ความจริงคือสิ่งที่ขาดเสียมิได้ในหน้าที่ของคนเรา

วันที่ 29 เดือน 07 ปี 2022

โดย เทเรซ่า, ฟิลิปปินส์

เดือนพฤษภาคม ปี 2021 ฉันรับหน้าที่ผู้นำ รับผิดชอบงานของคริสตจักรหลายแห่ง ฉันคิดว่า ฉันต้องยอมลำบากและทำหน้าที่ให้ดีจริงๆ ไม่งั้น พระเจ้าจะไม่ทรงเห็นชอบ ทุกวัน ฉันจึงยุ่งอยู่กับงานของคริสตจักร ทุ่มเวลาและพลังมากมาย สามัคคีธรรมกับเหล่าผู้นำคริสตจักร หารือวิธี ให้งานข่าวประเสริฐและงานให้น้ำผู้มาใหม่รุดหน้า พอมีเวลาว่าง ก็แวะเวียนไปถามไถ่เหล่าผู้มาใหม่ ทุกวัน ตารางงานของฉันจะแน่นเอี้ยด จนบางครั้งก็ไม่มีเวลากินข้าว มันแย่ขนาดที่ ฉันไม่มีเวลาเฝ้าเดี่ยวเลยด้วยซ้ำ ฉันคิดไปว่า ฉันแค่ต้องพยายามในหน้าที่ และยอมลำบากเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ จึงจะได้รับการทรงเห็นชอบ ได้รับพร และมีบั้นปลายที่ดี

เพื่อที่จะทำหน้าที่ของตนให้ดี ฉันได้ทุ่มเททุกสิ่งที่ฉันมีให้กับหน้าที่ ถึงกับใช้ช่วงพักกลางวัน ติดต่อไปหาผู้เชื่อใหม่ หรือวางแผนการชุมนุม ไม่เคยสนว่าจะเหนื่อยแค่ไหน ต่อมา คริสตจักรทั้งหลายต้องการผู้ให้น้ำ ฉันจึงคิดทันทีว่าจะฝึกใครและใครที่เหมาะสม พอเห็นผู้มาใหม่ขาดความกระตือรือร้น ฉันก็รีบหาพระวจนะพระเจ้าเพื่อมาแบ่งปัน พวกเขาจะได้พบความหมายในหน้าที่ของตัวเอง สุดท้าย หลังจากทำงานอย่างหนัก เราก็หาผู้ให้น้ำมาได้มากพอ แต่ฉัน ก็ยังไม่พอใจ ฉันรู้สึกว่า ต้องยอมลำบากให้มากขึ้น ทำงานจริงให้ได้เยอะขึ้น และนำพี่น้องให้หาสมาชิกใหม่ได้มากขึ้น ฉันถึงจะมีส่วนช่วยกว่าเดิม พระเจ้าจะทรงเห็นชอบ และฉันจะได้มีบั้นปลายที่ดี แต่พอเจอความยากลำบากในหน้าที่ ฉันก็รู้สึกอ่อนแอและคิดลบ อย่างเช่น เวลาเห็นผู้นำคริสตจักรสับสนในงาน เห็นผู้มาใหม่ไม่กระตือรือร้นในหน้าที่ หรือเวลาสิ่งต่างๆ ไม่ถูกวางแผนไว้ให้ดี ฉันก็รู้สึกเหมือน ฉันไร้ความสามารถในหน้าที่นั้น ถ้าทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ฉันจะมีบั้นปลายที่ดีได้อย่างไร? ความคิดนั้น ทำให้ฉันเครียดอยู่เสมอเลยจริงๆ และฉันก็จะเหนื่อย หดหู่ และกังวลมาก ตอนนั้นฉันไม่ได้ตระหนักถึงปัญหาเลยค่ะ แถมฉัน ยังอ่านพระวจนะแค่ตอนที่ อยู่ในสภาวะย่ำแย่เท่านั้น ส่วนมากฉันมักจะยุ่งอยู่กับหน้าที่ รู้สึกเหมือน การกินดื่มและใคร่ครวญพระวจนะ กินเวลามากเกินไป ฉันคงมีเวลาให้หน้าที่ไม่พอ ก็เลยผัดไปก่อน บางครั้งฉันก็รอจนค่ำ แต่ฉันก็ เหนื่อยจากงานตอนกลางวันและง่วงนอน ก็เลยไม่ได้ทำ

ฉันไม่ได้พยายามเข้าสู่ชีวิต เพียงแต่พยายามแบบผิวเผิน และการทำหน้าที่ในสภาวะนั้น ทำฉันรู้สึกเหนื่อยมาก วันหนึ่ง ฉันก็สงสัย ว่าการทำหน้าที่แบบนั้น สอดคล้องกับน้ำพระทัยไหม พระเจ้าจะทรง เห็นชอบหรือเปล่า ฉันรู้สึกว่า มีบางอย่างไม่ถูกต้อง และฉันก็ตระหนักได้ว่า ท่าทีของฉันมีปัญหา ฉันเอาแต่วุ่นอยู่กับงาน และละเลยการเข้าสู่ชีวิต ฉันไม่เคยคิดเลยว่า พระเจ้าทรงอยากให้ฉันทำหน้าที่อย่างไร ฉันมาเฉพาะพระพักตร์และอธิษฐานว่า “พระเจ้า ถ้าข้าฯอยู่บนทางที่ผิด ก็โปรดให้ความรู้แจ้ง และแสดงให้เห็นว่าข้าฯผิดตรงไหน พระเจ้า ข้าฯอยากให้ทรงพอพระทัย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ข้าฯต้องการการทรงนำ”

วันหนึ่ง มีพี่สาวบอกฉันว่า เวลามีปัญหา เธอไม่รู้จะแสวงหาความจริงอย่างไร และไม่แน่ใจว่าจะทำหน้าที่ให้ดีได้อย่างไร เธอไม่เข้าใจสภาวะของตัวเอง เลยอยากให้ฉันช่วยบอก ว่าจะจับความเข้าใจเรื่องนั้นให้ดีขึ้นอย่างไร และเมื่อแสดงความเสื่อมทรามออกมา เธอต้องทำอย่างไร ฉันบอกเธอว่า การจะเข้าใจสภาวะของตัวเองนั้น เราต้องไตร่ตรองความคิดของตน และดูว่าความคิด มุมมอง จุดมุ่งหมาย และพฤติกรรมของเรา ตรงกับน้ำพระทัยไหม จากนั้น เธอก็ถามฉันว่า ตัวฉัน ทำความเข้าใจความคิดเพื่อไตร่ตรองและรู้จักตนยังไง? ฉันชะงักไปเลยค่ะ เหมือนถูกคำถามของเธอ ตบหน้าเข้าอย่างจัง ฉันไม่ได้ปฏิบัติแบบนั้น แล้วฉันจะช่วยเธอได้อย่างไร? ตัวฉัน ทำงานเสร็จมากมาย แต่ฉันไม่ได้แสวงหาความจริงในหน้าที่ ฉันเจอปัญหามากมาย แถมเปิดเผยความเสื่อมทรามนับไม่ถ้วน อย่างเช่น ขาดความรักความอดทนตอนพยายามช่วยเหลือผู้เชื่อใหม่ และวิจารณ์ผลงานของเหล่าผู้นำเวลาที่ตรวจงาน รู้สึกเหมือนอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ แต่ฉันก็ไม่ไตร่ตรองหรือเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง ฉันคิดว่า ฉันแค่ต้องทำหน้าที่ให้เสร็จ ยิ่งทำมากพระเจ้าก็จะทรงเห็นชอบ นั่นก็พอแล้ว ฉันเลยวางการเข้าสู่ชีวิตไว้ก่อน แถมไม่ใช้เวลากับพระวจนะด้วย ดูเผินๆ ฉันมักยุ่งอยู่เสมอ แต่ฉันไม่ได้สละตนเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจ ฉันแค่ทำงาน ทำหน้าที่ให้เรียบร้อย แต่ไม่ได้ไตร่ตรองตัวเอง หรือแสวงหาความจริง เวลาอยู่ในสภาวะย่ำแย่เลย ฉันละเลยการเข้าสู่ชีวิต ไม่มีสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับพระเจ้า ฉันทำหน้าที่ตามทางของตัวเอง เป็นทางที่ฉันต้องการ พอถึงจุดนั้น ฉันก็กังวลเกี่ยวกับสภาวะของตัวเอง สงสัยว่า พระเจ้าทรงมองฉันอย่างไร จะทรงเห็นชอบกับการไล่ตามของฉันไหม

พอเห็นถึงปัญหาที่มี ฉันก็บอกพี่เขาไปว่า “ฉันเอง ก็มีปัญหาแบบเดียวกันเลย ฉันเอาแต่ยุ่งกับงาน แต่ไม่เข้าใจสภาวะของตัวเอง หลายครั้งที่พบว่าฉันไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง แต่ฉันก็ทำเฉย ฉันไม่ได้ไตร่ตรองตัวเอง หรือมีการเข้าสู่ชีวิตเลย” จากนั้น เราก็อ่านพระวจนะด้วยกัน “หากเจ้าอยากให้หัวใจของเจ้าสงบอย่างแท้จริงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้วไซร้ เจ้าต้องทำงานแห่งการให้ความร่วมมืออย่างมีสติ กล่าวคือพวกเจ้าทุกคนจะต้องมีเวลาเพื่อการอุทิศของพวกเจ้า เวลาที่พวกเจ้าละวางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย ทำหัวใจของพวกเจ้าให้นิ่งและอยู่ในความเงียบสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ทุกคนต้องเก็บบันทึกแห่งการอุทิศเป็นรายบุคคล ซึ่งบันทึกความรู้ของพวกเขาในเรื่องพระวจนะของพระเจ้า และเรื่องที่จิตวิญญาณของพวกเขารู้สึกถูกขับเคลื่อนอย่างไร ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะลึกซึ้งหรือผิวเผิน ทุกคนจะต้องทำหัวใจให้สงบเงียบอย่างมีสติเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หากเจ้าสามารถทุ่มเทอุทิศเวลาหนึ่งหรือสองชั่วโมงในแต่ละวันเพื่อชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณอันแท้จริงแล้วไซร้ ชีวิตของเจ้าในวันนั้นก็จะรู้สึกมั่งคั่งและหัวใจของเจ้าก็จะแจ่มสว่างและชัดเจน หากเจ้าใช้ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณเช่นนี้ทุกวัน เช่นนั้นแล้วหัวใจของเจ้าก็จะสามารถกลับคืนไปเป็นสิ่งทรงครองของพระเจ้าได้มากขึ้น จิตวิญญาณของเจ้าจะกลายเป็นเข้มแข็งขึ้นทุกขณะ สภาพเงื่อนไขของเจ้าจะมีการปรับปรุงอยู่เนืองนิตย์ เจ้าจะกลายเป็นสามารถเดินไปบนเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำทางได้มากขึ้น และพระเจ้าจะประทานพรให้แก่เจ้ามากขึ้น จุดประสงค์ของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเจ้าก็คือการที่จะได้รับไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างมีสติ ไม่ใช่การทำตามกฎระเบียบหรือปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา แต่เพื่อให้ปฏิบัติโดยสอดประสานไปกับพระเจ้าได้อย่างแท้จริง บ่มวินัยให้กับร่างกายของเจ้าได้อย่างแท้จริง—นี่คือสิ่งที่มนุษย์ควรทำ ดังนั้นพวกเจ้าจึงควรทำการนี้ด้วยความพยายามอย่างถึงที่สุด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณที่เป็นปกตินำทางผู้คนไปบนร่องครรลองที่ถูกต้อง) พระวจนะช่วยให้ฉันเห็นว่า จะยุ่งแค่ไหนก็ต้องมีชีวิตและเวลาฝ่ายจิตวิญญาณให้พระวจนะมากพอ ต้องไตร่ตรองว่า แนวคิดและการกระทำ สอดคล้องกับน้ำพระทัยหรือไม่ แต่ฉันไม่ได้ มุ่งเน้นที่การอ่าน หรือใคร่ครวญพระวจนะเลย ถึงกับรู้สึกว่า การเฝ้าเดี่ยวมันเสียเวลาที่จะได้เอาไปทำงาน ฉันไม่ได้แสวงหาความจริงในหน้าที่ หรือไตร่ตรองว่าฉันทำสิ่งที่ พระเจ้าทรงพึงประสงค์หรือไม่ ตอนมีปัญหา ก็ไม่แสวงหาความจริง มุ่งเน้นแต่งาน พยายามทำสิ่งต่างๆ ให้เสร็จด้วยประสบการณ์ของตัวเอง บางทีเวลาอยู่ในสภาวะย่ำแย่อยู่แล้ว ไม่รู้สึกถึงงานของพระวิญญาณ ฉันก็ยังบังคับตัวเองให้ดันทุรังทำต่อไป ฉันดูเป็นคนยุ่งมากๆ แต่หัวใจกลับว่างเปล่าและมืดมน ฉันไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย หลังอ่านพระวจนะฉันก็เห็นความสำคัญ ของการเฝ้าเดี่ยว การกินดื่มพระวจนะและไตร่ตรอง ถ้าเราไม่อ่านพระวจนะ เราจะวิเคราะห์ความคิดและพฤติกรรมของตัวเองด้วยพระวจนะไม่ได้ และจะไม่รู้ว่าเราแสดงความเสื่อมทรามแบบไหนออกไป แล้วอุปนิสัยเสื่อมทรามก็จะไม่เปลี่ยน ไม่ได้รับการทรงเห็นชอบ การตระหนักเรื่องทั้งหมด ปลุกฉันให้ตื่นขึ้น พอเห็นว่าตัวเองอยู่ในสภาวะไหน ฉันก็กลัวและไม่อยากเป็นแบบนั้นอีก แต่อยากมุ่งเน้นที่ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณขณะทำหน้าที่ อยากปฏิบัติและเข้าสู่พระวจนะ

เราได้อ่าน พระวจนะที่เกี่ยวข้องด้วยค่ะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับการชมเชยจากพระเจ้าแล้วไซร้ เจ้าก็ต้องหลีกหนีให้พ้นจากอิทธิพลมืดของซาตานเสียก่อน โดยเปิดหัวใจของเจ้าต่อพระเจ้า และหันหัวใจไปหาพระองค์อย่างครบบริบูรณ์ พระเจ้าจะทรงชมเชยสิ่งที่เจ้ากระทำอยู่ในตอนนี้กระนั้นหรือ? เจ้าได้หันหัวใจของเจ้าเข้าหาพระเจ้าแล้วกระนั้นหรือ? สิ่งทั้งหลายที่เจ้าได้กระทำเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากเจ้ากระนั้นหรือ? มันเป็นไปในแนวเดียวกับความจริงกระนั้นหรือ? จงตรวจดูตัวเองตลอดเวลาและจดจ่อกับการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า จงเผยใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์ รักพระองค์ด้วยความจริงใจ และจงสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าอย่างอุทิศตน ผู้คนที่ทำเช่นนี้ย่อมจะได้รับการชมเชยจากพระเจ้าอย่างแน่นอน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงหนีให้พ้นจากอิทธิพลแห่งความมืด แล้วพระเจ้าจะทรงรับเจ้าไว้)หากมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะอยู่กับพวกเขาและปฏิบัติพระราชกิจต่อพวกเขา หากมนุษย์ไม่ใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้า เมื่อนั้น พวกเขาก็จะใช้ชีวิตอยู่ในพันธนาการของซาตาน หากมนุษย์อยู่กับอุปนิสัยอันเสื่อมทราม การสถิตหรือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่อยู่กับพวกเขา หากเจ้าใช้ชีวิตอยู่ภายในขีดคั่นแห่งพระวจนะของพระเจ้า และหากเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ เมื่อนั้น เจ้าก็จะเป็นผู้ที่เป็นของพระองค์ และพระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจต่อเจ้า หากเจ้าไม่ได้กำลังใช้ชีวิตอยู่ภายในขีดคั่นแห่งข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของพระเจ้า แต่กลับใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานแทน เมื่อนั้น เจ้าก็กำลังใช้ชีวิตอยู่ภายในความเสื่อมทรามของซาตานอย่างแน่นอน เจ้าจะสามารถทำตามข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของพระองค์ได้ก็ด้วยการใช้ชีวิตอยู่ภายในพระวจนะของพระเจ้าและมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระองค์เท่านั้น เจ้าต้องทำตามที่พระเจ้าตรัส ทำให้ถ้อยดำรัสของพระองค์เป็นรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของเจ้าและคือความเป็นจริงแห่งชีวิตของเจ้า เช่นนี้เท่านั้นที่เจ้าจะเป็นของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงหนีให้พ้นจากอิทธิพลแห่งความมืด แล้วพระเจ้าจะทรงรับเจ้าไว้) ฉันไตร่ตรองตัวเอง ตามพระวจนะ ฉันเป็นคนกระตือรือร้นในหน้าที่ แต่ทำทุกอย่างตามแนวคิดของตัวเอง พลัดหลงจากพระวจนะ ไม่แสวงหาความจริง มุ่งเน้นแต่งานเท่านั้น นั่นไม่ใช่น้ำพระทัย ฉันเคยคิดว่า ตราบใดที่ฉันมอบทุกอย่างในหน้าที่ และยอมลำบากให้มากขึ้น พระเจ้าคงเห็นชอบ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงดู แค่การมีส่วนร่วมผิวเผิน แต่ทรงดู ที่หัวใจของเรา ทรงหวังว่าเรา จะเชื่อฟังพระวจนะได้ หวังว่าเราจะไล่ตามความจริงในหน้าที่ นำวจนะมาปฏิบัติ พ้นจากความเสื่อมทรามของซาตาน แต่ฉันแค่อยากทำสิ่งต่างๆ ให้เสร็จ ฉันไม่ได้แสวงหาความจริง ไม่ได้คิดถึงความเสื่อมทรามที่ฉันแสดง ไม่ปฏิบัติพระวจนะ ตอนนั้นเองที่ฉัน เห็นว่าตัวเองอยู่บนทางที่ผิด และการเดินบนทางนั้นต่อไป คงจะอันตราย พระเจ้าคงไม่มีวันเห็นชอบ

ต่อมา ฉันก็นึกถึงพระวจนะที่เปิดโปงเปาโล ซึ่งช่วยให้ฉันเข้าใจปัญหาในการไล่ตามเสาะหาของตัวเอง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในวันเหล่านี้ ผู้คนส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะแบบนี้ กล่าวคือ ‘เพื่อที่จะได้รับพร เราต้องสละตัวเองเพื่อพระเจ้าและจ่ายราคาให้กับพระองค์ เพื่อที่จะได้รับพร เราต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระเจ้า เราต้องทำสิ่งที่พระองค์ทรงมอบความไว้วางใจเราให้เสร็จสิ้น และปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดี’ การนี้ได้รับอิทธิพลโดยเจตนาที่จะได้รับพร ซึ่งเป็นตัวอย่างของการสละตัวเองจนหมดสิ้นเพื่อจุดประสงค์ของการได้มาซึ่งบำเหน็จรางวัลจากพระเจ้าและได้รับมงกุฎ ผู้คนเช่นนั้นไม่มีความจริงในหัวใจของพวกเขา และแน่นอนว่าความเข้าใจของพวกเขานั้น เพียงแค่ประกอบไปด้วยคำพูดที่เป็นคำสอนไม่กี่คำที่พวกเขาโอ้อวดทุกที่ที่พวกเขาไป เส้นทางของพวกเขานั้นคือของเปาโล ความเชื่อของผู้คนเช่นนั้นคือบทบาทของการตรากตรำทำงานเป็นนิตย์ และลึกลงไปแล้วพวกเขารู้สึกว่า ยิ่งพวกเขาทำมากขึ้นเท่าใด นั่นก็จะยิ่งเป็นการพิสูจน์มากขึ้นเท่านั้นถึงความจงรักภักดีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้า ว่ายิ่งพวกเขาทำมากขึ้นเท่าใด แน่นอนว่าพระองค์ก็ยิ่งจะพึงพอพระทัยมากขึ้นเท่านั้น และว่ายิ่งพวกเขาทำมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งสมควรมากขึ้นเท่านั้นที่จะได้รับการมอบมงกุฎเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพรที่พวกเขาได้รับก็มีแต่จะยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาสามารถสู้ทนความทุกข์ ทำการประกาศ และตายเพื่อพระคริสต์ได้ หากพวกเขาสามารถพลีอุทิศชีวิตของพวกเขาเองได้ และหากพวกเขาสามารถทำหน้าที่ทั้งหมดซึ่งพระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาจนครบบริบูรณ์ได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะเป็นผู้ที่ได้รับพรอันยิ่งใหญ่ที่สุด และจะได้รับมอบมงกุฎอย่างแน่นอน แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่เปาโลจินตนาการและสิ่งที่เขาแสวงหา นั่นคือเส้นทางอันแน่ชัดที่เขาเดิน และนั่นอยู่ภายใต้การนำของความคิดที่ว่า เขาทำงานเพื่อรับใช้พระเจ้า ความคิดและเจตนาเหล่านั้นไม่มีจุดกำเนิดมาจากธรรมชาติเยี่ยงซาตานหรอกหรือ? มันก็เป็นเหมือนเหล่ามนุษย์ทางโลก ที่เชื่อว่าในขณะที่อยู่บนแผ่นดินโลกนั้นพวกเขาต้องไล่ตามเสาะหาความรู้ และว่าเพียงหลังจากที่ได้รับความรู้แล้วเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถโดดเด่นจากฝูงชน กลายเป็นพวกเจ้าหน้าที่ และมีฐานะ พวกเขาคิดว่า ทันทีที่พวกเขามีฐานะ พวกเขาสามารถทำให้ความทะเยอทะยานของพวกเขาเป็นจริง และทำให้บ้านและธุรกิจของพวกเขาเจริญรุ่งเรืองจนถึงระดับหนึ่งได้ ผู้ไม่เชื่อทั้งหมดไม่เดินบนเส้นทางนี้หรอกหรือ? พวกที่ถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานนี้ครอบงำ สามารถเพียงเป็นเหมือนเปาโลในความเชื่อของพวกเขาเท่านั้น พวกเขาคิดว่า ‘ฉันต้องสลัดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสละตัวฉันเองเพื่อพระเจ้า ฉันต้องสัตย์ซื่อเฉพาะพระพักตร์พระองค์ และในที่สุด ฉันจะได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่และมงกุฎอันเกรียงไกร’ นี่คือท่าทีเดียวกับท่าทีของผู้คนทางโลกที่ไล่ตามเสาะหาสิ่งของทางโลกทั้งหลาย พวกเขาไม่แตกต่างกันแต่อย่างใดเลย และตกอยู่ภายใต้ธรรมชาติเดียวกัน เมื่อผู้คนมีธรรมชาติเยี่ยงซาตานจำพวกนี้ เมื่อออกไปอยู่ในโลก พวกเขาจะเสาะแสวงที่จะได้มาซึ่งความรู้ การเรียนรู้ สถานะ และเพื่อโดดเด่นจากฝูงชน หากพวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็จะพยายามให้ได้มาซึ่งมงกุฎอันยิ่งใหญ่และพรอันยิ่งใหญ่ หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงในยามที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็จะต้องใช้เส้นทางนี้อย่างแน่นอน นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ เป็นกฎธรรมชาติ(“วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันเคยคิดว่า เป้าหมายในหน้าที่ของฉัน คือทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่หลังจากอ่านพระวจนะ ฉันก็เห็นว่า ที่จริงแล้วฉันคิดผิด ฉันดูกระตือรือร้นในหน้าที่ แต่ฉันไม่ได้พยายามได้รับความจริง หรือทำให้พระเจ้าพอพระทัย ฉันอยากได้รับพระพร และมีบั้นปลายที่ดี ฉันคิดว่า ตราบใดที่ฉันทำงานและยอมลำบาก พยายามหนัก ทนทุกข์ให้มากขึ้น พระเจ้าคงจะเห็นชอบ และฉันคงมีบั้นปลายที่ดี เพื่อพระพรจากพระเจ้า ฉันยอมกินข้าวช้า และนอนน้อยลง ถึงกับทิ้งการเฝ้าเดี่ยวและการอ่านพระวจนะเพื่อประหยัดเวลา อยากทำงานแลกบั้นปลายที่สวยงามในอนาคต อย่างกับ ลูกจ้างทำงานเพื่อเจ้านาย มันเหมือนการใช้แรงงานเพื่อให้ได้เงินเดือนจากนายจ้าง ฉันทำหน้าที่โดยหวังแลกเปลี่ยนกับพระเจ้า โกงพระเจ้า พระองค์ทรงอยากให้เราทำหน้าที่อย่างจริงใจ ไม่แลกเปลี่ยนหรือเรียกร้อง แต่ฉัน พยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า ใช้แรงกายแลกตั๋วสู่สวรรค์ เปาโลก็ไล่ตามเสาะหาแบบนั้นเหมือนกัน เปาโลมุ่งเน้นอยู่แต่เรื่องงาน อยากได้รับการปูนบำเหน็จ อยากได้มงกุฏ แต่เขาไม่ได้ไล่ตามความจริง หรือจริงจังกับพระวจนะเลย เรื่องเปลี่ยนแปลงตัวยิ่งแล้วใหญ่ เขาอยู่บนเส้นทาง ที่ต่อต้านพระเจ้า ฉันก็เหมือนกัน ฉันทำงานได้มากมาย แถมยังหวังพระพรจากพระเจ้ามากขึ้น จะได้มีบั้นปลายที่ดีขึ้น ฉันเห็นว่า ฉันไม่ได้ไล่ตามความจริง หรือรักพระเจ้าอย่างแท้จริง แล้วฉันจะได้รับการทรงเห็นชอบได้อย่างไร? พอไม่อ่านพระวจนะ ฉันก็ไม่รู้จักความเสื่อมทรามของตัวเอง และหันหลังให้กับเส้นทางของพระเจ้า ต่อมา ฉันก็นึกถึงผลของการที่ผู้นำใช้เส้นทางที่ผิด และได้เจอพระวจนะบทตอนนี้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “สิ่งใดคือสาเหตุของการอุบัติขึ้นของผู้คนหมวดหมู่ที่เป็นผู้นำและคนทำงาน และพวกเขาได้อุบัติขึ้นอย่างไรหรือ? ในวงกว้างนั้น พระราชกิจของพระเจ้าพึงต้องมีพวกเขา ทั้งนี้ ในวงแคบลงมา งานของคริสตจักรพึงต้องมีพวกเขา ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรพึงต้องมีพวกเขา…ความแตกต่างระหว่างผู้นำและคนทำงานกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่เหลือคือลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งในหน้าที่ที่พวกเขาปฏิบัติ ลักษณะที่พิเศษนี้แสดงให้เห็นอยู่ในบทบาทผู้นำของพวกเขาเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าคริสตจักรหนึ่งจะมีผู้คนกี่คน ผู้นำก็คือหัวหน้า ดังนั้นผู้นำคนนี้มีบทบาทอันใดในหมู่สมาชิก? พวกเขานำผู้ที่ได้รับการเลือกสรรทั้งหมดในคริสตจักร แล้วพวกเขามีผลต่อคริสตจักรทั้งมวลอย่างไร? หากผู้นำคนนี้ใช้เส้นทางที่ผิด ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักรก็จะติดตามผู้นำไปบนเส้นทางที่ผิด ซึ่งจะส่งผลต่อพวกเขาทั้งหมดเป็นอย่างมาก จงดูเปาโลเป็นตัวอย่าง เขานำทางคริสตจักรมากมายที่เขาก่อตั้งและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เมื่อเปาโลออกนอกลู่นอกทาง คริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่เขานำก็พลอยออกนอกลู่นอกทางไปด้วย ดังนั้นเมื่อผู้นำหลงผิด พวกเขาไม่ใช่พวกเดียวเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่คริสตจักรทั้งหลายและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรซึ่งพวกเขานำทางอยู่นั้นย่อมได้รับผลกระทบเช่นกัน(“พวกเขาพยายามที่จะเอาชนะใจผู้คน” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) พระวจนะทำให้ฉันฉุกคิด ว่าเส้นทางที่เลือกในฐานะผู้นำ เป็นสิ่งสำคัญมาก ท่าทีที่ฉันมีต่อความจริง เส้นทางที่ใช้ และวิธีปฏิบัติหน้าที่ กระทบต่อการเข้าสู่ของผู้อื่นโดยตรง ถ้าฉันใช้เส้นทางที่ผิด ฉันก็จะนำคนอื่นให้ไปกับฉันด้วย ในฐานะผู้นำ ฉันรับผิดชอบการนำพี่น้องชายหญิงในการไล่ตามความจริง แต่ฉัน กลับมุ่งเน้นกับงาน แทนการไล่ตามความจริง ไม่อ่านพระวจนะ ไม่แสวงหาความจริง ออกห่างพระเจ้า ฉันไม่ได้มุ่งเน้นการเข้าสู่ชีวิตของตัวเอง แล้วจะนำพี่น้องชายหญิงให้ไล่ตามความจริงได้อย่างไร? ฉันคงได้แค่นำพวกเขาไปบนเส้นทางแบบเปาโล ถ้าสุดท้ายพวกเขาถูกกำจัดทิ้ง เพราะไม่ได้ไล่ตามความจริง อย่างนั้นฉันคงเป็นคนชั่ว ทำลายโอกาสในความรอดของพวกเขา งานแบบนั้น คงไม่ใช่การทำดี แต่เป็นการทำชั่ว และเป็นการต่อต้านพระเจ้า ฉันยังตระหนักด้วยว่า การเอาแต่นำคนอื่นเพื่อทำงานผิวเผิน แต่ตีตัวเองออกจากพระเจ้าและความจริง เป็นเรื่องร้ายแรงแค่ไหน พระวจนะเปิดเผยความเสื่อมทรามของฉัน และแสดงให้ฉันเห็นเส้นทางที่ถูกต้องของการไล่ตาม และความรับผิดชอบของผู้นำ ฉันรู้ว่า ฉันต้องมุ่งเน้นการอ่านพระวจนะให้มากขึ้น แสวงหาความจริง และแก้ไขความเสื่อมทรามของตัวเอง ฉันถึงจะไม่ใช้เส้นทางที่ผิด

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะอีกสองบทตอน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “บั้นปลายของเปาโลและเปโตรนั้นประเมินตามการที่พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสรรพสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าได้หรือไม่ และไม่ใช่ตามขนาดของการมีส่วนร่วมสนับสนุนของพวกเขา บั้นปลายของพวกเขานั้นกำหนดพิจารณาตามสิ่งซึ่งพวกเขาได้แสวงหาตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่ใช่ตามการที่ว่าพวกเขาได้ทำงานไปมากเพียงใด หรือการประเมินพวกเขาโดยผู้คนอื่น และดังนั้นแล้ว การพยายามที่จะปฏิบัติหน้าที่ของคนเราอย่างแข็งขันในฐานะสิ่งทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าจึงเป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จ การแสวงหาเส้นทางแห่งความรักที่แท้จริงแด่พระเจ้าคือเส้นทางที่ถูกต้องที่สุด การแสวงหาการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยดั้งเดิมของคนเรา และการแสวงหาความรักอันบริสุทธิ์ที่มีแด่พระเจ้า คือเส้นทางสู่ความสำเร็จ เส้นทางสู่ความสำเร็จเช่นนั้นคือเส้นทางของการฟื้นคืนหน้าที่ดั้งเดิมตลอดจนการปรากฏดั้งเดิมของสิ่งทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า นั่นเป็นเส้นทางแห่งการฟื้นคืน และนั่นยังเป็นจุดมุ่งหมายของพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนจบด้วยเช่นกัน หากการไล่ตามเสาะหาของมนุษย์นั้นด่างพร้อยไปด้วยข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อส่วนตัวและการถวิลหาอันไร้เหตุผล เช่นนั้นแล้วผลที่สัมฤทธิ์ได้ก็ย่อมจะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของมนุษย์ การนี้ไม่ลงรอยกันกับพระราชกิจแห่งการฟื้นคืน ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันไม่ใช่พระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติ และดังนั้นแล้วนี่จึงพิสูจน์ว่าการไล่ตามเสาะหาประเภทนี้ไม่ได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า การไล่ตามเสาะหาที่ไม่ได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้านั้นมีนัยสำคัญอันใดเล่า?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน)เราตัดสินใจเรื่องบั้นปลายของแต่ละบุคคลโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอายุ ความอาวุโส ปริมาณความทุกข์ และที่น้อยที่สุดคือ ระดับความชวนสังเวชของพวกเขา แต่เป็นไปโดยสอดคล้องกับการที่ว่า พวกเขาครองความจริงหรือไม่ ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้ พวกเจ้าจำต้องตระหนักว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะถูกลงโทษด้วยเช่นกัน นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ถูกลงโทษได้ถูกทำการลงโทษไปเช่นนั้นก็เพื่อความชอบธรรมของพระเจ้า และเป็นการลงทัณฑ์อันสาสมแล้วกับการกระทำชั่วอันนับไม่ถ้วนของพวกเขา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า) พระวจนะนี้ช่วยให้ฉันเข้าใจ ว่าพระเจ้า ไม่ได้ทรงกำหนดจุดจบของเราตามขอบเขตของการมีส่วนร่วม ของงาน หรือความทุกข์ของเรา พระองค์ไม่เคยตรัสว่าจะอวยพรเรา ตามความหนักของงานที่ทำ ไม่เคยตรัสว่างานหนักจะนำเราไปสู่บั้นปลายที่ดี แต่ฉันเคยคิดว่า ตราบเท่าที่ทำงานหนัก และมีส่วนช่วยให้มากขึ้น ฉันคงได้รับการทรงเห็นชอบ และได้มีบั้นปลายที่ดี ฉันเลยกระตือรือร้นกับงานของคริสตจักรและการแก้ปัญหาของคนอื่นมาก ยินดีอย่างยิ่ง ที่จะทนทุกข์เพื่อหน้าที่ แต่การอ่านพระวจนะทำให้ฉันเห็นว่า ฉันมีมุมมองที่ผิด พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของเรา จากที่ว่าเราไล่ตามความจริงหรือไม่ มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ก็เหมือนอย่างเปาโล เขาทุ่มความพยายาม ทำงานหนัก ทนทุกข์มากมาย และตั้งคริสตจักรหลายแห่ง ผู้คนคิดว่าเขามีส่วนช่วยอย่างใหญ่หลวง แต่แรงจูงใจของเขาคือเพื่อให้ได้การปูนบำเหน็จ ได้มงกุฏ ทุกความพยายามที่เขาทุ่มเทไป จึงไม่ได้รับการทรงเห็นชอบ เขาถูกพระเจ้ากำจัดทิ้ง เพราะไม่เคยเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเลย แต่ถึงเปโตร จะไม่ได้ทำงานที่ยิ่งใหญ่อะไร เขาก็มุ่งเน้นแสวงหาความจริง และไตร่ตรองตัวเองตามพระวจนะ เขานำพระวจนะมาปฏิบัติ และสุดท้ายก็เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยได้ การไล่ตามของเขา สอดคล้องกับน้ำพระทัย ฉันเอง ไม่เข้าใจมาตรฐานที่พระเจ้าใช้กำหนดบั้นปลายคน แถมยังมีมโนคติอันหลงผิดในความเชื่อ ฉันคิดว่า การทำงานหนักคงทำให้ได้เข้าสู่ราชอาณาจักร และหวังจะแลกเปลี่ยนความพยายามเล็กน้อย เป็นบั้นปลายที่งดงาม การไล่ตามเสาะหาแบบนั้นไม่เกี่ยวกับพระเจ้า ฉันไม่ได้ไล่ตามความจริงให้พระเจ้าพอพระทัยด้วยใจบริสุทธิ์ และความเชื่อก็ไร้ความหมาย ด้วยการไล่ตามแบบนั้น ไม่ว่าฉันจะดูยุ่งแค่ไหน อุปนิสัยเสื่อมทรามของฉันก็ไม่เปลี่ยน ฉันยังเปี่ยมด้วยความโอหัง ละโมบ ทะนงตน ริษยา และเจ้าเล่ห์ คนที่เปี่ยมด้วยความเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานอย่างฉัน จะมีบั้นปลายที่ดีได้อย่างไร? ในหน้าที่ฉันก็ไม่เน้นการไตร่ตรองตนหรือแสวงหาน้ำพระทัย ฉันไม่ได้ทำสิ่งที่พระเจ้าพึงประสงค์ แล้วงานของฉัน จะสอดคล้องกับน้ำพระทัยได้อย่างไร? การพิพากษาและตีสอนแห่งพระวจนะ ทำให้ฉันเข้าใจมุมมองที่ผิดในการไล่ตามขึ้นบ้าง ไม่อย่างนั้น ฉันคงเอาแต่หลับหูหลับตาทำงานหนัก เปี่ยมด้วยจิตใจที่มีเล่ห์ลวง การไล่ตามนั้นมีแต่จะนำไปสู่การต่อต้านพระเจ้า และถูกลงโทษในที่สุด หลังจากเห็นความสำคัญของการไล่ตามความจริง ฉันก็เริ่มเปลี่ยนการไล่ตามที่ไม่เหมาะสม ไม่อยากอยู่ในสภาวะของการแค่ใช้แรงงานอีกต่อไป

จากนั้น ไม่ว่าจะยุ่งขนาดไหน ฉันก็จะใช้เวลากินดื่มพระวจนะทุกวัน และพยายามประสบกับพระวจนะผ่านหน้าที่ เวลาเจอปัญหา ฉันก็จะแสวงหาหลักธรรมแห่งความจริง และสามัคคีธรรมตามความจริง เพื่อช่วยแก้ปัญหาของคนอื่น การปฏิบัติพระวจนะ ทำให้ฉันสับสนน้อยลง และมีทิศทางในหน้าที่มากขึ้น เมื่อก่อนเวลางานยุ่งมากๆ ฉันก็กังวลว่าจะทำงานได้ช้า และถ้าทำได้ไม่ดีก็คงกระทบกับบั้นปลาย แต่ตอนนี้ถึงงานจะเยอะ ฉันก็ไม่ร้อนใจแล้ว ฉันจะ แสวงหาหลักธรรมแห่งความจริง เพื่อดูสิ่งที่ พระเจ้าพึงประสงค์ก่อน พอร่วมมือกับพระเจ้าในทางนั้น ฉันก็ได้เห็นการทรงนำ และผลลัพธ์ของฉันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ มีจุดหนึ่งที่ ฉันสังเกตว่าเหล่าพี่น้องค่อนข้างเอื่อยในหน้าที่ ฉันทั้งหัวเสีย และโกรธมาก ฉันใช้เวลาสามัคคีธรรมกับพวกเขาอยู่นาน แต่ก็ ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย พี่น้องบางคน ยังเอื่อยอยู่จริงๆ และนั่นทำให้งานของเราไม่ค่อยคืบหน้า ฉันเลย มาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ ว่าทำไมฉันถึงโกรธ และแรงจูงใจคืออะไรกันแน่ จากนั้น พออ่านพระวจนะฉันก็เห็นว่า ฉันรู้สึกแบบนั้น เพราะฉันคิดว่า การไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีจะทำให้ฉันดูแย่ และฉันอาจเสียตำแหน่งไปได้ ตอนนั้นฉันถึงตระหนักได้ ว่านั่นคือความเสื่อมทรามของฉัน ฉันต้องละทิ้งเนื้อหนังเพื่อความจริง สถานะไม่ได้มีค่าอะไร ไม่ว่าคนอื่นจะคิดกับฉันอย่างไร ฉันจะได้เป็นผู้นำหรือไม่ ฉันก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง นั่นคือเรื่องเดียวที่สำคัญ ฉันเลย ไปตรวจดูสาเหตุเบื้องหลังของความเอื่อยเฉื่อย และดูว่าพวกเขามีท่าทีอย่างไรต่อหน้าที่ เราอ่านพระวจนะด้วยกัน และผ่านการสามัคคีธรรม สภาวะของทุกคนก็ค่อยๆ ดีขึ้น และพวกเขา ก็ทำงานได้มากขึ้น

ประสบการณ์นี้ทำให้ฉันเห็นว่า การไล่ตามความจริงคือทางเดียวแห่งการติดตามพระเจ้า แห่งการเชื่อที่จริง ฉันจะพอใจแค่ทำสิ่งต่างๆ ให้เสร็จไม่ได้ แต่ต้องอ่านวจนะ ประสบกับงานของพระเจ้า ไล่ตามการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

วิธีรับมือกับการถูกตัดแต่ง

โดย โรซาลี, ประเทศเกาหลีใต้วันพุธที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2022 ฟ้าโปร่งวันนี้ฉันได้เริ่มต้นหน้าที่ใหม่ นั่นคืองานที่เกี่ยวกับต้นฉบับ...

ความไม่ละอายแห่งการโอ้อวด

โดย ว่าน ซินผิง, ประเทศจีน เดือนมีนาคมปี 2020 ฉันย้ายไปยังคริสตจักรใหม่ ที่คริสตจักรเก่าฉันเป็นผู้นำ และพี่น้องชายหญิง ก็เคารพฉันมาก...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger