หน้าที่อันไม่อาจเลี่ยง

วันที่ 07 เดือน 12 ปี 2022

เดือนกันยายนปี 2020 ฉันยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จากนั้น ฉันก็หมั่นเข้าชุมนุม และถามพี่น้องชายหญิงถึงสิ่งที่ไม่เข้าใจ ฉันยังสามัคคีธรรมความเข้าใจพระวจนะอย่างแข็งขัน รวมถึงหนุนใจคนอื่นๆ ให้สามัคคีธรรมเช่นกัน ครั้งหนึ่ง หัวหน้ากลุ่มบอกกับฉันว่า “ตอนชุมนุมคุณสามัคคีธรรมได้ดีมาก และมีความเข้าใจที่ดี คุณเต็มใจจะจัดการชุมนุมไหม?” ฉันแทบไม่อยากเชื่อหูเลย เธออยากให้ฉันจัดการชุมนุมหรือ? ฉันตั้งตารอโอกาสนี้มานานแล้ว ตอนเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันมักจะอิจฉาคนที่ได้ออกไปประกาศ ฉันถึงกับอยากเป็นศิษยาภิบาล เพื่อที่วันหนึ่งฉันจะได้ยืนประกาศเทศนาบนแท่นอ่านอย่างที่พวกเขาทำ ได้เป็นที่ยกย่องนับถือของคนอื่น ไม่อยากเชื่อเลยว่า ในที่สุดความฝันของฉันก็กลายเป็นจริง ในหมู่คนที่ชุมนุมด้วยกัน ฉันเป็นคนเดียวที่ถูกเลือกให้เป็นคนจัดการชุมนุม ฉันเลยรู้สึกว่า มันแปลว่าฉันเก่งกว่าใคร ฉันรู้สึกโชคดีมาก และตอบรับข้อเสนอไปแบบไม่ลังเลเลย ฉันตั้งใจว่า จะเตรียมการชุมนุมไว้ล่วงหน้า แก้ไขปัญหาให้เหล่าพี่น้อง ทันทีที่มันเกิดขึ้น และถ้าแก้ไม่ได้ ฉันก็จะไปขอให้หัวหน้ากลุ่มช่วย พอผ่านไปสักพัก หัวหน้ากลุ่มก็บอกว่าฉันจัดได้ดีมาก และยิ่งมั่นใจในตัวฉัน ฉันภูมิใจอย่างเหลือเชื่อเลย ต่อมา ด้วยความต้องการของงานตอนนั้น พี่ไอวี่ผู้นำคริสตจักรได้มอบหมายให้ฉันไปแบ่งปันข่าวประเสริฐ ความรับผิดชอบหลักของฉัน คือเชิญผู้คนมาฟังเทศนา ฉันรับไม่ได้เพราะรู้สึกว่า ผู้แบ่งปันข่าวประเสริฐต่ำต้อยกว่าคนจัดการชุมนุม คนจัดการชุมนุมถูกมองเป็นผู้นำ ตำแหน่งนี้ทำให้ฉันได้นำ และต่างจากคนอื่น ขณะที่การเชิญคนมาฟังเทศนา เป็นงานที่อยู่เบื้องหลัง และไม่มีใครสังเกตเห็น ฉันบ่นกับตัวเองว่า “ทำไมมอบหมายให้ฉันทำงานนี้ล่ะ? ฉันเก่งไม่พอหรือ?” ฉันแค่ไม่เข้าใจ ฉันถึงกับเกิดอคติต่อผู้นำ เชื่อว่าเธอคิดดูถูกฉัน เธอสามัคคีธรรมกับฉันว่า การแบ่งปันข่าวประเสริฐเป็นพระบัญชา และเป็นหน้าที่ที่ทุกคนควรทำ ฉันถึงต้องนบนอบแบบไม่เต็มใจ แต่ฉันไม่ได้ให้ใจกับการแบ่งปันข่าวประเสริฐ และอยากกลับไปจัดการชุมนุมเสมอ ฉันถึงกับคิดว่า การแบ่งปันข่าวประเสริฐไม่ใช่งานสำหรับฉัน และฉันทำได้ดีกว่านี้มาก ในฐานะคนจัดการชุมนุม

แต่ฉันก็ประหลาดใจที่ วันหนึ่ง ผู้นำระดับสูงบอกฉันว่า “ฉันมีข่าวดีมาบอก คุณได้รับเลือกเป็นผู้นำคริสตจักร” ฉันฟังแล้วตกใจมากค่ะ ฉันยังไม่เข้าใจความจริง แล้วจะรับผิดชอบบทบาทที่สำคัญแบบนั้นได้ยังไง? แต่ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงยกชูฉัน ฉันเลยยอมรับมัน ต่อมา ผู้นำบอกฉันว่า ฉันจะรับผิดชอบงานข่าวประเสริฐเป็นหลัก ทันทีที่ได้ยินคำว่า “งานข่าวประเสริฐ” อย่างแรกฉันก็ยังคิดว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญน้อยกว่า ก็แค่สามัคคีธรรมกับผู้แสวงหาที่แท้จริง ไม่ได้ช่วยให้ฉันเป็นที่รู้จัก ฉันเริ่มพร่ำบ่นในใจและรู้สึกต่อต้านอีกครั้ง ฉันไม่อยากรับผิดชอบงานข่าวประเสริฐ จากนั้น ตอนที่ทำหน้าที่ ฉันก็มุ่งเน้นแต่การจัดการชุมนุม และสนใจงานข่าวประเสริฐแค่เล็กน้อย เวลาที่ระดับสูงถามถึงงานข่าวประเสริฐ ฉันก็ไม่มีความเข้าใจที่ดี และไม่มีอะไรจะพูด ฉันรู้ว่า ที่คริสตจักรไม่ได้ผลที่ดีในงานข่าวประเสริฐ และพี่น้องก็ไม่รู้วิธีแบ่งปันข่าวประเสริฐ เป็นเพราะฉันละเลย ฉันรู้สึกแย่มาก ต่อมา ฉันเปิดใจเรื่องสภาวะกับเหล่าผู้นำ และพวกเขาก็สามัคคีธรรม และพูดคุยกับฉันถึงวิธีแก้ไขสถานการณ์ พวกเขายังขอให้นับจากนี้ ฉันมุ่งเน้นกับงานข่าวประเสริฐมากขึ้น ฉันรู้สึกผิดจริงๆ ในฐานะผู้นำ ฉันควรแบกรับภาระในงานข่าวประเสริฐ แต่ฉันก็ไม่สามารถรับผิดชอบหน้าที่ได้ และผลคือ งานข่าวประเสริฐออกมาไม่ดี พอตระหนักถึงทั้งหมดนี้ ฉันก็ได้แต่รู้สึกแย่

ระหว่างชุมนุม ฉันเห็นพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ช่วยให้ฉันเข้าใจตัวเองมากขึ้น พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “อะไรคือท่าทีที่เจ้าควรมีต่อหน้าที่ของเจ้า ท่าทีที่สามารถเรียกได้ว่าถูกต้องและเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า? ประการแรก เจ้าไม่สามารถพินิจพิเคราะห์ได้ว่าหน้าที่นั้นจัดการเตรียมการโดยใคร หน้าที่นั้นมอบหมายโดยผู้นำระดับใด—เจ้าควรยอมรับหน้าที่นั้นจากพระเจ้า เจ้าไม่สามารถวิเคราะห์สิ่งนี้ เจ้าควรยอมรับหน้าที่จากพระเจ้า นี่คือเงื่อนไข ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าจะเป็นสิ่งใด จงอย่าเลือกปฏิบัติระหว่างสูงและต่ำ สมมุติว่าเจ้าพูดว่า ‘แม้ว่ากิจนี้จะเป็นพระบัญชาจากพระเจ้าและงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่หากฉันทำกิจนี้ ผู้คนอาจจะดูแคลนฉัน คนอื่นได้ทำงานที่ปล่อยให้พวกเขาโดดเด่น ฉันได้รับมอบกิจนี้ ซึ่งไม่ได้เปิดโอกาสให้ฉันโดดเด่น แต่กลับทำให้ฉันต้องทุ่มเทอยู่หลังฉาก นี่ไม่เป็นธรรม! ฉันจะไม่ทำหน้าที่นี้ หน้าที่ของฉันต้องเป็นหน้าที่ที่ทำให้ฉันโดดเด่นต่อหน้าคนอื่น และเปิดโอกาสให้ฉันได้สร้างชื่อให้ตัวฉันเอง—และต่อให้ฉันไม่ได้สร้างชื่อให้ตัวฉันเองหรือโดดเด่น ฉันก็ยังคงจำเป็นที่จะต้องได้รับประโยชน์จากหน้าที่นั้นและรู้สึกสุขสบายทางกาย’ นี่เป็นท่าทีที่ยอมรับได้อยู่หรือ? การเลือกมากคือการไม่ยอมรับสิ่งที่มาจากพระเจ้า มันคือการตัดสินใจเลือกไปตามการเลือกชอบของเจ้าเอง นี่ไม่ใช่การยอมรับหน้าที่ของเจ้า มันคือการปฏิเสธหน้าที่ของเจ้า เป็นการสำแดงความเป็นกบฏของเจ้า การเลือกมากเช่นนั้นเจือปนไปด้วยการเลือกชอบและความอยากได้อยากมีแบบปัจเจกบุคคลของเจ้า เมื่อเจ้าพิจารณาถึงผลประโยชน์ของเจ้าเอง ความมีหน้ามีตาของเจ้า และอื่นๆ ท่าทีของเจ้าต่อหน้าที่ของเจ้าจึงไม่นบนอบ เจ้าควรมีท่าทีเช่นใดต่อหน้าที่ของเจ้า? ประการแรก เจ้าต้องไม่วิเคราะห์หน้าที่ของเจ้า และไม่คำนึงว่าผู้ใดมอบหมายหน้าที่นี้แก่เจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเจ้าควรยอมรับหน้าที่นี้จากพระเจ้า ในฐานะหน้าที่ที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ และเจ้าควรเชื่อฟังการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และยอมรับหน้าที่ของเจ้าจากพระเจ้า ประการที่สอง จงอย่าแยกแยะสูงต่ำ และจงอย่ากังวลสนใจในธรรมชาติของหน้าที่ ไม่ว่าหน้าที่จะส่งให้เจ้าโดดเด่นหรือไม่ ไม่ว่าจะทำต่อหน้าธารกำนัลหรืออยู่เบื้องหลัง จงอย่าพิจารณาสิ่งเหล่านี้ ยังมีอีกท่าทีหนึ่งด้วยคือการเชื่อฟังและการให้ความร่วมมืออย่างแข็งขัน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?) พออ่านจบ ฉันก็ตระหนักได้ว่า ไม่มีหน้าที่ไหนสำคัญมากกว่าหรือน้อยกว่า ในสายพระเนตร ไม่ว่าจะทำงานอะไรในตริสตจักร เราก็ล้วนทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เราไม่ควรแยกว่าหน้าที่ไหนสำคัญมากกว่าหรือน้อยกว่า และไม่ควรมองว่ามาจากใครคนหนึ่ง หน้าที่คือความรับผิดชอบที่เราควรทำให้ลุล่วง พอทบทวนตัวเอง ฉันก็เห็นว่าฉันให้ความสำคัญกับสิ่งที่ชอบที่สุดเสมอ เอาแต่เลือกงานที่จะทำให้ฉันโดดเด่น แต่ละครั้งที่ได้รับมอบหมายงานที่ไม่ชอบ และไม่ช่วยให้ฉันโดดเด่น ฉันก็จะไม่ยอมรับ แถมยังต่อต้าน และพร่ำบ่นอยู่ในใจ เวลาผู้นำมอบหมายให้ฉันจัดการชุมนุม ด้วยความที่ชอบงานนั้น แถมมันยังสนองความต้องการ และทำให้ฉันแตกต่าง ฉันเลยมีความสุข และทำหน้าที่อย่างหนัก แต่พอผู้นำมอบหมายให้ไปแบ่งปันข่าวประเสริฐ ฉันก็บ่นว่าเธอ เพราะหน้าที่นี้ไม่ช่วยให้ฉันโดดเด่น และฉันเชื่อว่าเธอคิดดูถูกฉัน ฉันเลยรู้สึกผิดหวัง เสียใจ และถึงกับเกิดอคติต่อเธอ ฉันจุกจิดกับหน้าที่ที่ทำ ไม่ยอมรับว่ามันมาจากพระเจ้า และไม่นบนอบอย่างแท้จริง เพราะฉันมีความคิดที่บกพร่องต่อหน้าที่ ฉันเลยทำงานข่าวประเสริฐแบบขอไปที และสนใจแค่เล็กน้อย ผลคือผลออกมาไม่ดี และงานข่าวประเสริฐก็ล่าช้าไปโดยตรง ฉันตระหนักถึงความผิดพลาดในทางของฉันว่า ไม่ว่าเราจะได้รับหน้าที่อะไร ไม่ว่าฉันจะชอบมันหรือไม่ ตราบใดที่มันจำเป็นต่องานของคริสตจักร ฉันก็ควรนบนอบ และทำมันให้เต็มที่ นี่ควรเป็นสิ่งแรกที่ฉันคำนึงถึง แต่ฉันคิดถึงหน้าที่ในแง่ความชอบส่วนตัวเสมอ ฉันไม่เชื่อฟัง และไม่ภักดีเลยจริงๆ ขอบคุณพระเจ้า! ฉันมีความสุขมากที่ได้รู้ความเสื่อมทรามของตัวเองผ่านการอ่านพระวจนะบทตอนนี้ ฉันตั้งใจแน่วแน่ว่า ไม่ว่าจะได้รับมอบหมายหน้าที่ไหน ฉันก็จะนบนอบค่ะ

ฉันสงบความคิด และถามตัวเองว่า เพราะอะไร ถ้าหน้าที่นั้นสนองความชอบและความต้องการของฉัน และอนุญาตให้ฉันโดดเด่น ฉันจะขอบคุณพระเจ้า แต่ถ้าไม่ชอบหน้าที่นี้ ฉันก็ไม่เต็มใจที่จะทำ จนถึงกับพร่ำบ่น และไม่อาจนบนอบได้? ฉันได้พบคำตอบในพระวจนะ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ความทะนุถนอมที่พวกศัตรูของพระคริสต์มีต่อสถานะและเกียรติยศนั้นไปไกลเกินกว่าความทะนุถนอมอย่างเดียวกันของผู้คนปกติ และเป็นบางสิ่งที่อยู่ภายในอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกเขา นั่นไม่ใช่ความสนใจชั่วคราวหรือผลกระทบชั่วครู่ชั่วยามจากสิ่งรอบตัวของพวกเขา—นั่นเป็นบางสิ่งภายในชีวิตของพวกเขา กระดูกของพวกเขา และดังนั้นนั่นจึงเป็นแก่นแท้ของพวกเขา นี่กล่าวได้ว่าในทุกสิ่งทุกอย่างที่ศัตรูของพระคริสต์ทำ การคิดพิจารณาอย่างแรกของพวกเขาก็คือสถานะและเกียรติยศของพวกเขาเอง ไม่ใช่อะไรอื่น สำหรับศัตรูของพระคริสต์ สถานะและเกียรติยศคือชีวิตของพวกเขา และเป็นเป้าหมายชั่วชีวิตของพวกเขา ในทั้งหมดที่พวกเขาทำ การคิดพิจารณาอย่างแรกของพวกเขาคือ ‘จะเกิดอะไรขึ้นกับสถานะของฉัน? แล้วกับเกียรติยศของฉันล่ะ? การทำเช่นนี้จะให้เกียรติยศแก่ฉันหรือไม่? นั่นจะยกระดับสถานะของฉันในจิตใจของผู้คนหรือไม่?’ นั่นคือสิ่งแรกที่พวกเขาคิดถึง ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่มากพอว่าพวกเขามีอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกศัตรูของพระคริสต์ หาไม่แล้วพวกเขาย่อมจะไม่คำนึงถึงปัญหาเหล่านี้ อาจกล่าวได้ว่าสำหรับศัตรูของพระคริสต์ สถานะและเกียรติยศไม่ใช่ข้อพึงประสงค์เพิ่มเติมบางอย่าง นับประสาอะไรที่จะเป็นบางสิ่งที่นอกเหนือซึ่งพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ สิ่งเหล่านี้อยู่ในกระดูกของพวกเขา ในเลือดของพวกเขา สิ่งเหล่านี้มีมาแต่กำเนิดสำหรับพวกเขา พวกศัตรูของพระคริสต์นั้นมิใช่ไม่แยแสต่อการที่พวกเขาครองสถานะและเกียรติยศหรือไม่ นี่ไม่ใช่ท่าทีของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว อะไรคือท่าทีของพวกเขา? สถานะและเกียรติยศเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของพวกเขา กับสภาวะในแต่ละวันของพวกเขา กับสิ่งที่พวกเขาเพียรพยายามเพื่อให้ได้มาเป็นประจำทุกวัน และดังนั้นแล้ว สำหรับศัตรูของพระคริสต์ สถานะและเกียรติยศจึงเป็นชีวิตของพวกเขา ไม่สำคัญว่าพวกเขาดำรงชีวิตอยู่อย่างไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมใด ไม่สำคัญว่าพวกเขาทำงานอะไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาเพียรพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใด เป้าหมายของพวกเขาคือสิ่งใด ทิศทางชีวิตของพวกเขาคืออะไร ทั้งหมดนั่นวนเวียนอยู่กับการมีความมีหน้ามีตาที่ดีและฐานะทางสังคมที่สูงส่ง และจุดมุ่งหมายนี้ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาไม่สามารถละวางจุดมุ่งหมายนี้ได้เลย นี่คือหน้าตาที่แท้จริงของพวกศัตรูของพระคริสต์ และแก่นแท้ของพวกเขา(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า: พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สาม)) พระวจนะทำให้ฉันเห็นว่า ศัตรูของพระคริสต์ ละโมบความมีหน้ามีตาและสถานะเป็นพิเศษ พวกเขาอยากเป็นหัวหน้าของคนที่เหลือ และอยากมีที่ในใจคนเสมอ ไม่ว่าสถานการณ์ไหน สิ่งแรกที่พวกเขาคำนึงถึง คือจะได้รับการยกย่องนับถือจากคนอื่นหรือไม่ คนธรรมดาอาจผิดหวังเล็กน้อย เมื่อไม่ได้รับความมีหน้ามีตาและสถานะ แต่ศัตรูของพระคริสต์จะทำงานไม่ได้เลย และพบว่ามันทรมานใจอย่างเหลือเชื่อ จนแทบจะมีชีวิตต่อไปไม่ได้ สำหรับคนพวกนี้ ความมีหน้ามีตาและสถานะคือเส้นชีวิตของพวกเขา ฉันก็มีอุปนิสัยแบบเดียวกัน ที่อยากมีหน้ามีตา มีสถานะ และเป็นที่ยกย่องเสมอ ในบรรดาพี่น้อง ฉันมักจะอยากเป็นลูกคนโปรดของพ่อแม่ ในหมู่เพื่อนฝูง ฉันก็อยากเป็นที่นิยมที่สุด ที่โรงเรียน ฉันอยากได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ และในฐานะผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันอยากเป็นแบบผู้ประกาศ ที่เทศนาธรรมต่อหน้าฝูงชน และมีคนมานับถือ หลังยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันก็ยังอยากไล่ตามสิ่งเดิม ฉันคิดว่าจะได้พิสูจน์ตัวเองผ่านการจัดการชุมนุม ได้เป็นที่ยกย่อง และนับถือจากเหล่าผู้นำ พอได้รับมอบหมายให้จัดการชุมนุม ฉันจึงมีความสุขมาก และฉันก็รักความรู้สึกของการที่ทุกคนมาเคารพยกย่อง แต่การแบ่งปันข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่เบื้องหลัง ที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ถึงจะได้รับตำแหน่งว่าเป็น “ผู้นำ” ฉันก็ยังไม่ยอมรับ คิดว่ามันเป็นงานที่ไม่ได้สำคัญ และได้แต่สงสัยว่า เมื่อไหร่จะได้กลับไปจัดการชุมนุมเสียที เมื่อไม่ได้รับการสนองความปรารถนา ฉันก็เริ่มทำงานแบบขอไปที นำไปสู่ผลลัพธ์แย่ๆ ในงานข่าวประเสริฐ เมื่อก่อน ทุกคำอธิษฐานที่ว่าฉันอยากทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ มันไม่ใช่คำที่จริงและจริงใจ ฉันหลอกลวงพระเจ้าอยู่! ฉันทำหน้าที่แค่เพื่อรักษาสถานะและความมีหน้ามีตาเอาไว้ และเพื่อให้เป็นที่นับถือของเหล่าพี่น้อง ไม่ใช่เพื่อสนองพระเจ้า ฉันทรยศอุปนิสัยศัตรูของพระคริสต์ และเดินบนเส้นทางที่ต่อต้านพระเจ้า พอตระหนักทั้งหมดนี้ได้ ฉันก็ชักกลัว อันตรายจริงๆ! ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ ว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์อยู่ในจุดที่อันตรายมาก ข้าฯ ไล่ตามความมีหน้ามีตาและสถานะ แถมยังเดินบนทางที่ผิด ข้าฯ พร้อมกลับใจและอธิษฐานขอความรอดจากพระองค์แล้ว”

ที่การชุมนุม ฉันอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง ซึ่งช่วยแก้ไขมุมมองที่ผิดของฉันเรื่องงานข่าวประเสริฐ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เราเตือนผู้คนทั้งหมดและให้พวกเขาทั้งปวงรู้ว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ใช่อาชีพทางจิตวิญญาณพิเศษของผู้คนประเภทเดียวหรือกลุ่มเดียว นั่นเป็นอาชีพทางจิตวิญญาณของทุกบุคคลที่ติดตามพระเจ้า เหตุใดเราจึงควรทำให้ผู้คนเข้าใจแง่มุมนี้ของความจริง? และเหตุใดพวกเขาจึงจำเป็นต้องรู้การนี้? เพราะการเผยแผ่ข่าวประเสริฐคือภารกิจและอาชีพทางจิตวิญญาณที่ทุกสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและทุกผู้ติดตามของพระเจ้า ไม่ว่าจะสูงวัยหรือเยาว์วัย ชายหรือหญิง ต้องยอมรับ หากภารกิจนี้มาถึงตัวเจ้าและพึงต้องให้เจ้าสละตัวเจ้าเอง จ่ายราคา และถึงกับมอบชีวิตของเจ้า เจ้าควรทำสิ่งใด? เจ้าควรยอมรับ เพราะโดยหน้าที่แล้วเจ้าต้องทำ นี่คือความจริง และเป็นสิ่งที่เจ้าควรเข้าใจ นี่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของคำสอนที่เรียบง่าย นี่คือความจริง และสิ่งใดที่ทำให้การนี้เป็นความจริง? นี่เป็นเพราะการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและการเป็นพยานให้พระเจ้าคือสิ่งซึ่งเป็นบวกชั่วนิรันดร์ โดยไม่คำนึงถึงกาลเวลาที่เคลื่อนคล้อยไป หรือวิธีที่ยุคสมัยเปลี่ยนแปลง หรือวิธีที่สภาพภูมิศาสตร์และพื้นที่เปลี่ยนแปลง ความหมายของความจริงและคุณค่าของความจริงนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ความจริงไม่เปลี่ยนแปลงตามกระบวนการเคลื่อนผ่านของกาลเวลา หรือตามตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ความจริงดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ และเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงควรที่จะยอมรับและนำไปปฏิบัติ นี่คือความจริงนิรันดร์ ผู้คนบางคนพูดว่า ‘ฉันไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ’ แม้กระนั้นความจริงเกี่ยวกับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐก็คือบางสิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจ เนื่องจากนี่คือความจริงในอาณาจักรของนิมิต ผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคนจึงต้องเข้าใจความจริง นี่คือสิ่งที่ทำให้ความเชื่อที่คนเรามีในพระเจ้าเกิดการหยั่งราก และมีประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของคนเรา ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจะมีการติดต่อพูดจากับผู้ไม่เชื่อไม่ว่าเจ้าจะมีหน้าที่ใด ดังนั้นเจ้าจึงมีความรับผิดชอบในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงเกี่ยวกับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแล้ว เจ้าก็จะรู้ในหัวใจของเจ้าว่า ‘การประกาศพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าและการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระราชกิจของพระองค์ที่จะช่วยผู้คนให้รอดก็คืออาชีพทางจิตวิญญาณของฉัน โดยไม่คำนึงถึงสถานที่หรือเวลา โดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งของฉันหรือบทบาทของฉันหรือหน้าที่ที่ฉันกำลังปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน ฉันมีภาระผูกพันต้องไปเผยแผ่ข่าวดีเกี่ยวกับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า มันเป็นหน้าที่ซึ่งฉันมีหนี้บุญเจ้าที่จะต้องส่งต่อข่าวดีเมื่อใดก็ตามที่ฉันมีโอกาสเหมาะหรือเวลาว่าง’ เหล่านี้เป็นความคิดปัจจุบันของผู้คนส่วนมากใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) ผู้คนส่วนใหญ่คิดอย่างไร? ‘ตอนนี้ฉันมีหน้าที่ตายตัว ฉันมีส่วนร่วมในการศึกษาและซอกซอนเข้าไปในวิชาชีพและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ตายตัว ดังนั้นการเผยแผ่ข่าวประเสริฐจึงไม่เกี่ยวกับฉันแต่อย่างใดเลย’ นี่คือท่าทีประเภทใด? นี่คือท่าทีแห่งการบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของคนเราและภารกิจของคนเรา ท่าทีที่เป็นลบ และบุคคลเช่นนี้ไม่คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและไม่เชื่อฟังพระองค์ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร หากเจ้าไม่มีภาระในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เจ้าก็กำลังแสดงให้เห็นถึงการขาดพร่องมโนธรรมและเหตุผลมิใช่หรือ? หากเจ้าไม่กร้าวแกร่งและให้ความร่วมมือในเชิงรุก ยอมรับผิดชอบและยอมนบนอบ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เพียงแค่กำลังมีปฏิกิริยาในเชิงลบและนิ่งเฉย นี่เป็นท่าทีที่เจ้าต้องไม่ใช้ ไม่สำคัญว่าเจ้าทำหน้าที่ใด และไม่สำคัญว่าหน้าที่ของเจ้าเกี่ยวข้องกับวิชาชีพใดหรือความชำนาญพิเศษใด หนึ่งในแง่มุมที่สำคัญที่สุดในดอกผลทั้งหมดที่ได้จากงานของเจ้าก็คือการที่สามารถเผยแผ่และเป็นพยานต่อข่าวประเสริฐเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอด นี่เป็นสิ่งเล็กน้อยที่สุดที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่หนึ่ง: พวกเขาพยายามที่จะเอาชนะใจผู้คน) พออ่านจบฉันก็เริ่มร้องไห้ รู้สึกผิดเหลือเกิน พระวจนะแสดงให้ฉันเห็นชัดเจนว่า การแบ่งปันข่าวประเสริฐคือพระบัญชาของพระเจ้า เป็นหน้าที่และภารกิจที่ทุกคนหนีไม่ได้ ที่คริสตจักร ไม่ว่าจะทำหน้าที่อะไร สุดท้ายเราก็มีเป้าหมายเดียวกัน คือเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า สำหรับฉัน ฉันไม่ชอบแบ่งปันข่าวประเสริฐ และถึงกับคิดอย่างผิดๆ ว่า ฉันไม่มีส่วนในงานข่าวประเสริฐ ฉันคิดว่าตราบใดที่ฉันจัดการชุมนุม และให้น้ำพี่น้องชายหญิง ฉันก็ได้ทำหน้าที่ และได้สนองพระเจ้าแล้ว ฉันแค่ไม่เข้าใจว่า งานข่าวประเสริฐสำคัญแค่ไหน ตอนนั้นฉันถึงตระหนักว่า การเผยแผ่ข่าวประเสริฐคือคือเจตนารมณ์อันเร่งด่วนของพระเจ้า งานข่าวประเสริฐ เป็นงานเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด เป็นพยานแก่พระเจ้าโดย ทำให้ผู้คนเข้าใจพระราชกิจ และหวนคืนสู่เบื้องพระพักตร์เพื่อถูกช่วยให้รอด นี่คืองานที่เปี่ยมความหมายอย่างแท้จริง แต่ฉันไม่ได้สนใจที่จะเป็นพยานให้แก่พระเจ้า และไม่แบกรับภาระในหน้าที่เลยแม้แต่น้อย ตอนที่ผู้นำมอบหมายให้ฉันแบ่งปันข่าวประเสริฐ ฉันถึงกับต่อต้าน ปฏิเสธ และบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ ฉันขาดมโนธรรมและความมีเหตุผลอย่างมาก! ถ้าไม่มีคนเชิญฉันไปฟังเทศนา แบ่งปันข่าวประเสริฐ และเป็นพยานยืนยันเรื่องพระเจ้ากับฉัน ฉันคงไม่มีวันได้ยินพระสุรเสียง และไม่มีโอกาสยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ถ้าในการแบ่งปันข่าวประเสริฐฉันทำส่วนของตัวเองไม่ได้ เอาแต่ทำไปมั่วๆ พระเจ้าคงไม่คิดว่าฉันเป็นผู้เชื่อ และผู้ติดตามของพระองค์ พระองค์คงคิดว่า ฉันขาดมโนธรรมและความเป็นมนุษย์ ฉันบ่ายเบี่ยงและปฏิเสธความรับผิดชอบในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ และถึงกับอยากทิ้งงานข่าวประเสริฐ ไปมุ่งเน้นการจัดชุมนุม คิดย้อนไป นั่นเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง ฉันนึกถึงเรื่องราวของโนอาห์ เขาไม่สงสัยเลยตอนได้ฟังพระวจนะ และไม่คิดถึงประโยชน์ส่วนตน เขาแค่อยากสนองพระเจ้า เอาใจใส่น้ำพระทัย และสร้างเรือตามที่ทรงบัญชา เขายังแบ่งปันข่าวประเสริฐอย่างเต็มที่ ฉันพบว่าประสบการณ์ของโนอาห์ ให้แรงจูงใจมาก ฉันอยากนบนอบต่อการจัดเตรียมของพระเจ้า และทำหน้าที่ให้ดีเหมือนโนอาห์ค่ะ ฉันขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ที่ทรงช่วยให้ฉันเข้าใจแง่มุมนี้ของความจริง และรับรู้ความเสื่อมทรามของตัวเอง ฉันพร้อมที่จะกลับใจ และไม่ว่าจะได้รับมอบหมายงานอะไร ฉันก็จะแบ่งปันข่าวประเสริฐค่ะ!

หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มมุ่งเน้นการแบ่งปันข่าวประเสริฐ ฉันไม่ได้มีประสบการณ์มากนัก และการสามัคคีธรรมกับคนหลายแบบก็ท้าทายมาก พวกเขาอาจปฏิเสธฉัน หรือฉันอาจประสบกับความยากลำบากทุกรูปแบบ แต่ฉันก็เลิกไม่ได้ ฉันนึกถึงพระวจนะที่กล่าวว่า “ไม่สำคัญว่าเจ้าทำหน้าที่ใด และไม่สำคัญว่าหน้าที่ของเจ้าเกี่ยวข้องกับวิชาชีพใดหรือความชำนาญพิเศษใด หนึ่งในแง่มุมที่สำคัญที่สุด ในดอกผลทั้งหมดที่ได้จากงานของเจ้า ก็คือการที่สามารถเผยแผ่และเป็นพยานต่อข่าวประเสริฐเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอด นี่เป็นสิ่งเล็กน้อยที่สุดที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่หนึ่ง: พวกเขาพยายามที่จะเอาชนะใจผู้คน) บทตอนนี้ให้แรงจูงใจฉันจริงๆ หน้าที่ที่ฉันได้รับมอบหมายก็คือความรับผิดชอบ ฉันพร้อมนบนอบค่ะ มันอาจยากลำบาก แต่ฉันรู้ว่า ตราบใดที่ฉันอธิษฐานอย่างจริงใจ พระองค์ก็จะทรงนำฉัน ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

หัวใจหลุดพ้น

โดย เจิ้งซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเดือนตุลาคม ปี 2016 ฉันกับสามียอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าตอนที่เราอยู่ต่างประเทศ...

เบื้องหลังความเงียบ

โดย หลี่จี้ ประเทศจีน ฉันไม่ใช่คนพูดมากสักเท่าไหร่ และไม่บ่อยนักที่ฉันเปิดใจและพูดจากหัวใจ...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger