วิธีเผชิญความยากลำบากในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ
ผมอาศัยอยู่ที่เมืองเล็กๆ ในเปรู ทั้งครอบครัวผมนับถือนิกายคาทอลิก รวมถึงคนส่วนใหญ่ที่หมู่บ้านนั้น แต่ด้วยความที่โบสถ์คาทอลิกในหมู่บ้านเรา ไม่มีบาทหลวงเป็นประธาน เลยไม่มีใครไปศึกษาพระคัมภีร์ที่โบสถ์มานานแล้ว ต่อมาในวันที่ 22 พฤษภาคม 2020 ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทางออนไลน์ การอ่านพระวจนะ ทำให้ผมมั่นใจว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย และผมก็ยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ด้วยความยินดี ต่อมา ผมได้อ่านในพระวจนะว่า “เนื่องจากมนุษย์เชื่อในพระเจ้า เขาจึงต้องติดตามย่างพระบาทของพระเจ้าอย่างใกล้ชิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เขาควร ‘ติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์เสด็จไปที่ใดก็ตาม’ มีเพียงผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นผู้แสวงหาหนทางที่แท้จริง มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้พระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์) ในฐานะผู้เชื่อ ผมรู้ว่าเราควรรู้งานของพระเจ้าและติดตามย่างพระบาท ที่หมู่บ้านมีผู้เชื่ออยู่หลายคน และไม่มีใครได้ยินเสียงของพระเจ้าหรือต้อนรับองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาเลย ผมจึงอยากแบ่งปันข่าวอันเหลือเชื่อนี้กับพวกเขาจริงๆ แต่ผมก็รู้สึกกลัวอยู่นิดหน่อย รู้สึกว่าตัวเองยังเด็ก และไม่รู้วิธีแบ่งปันข่าวประเสริฐ ดังนั้นพวกเขาคงจะไม่ฟังผมแน่นอน อีกอย่าง พวกเขาเชื่อมาหลายปี แล้วพวกเขาจะฟังคำพยานเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้าของผมหรือ? ผมจะสามัคคีธรรมเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิด หรือความสับสนที่พวกเขาน่าจะมีได้ยังไง? ถ้าพวกเขาต่อต้านที่ผมเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และประกาศข่าวประเสริฐ ผมจะทำยังไง? พวกเขาจะปฏิบัติต่อผมยังไง? ผมกังวลว่าพวกเขาจะดูถูกผม บอกว่า “คุณยังเด็ก ทำไมมัวมาประกาศแทนที่จะไปเรียน หรือไปหางานทำล่ะ?” ผมคิดเรื่องนี้เยอะมาก แต่ก็รู้ว่าการประกาศข่าวประเสริฐเป็นน้ำพระทัย ผมต้องแบ่งปันข่าวประเสริฐ และเป็นพยานยืนยันแก่พระเจ้า
ผมเลย อธิษฐานต่อพระเจ้า และเสริมสร้างความมั่นใจด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ในพระวจนะผมอ่านเจอว่า “เจ้าตระหนักรู้ภาระบนบ่าของเจ้า พระบัญชาสำหรับเจ้า และความรับผิดชอบของเจ้าหรือไม่? สำนึกแห่งภารกิจครั้งประวัติศาสตร์ของเจ้าอยู่ที่ไหน? เจ้าจะทำหน้าที่เป็นเจ้านายคนหนึ่งในยุคถัดไปให้ดีพอได้อย่างไร? เจ้ามีสำนึกอันแรงกล้าของความเป็นนายหรือไม่? เจ้าจะอธิบายการเป็นนายของสรรพสิ่งอย่างไร? ใช่การเป็นนายเหนือสิ่งสร้างที่มีชีวิตทั้งมวลและเหนือสรรพสิ่งทางกายภาพของโลกจริงๆ หรือ? เจ้ามีแผนการอันใดเพื่อความก้าวหน้าของงานระยะต่อไป? มีผู้คนมากมายเพียงใดที่กำลังรอคอยให้เจ้าเป็นผู้เลี้ยงของพวกเขา? งานของเจ้าใช่งานหนักหรือไม่? พวกเขาอ่อนด้อย น่าสงสาร ตาบอดและหลงทาง ร้องคร่ำครวญอยู่ในความมืดมิดว่า—หนทางอยู่แห่งใด? พวกเขาโหยหายิ่งนักให้ความสว่างพลันเคลื่อนลงมาเหมือนดาวตก และขับไล่กำลังบังคับแห่งความมืดที่บีบคั้นมนุษย์มานานหลายปีเหลือเกิน ผู้ใดจะรู้ได้ว่าพวกเขาตั้งความหวังอย่างกระวนกระวายใจปานใด และคะนึงหาสิ่งนี้เพียงใดทั้งกลางวันและกลางคืน? แม้กระทั่งในวันที่ความสว่างส่องแสงวาบผ่านไป ผู้คนที่ทุกข์ทนอย่างลึกล้ำเหล่านี้ก็ยังคงถูกจองจำอยู่ในคุกใต้ดินอันมืดมิดโดยไม่มีหวังว่าจะได้รับการปลดปล่อย เมื่อไรที่พวกเขาจะไม่ต้องร่ำไห้อีกต่อไป? ความโชคร้ายของวิญญาณอันเปราะบางที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้หยุดพักเหล่านี้ช่างเลวร้าย และพวกเขาถูกพันธนาการที่ไร้กรุณาและประวัติศาสตร์ที่เยือกแข็งผูกมัดไว้ในสภาวะนี้มาช้านานแล้ว และผู้ใดได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของพวกเขา? ผู้ใดมองเห็นสภาพอันยากแค้นของพวกเขา? เจ้าเคยฉุกคิดบ้างหรือไม่ว่าพระหทัยของพระเจ้าโทมนัสและกระวนกระวายเพียงใด? พระองค์จะทรงทนเห็นมวลมนุษย์ผู้ไม่ประสา ที่พระองค์ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ต้องทนทุกข์ทรมานเยี่ยงนี้ได้อย่างไร? ไม่ว่าอย่างไร มนุษย์ก็คือเหยื่อที่ถูกพิษ และถึงแม้มนุษย์จะรอดชีวิตมาได้จนถึงวันนี้ ผู้ใดจะรู้บ้างว่ามวลมนุษย์ถูกมารวางยาพิษมานานแล้ว? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าก็เป็นหนึ่งในเหยื่อทั้งหลาย? เจ้าไม่เต็มใจที่จะเพียรพยายามด้วยความรักที่เจ้ามีต่อพระเจ้า เพื่อช่วยผู้รอดชีวิตเหล่านี้ให้รอดหรอกหรือ? เจ้าไม่เต็มใจที่จะอุทิศพลังงานทั้งหมดที่เจ้ามีเพื่อตอบแทนพระเจ้า ผู้ทรงรักมวลมนุษย์ประดุจโลหิตและเนื้อหนังของพระองค์เองหรอกหรือ? เมื่อพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เจ้าจะตีความการถูกพระเจ้าใช้ให้ดำรงชีวิตที่เหนือธรรมดาของเจ้าว่าอย่างไร? เจ้ามีความแน่วแน่และความมั่นใจ ที่จะดำรงชีวิตอันเปี่ยมความหมายของบุคคลที่มีศรัทธาแก่กล้าและรับใช้พระเจ้าหรือไม่?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรจะทำภารกิจในอนาคตของเจ้าอย่างไร?) ผมได้เรียนรู้ว่า การแบ่งปันข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ของเรา มีคนมากมายที่ยังไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้า ไม่รู้ว่าทรงกลับมาแล้ว และกำลังทรงงานพิพากษาเพื่อชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ พวกเขายังใช้ชีวิตอยู่ในความทุกข์แห่งความเสื่อมทรามของซาตาน พระเจ้าทรงหวังให้เราทุกคนคำนึงถึงน้ำพระทัย ลุกขึ้น และร่วมมือกับพระองค์ ไม่ว่าเจอปัญหาหรือความยากลำบากอะไร เราก็ควรอธิษฐานและพึ่งพิงพระเจ้าให้มากขึ้น และทำทุกอย่างเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แต่ผมไม่เข้าใจน้ำพระทัย รู้สึกว่าผมยังเด็ก จึงแบ่งปันข่าวประเสริฐไม่ได้ ผมกลัวคนในหมู่บ้านจะไม่ฟัง และดูถูกผม ผมจึงติดอยู่ในความยากลำบากที่คิดฝันไปเอง แบกความกังวล ผมคิดถึงแต่ความลำบากของตัวเอง โดยไม่คิดถึงน้ำพระทัย ไม่คิดที่จะอธิษฐาน และพึ่งพิงพระเจ้าผ่านการฝ่าฟันเหล่านี้ เพื่อทำและรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง พอคิดว่ามีคนโหยหาการทรงกลับมา และถูกช่วยให้รอดจากความมืดมากแค่ไหน ผมก็รู้สึกถึงความเร่งด่วน ผมแน่วแน่จะทำทุกทางเพื่อเผยแผ่และเป็นพยานให้ข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า จะทุ่มเทเวลาและเรี่ยวแรงทั้งหมดเพื่องานข่าวประเสริฐ
จากนั้น ผมก็เริ่มวางแผนที่จะแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพวกเขา ก่อนอื่นผมไปร้านถ่ายเอกสาร เพื่อพิมพ์คำเชิญ ให้สิบครอบครัวมาฟังเทศนาที่บ้านผม ทุกคนค่อนข้างประหลาดใจ และชื่นชมสิ่งที่ผมทำ ผมมีความสุขมาก จากนั้น ผมก็คิดว่า ถ้าค่ำวันนั้นมีคนมาเยอะ แค่โทรศัพท์เครื่องเล็กๆ ของผม คงยากที่ทุกคนจะอ่านพระวจนะขณะฟังเทศนาไปด้วย ผมเลย ไปหาเพื่อนคนหนึ่งเพื่อขอยืมแล็ปท็อป ค่ำวันนั้นมีคนมาฟังเทศนาสิบสามคน และทุกคนก็ชอบอ่านพระวจนะในการชุมนุม ใครอยากอ่านก็จะยืนขึ้นอาสา และพวกเขาก็ชอบ หลังการชุมนุมวันนั้น ทุกคนมีความสุขมาก บอกว่าพระวจนะยอดเยี่ยม และรู้สึกว่าเลี้ยงดูพวกเขา และการมาชุมนุมอ่านพระวจนะก็ดีมาก วันรุ่งขึ้นพวกเขาก็อยากพาคนในครอบครัวมาด้วย การเห็นทุกคนโหยหาพระวจนะ ทำให้ผมมีความสุขจริงๆ แต่การไปยืมแล็ปท็อปของเพื่อนอยู่เรื่อยก็ทำไม่ได้ ผมเลยอยากซื้อของตัวเองสักเครื่อง แต่พอผมรวบรวมเงินทั้งหมดของตัวเองมาแล้ว ก็ยังไม่พอซื้อ ผมรู้สึกเหมือนสองจิตสองใจ หลังจากลองถามดู ผมก็ได้รู้ว่า เครื่องฉายภาพถูกกว่าคอมพิวเตอร์ ผมเลยตัดสินใจกู้เงินมาซื้อเครื่องฉายภาพ แบบนั้นคนอื่นในหมู่บ้าน จะได้อ่านพระวจนะได้ ผมเลยไปที่เทศมณฑลเพื่อกู้เงิน และซื้อเครื่องฉายภาพมา ผมเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย ก่อนจะเริ่มชุมนุมครั้งต่อไป ในไม่ช้า คนในหมู่บ้านก็เริ่มมากัน มีคนเข้าร่วมถึงสิบเก้าคน เยอะจนเต็มห้องเลยครับ ตอนนั้นผมได้เห็นว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมทุกอย่างไว้ และผมก็ตื่นเต้นมาก ผมรีบไปหาลำโพงมา ทุกคนจะได้ฟังพระวจนะกัน ผมสามัคคีธรรมความจริงว่าคำเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าลุล่วงไปยังไง วิธีต้อนรับพระองค์ วิธีแน่ใจว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว และพระเจ้าเสด็จมา เพื่อเปิดโปงผู้คนทุกประเภท คนที่มาเข้าชุมนุม ล้วนกระตือรือร้นมีส่วนร่วมในการอ่านพระวจนะ แถมเด็กบางคนก็ตื่นเต้นที่ได้อ่านพระวจนะด้วย พอเห็นว่าพวกเขากระหายพระวจนะมากแค่ไหน ผมก็รู้ว่าทั้งหมดนี้คืองานของพระเจ้า บางคนอยู่ต่อหลังชุมนุมเสร็จ และบอกว่าพวกเขาเพลิดเพลินจริงๆ ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ ล้วนตื้นตันใจมาก และเขาก็อยากพาคนท้องถิ่นทุกคนมาฟังพระวจนะ น่าแปลกดีครับ ผลลัพธ์นี้ทำลายมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผมโดยสิ้นเชิง มันละอายใจ ผมได้เห็นงานของพระเจ้าและการทรงนำ และได้รับความเชื่อที่จะแบ่งปันข่าวประเสริฐมากขึ้นจริงๆ จากนั้น ผมก็เชิญคนในหมู่บ้านมาฟังเทศนาทุกๆ วัน และเริ่มมีคนปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาล้วนตื่นเต้น พูดว่า “ฉันไม่เคยอ่านอะไรแบบนี้มาก่อนเลย พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงกลับมา และเราก็ได้มาเผชิญหน้ากับพระองค์ เราโชคดีเหลือเกินที่ได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า” พวกเขายังวางแผนจัดงานเพื่อเชิญคนจากเมืองรอบๆ มาชุมนุมเพิ่มขึ้นด้วย พวกเขาบอกผมว่า “คุณยังหนุ่มอยู่เลย แต่กลับทำสิ่งนี้เพื่อคนในหมู่บ้าน ช่วยให้เราได้ฟังพระวจนะ และมีมโนธรรมกับสิ่งนี้ ไม่มีใครทำอะไรแบบนี้เพื่อเรามาก่อน เราไม่เคยคิดเลยว่า คนหนุ่มอย่างคุณจะทำสิ่งนี้ มันเยี่ยมมาก” ผมรู้ว่านี่คือกิจการของพระเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งทำให้ผมตื่นเต้น และความเชื่อแข็งแกร่งขึ้น
แต่ผมก็เจอความยากลำบากทุกรูปแบบ เมื่อให้น้ำผู้มาใหม่เหล่านี้ บางครั้งผมสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่ดี และต้องไปชุมนุมตามบ้าน ที่แย่กว่านั้นคือ ที่นั่นฝนตกหนักมาก พอฝนตกถนนก็จะมีแต่โคลน และเดินลำบาก เวลาผมออกไปให้น้ำพวกเขา ผมจะแวะไปตามบ้าน บางครั้งผมรีบไปให้ถึงบ้านผู้เชื่อคนใหม่ก่อนฝนเริ่มตก และต้องรอ เพราะพวกเขายังไม่ถึงบ้าน จากนั้นพอผมสามัคคีธรรมเสร็จ ถนนก็ดูไม่จืดแล้ว เวลาเหนื่อยมากๆ ผมจะรู้สึกคิดลบและอ่อนแอ เลยอธิษฐาน และอ่านพระวจนะ ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะที่ว่า “จงอย่าท้อแท้ จงอย่าอ่อนแอ และเราจะทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนแก่เจ้า ถนนสู่ราชอาณาจักรมิได้ราบเรียบนัก ไม่มีอะไรเรียบง่ายเช่นนั้นหรอก! เจ้าต้องการให้พรมาถึงเจ้าอย่างง่ายดายมิใช่หรือ? ในวันนี้ ทุกคนจะต้องเผชิญกับการทดสอบอันขมขื่น หากปราศจากการทดสอบเช่นนี้ หัวใจรักของพวกเจ้าที่มีต่อเราก็จะไม่เติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้น และพวกเจ้าก็จะไม่มีรักแท้ต่อเรา แม้ว่าการทดสอบเหล่านี้ก็แค่ประกอบด้วยรูปการณ์แวดล้อมเล็กน้อยทั้งหลายเท่านั้น แต่ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าความลำบากยากเย็นของการทดสอบทั้งหลายจะแปรผันไปตามแต่ละตัวบุคคลเท่านั้น การทดสอบทั้งหลายคือพรจากเรา และมีพวกเจ้ามากน้อยแค่ไหนหรือที่เข้าเฝ้าเราบ่อยครั้งและคุกเข่าขอร้องพรจากเรา? เจ้าพวกเด็กโง่เอ๋ย! เจ้าเอาแต่คิดว่าคำพูดที่เป็นมงคลไม่กี่คำนับเป็นพรของเราแล้ว ทว่ากลับไม่ตระหนักว่าความขมขื่นก็เป็นพรหนึ่งของเรา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41) “เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับความทุกข์ เจ้าต้องมีความสามารถที่จะวางความกังวลสนใจต่อเนื้อหนังไว้ก่อนและไม่ทำการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระเจ้า…ไม่สำคัญว่าวุฒิภาวะจริงของเจ้าจะเป็นอะไร ก่อนอื่นเจ้าต้องครองทั้งเจตจำนงที่จะทนทุกข์ความยากลำบากและความเชื่อที่แท้จริง และเจ้าต้องมีเจตจำนงที่จะละทิ้งเนื้อหนังอีกด้วย เจ้าควรเต็มใจสู้ทนความยากลำบากส่วนตัวและทนทุกข์กับความสูญเสียต่อผลประโยชน์ส่วนตัวของเจ้าเพื่อที่จะทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า เจ้าต้องสามารถรู้สึกเสียใจเกี่ยวกับตัวเจ้าเองในหัวใจของเจ้าอีกด้วย กล่าวคือ ในอดีตนั้น เจ้าไม่ได้มีความสามารถที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ และบัดนี้ เจ้าสามารถเสียใจได้ด้วยตัวเจ้าเอง เจ้าต้องไม่กำลังขาดพร่องสิ่งใดในเรื่องเหล่านี้—โดยผ่านทางสิ่งเหล่านี้นั่นเองที่พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม หากเจ้าไม่สามารถประจวบพ้องกับเกณฑ์กำหนดเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่สามารถถูกทำให้มีความเพียบพร้อมได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง) พระวจนะช่วยหนุนใจ และปลอบผมไม่ให้ท้อถอยหรืออ่อนแอ ว่าพระเจ้าจะทรงนำและช่วยผม ผมประสบกับความไม่สบายกายและยอมลำบากอยู่บ้างเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐ แต่มันก็เปี่ยมความหมายและมีคุณค่า เป็นสิ่งที่ชอบธรรมที่สุดที่ควรทำ เป็นสิ่งที่จะได้รับความเห็นชอบและพรจากพระเจ้ามากที่สุด ผมนึกถึงเปโตร มัทธิว และอัครทูตคนอื่นๆ ขององค์พระเยซูเจ้า ที่ทนทุกข์มากมายเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และบางคนตายขณะพยายามแบ่งปันข่าวประเสริฐด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็ยืนหยัดในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ และไม่เคยยอมจำนน เทียบกันแล้ว เรื่องเล็กน้อยที่ผมทนทุกข์ไม่ควรค่าที่จะเอ่ยถึงด้วยซ้ำ การโชคดีที่ได้ยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และทำหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรได้ เป็นการทรงยกชูและพระคุณของพระเจ้า ผมจะคิดถึงแต่เนื้อหนังของตัวเองและกลัวความลำบากเพียงเล็กน้อยอีกไม่ได้ ผมต้องเต็มใจที่จะทนทุกข์ ผมไม่อาจให้ความยากลำบาก ทำเสียกำลังใจได้ ถึงจะทนทุกข์กับความไม่สบายกาย ผมก็ยังต้องแบ่งปันข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้งานของพระเจ้า ทำหน้าที่เพื่อสนองพระองค์
ต่อมามีจุดหนึ่งที่ผมป่วย และมีไข้อยู่หลายวัน ค่ำวันที่ผมมีไข้ ปวดหัว และปวดท้อง ผมพูดอะไรไม่ไหวด้วยซ้ำ พี่น้องหญิงคนหนึ่งเห็นผมท่าไม่ดี เลยบอกว่า “คืนนี้คุณไม่ควรออกไปชุมนุมนะ” ตอนนั้นผมก็เห็นด้วย แต่พอคิดถึงการทิ้งให้เหล่าผู้เชื่อใหม่ชุมนุมกันตามลำพัง ผมก็ไม่สบายใจ ผมคิดว่า การรู้สึกป่วยคือการทดสอบสำหรับผม และผมยังต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ผมนึกถึงครั้งหนึ่งก่อนผมป่วยและเจ็บขา แต่ก็ยังไปเตะบอล แล้วทำไมตอนนี้ผมทำหน้าที่ไม่ได้? พอคิดแบบนี้ ผมก็ขับมอเตอร์ไซค์ออกไปชุมนุม น่าประหลาดใจที่พอไปถึง ผมก็เลิกรู้สึกไม่สบาย ผมมีความสุขจริงๆ เพียงแค่สองวัน อาการผมก็ดีขึ้น
ต่อมา หลังจากทำงานหนักนับเดือน คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน นอกจากคนที่ไปทำงานนอกเมือง ก็ยอมรับข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ต่อมา ผมคิดว่า ถึงผมจะแบ่งปันข่าวประเสริฐกับทั้งหมู่บ้าน นั่นก็ยังไม่พอที่จะได้สมดังน้ำพระทัย ผมอยากให้มีคนได้ยินเสียงของพระเจ้ามากขึ้น เพราะยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว ทรงแสดงความจริงมากมาย และทรงชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้รอด ผมเลยตัดสินใจไปแบ่งปันข่าวประเสริฐในหมู่บ้านอื่น ผมอธิษฐานอยู่ในใจว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ โปรดทรงนำ ให้ข้าพระองค์ไม่เสียความเชื่อ และก้าวต่อไปได้ ข้าฯ มั่นใจว่า ถึงจะเจอความยากลำบากใด พระองค์ก็จะทรงช่วยแก้ไข” จากนั้น ผมก็ไปแบ่งปันข่าวประเสริฐที่หมู่บ้านข้างเคียง ผมเดินลงเขาไปตามถนนที่มีแต่โคลนกว่าครึ่งชั่วโมง เพื่อประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา แต่สามครอบครัวแรกต่างพูดว่าไม่มีเวลา และปฏิเสธผมอย่างสุภาพ ผมรู้สึกผิดหวังจริงๆ และค่อนข้างเสียกำลังใจ คืนนั้นผมกลับถึงบ้านดึกมาก พี่แอนนี่โทรหาผมว่า การแบ่งปันข่าวประเสริฐเป็นยังไงบ้าง รวมถึงสามัคคีธรรมพระวจนะ หนุนใจ และช่วยเหลือผม ผมได้อ่านในพระวจนะที่ว่า “สิ่งที่เราปรารถนาคือความจงรักภักดีและการเชื่อฟังของเจ้า ณ บัดนี้ ความรักและคำพยานของเจ้า ณ บัดนี้ แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะไม่รู้ว่าคำพยานคืออะไรหรือความรักคืออะไร เจ้าก็ควรจะนำพาทุกอย่างของเจ้ามาให้เรา และส่งมอบทรัพย์สมบัติเดียวที่เจ้ามีให้แก่เรา นั่นก็คือ ความจงรักภักดีและการเชื่อฟังของเจ้า เจ้าควรรู้ว่าคำพยานถึงการทำให้ซาตานพ่ายแพ้ของเรามีอยู่ภายในความจงรักภักดีและการเชื่อฟังของมนุษย์ เช่นเดียวกับคำพยานถึงการพิชิตมนุษย์โดยบริบูรณ์ของเรา หน้าที่แห่งความเชื่อในเราของเจ้าก็คือการเป็นพยานแก่เรา การจงรักภักดีต่อเราและไม่จงรักภักดีต่อสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น และการเชื่อฟังไปจนถึงที่สุด ก่อนที่เราจะเริ่มขั้นตอนต่อไปของงานของเรา เจ้าจะเป็นพยานต่อเราอย่างไร? เจ้าจะจงรักภักดีและจะเชื่อฟังเราอย่างไร? เจ้าอุทิศความจงรักภักดีทั้งหมดของเจ้าให้แก่หน้าที่การงานของเจ้าหรือไม่ หรือเจ้าจะล้มเลิก? เจ้าจะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการทุกอย่างของเรา (แม้ว่าจะเป็นความตายหรือความย่อยยับ) หรือหนีหายไปกลางทางเพื่อหลบเลี่ยงการตีสอนของเรา? เราตีสอนเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้เป็นพยานต่อเรา และจงรักภักดีและเชื่อฟังต่อเรา ยิ่งไปกว่านั้น การตีสอนในปัจจุบันเป็นการคลี่คลายงานขั้นตอนต่อไปของงานของเรา และเพื่อช่วยให้งานนั้นก้าวหน้าต่อไปโดยไม่มีอะไรขวางกั้น ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงเตือนสติเจ้าให้เฉลียวฉลาด และจงอย่าปฏิบัติกับชีวิตของเจ้าหรือนัยสำคัญในการดำรงอยู่ของเจ้าเหมือนกับเม็ดทรายที่ไร้ค่า เจ้าสามารถรู้ได้แน่หรือไม่ว่างานที่จะมาถึงของเรานั้นคืออะไร? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเราจะทำงานอย่างไรในวันข้างหน้า และงานของเราจะคลี่คลายไปอย่างไร? เจ้าควรจะรู้ถึงนัยสำคัญของประสบการณ์ของเจ้ากับงานของเรา และยิ่งไปกว่านั้น นัยสำคัญของความเชื่อในเราของเจ้า เราได้ทำไปมากมายแล้ว เราจะล้มเลิกแค่ครึ่งทางดังที่เจ้าจินตนาการได้อย่างไร? เราได้ทำงานที่กว้างขวางเช่นนี้แล้ว เราจะทำลายมันได้อย่างไร? แท้ที่จริงแล้ว เราได้มาเพื่อทำให้ยุคนี้สิ้นสุดลง นี่คือเรื่องจริง แต่ที่มากกว่านั้น เจ้าต้องรู้ว่าเรากำลังจะเริ่มต้นยุคใหม่ จะเริ่มต้นงานใหม่ และที่สำคัญที่สุดคือ จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร ดังนั้น เจ้าควรรู้ว่างานปัจจุบันเป็นเพียงเพื่อการเริ่มต้นยุคหนึ่งเท่านั้น และเพื่อวางรากฐานในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐในสมัยที่จะมาถึงและการทำให้ยุคนี้สิ้นสุดลงในภายภาคหน้า งานของเราไม่ใช่ง่ายดายดังที่เจ้าคิด อีกทั้งไม่ได้ไร้ค่าหรือไร้ความหมายดังที่เจ้าอาจเชื่อ เพราะฉะนั้น เรายังคงต้องพูดกับเจ้าว่า เจ้าควรจะมอบชีวิตของเจ้าให้แก่งานของเรา และที่มากกว่านั้น เจ้าควรจะอุทิศตัวเจ้าเองเพื่อสง่าราศีของเรา นานแล้วที่เราได้โหยหาให้เจ้าเป็นพยานแก่เรา และนานยิ่งกว่านั้นที่เราได้โหยหาให้เจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐของเรา เจ้าควรจะเข้าใจว่าอะไรอยู่ในหัวใจของเรา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?) การได้อ่านสิ่งนี้ ทำให้ผมเข้มแข็งขึ้นบ้าง ผมรู้สึกเหมือนพระเจ้าทรงบอกผมว่า ผมควรเชื่อในพระองค์ และไม่ว่าจะเผชิญกับความยากลำบากใด ผมก็ไม่อาจอ่อนแอหรือคิดลบ หมดกำลังใจหรือท้อได้ เพราะพระเจ้าทรงกำลังนำเราอยู่ ตราบใดที่ผมคำนึงถึงน้ำพระทัยและออกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร พระองค์ก็จะทรงเปิดเส้นทางให้แก่ผม ผ่านพระวจนะผมได้เห็นว่า เส้นทางของการแบ่งปันข่าวประเสริฐนั้นไม่ง่าย แต่ต้องทนทุกข์ และยอมลำบาก โนอาห์ประกาศข่าวประเสริฐอยู่ 120 ปี เขาถูกผู้คนล้อเลียน และใส่ร้ายป้ายสี เขาทนทุกข์อย่างมาก และถึงจะเปลี่ยนความเชื่อใครไม่ได้เลย เขาก็ยังไม่ล้มเลิกหรืออ่อนแอ ยังคงแบ่งปันข่าวประเสริฐต่อ โนอาห์ยืนหยัดอุทิศตนและนบนอบต่อพระเจ้า เขาทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และได้รับความเห็นชอบกับพรจากพระเจ้า คราวที่พระเจ้าทรงบันดาลน้ำท่วมมาทำลายโลกใบนี้ พระเจ้าทรงช่วยรอบครัวของโนอาห์ทั้งแปดรุ่นให้รอด พวกเขาจึงอยู่รอด พอคิดย้อนถึงตัวเอง ผมเพิ่งแบ่งปันข่าวประเสริฐได้สามบ้าน พอพวกเขาไม่ยอมรับผมก็เสียกำลังใจ ผมไม่ได้มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า อันที่จริง พระเจ้าทรงอนุญาตให้สถานการณ์และความยากลำบากนี้ขึ้นกับผม เพื่อทำให้ความเชื่อ และการอุทิศตนของผมเพียบพร้อม ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะยอมรับข่าวประเสริฐหรือไม่ ผมก็ต้องไปประกาศข่าวประเสริฐ นั่นเป็นหน้าที่ของผม
พระวจนะมอบความเข้มแข็งให้ผมครับ วันรุ่งขึ้น ผมเริ่มไปแบ่งปันข่าวประเสริฐที่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ผมอธิษฐานให้พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่ผู้มีโอกาสรับข่าวประเสริฐ ให้เข้าใจพระวจนะด้วย ค่ำวันนั้น ผมเจอคนที่สนใจจะฟังข่าวประเสริฐ ที่มากกว่านั้น คือหลังจากที่ผมเฝ้าหาคนอื่นๆ เพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐด้วย คืนนั้นผมก็เปลี่ยนความเชื่อได้ถึงหกคน ผมรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะผู้รับข่าวประเสริฐบางคนเป็นคาทอลิก และมีมโนคติอันหลงผิดมากมาย แต่เมื่อผมสามัคคีธรรมไปแล้ว พวกเขาจะได้เข้าใจ และยอมรับข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จากนั้น ผมก็ย้ายไปอีกที่หนึ่ง ทุกครั้งที่ไปแบ่งปันข่าวประเสริฐ ผมจะอธิษฐานให้พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำผม ผมจึงรู้วิธีประกาศและเป็นพยานให้แก่พระวจนะ พอมีคนยอมรับข่าวประเสริฐของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ความเชื่อของผมก็เติบโต ถึงบางครั้งเวลาไปประกาศที่หมู่บ้านอื่น ผมจะรู้สึกเขินและกลัวอยู่เล็กน้อย การนำของพระวจนะก็ช่วยให้มีความมั่นใจ และความกล้าหาญให้ผมเผชิญกับมัน ผมรู้ว่าผมต้องสามัคคีธรรมกับพวกเขา นั่นคือหน้าที่ของผม และถ้าผมไม่แบ่งปันข่าวประเสริฐกับพวกเขา ผมก็จะไม่มีโอกาสปฏิบัติเพิ่มขึ้น ผมคงไม่ได้เรียนรู้ และได้รับความจริงเพิ่มเติม ต่อมา จากการแบ่งปันข่าวประเสริฐอยู่เนืองๆ ผมก็เลิกกังวลและหวาดกลัว และได้เข้าใจความจริงของมิติมายายได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกผ่อนคลายและเป็นอิสระจริงๆ
ผมได้รับอะไรมากมายจากการแบ่งปันข่าวประเสริฐในขั้นนี้ ถ้าไม่ได้ประสบทั้งหมดนี้ คงไม่มีทางที่ผมจะเข้าใจกฎอันเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าได้ และคงไม่ได้เรียนรู้ถึง ความสำคัญของการทำหน้าที่ หรือวิธีแสวงหาพระเจ้าผ่านความยากลำบาก
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ