การเรียนรู้จากช่วงเวลาที่ยากลำบาก

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

โดย หลี่ หยาง, ประเทศจีน

ผมถูกจับทันทีหลังตรุษจีนปี 2020 เพราะความเชื่อของผม ตอนที่ผมตรวจร่างกายตามระบบหลังถูกจับ พวกเขาเจอจุดดำบนปอดของผม นั่นเป็นตอนที่โคโรน่าไวรัสกำลังระบาดรุนแรงมาก ดังนั้น พวกเขาเลยไม่กล้าจับผมขัง ตำรวจติดต่อครอบครัวของผม เพื่อให้พวกเขามารับผมกลับบ้าน ระหว่างทางกลับบ้าน น้องสาวของผมพูดกับผมว่า “เมื่อปีที่แล้วพ่อป่วยหนักมาก และเจอว่าท่านเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ แค่ผ่าตัดอย่างเดียวก็เกินหกชั่วโมงแล้ว พวกเขาตัดไตของพ่อข้างหนึ่งออกไปครึ่งหนึ่ง และท่านก็แทบจะไม่รอดออกมา ตอนนี้พวกเขารักษาสภาพให้ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ด้วยการใช้คีโมบำบัดล้างกระเพาะปัสสาวะทุกเดือน เราไม่รู้ว่าท่านจะฝืนได้อีกนานแค่ไหน” เธอร้องไห้ไปพูดไป แล้วก็เล่าเรื่องอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกแย่มากชนิดที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ และอธิษฐานเงียบๆ “พระเจ้า ข้าพระองค์แน่ใจว่าสิ่งที่ข้าพระองค์กำลังเผชิญบรรจุน้ำพระทัยของพระองค์เอาไว้ในนั้น โปรดทรงคุ้มครองหัวใจของข้าพระองค์ และช่วยให้ข้าพระองค์นบนอบ โดยไม่ติเตียนพระองค์”

ตอนที่เรากลับถึงบ้าน ผมก็ได้เห็นว่าพ่อของผมดูอ่อนแอมาก และใบหน้าของท่านก็บวมพอง เมื่อเทียบกับตอนก่อนผมจะจากไป ท่านเหมือนกับเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย นี่ทำให้ผมรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม ผมยังได้เห็นว่าต้นผลไม้แปลงใหญ่ในสวนผลไม้ของเราตายเพราะภัยแล้งครั้งใหญ่ไปแล้ว และเงินเก็บเกือบทั้งหมดของครอบครัวก็ถูกใช้ไปกับการรักษาของพ่อ ต้นผลไม้ที่เป็นแหล่งรายได้เดียวของพวกเขา ก็แทบจะไม่ออกผลเลย ช่วงเวลาที่ยากลำบาก การได้เห็นทั้งหมดนี้น่ากลุ้มใจสำหรับผมจริงๆ และผมก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับมันยังไง ก่อนที่จะรู้ตัว ผมก็เริ่มติเตียนพระเจ้าแล้ว ไม่กี่ปีก่อนหน้านั้น ผมถูกจับและถูกขังนานหนึ่งเดือน เพราะความเชื่อในพระเจ้าของผม ตั้งแต่ออกมา ผมก็ออกไปนอกเมืองเพื่อทำหน้าที่ของผมตลอด แล้วสิ่งนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวผมได้ยังไง หลังจากที่ผมได้ทนทุกข์และละทิ้งทุกอย่าง? ความคิดนี้ทำให้ผมหดหู่ยิ่งกว่าเดิม และผมก็ไม่รู้ว่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ยังไง ไม่ว่าจะยังไง ผมก็รวบรวมแรงจูงใจขึ้นมาไม่ได้ และแค่หมกมุ่นอยู่กับการหางานทำเสริมรายได้ให้ครอบครัวเมื่อโรคระบาดสิ้นสุดลง หลังจากผ่านไปสักพัก ผมก็ได้รับจดหมายจากพี่น้องชายหญิง บอกว่าผมไม่ปลอดภัยแล้วที่บ้าน และผมควรไปซ่อนตัวที่บ้านของสมาชิกคริสตจักรอีกคนหนึ่งสักระยะ ผมรู้ว่าโรคระบาดเป็นเหตุผลเดียวที่ผมยังไม่ถูกจับขัง และพวกเขาก็สามารถพาตัวผมกลับไปเมื่อไรก็ได้ การไปจากบ้านจะปลอดภัยกว่า ผมสามารถใช้ชีวิตแห่งคริสตจักร และทำหน้าที่ของผมได้ แต่ผมไม่อยากทำหน้าที่ของผม เมื่อเห็นครอบครัวของผมยากลำบากขนาดนี้ ผมตอบจดหมายของพวกเขา บอกว่าผมจะไม่ไป ผมรู้สึกผิดมากหลังจากที่ส่งมันออกไป แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก วันต่อมา ระหว่างที่ผมขี่จักรยานไฟฟ้าไปทำงานในไร่ ผมเกิดอุบัติเหตุและทำให้ขาหัก ผมตระหนักว่านี่คือการที่พระเจ้ากำลังส่งข่าวสารให้ผม ผมมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า “โอ้ พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในความเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของข้าพระองค์ และต่อสู้กับพระองค์ โปรดทรงนำข้าพระองค์ให้รู้จักตัวเอง เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้สามารถนบนอบภายใต้สภาพแวดล้อมนี้” ผมได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า หลังการอธิษฐานของผม “สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือการที่จะสามารถได้รับสันติสุขภายหลังการเชื่อในพระเจ้า เพื่อลูกหลานของเจ้าจะได้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อสามีของเจ้าจะมีงานที่ดี เพื่อบุตรชายของเจ้าจะได้เจอภรรยาที่ดี เพื่อบุตรสาวของเจ้าจะได้เจอสามีที่มีความประพฤติดีเหมาะสม เพื่อม้าและโคของเจ้าจะไถพรวนผืนดินได้ดี เพื่อปีที่มีสภาพอากาศที่ดีสำหรับพืชผลของเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าแสวงหา การไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็เพียงเพื่อจะมีชีวิตในความสุขสบาย เพื่อที่จะไม่มีอุบัติภัยตกมาถึงครอบครัวของเจ้า เพื่อที่สายลมจะโชยผ่านเจ้า เพื่อที่ใบหน้าของเจ้าจะไม่สัมผัสกรวดทราย เพื่อที่พืชผลของครอบครัวเจ้าจะไม่ถูกน้ำท่วม ไม่ได้รับผลกระทบจากความวิบัติอันใด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในรังอันอุ่นสบาย คนขี้ขลาดอย่างเจ้าผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาเนื้อหนังเสมอนั้น—เจ้ามีหัวใจ เจ้ามีจิตวิญญาณหรือไม่? เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกหรือ?…ชีวิตของเจ้าช่างน่าเหยียดหยามและต่ำศักดิ์ เจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความโสมมและความเสเพล และเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดเลย ชีวิตของเจ้าไม่ได้ต่ำศักดิ์ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดหรอกหรือ? เจ้ากล้าดีที่จะพิจารณาตัดสินพระเจ้าหรือ? หากเจ้าได้รับประสบการณ์ในหนทางนี้ต่อไป ใช่ว่าเจ้าจะไม่ได้มาซึ่งสิ่งใดเลยหรอกหรือ? หนทางที่แท้จริงได้ถูกมอบให้เจ้าไปแล้ว แต่การที่เจ้าจะสามารถรับไว้จนถึงที่สุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาส่วนบุคคลของตัวเจ้าเอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)สัมพันธภาพของมนุษย์กับพระเจ้านั้นเป็นแค่สัมพันธภาพแห่งผลประโยชน์ของตนเองอย่างไม่มีอะไรปิดบัง เป็นสัมพันธภาพระหว่างผู้รับกับผู้ให้พร กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ คล้ายกับสัมพันธภาพระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ลูกจ้างทำงานเพียงเพื่อได้รับสินจ้างรางวัลที่นายจ้างมอบให้ ไม่มีเสน่หาใดเลยในสัมพันธภาพเช่นนี้ มีเพียงธุรกรรมแลกเปลี่ยนเท่านั้น ไม่มีการให้ความรัก หรือการได้รับความรัก มีเพียงการแบ่งปันและความปรานี ไม่มีความเข้าใจ มีเพียงความขัดเคืองคับข้องที่ถูกเก็บกดเอาไว้และความหลอกลวงเท่านั้น ไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนม มีเพียงช่องว่างทางความนึกคิดที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้เท่านั้น บัดนี้เมื่อสิ่งต่างๆ ได้มาถึงจุดนี้ ใครเล่าที่สามารถเดินย้อนเส้นทางนั้นกลับไปได้? และมีคนมากแค่ไหนที่เข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าสัมพันธภาพนี้ได้กลับกลาย เป็นจริงจังยิ่งแล้วอย่างไร? เราเชื่อว่า เมื่อผู้คนชุ่มแช่ตัวเองอยู่ในความชื่นบานยินดีแห่งการได้รับพระพร ไม่มีใครเลยที่จะสามารถจินตนาการได้ว่า สัมพันธภาพกับพระเจ้าเช่นนั้นช่างน่าตะขิดตะขวงและไม่น่ามองเพียงไร(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น) ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าเปิดโปงคือสภาวะที่แท้จริงของผม ผมรู้สึกละอายใจ ตั้งแต่ตอนที่เห็นว่าพ่อของผมป่วยหนัก กับต้นผลไม้ที่ตายไปทั้งหมดพวกนั้น แล้วยังครอบครัวที่กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมได้เข้าใจผิดและติเตียนพระเจ้า แม้กระทั่งกล่าวอ้างกับพระองค์ ผมรู้สึกราวกับว่า ผมได้ทำการเสียสละและทำงานหนักเพื่อพระองค์ ผมติดคุกและทนทุกข์มากโดยที่ไม่ได้ทรยศพระองค์ ดังนั้น พระองค์ควรทรงอารักขาผม และอวยพรให้ครอบครัวของผม ผมเห็นว่าในหน้าที่ของผมนั้น ผมไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของผม แต่ผมต้องการใช้การเสียสละของผม เป็นหนทางในการต่อรองกับพระเจ้าเพื่อพระพร นั่นไม่ได้ทำให้หน้าที่ของผมกลายเป็นการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนที่โจ่งแจ้งหรอกหรือ? การมีความเชื่อและการทำหน้าที่ของผมแบบนั้น ไม่ต่างไปจากการทำงานในโลก มันเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวโดยปราศจากความรู้สึกที่แท้จริง

ผมตระหนักว่า ผมโชคดีจริงๆ ที่ได้รับงานของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ได้ชื่นชมเสบียงอาหารและการให้น้ำจากพระวจนะ ได้มีการพิพากษาและการชำระล้าง และโอกาสในการได้รับการช่วยให้รอดในท้ายที่สุด เป็นพระพรที่ยอดเยี่ยมมาก! แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะไล่ตามเสาะหาความจริงยังไง และทำหน้าที่ของผมให้ดีเพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า ตอนที่ผมเห็นครอบครัวของผมดิ้นรนต่อสู้ ผมไม่ได้คิดว่าจะเสาะหาความจริงและยืนหยัดเป็นพยานยังไง ทั้งหมดที่ผมคิดล้วนเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัวเท่าทั้งนั้น และคำนวนผลได้ผลเสียของผมเอง ผมถึงกับติเตียนและเข้าใจพระเจ้าผิด และไม่อยากทำหน้าที่ของผมอีกแล้ว นั่นคือการทรยศพระเจ้า และขาดสภาวะความเป็นมนุษย์อย่างที่สุด

ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งหลังจากนั้น “ไม่มีผู้ใดใช้ทั้งชีวิตของพวกเขาไปโดยไม่มีความทุกข์ สำหรับผู้คนบางคนนั่นเกี่ยวกับครอบครัว สำหรับบางคนนั่นเกี่ยวกับงาน สำหรับบางคนนั่นเกี่ยวกับการสมรส และสำหรับบางคนนั่นเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บทางกายภาพ ทุกคนทนทุกข์ บางคนพูดว่า ‘เหตุใดผู้คนจึงต้องทนทุกข์? สิ่งนั้นคงจะยอดเยี่ยมเพียงใดที่จะดำรงทั้งชีวิตของพวกเราอย่างเปี่ยมสันติสุขและมีความสุข พวกเราไม่ทนทุกข์ไม่ได้หรือ?’ ไม่ได้—ทุกคนต้องทนทุกข์ ความทุกข์ทำให้ทุกบุคคลได้รับประสบการณ์กับความรู้สึกมากมายมหาศาลของชีวิตทางกายภาพ ไม่ว่าความรู้สึกเหล่านี้จะเป็นเชิงบวก เชิงลบ คล่องแคล่ว หรือนิ่งเฉย ความทุกข์ให้ความรู้สึกและความซึ้งคุณค่าที่แตกต่างกันแก่เจ้า ซึ่งเป็นประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดสำหรับเจ้า หากเจ้าสามารถแสวงหาความจริงและเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าจากสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเข้าไปใกล้ชิดมาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ต่อเจ้ามากขึ้นตลอด นั่นคือแง่มุมหนึ่ง และนั่นก็เป็นไปเพื่อที่จะทำให้ผู้คนได้รับประสบการณ์เพิ่มขึ้น อีกแง่มุมหนึ่งคือความรับผิดชอบที่พระเจ้าทรงมอบให้มนุษย์ ความรับผิดชอบอันใด? เจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์นี้ ทนความทุกข์นี้ และหากเจ้าสามารถทนได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือคำพยาน และไม่ใช่สิ่งที่น่าละอาย(“โดยการแก้ไขมโนคติที่หลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงสามารถเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการที่เชื่อในพระเจ้า (1)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) นี่แสดงให้ผมเห็น ว่าผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อเหมือนกัน ในการเผชิญหน้ากับการดิ้นรนและความทุกข์ร้อนทุกรูปแบบในชีวิตของพวกเขา เราจะผ่านความทุกข์มากแค่ไหน ต้องทนทุกข์กับความเสื่อมถอยในชีวิตมากแค่ไหน ถูกกำหนดโดยพระเจ้า พระเจ้าประทานรสชาติต่างๆ ให้กับเรา หวาน เปรี้ยว ขม เพื่อทดสอบเราในชีวิต เพื่อมอบประสบการณ์ให้เรามากขึ้น และทดสอบความแน่วแน่ของเราผ่านความทุกข์ร้อน พระองค์ยังประทานความรับผิดชอบให้กับเราด้วย การได้เห็นพ่อของผมป่วยขนาดนั้น และครอบครัวของผมต้องดิ้นรนต่อสู้ เป็นการดิ้นรนต่อสู้จริงๆ แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงแค่ทำให้สิ่งต่างๆ ยากลำบากสำหรับผม พระองค์ทรงตีแผ่ทัศนคติผิดๆ ที่ผมมีในช่วงหลายปีแห่งความเชื่อ แห่งการไล่ตามเสาะหาพระพร ดังนั้นผมจึงสามารถกลับตัวและรับเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงได้ แต่ด้วยความไม่เข้าใจในน้ำพระทัยของพระเจ้า ผมก็แค่พยายามใช้เหตุผลกับพระเจ้า และต่อสู้กับพระองค์ ผมเป็นกบฏยิ่งนัก และผมก็ทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังจริงๆ ผมรู้ว่าผมต้องหยุดการพร่ำบ่น ต้องนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และยืนหยัดเป็นพยานผ่านการนี้

ผมทบทวนตัวเอง ผมเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี ผมรู้ว่าการมีความเชื่อเป็นเรื่องธรรมชาติและถูกต้อง และผมไม่ควรจะทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนกับพระเจ้า แล้วทำไมผมถึงอดไม่ได้ที่จะไล่ตามเสาะหาพระพรและต่อรองกับพระเจ้าล่ะ? รากเหง้าของมันคืออะไร? ผมได้อ่านบทตอนหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้าในภายหลัง พระวจนะของพระเจ้าตรัสว่า “เหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม—นี่คือผลสรุปรวบยอดของธรรมชาติแบบมนุษย์ ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง พวกเขาทอดทิ้งสิ่งทั้งหลาย สละตัวเองเพื่อพระองค์ และสัตย์ซื่อต่อพระองค์ แต่พวกเขาก็ยังคงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง โดยสรุป ทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการได้รับพระพรให้ตัวเอง ในสังคมนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างทำไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว การเชื่อในพระเจ้าก็ทำไปเพื่อที่จะได้รับพระพรแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพระพรนี่เอง ผู้คนจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถทานทนต่อความทุกข์มากมายได้ กล่าวคือ ทั้งหมดนี้คือหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงธรรมชาติอันเสื่อมทรามของมนุษย์ ผู้คนที่มีอุปนิสัยซึ่งเปลี่ยนแปลงแล้วนั้นแตกต่างออกไป พวกเขารู้สึกว่า ความหมายมาจากการดำรงชีวิตอยู่โดยความจริง ว่ามีเพียงผู้คนที่ปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าเท่านั้นที่เหมาะที่จะได้รับการเรียกขานว่ามนุษย์ ว่าพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ก็คือ การนบนอบต่อพระเจ้าโดยการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ว่าการยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าเป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่งซึ่งถูกมอบหมายสั่งการโดยฟ้าและแผ่นดินโลก—และหากพวกเขาไม่สามารถที่จะรักพระเจ้าและชดใช้คืนความรักของพระองค์ พวกเขาก็ไม่เหมาะที่จะได้รับการเรียกขานว่ามนุษย์ ทั้งนี้เป็นเพราะว่า การดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเองของคนเรานั้นว่างเปล่าและไร้สิ้นซึ่งความหมาย พวกเขารู้สึกว่าผู้คนควรดำรงชีวิตอยู่เพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ดี และเพื่อดำรงชีวิตอยู่ด้วยชีวิตที่มีความหมาย เพื่อที่แม้แต่ยามที่เป็นเวลาตายของพวกเขา พวกเขาก็จะรู้สึกพอใจและไม่มีความเสียดายเลยแม้แต่น้อยนิด และรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างสูญเปล่า(“ความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงภายนอกกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ผมเห็นว่า ทำไมผมถึงไขว่คว้าพระพรแม้แต่หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี พิษของซาตานเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” ได้เจาะลึกเข้ามาในหัวใจของผม และทำให้ผมวางผลประโยชน์ส่วนตัวก่อนในทุกๆ สิ่งที่ผมทำ ผมพิจารณาผลประโยชน์ของผมเองอยู่เสมอ ผมสามารถทำหน้าที่ของผมต่อไปได้ ตอนที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนไล่ล่าผม และผมกลับบ้านไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่การสละตัวเพื่อพระเจ้าและทำหน้าที่ของผมอย่างจริงใจ ผมหวังว่าจะได้รับการอวยพรจากพระเจ้า และมีบั้นปลายที่งดงาม ตอนที่เกิดปัญหาขึ้นที่บ้าน และพวกเขากำลังดิ้นรนต่อสู้ให้ผ่านไปได้ ความหวังที่จะได้รับการอวยพรของผมก็พังทลาย ผมจึงเริ่มคิดลบ และไม่ต้องการที่จะทำหน้าที่ของผมอีก ผมมองเห็นว่าในความเชื่อและหน้าที่ของผมนั้น ผมก็แค่อยากได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่เพื่อแลกเปลี่ยนกับความพยายามที่เล็กน้อยที่สุด ผมกำลังคิดคำนวณ กำลังใช้พระเจ้า นั่นเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นยิ่งนัก!

ที่พระเจ้าตรัสว่า “การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า” นั่นถูกต้องทั้งหมด ถึงแม้ว่าในฉากหน้าผมได้เสียสละและสละตัวเองมาหลายปี และทนทุกข์ในหน้าที่ของผม แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผมก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพราะว่าผมไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือมุ่งความสนใจไปที่การยอมรับ การพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้า เมื่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของผม ผมก็กบฏและต่อต้านพระเจ้า ผมเป็นศัตรูต่อพระเจ้า ทัศนคติเรื่องความเชื่อของผม เป็นเหมือนกับเหล่าคนเคร่งศาสนาพวกนั้น ที่แค่ต้องการเติมเต็มท้องของพวกเขา และใช้การเสียสละของพวกเขา เพื่อเป็นตั๋วไปยังสวรรค์ ผมอยู่บนเส้นทางที่ต่อต้านพระเจ้า เหมือนกับเปาโล! คนเหล่านั้นที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง และการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยไม่ได้ทำให้หน้าที่ของพวกเขาแปดเปื้อนด้วยการต่อรองแลกเปลี่ยน แต่พวกเขาไล่ตามความจริง และทำงานเพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้าอย่างเต็มหัวใจ พวกเขาเสาะแสวงที่จะรักและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย พวกเขาเหมือนกับเปโตร ที่เสาะแสวงที่จะมีความรักสูงสุดของพระเจ้าและเชื่อฟังไปจนตาย เขาได้ให้คำพยานอันงดงาม ด้วยการถูกตรึงกางเขนเพื่อพระเจ้า การนั้นได้รับการรับรองจากพระเจ้า และเป็นหนทางเดียวที่จะดำรงชีวิตอย่างมีความหมายและมีคุณค่า

ต่อมา ผมได้ดูวีดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งหรือไม่ หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำให้ลุล่วง มันเป็นวิชาชีพที่สวรรค์ส่งมาของเขา และไม่ควรขึ้นอยู่กับการตอบแทน สภาพเงื่อนไขต่างๆ หรือเหตุผล เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา การได้รับพรคือเมื่อใครบางคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้ชื่นชมพรของพระเจ้าหลังจากที่ได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา การถูกสาปแช่งคือเมื่ออุปนิสัยของใครบางคนไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาแล้ว คือตอนที่พวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแต่ถูกลงโทษ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่เป็นสิ่งที่น้อยที่สุดที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำ เจ้าไม่ควรทำหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น และเจ้าไม่ควรปฏิเสธที่จะกระทำเพราะกลัวถูกสาปแช่ง เราขอบอกสิ่งเดียวนี้กับพวกเจ้าว่า การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา โดยผ่านทางกระบวนการของการทำหน้าที่ของเขา มนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนไป และโดยผ่านทางกระบวนการนี้ เขาแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของเขา ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้มากเท่าใด เจ้าก็จะได้รับความจริงมากขึ้นเท่านั้น และการแสดงออกของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น พวกที่เพียงแต่เสแสร้งทำไปอย่างพอเป็นพิธีในการทำหน้าที่ของพวกเขาและไม่แสวงหาความจริงจะถูกกำจัดในท้ายที่สุด เพราะผู้คนเช่นนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาในการปฏิบัติความจริง และไม่ปฏิบัติความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง พวกเขาคือพวกที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและจะถูกสาปแช่ง ไม่เพียงแต่การแสดงออกของพวกเขาไม่บริสุทธิ์เท่านั้น แต่ทุกสิ่งที่พวกเขาแสดงออกนั้นชั่วร้าย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์) เมื่อผมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมเห็นว่าหน้าที่ก็เป็นแค่บางสิ่งที่เราควรทำในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป็นความรับผิดชอบที่เราไม่สามารถหลบเลี่ยง ไม่สามารปนเปื้อนด้วยธุรกรรมแลกเปลี่ยนหรือเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัว ก็เหมือนกับความกตัญญู—มันเป็นระเบียบตามธรรมชาติของสิ่งต่างๆ และเป็นไปโดยไม่ต้องพูดถึง เราก้าวผ่านการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าในหน้าที่ของเรา ความเสื่อมทรามของเราสามารถเปลี่ยนแปลงและชำระล้างได้ นั่นคือหนทางเดียวในการได้รับการช่วยให้รอดและมีบั้นปลายที่ดี ถ้าเราไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ถ้าเราเชื่อมาหลายปีโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเรา แต่ยึดติดกับความคิดที่เป็นธุรกรรมแลกเปลี่ยนและความอยากอันฟุ้งเฟ้อของเรา ไม่ว่าเราเชื่อมานานแค่ไหน หรือเสียสละมากแค่ไหน เราก็จะไม่มีวันได้รับการรับรองจากพระเจ้า และพระองค์จะกำจัดเราทิ้ง ผมคิดว่าโยบสูญเสียทุกอย่างที่เป็นของเขา และแม้แต่ลูกๆ ของเขา แต่เขาก็ไม่ได้ติเตียนพระเจ้า เขารู้ว่าพระเจ้าประทานทุกสิ่งทุกอย่าง และเมื่อพระเจ้าทรงเอาไป เขาก็ต้องเชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข นั่นคือเหตุผลที่โยบได้กล่าวไว้ว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) เขารู้อยู่ในใจของเขาว่า ไม่ว่าพระเจ้าจะประทานรางวัลหรือเอามันไป เขาก็ควรนมัสการพระเจ้า นั่นเป็นหน้าที่ของเขา โยบรักษาหน้าที่ของเขาต่อพระเจ้า และยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระองค์ นั่นคือสิ่งที่สิ่งทรงสร้างแท้จริงของพระเจ้าควรทำ ผมต้องทำตามตัวอย่างของโยบ ผมไม่สามารถใช้การเสียสละของตัวเองเป็นเครื่องต่อรองเพื่อเรียกร้องสิ่งต่างๆ จากพระเจ้าได้อีก แต่ผมต้องมองหน้าที่ของผมว่าเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพัน การนั้นเท่านั้น ที่มีมโนธรรมและเหตุผล

ต่อมา ในเมื่อตำรวจกำลังจะมาจับผมอีกครั้ง ผมจึงออกไปจากบ้าน และพักอยู่ที่บ้านของพี่ชายคนหนึ่งชั่วคราว ผมได้อ่านข้อความนี้ในพระวจนะของพระเจ้าหลังจากนั้น “หากเจ้าสามารถอุทิศหัวใจและร่างกายของเจ้า และความรักแท้ทั้งหมดของเจ้าแด่พระเจ้า วางสิ่งเหล่านี้เฉพาะพระพักตร์พระองค์ เชื่อฟังพระองค์โดยครบบริบูรณ์ และคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระองค์อย่างสมบูรณ์—ไม่ใช่เพื่อเนื้อหนัง ไม่ใช่เพื่อครอบครัว และไม่ใช่เพื่อความอยากได้อยากมีส่วนตัวของเจ้าเอง แต่เพื่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า โดยใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักธรรมและรากฐานในทุกสิ่งทุกอย่าง—เช่นนั้นแล้ว ด้วยการทำดังนั้น เจตนาของเจ้าและมุมมองของเจ้าจะอยู่ถูกที่ถูกทางทั้งหมด และแล้วเจ้าก็จะเป็นบุคคลหนึ่งที่อยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ซึ่งได้รับการสรรเสริญของพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงคือบรรดาผู้ที่สามารถนบนอบโดยสมบูรณ์ต่อการทรงภาคชีวิตจริงของพระองค์) พระวจนะของพระเจ้ามอบเส้นทางและทิศทางให้กับผม ผมไม่ควรจะคิดถึงแต่ครอบครัวของผมและความสนใจด้านเนื้อหนัง แต่ผมต้องแก้ไขแรงจูงใจของผม และใช้พลังงานและความคิดของผมไปกับการทำหน้าที่ของผมให้ดี เมื่อผมเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ผมสงบใจของผม และใช้เวลากับการอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่บ้านของพี่ชายคนนั้น หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ผมก็ได้รับหน้าที่อีกหน้าที่หนึ่ง ขอบคุณการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า การเข้าหาความเชื่อแบบผิดๆ ของผมได้รับการแก้ไขแล้ว และตอนนี้ผมมีจุดมุ่งหมายถูกต้องในการไล่ตามเสาะหาของผม

ถัดไป: คลายปมในใจ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger