ผลที่ตามมาจากการไม่ไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิต

วันที่ 14 เดือน 11 ปี 2024

ในเดือนกันยายน 2023 พี่น้องหญิงที่เป็นผู้ร่วมงานกับฉันถูกตำรวจจับกุม ในตอนนั้นฉันเป็นผู้นำคริสตจักร และเมื่อฉันเห็นว่าพี่น้องชายหญิงล้วนอยู่ในความหวาดกลัว ต้องการความช่วยเหลือและการเกื้อหนุน และงานที่ตามมาจำเป็นต้องได้รับการจัดการอย่างเร่งด่วน ฉันรู้สึกกังวลใจมากๆ แล้วฉันก็เริ่มทำให้ตัวเองยุ่งตลอดเวลากับการขนย้ายหนังสือ การสามัคคีธรรมและการแก้ไขสภาวะของพี่น้องชายหญิง อีกทั้งการให้น้ำและการเกื้อหนุนผู้มาใหม่ ในตอนนั้น ทุกวันฉันออกจากบ้านก่อนฟ้าสาง และตกกลางคืนฉันอยู่จนถึงดึกมากก่อนจะเข้านอน ถึงบางครั้งฉันรู้สึกเหนื่อยมาก แต่เมื่อได้เห็นสภาวะของพี่น้องชายหญิงเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแล้วสามารถทำหน้าที่ได้ปกติ และหนังสือต่างๆ ได้รับการขนย้ายไปยังบ้านที่ปลอดภัยอย่างราบรื่น ฉันก็รู้สึกดีใจเป็นพิเศษ และฉันคิดว่า “ในสภาพการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ ฉันสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างดี และงานของคริสตจักรก็ไม่เกิดการสูญเสียใดๆ ถ้าฉันร่วมมือในลักษณะนี้ต่อไป ท้ายที่สุดฉันก็จะได้รับการช่วยให้รอดของพระเจ้าแน่นอน” เมื่อคิดเรื่องนี้ ฉันก็ทำหน้าที่ได้อย่างกระฉับกระเฉงขึ้น ทุกๆ เช้าตอนฉันตื่นนอน ฉันจะตรงไปชุมนุมและลงมือทำงาน แต่เรื่องที่ว่างานที่ฉันทำนั้นสอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่ ฉันแทบไม่เคยทบทวนดูเลย แม้แต่ตอนที่ฉันใช้เวลากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ฉันเอาแต่คิดว่าบทตอนไหนในพระวจนะของพระเจ้าที่สามารถแก้ไขสภาวะของพี่น้องชายหญิงได้ แต่แทบไม่เคยเปรียบเทียบพระวจนะของพระองค์กับสภาวะของตัวเอง บางครั้งฉันก็ตระหนักว่าฉันมุ่งเน้นไปที่การทำงานเท่านั้น และแทบไม่เคยแสวงหาความจริงและทบทวนถึงตัวเอง แต่เมื่อฉันเห็นความก้าวหน้าของงาน ฉันก็รู้สึกว่าไม่เป็นไรหรอกถ้าฉันกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเพียงเล็กน้อย หรือไม่ได้แสวงหาความจริง ตราบใดที่ฉันทำงานได้ดี นั่นก็เพียงพอแล้ว นอกจากนั้น คริสตจักรยังมีงานอีกมากมายที่ต้องทำให้เสร็จ ฉันจึงทำตัวเองให้ยุ่งกับชิ้นงานต่างๆ

ต่อมา พี่น้องหญิงคนหนึ่งก็ถูกเลือกให้เป็นผู้ร่วมงานของฉัน เพราะว่าเธอยังใหม่กับบางงาน ฉันจึงทำงานจำนวนมากด้วยตัวเอง พอถึงเวลาปรึกษาหารืองาน ฉันสังเกตเห็นว่าพี่น้องหญิงคนนี้ไม่ริเริ่มลงมือ ฉันเลยมีความเห็นเป็นลบต่อเธอ และใช้น้ำเสียงรุนแรงกับเธอ ฉันสังเกตได้ว่าเธอรู้สึกถูกฉันจำกัด แต่ฉันไม่ได้ทบทวนตัวเอง ฉันเชื่อว่านี่ไม่ใช่ปัญหารุนแรง และไม่ได้ทำให้ฉันทำหน้าที่ล่าช้าออกไป ฉันยังมีงานมากมายที่ต้องทำ แล้วเมื่อไหร่กันที่ฉันจะได้แสวงหาความจริงและแก้ไขสภาวะของตัวเอง?  ถ้าฉันใช้เวลากับเรื่องนี้และทำให้งานล่าช้าออกไปล่ะ?  การทำหน้าที่ให้ลุล่วงและบรรลุผลสำเร็จเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ต่อมา ฉันก็ทำให้ตัวเองยุ่งอยู่กับงานต่อไป วันหนึ่ง ฉันกำลังปรึกษาหารืองานกับมัคนายกสองคน ทั้งสองต่างมีอารมณ์เชื่องช้าและไม่กระตือรือร้นแสดงความเห็น ฉันเลยรู้สึกกังวลใจเล็กน้อยว่า “ขณะที่ปรึกษาหารืองาน ถ้าคุณไม่แสดงมุมมองของคุณ แล้วจะดีได้ยังไง?”  จากนั้นฉันก็ตำหนิพวกเขาว่า “พี่น้องชาย ถ้าพวกคุณไม่กระตือรือร้นแสดงมุมมองของตัวเองในทุกครั้ง แล้วเราจะปรึกษาหารืองานนี้ได้ยังไง?”  หลังจากฉันพูดจบ หนึ่งในพี่น้องชายก็ก้มหัวลงดูอับอาย มีเหตุการณ์ที่คล้ายกันเกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงเวลานั้น ทันทีที่ฉันเห็นพี่น้องชายทั้งสองไม่กระตือรือร้นแสดงมุมมองของตัวเอง ฉันก็เริ่มรู้สึกดูหมิ่นพวกเขา หนึ่งในพี่น้องชายรู้สึกคิดลบเล็กน้อย และพูดว่า “ผมแก่แล้วและตอบสนองช้า ผมเลยตามอารมณ์ของคุณไม่ทัน และไม่สามารถทำหน้าที่นี้ให้ลุล่วงได้อย่างถูกควร” ในความจริง ฉันรู้ว่าพี่น้องชายยังใหม่กับหน้าที่นี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะไม่เข้าใจหรือไม่สามารถทำได้ ฉันควรให้กำลังใจและช่วยเหลือพวกเขา แต่ฉันไม่คิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ขนาดนั้นในการพูดสิ่งที่ฉันพูดไป ฉันไม่ได้เรียกร้องจากพวกเขาเป็นพิเศษ แค่หวังให้กระตือรือร้นในการทำหน้าที่ของตัวเองมากขึ้นกว่านี้หน่อย ฉันจึงไม่ได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขเรื่องนี้ ฉันคิดว่า “อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในทันที ฉันควรแก้ไขปัญหาเรื่องงานในตอนที่ยังมีเวลา ถ้าไม่ทำงาน แล้วฉันจะบรรลุผลสำเร็จได้ยังไง?”  เพราะฉันแค่ทำแต่สิ่งต่างๆ ให้เสร็จ ไม่เคยให้ความสำคัญในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและแสวงหาความจริง หรือเรียนรู้บทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันจึงรู้สึกว่างเปล่าอยู่ข้างใน ครั้งหนึ่งฉันได้จัดแจงให้ครอบครัวที่ตกอยู่ในอันตรายปกป้องหนังสือพระวจนะของพระเจ้า และหลังจากผู้นำระดับสูงรับรู้ เธอก็ตัดแต่งฉันที่ไม่ได้ทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรม ฉันรู้สึกว่าถูกมองผิดไป และเอาแต่โต้เถียงและต้านทาน พอเห็นว่าฉันไม่ยอมรับผิด ผู้นำจึงพูดว่า “คุณวิ่งวุ่นทำสิ่งทั้งหลายมากมาย แต่คุณทำไปโดยไม่มีหลักธรรม คุณทำไปตามเจตจำนงและด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า อีกอย่าง เมื่อเผชิญกับการถูกตัดแต่ง คุณไม่มีท่าทีของการนบนอบและการแสวงหา แล้วก็ไม่ปฏิบัติการทบทวนตนเอง คุณจะก้าวหน้าไปแบบนี้หรือ?”  ต่อมาฉันได้ทบทวนการปฏิบัติของตัวเอง และตระหนักว่าฉันให้ความสำคัญกับการวิ่งวุ่นทำงานไปทั่วอยู่เสมอ ซึ่งฉันไม่ได้มีการเข้าสู่ชีวิตให้พูดถึงเลยจริงๆ ฉันมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้ได้รู้และแก้ไขปัญหาของตัวฉันเอง

ขณะที่แสวงหา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “ในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้าไม่เคยทรงพระราชกิจใดที่ไม่เชื่อมโยงกับพระวจนะของพระองค์ พระองค์ได้ตรัสมาโดยตลอด และทรงใช้พระวจนะเพื่อทรงนำมนุษย์ตลอดมาจนถึงทุกวันนี้  แน่นอนว่าในขณะที่ตรัสนั้น พระเจ้าก็ทรงใช้พระวจนะเพื่อรักษาสัมพันธภาพของพระองค์กับบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ด้วยเช่นกัน พระองค์ได้ทรงใช้พระวจนะนำพวกเขา และพระวจนะเหล่านี้มีความสำคัญสูงสุดสำหรับบรรดาผู้ที่ปรารถนาจะได้รับการช่วยให้รอด หรือผู้ที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยให้รอด พระเจ้าจะทรงใช้พระวจนะเหล่านี้เพื่อสำเร็จลุล่วงข้อเท็จจริงแห่งความรอดของมวลมนุษย์  เห็นได้ชัดเจนว่า ไม่ว่าจะมองในแง่เนื้อหาสาระหรือจำนวน ไม่ว่าจะเป็นพระวจนะประเภทใด และไม่ว่าจะเป็นส่วนใดในพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะเหล่านี้ก็มีความสำคัญที่สุดต่อบรรดาผู้ที่ปรารถนาจะได้รับความรอดทุกคน  พระเจ้ากำลังทรงใช้พระวจนะเหล่านี้เพื่อสัมฤทธิ์ผลขั้นสุดท้ายแห่งแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์  สำหรับมวลมนุษย์แล้ว—ไม่ว่าจะเป็นมวลมนุษย์ในปัจจุบันนี้หรือในอนาคต—พระวจนะเหล่านี้ก็สำคัญอย่างยิ่ง  ท่าทีของพระเจ้าเป็นเช่นนั้น จุดมุ่งหมายและนัยสำคัญแห่งพระวจนะของพระองค์เป็นเช่นนั้น  ดังนั้นมวลมนุษย์ควรทำอย่างไร?  มวลมนุษย์ควรให้ความร่วมมือและไม่เพิกเฉยต่อพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า  แต่นั่นไม่ใช่หนทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าของคนบางคน ไม่ว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใด ก็ดูเหมือนพระวจนะของพระองค์ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา  พวกเขายังคงไล่ตามไขว่คว้าสิ่งที่พวกเขาต้องการ ทำสิ่งที่พวกเขาอยากทำ และไม่แสวงหาความจริงบนพื้นฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้า  นี่ไม่ใช่การรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  มีคนอื่นๆ ที่ไม่ใส่ใจเลยไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสสิ่งใด พวกเขามีเพียงความเชื่อมั่นเดียวในหัวใจที่ว่า ‘ฉันจะทำสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงขอ ถ้าพระเจ้ารับสั่งให้ฉันไปทางตะวันตก ฉันก็จะไปทางตะวันตก ถ้าพระองค์รับสั่งให้ฉันไปทางตะวันออก ฉันก็จะไปทางตะวันออก หากพระองค์รับสั่งให้ฉันไปตาย ฉันก็จะให้พระองค์ได้เห็นฉันตาย’  แต่มีแค่สิ่งหนึ่งก็คือ พวกเขาไม่รับพระวจนะของพระเจ้าเอาไว้  พวกเขาคิดในใจว่า ‘มีพระวจนะมากมายเหลือเกิน พระวจนะเหล่านี้ควรจะตรงไปตรงมามากกว่านี้สักหน่อย และควรบอกฉันให้ชัดเจนไปเลยว่าต้องทำอะไร  ฉันสามารถนบนอบพระเจ้าในหัวใจของฉันได้’  ไม่ว่าพระเจ้าตรัสพระวจนะมากมายเพียงใด ในท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนเช่นนั้นก็ยังคงไร้ความสามารถในการทำความเข้าใจความจริง ทั้งยังไม่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์และความรู้ของตัวเองได้  พวกเขาเป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  พวกเจ้าคิดว่าผู้คนเช่นนั้นเป็นที่รักของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?  พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะมีพระกรุณาต่อผู้คนเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่)  พระองค์ไม่ทรงปรารถนาอย่างแน่นอน  พระเจ้าไม่โปรดผู้คนเช่นนั้น  พระเจ้าตรัสว่า  ‘เราได้กล่าววจนะหลายพันคำที่ไม่เคยกล่าวมาก่อน  เหตุใดเจ้าจึงเป็นเหมือนคนหูหนวกหรือตาบอดที่ไม่เคยได้เห็นหรือได้ฟังวจนะเหล่านี้มาก่อนเล่า?  เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ในหัวใจกันแน่?  เราไม่ได้เห็นเจ้าเป็นอะไรมากไปกว่าใครบางคนที่หมกมุ่นอยู่กับการไล่ตามพระพรและบั้นปลายอันงดงาม—เจ้ากำลังไล่ตามเป้าหมายเดียวกันกับเปาโล  หากเจ้าไม่ต้องการฟังวจนะของเรา หากเจ้าไม่ปรารถนาที่จะเดินตามทางของเรา แล้วเหตุใดเจ้าจึงเชื่อในพระเจ้า?  เจ้าไม่ได้กำลังไล่ตามความรอด เจ้ากำลังไล่ตามบั้นปลายอันงดงามและความอยากได้พระพร  และในเมื่อนี่คือสิ่งที่เจ้ากำลังวางแผนอยู่ สิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเจ้าก็คือการเป็นคนลงแรง’  ในข้อเท็จจริงนั้น การเป็นคนลงแรงผู้จงรักภักดีคือการสำแดงความนบนอบพระเจ้าอย่างหนึ่ง แต่นี่เป็นมาตรฐานขั้นต่ำ  การคงอยู่ในฐานะคนลงแรงผู้จงรักภักดีนั้นดีกว่าการถูกผลักให้ตกลงสู่ความพินาศและการทำลายล้างเช่นเดียวกับผู้ไม่มีความเชื่อมากมายนัก  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระนิเวศของพระเจ้ามีความจำเป็นต้องใช้คนลงแรง และการสามารถลงแรงเพื่อพระเจ้านับเป็นพระพรประการหนึ่ง  นี่ดีกว่ามาก—ดีกว่าอย่างไม่มีที่เปรียบ—ดีกว่าการเป็นข้ารับใช้ของพวกกษัตริย์มาร  อย่างไรก็ตาม การลงแรงเพื่อพระเจ้านั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าพอพระทัยสำหรับพระเจ้าไปเสียทั้งหมด เพราะพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้านั้นเป็นไปเพื่อช่วยผู้คนให้รอด ชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ และทำให้พวกเขาเพียบพร้อม  หากผู้คนพอใจแค่กับการลงแรงเพื่อพระเจ้าเท่านั้น นี่ย่อมไม่ใช่จุดมุ่งหมายที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์จากการทรงพระราชกิจในตัวผู้คน อีกทั้งนี่ก็ไม่ใช่ผลที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะเห็น  แต่ผู้คนรุ่มร้อนไปด้วยความอยากได้อยากมี พวกเขาโง่เขลาและมืดบอด พวกเขาถูกผลประโยชน์เล็กน้อยบางอย่างครอบงำให้เคลิบเคลิ้มและเมินเลยพระวจนะแห่งชีวิตอันล้ำค่าที่พระเจ้าตรัสไว้  พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติต่อพระวจนะอย่างจริงจังได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรที่จะให้ความสำคัญกับพระวจนะเหล่านั้น  การไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ทะนุถนอมความจริง นี่เป็นความหลักแหลมหรือเบาปัญญา?  ผู้คนสามารถสัมฤทธิ์ความรอดได้ในหนทางนี้หรือ?  ผู้คนควรเข้าใจทั้งหมดนี้  พวกเขามีความหวังในความรอดก็ต่อเมื่อพวกเขาวางมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนลง แล้วมุ่งเน้นไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าคือรากฐานของการเชื่อในพระเจ้า)  พระเจ้าทรงเปิดโปงว่าผู้คนให้ความสำคัญกับการกระทำระดับผิวเผินเท่านั้น ไม่ว่าพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมอย่างไร พวกเขาก็ยังคงมีท่าทีเฉยเมยต่อพระวจนะของพระองค์เสมอ และไม่ให้ความสำคัญกับการกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ หรือแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระองค์ การเชื่อในพระเจ้าด้วยหนทางนี้ ไม่ใช่การรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์เลยสักนิด เมื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมของฉันกับพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ได้เห็นว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น ฉันคิดว่าฉันจะทำทุกสิ่งอย่างที่คริสตจักรขอให้ทำ และถ้าฉันทำสิ่งทั้งหลายได้ดี ก็จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้และได้รับความเห็นชอบของพระองค์ เพราะเหตุนี้ ตอนที่ทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันจึงให้ความสำคัญกับการทำสิ่งทั้งหลายเท่านั้น ฉันเมินเฉยต่อพระวจนะของพระเจ้าเสียสิ้น และถึงขั้นรู้สึกว่าการกินและดื่มพระวจนะของพระองค์จะทำให้ฉันล่าช้าจากการทำหน้าที่ ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงแสดงพระวจนะมากมายระหว่างพระราชกิจของพระองค์ในยุคสุดท้าย เพื่อให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย เพื่อที่สุดท้ายแล้วพวกเขาอาจบรรลุความจริงและได้รับความรอดของพระเจ้า แต่เพราะว่าฉันไม่รักความจริง ฉันจึงยังคงไล่ตามไขว่คว้าไปตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตัวเอง คิดว่าทำสิ่งทั้งหลายให้เสร็จก็เพียงพอแล้ว ดังนั้น เมื่อความเสื่อมทรามของฉันถูกเผยออกมาจากการร่วมงานกับผู้อื่น ฉันก็ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข พระเจ้าทรงแสดงความจริงและเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทุกชนิดของมนุษย์ และพระองค์ทรงจัดทำสภาพการณ์จริงให้เราได้รับประสบการณ์ เพื่อจะทำให้เราสามารถเข้าใจความจริง ทิ้งความเสื่อมทราม และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ นี่เป็นความรักของพระเจ้า!  ถ้าพระองค์เพียงต้องการให้ผู้คนตรากตรำและลงแรง พระองค์อาจไม่ต้องทรงพระราชกิจเป็นขั้นตอนจนถึงตอนนี้ และไม่ต้องประสูติเป็นมนุษย์ แสดงความจริง และสู้ทนความทุกข์ยากมากมาย ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้ามามาก แต่ยังไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ในการช่วยผู้คนให้รอด อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ฉันเป็นคนธรรมดาแบบที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวถึงทุกประการ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้ฉันทำงานมากขึ้น แต่ท้ายที่สุดฉันก็จะไม่ได้รับการช่วยให้รอด เมื่อตระหนักเรื่องนี้ ฉันจึงมาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าและอธิษฐานว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผ่านการเปิดโปงจากพระวจนะของพระองค์ ข้าพระองค์ได้รู้ทัศนะอันผิดพลาดที่มีต่อการไล่ตามเสาะหาความเชื่อในพระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจกลับใจและเปลี่ยนแปลง โปรดทรงนำทางข้าพระองค์ให้เดินออกจากมุมมองที่ผิดพลาด ทุ่มเทความพยายามให้กับพระวจนะของพระองค์ ไล่ตามเสาะหาความจริง และมุ่งเน้นการเข้าสู่ชีวิต”

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ที่ว่า “ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะแบบนี้คือ เพื่อให้ได้รับพร ฉันต้องสละตัวเองเพื่อพระเจ้าและยอมลำบากเพื่อพระองค์ เพื่อให้ได้รับพร ฉันต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระเจ้า ฉันต้องทำสิ่งที่พระองค์ไว้วางพระทัยมอบหมายให้ฉันทำให้เสร็จสิ้น และฉันต้องปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ได้  สภาวะเช่นนี้มีเจตนาที่อยากได้รับพรครอบงำอยู่ ซึ่งเป็นตัวอย่างของการสละตัวเองเพื่อพระเจ้าจนหมดสิ้นเพื่อจุดประสงค์ของการได้มาซึ่งบำเหน็จรางวัลจากพระองค์และได้รับมงกุฎ  ผู้คนเช่นนั้นไม่มีความจริงในหัวใจของพวกเขา และแน่นอนว่าความเข้าใจของพวกเขานั้นประกอบด้วยคำพูดและคำสอนไม่กี่คำที่พวกเขาโอ้อวดทุกแห่งหนที่พวกเขาไป  เส้นทางของพวกเขานั้นคือของเปาโล  ความเชื่อของผู้คนเช่นนั้นคือบทบาทของการตรากตรำทำงานเป็นนิตย์ และลึกลงไปแล้วพวกเขารู้สึกว่า ยิ่งพวกเขาทำมากขึ้นเท่าใด นั่นก็จะยิ่งเป็นการพิสูจน์มากขึ้นเท่านั้นถึงความจงรักภักดีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้า ว่ายิ่งพวกเขาทำมากขึ้นเท่าใด แน่นอนว่าพระองค์ก็ยิ่งจะพึงพอพระทัยมากขึ้นเท่านั้น และว่ายิ่งพวกเขาทำมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งสมควรมากขึ้นเท่านั้นที่จะได้รับการมอบมงกุฎเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพรที่พวกเขาได้รับก็มีแต่จะยิ่งใหญ่ขึ้น  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาสามารถสู้ทนความทุกข์ ทำการประกาศ และตายเพื่อพระคริสต์ได้ หากพวกเขาสามารถพลีอุทิศชีวิตของพวกเขาเองได้ และหากพวกเขาสามารถทำหน้าที่ทั้งหมดซึ่งพระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาจนครบบริบูรณ์ได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะเป็นผู้ที่ได้รับพรอันยิ่งใหญ่ที่สุด และพวกเขาย่อมแน่ใจว่าตนจะได้รับมอบมงกุฎ  แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่เปาโลจินตนาการและสิ่งที่เขาแสวงหา  นี่คือเส้นทางอันแน่ชัดที่เขาเดิน และนั่นอยู่ภายใต้การนำของความคิดที่ว่า เขาทำงานเพื่อรับใช้พระเจ้า  ความคิดและเจตนาเหล่านั้นไม่มีจุดกำเนิดมาจากธรรมชาติเยี่ยงซาตานหรอกหรือ?  มันก็เป็นเหมือนเหล่ามนุษย์ทางโลก ที่เชื่อว่าในขณะที่อยู่บนแผ่นดินโลกนั้นพวกเขาต้องไล่ตามเสาะหาความรู้ และว่าหลังจากที่มีความรู้แล้ว พวกเขาจึงจะสามารถโดดเด่นออกมาจากฝูงชน ได้เป็นเจ้าหน้าที่ และมีฐานะ  พวกเขาคิดว่า ทันทีที่พวกเขามีฐานะ พวกเขาสามารถทำให้ความทะเยอทะยานของพวกเขาเป็นจริง และทำให้ธุรกิจและกิจการในครอบครัวของพวกเขาเจริญรุ่งเรืองได้ถึงระดับหนึ่ง  ผู้ไม่มีความเชื่อทั้งหมดไม่เดินบนเส้นทางนี้หรอกหรือ?  พวกที่ถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานนี้ครอบงำ สามารถเพียงเป็นเหมือนเปาโลในความเชื่อของพวกเขาเท่านั้น  พวกเขาคิดว่า ‘ฉันต้องสลัดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสละตัวฉันเองเพื่อพระเจ้า  ฉันต้องจงรักภักดีเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และในที่สุด ฉันจะได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่และมงกุฎอันเกรียงไกร’  นี่คือท่าทีเดียวกับท่าทีของผู้คนทางโลกที่ไล่ตามเสาะหาสิ่งของทางโลกทั้งหลาย  พวกเขาไม่ได้ต่างออกไปแต่อย่างใดเลย และพวกเขาก็อยู่ภายใต้ธรรมชาติแบบเดียวกัน  เมื่อผู้คนมีธรรมชาติเยี่ยงซาตานจำพวกนี้ เมื่อออกไปอยู่ในโลก พวกเขาจะเสาะแสวงที่จะได้มาซึ่งความรู้ การเรียนรู้ สถานะ และเพื่อโดดเด่นจากฝูงชน  หากพวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็จะพยายามให้ได้มาซึ่งมงกุฎอันยิ่งใหญ่และพรอันยิ่งใหญ่  หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงในยามที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็จะต้องใช้เส้นทางนี้อย่างแน่นอน  นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ เป็นกฎธรรมชาติ  เส้นทางซึ่งผู้คนที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงเลือกเดินนั้นสวนทางอย่างตรงกันข้ามกับเส้นทางของเปโตร(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร)  พระเจ้าทรงเปิดโปงว่าผู้คนละทิ้งและสละตนในการเชื่อในพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้ได้รับพร อีกทั้งได้จุดจบและบั้นปลายที่ดีเพื่อตัวพวกเขาเอง พวกเขาถูกควบคุมด้วยแรงจูงใจที่จะได้รับพร เมื่อทบทวนแล้ว ก็แน่ชัดว่าตัวฉันเองมีทัศนะเหล่านี้ต่อการไล่ตามเสาะหา ฉันเชื่อว่าการทำงานและหน้าที่มากขึ้น การลุล่วงกิจต่างๆ ที่เหล่าผู้นำได้ไว้วางใจมอบหมายให้ อีกทั้งการสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ สิ่งนี้จะนำไปสู่ความเห็นชอบของพระเจ้า และฉันจะมีจุดจบและบั้นปลายที่ดี ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงมุ่งมั่นทุ่มเทสุดใจในการทำสิ่งทั้งหลายให้เสร็จ และก็ทำตัวเองให้ยุ่งอยู่กับงานทุกวัน ฉันคิดถึงเปาโล ผู้ที่ให้ความสำคัญกับการประกาศและการทำงาน เขาเดินทางไกลและยอมลำบากอย่างมาก แต่เขาไม่ได้นำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาก็ไม่เปลี่ยนไปเลย ในการทำทั้งหมดนี้ เขาแค่กำลังทำข้อตกลงกับพระเจ้า โดยหวังจะได้รับมงกุฎและบำเหน็จรางวัล ท้ายที่สุด เขายังเป็นพยานให้ตัวเอง โดยกล่าวว่า “เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่คือพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร” (ฟีลิปปี 1:21)  เขาล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า จึงถูกกำจัดออกไปและถูกพระเจ้าลงโทษ เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันกำลังเดินอยู่บนเส้นทางของเปาโล ฉันพึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตัวเอง เชื่อว่าตราบใดที่ฉันทำงานมากขึ้นและลุล่วงหน้าที่ที่ได้รับความไว้วางใจมอบหมายให้ทำ สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ พระเจ้าจะต้องทรงประทานบั้นปลายที่ดีให้ฉันในที่สุด ด้วยวิธีนี้ ฉันจึงให้ความสำคัญกับการทำสิ่งทั้งหลายให้เสร็จเท่านั้น และถึงกับรู้สึกว่าการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าจะทำให้ฉันล่าช้าออกไป ฉันเผยอุปนิสัยโอหัง จำกัดผู้อื่น แต่ไม่ให้ความสำคัญกับการแก้ไข ฉันต้องการแค่แลกเปลี่ยนการพลีอุทิศและการสละตนอย่างผิวเผิน รวมถึงผลลัพธ์ในงานของฉัน เพื่อรับพรจากพระเจ้า สิ่งนี้จะได้รับความเห็นชอบของพระเจ้าได้ยังไง?  ภายนอกนั้น ดูเหมือนว่าฉันทำงานไม่หยุดเลยทุกวัน และดูค่อนข้างจงรักภักดีในหน้าที่ของตัวเอง แต่ความเป็นจริง ฉันไม่ได้ทำเพื่อให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเลย หรือเพื่อประโยชน์ของงานคริสตจักร กลับกัน ฉันกำลังวางแผนเพื่อจุดจบและบั้นปลายของตัวเอง ฉันกำลังเอาเปรียบพระเจ้า พยายามต่อรองกับพระองค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงชัง ถ้าฉันยังคงไล่ตามเสาะหาด้วยหัวใจที่เห็นแก่ตัวและความตั้งใจที่ปลอมปน และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย สุดท้ายแล้ว ฉันคงถูกพระเจ้ากำจัดอย่างแน่นอน

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มขึ้น ซึ่งกล่าวว่า “สิ่งใดก็ตามในชีวิตของเปโตรที่ไม่ได้สนองเจตนารมณ์ของพระเจ้านั้นได้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ  หากนั่นไม่ได้สนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเขาคงจะรู้สึกสำนึกผิด และคงจะมองหาหนทางซึ่งเหมาะสมที่จะเป็นหนทางที่เขาสามารถเพียรพยายามที่จะทำให้สมดังพระทัยของพระเจ้าได้  ในแม้กระทั่งแง่มุมที่เล็กที่สุดและไม่สำคัญที่สุดของชีวิตของเขา เขาเองยังคงได้พึงต้องสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เขาไม่ได้เข้มงวดน้อยลงเลยเมื่อเป็นเรื่องอุปนิสัยดั้งเดิมของเขา โดยเด็ดขาดในข้อพึงประสงค์ของเขาที่มีต่อตัวเขาเองในอันที่จะก้าวหน้าลึกซึ้งยิ่งขึ้นสู่ความจริง… ในการเชื่อในพระเจ้าของเขา เปโตรได้พยายามที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในทุกสิ่งทุกอย่าง และได้พยายามนบนอบต่อทั้งหมดที่ได้มาจากพระเจ้า  โดยที่ไม่มีการปริปากบ่นแม้แต่น้อย เขาสามารถยอมรับการตีสอนและการพิพากษา ตลอดจนการถลุง ความทุกข์ลำบาก และการดำเนินต่อไปโดยปราศจากสิ่งใดเลยในชีวิตของเขา ซึ่งไม่มีสิ่งใดเลยในบรรดาเหล่านี้ที่จะสามารถปรับเปลี่ยนหัวใจที่รักพระเจ้าของเขาได้  นี่ไม่ใช่ความรักขั้นสูงสุดที่มีแด่พระเจ้าหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่การลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรอกหรือ?  ไม่ว่าในการตีสอน การพิพากษา หรือความทุกข์ลำบาก เจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบจนตายได้เสมอ และนี่คือสิ่งที่ควรสัมฤทธิ์โดยสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นี่คือความบริสุทธิ์ของความรักที่มีแด่พระเจ้า  หากมนุษย์สามารถสัมฤทธิ์ผลได้มากขนาดนี้ เช่นนั้นแล้วเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และไม่มีสิ่งใดเลยที่สนองเจตนารมณ์ของพระผู้สร้างได้ดีกว่า  จงจินตนาการว่าเจ้าสามารถทำงานเพื่อพระเจ้าได้ ทว่าเจ้ากลับไม่นบนอบต่อพระเจ้า และไม่สามารถที่จะรักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  ในหนทางนี้ ไม่เพียงเจ้าจะไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น แต่เจ้ายังจะถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษด้วยเช่นกัน เพราะเจ้าคือใครบางคนที่ไม่มีความจริง ที่ไม่สามารถนบนอบต่อพระเจ้าได้ และที่กบฏต่อพระเจ้า  เจ้าเพียงใส่ใจกับการทำงานเพื่อพระเจ้าเท่านั้น และไม่ใส่ใจกับการนำความจริงไปปฏิบัติหรือการรู้จักตัวเจ้าเอง  เจ้าไม่เข้าใจหรือรู้จักพระผู้สร้าง และไม่นบนอบหรือรักพระผู้สร้าง  เจ้าคือใครบางคนที่เป็นกบฏต่อพระเจ้ามาแต่กำเนิด และดังนั้นแล้วผู้คนเช่นนั้นจึงไม่เป็นที่รักโดยพระผู้สร้าง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน)  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า ไม่ว่าเปโตรพบเจอเรื่องเล็กน้อยใดในชีวิต เขาก็สามารถแสวงหาความจริงและไล่ตามเสาะหาการทำให้พระเจ้าทรงพึงพอพระทัย เขาสามารถทบทวนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เขาเผยออกมาได้ทันท่วงทีเช่นกัน และขณะที่ทำงานเขาก็ให้ความสำคัญกับการเข้าสู่ของตนเอง เขาแบกภาระในพระบัญชาของพระเจ้าและการเข้าสู่ชีวิตของตนเอง เส้นทางที่เขาเดินเป็นเส้นทางแห่งความสำเร็จ แต่ฉันให้ความสำคัญเพียงการวิ่งไปมาและทำงาน ไม่ใช่การแสวงหาความจริง ตอนที่ฉันเผยความเสื่อมทรามฉันไม่ได้คิดอะไรเลย ไม่ได้คิดทบทวนและรู้จักตนเอง และจนถึงวันนี้ฉันก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เส้นทางที่ฉันเดินเป็นเส้นทางแห่งความล้มเหลว ในความเป็นจริง ผู้คนควรยอมลำบากและสละตนเพื่อพระเจ้า นี่เป็นหน้าที่ของพวกเขา ไม่เหมือนกับที่ฉันคิดฝันไว้ว่าแค่ทำงานให้เสร็จก็เพียงพอแล้ว การสามารถแสวงหาความจริงเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น การมุ่งให้ความสำคัญกับการรู้จักความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตนเองในระหว่างการทำหน้าที่ การแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง และยึดความจริงเป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติตนและการวางตัว สิ่งนี้เท่านั้นที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้าในชีวิต แม้ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันไม่สามารถแก้ไขได้ในทันที แต่ฉันควรให้ความสำคัญในการรู้จักมันและการกลับตัว ทบทวนตนเองโดยอิงจากพระวจนะของพระเจ้า ค้นหาหลักธรรมที่ฉันควรยึดถือ และปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง “ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นไม่ว่าจะยุ่งกับหน้าที่ของตนเพียงใด พวกเขาก็ยังคงสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาที่บังเกิดขึ้นแก่ตน และสามารถแสวงหาสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขายังไม่เข้าใจชัดเจนในคำเทศนาที่ตนได้ฟังมา รวมทั้งสงบใจของตนทุกวันเพื่อคิดทบทวนว่าตนปฏิบัติหน้าที่อย่างไร จากนั้นก็พิจารณาพระวจนะของพระเจ้า และดูวิดีโอคำพยานจากประสบการณ์  พวกเขาได้รับสิ่งต่างๆ จากการทำเช่นนี้  ไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งกับหน้าที่ของตนเพียงใด ก็ไม่ได้ขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาเลย และไม่ได้ถ่วงเวลาของการเข้าสู่ชีวิตด้วย  เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนที่รักความจริงจะปฏิบัติเช่นนี้  ผู้คนที่ไม่รักความจริงย่อมไม่แสวงหาความจริงและไม่เต็มใจที่จะสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อทบทวนตนเองและทำความรู้จักตนเอง ทั้งนี้ไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตนหรือไม่ และไม่ว่าปัญหาอะไรจะบังเกิดแก่พวกเขาก็ตาม  ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งหรือไม่เร่งรีบในหน้าที่ของตน พวกเขาก็ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ข้อเท็จจริงก็คือถ้าใครมีหัวใจที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ถ้าพวกเขาถวิลหาความจริง และแบกรับภาระของการเข้าสู่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย เช่นนั้นแล้วหัวใจของพวกเขาก็จะมาใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นและพวกเขาจะอธิษฐานถึงพระองค์ไม่ว่าจะยุ่งกับหน้าที่ของตนเพียงใดก็ตาม  แน่นอนว่าพวกเขาย่อมได้รับความรู้แจ้งและความสว่างไสวบางอย่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และชีวิตของพวกเขาก็จะเติบโตไม่หยุด  ถ้าใครไม่รักความจริงและไม่แบกรับภาระของการเข้าสู่ชีวิตหรือการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยใดๆ หรือถ้าพวกเขาไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่สามารถได้รับอะไรเลย  การคิดทบทวนว่าคนเรามีการพรั่งพรูความเสื่อมทรามอะไรออกมาบ้างเป็นสิ่งที่ต้องทำไม่ว่าจะอยู่ในที่แห่งใด เวลาใด  ตัวอย่างเช่น ถ้าคนเราพรั่งพรูความเสื่อมทรามออกมาระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตน เช่นนั้นแล้วในหัวใจของพวกเขา พวกเขาก็ต้องอธิษฐานถึงพระเจ้า ทบทวนตนเอง ทำความรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยนั้น  นี่เป็นเรื่องของหัวใจ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับงานที่ทำอยู่  เรื่องนี้ทำง่ายหรือไม่?  นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเป็นคนที่แสวงหาความจริงหรือไม่  ผู้คนที่ไม่รักความจริงย่อมไม่สนใจเรื่องของการเติบโตในชีวิต  พวกเขาไม่คำนึงถึงเรื่องดังกล่าว  มีแต่ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่พยายามเติบโตในชีวิตด้วยความเต็มใจ มีแต่พวกเขาที่ไคร่ครวญปัญหาที่มีอยู่จริงรวมทั้งวิธีแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอยู่เนืองๆ  อันที่จริงกระบวนการแก้ไขปัญหาและกระบวนการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นกระบวนการเดียวกัน  ถ้าคนเรามุ่งแสวงหาความจริงอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน และได้แก้ปัญหาไปไม่น้อยตลอดระยะเวลาหลายปีที่ปฏิบัติแบบนั้น เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาย่อมได้มาตรฐานอย่างแน่นอน  ผู้คนเช่นนี้มีการพรั่งพรูความเสื่อมทรามออกมาน้อยลงมาก และได้รับประสบการณ์จริงมากมายในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้… การที่ใครบางคนไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องว่าพวกเขายุ่งกับหน้าที่ของตนขนาดไหนหรือพวกเขามีเวลามากเพียงใด แต่ขึ้นอยู่กับว่าหัวใจของพวกเขารักความจริงหรือไม่  แท้จริงแล้วทุกคนมีเวลามากมายเท่ากัน สิ่งที่ต่างออกไปก็คือแต่ละคนใช้เวลาไปกับอะไรต่างหาก  เป็นไปได้ว่าใครก็ตามที่บอกว่าตนไม่มีเวลาไล่ตามเสาะหาความจริง กำลังใช้เวลาของตนไปกับความสุขสำราญทางเนื้อหนัง หรือยุ่งอยู่กับการมุมานะทำอะไรเรื่องภายนอกบางอย่าง  พวกเขาไม่เอาเวลานั้นๆ ไปแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหา  ผู้คนที่ละเลยการไล่ตามเสาะหาของตนย่อมเป็นเช่นนี้  นี่ถ่วงให้การเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมีอันล่าช้าออกไป(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (3))  ฉันพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้าว่า ใช้เวลาในทุกวันเพื่อกิน ดื่ม และไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ทบทวนตนเองว่าความเสื่อมทรามใดที่ได้แสดงออกมาในวันนี้ อะไรบ้างที่ทำไปโดยไม่มีหลักธรรม ตราบใดที่ฉันเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ ก็ไม่สำคัญว่าฉันจะทำสิ่งนี้เป็นเวลานานหรือไม่  เมื่อใดที่ฉันไม่ยุ่งระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ฉันจะใช้เวลาว่างอ่านพระวจนะของพระเจ้า และเมื่อใดที่ฉันยุ่งก็จะเน้นสนใจทำหน้าที่ของตนเอง นำพระวจนะของพระเจ้ามาสู่ชีวิตจริงเพื่อปฏิบัติและรับประสบการณ์ ก่อนหน้านี้ เมื่อพูดถึงการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณหรือการแสวงหาพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแก้ไขสภาวะของตนเอง ฉันจะโต้แย้งว่าฉันไม่มีเวลา ความเป็นจริงนั้น ไม่ใช่ว่าฉันยุ่งกับการทำหน้าที่และไม่มีเวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่เป็นที่ฉันไม่ได้รักความจริง และให้ความสำคัญแต่กับการทำสิ่งทั้งหลายให้เสร็จ แม้ว่าตอนที่ฉันไม่ยุ่งอยู่กับหน้าที่ ฉันก็ยังคงไม่ได้มุ่งเน้นในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า หรือแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ในความเป็นจริง ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างการทำหน้าที่และการเข้าสู่ชีวิตของคนเรา ขณะที่ทำหน้าที่ เราก็แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเรา ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิต เราต้องทำงานที่เราควรทำ แต่เราไม่สามารถเพิกเฉยต่อการเข้าสู่ชีวิตได้ หลังจากนั้น ฉันก็ให้ความสำคัญในการไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า แสวงหาความจริง และทบทวนตัวเอง ฉันใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ขณะที่ฉันกำลังกิน เดินเล่น หรือซักผ้า ฉันจะไตร่ตรองสภาวะของตัวเองและพระวจนะของพระเจ้าไปด้วย ตราบที่ฉันต้องการไล่ตามเสาะหาและแสวงหา ก็จะมีเวลาเสมอ และฉันยังทบทวนตัวเองอีกด้วย ฉันเหยียดหยามผู้ร่วมงานอยู่เสมอและหัวร้อนอยู่บ่อยครั้ง นี่เป็นปัญหาแบบไหนกันนะ?  ฉันมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แล้วค้นหาพระวจนะของพระเจ้าบทตอนต่างๆ เพื่อกินและดื่มส่วนที่เกี่ยวข้องกับสภาวะของตัวเอง ฉันรู้ว่าการหัวร้อนของฉันถูกควบคุมด้วยอุปนิสัยโอหัง และข้อเรียกร้องของฉันที่มีต่อผู้อื่นก็สูงเกินไป พี่น้องชายที่ฉันร่วมงานด้วยนั้นอายุมากและเขาไม่เคยปฏิบัติหน้าที่นี้มาก่อน เป็นเรื่องปกติที่การโต้ตอบของเขาจะช้าไปบ้าง ฉันมักจะเรียกร้องจากเขาตามมาตรฐานของฉันเอง และฉันพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงไม่เห็นด้วย ฉันไม่ใช้มุมมองของเขาคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ และไม่ได้เข้าถึงเรื่องต่างๆ ตามสถานการณ์ของแต่ละคนที่แตกต่างกันไป ด้วยเหตุนี้ พอฉันมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็จะทำให้พวกเขารู้สึกถูกทำร้ายและถูกจำกัดอยู่เสมอ ฉันช่างเป็นคนที่ไร้เหตุผลเหลือเกิน เมื่อตระหนักเรื่องนี้ ฉันก็เริ่มให้ความสำคัญกับปัญหานี้อย่างจริงจัง ในการปรึกษาหารืองานครั้งต่อมา พอเห็นพี่น้องชายตอบช้า ฉันก็สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องและให้เวลาพวกเขาไตร่ตรอง ฉันสามารถสามัคคีธรรมหลักธรรมที่เกี่ยวข้อโดยใส่รายละเอียดเพิ่มเติมเท่าที่ทำได้ และเมื่อพวกเขาถามคำถามบางอย่าง ฉันก็สามัคคีธรรมอย่างใจเย็นกับพวกเขา แสวงหาความจริง และเข้าสู่ไปพร้อมกันได้ ต่อมา พอสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ฉันก็เริ่มให้ความสำคัญกับการตรวจสอบสิ่งที่ฉันเผยออกมา ยามที่ฉันมีความคิดหรือแนวคิดที่ไม่ถูกต้อง หรือยามที่ฉันได้เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา ฉันจะอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างมีสติและแสวงหาความจริงที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไข แทนการปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไปตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวฉันเอง

ต่อมา มีช่วงหนึ่งที่หน้าที่ของฉันยุ่งอีกครั้ง พี่น้องชายหญิงบางคนทำสิ่งที่ขัดต่อหลักธรรมในการกระทำของพวกเขา และจำเป็นต้องได้รับการสามัคคีธรรมและแก้ไข นอกจากนั้น ยังมีผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐบางคนที่ต้องไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้พวกเขา เมื่อฉันได้เห็นงานทั้งหมดนี้ที่ต้องทำให้เสร็จ ความคิดแรกคือรีบไปทำ ตอนนั้นเองที่ฉันคิดขึ้นได้ทันทีว่าก่อนหน้านี้ฉันจะใส่ใจแค่การทำสิ่งทั้งหลายให้เสร็จอยู่ตลอด ฉันไปที่ที่ฉันต้องไป ทำให้สิ่งที่ต้องทำ แต่ฉันไม่ได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ใดๆ ฉันทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว ฉันต้องแสวงหาหลักธรรม ฉันเลยใจสงบลง และไตร่ตรองถึงการสำแดงของพี่น้องชายหญิง ค้นหาพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอน และคิดถึงว่าสามัคคีธรรมอย่างไรให้บรรลุผลสำเร็จ แล้วทำให้พวกเขารู้ถึงแก่นของปัญหา ส่วนเรื่องผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ ฉันก็ได้พบว่าปัญหาขั้นต้นของพวกเขาคืออะไร และแสวงหาความจริงที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมพร้อมล่วงหน้า ระหว่างการแสวงหา ฉันได้เข้าใจหลักธรรมความจริงบางอย่างที่ฉันไม่เคยจับความเข้าใจได้มาก่อน ฉันได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์บางส่วนและสัมฤทธิ์ผลลัพธ์บางอย่างในหน้าที่ของตัวเอง จากประสบการณ์นี้ ฉันตระหนักถึงความสำคัญของการใส่ใจกับการเข้าสู่ชีวิตและแสวงหาหลักธรรมความจริงขณะที่ทำหน้าที่ของตัวเอง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ติดต่อเราผ่าน Messenger