ฉันพิจารณาขีดความสามารถของตนได้อย่างถูกต้อง
ในเดือนเมษายน ปี 2023 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำกลุ่มให้น้ำ เนื่องจากผู้มาใหม่ทยอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฉันยังต้องตรวจดูการทำงานโดยรวมของกลุ่มอีกด้วย ทำให้รู้สึกเหมือนเวลาในหนึ่งวันนั้นไม่เพียงพอ บางครั้งเมื่อไปตรวจดูการทำงานของพี่น้องชายหญิง ฉันก็จะใช้เวลาให้น้ำผู้มาใหม่ได้น้อยลง และบางครั้งเวลาฉันให้ความสำคัญกับการให้น้ำผู้มาใหม่ ฉันก็ไม่ได้ตรวจดูงานกลุ่มอย่างใกล้ชิดเพียงพอ ฉันไม่สามารถจัดสมดุลงานได้เลย สถานการณ์นี้ทำให้ฉันกระวนกระวายใจ และกลัวว่า ผู้นำจะบอกว่าความสามารถในการทำงานของฉันไม่ดีและขีดความสามารถของฉันต่ำ โดยเฉพาะกลัวว่าหน้าที่ของฉันในฐานะหัวหน้ากลุ่มจะถูกถ่ายโอนไป ในหมู่พี่น้องชายหญิงที่ฉันรู้จักมักคุ้นเมื่อก่อน บางคนก็ได้เป็นผู้นำ และบางคนก็กลายเป็นผู้ดูแล ในขณะเดียวกัน ฉันเป็นได้แค่หัวหน้ากลุ่ม และกำลังเผชิญกับอันตรายที่จะถูกโอนย้าย ฉันรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง ฉันจะอยู่ครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ไปทั้งชีวิตจริงเหรอ? ฉันไม่มีขีดความสามารถพอจะเป็นผู้นำหรือผู้ดูแลได้จริงๆ เหรอ? ฉันจำได้ว่าเหล่าพี่น้องเคยคุยกันเรื่องที่ว่าการวางแผนเวลาอย่างสมเหตุสมผลจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ของพวกเขาได้ยังไงบ้าง แล้วแสงแห่งความหวังก็ส่องสว่างขึ้นมาในหัวใจฉัน ฉันจะใช้วิธีนี้เพื่อปรับปรุงความสามารถในการทำงานของฉันด้วยไม่ได้เชียวเหรอ? อีกอย่าง ตอนที่ฉันอดทนต่อการทนทุกข์และยอมลำบากในหน้าที่ของตัวเอง พระเจ้าจะไม่ทรงโปรดปรานฉัน และปรับปรุงขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานของฉันเลยเหรอ? เมื่อนึกได้ดังนี้ ฉันก็รีบลงมือทำ ฉันเขียนตารางเวลาของฉันทุกวัน จดบันทึกว่าฉันทำงานอะไรไปในแต่ละชั่วโมง และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อใช้เวลาให้ได้มากที่สุด หลังจากทำงานหนักมาระยะหนึ่งแล้ว ฉันกลับไม่เห็นผลลัพธ์ในหน้าที่ของตัวเองดีขึ้นมากนัก ตอนนั้นฉันรู้สึกหงุดหงิดใจมาก ทำไมฉันถึงพัฒนาไม่ได้นะ? ทำไมพระเจ้าจึงทรงโปรดปรานพี่น้องคนอื่นๆ และประทานขีดความสามารถที่ดีให้พวกเขา ทำให้พวกเขามีคุณสมบัติเหมาะสมต่อหน้าที่อย่างการเป็นผู้นำและผู้ดูแล? ส่วนฉัน ฉันทำงานหนักมาตั้งนาน แต่แค่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็เหนื่อยยากมากแล้ว พระเจ้าไม่ทรงโปรดปรานฉันจริงๆ ใช่ไหม? โดยเฉพาะเวลาเกิดปัญหาขึ้นหรือทำหน้าที่ได้ผลออกมาไม่ดี ฉันจะรู้สึกหดหู่และคิดลบมากขึ้นไปอีก ฉันคาดการณ์ไว้ว่าอีกไม่นานฉันคงถูกปลดจากตำแหน่ง ครั้งหนึ่ง ผู้ดูแลรู้เรื่องสภาวะของฉัน และพูดกับฉันว่า “ภาระที่หนักอึ้งในหัวใจคุณนั้นใหญ่โตเกินไป ขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานของคุณเทียบไม่ได้กับพี่น้องที่มีขีดความสามารถดี แต่คุณก็มีจุดแข็งของคุณ เหมือนอย่างตอนที่คุณประสบกับปัญหาและความยากลำบากในหน้าที่ คุณก็สามารถเปิดใจและแสวงหาได้อย่างเต็มที่ คุณยังสามารถช่วยเหลือทุกคนได้อีกด้วยเมื่อเป็นเรื่องของการเข้าสู่ชีวิต ที่คุณต้องทำก็คือปลดปล่อยจุดแข็งของคุณออกมาและทำหน้าที่ของคุณให้ดี” ใช่ ฉันรู้สึกว่าชีวิตฉันเหนื่อยล้าเกินไป และฉันก็พยายามกดดันตัวเองมากเกินไปโดยไม่จำเป็น
วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า “เจ้าคิดว่า ยิ่งเจ้ามีความสามารถที่จะเอาชนะและก้าวข้ามขอบเขตของขีดความสามารถและความสามารถของตัวเจ้าเองได้มากเท่าไร ก็ย่อมพิสูจน์ว่าสิ่งนี้คือพระราชกิจของพระเจ้ามากเท่านั้น นี่พิสูจน์ว่าหากเจ้ามีความจริงใจและความตั้งใจที่จะร่วมมือมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมหมายความว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจในตัวเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งขีดความสามารถและความสามารถของเจ้าก็ดีเยี่ยมมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันที่ผู้คนมีมิใช่หรือ? (ใช่) พวกเจ้าเอนเอียงที่จะคิดเช่นนี้เป็นพิเศษใช่หรือไม่? (ใช่) ผลลัพธ์ของการคิดเช่นนี้คืออะไร? สิ่งนั้นคือความล้มเหลวและการไร้ซึ่งความเป็นรูปธรรมอยู่เสมอมิใช่หรือ? คนบางคนถึงกับคิดลบ พลางกล่าวว่า ‘ฉันได้มอบความจริงใจอย่างที่สุดให้แก่พระเจ้า ทำไมพระเจ้าไม่ประทานขีดความสามารถที่ดีกว่านี้ให้ฉัน? ทำไมพระเจ้าถึงไม่ประทานความสามารถที่เหนือชั้นกว่านี้ให้ฉัน? ทำไมฉันจึงยังอ่อนแออยู่เสมอ? ขีดความสามารถของฉันไม่พัฒนาขึ้นเลย ฉันไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อย่างชัดเจน แถมยังเริ่มรู้สึกสับสนเวลาเผชิญหน้ากับเรื่องที่ซับซ้อน ก่อนหน้านี้ฉันก็เป็นแบบนี้ แล้วทำไมตอนนี้ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่? ยิ่งกว่านั้น ทำไมเวลาที่ฉันปฏิบัติหน้าที่และรับมือกับปัญหาต่างๆ ฉันถึงไม่เคยเอาชนะเนื้อหนังของตัวเองได้เลย? ฉันเข้าใจคำสอนอยู่บ้าง แต่ฉันก็ยังไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน และเมื่อถึงเวลาจัดการกับเรื่องต่างๆ ฉันก็ยังลังเล ฉันยังคงไม่เก่งอย่างคนที่มีขีดความสามารถสูง ความสามารถในการทำงานของฉันก็ย่ำแย่ แถมการปฏิบัติหน้าที่ของฉันก็ไม่มีประสิทธิภาพ ขีดความสามารถของฉันยังไม่พัฒนาขึ้นเลย! เกิดอะไรขึ้น? เป็นเพราะความจริงใจที่ฉันมีต่อพระเจ้ายังไม่เพียงพอเหรอ? หรือว่าพระเจ้าทรงไม่ชอบฉัน? ฉันบกพร่องตรงไหนกัน?’ คนบางคนค้นหาเหตุผลนานาประการและพยายามหลายวิธีการเพื่อเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงข้อนี้ อย่างเช่น การฟังคำเทศนาให้มากขึ้น จำพระวจนะของพระเจ้าให้ได้มากขึ้น เขียนบันทึกการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณให้มากขึ้น รวมไปถึงการฟังผู้คนสามัคคีธรรมความจริงให้มากขึ้นและแสวงหาให้มากขึ้น แต่ผลสุดท้ายก็ยังคงน่าผิดหวัง ขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานของพวกเขายังคงเป็นเหมือนแต่ก่อนโดยไม่พัฒนาขึ้นเลย ถึงแม้พวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามาสามถึงห้าปีแล้วก็ตาม” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง II, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) “หากเจ้าเชื่ออยู่เสมอว่า จุดประสงค์ที่พระเจ้าทรงพระราชกิจและตรัสเพื่อจัดหาความจริงแก่ผู้คนคือเพื่อเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติที่มีมาแต่กำเนิดทั้งหมดนี้ของมนุษย์ และคิดว่าเมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะถือได้ว่าเป็นการเกิดใหม่อย่างสมบูรณ์ เป็นคนใหม่โดยแท้จริงดังที่พระเจ้าตรัสไว้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมเข้าใจผิดมหันต์ นี่คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ เมื่อเข้าใจสิ่งนี้แล้ว เจ้าก็ควรปล่อยว่างมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน การคาดเดา หรือความรู้สึกดังกล่าวไปเสีย ในกระบวนการของการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้น เจ้าไม่ควรพึ่งพาความรู้สึกหรือการคาดเดาอยู่เสมอเพื่อสรุปสิ่งเหล่านี้ที่ว่า ‘ขีดความสามารถของฉันดีขึ้นหรือยัง? คุณสมบัติที่มีมาแต่กำเนิดของฉันเปลี่ยนแปลงไปหรือยัง? บุคลิกของฉันยังแย่เหมือนแต่ก่อนไหม? นิสัยในวิถีชีวิตของฉันเปลี่ยนแปลงไปหรือยัง?’ จงอย่าใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้ การใคร่ครวญดังกล่าวย่อมไร้ประโยชน์ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แง่มุมที่พระเจ้าตั้งพระทัยจะเปลี่ยน อีกทั้งพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าก็ไม่เคยมุ่งเป้าไปยังสิ่งเหล่านี้เลย พระราชกิจของพระเจ้าไม่เคยมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงขีดความสามารถ คุณสมบัติที่มีมาแต่กำเนิด บุคลิกของผู้คน และอื่นๆ และพระเจ้าก็ไม่เคยตรัสถึงจุดประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงแง่มุมเหล่านี้ของผู้คน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พระราชกิจของพระเจ้าให้ความจริงแก่ผู้คนบนรากฐานของภาวะตามธรรมชาติของพวกเขา โดยมุ่งหมายที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจความจริง แล้วจึงยอมรับและนบนอบความจริง ไม่ว่าเจ้ามีขีดความสามารถประเภทใด และไม่ว่าบุคลิกและคุณสมบัติที่มีมาแต่กำเนิดของเจ้าเป็นเช่นไร สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการที่จะทำก็คือทำให้มีความจริงในตัวเจ้า เปลี่ยนแปลงมโนคติอันหลงผิดแบบเก่าและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า มากกว่าที่จะทรงเปลี่ยนแปลงขีดความสามารถโดยธรรมชาติ คุณสมบัติที่มีมาแต่กำเนิด และบุคลิกของเจ้า ขณะนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่าสิ่งที่พระราชกิจของพระเจ้ามุ่งหมายที่จะเปลี่ยนคืออะไร? (พระราชกิจของพระเจ้ามุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงมโนคติอันหลงผิดแบบเก่า และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในตัวผู้คน) ตอนนี้ที่เจ้าเข้าใจความจริงนี้แล้ว เจ้าควรปล่อยวางความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดที่เหนือธรรมชาติและไม่สมจริงเหล่านั้นไปเสีย และเจ้าก็ไม่ควรใช้มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านี้มาประเมินหรือเรียกร้องจากตัวเจ้าเอง ในทางกลับกัน เจ้าควรแสวงหาและยอมรับความจริงตามภาวะโดยธรรมชาตินานาประการที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า เป้าหมายสูงสุดของการนี้คืออะไร? นั่นคือเพื่อให้เจ้าเข้าใจหลักธรรมความจริงบนรากฐานของภาวะโดยธรรมชาติของเจ้า เข้าใจหลักธรรมความจริงทุกๆ ประการที่พึงปฏิบัติเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ทั้งหลาย และเจ้าจะสามารถมองดูผู้คนและเรื่องต่างๆ อีกทั้งปฏิบัติตนและรับมือกับเรื่องทั้งหลายได้ตามหลักธรรมความจริงเหล่านี้ การทำเช่นนี้ย่อมเป็นไปตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง II, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (2)) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักได้ทันทีว่า ฉันกำลังใช้ชีวิตตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตัวเอง คิดว่าถ้าใครเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ ทำหน้าที่ของตนด้วยความเอาใจใส่ อดทนต่อการทนทุกข์ และยอมลำบาก พระเจ้าจะทรงโปรดปรานพวกเขา ช่วยให้ขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานของพวกเขาเห็นพัฒนาการ และทำให้ผลการทำหน้าที่ของพวกเขาข้ามพ้นขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานดั้งเดิมของตัวเอง แม้ว่าบุคคลที่ว่านั้นจะมีขีดความสามารถต่ำ แต่พวกเขาก็ยังคงทำหน้าที่ผู้นำและผู้ดูแลในคริสตจักรได้ และกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักในคริสตจักร ฉะนั้น ถึงฉันจะทำอะไรเชื่องช้า และมีความสามารถในการทำงานต่ำ แต่ฉันก็คิดว่าตราบใดที่ฉันตั้งอกตั้งใจทำหน้าที่ อดทนต่อการทนทุกข์ และยอมลำบาก พระเจ้าก็จะทรงโปรดปรานฉัน ด้วยเหตุนี้ฉันจึงต้องการใช้การเขียนตารางประจำวัน การวางแผนเวลา การอดทนต่อการทนทุกข์ และการยอมลำบาก เป็นหนทางเพื่อปรับปรุงขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานของฉัน แต่แล้ว หลังจากทำงานหนักได้ระยะหนึ่ง ขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานของฉันก็ไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่คิดฝันไว้ และฉันก็เกิดความคิดลบและหดหู่ ฉันคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงโปรดปรานฉันหรือทรงงานในชีวิตของฉัน ตอนนี้หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้วฉันก็เข้าใจว่า พระราชกิจของพระเจ้าไม่ใช่สิ่งเหนือธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ขีดความสามารถของฉันเป็นผลจากการกำหนดไว้ล่วงหน้าของพระเจ้า พระเจ้าทรงงานเพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าสู่ความจริง ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง พระองค์ไม่ได้ทรงงานเพื่อเปลี่ยนขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานของผู้คน เมื่อผู้คนทำหน้าที่ของตนด้วยความจริงใจและแสวงหาความจริง พวกเขาจะได้รับความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเอาชนะอุปสรรคบางอย่างในการทำหน้าที่ของตนได้ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับฐานรากของขีดความสามารถที่ผู้คนได้รับมา และเป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถทำให้พร้อมได้เพียงแค่ทำงานให้หนัก ไม่มีคนที่ขีดความสามารถต่ำมาแต่แรกคนใด ที่ได้ขีดความสามารถของผู้นำเนื่องมาจากการได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของฉัน ฉันตระหนักได้ว่าหากผู้เชื่อในพระเจ้าไม่แสวงหาความจริง และเพียงแค่ไล่ตามเสาะหาตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเท่านั้น พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถเข้าใจความจริงและทำหน้าที่ของตนให้ดีได้เท่านั้น แต่ยังขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้าอีกด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน เนื่องจากความจำเป็นในงาน ผู้ดูแลจึงจัดการเตรียมการให้ฉันไปคริสตจักรอื่นเพื่อให้น้ำผู้มาใหม่ พี่น้องหญิงที่ฉันเคยร่วมงานด้วยเมื่อก่อนได้กลายเป็นผู้นำคริสตจักร ในขณะที่ฉันเป็นเพียงผู้ให้น้ำเท่านั้น จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่ามีระยะห่างใหญ่หลวงระหว่างฉันกับเธอ ถึงแม้ฉันจะรู้ว่าขีดความสามารถของผู้คนไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในพระราชกิจของพระเจ้า แต่ฉันก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับเรื่องนี้ และไม่พอใจกับขีดความสามารถของตัวเอง ฉันคิดว่าคนที่มีขีดความสามารถดีเหล่านั้นคือคนที่คริสตจักรจะส่งเสริมและฝึกฝน และยังเป็นเสาหลักของคริสตจักรอีกด้วย มีแค่คนเหล่านี้เท่านั้นที่จะมีโอกาสอันสดใสและได้รับการยกย่องนับถือจากผู้อื่น ในขณะเดียวกัน ผู้ที่มีขีดความสามารถต่ำก็ทำได้เพียงงานรอบนอกเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น และถูกผู้คนดูหมิ่นและพระเจ้าก็ไม่ทรงชอบ ฉันไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นคน “มีขีดความสามารถต่ำ” คิดว่าเมื่อฉันถูกตรีตราแบบนั้นแล้ว ก็เท่ากับยอมรับว่าตัวฉันเป็นเศษสวะไร้ค่า ฉันจะไม่มีโอกาสใดในภายภาคหน้าเลย! จะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด ฉันจะต้องพยายามต่อไป ต่อให้ฉันไม่สามารถปรับปรุงขีดความสามารถได้มากนัก แต่ก็ไม่เป็นไรหากผ่านทางการทนทุกข์และการยอมลำบากในหน้าที่ของฉัน ฉันจะทำให้ขีดความสามารถของฉันอยู่ในระดับที่สูสีกับคนอื่นๆ ได้ ดังนั้นฉันจึงรีบเร่งทุ่มเทให้กับงานและให้ความร่วมมืออย่างแข็งขัน พอทำบางอย่างได้สำเร็จ ฉันก็มีความสุขมาก และจะบอกเหล่าพี่น้องอย่างกระตือรือร้น โดยหวังว่าจะเป็นที่ยอมรับของพวกเขา แต่ทว่า ต่อมาฉันก็ประสบกับความยากลำบากบางอย่างที่ไม่สามารถแก้ไขได้ในตอนที่ให้น้ำผู้มาใหม่ แถมยังมีงานบางอย่างที่ฉันละเลยไปอีกด้วย ฉันรู้สึกหมดกำลังใจและเศร้าใจ ดูเหมือนว่าขีดความสามารถของฉันนั้นไม่ดีอย่างแท้จริง วันเวลาเหล่านั้นฉันทำงานหนักมากแล้ว แต่ก็ยังทำงานได้ไม่ดีนัก ช่างเถอะ ฉันคิดว่า ไม่ว่าฉันจะทำงานหนักแค่ไหน ขีดความสามารถก็ไม่เปลี่ยนแปลงหรอก ขีดความสามารถต่ำเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ฉันกลายเป็นคนคิดลบและนิ่งเฉยอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัวในตอนที่ทำหน้าที่ และไม่อยากใช้ความคิดแก้ไขปัญหาในการทำงาน ถึงกับอยากจะหลบเลี่ยงความรับผิดชอบของตัวเองเลยด้วยซ้ำ คิดว่าที่ฉันทำหน้าที่ได้ไม่ดีก็เพราะมีขีดความสามารถจำกัด และไม่มีอะไรที่ฉันทำได้เลย ระหว่างช่วงเวลานั้น ฉันรู้สึกสับสนนิดหน่อย และตอนที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ไม่สามารถสงบใจได้ ตอนที่ฉันอธิษฐาน ฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับพระเจ้า ฉันรู้สึกหดหู่อยู่ตลอด
วันหนึ่ง ระหว่างการเฝ้าเดี่ยวฝ่ายวิญญาณ ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนที่ว่า “จงอย่าท้าทายตัวเอง และอย่าแสวงหาที่จะทำลายขีดจำกัดของเจ้า พระเจ้าทรงรู้ว่าขีดความสามารถและความสามารถของเจ้าเป็นเช่นไร ขีดความสามารถและความสามารถที่พระเจ้าประทานให้เจ้าเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงลิขิตไว้เนิ่นนานมาแล้ว การต้องการเอาชนะสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอคือการทำตัวโอหังและการประเมินตนเองสูงเกินไป ซึ่งจะพาให้เกิดปัญหาและลงเอยด้วยความล้มเหลวอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผู้คนเช่นนั้นกำลังละเลยงานอันถูกควรของพวกเขาอยู่มิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตนด้วยความประพฤติอันดี ไม่ได้ยึดมั่นในตำแหน่งอันถูกควรของตนเพื่อลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่ได้กระทำการตามหลักธรรมเหล่านี้ ทว่าพวกเขาพยายามอวดตนอยู่เสมอ มีอยู่สองส่วนที่กล่าวว่า ‘หญิงชราทาปาก—เพื่อให้อีกคนมีอะไรดู’ ‘หญิงชรา’ ทำเช่นนี้ด้วยจุดประสงค์ใด? (เพื่ออวดตนเอง) หญิงชราต้องการดึงดูดความสนใจของผู้คนราวกับกล่าวว่า ‘ในฐานะของหญิงชรา ฉันไม่ใช่หญิงชราทั่วไป—ฉันจะแสดงบางสิ่งที่พิเศษให้คุณดู’ เธอไม่ต้องการโดนดูถูก แต่กลับต้องการเป็นที่เคารพและนับถือ เธอต้องการท้าทายขีดจำกัดและเอาชนะตัวเอง นี่คือการมีธรรมชาติอันโอหังมิใช่หรือ? (ใช่) หากเจ้ามีธรรมชาติอันโอหัง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่ได้ประพฤติดี เจ้าไม่ต้องการปฏิบัติตนด้วยท่าทีที่เหมาะกับฐานะของเจ้า เจ้าต้องการท้าทายตนเองอยู่เสมอ ไม่ว่าสิ่งใดที่ผู้อื่นสามารถทำได้ เจ้าก็ต้องการที่จะทำให้ได้เช่นกัน เมื่อผู้อื่นโดดเด่น สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ หรือสร้างคุณูปการ และได้รับการยกย่องจากทุกคน เจ้าก็รู้สึกอึดอัดใจ ริษยา และไม่สบอารมณ์ จากนั้นเจ้าก็ต้องการทิ้งงานที่ทำอยู่เพื่อไปทำงานที่ทำให้เจ้าได้เฉิดฉาย ทั้งยังอยากได้รับความเคารพอย่างสูงอีกด้วย แต่เจ้าไม่มีความสามารถที่จะทำงานสำคัญเช่นนั้น นี่จึงเป็นเรื่องที่เสียเวลามิใช่หรือ? นี่เป็นการละเลยงานอันถูกควรของเจ้ามิใช่หรือ? (ใช่) จงอย่าละเลยงานอันถูกควร เพราะท้ายที่สุดแล้วการละเลยสิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี ไม่เพียงแต่เสียเวลาและทำให้ผู้อื่นดูถูกเจ้าเท่านั้น แต่ยังสร้างความเกลียดชังให้พระเจ้าอีกด้วย และท้ายที่สุดเจ้าก็ได้แต่ทำให้ตัวเองค่อนข้างคิดลบไปเท่านั้นเอง” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง II, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)) “พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตว่าเจ้าปฏิบัติตนด้วยท่าทีที่เหมาะกับฐานะของเจ้าหรือไม่ และเจ้าเป็นใครบางคนที่ทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ดีหรือไม่ พระองค์ทรงเฝ้าสังเกตการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าว่าภายใต้ภาวะตามธรรมชาติที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า เจ้าทุ่มเทหัวใจและความพยายามทั้งหมดให้หน้าที่นั้นหรือไม่ และเจ้าปฏิบัติตนตามหลักธรรมเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงปรารถนาหรือไม่ หากเจ้าสามารถทำทั้งหมดนี้ได้ พระเจ้าย่อมให้คะแนนเต็มแก่เจ้า หากเจ้าไม่ทำสิ่งทั้งหลายตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว แม้ว่าข้อเท็จจริงคือเจ้าอาจจะพยายามทุ่มเทให้กับงาน แต่หากทุกสิ่งที่เจ้าทำคือเพื่อโอ้อวดและอวดตน อีกทั้งเจ้าไม่ได้กำลังทำหน้าที่ของตนอย่างสุดหัวใจและความพยายามเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย และไม่ได้ทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมความจริง เช่นนั้นแล้ว การสำแดง การเผย และพฤติกรรมของเจ้าก็ย่อมเป็นที่รังเกียจสำหรับพระเจ้า เหตุใดพระเจ้าจึงทรงรังเกียจสิ่งเหล่านี้? พระเจ้าตรัสว่าเจ้าไม่ได้กำลังมุ่งเน้นที่งานอันถูกควร เจ้าไม่ได้ทุ่มเทอย่างสุดหัวใจ สุดความพยายาม หรือสุดจิตให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และเจ้าก็ไม่ได้กำลังเดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง ขีดความสามารถ พรสวรรค์ และความสามารถพิเศษที่พระเจ้าประทานแก่เจ้านั้นเพียงพอแล้ว เป็นเจ้าเองที่ไม่พอใจ ไม่จงรักภักดีต่อหน้าที่ของตน ไม่เคยรู้จักที่ทางของตัวเอง ต้องการพ่นแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งและอวดตนอยู่เสมอ และท้ายที่สุดก็สร้างความยุ่งเหยิงให้หน้าที่ของตนอยู่เสมอ ขีดความสามารถ พรสวรรค์ และความสามารถพิเศษที่พระเจ้าประทานแก่เจ้าไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ตามศักยภาพสูงสุด ไม่มีการพยายามอย่างสุดกำลัง และไม่มีผลลัพธ์ใดสัมฤทธิ์เลย ถึงแม้ว่าเจ้าอาจจะค่อนข้างยุ่ง แต่พระเจ้าก็ตรัสว่าเจ้าเป็นเหมือนตัวตลกที่กระโดดโลดเต้นไปมา ไม่ใช่คนที่พึงพอใจและมุ่งเน้นที่งานอันถูกควรของตนเอง พระเจ้าไม่ทรงโปรดผู้คนเช่นนั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง II, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันก็เข้าใจว่า ด้วยความต้องการที่จะเปลี่ยนขีดความสามารถของตัวเองอยู่ตลอด ฉันจึงถูกอุปนิสัยโอหังเข้าควบคุม อุปนิสัยของฉันนั้นโอหังมาก และไม่เต็มใจที่จะตามหลังคนอื่นตลอด อยากได้รับความเคารพนับถือและความเห็นชอบจากผู้อื่น และโดดเด่นจากฝูงชน ฉันเชื่อว่าสิ่งนี้จะทำให้ชีวิตฉันมีคุณค่า ฉันก็เลยต้องการใช้การปรับปรุงขีดความสามารถของฉันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ตั้งแต่โตมา ฉันก็เป็นนักเรียนแถวหน้าของโรงเรียนมาโดยตลอด ถ้ามีคนทำคะแนนสอบได้สูงกว่าฉัน ฉันก็จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และจะมุ่งมั่นที่จะเอาความได้เปรียบกลับคืนมาในครั้งต่อไป แม่มักจะบอกว่าฉันชอบแข่งขันมากเกินไป เนื่องจากผลการเรียนของฉันที่โรงเรียนออกมาดี ฉันจึงได้รับการยกย่องจากพ่อแม่และบรรดาคุณครู แถมครูยังอยากให้เพื่อนๆ ร่วมชั้นมาเรียนรู้จากฉันด้วย ฉันชื่นชอบความเด่นดังนี้มากและคิดว่าคนๆ หนึ่งควรโดดเด่นจากคู่แข่งของตน ตอนนี้ ฉันก็ทำหน้าที่ของตนด้วยการไล่ตามในแบบเดียวกัน ต้องการเป็นผู้นำหรือผู้ดูแลอยู่ตลอด ฉันคิดว่าคนเหล่านี้เป็นเสาหลักของคริสตจักร และคิดว่าทุกคนชื่นชมและเห็นชอบในตัวพวกเขา และคิดว่าคนที่มีความสามารถต่ำเหล่านั้นก็ทำได้แค่หน้าที่ธรรมดาเท่านั้น ทำงานอยู่เบื้องหลังและใช้ชีวิตอย่างไร้ประโยชน์ ด้วยเหตุนั้น พอฉันเห็นว่าพี่น้องหญิงที่ฉันเคยร่วมงานด้วยเมื่อก่อนได้เป็นผู้นำคริสตจักรไปแล้ว ขณะที่ฉันเป็นเพียงแค่คนให้น้ำธรรมดาๆ ฉันก็ไม่สามารถยอมรับได้ ไม่อยากเป็นคนธรรมดาพื้นๆ แบบนี้ไปตลอด ฉันปฏิเสธที่จะรับรู้เรื่องนี้หรือยอมรับความล้มเหลว และไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่อย่างมีเหตุมีผล ฉันอยากจะปรับปรุงขีดความสามารถของตัวเอง และทำหน้าที่ผู้นำหรือผู้ดูแลอยู่ตลอด แม้ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะระบุไว้อย่างชัดเจนว่า พระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนขีดความสามารถของผู้คน แต่ฉันก็ยังคงปฏิเสธที่จะรับรู้เรื่องนี้ ฉันอยากจะพยายามต่อไปและทุ่มเทสุดตัวอยู่ตลอด เพื่อปรับปรุงขีดความสามารถของตัวเองผ่านการทำงานหนักและการยอมลำบาก ฉันช่างเป็นกบฏอย่างแท้จริง โอหังมาก! พระเจ้าตรัสว่า “ขีดความสามารถ พรสวรรค์ และความสามารถพิเศษที่พระเจ้าประทานแก่เจ้านั้นเพียงพอแล้ว เป็นเจ้าเองที่ไม่พอใจ ไม่จงรักภักดีต่อหน้าที่ของตน ไม่เคยรู้จักที่ทางของตัวเอง ต้องการพ่นแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งและอวดตนอยู่เสมอ และท้ายที่สุดก็สร้างความยุ่งเหยิงให้หน้าที่ของตนอยู่เสมอ” ฉันมีความสามารถในการทำงานต่ำและขีดความสามารถของฉันก็ไม่ดีนัก ฉันไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้นำ แต่ทว่าฉันก็มีส่วนที่ฉันเชี่ยวชาญ ตัวอย่างเช่น ฉันสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้และชื่นชมยินดีกับการตริตรองพระวจนะของพระเจ้า เวลาสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความรู้ของฉันในเรื่องความจริง ความคิดของฉันก็ค่อนข้างชัดเจนอีกด้วย จริงๆ แล้วหน้าที่ให้น้ำที่ฉันทำอยู่ตอนนี้ก็เหมาะสมกับฉันอย่างลงตัว แต่ว่า ฉันไม่สามารถยึดมั่นอยู่กับตำแหน่งของตัวเองได้ และต้องการปรับปรุงจุดยืนของตัวเองและทำหน้าที่ผู้ดูแลอยู่ตลอด ปรากฏว่าความพยายามใดที่จะปรับปรุงก็เปลี่ยนขีดความสามารถฉันไม่ได้เลย ในทางกลับกัน ความพยายามนั้นกลับทำให้สภาวะของฉันเลวร้ายมาก ถึงกับทำงานของตัวเองให้ดีไม่ได้ด้วยซ้ำ เมื่อตระหนักได้แบบนี้ ฉันก็รู้สึกผิดและติดหนี้
ต่อมาฉันก็คิดอีกว่า “ทำไมฉันถึงได้คิดอยู่ตลอดว่าการมีขีดความสามารถต่ำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี? ทำไมฉันถึงได้ปล่อยให้สิ่งนี้กระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน?” เมื่อฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับแง่มุมนี้ สภาวะของฉันก็พลิกกลับ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เนื่องด้วยขีดความสามารถและความสามารถของเจ้ามีจำกัด ผลของการทำหน้าที่ของเจ้าจึงอยู่ในระดับปานกลางเสมอ และไม่อาจเอื้อมถึงระดับหรือมาตรฐานในอุดมคติของเจ้าได้อยู่ร่ำไป ดังนั้น เมื่อรู้ตัวอีกทีเจ้าจึงตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าเจ้าไม่ใช่คนประเภทที่โดดเด่น เหนือชั้น หรือพิเศษ เจ้าค่อยๆ มาเข้าใจว่าขีดความสามารถของเจ้าไม่ได้ดีอย่างที่เจ้าคิดฝันไว้ ทว่ากลับธรรมดาทั่วไปเสียเหลือเกิน ในระยะยาว กระบวนการนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการที่เจ้าจะรู้จักตัวเอง—เจ้าได้ประสบกับความล้มเหลวและความพ่ายแพ้บางอย่างในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และหลังจากเกิดการทบทวนภายใน เจ้าก็เริ่มประเมินระดับ ความสามารถ และขีดความสามารถของเจ้าได้แม่นยำมากขึ้น เจ้ารับรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเจ้าไม่ใช่คนที่มีขีดความสามารถสูง และถึงแม้เจ้าอาจจะมีจุดแข็งและพรสวรรค์บางอย่าง มีดุลพินิจเล็กน้อย หรือมีแนวคิดหรือแผนการอยู่บ้างเป็นครั้งคราว เจ้าก็ยังขาดพร่องหลักธรรมความจริง ห่างไกลจากข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและมาตรฐานของความจริง และยิ่งห่างไกลจากมาตรฐานของการครองความเป็นจริงความจริงเสียด้วยซ้ำ—รู้ตัวอีกทีเจ้าก็มีการตัดสินและการประเมินตนเองเช่นนี้แล้ว ในกระบวนการของการตัดสินและการประเมินตนเอง ความรู้เกี่ยวกับตนเองของเจ้าจะถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น อีกทั้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและการเผยความเสื่อมทรามของเจ้าจะค่อยๆ ลดลง กลายเป็นยับยั้งและควบคุมได้มากขึ้น แน่นอนว่าเป้าหมายไม่ใช่การควบคุมอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แล้วเป้าหมายคืออะไรเล่า? เป้าหมายคือการเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริงไปทีละน้อยในขั้นตอนของการควบคุม และปฏิบัติตนด้วยความประพฤติดี ไม่พยายามอวดตนหรือพ่นแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งอยู่เสมอ ไม่ดิ้นรนแข่งขันเพื่อเป็นคนที่เก่งที่สุดหรือแข็งแกร่งที่สุดอยู่เสมอ รวมถึงไม่พยายามพิสูจน์ตนอยู่เสมอ ขณะที่การตระหนักรู้นี้ฝังลึกลงไปเรื่อยๆ ในหัวใจ เจ้าจะไตร่ตรองว่า ‘ฉันต้องแสวงหาว่าหลักธรรมความจริงในการทำสิ่งนี้คืออะไร และพระเจ้าตรัสถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไร’ การตระหนักรู้นี้จะก่อตัวลึกลงไปในหัวใจของเจ้าทีละน้อย และระดับของการแสวงหา การรับรู้ อีกทั้งการยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและความจริงของเจ้าจะสูงขึ้นทุกที ซึ่งบ่งชี้ให้เจ้าเห็นถึงความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด ยิ่งเจ้าสามารถยอมรับความจริงได้มากเท่าไร อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าจะเผยตนออกมาน้อยลงเท่านั้น ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นก็คือเจ้าจะมีโอกาสใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นมาตรฐานสำหรับการปฏิบัติมากขึ้น นี่คือการออกเดินไปบนเส้นทางสู่ความรอดทีละนิดมิใช่หรือ? นี่เป็นสิ่งที่ดีมิใช่หรือ? (ใช่) แต่หากความสามารถทั้งปวงของเจ้านั้นเหนือชั้น เพียบพร้อม และพิเศษกว่าคนอื่นๆ เจ้าจะยังสามารถแสวงหาความจริงขณะที่รับมือกับสิ่งต่างๆ และทำหน้าที่ของเจ้าได้หรือไม่? นั่นเป็นเรื่องที่ตอบได้ยาก การที่คนมีความสามารถยอดเยี่ยมเป็นพิเศษในทุกด้านจะเข้าหาพระเจ้าด้วยหัวใจหรือด้วยท่าทีที่ถ่อมตนเพื่อให้เข้าใจตนเอง รับรู้ถึงข้อบกพร่องและรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง และไปถึงจุดที่แสวงหาความจริง ยอมรับความจริง แล้วจึงปฏิบัติความจริงนั้น—นี่เป็นสิ่งที่ทำได้ยากทีเดียวมิใช่หรือ? (ใช่)” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง II, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (7)) “คนส่วนใหญ่ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดไม่ใช่พวกที่มีตำแหน่งสูงในโลกหรือในสังคม เนื่องจากพวกเขามีขีดความสามารถและความสามารถปานกลางหรือถึงกับย่ำแย่ พวกเขาจึงดิ้นรนให้ตนเองเป็นที่นิยมชมชอบหรือประสบความสำเร็จทางโลก พลางรู้สึกอยู่บ่อยครั้งว่าชีวิตช่างมืดมนและไม่ยุติธรรม สิ่งนี้นำไปสู่การต้องการความเชื่อ และท้ายที่สุดพวกเขาก็มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้า นี่คือภาวะพื้นฐานที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คนในการทรงเลือกพวกเขา มีเพียงความต้องการนี้เท่านั้นที่ทำให้คนเรามีความปรารถนาที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้าได้ หากภาวะในทุกแง่มุมของเจ้าดีและเหมาะสมกับการเพียรพยายามทางโลก และเจ้าก็ต้องการสร้างชื่อให้ตนเองเสมอ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะไม่มีความปรารถนาที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้า และเจ้าจะไม่มีโอกาสได้รับความรอดของพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ แม้ว่าเจ้าอาจจะมีขีดความสามารถปานกลางหรือถึงกับย่ำแย่ เจ้าก็ยังโชคดีกว่าผู้ไม่มีความเชื่ออยู่มากที่ได้รับโอกาสได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้า ด้วยเหตุนั้น การมีขีดความสามารถย่ำแย่จึงไม่ใช่ข้อบกพร่องของเจ้า และนี่ไม่ใช่อุปนิสัยของการทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและสัมฤทธิ์ความรอด ทั้งหมดทั้งมวลแล้วพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ประทานขีดความสามารถนี้ให้เจ้า เจ้ามีมากเท่าที่พระเจ้าประทานให้ หากพระเจ้าประทานขีดความสามารถที่ดีแก่เจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีขีดความสามารถที่ดี หากพระเจ้าประทานขีดความสามารถปานกลางแก่เจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีขีดความสามารถในระดับปานกลาง หากพระเจ้าประทานขีดความสามารถที่ย่ำแย่แก่เจ้า เช่นนั้นแล้วขีดความสามารถของเจ้าก็ย่อมย่ำแย่ เมื่อเจ้าเข้าใจสิ่งนี้แล้ว เจ้าต้องยอมรับสิ่งนี้จากพระเจ้าและนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าให้ได้ ความจริงประการใดที่สร้างรากฐานในการนบนอบขึ้นมา? ความจริงที่ว่าการจัดการเตรียมการดังกล่าวของพระเจ้ามีน้ำพระทัยอันดีของพระองค์อยู่นั่นเอง พระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์ที่อุตสาหะ และผู้คนต้องไม่พร่ำบ่นหรือเข้าใจพระทัยของพระเจ้าผิด พระเจ้าจะไม่ทรงเชิดชูเจ้าอย่างสูงเพราะเจ้ามีขีดความสามารถดี และพระองค์จะไม่ทรงดูแคลนหรือทรงรังเกียจเจ้าเพราะเจ้ามีขีดความสามารถแย่ สิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจคืออะไร? สิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจคือการที่ผู้คนที่ไม่รักหรือยอมรับความจริง การที่ผู้คนเข้าใจความจริงแต่ไม่ปฏิบัติ การที่ผู้คนไม่ทำในสิ่งที่ตนสามารถทำได้ การที่ผู้คนไม่สามารถทุ่มเททั้งหมดให้หน้าที่ของตน ทว่ามีความปรารถนาอันฟุ้งเฟ้ออยู่เสมอ ต้องการสถานะและแข่งขันเพื่อตำแหน่งอยู่ตลอด และต้องการสิ่งทั้งหลายจากพระองค์อยู่เสมอ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นว่าน่าขยะแขยงและน่ารังเกียจ” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง II, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (7)) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันก็รู้สึกประทับใจมาก ฉันเข้าใจแล้วว่าพระเจ้าทรงลิขิตให้ฉันมีขีดความสามารถต่ำและในนั้นมีน้ำพระทัยอันดีของพระองค์อยู่ นั่นเป็นสิ่งที่ดี อันที่จริงอุปนิสัยของฉันนั้นโอหังมากมาโดยตลอด ในอดีต เพราะฉันมีอุปนิสัยแบบนี้และไม่ทำหน้าที่ของตนตามหลักธรรม ฉันจึงกระทำผิดและนำความสูญเสียมาสู่งานของตัวเอง ถ้าฉันมีขีดความสามารถดีและเกิดผลในหน้าที่ อุปนิสัยของฉันจะยิ่งโอหังมากขึ้นไปอีก และนั่นจะยากยิ่งขึ้นที่จะรับฟังความคิดเห็นของพี่น้อง ฉันคงไม่สามารถถ่อมใจตนและแสวงหาหลักธรรมความจริงได้ ด้วยหนทางนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายที่จะทำความชั่ว และขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร เนื่องจากความสามารถของฉันค่อนข้างต่ำและฉันไม่สามารถจัดการภาระงานหนักๆ ได้ ฉันจึงสามารถทำหน้าที่ได้อย่างคงเส้นคงวาและรอบคอบมากขึ้นกว่าเดิม บางครั้ง เวลาที่ความคิดเห็นของฉันแตกต่างไปจากคนอื่นนิดๆ หน่อยๆ ฉันก็ไม่ได้ดันทุรังมากนัก นี่เป็นรูปแบบการป้องกันตนเองอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งลดโอกาสในการทำความชั่วของฉัน ฉันนึกถึงพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ฉันเคยพบเมื่อก่อนที่ใครๆ ก็บอกว่าเป็นคนมีขีดความสามารถดี ซึ่งทำให้ฉันอิจฉาเธอ ต่อมาเธอได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ และขอบเขตของงานที่เธอดูแลก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือใส่ใจกับการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และไม่ได้แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเธอ ในที่สุด เมื่อต้องเผชิญกับบททดสอบ เธอก็ทรยศต่อพระเจ้าและทอดทิ้งหน้าที่ของเธอ นี่แสดงให้ฉันเห็นว่า ไม่ว่าขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานของใครจะดีแค่ไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้หรือไม่ ขีดความสามารถของคนคนหนึ่งไม่เกี่ยวข้องกับว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่ การมีขีดความสามารถดีไม่จำเป็นว่าจะเป็นสิ่งที่ดี เช่นเดียวกับการมีความสามารถต่ำก็ไม่จำเป็นว่าจะเป็นสิ่งที่แย่เสมอไป สิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ว่าใครคนหนึ่งสามารถนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้หรือไม่ และพิจารณาขีดความสามารถของตนได้อย่างถูกต้อง ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยเหตุด้วยผล และทำหน้าที่ของตนอย่างดีในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้หรือไม่ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
จากนั้นฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าและพบเส้นทางสู่การปฏิบัติ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “จงอย่าพยายามทุกวิถีทางเพื่อเปลี่ยนแปลงขีดความสามารถของเจ้าหรือปรับปรุงความสามารถของเจ้าในทุกแง่มุม ในทางกลับกัน จงรับรู้และเข้าหาความสามารถและขีดความสามารถตามธรรมชาติของเจ้าอย่างถูกต้องและแม่นยำ หากเจ้าค้นพบจุดที่ตนเองขาดพร่อง จงรีบศึกษาในด้านที่เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความก้าวหน้าได้ในเวลาอันสั้นเพื่อชดเชยข้อบกพร่องเหล่านี้ ส่วนด้านเหล่านั้นที่เจ้าไม่สามารถเอื้อมถึงก็อย่าฝืน จงปรับเปลี่ยนการกระทำของเจ้าให้เหมาะกับขีดความสามารถและความสามารถของตัวเจ้าเอง หลักธรรมอันสูงสุดคือการทำหน้าที่ของเจ้าตามพระวจนะของพระเจ้า ตามข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ และตามหลักธรรมความจริง ไม่ว่าขีดความสามารถของเจ้าอยู่ในระดับใด เจ้าย่อมสามารถสัมฤทธิ์การกระทำในระดับต่างๆ และทำหน้าที่ของเจ้าตามหลักธรรมความจริงได้ เจ้าสามารถดำเนินชีวิตหรือทำได้ตามมาตรฐานของพระเจ้า หลักธรรมความจริงเหล่านี้ไม่ใช่คำพูดว่างเปล่าอย่างแน่นอน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่เหนือความเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน หลักธรรมความจริงเหล่านี้ล้วนเป็นเส้นทางปฏิบัติที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทราม คุณสมบัติที่มีมาแต่กำเนิด รวมถึงความสามารถและขีดความสามารถนานาประการของมวลมนุษย์ทรงสร้าง ด้วยเหตุนั้นไม่ว่าขีดความสามารถของเจ้าคืออะไร ไม่ว่าความสามารถของเจ้ายังบกพร่องหรือไม่เพียงพอตรงไหน สิ่งนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา หากเจ้าเข้าใจความจริงโดยแท้และเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง ก็ย่อมจะมีเส้นทางมุ่งไปข้างหน้า ความขาดตกบกพร่องทางขีดความสามารถและความสามารถในบางแง่มุมของคนคนหนึ่งไม่ได้กีดขวางการปฏิบัติความจริงของพวกเขาอย่างแน่นอน หากการตัดสินหรือความสามารถอื่นๆ ของเจ้าขาดพร่อง เจ้าก็สามารถแสวงหาและสามัคคีธรรมให้มากขึ้น รวมถึงแสวงหาการชี้นำและคำแนะนำจากบรรดาผู้ที่เข้าใจความจริง เมื่อเจ้าเข้าใจและจับความเข้าใจหลักธรรมและเส้นทางของการปฏิบัติแล้ว เจ้าควรนำสิ่งเหล่านั้นไปปฏิบัติด้วยความพยายามทั้งหมดที่เจ้ามีตามวุฒิภาวะของเจ้า การยอมรับและการปฏิบัติ—นี่คือสิ่งที่เจ้าพึงกระทำ” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง II, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (7)) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่า คนเราไม่ควรทำทุกวิถีทางเพื่อจะเปลี่ยนขีดความสามารถของตน แต่ให้ทำสุดความสามารถด้วยขีดความสามารถที่ได้รับมา ทุ่มเทหัวใจ แรงกาย และแรงใจลงไปในการทำหน้าที่ของตน พวกเขาควรหมั่นศึกษาค้นคว้าเชิงลึกเกี่ยวกับความรู้ทางวิชาชีพที่ควรเรียนรู้ และดึงศักยภาพของขีดความสามารถที่ตนได้รับออกมาอย่างเต็มที่ สำหรับขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานของคนเรานั้นก็สามารถปรับปรุงได้เล็กน้อยหากเป็นไปได้ แต่ถ้าสิ่งเหล่านั้นยังไม่พร้อมที่จะปรับปรุงก็ไม่จำเป็นต้องไปผลักดัน เมื่อเข้าใจอย่างนี้ หัวใจของฉันก็กระจ่างขึ้น
จากนั้นเป็นต้นมา ฉันก็คิดว่าจะต้องทุ่มเทหัวใจและแรงกายลงไปในการทำหน้าที่ของตัวเองยังไงบ้าง ภายในขอบเขตขีดความสามารถที่ฉันได้รับมา ฉันตระหนักว่าฉันไม่เก่งในการฝึกฝนผู้มาใหม่ให้ทำหน้าที่ของตน ฉันจึงพยายามแสวงหาและตริตรองหลักธรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกทั้งยังตั้งใจฟังสิ่งที่พี่น้องแบ่งปันและพูดคุยกันด้วย บางครั้งเมื่อฉันประสบปัญหาบางอย่างและไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไง ฉันก็ไม่ได้พยายามหลบเลี่ยงปัญหานั้นหรือกล่าวโทษพระเจ้าที่ทำให้ฉันมีขีดความสามารถต่ำ แต่ฉันอธิษฐานถึงและพึ่งพาพระเจ้า ในขณะเดียวกันก็แสวงหาและสามัคคีธรรมกับพี่น้องไปด้วย ตลอดกระบวนปฏิบัตินี้ ฉันคิดแผนเพื่อแก้ไขปัญหาบางอย่างออกโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้ขีดความสามารถของฉันยังเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ว่าฉันเข้าใจวิธีการพิจารณาตัวเองอย่างถูกต้อง และหัวใจของฉันก็ได้รับการปลดปล่อยและเป็นอิสระแล้ว
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ