่ผิดสองสามอย่าง—ความเป็นลบ ความอ่อนแอ และความซึมเศร้าหรือความง่ายต่อการแตกหัก หรือความตั้งใจที่ต่ำช้าไม่ลดละ หรือการตกเป็นทาสของความกังวลเกี่ยวกับชื่อเสียงเกียรติยศ ความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว และประโยชน์ของพวกเขาเองอยู่เสมอ หรือพวกเขาคิดว่าตัวพวกเขาเองมีขีดความสามารถต่ำ และครองสภาวะที่เป็นลบเฉพาะบางอย่าง เมื่อเจ้าดำรงชีวิตภายในสภาวะเหล่านี้อยู่เป็นนิตย์ ย่อมลำบากยากเย็นเป็นอย่างมากที่เจ้าจะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากเจ้ามีความลำบากยากเย็นในการได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ย่อมจะมีเล็กน้อยที่เป็นบวกอยู่ภายในตัวเจ้า และด้วยเล็กน้อยที่เป็นบวก จะเป็นการยากที่เจ้าจะได้รับความจริง(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ตอนที่ฉันอ่านบทตอนนี้ ฉันประทับใจมากจริงๆ พระเจ้าทรงวางแผ่ให้เห็นปัญหาของฉันอย่างสมบูรณ์แบบ ฉันดำเนินชีวิตในความคิดลบ ไม่สามารถลุล่วงหน้าที่ได้ เพราะฉันคิดว่าคนอื่นจะมาแย่งตำแหน่งฉันไป ฉันกลัวว่าสถานะของฉันจะถูกคุกคาม ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกอ่อนแอและออกห่างจากพระเจ้า รวมทั้งจากพี่น้องชายหญิง

ฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ใน “บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย” พระเจ้าตรัสว่า “ผู้คนจะมีสภาวะที่เป็นลบมากมายก่อนที่พระเจ้าจะทรงพิพากษาและตีสอนพวกเขา ตัวอย่างเช่น มีสภาวะในเชิงลบที่มักจะเห็นกันบ่อยครั้งในผู้คน กล่าวคือ พวกเขาคิดลบเมื่อผู้อื่นปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างมีประสิทธิผลมากว่าพวกเขา พวกเขาคิดลบเมื่อครอบครัวของผู้อื่นเป็นหนึ่งเดียวกันมากกว่าครอบครัวของพวกเขา พวกเขาคิดลบเมื่อสภาวะเงื่อนไขของผู้อื่นดีกว่าสภาวะเงื่อนไขของพวกเขา หรือคนเหล่านั้นมีขีดความสามารถสูงกว่า และพวกเขาคิดลบเมื่อถูกทำให้ตื่นเร็วขึ้นเล็กน้อย เมื่อหน้าที่ของพวกเขาน่าเหนื่อย—คิดลบเช่นกัน เมื่อรู้สึกท้อใจเล็กน้อย ไม่สำคัญว่าเกิดสิ่งใดขึ้นก็ตาม พวกเขาคิดลบ…การคิดลบหมายความว่ามีปัญหาหนึ่งอยู่ภายในผู้คน พวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้ และไม่พึงพอใจอยู่เนืองนิตย์กับทั้งหมดที่พระเจ้าทรงกระทำ ที่มากไปกว่านั้นคือ พวกเขาไม่นำความจริงไปสู่การปฏิบัติเลยแม้แต่น้อย เหตุใดพระเจ้าจึงยังคงตอบสนองต่อผู้คนเช่นนั้นอยู่? ท่าทีของพระเจ้าที่ทรงมีต่อพวกที่ไม่รับฟังเหตุผลเป็นอย่างไร? พระองค์ทรงขจัดพวกเขาออกไปและเพิกเฉยต่อพวกเขา จงเชื่อในลักษณะใดก็ตามที่เจ้าปรารถนา การที่เจ้าเชื่อหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตัวเจ้า หากเจ้าเชื่ออย่างแท้จริง และไล่ตามแสวงหา เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะเก็บเกี่ยวบำเหน็จ หากเจ้าไม่เชื่อ ไม่ไล่ตามเสาะหา เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่เก็บเกี่ยวบำเหน็จ พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกบุคคลอย่างเป็นธรรม หากท่าทีของเจ้าไม่ใช่ท่าทีแห่งการยอมรับความจริงและไม่ใช่ท่าทีแห่งการนบนอบ และหากเจ้าไม่คล้อยตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า แล้วก็เชื่อสิ่งที่เจ้าจะเชื่อ อีกทั้งหากเจ้าอยากจะจากไปเสียมากกว่า เจ้าก็อาจจะทำเช่นนั้นได้ทันที หากเจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำหน้าที่ของเจ้า เช่นนั้นแล้ว สิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำ จงอย่าสร้างฉากที่เสื่อมเสียหรือวางท่าคุยโต แต่จงจากไปเสียทันที ออกไปที่ใดก็ตามที่เจ้าชอบ พระเจ้าไม่ทรงคะยั้นคะยอให้ผู้คนเช่นนั้นอยู่ต่อ นั่นเองคือท่าทีของพระองค์ หากเจ้า—ผู้เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างชัดเจน—ไม่เคยปรารถนาที่จะกระทำเช่นนั้น และกลับต้องการที่จะเป็นหัวหน้าทูตสวรรค์อยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าทรงให้ความสนพระทัยต่อเจ้าได้หรือ? หากเจ้า—ผู้เป็นบุคคลธรรมดาสามัญอย่างชัดเจน—ปรารถนาการปฏิบัติเป็นพิเศษแบบเลือกชอบ และปรารถนาที่จะเป็นบุคคลที่มีสถานะและโดดเด่นผู้เป็นเลิศเหนือผู้อื่นในทุกสรรพสิ่งอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ช่างไร้เหตุผลและขาดพร่องสำนึกรับรู้ พระเจ้าจะทอดพระเนตรผู้คนที่ขาดพร่องสำนึกรับรู้อย่างไร? การประเมินของพระองค์ที่มีต่อพวกเขาเป็นอย่างไร? ผู้คนเช่นนั้นช่างไม่รับฟังเหตุผลเอาเสียเลย!(บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระเจ้าทรงเปิดเผยอย่างชัดเจนว่า ที่มาของความคิดลบและความอ่อนแอของฉัน คือการที่ฉันเป็นห่วงบทบาทการเป็นผู้นำของตัวเองมากเกินไป ฉันกลัวที่จะเสียมันไป ฉันชอบสถานะของฉันมากกว่าที่ชอบการทำหน้าที่ให้ลุล่วง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำล้วนมาจากความอยากที่จะธำรงสถานะผู้นำเอาไว้ ฉันคิดย้อนไปถึงตอนที่ฉันเพิ่งได้เริ่มบทบาทการเป็นผู้นำ ฉันทำงานหนักเพื่อให้ลุล่วงหน้าที่ จนถึงจุดที่ฉันจะไม่พักเลยแม้เพียงอึดใจเดียว ฉันกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีและถูกแทนที่ เมื่อฉันเห็นความก้าวหน้าของพี่น้องหญิงสองคนนั้น ฉันควรมีความสุข แต่ฉันกลับไปกังวลว่าพี่น้องชายหญิงจะไม่จำเป็นต้องมีฉันอีกต่อไป อย่างนั้นบทบาทฉันในฐานะผู้นำก็คงจะไม่มีความหมาย และคงจะไม่มีใครเลื่อมใสฉันอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าพี่เอเวลีนทำได้ดีแค่ไหน พี่เขาสามารถตอบคำถามของพี่น้องชายหญิงได้ และทุกคนก็สนิทกับพี่เขา ฉันก็ยิ่งเป็นกังวลว่าจะยึดสถานะของฉันไว้ไม่ได้ และฉันก็รู้สึกคิดลบและอ่อนแอ จนถึงจุดที่ฉันทำหน้าที่ของฉันไปตามที่เคยชินโดยอัตโนมัติ พระเจ้าตรัสว่าคนประเภทนี้ไม่มีเหตุผล พระเจ้าไม่ทรงสนพระทัยพวกเขา และยากที่พวกเขาจะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันรู้สึกกลัว ตอนที่รู้ตัวว่าฉันอยู่ในสภาวะที่เป็นภัยอันตรายแบบเดียวกัน พระเจ้ายังตรัสด้วยว่า พระองค์ไม่ทรงโปรดผู้คนที่คิดลบอยู่บ่อยๆ เพราะพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงได้ พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยเจตนาที่ผิด และไม่สามารถย้อนกลับหรือละทิ้งเจตนานั้นได้ ถ้าคนเราดำเนินชีวิตในสภาวะที่เป็นลบเช่นนั้นตลอดเวลา อย่างนั้นพวกเขาก็จะถูกวางหลบไปและถูกกำจัดทิ้งในที่สุด ในตอนนั้นฉันยังได้ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ด้วย ดังนั้นฉันจึงไปพบพระเจ้าและสารภาพ และอธิษฐานขอการกลับใจใหม่ ฉันพูดกับพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าข้าพระองค์ผิด ข้าพระองค์หวังว่าพระองค์ทรงสามารถช่วยให้ข้าพระองค์เข้าใจตนเองและนำตนเองออกมาจากความคิดลบของข้าพระองค์ได้”

ในเวลาต่อมา มีพี่น้องหญิงคนหนึ่งอ่านพระวจนะของพระเจ้าในระหว่างการชุมนุม พระวจนะนั้นทำให้ฉันได้เข้าใจขึ้นมาบ้างว่า ทำไมเราถึงไล่ตามชื่อเสียง ผลตอบแทนและสถานะ ในย่อหน้าที่สี่ของ “พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6” พระเจ้าตรัสว่า “ซาตานใช้อะไรเพื่อทำให้มนุษย์อยู่ภายในการควบคุมของมันอย่างมั่นคง? (ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ) ดังนั้น ซาตานใช้ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติเพื่อควบคุมความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งหมดที่ผู้คนสามารถนึกถึงได้คือชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ทนทุกข์จากความยากลำบากต่างๆ เพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ สู้ทนความอัปยศอดสูเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ และพวกเขาจะทำการพิพากษาหรือการตัดสินใจใดๆ เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ด้วยวิธีนี้ ซาตานผูกมัดผู้คนเข้ากับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น และพวกเขาก็ไม่มีทั้งกำลังและความกล้าที่จะขว้างโซ่ตรวนออกไป พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยที่ไม่รู้ตัวและเดินไปข้างหน้าต่อไปด้วยความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวง เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัตินี้ มนุษย์หลบเลี่ยงพระเจ้าและทรยศพระองค์และกลายเป็นชั่วร้ายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ในหนทางนี้ คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติของซาตาน ตอนนี้เมื่อดูการกระทำต่างๆ ของซาตาน แรงจูงใจอันมุ่งร้ายของมันไม่น่ารังเกียจอย่างยิ่งหรอกหรือ? บางทีวันนี้พวกเจ้ายังคงไม่สามารถมองทะลุถึงแรงจูงใจอันมุ่งร้ายของซาตาน เพราะพวกเจ้าคิดว่าคนเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเจ้าคิดว่าหากผู้คนทิ้งชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติไว้ข้างหลัง พวกเขาจะไม่สามารถเห็นหนทางข้างหน้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถเห็นเป้าหมายของพวกเขาได้อีกต่อไป คิดว่าอนาคตของพวกเขาจะกลายเป็นมืดมิด คลุมเครือ และมืดมัว แต่วันหนึ่งพวกเจ้าทั้งหมดจะระลึกรู้ได้อย่างช้าๆ ว่าชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติเป็นโซ่ตรวนอันมหึมาที่ซาตานใช้เพื่อผูกมัดมนุษย์ เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าจะต้านทานการควบคุมของซาตานอย่างถ้วนทั่วและต้านทานโซ่ตรวนที่ซาตานใช้เพื่อผูกมัดเจ้าอย่างถ้วนทั่ว เมื่อเวลานั้นมาถึงเมื่อเจ้าปรารถนาจะขว้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวเจ้าออกไป เมื่อนั้นเจ้าจึงจะแยกทางกันอย่างเด็ดขาดกับซาตาน และเจ้าจะเกลียดทั้งหมดที่ซาตานได้นำมาให้เจ้าอย่างแท้จริง เมื่อนั้นเท่านั้นมวลมนุษย์จึงจะมีความรักและการโหยหาที่แท้จริงต่อพระเจ้า(พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) หลังจากที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ได้ตระหนักว่า ซาตานใช้ชื่อเสียง ผลตอบแทนและสถานะเพื่อหลอกลวงและทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ซาตานใช้แอกที่มองไม่เห็นทำให้ผู้คนติดบ่วง ฉันติดอยู่กับแอกแห่งชื่อเสียง ผลตอบแทนและสถานะมาตั้งแต่เป็นเด็ก ตอนที่ฉันไปโรงเรียน ฉันอยากได้รับการเลื่อมใสจากคนอื่นและได้เป็นหัวหน้าห้อง ฉันจึงเรียนหนังสือหนักมาก เพราะกลัวว่าเพื่อนร่วมห้องจะเหนือกว่า ตอนที่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้าและได้เป็นผู้นำ ฉันทำงานหนักมากเพื่อทำหน้าที่ให้ลุล่วง เพื่อรักษาสถานะของฉันไว้และไม่ให้ถูกแทนที่ ฉันรู้สึกอิจฉาพี่น้องชายหญิงที่ดีกว่าฉัน ฉันกังวลว่าพวกเขาจะเหนือกว่าฉัน และฉันจะไม่มีสถานะในจิตใจของผู้คน แล้วส่วนที่เศร้าที่สุดน่ะหรือคะ? ก็คือตอนที่ฉันรู้ตัวว่าฉันไม่ใช่ คนที่ไม่อาจแทนที่ได้ในหมู่พี่น้องชายหญิงอย่างที่ฉันคิด ฉันรู้สึกเหมือนว่าความอยากของฉันที่มีต่อสถานะนั้นไม่ได้ลุล่วง ฉันจึงเริ่มทำหน้าที่แบบขอไปที ทั้งหมดนี้ก็เพราะฉันไม่ได้สิ่งที่ฉันต้องการ ฉันรู้ตัวว่า สำหรับฉันแล้ว ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า หน้าที่และความรับผิดชอบของฉัน ชีวิตคริสตจักร และสิ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้สำคัญเลย ทุกสิ่งที่ฉันทำไปก็เพื่อสนองความอยากของฉันที่มีต่อสถานะ โดยไม่มีความเคารพแด่พระเจ้า ในขณะเดียวกัน ฉันก็ตระหนักว่า ซาตานอยากให้ฉันไล่ตามชื่อเสียง ผลตอบแทนและสถานะ มันต้องการให้เราต่อสู้กันเองเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้มา มันต้องการให้เราทอดทิ้งข้อเรียกร้องของพระเจ้า ทรยศต่อพระเจ้า และไถลห่างไปจากพระเจ้า นี่คือลูกเล่นของซาตาน พอตระหนักอย่างนั้น ฉันก็เริ่มรังเกียจตัวเอง ฉันอยากปลดปล่อยตัวเองจากการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียง ผลตอบแทนและสถานะ เพื่อที่ฉันจะได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างแท้จริง ในเวลาต่อมา ฉันได้ยินบทเพลงสรรเสริญชื่อว่า “ข้าพระองค์เป็นแค่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างขนาดเล็ก” ที่ดลใจฉันอย่างมาก “โอ พระเจ้า! ไม่ว่าข้าพระองค์จะมีสถานะหรือไม่ ตอนนี้ข้าพระองค์เข้าใจตัวเองแล้ว หากสถานะของข้าพระองค์สูง นั่นก็เป็นเพราะการยกให้สูงขึ้นของพระองค์ และหากมันต่ำต้อย นั่นก็เป็นเพราะการลิขิตของพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าพระองค์ไม่มีทั้งตัวเลือกใดๆ และการพร่ำบ่นใดๆ พระองค์ได้ทรงลิขิตว่าข้าพระองค์จะถือกำเนิดในประเทศนี้และท่ามกลางผู้คนนี้ และว่าทั้งหมดที่ข้าพระองค์ควรทำก็คือการเชื่อฟังอย่างครบบริบูรณ์ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงลิขิต ข้าพระองค์ไม่ได้นึกถึงสถานะ จะว่าไปแล้ว ข้าพระองค์เป็นเพียงแค่สิ่งทรงสร้างสิ่งหนึ่ง หากพระองค์ทรงวางข้าพระองค์ในบาดาลลึก ในบึงไฟและกำมะถัน ข้าพระองค์ก็ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากสิ่งทรงสร้างสิ่งหนึ่ง หากพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็เป็นสิ่งทรงสร้างสิ่งหนึ่ง หากพระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์มีความเพียบพร้อม กระนั้นข้าพระองค์ก็ยังเป็นสิ่งทรงสร้างสิ่งหนึ่ง หากพระองค์ไม่ได้ทรงทำให้ข้าพระองค์มีความเพียบพร้อม ข้าพระองค์จะยังคงรักพระองค์เพราะข้าพระองค์ไม่ได้เป็นมากไปกว่าสิ่งทรงสร้างสิ่งหนึ่ง ข้าพระองค์ไม่ได้เป็นมากไปกว่าสิ่งทรงสร้างขนาดจิ๋วสิ่งหนึ่งซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างได้ทรงสร้างขึ้น ก็แค่สิ่งทรงสร้างหนึ่งท่ามกลางพวกมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นทั้งมวล เป็นพระองค์นั่นเองที่ได้ทรงสร้างข้าพระองค์ขึ้น และตอนนี้พระองค์ได้ทรงวางข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์อีกครั้งหนึ่งเพื่อทำกับข้าพระองค์ตามที่พระองค์จะทรงทำ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะเป็นเครื่องมือของพระองค์และตัวประกอบเสริมความเด่นของพระองค์เพราะทุกสิ่งทุกอย่างคือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้ ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ทุกสรรพสิ่งและเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์(ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ตอนนั้นเองที่ฉันได้เข้าใจ ว่าไม่ว่าวันนี้ฉันจะทำหน้าที่อะไรในพระนิเวศของพระเจ้า มันก็คือการลิขิตของพระเจ้าและการยกระดับของพระองค์ ไม่ว่าจะสถานะอะไร ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ฉันควรทำหน้าที่ของฉันอย่างซื่อสัตย์ นี่คือหนทางเดียวที่มีเหตุผล และในขณะเดียวกัน ฉันได้ตระหนักว่า สถานะที่สูงและสถานะที่ต่ำต้อยไม่มีความแตกต่างกันเลยภายในพระนิเวศของพระเจ้า สิ่งที่สำคัญมีเพียงการทำหน้าที่ของเราให้ลุล่วง พอรู้ตัวอย่างนั้น ฉันก็รู้สึกเป็นอิสระ ไม่ว่าในอนาคตสถานะของฉันจะเป็นยังไง ฉันก็จะทำให้ดีที่สุดเพื่อลุล่วงหน้าที่ของฉันและทำให้พระเจ้าทรงยินดี

หลังจากนั้นฉันก็ได้เห็นสองบทตอนจากพระวจนะของพระเจ้าที่ทิ้งความประทับใจลึกซึ้งไว้ให้กับฉัน พระเจ้าตรัสว่า “ความให้ความร่วมมือกันท่ามกลางเหล่าพี่น้องชายหญิงในตัวมันเองแล้วก็คือกระบวนการของการถ่วงดุลจุดอ่อนของใครคนหนึ่งด้วยจุดแข็งของอีกคน เจ้าใช้จุดแข็งของเจ้าชดเชยข้อบกพร่องของผู้อื่น และผู้อื่นใช้จุดแข็งของพวกเขาเติมเต็มให้กับของเจ้า นี่เองคือสิ่งที่เป็นความหมายของการถ่วงดุลจุดอ่อนของคนเราด้วยจุดแข็งของผู้อื่น และการร่วมมือด้วยความปรองดอง มีเพียงเมื่อร่วมมือด้วยความปรองดองเท่านั้น ผู้คนจึงสามารถได้รับการอวยพรเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และยิ่งคนเราได้รับประสบการณ์กับการนี้มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งครองความสามารถในการมีความสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นเท่านั้น เส้นทางนั้นกลายเป็นสดใสยิ่งขึ้นทุกที และพวกเขากลายเป็นสบายใจมากขึ้นทุกที(“ว่าด้วยการประสานอย่างปรองดอง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)การทำหน้าที่ไม่เป็นแบบเดียวกัน มีร่างกายหนึ่งร่าง แต่ละร่างทำหน้าที่ของเขา แต่ละร่างอยู่ในสถานที่ของเขาและกำลังทำสุดความสามารถของเขา—สำหรับแต่ละประกายไฟมีความสว่างวาบหนึ่ง—และกำลังแสวงหาวุฒิภาวะในชีวิต เช่นนั้นแล้วเราจึงจะพึงพอใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 21) เมื่อฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนนั้น ฉันก็เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า พระเจ้าทรงหวังว่า ขณะที่เราทำหน้าที่ให้ลุล่วง เราก็เรียนรู้จากกันและกัน เติมเต็มจุดอ่อนให้กัน เราควรทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าเราจะมีตำแหน่งอะไร และทำงานร่วมกันด้วยความปรองดองเพื่อทำหน้าที่ของเราให้ลุล่วง หลังจากที่เข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว ฉันก็อธิษฐานต่อพระองค์ ฉันเริ่มเรียนรู้ที่จะปล่อยมือจากสถานะของฉัน และหยุดคิดว่าฉันอาจถูกใครอื่นสักคนมาแทนที่ นอกจากนี้ฉันยังได้เรียนรู้ที่จะเอาใจไปใส่ในทุกสิ่งที่ทำ และคิดว่าทำยังไงจะทำหน้าที่ให้ลุล่วงได้ดี ตอนชุมนุม ฉันก็ตั้งใจสามัคคีธรรรมกับคนอื่นเพื่อให้ผลออกมาดี เมื่อคนอื่นสามัคคีธรรม ฉันก็ไตร่ตรองคำพูดของพวกเขาอย่างรอบคอบ และรีบจดบันทึกประเด็นที่เป็นความสว่างไว้อย่างรวดเร็ว ฉันได้ตระหนักว่าฉันสามารถเรียนรู้จากพี่น้องชายหญิงได้เยอะมาก ฉันค่อยๆ ลดความอิจฉาที่มีต่อพี่น้องชายหญิงคนที่ก้าวหน้าไปเร็วกว่าฉัน หรือคนที่มีขีดความสามารถสูงกว่าฉัน นอกจากนี้ฉันยังสามารถปล่อยมือจากตัวเองได้ และแค่เรียนรู้จากผู้อื่น หลังจากปฏิบัติแบบนี้ได้สักพัก ฉันก็รู้สึกสงบและเป็นสุขอย่างเป็นพิเศษเลยค่ะ ฉันรู้สึกใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น และฉันก็ยังขอบคุณพระเจ้าที่ทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อพิพากษาและเปิดโปงฉัน พระองค์ทรงช่วยให้ฉันเริ่มเข้าใจถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรักของพระองค์ และการทรงช่วยให้ฉันรอดพ้น

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

พันธนาการแห่งความเสื่อมทราม

โดย อู้ สือ, ประเทศจีน เดือนมีนาคม ปี 2020 ฉันไปจัดการเลือกตั้ง ที่คริสตจักรที่รับผิดชอบ และพี่เฉินได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger