ความทุกข์ยากสาหัสจากโรคภัยไข้เจ็บ

วันที่ 23 เดือน 01 ปี 2021

โดย จงซิน ประเทศจีน

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “กิจการของเรามีมากกว่าจำนวนของเม็ดทรายบนชายหาด และปัญญาของเราเหนือกว่าบุตรชายทั้งหมดของซาโลมอน กระนั้นผู้คนก็เพียงคิดว่าเราเป็นแพทย์ที่ไม่มีความสำคัญและเป็นครูที่ไม่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของมนุษย์เท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้รักษาพวกเขาเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้ใช้ฤทธานุภาพของเราขับวิญญาณสกปรกออกจากร่างของพวกเขาเท่านั้น และผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงแค่ว่าพวกเขาอาจจะได้รับสันติสุขและความชื่นบานยินดีจากเรา ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อเรียกร้องทรัพย์สมบัติทางวัตถุจากเราให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตนี้อย่างสันติสุขและเพื่อที่จะอยู่อย่างปลอดภัยคลายกังวลในโลกที่จะมาถึง ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์จากนรกและเพื่อได้รับพรจากสวรรค์ ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อสิ่งชูใจชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่ได้พยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใดในโลกที่จะมาถึง เมื่อเราได้ปล่อยความโกรธเคืองต่อมนุษย์ของเราออกมาและได้ยึดเอาความชื่นบานยินดีและสันติสุขที่พวกเขาเคยมีไป มนุษย์ก็กลับคลางแคลงใจ เมื่อเราได้ให้ความทุกข์จากนรกแก่มนุษย์และได้เอาพรจากสวรรค์กลับคืน ความละอายของมนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ เมื่อมนุษย์ได้ขอให้เรารักษาเขา แต่เราไม่ได้ให้ความสนใจและรู้สึกชิงชังต่อเขา มนุษย์ได้ออกห่างจากเราเพื่อแสวงหาวิธีการของยาและวิทยาคมอันชั่วร้ายแทน เมื่อเราได้เอาทุกอย่างที่มนุษย์เรียกร้องจากเรากลับไป ทุกคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้ เราจึงบอกว่ามนุษย์มีความเชื่อในเราเพราะเราให้พระคุณมากเกินไป และมีมากเกินไปที่จะได้รับ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?) เมื่อก่อนตอนฉันอ่านพระวจนะนี้ ฉันเอาแต่พูดว่าทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสในที่นี้คือข้อเท็จจริง แต่ก็ไม่เคยเข้าใจอย่างแท้จริงเลยค่ะ ฉันคิดว่าด้วยความที่ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี ยอมทิ้งอาชีพและครอบครัว ทุ่มเทตัวเอง และทนทุกข์มาหลายครั้งเพื่อหน้าที่ของตัวเอง ฉันคงจะไม่ตำหนิพระเจ้าหรือทรยศต่อพระองค์ในยามที่เผชิญหน้ากับความทุกข์และสุขภาพไม่ดี แต่พอฉันได้ก้าวผ่านความทุกข์ยากสาหัสจากโรคภัยไข้เจ็บหนัก ฉันก็เข้าใจผิดและกล่าวโทษพระเจ้า แรงจูงใจในการได้รับพระพรและทำข้อตกลงกับพระเจ้าของฉัน ถูกเปิดโปงด้วยแสงแห่งรุ่งอรุณ ตอนนั้นเองที่ฉันได้เชื่ออย่างสนิทใจว่าพระวจนะของพระเจ้าตีแผ่มนุษย์ และมุมมองเรื่องการไล่ตามในความเชื่อของฉันก็ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลง

วันหนึ่งในเดือนกรกฎาคมปี 2018 ฉันเจอก้อนเนื้อแข็งๆ ขนาดเล็กที่หน้าอกข้างซ้าย ฉันไม่ได้ใส่ใจมากนักและคิดว่ากินยาแก้อักเสบสักหน่อยก็คงหาย แต่สองเดือนถัดจากนั้นมันก็แย่ลงเรื่อยๆ ฉันมีเหงื่อออกตอนกลางคืนและไม่มีแรง แถมบริเวณรอบๆ ก้อนเนื้อนั้นก็เจ็บมาก ฉันเริ่มสงสัยว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า แต่ฉันก็ปลอบใจตัวเองอีกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฉันเชื่อในพระเจ้า และวุ่นกับการทำหน้าที่ของตัวเองที่คริสตจักรทุกวัน ฉันคิดว่าพระเจ้าจะทรงคุ้มครองฉัน คืนหนึ่งฉันตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกเจ็บแปลบ มีน้ำเหลืองไหลออกมาจากหน้าอก ฉันก็รู้เลยว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่ สามีกับฉันรีบไปตรวจที่โรงพยาบาลเลยค่ะ ผลการตรวจออกมาว่าฉันเป็นมะเร็งเต้านม หัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะเลยตอนที่ได้ยินหมอพูดแบบนั้น ฉันคิดว่า “มะเร็งเต้านมหรือ ฉันเพิ่งอายุสามสิบกว่าเอง! มันจะเป็นไปได้อย่างไร” ฉันพร่ำบอกกับตัวเองว่า “ไม่มีทาง เรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นกับฉันหรอก ฉันเป็นผู้เชื่อ แล้วก็ทำหน้าที่ของตัวเองในคริสตจักรมาตั้งหลายปี พระเจ้าจะทรงดูแลและคุ้มครองฉัน หมอต้องเข้าใจผิดแน่ๆ” ฉันเลยหวังให้มันไม่ใช่เรื่องจริง ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนั้นกลับจากโรงพยาบาลมาบ้านได้อย่างไร สามีเห็นฉันดูสับสนเลยพยายามปลอบฉันบอกว่า “ที่นี่เป็นโรงพยาบาลเล็กๆ แถมหมอก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้น เขาอาจจะตรวจผิดก็ได้ ไว้เราไปตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่กันใหม่ดีกว่า” พอได้ยินเขาพูดแบบนั้นฉันก็รู้สึกมีความหวังรำไรขึ้นมา โชคร้ายที่หมอที่โรงพยาบาลใหญ่ยืนยันผลการวินิจฉัยว่ามันคือมะเร็งเต้านม หมอยังบอกด้วยว่ามันอยู่ในระยะกลางถึงระยะสุดท้าย และฉันต้องเข้ารับการรักษาแบบให้คีโมและผ่าตัด ไม่อย่างนั้นอาจจะอันตรายถึงชีวิตได้ ฉันคิดอะไรไม่ออกเลย อีกทั้งหัวใจก็หล่นวูบ ฉันคิดว่า “ทั้งหมดต้องใช้เงินเท่าไหร่กัน ถ้าเกิดฉันตายระหว่างการให้คีโมล่ะ ครอบครัวของฉันจะจัดการกับหนี้สินทั้งหมดอย่างไร” ฉันรู้สึกสิ้นหวังและมืดแปดด้านจริงๆ

หลังจากทำคีโมรอบแรก ร่างกายของฉันทุกส่วนทรมานด้วยความเจ็บปวด ฉันไม่อยากทำอะไรเลยแถมยังเวียนหัวอยู่ตลอด ผ่านไปสักสองสามวันพอยาเริ่มหมดฤทธิ์ฉันก็เริ่มดีขึ้น ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี ทำการพลีอุทิศและทุ่มเทตัวเองในหน้าที่ ฉันทำหน้าที่ของตัวเองเสมอไม่ว่าจะดีหรือร้าย และไม่เคยพลาดการชุมนุมเลยสักครั้ง ฉันมักช่วยพี่น้องชายหญิงแก้ปัญหาของพวกเขาเสมอ แล้วฉันทำงานหนักแบบนั้นเพื่ออะไร ทำไมพระเจ้าถึงไม่ทรงคุ้มครองฉัน ตอนนี้ฉันทำหน้าที่อะไรไม่ได้เลย ฉันกำลังจะตายแล้วจริงๆ พระเจ้าทรงต้องการกำจัดฉันหรือ ฉันยังต้องทำคีโมอีกห้าครั้งแล้วก็ผ่าตัด ฉันจะรับมือได้อย่างไร นอกจากเรื่องความเจ็บปวดและความทรมาน ถ้าฉันตายขึ้นมา ก็แปลว่าความเชื่อตลอดหลายปีของฉันมันสูญเปล่าหรือ ความคิดนั้นทำฉันร้องไห้เลยค่ะ ในช่วงสองสามวันนั้นฉันทรมานมาก ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าแต่กลับไม่เข้าหัวเลย และฉันก็หยุดอธิษฐานด้วย จิตวิญญาณของฉันมืดมิด และฉันก็ห่างไกลพระเจ้ามากขึ้นทุกที

วันหนึ่ง พี่สาวลี่จากคริสตจักรมาเยี่ยมฉัน และถามถึงอาการของฉันด้วยความอ่อนโยน พอเห็นว่าฉันเจ็บปวดและรู้สึกแย่มากๆ เธอก็ได้สามัคคีธรรมกับฉัน เธอบอกว่า “พระเจ้าทรงอนุญาตให้ความเจ็บป่วยเกิดขึ้นกับเรา เราต้องอธิษฐานและแสวงหาให้มากขึ้น และพระเจ้าจะทรงนำเราให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์อย่างแน่นอน…” พอได้ยินการสามัคคีธรรมของเธอมันก็สะเทือนใจฉันค่ะ บางทีพระเจ้าอาจจะไม่ได้ทรงต้องการกำจัดฉัน แต่มีบทเรียนอยู่บทหนึ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้ฉันเรียนรู้! หลังจากเธอกลับไป ฉันก็ไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและบอกว่า “พระเจ้าคะ ข้าพระองค์ใช้ชีวิตอยู่ในความเจ็บปวดนับตั้งแต่ป่วย แถมยังเข้าใจผิดและตำหนิพระองค์ โดยผ่านทางคำเตือนใจของพี่สาวของข้าพระองค์ในวันนี้ บัดนี้ข้าพระองค์รู้ว่ามีน้ำพระทัยของพระองค์เบื้องหลังโรคภัยไข้เจ็บนี้ แต่ข้าพระองค์ก็ยังไม่รู้ว่า บทเรียนที่ข้าพระองค์ควรเรียนรู้ในสถานการณ์นี้คือบทเรียนใด ได้โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด”

หลังจากนั้น ฉันก็ไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานต่อพระองค์เช่นนี้ทุกวัน วันหนึ่งฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า: “การเข้าสู่การทดสอบทิ้งให้เจ้าปราศจากความรักหรือความเชื่อ เจ้าขาดพร่องการอธิษฐานและไร้ความสามารถที่จะขับร้องบทเพลงสรรเสริญ และเจ้าก็มารู้จักตัวเจ้าเองในท่ามกลางการนี้โดยที่ไม่ตระหนักถึงมันเลย พระเจ้าทรงมีหลายวิถีทางในการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม พระองค์ทรงนำสภาพแวดล้อมทุกลักษณะมาใช้ในการจัดการกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ และทรงใช้สิ่งต่างๆ นานาในการตีแผ่มนุษย์ ในแง่หนึ่ง พระองค์ทรงจัดการกับมนุษย์ ในอีกแง่หนึ่ง พระองค์ทรงตีแผ่มนุษย์ และในอีกแง่หนึ่ง พระองค์ทรงเปิดเผยมนุษย์ โดยทรงขุดคุ้ยและเปิดเผย ‘ความล้ำลึก’ ในส่วนลึกของหัวใจของมนุษย์ และทรงแสดงให้มนุษย์เห็นธรรมชาติของเขาโดยการเปิดเผยสภาวะมากมายของเขาออกมา พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยผ่านทางวิธีการมากมาย—โดยผ่านทางการเปิดเผย โดยผ่านทางการจัดการกับมนุษย์ โดยผ่านทางกระบวนการการถลุงมนุษย์ และการตีสอน—เพื่อที่มนุษย์อาจรู้ว่าพระเจ้านั้นทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะบรรดาผู้มุ่งเน้นการปฏิบัติเท่านั้นที่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้) เมื่อใคร่ครวญถึงพระวจนะของพระเจ้า ในที่สุดฉันก็เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ พระเจ้าทรงพระราชกิจในยุคสุดท้ายเพื่อทำให้มนุษย์เพียบพร้อม ด้วยการเปิดโปงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเราผ่านสถานการณ์ทุกประเภท และด้วยการใช้การพิพากษาและวิวรณ์แห่งพระวจนะของพระองค์ เพื่อให้เราได้เข้าใจอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตัวเอง ให้เราแสวงหาและปฏิบัติความจริง เพื่อที่สุดท้ายอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเราจะได้รับการชำระและเปลี่ยนแปลง ฉันเข้าใจว่าพระเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันเจ็บป่วย ไม่ใช่เพราะพระองค์ทรงต้องการกำจัดฉัน หรือทำร้ายฉันโดยตั้งพระทัย แต่เพื่อชำระและเปลี่ยนแปลงฉัน ฉันไม่สามารถเข้าใจพระเจ้าผิดหรือหลงมัวเมาได้อีกต่อไป ฉันต้องนบนอบ แสวงหาความจริงในความเจ็บป่วยนี้ รวมถึงไตร่ตรองและรู้จักตัวเองให้ได้ พอฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ฉันก็ไม่รู้สึกหดหู่หรือเจ็บปวดแบบนั้นอีกต่อไปค่ะ ฉันอธิษฐานเพื่อนบนอบต่อพระเจ้า

และเมื่ออธิษฐานเสร็จ พระวจนะของพระเจ้าวรรคตอนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิดว่า “การไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็เพียงเพื่อจะมีชีวิตในความสุขสบาย เพื่อที่จะไม่มีอุบัติภัยตกมาถึงครอบครัวของเจ้า เพื่อที่สายลมจะโชยผ่านเจ้า เพื่อที่ใบหน้าของเจ้าจะไม่สัมผัสกรวดทราย…” ฉันเลยรีบเปิดหาในหนังสือพระวจนะของพระเจ้า และพบกับบทตอนนี้ที่ว่า “เจ้าหวังว่าความเชื่อของเจ้าในพระเจ้าจะไม่พ่วงเอาความท้าทายหรือความทุกข์ลำบากอันใด หรือความยากลำบากแม้เพียงน้อยนิดมาด้วย เจ้าไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นซึ่งไร้ค่าเสมอ และเจ้าไม่ให้คุณค่ากับชีวิต แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับให้ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเจ้าเองมาก่อนความจริง เจ้าช่างไร้ค่ายิ่งนัก! เจ้ามีชีวิตอยู่เหมือนสุกรตัวหนึ่ง—มีความแตกต่างอะไรเล่าระหว่างตัวเจ้า และพวกสุกรกับพวกสุนัข? พวกที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับรักเนื้อหนัง ไม่ใช่สัตว์ร้ายทั้งหมดหรอกหรือ? พวกที่ตายไปแล้วและปราศจากจิตวิญญาณไม่ใช่ซากศพที่เดินได้หรอกหรือ? วจนะมากมายเพียงใดแล้วที่ได้กล่าวไปท่ามกลางพวกเจ้า? งานที่ได้ถูกกระทำไปท่ามกลางพวกเจ้ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นอย่างนั้นหรือ? เราได้จัดเตรียมไปมากเพียงใดแล้วท่ามกลางพวกเจ้า? แล้วเหตุใดเจ้ายังไม่ได้รับมัน? เจ้ามีอะไรให้ต้องร้องทุกข์หรือ? นี่ไม่ใช่กรณีที่เจ้าไม่ได้รับสิ่งใดเลยเพราะเจ้าหลงรักเนื้อหนังมากเกินไปหรอกหรือ? และนี่ไม่ใช่เพราะความคิดของเจ้านั้นฟุ้งซ่านเกินไปหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าโง่เง่าเกินไปหรอกหรือ? หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะได้รับพระพรเหล่านี้ เจ้าสามารถติเตียนพระเจ้าเพราะการที่ไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอดได้อย่างนั้นหรือ? สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือการที่จะสามารถได้รับสันติสุขภายหลังการเชื่อในพระเจ้า เพื่อลูกหลานของเจ้าจะได้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อสามีของเจ้าจะมีงานที่ดี เพื่อบุตรชายของเจ้าจะได้เจอภรรยาที่ดี เพื่อบุตรสาวของเจ้าจะได้เจอสามีที่มีความประพฤติดีเหมาะสม เพื่อม้าและโคของเจ้าจะไถพรวนผืนดินได้ดี เพื่อปีที่มีสภาพอากาศที่ดีสำหรับพืชผลของเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าแสวงหา การไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็เพียงเพื่อจะมีชีวิตในความสุขสบาย เพื่อที่จะไม่มีอุบัติภัยตกมาถึงครอบครัวของเจ้า เพื่อที่สายลมจะโชยผ่านเจ้า เพื่อที่ใบหน้าของเจ้าจะไม่สัมผัสกรวดทราย เพื่อที่พืชผลของครอบครัวเจ้าจะไม่ถูกน้ำท่วม ไม่ได้รับผลกระทบจากความวิบัติอันใด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในรังอันอุ่นสบาย คนขี้ขลาดอย่างเจ้าผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาเนื้อหนังเสมอนั้น—เจ้ามีหัวใจ เจ้ามีจิตวิญญาณหรือไม่? เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกหรือ? เราให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้าโดยไม่ได้ขออะไรกลับคืน กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่? เรามอบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากสุกรหรือสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ? พวกสุกรไม่เสาะหาชีวิตของมนุษย์ พวกมันไม่ไล่ตามเสาะหาการได้รับการชำระให้สะอาด และพวกมันไม่เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร ในแต่ละวัน หลังจากที่พวกมันกินกันจนอิ่มแปล้ มันก็แค่หลับไป เราได้ให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้รับมัน เจ้าเป็นคนมือเปล่า เจ้าเต็มใจที่จะดำเนินต่อไปในชีวิตนี้ ชีวิตของสุกรตัวหนึ่งหรือไม่? อะไรคือนัยสำคัญของผู้คนเช่นนั้นที่กำลังมีชีวิตอยู่? ชีวิตของเจ้าช่างน่าเหยียดหยามและต่ำศักดิ์ เจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความโสมมและความเสเพล และเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดเลย ชีวิตของเจ้าไม่ได้ต่ำศักดิ์ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดหรอกหรือ? เจ้ากล้าดีที่จะพิจารณาตัดสินพระเจ้าหรือ? หากเจ้าได้รับประสบการณ์ในหนทางนี้ต่อไป ใช่ว่าเจ้าจะไม่ได้มาซึ่งสิ่งใดเลยหรอกหรือ? หนทางที่แท้จริงได้ถูกมอบให้เจ้าไปแล้ว แต่การที่เจ้าจะสามารถรับไว้จนถึงที่สุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาส่วนบุคคลของตัวเจ้าเอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) พระวจนะของพระเจ้าได้ตีแผ่ความปรารถนาที่จะได้รับพระพรในการเชื่อของฉันอย่างตรงเผงเลยค่ะ ฉันนึกย้อนไปถึงความเชื่อของฉันตลอดหลายปี ย้อนกลับไปตอนที่ทุกอย่างที่บ้านยังปกติ ฉันยังสุขภาพแข็งแรงและทุกอย่างยังดีอยู่ ฉันมีส่วนร่วมในหน้าที่ของตัวเองอย่างกระตือรือร้น ดูเหมือนมีพลังงานที่ไร้ขีดจำกัด แต่พอฉันเป็นมะเร็ง ฉันก็กลายเป็นคนคิดลบและเข้าใจผิดและตำหนิพระเจ้าที่ไม่ทรงคุ้มครองฉัน ฉันเอางานที่เคยทำมาเป็นต้นทุนในการโต้แย้งกับพระเจ้า ฉันถึงขั้นเสียใจที่เฝ้าพลีอุทิศมาตลอดหลายปีด้วยซ้ำ ฉันใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะของการหลบเลี่ยงและทรยศต่อพระเจ้า มีเพียงตอนที่ฉันได้รับการถลุงและเปิดโปงผ่านการป่วยนั้นเอง ที่ทำให้ฉันเห็นว่าฉันไม่ได้ทำหน้าที่และทำการพลีอุทิศ เพื่อไล่ตามความจริงหรือทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้าง แต่กลับทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อให้ได้รับสันติสุขและพระพร ฉันทำข้อตกลงกับพระเจ้ามาตลอด เพื่อให้ได้พระพรเป็นการตอบแทนสำหรับการพลีอุทิศของฉัน ฉันต้องการทุกสิ่งในชีวิตนี้ และต้องการชีวิตนิรันดร์ในชาติหน้า ตอนนี้ฉันเป็นมะเร็ง และพอดูเหมือนว่าฉันกำลังจะตายและไม่ได้รับพระพร ฉันก็ตำหนิพระเจ้าที่ทรงไม่ยุติธรรม ฉันมันไม่มีความเป็นมนุษย์เลย ฉันคิดทบทวนถึงช่วงเวลาหลายปีของความเชื่อ ฉันได้รับพระคุณและพระพรมากมายจากพระเจ้า อีกทั้งยังได้รับการรดน้ำและค้ำจุนมากมายโดยความจริง พระเจ้าได้ประทานสิ่งต่างๆ ให้ฉันมากมาย แต่ฉันกลับไม่เคยคิดที่จะตอบแทนความรักของพระองค์เลย พอล้มป่วยฉันก็ไม่นบนอบต่อพระเจ้าเลย ฉันได้แต่เข้าใจผิดและตำหนิพระองค์ ฉันช่างไร้จิตสำนึกและความรู้สึกโดยสิ้นเชิง! ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่าที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันเจ็บป่วย ก็เพื่อเปิดโปงและชำระแรงจูงใจที่จะได้รับพระพรในความเชื่อ รวมถึงมุมมองที่ผิดในการแสวงหาของฉัน เพื่อทำให้ฉันจดจ่อกับการไล่ตามความจริงและแสวงหาการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตัวเอง พอเข้าใจพระเจตนาอันดีของพระเจ้าแล้ว ฉันก็รู้สึกเสียใจและตำหนิตัวเอง ฉันจึงตั้งปณิธานกับตัวเองเงียบๆ ว่า “ไม่ว่าฉันจะดีขึ้นหรือไม่ ฉันก็จะไม่เรียกร้องอะไรที่ไร้สติจากพระเจ้าอีก ฉันเพียงต้องการมอบชีวิตและความตายของตัวเองไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และนบนอบต่อการทรงจัดการเตรียมการของพระองค์” หลังจากนั้นฉันก็รู้สึกสงบขึ้นมาก ฉันไม่ได้วิตกกังวลและเป็นทุกข์อีกต่อไปแล้ว แถมยังสามารถทำใจให้สงบเพื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า อธิษฐาน และแสวงหากับพระเจ้าได้ด้วย

พอฉันได้นบนอบ การกลับไปทำคีโมก็ไม่ได้เจ็บปวดอย่างที่เคยเป็น แม้ว่าฉันยังรู้สึกคลื่นไส้อยู่บ้าง แต่ทุกอย่างก็เป็นไปได้ด้วยดีค่ะ ผู้ป่วยคนอื่นๆ ต่างประหลาดใจและอิจฉากันใหญ่ ในหัวใจของฉันรู้ดีว่าทั้งหมดนี้คือพระเมตตาและการทรงคุ้มครองของพระเจ้า ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามากๆ ค่ะ หลังจากทำคีโมไปหลายครั้ง ก้อนเนื้อขนาดเท่าไข่ไก่ก็เริ่มเล็กลง มันไม่ได้เจ็บมากเท่าเดิม และไม่มีอะไรซึมออกมาแล้วด้วย หมอบอกว่าอาการของฉันดีขึ้นมาก และถ้าสิ่งต่างๆ เป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ หลังจากทำคีโมครบหกครั้ง ฉันอาจจะไม่จำเป็นต้องผ่าตัดแล้วก็ได้ พอได้ยินแบบนั้นฉันก็ดีใจมาก และขอบคุณพระเจ้าไม่หยุดเลยค่ะ ความเชื่อในพระเจ้าของฉันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ฉันคิดว่าถ้าฉันตั้งใจไตร่ตรองและพยายามรู้จักตัวเอง บางทีฉันอาจจะดีขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดก็ได้

วันหนึ่งในเดือนมีนาคม ฉันทำคีโมเป็นครั้งสุดท้าย ฉันทั้งกังวลใจและเปี่ยมไปด้วยความหวัง พอให้คีโมเสร็จ หมอบอกว่าฉันยังต้องผ่าตัดอยู่ จากนั้นก็ให้คีโมเพิ่มอีกสองครั้ง แล้วก็ฉายแสงอีกนิดหน่อย หัวใจของฉันตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม อีกทั้งความคิดของฉันก็สับสนไปหมด ฉันคิดว่า “เป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร ฉันไตร่ตรองตัวเองอย่างที่ควรทำ และเข้าใจในสิ่งที่ควรเข้าใจแล้ว ทำไมตอนนี้ฉันยังไม่ดีขึ้นอีก มันเป็นการผ่าตัดใหญ่ นอกจากจะทิ้งรอยแผลเป็นแล้ว การทำคีโมและการฉายแสงที่ต้องทำก็คงจะเจ็บมาก ฉันก็อาจจะตายอยู่ดี…” ฉันรู้สึกไม่มีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งร่างกายของฉันก็ไร้เรี่ยวแรง ฉันเริ่มร้องไห้เพราะความไม่ยุติธรรมทั้งหมดนั้น ในคืนหลังการผ่าตัด พอยาสลบหมดฤทธิ์ ความเจ็บปวดจากแผลผ่าตัดก็เลวร้ายมากจนทำให้ฉันร้องไห้ ฉันสูดหายใจลึกๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันรู้สึก สิ้นไร้หนทางและรู้ว่ามันผิด มันหนักหนาเกินไปสำหรับฉัน— เมื่อไหร่ความเจ็บปวดจะสิ้นสุดลงสักที ในความทรมานนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า: “สำหรับทุกผู้คน กระบวนการถลุงเป็นความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส และลำบากยากเย็นมากที่จะยอมรับ—ทว่าในระหว่างกระบวนการถลุงนี้นี่เองที่พระเจ้าทำให้พระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์เป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับมนุษย์ และทรงทำให้ข้อพึงประสงค์ของพระองค์เป็นที่รู้ทั่วกันสำหรับมนุษย์ และทรงจัดเตรียมความรู้แจ้งมากขึ้น การจัดการและการตัดแต่งจริงที่มากขึ้น โดยผ่านทางการเปรียบเทียบข้อเท็จจริงกับความจริง พระองค์ทรงมอบความรู้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับพระองค์และความจริงให้แก่มนุษย์ และทรงมอบความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าให้แก่มนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์มีความรักที่จริงแท้ยิ่งขึ้นและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นต่อพระเจ้า นั่นคือจุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการดำเนินกระบวนการถลุง และพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำในมนุษย์มีจุดมุ่งหมายและนัยสำคัญของมันเอง พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจซึ่งปราศจากความหมาย และพระองค์ไม่ทรงพระราชกิจซึ่งปราศจากผลประโยชน์ต่อมนุษย์ กระบวนการถลุงไม่ได้หมายถึงการเอาผู้คนไปจากเบื้องพระพักตร์พระเจ้า และไม่ได้หมายถึงการทำลายพวกเขาในนรก แต่ทว่าหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์ในระหว่างกระบวนการถลุง การเปลี่ยนแปลงเจตนาต่างๆ ของเขา ทรรศนะเก่าๆ ของเขา การเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อพระเจ้า และการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตของเขา กระบวนการถลุงคือบททดสอบจริงของมนุษย์ และเป็นรูปแบบหนึ่งของการฝึกฝนจริง และมีเพียงในระหว่างกระบวนการถลุงเท่านั้นที่ความรักของเขาจะสามารถทำหน้าที่ตามธรรมชาติของมันได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์สามารถมีความรักแท้จริงได้ โดยการได้รับประสบการณ์กับกระบวนการถลุงเท่านั้น) พระวจนะของพระเจ้าทุกคำเข้าสู่หัวใจของฉัน และฉันก็รู้สึกตื้นตันใจมากๆ ฉันรู้ว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าในการที่ฉันเจ็บป่วย คือเพื่อให้ฉันได้มีความรู้จักตัวเองอย่างแท้จริงบ้าง เพื่อทำให้ฉันแสวงหาความจริง อีกทั้งชำระและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของฉัน ก่อนหน้านี้ ถึงแม้ฉันจะรู้ดีว่าไม่ควรไล่ตามการได้รับพระพรในการเชื่อ แต่ฉันก็ไม่ได้ปล่อยวางแรงจูงใจที่จะได้รับพระพรอย่างหมดสิ้น ฉันยังคงซ่อนเร้นความปรารถนาที่มากล้นต่อพระเจ้าไว้ลึกๆ ในหัวใจ ฉันคิดว่าในฐานะที่ฉันไตร่ตรองและรู้จักตัวเองขึ้นบ้างแล้ว งั้นพระเจ้าก็ทรงควรเอาความเจ็บปวดไปจากฉันสิ การไตร่ตรองและรู้จักตัวเองของฉันแปดเปื้อนไปด้วยแรงจูงใจส่วนตัว และมันก็แค่ปกปิดความปรารถนาของฉันที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้าเท่านั้น ฉันไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริงเลย! พระเจ้าทรงพินิจถึงความคิดของฉัน และใช้ความเจ็บป่วยเพื่อตีแผ่ฉัน เพื่อทำให้ฉันไตร่ตรองตัวเองมากยิ่งขึ้น และกลับใจอย่างแท้จริง นี่คือความรักของพระเจ้าสำหรับฉัน หลังจากนั้นฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าบอกว่า “พระเจ้าที่รัก ตอนนี้ข้าพระองค์เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะละทิ้งตัวเลือกและคำขอส่วนตัวทั้งหมด อีกทั้งแสวงหาความจริงในสถานการณ์ที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการไว้ ได้โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด”

ไม่กี่วันต่อมา ฉันก็ได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เมื่อผู้คนเริ่มที่จะเชื่อในพระเจ้า พวกเขาคนใดบ้างที่ไม่มีจุดมุ่งหมาย สิ่งจูงใจ และความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง? ถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งของพวกเขาจะเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าและได้มองเห็นการดำรงอยู่ของพระเจ้า แต่การเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้าก็ยังคงบรรจุไปด้วยสิ่งจูงใจ และจุดมุ่งหมายสูงสุดของพวกเขาในการเชื่อในพระเจ้าก็คือเพื่อได้รับพระพรของพระองค์และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาต้องการ…ทุกบุคคลทำการคิดคำนวณเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอภายในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาทำการร้องขอจากพระเจ้าซึ่งเป็นแรงจูงใจ ความทะเยอทะยาน และความคิดแบบแลกเปลี่ยนของพวกเขา กล่าวคือ ในหัวใจของเขานั้น มนุษย์กำลังทดสอบพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ คิดวางแผนเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ โต้แย้งเรื่องราวเพื่อบทอวสานแต่ละอย่างของพวกเขาเองกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ และพยายามที่จะคัดรายงานแถลงจากพระเจ้า โดยดูว่าพระเจ้าสามารถประทานสิ่งที่เขาต้องการให้แก่เขาหรือไม่ ในเวลาเดียวกันกับที่ไล่ตามเสาะหาพระเจ้านั้น มนุษย์ก็ไม่ปฏิบัติกับพระเจ้าดังเช่นพระเจ้า มนุษย์พยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้าอยู่เสมอ ทำข้อเรียกร้องจากพระองค์อย่างไม่หยุดหย่อน และแม้กระทั่งกดดันพระองค์ในทุกขั้นตอน โดยหลังจากได้คืบแล้วก็พยายามที่จะเอาศอก ในเวลาเดียวกันกับที่พยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า มนุษย์ก็ยังโต้แย้งกับพระองค์ด้วย และมีแม้กระทั่งผู้คนที่มักจะกลายเป็นอ่อนแอ อยู่นิ่งเฉย และหย่อนยานในงานของพวกเขา และเต็มไปด้วยการร้องทุกข์คร่ำครวญเกี่ยวกับพระเจ้าเมื่อการทดสอบตกมาถึงพวกเขาหรือพวกเขาพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง จากเวลาที่มนุษย์ได้เริ่มเชื่อในพระเจ้านั้น เขาได้พิจารณาว่าพระเจ้าทรงเป็นความอุดมสมบูรณ์ เป็นมีดพับสวิส และเขาได้พิจารณาตัวเขาเองว่าเป็นเจ้าหนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า ราวกับว่าการพยายามได้รับพระพรและพระสัญญาจากพระเจ้านั้นเป็นสิทธิ์และภาระผูกพันประจำตัวของเขา ในขณะที่หน้าที่รับผิดชอบของพระเจ้าคือการคุ้มครองปกป้องและดูแลมนุษย์ และการจัดเตรียมให้กับเขา เช่นนั้นเองคือความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ ‘การเชื่อในพระเจ้า’ ของพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่เชื่อในพระเจ้า และเช่นนั้นคือความเข้าใจส่วนลึกที่สุดของพวกเขาเกี่ยวกับมโนทัศน์แห่งการเชื่อในพระเจ้า จากเนื้อแท้แห่งธรรมชาติของมนุษย์ไปจนถึงการไล่ตามเสาะหาในใจของเขา ไม่มีสิ่งใดที่สัมพันธ์กับความยำเกรงพระเจ้าเลย จุดมุ่งหมายของมนุษย์ในการเชื่อในพระเจ้าไม่สามารถเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการนมัสการพระเจ้า กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์ไม่เคยได้พิจารณาหรือเข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าจำเป็นต้องมีการยำเกรงและการนมัสการพระเจ้า เนื่องจากสภาพเงื่อนไขเช่นนั้น เนื้อแท้ของมนุษย์ก็ชัดแจ้ง เนื้อแท้นี้คือสิ่งใด? มันก็คือหัวใจของมนุษย์นั้นมุ่งร้าย เก็บงำการทรยศหักหลังและการหลอกลวง ไม่รักความยุติธรรมและความชอบธรรมและสิ่งที่เป็นเชิงบวก และมันน่าเหยียดหยามและโลภ หัวใจของมนุษย์ไม่สามารถใกล้ชิดกับพระเจ้าได้มากขึ้น เขาไม่ได้มอบมันให้แก่พระเจ้าเลย พระเจ้าไม่เคยทรงมองเห็นหัวใจที่แท้จริงของมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ไม่เคยได้รับการนมัสการโดยมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2) เมื่อได้อ่านพระวจนะนี้ฉันก็รู้สึกละอายใจมากค่ะ พระวจนะของพระเจ้านั้นเปิดเผยสภาวะของฉันไว้อย่างถูกต้อง ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี และอยากจะได้รับพระพรอยู่เสมอ มักจะทำข้อตกลงกับพระเจ้าอยู่ตลอด ฉันรู้สึกว่าเพราะฉันเชื่อในพระเจ้า อีกทั้งยังทำหน้าที่ของตัวเองและทุ่มเทตัวเองเพื่อคริสตจักรอยู่เสมอ พระเจ้าควรจะทรงดูแลและคุ้มครองฉัน และคุ้มกันฉันจากโรคภัยและอันตรายทั้งปวง ฉันคิดว่าแบบนี้ถึงจะถูกต้องและเหมาะสม ตอนที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ฉันก็เริ่มตัดพ้อกับพระเจ้าในทันที และต้องการที่จะใช้ความทุกข์ทนและการพลีอุทิศตลอดหลายปีของตัวเองมาเป็นทุนเพื่อโต้แย้งกับพระองค์ พออาการเริ่มดีขึ้นฉันก็พูดว่า “ขอบคุณพระเจ้า” ด้วยปาก แต่ในหัวใจฉันกลับต้องการมากกว่านั้น ฉันต้องการให้พระเจ้าทรงนำความเจ็บป่วยทั้งหมดไปจากฉัน เพื่อที่ฉันจะไม่ต้องทนทุกข์อีกต่อไป พอความปรารถนาอันมากล้นของฉันไม่ได้รับการตอบสนอง ธรรมชาติที่แสนชั่วร้ายของฉันก็ปรากฏขึ้นมาอีก ฉันกลับไปตำหนิพระเจ้าและพยายามโต้แย้งกับพระองค์อีกครั้ง พฤติกรรมของฉันเหมือนกับที่พระเจ้าทรงเปิดเผยไว้ในพระวจนะของพระองค์ ที่ว่า “พวกที่ปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์ย่อมไม่สามารถรักพระเจ้าอย่างแท้จริงได้ เมื่อสภาพแวดล้อมมีความปลอดภัยและมั่นคงหรือเมื่อมีผลกำไรให้ทำ พวกเขาจะเชื่อฟังพระเจ้าอย่างเต็มที่ แต่เมื่อสิ่งที่พวกเขาอยากได้อยากมีถูกประนีประนอมลงมาหรือถูกหักล้างในที่สุด พวกเขาก็ลุกฮือทันที แม้แต่ในระยะชั่วข้ามคืนเท่านั้น พวกเขาก็อาจเปลี่ยนจากบุคคลที่ยิ้มแย้มและ ‘ใจดี’ เป็นฆาตกรที่น่าเกลียดและดุดัน ที่พลันปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณในวันวานของพวกเขาประดุจศัตรูคู่อาฆาตของพวกเขาโดยไม่มีเหตุผลใดๆ หากผีเหล่านี้ไม่ถูกไล่ออกไป ผีเหล่านี้ซึ่งจะลงมือฆ่าโดยไม่มีการกะพริบตา พวกมันจะไม่กลายเป็นอันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่หรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์) ฉันเสียใจมากค่ะ ถึงฉันจะเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว ฉันก็ไม่ได้บูชาหรือนบนอบต่อพระองค์อย่างที่ควรทำ ฉันกลับปฏิบัติราวกับพระองค์เป็นหมอที่มีอำนาจ ราวกับเป็นที่ลี้ภัย ฉันใช้พระเจ้าเพื่อบรรลุเป้าหมายต่างๆ ของตัวเอง พยายามที่จะได้รับสันติสุขในชีวิตนี้ และได้รับพระพรในอนาคตจากพระองค์ ฉันได้เห็นว่าการเชื่อในพระเจ้าของฉันเป็นเพียงการทำข้อตกลงที่ไร้ยางอาย อีกทั้งฉันยังใช้พระเจ้าเพื่อให้ได้รับพระคุณและพระพรจากพระองค์ ฉันไม่ได้ขี้โกงและต่อต้านพระเจ้าหรือคะ ฉันได้เห็นว่าตัวเองเห็นแก่ตัวและสับปลับ ไร้ซึ่งเศษเสี้ยวของความเป็นมนุษย์ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานเท่านั้น พระเจ้าจะต้องทรงรังเกียจและเกลียดชังฉันมากแค่ไหนกัน!

ต่อมา ฉันได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า: “โยบไม่ได้สนทนาเรื่องการค้ากับพระเจ้า และไม่ได้ทำการเรียกร้องหรือการร้องขอใดๆ จากพระเจ้า การที่เขาสรรเสริญพระนามของพระเจ้านั้นเป็นเพราะฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง และมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่เขาได้รับพระพรหรือประสบกับความวิบัติหรือไม่ เขาเชื่อว่าไม่ว่าพระเจ้าทรงอวยพรผู้คนหรือทรงนำความวิบัติมาสู่พวกเขาก็ตาม ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง และด้วยเหตุนี้ ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมของบุคคลจะเป็นอย่างไร พระนามของพระเจ้าก็ควรได้รับการสรรเสริญ การที่มนุษย์ได้รับพรจากพระเจ้าเป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้า และเมื่อความวิบัติเกิดขึ้นกับมนุษย์ ดังนั้น มันก็เป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าจัดการเตรียมการและปกครองเหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับโชควาสนาของมนุษย์เป็นการสำแดงถึงฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้า และไม่ว่าทัศนคติของคนเราจะเป็นอย่างไร พระนามของพระเจ้าก็ควรได้รับการสรรเสริญ นี่คือสิ่งที่โยบได้รับประสบการณ์และได้มารู้ในช่วงระหว่างหลายปีแห่งชีวิตของเขา ความคิดและการกระทำทั้งหมดของโยบได้ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าและได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าสำคัญ พระเจ้าทรงเชิดชูความรู้ของโยบนี้ และทรงทะนุถนอมความล้ำค่าของโยบเนื่องจากการมีหัวใจเช่นนี้ หัวใจนี้รอคอยพระบัญชาของพระเจ้าอยู่เสมอ และในทุกที่ และไม่สำคัญว่าเป็นเวลาหรือสถานที่ใด มันยินดีต้อนรับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ตาม โยบไม่ทำการร้องขอใดๆ ต่อพระเจ้า สิ่งที่เขาร้องขอต่อตัวเขาเองคือให้รอคอย ยอมรับ เผชิญหน้า และเชื่อฟังทั้งหมดจากการจัดการเตรียมการที่มาจากพระเจ้า โยบเชื่อว่านี่เป็นหน้าที่ของเขา และมันเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์อย่างแน่นอน(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2) เมื่อฉันได้ใคร่ครวญถึงพระวจนะของพระเจ้าฉันก็ตื้นตันใจมากค่ะ ฉันคิดว่า “พระเจ้าเป็นพระผู้สร้าง พระเจ้าสามารถประทานพระคุณและพระพรให้เราได้ อีกทั้งพระองค์ยังสามารถทรงพิพากษา ตีสอน ทดสอบ และถลุงเราได้ พระเจ้าจะไม่ทรงมอบการทดสอบแก่เราแค่เพราะพระองค์ทรงรักเราหรือ” ฉันนึกถึงโยบขึ้นมา พระเจ้าประทานความมั่งคั่งยิ่งใหญ่ให้แก่เขา และเขาก็ขอบคุณและสรรเสริญพระองค์ แต่เขากลับไม่ปรารถนาความมั่งคั่งทางวัตถุ ตอนที่พระเจ้าทรงพรากทุกสิ่งไปจากเขา เขาก็ยังคงสรรเสริญพระนามของพระองค์ผ่านการทดสอบ บอกว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?” (โยบ 2:10) โยบรู้ว่าทุกสิ่งที่เขามีอยู่นั้นมาจากพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงชอบธรรม ไม่ว่าพระเจ้าจะประทานหรือพรากสิ่งต่างๆ ไปจากเขาก็ตาม ความเชื่อในพระเจ้าของโยบไม่ได้แปดเปื้อนด้วยแรงจูงใจส่วนตัว และเขาก็ไม่ได้ใส่ใจว่าเขาจะได้รับพระพรหรือเผชิญกับความวิบัติ ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทำอะไรเขาก็ไม่ได้ตัดพ้อ เขาสามารถยืนหยัดในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างเพื่อบูชาและนบนอบต่อพระเจ้าได้ พอได้เห็นถึงความเป็นมนุษย์และเหตุผลของโยบ ฉันก็รู้สึกละอายใจจริงๆ ค่ะ ฉันมองดูทุกสิ่งที่ฉันมี พระเจ้าทรงมอบทั้งหมดนี้ให้แก่ฉัน แม้แต่ลมหายใจนี้ก็ด้วย แต่ฉันไม่รู้สึกขอบคุณพระองค์เลย ฉันกลับตำหนิพระเจ้าตอนที่ฉันป่วย ฉันมันไร้ซึ่งจิตสำนึกและเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น! ฉันเชื่อในพระเจ้าแต่กลับไม่รู้จักพระองค์ อีกทั้งไม่รู้จักที่ที่เหมาะสมของตัวเองเฉพาะพระพักตร์พระองค์ หรือไม่รู้ว่าควรนบนอบต่อองค์พระผู้สร้างอย่างไร การเชื่อในพระเจ้าด้วยมโนคติที่หลงผิด จินตนาการ และแนวคิดในการทำข้อตกลงของฉัน ทำให้ฉันตัดพ้อพระเจ้า และต่อต้านพระองค์เมื่อเผชิญหน้ากับโรคภัยไข้เจ็บ แต่กระนั้นฉันก็ต้องการพระพรและพระคุณจากพระเจ้าอยู่เสมอ อีกทั้งต้องการเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าด้วย ฉันมันไม่มีความละอายเลยจริงๆ! ฉันได้เห็นว่าถึงแม้ฉันจะตายเดี๋ยวนั้น มันก็คือความชอบธรรมของพระเจ้า สำหรับการเป็นกบฏและความเสื่อมทรามของฉัน ฉันได้พบเส้นทางแห่งการปฏิบัติในประสบการณ์ของโยบค่ะ ไม่ว่าฉันจะเจ็บป่วยนานแค่ไหน หรือไม่ว่าฉันจะดีขึ้นหรือไม่ ฉันก็ปรารถนาที่จะนบนอบต่อกฎและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่ฉันควรมีในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างค่ะ ความคิดนี้ทำให้ฉันรู้สึกถึงการหลุดพ้นที่ยิ่งใหญ่

เวลาของการฉายแสงมาถึงโดยที่ฉันไม่ทันรู้ตัว ผู้ป่วยโรคมะเร็งคนอื่นบอกว่าการฉายแสงเป็นเรื่องที่หนักหนาต่อร่างกายมาก มันอาจจะทำให้เนื้อของฉันสุกได้ พวกเขาบอกว่าฉันจะรู้สึกเวียนหัวและคลื่นไส้ทุกครั้ง แล้วก็จะกินอะไรไม่รู้รสเลย พอได้ยินทั้งหมดนี้ ฉันก็เริ่มขอให้พระเจ้าทรงช่วยฉันให้รอดพ้นจากสถานการณ์นี้อีกครั้ง แต่ฉันก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าสภาวะของฉันมันผิด เลยอธิษฐานต่อพระเจ้า แล้วจู่ๆ เนื้อเพลงสรรเสริญบางท่อนก็ผุดขึ้นมาในความคิดความว่า “เนื่องจากเจ้าได้ถูกสร้างขึ้น เจ้าควรเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้ทรงสร้างเจ้า เพราะโดยธรรมชาติแล้วเจ้าไม่มีอำนาจครอบครองเหนือตัวเอง และไม่สามารถควบคุมชะตาลิขิตของเจ้าเอง เนื่องจากเจ้าเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งเชื่อในพระเจ้า เจ้าควรแสวงหาความบริสุทธิ์และการเปลี่ยนแปลง(“สิ่งที่ผู้เชื่อในพระเจ้าควรไล่ตามเสาะหา” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ฉันรู้ว่าสถานการณ์นี้คือพระเจ้าทรงทดสอบฉัน และฉันไม่สามารถร้องขอสิ่งใดจากพระเจ้าอย่างไร้สติ หรือทำร้ายพระองค์อีกต่อไปได้ ฉันรู้ว่าฉันต้องนบนอบต่อการทรงจัดการเตรียมการของพระองค์ค่ะ เมื่อฉันนบนอบแล้ว แม้ฉันยังต้องฉายแสงอยู่ทุกวัน และร่างกายของฉันก็เจ็บปวดในหลายจุด มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ผู้ป่วยคนอื่นๆ บอก ฉันรู้ว่านี่คือพระเจ้าทรงพระเมตตาและทรงดูแลฉันค่ะ เมื่อฉันฉายแสงจนเสร็จสิ้น ร่างกายของฉันก็ฟื้นตัวเร็วมากๆ ฉันดูปกติดีทั้งร่างกายและจิตใจเลยค่ะ พี่น้องชายหญิงที่คริสตจักรของฉันยังบอกว่าฉันไม่เหมือนคนที่ป่วยเป็นมะเร็งเลย ผ่านไปสักระยะ ฉันก็เริ่มกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองอีกครั้ง ความเชื่อในพระเจ้าของฉันเติบโตขึ้นผ่านประสบการณ์นี้ และฉันก็เริ่มหวงแหนในโอกาสที่ได้ทำหน้าที่มากยิ่งขึ้น

เป็นเวลาเกือบสองปีมาแล้วนับตั้งแต่ครานั้น แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาสิบเดือนที่ป่วย มันก็รู้สึกเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เองค่ะ แม้ว่าเนื้อหนังของฉันต้องทนทุกข์อยู่บ้าง ฉันก็ได้เข้าใจแรงจูงใจต่อพระพร รวมถึงมุมมองที่ผิดพลาดว่าควรไล่ตามสิ่งใดของตัวเอง ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าในความเชื่อฉันต้องไล่ตามความจริง แสวงหาเพื่อที่จะเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ว่าฉันจะได้รับพระพรหรือพบกับความวิบัติ ฉันก็ต้องนบนอบต่อการเรียบเรียงจัดวาง รวมถึงกฎและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าอยู่เสมอ นี่คือเหตุผลที่สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างทุกคนควรมีค่ะ ถ้าทุกอย่างในชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น ฉันคงไม่มีวันได้รับสิ่งเหล่านี้เลย นี่คือความมั่งคั่งของชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ฉันค่ะ ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

รู้สึกดียิ่งนักที่ถอดหน้ากากของฉันออกไป

โดย เฉินหย่วน ประเทศจีน เดือนกันยายน ปี 2018 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันมีความสุขมากเลยตอนนั้น ฉันรู้สึกว่า ที่เป็นอย่างนี้...

หนึ่งตัวเลือกอันเจ็บปวด

โดย เฉิน หมิ่น, สเปน ฉันยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ใน ค.ศ. 1999 และไม่นานฉันก็ได้เริ่มทำหน้าที่ในฐานะผู้นำ...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger