หน้าที่ซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยง

วันที่ 14 เดือน 11 ปี 2024

ฉันยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในปี 2019 แล้วไม่กี่เดือนต่อมาฉันก็เริ่มเผยเผ่ข่าวประเสริฐ ฉันมีความสุขมากที่ได้ทำหน้าที่ของฉัน ต่อมา ฉันมัวสาละวนอยู่กับปัญหาครอบครัวและรับภาระในงานข่าวประเสริฐน้อยลง ฉันคิดว่ามีเวลาเหลือเฟือและค่อยๆ ทำได้ ก็เลยแบ่งเวลาเป็นการหางานกับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แต่ฉันมาทำงานที่นั่นได้แค่ 20 วันตอนที่โควิดระบาด โควิดแพร่ระบาดเร็วมาก รัฐว้าเริ่มใช้มาตรการปิดเมือง ร้านค้าและบริษัทต่างๆ ถูกปิด ถนนก็ถูกปิด เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ฉันรู้สึกกังวลเล็กน้อย ฉันคิดว่าฉันมีเวลาเหลือเฟือและค่อยๆ ทำได้ ก็เลยไม่มีความรู้สึกเร่งด่วนในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แต่ภัยพิบัติรุนแรงขึ้นและมีผู้คนมากมายที่ยังไม่ได้ฟังเสียงของพระเจ้า ฉันเห็นว่าฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วง และรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้า ต่อมาฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “ทีนี้ความรับผิดชอบของพวกเจ้าคืออะไร?  คือการนำพวกเขาออกจากยุคพระคุณและเข้าสู่ยุคใหม่  พวกเจ้าสามารถลุล่วงพระบัญชาของพระเจ้าด้วยการแค่อธิษฐานถึงพระเจ้าและร้องขอพระนามของพระองค์ได้หรือ?  แค่ประกาศพระวจนะของพระเจ้าไม่กี่คำเพียงพอหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่เพียงพอ  การนี้พึงต้องให้พวกเจ้าทุกคนมีภาระในการรับพระบัญชาแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐนี้ เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้าอย่างกว้างขวาง ประกาศพระวจนะของพระเจ้าในหลากหลายหนทาง และกล่าวประกาศและขยายขอบเขตของข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร  การขยายขอบเขตหมายความว่าอย่างไร?  หมายถึงการสื่อพระวจนะของพระเจ้าไปยังพวกที่ยังไม่ได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นรู้ว่าพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจใหม่ จากนั้นจึงเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาเหล่านั้น ใช้ประสบการณ์ของพวกเจ้าเพื่อเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า และนำพวกเขาเหล่านั้นเข้าสู่ยุคใหม่ด้วย—ในหนทางนี้พวกเขาย่อมจะเข้าสู่ยุคใหม่เหมือนกันกับพวกเจ้าไม่มีผิด  เจตนารมณ์ของพระเจ้าชัดเจน  การเข้าสู่ยุคใหม่ไม่ใช่สำหรับพวกเจ้าที่ได้ยินพระวจนะของพระองค์ ยอมรับพระวจนะของพระองค์ และติดตามพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์จะทรงนำมนุษยชาติทั้งมวลเข้าสู่ยุคใหม่นี้  นี่คือเจตนารมณ์ของพระเจ้า และนี่คือความจริงที่ทุกคนที่กำลังติดตามพระเจ้าอยู่ในขณะนี้ควรเข้าใจ  พระเจ้าไม่ได้กำลังทรงนำกลุ่มผู้คน ฝักฝ่ายเล็กๆ หรือกลุ่มชาติพันธุ์เล็กๆ เข้าสู่ยุคใหม่ ตรงกันข้าม พระองค์ตั้งพระทัยที่จะนำมนุษยชาติทั้งมวลเข้าสู่ยุคใหม่  เป้าหมายนี้จะสัมฤทธิ์ได้อย่างไร?  (ด้วยการเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างกว้างขวาง)  ที่จริงแล้วต้องสัมฤทธิ์ด้วยการเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างกว้างขวาง โดยใช้วิธีการและช่องทางต่างๆ เพื่อสื่อข่าวประเสริฐอย่างกว้างขวาง  การพูดถึงการเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างกว้างขวางเป็นเรื่องง่าย แต่การเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างกว้างขวางนั้นควรทำอย่างไรอย่างเจาะจง?  (พึงต้องใช้ความร่วมมือของมนุษย์) ถูกต้องโดยแท้ พึงต้องใช้ความร่วมมือของมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่หนึ่ง: พวกเขาพยายามเอาชนะใจผู้คน)  จากการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันตระหนักว่า พระเจ้ากำลังทรงงานเพื่อช่วย ไม่ใช่แค่คนกลุ่มเล็กๆ หรือแค่ประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่พระองค์ทรงงานเพื่อช่วยมวลมนุษย์และนำทางมวลมนุษย์ทั้งหมดเข้าสู่ยุคใหม่ นี่คือเจตนารมณ์ของพระเจ้า ยังมีคนอีกมากมายที่ไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้าและไม่ได้รับความรอดของพระเจ้า พวกเขายังคงใช้ชีวิตอยู่ในความบาป ในความเสื่อมทรามและความทรมานของซาตาน พวกเขาต้องการพวกเราที่ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรแก่พวกเขา และให้โอกาสพวกเขาได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้าและรับความรอดของพระองค์ นี่คือภารกิจร่วมกันของเรา ภัยพิบัติรุนแรงขึ้นและการระบาดกำลังแพร่กระจาย ถ้าฉันไม่จริงจังกับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ โดยเชื่ออยู่เรื่อยว่ามีเวลาเหลือเฟือ ตามใจเนื้อหนัง และไม่ยอมลำบากในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พอภัยพิบัติรุนแรงขึ้น การเผยแผ่ข่าวประเสริฐก็มีแต่จะยากขึ้น ยังไม่มีใครเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้คนในบ้านเกิดของฉัน และถ้าภัยพิบัติรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาอาจจะไม่สามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ ฉันต้องหยุดตามใจเนื้อหนังของตัวเอง ฉันต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันจึงตั้งปณิธานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่าจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐในบ้านเกิดของฉัน ในปี 2021 ฉันกลับบ้านเกิด แล้วเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้กับเพื่อนและคนรู้จักสองสามคน หลังจากที่พวกเขายอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันก็สามัคคีธรรมกับพวกเขาในการเตรียมทำดี และขอให้พวกเขาพาญาติและเพื่อนๆ มาฟังพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาทุกคนเต็มใจยิ่งกว่าเต็มใจ โดยไม่ได้วางแผน เราเริ่มเผยแผ่ข่าวประเสริฐไปยังผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็ได้ก่อตั้งคริสตจักรขึ้นมา ฉันมีความสุขมาก ในช่วงนั้นเองที่ฉันตระหนักถึงความหมายของการทำหน้าที่อย่างขันแข็งและมีความรับผิดชอบ ฉันรู้สึกถึงการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเต็มใจเผยแผ่ข่าวประเสริฐมากขึ้น ฉันมีกำลังใจเป็นพิเศษทุกครั้งที่เห็นผู้มาใหม่แสดงความกระตือรือร้น และอยากเข้าร่วมการชุมนุม

วันหนึ่ง ฉันกับยานนีกำลังจัดการชุมนุมในที่แห่งหนึ่ง แต่ไม่มีใครมาตามกำหนดการ ฉันเลยให้ยานนีไปตามหาพวกเขา พอเธอกลับมา เธอบอกฉันว่า “สามีของผู้มาใหม่อิมาเพิ่งกลับมาจากเมืองเมา แล้วเขาอ้างว่าข่าวประเสริฐของเราเป็นเท็จ เขายังบอกอีกว่ารัฐบาลกำลังจับกุมคนทำงานข่าวประเสริฐ ผู้เชื่อก็จะถูกจับกุมด้วย เขาบอกว่าเขาไปทำงานในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แล้วมีคนแอบเผยแผ่ข่าวประเสริฐโดยที่ศิษยาภิบาลท้องถิ่น หัวหน้าหมู่บ้าน หรือผู้นำหมู่บ้านไม่รู้ ถ้าพวกเขาเผยแผ่สิ่งดีๆ ทำไมพวกเขาต้องเก็บเป็นความลับด้วยล่ะ? เขาบอกว่าคนควรคิดให้รอบคอบก่อนฟัง เพื่อเลี่ยงไม่ให้หลงผิด” พวกเขาต่างหวาดกลัวมากจนไม่กล้าเข้าร่วมการชุมนุม ฉันรู้สึกหดหู่นิดหน่อย ก่อนหน้านี้ผู้มาใหม่ทำได้ดีมากแล้วก็เข้าร่วมการชุมนุมอย่างกระตือรือร้น แต่หลังจากมีข่าวลือพวกเขาก็หยุดเข้าร่วม แล้วเราจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐต่อไปได้ยังไง? ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ต่อมา อิสา ผู้ดูแลของฉันสามัคคีธรรมกับเราว่า “ไม่ว่าพระราชกิจของพระเจ้าจะดำเนินการที่ไหน ซาตานก็จะเข้ามาขัดขวาง เมื่อเผชิญกับปัญหานี้ มาแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าด้วยกันเถอะ” จากนั้นเธอก็ส่งพระวจนะของพระเจ้ามาให้เราบทตอนหนึ่ง “ไม่สำคัญว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เจ้าต้องเรียนรู้บทเรียนของเจ้าและเพิ่มพูนวิจารณญาณอยู่เสมอ เจ้าไม่สามารถปล่อยให้สิ่งเหล่านี้หลุดลอยไป และเจ้าไม่อาจพลาดโอกาสอันใดที่จะเรียนรู้บทเรียนของเจ้าและเพิ่มพูนวิจารณญาณได้  เนื่องจากนี่เป็นกรณีที่มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น พวกเราต้องไม่จัดการเรื่องนั้นด้วยท่าทีที่คิดลบและเป็นการตำหนิ ในทางกลับกัน พวกเราควรเผชิญเรื่องนั้นด้วยท่าทีที่เป็นบวก  แล้วจะทำเช่นนั้นอย่างไร?  ก็ด้วยการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา  ผู้คนล้วนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม และสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาสามารถเป็นได้ทั้งดีและชั่ว ดังนั้น เมื่อผู้คนมารวมตัวกันจะไม่เกิดปัญหาขึ้นได้อย่างไร?  ท่าทีของเจ้าควรเป็นเช่นไรเมื่อคำนึงว่าพระเจ้าทรงตีแผ่สภาพแวดล้อมนี้ให้เจ้าดู เมื่อคำนึงว่าพระองค์ทรงแสดงให้เจ้ามองเห็นผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเจ้า?  จงขอบคุณพระเจ้าที่ทรงตีแผ่ปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ต่อหน้าเจ้า  พระองค์กำลังประทานโอกาสให้เจ้าปฏิบัติและเรียนรู้บทเรียน รวมทั้งเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (20))  จากการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ เจตนารมณ์อันดีของพระเจ้าปรากฏอยู่ในสถานการณ์นี้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เราแสวงหาความจริงและได้รับวิจารณญาณ ผู้มาใหม่เคยกระตือรือร้นมาก พวกเขามาชุมนุมทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ตอนนี้พวกเขากลัวข่าวลือที่ฟังมาแล้วหยุดเข้าร่วม พอเห็นว่าพระเจ้าทรงช่วยผู้คน ซาตานก็เลยเริ่มก่อกวนและทำลายล้างด้วยอำนาจทั้งหมดของมัน โดยใช้ข่าวลือชักนำให้หลงผิดและตบตาผู้คน ทำให้พวกเขาห่างไกลจากพระเจ้าและเสียโอกาสได้รับความรอด ซาตานชั่วและน่ารังเกียจมาก! ฉันรู้มาก่อนแล้วว่าการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณนั้นรุนแรง แต่ฉันไม่เคยประสบด้วยตัวเอง และฉันยังไม่รู้เท่าทันเจตนาอันชั่วร้ายของซาตาน ฉันจึงโดนเล่นงานโดยไม่ทันตั้งตัวและตกตะลึงกับสถานการณ์นี้ และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเกิดขึ้น ฉันเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่พวกเขาเพื่อให้พวกเขาได้ยินเสียงของพระเจ้า และบรรลุความรอดของพระเจ้า นี่เป็นสิ่งที่ดี แล้วทำไมพวกเขาถึงแพร่ข่าวลือพวกนี้ล่ะ? ฉันยังตำหนิคนที่เผยแพร่ข่าวลือและสถานการณ์ที่เกิดจากข่าวลือด้วย หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้วก็ตระหนักว่า ฉันไม่ควรคิดลบและตำหนิเวลาเกิดปัญหา แต่ควรมีท่าทีที่นบนอบ พระเจ้าให้โอกาสฉันปฏิบัติ และฉันต้องเรียนรู้จากสถานการณ์นี้ ฉันต้องแสวงหาความจริงในความยากลำบากนี้ และค้นหาผู้มาใหม่เพื่อสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้า เพื่อที่พวกเขาจะได้รับวิจารณญาณเกี่ยวกับคำโกหกของซาตานและไม่หลงผิด รู้แบบนี้แล้ว ฉันก็พร้อมดำเนินการต่อ

หลังจากนั้น ยานนีกับฉันก็ค้นหาผู้มาใหม่ทีละคน ถ้าเรารวมกลุ่มพวกเขาได้ เราก็จะสามัคคีธรรมกับพวกเขาด้วยกัน แต่ถ้าไม่ได้ เราก็จะสามัคคีธรรมกับพวกเขาเป็นรายบุคคล ครั้งหนึ่ง ตอนเราสามัคคีธรรมกับกลุ่มหนึ่ง มีศิษยาภิบาลคนหนึ่งมาด้วย ศิษยาภิบาลคนนั้นเคยฟังเทศนา แต่ตั้งแต่ได้ยินข่าวลือก็ไม่ได้มาเลย คราวนี้ เขาแค่มารับภรรยาของเขาจากการชุมนุม พอเขามาถึง ฉันก็เดินไปทักเขาทันที ศิษยาภิบาลคนนั้นเปิดพระคัมภีร์ของเขาแล้วบอกว่า “ในมัทธิวบทที่ 24 วรรค 23-24 กล่าวว่า พระคริสต์เทียมเท็จจะปรากฏขึ้นเพื่อชักนำผู้คนให้หลงผิดในยุคสุดท้าย ตอนนี้มีคนเผยแผ่ข่าวประเสริฐเยอะมาก แต่เราไม่รู้ว่าใครประกาศตามหนทางที่แท้จริงและใครประกาศตามหนทางที่เทียมเท็จ เรากลัวที่จะหลงผิด เราเลยไม่กล้าเข้าร่วมชุมนุม” ฉันตอบเขาไปว่า “การต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องใหญ่ เราควรสืบค้นตัวเราเอง ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไรก็ตาม เช่นมีแอปเปิลที่อร่อยจริงๆ แต่คนอื่นบอกคุณว่ารสชาติแย่ คุณก็เลยตัดสินใจไม่ลอง นั่นจะไม่โง่เหรอ? การแสวงหาและสืบค้นหนทางที่แท้จริงก็เช่นกัน ถ้าคุณไม่แสวงหาและสืบค้นตัวเอง แล้วแค่ทำตามสิ่งที่คนอื่นพูด คุณอาจพลาดโอกาสในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าและเสียใจไปตลอดกาล ถ้าคุณอยากรู้ว่าพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่ และเป็นพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์หรือไม่ คุณต้องอ่านพระวจนะที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดง เพื่อดูว่านั่นเป็นพระวจนะของพระเจ้าและเป็นการแสดงความจริงหรือไม่” ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ให้พวกเขาฟัง “ไม่ใช่การยากที่จะสืบค้นเข้าไปในสิ่งเช่นนี้ แต่ก็จำเป็นที่พวกเราแต่ละคนต้องรู้ความจริงประการหนึ่งดังนี้ว่า พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ย่อมจะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ย่อมจะทรงมีการแสดงออกของพระเจ้า  ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงมาสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้ทางให้เขา  เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด  หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส  ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นทางที่เที่ยงแท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์  และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก  หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่รูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์เขลาและไม่รู้ความ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)  หลังจากอ่านบทตอนนี้แล้ว ฉันก็สามัคคีธรรมกับพวกเขา ว่าวิธีที่ดีที่สุดในการระบุพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ คือยืนยันว่าพระองค์ทรงแสดงความจริง ทรงทำงานของพระเจ้า และนำความจริง ชีวิต และหนทางมาสู่ผู้คนได้ ถ้าใครแสดงความจริงไม่ได้ พวกเขาก็ไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พวกเขาก็ไม่ใช่พระคริสต์ พระคริสต์คือพระวิญญาณของพระเจ้าที่ปรากฎในรูปร่างของเนื้อหนัง พระองค์ทรงมีแก่นแท้อันศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่แสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งความรอดได้ ไม่มีใครแทนที่พระองค์ได้ ยกตัวอย่าง องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ ทรงแบกรับบาปของมนุษย์ทั้งปวง ทรงแสดงหนทางแห่งการกลับใจ และทรงกระทำปาฏิหาริย์มากมาย รวมทั้งทรงให้คนตาบอดมองเห็น ทรงยอมให้คนพิการเดินได้ และทรงให้คนตายฟื้นคืน ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้สิทธิอำนาจของพระเจ้าประจักษ์ นอกจากพระเจ้าแล้ว ใครแสดงความจริงและทำให้คนตายฟื้นคืนได้? ใครทำพระราชกิจแห่งการไถ่ได้? ใครอีกที่มีสิทธิอำนาจระดับนั้น? ไม่มี! เราได้รู้ผ่านพระวจนะและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า ว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระเจ้าพระองค์เอง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดงความจริงมากมาย ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย และสิ้นสุดยุคพระคุณและก่อตั้งยุคราชอาณาจักร พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเผยความล้ำลึกในพระราชกิจบริหารจัดการแห่งมวลมนุษย์ของพระเจ้า พิพากษาและเปิดโปงต้นกำเนิดแห่งบาปของมนุษย์และการต่อต้านพระเจ้า และประทานเส้นทางสู่การชำระให้บริสุทธิ์และความรอดแก่มวลมนุษย์ ซึ่งจะนำพวกเขาไปสู่บั้นปลายที่อัศจรรย์ในที่สุด ไม่มีใครแสดงพระวจนะเหล่านี้หรือทำงานนี้ได้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทำงานประเภทนี้ได้ จากเรื่องนี้ เรายืนยันได้ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระคริสต์ในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงเป็นการเสด็จมาครั้งที่สองขององค์พระเยซูเจ้า นอกจากนี้ พระเจ้ายังทรงใหม่และไม่เคยเก่าตลอดไป และไม่ทรงทำพระราชกิจเดิมซ้ำสอง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายบนรากฐาน ของพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์ไม่ได้ทรงทำพระราชกิจแห่งการรักษาคนป่วยและขับไล่ปีศาจที่ทรงทำในยุคพระคุณซ้ำอีก สำหรับพระคริสต์เทียมเท็จ พวกเขาไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้าและแสดงความจริงไม่ได้ พวกเขาทำได้แค่ลอกเลียนแบบกิจการอันดีงามในอดีตของพระเจ้า และแสดงปาฏิหาริย์ง่ายๆ บางอย่างเพื่อชักนำผู้คนให้หลงผิดเท่านั้น ถ้ามีคนปรากฏว่าทำปาฏิหาริย์ได้ แล้วบอกว่าเป็นองค์พระเยซูเจ้าที่เสด็จกลับมา คนเหล่านั้นเป็นคนหลอกลวง เป็นพระคริสต์เทียมเท็จที่พยายามชักนำผู้คนให้หลงผิดอย่างแน่นอน ฉะนั้น เราจึงไม่ควรเลี่ยงการสืบค้นพระราชกิจของพระเจ้าแค่เพราะมีพระคริสต์เทียมเท็จในยุคสุดท้าย ถ้าเราไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าและสืบค้นพระราชกิจของพระองค์ เราจะได้ยินเสียงของพระเจ้าได้ยังไง? พระเจ้ากำลังช่วยผู้ที่เชื่อในพระองค์อย่างจริงใจ ถ้าเราพลาดการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า เราจะเสียใจไปตลอดกาล หลังจากได้ฟังสามัคคีธรรมของฉันแล้ว พวกเขาก็บอกว่า “เข้าใจแล้ว พระเจ้าทรงดำเนินการพระราชกิจใหม่ พระองค์ไม่ได้ทรงรักษาคนป่วยและขับผีเหมือนในยุคพระคุณอีกต่อไป ถ้าใครทำปาฏิหาริย์ได้แต่แสดงความจริงไม่ได้ ผู้นั้นคือพระคริสต์เทียมเท็จ” เรายังสามัคคีธรรมถึง พระราชกิจสามช่วงระยะของพระเจ้า ความหมายของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า และความหมายของพระนามของพระองค์ ศิษยาภิบาลคนนี้เห็นว่าสิ่งที่เราพูดนั้นมีรากฐานจากพระคัมภีร์ และยอมรับว่าเรากำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้า ว่าพระเจ้าได้เสด็จมาเพื่อทำงานในช่วงระยะใหม่

ต่อมามีผู้มาใหม่คนหนึ่งถามว่า “ในเมื่อเป็นพระราชกิจของพระเจ้า ทำไมเราไม่ประกาศอย่างเปิดเผยล่ะ” ฉันอ่านพระคัมภีร์สองบทตอนแรก “เรารู้ว่าเราเกิดจากพระเจ้า แต่โลกทั้งหมดอยู่ในมือของมารร้าย(1 ยอห์น 5:19)  “หลักการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างเข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่าความสว่าง เพราะกิจการของพวกเขาเลวทราม(ยอห์น 3:19)  จากนั้นฉันก็สามัคคีธรรมเรื่องนี้ โลกนี้ชั่วมาก มวลมนุษย์ทั้งหมดอาศัยภายใต้อำนาจของซาตาน พวกนั้นเกลียดความจริงกับความสว่าง และชอบความชั่วกับความมืด ขณะที่พระเจ้าได้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์เพื่อทรงงานและช่วยมวลมนุษย์ให้รอด มนุษยไม่ใช่แค่ไม่ยอมรับพระองค์ แต่ยังต่อต้านและปฏิเสธพระองค์ด้วย ระบอบการปกครองของซาตานและกองกำลังศัตรูของพระคริสต์แห่งโลกศาสนาชิงชังการเสด็จมาของพระเจ้าเป็นพิเศษ เพื่อรักษาอำนาจและประกันสถานะและความรุ่งเรืองของพวกเขา พวกนั้นห้ามไม่ให้ผู้คนเชื่อในพระเจ้าหรือฟังพระวจนะของพระองค์ พวกนั้นยังข่มเหงและจับกุมผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกนั้นถึงกับปรารถนาที่จะถอนรากถอนโคนงานของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง นี่เป็นเหมือนตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ เฮโรดได้ยินว่าองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นกษัตริย์ของชาวยิว และต้องการสังหารพระองค์ จึงสั่งให้ประหารเด็กทารกที่อายุต่ำกว่าสองขวบทั้งหมด เหล่าฟาริสีแห่งโลกศาสนา กังวลว่าผู้คนจะเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าและฟังพระวจนะของพระองค์ กลัวว่าผู้คนจะหยุดติดตามพวกเขา พวกเขาจึงต่อต้านและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า ดังนั้น ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ในโบสถ์ยิวอย่างเปิดเผย พระองค์ทรงเทศนาแก่เหล่าสาวกบนภูเขาและเรือประมง ทำแบบนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการก่อกวนและการทดลองของซาตานและเหล่าปีศาจ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพระราชกิจของพระองค์ และองค์พระเยซูเจ้าตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ด้วยว่า “เมื่อพวกเขาข่มเหงท่านในเมืองหนึ่ง จงหนีไปยังอีกเมืองหนึ่ง(มัทธิว 10:23)  ดังที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้แสดงความจริงเพื่อช่วยมวลมนุษย์ในยุคสุดท้าย พระองค์ยังถูกข่มเหงและกล่าวโทษโดยระบอบการปกครองของซาตานและกองกำลังศัตรูของพระคริสต์แห่งโลกศาสนา ถ้าเราเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างเปิดเผย เราจะเผชิญกับเหล่าอุปสรรคร้ายแรง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ณ เวลานั้น ที่พระเยซูได้ทรงพระราชกิจอยู่ในยูเดีย พระองค์ได้ทรงทำอย่างเปิดเผยยิ่งนัก แต่ ณ ตอนนี้ เราทำงานและพูดอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าอย่างลับๆ  ผู้ไม่เชื่อทั้งหลายหาได้ตระหนักรู้ไม่โดยสิ้นเชิง  งานของเราท่ามกลางพวกเจ้านั้นถูกปิดกั้นสำหรับพวกคนที่อยู่ภายนอก  วจนะเหล่านี้ การตีสอนและการพิพากษาเหล่านี้เป็นที่รู้กันเฉพาะในหมู่พวกเจ้า และไม่มีใครอื่นอีกเลย  พระราชกิจทั้งหมดนี้ถูกดำเนินไปในท่ามกลางพวกเจ้าและได้รับการเปิดผ้าคลุมออกต่อพวกเจ้าเท่านั้น ท่ามกลางผู้ไม่เชื่อนั้นไม่มีใครเลยที่รู้เรื่องนี้ เพราะมันยังไม่ถึงเวลา  ผู้คนเหล่านี้ในที่นี้ใกล้จะได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์แล้วหลังจากที่ได้สู้ทนการตีสอนมา  แต่พวกที่อยู่ภายนอกนั้นไม่รู้อะไรในการนี้เลย  การนี้ซ่อนเร้นเกินไป!  สำหรับพวกเขาแล้ว การที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้นถูกซ่อนเร้นเอาไว้ แต่สำหรับบรรดาผู้ที่อยู่ในกระแสนี้ คนเราสามารถพูดได้เลยว่า พระองค์ทรงเปิดกว้าง  แม้ว่า ในพระเจ้านั้น ทั้งหมดล้วนเปิดกว้าง ทั้งหมดล้วนได้รับการเปิดเผย และทั้งหมดล้วนได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ นี่ก็เป็นจริงเฉพาะกับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์เท่านั้น เท่าที่พิจารณาถึงพวกที่เหลือ พวกผู้ไม่เชื่อ ไม่มีอะไรเลยที่ถูกทำให้รู้  พระราชกิจที่กำลังถูกดำเนินอยู่ ณ เวลานี้ท่ามกลางพวกเจ้าและในประเทศจีนนั้นถูกปิดบังอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้พวกเขารู้  หากพวกเขากลายเป็นไหวตัวรับรู้เกี่ยวกับพระราชกิจนี้ขึ้นมาแล้วไซร้ ทั้งหมดที่พวกเขาคงจะทำก็คือ กล่าวโทษมันและเป็นเหตุให้มันถูกข่มเหง  พวกเขาคงจะไม่เชื่อในพระราชกิจนี้  การทรงพระราชกิจในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง สถานที่ซึ่งล้าหลังที่สุดแห่งนี้ในบรรดาสถานที่ทั้งหลาย หาใช่ภารกิจอันง่ายดายไม่  หากพระราชกิจนี้จะต้องถูกทำไปอย่างเปิดเผย มันคงจะไม่มีทางดำเนินต่อไปได้  ช่วงระยะนี้ของพระราชกิจย่อมเป็นอันไม่สามารถถูกดำเนินไปในสถานที่แห่งนี้ได้เท่านั้นเอง  หากพระราชกิจนี้จะต้องถูกดำเนินไปอย่างเปิดเผย พวกเขาจะยอมปล่อยให้มันเดินหน้าไปได้อย่างไร?  นี่จะไม่ทำให้พระราชกิจนี้ตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่ถึงขั้นใหญ่กว่านี้ขึ้นไปอีกหรือ?  หากพระราชกิจนี้ไม่ได้ถูกปกปิด แต่กลับถูกดำเนินไปอย่างเปิดเผยเช่นเดียวกับในกาลสมัยของพระเยซูตอนที่พระองค์ได้ทรงรักษาคนป่วยและขับไล่ปีศาจออกอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ เช่นนั้นแล้วมันจะไม่ ‘ถูกจับ’ โดยพวกมารไปนานแล้วหรอกหรือ?  พวกเขาจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?  หากบัดนี้ เราต้องเข้าสู่ธรรมศาลาเพื่อประกาศและอบรมสั่งสอนมนุษย์ เช่นนั้นแล้วเราจะไม่ถูกฟาดฟันออกเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้วหรอกหรือ?  และหากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริง งานของเราจะสามารถถูกดำเนินการต่อไปจนเสร็จสิ้นได้อย่างไร?  เหตุผลที่ไม่มีหมายสำคัญและการอัศจรรย์ใดเลยถูกสำแดงออกมาอย่างเปิดเผยนั้น ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของการปกปิด  ดังนั้น ผู้ไม่เชื่อทั้งหลายจึงไม่สามารถมองเห็น รู้ หรือค้นพบงานของเราได้  หากช่วงระยะนี้ของพระราชกิจต้องถูกทำในลักษณะเดียวกับพระราชกิจของพระเยซูในยุคพระคุณ มันก็คงมิอาจมั่นคงได้มากเท่าที่มันกำลังเป็นอยู่ ณ ขณะนี้  ดังนั้นการทรงพระราชกิจอย่างลับๆ ในหนทางนี้จึงมีประโยชน์ต่อพวกเจ้าและต่อพระราชกิจโดยรวม(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (2))  พระวจนะของพระเจ้าชัดเจนทีเดียว สำหรับผู้ที่ยอมรับหนทางที่แท้จริงและติดตามพระเจ้า รายละเอียดของพระราชกิจในยุคสุดท้ายนั้นเปิดกว้างทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนไว้ แต่ไม่เปิดให้ผู้ไม่มีความเชื่อและผู้ที่ต่อต้านพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่พระเจ้าถูกข่มเหง ข่าวประเสริฐไม่สามารถเผยแพร่อย่างเปิดเผย อย่างเช่น ทุกวันนี้ เมื่อรัฐบาลบางแห่งได้ยินผู้คนกำลังปฏิบัติความเชื่อและเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเขาก็ออกคำสั่งจับกุมและจับมาลงโทษ นอกจากนี้ โลกทางศาสนายังเผยแพร่ข่าวลือ การโกหก และหยุดไม่ให้ผู้คนแสวงหาและสืบค้นหนทางที่แท้จริง ถ้าเราเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างเปิดเผย งานก็จะถูกขัดขวาง นอกจากนี้ เราไม่ควรสืบค้นหนทางที่แท้จริงโดยขึ้นอยู่กับว่าหนทางนั้นถูกประกาศอย่างเปิดเผยหรือไม่ แต่ควรขึ้นอยู่กับว่ามีความจริงและเป็นเสียงของพระเจ้าหรือไม่ วิธีนี้เท่านั้นที่เป็นหนทางที่ถูกต้อง พวกเขาได้รับวิจารณญาณเกี่ยวกับข่าวลือ เข้าใจถึงความสำคัญของการยอมรับหนทางที่แท้จริง และยินดีฟังคำเทศนาต่อไป หลังจากฟังการสามัคคีธรรมของฉันแล้ว ศิษยาภิบาลก็ยอมรับว่าพระวจนะที่เราอ่านนั้นมีความจริงและเป็นเสียงของพระเจ้า หลังจากนั้นเขาก็ไม่ก่อการขัดขวางใดๆ และจะมาชุมนุมเมื่อมีเวลาว่าง ฉันรู้สึกขอบคุณมากสำหรับการนำของพระเจ้า

แต่ข่าวลือยังไม่จบ อิมาหยุดมาชุมนุม และเริ่มก่อการขัดขวางกับสามีของเธอ เธอเริ่มตระเวณอ้างว่า ข่าวประเสริฐที่เราประกาศมาจากประเทศจีน ว่าผู้ประกาศข่าวประเสริฐของเราฆ่าคนไปมากมาย ว่าเราเดินทางไปทั่วโลกเพื่อชักนำผู้คนให้หลงผิดด้วยข่าวประเสริฐของเรา และตอนนี้มาที่พม่าเพื่อทำเหมือนกัน ฉะนั้นทุกคนควรเลิกฟัง ผู้มาใหม่บางคนไม่เชื่อเธอ พวกเขารู้ว่าเราเป็นคนดีและไม่ได้หลอกลวงพวกเขา เธอยังอ้างว่า เราแกล้งทำเป็นใจดีกับพวกเขาในตอนแรก แต่จะค่อยๆ ขอเงิน ถ้าพวกเขาไม่มีเงิน เราก็จะพรากลูกๆ ของพวกเขา และถ้าพวกเขาไม่เข้าร่วมชุมนุม เราก็จะฆ่าพวกเขา ตอนนั้นฉันโกรธมาก และฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงแพร่ข่าวลือแบบนั้น แต่ฉันก็รู้สึกกลัวนิดหน่อยด้วย ฉันมาจากนอกหมู่บ้าน และผู้มาใหม่ไม่รู้จักฉันดีนัก ถ้ามีคนหลงผิดจากข่าวลือแล้วคิดว่าฉันอาจจะทำตามที่อิมาอ้าง พวกเขาจะรายงานฉันไหม? อิมากับสามีบอกทุกคนที่พวกเขาเจอว่าฉันเป็นฆาตกร และพยายามให้ผู้อุปถัมภ์ไล่ฉันออกจากบ้าน คืนหนึ่ง ตอนฉันออกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐกับให้น้ำผู้มาใหม่ ผู้อุปถัมภ์ของฉันที่เชื่อสิ่งที่อิมาพูดก็ล็อกประตูไม่ให้ฉันกลับเข้าบ้าน ชาวบ้านต่างก็กลัวฉัน ไม่ยอมมาชุมนุมกัน และอยากไล่ฉันออกไป ฉันเสียใจมาก ฉันมาเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งความรอดในยุคสุดท้ายของพระเจ้า เพื่อที่พวกเขาจะได้รับพระคุณแห่งความรอดของพระเจ้าด้วย แต่พวกเขากลับเผยแพร่ข่าวลือ ใส่ร้ายฉัน และบอกว่าฉันเป็นฆาตกร ทุกคนกลัวฉันและอยากให้ฉันออกไป ถ้าฉันไม่ออกไป ฉันอาจถูกจับกุมได้ ฉันกลัวจริงๆ ถ้าฉันถูกจับเข้าคุก ฉันจะได้รับโทษจำคุกนานไหม? ครอบครัวของฉันรู้เรื่องนี้เข้าจะคิดยังไง? เป็นการเสียหน้าขนาดหนักเลย! ฉันกลัวถูกจับและทำให้ขายหน้ามาก จนนอนไม่หลับทั้งคืน ฉันไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์นี้ยังไง ฉันเลยอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้ผ่านพ้นไปได้ วันรุ่งขึ้น พอผู้ดูแลของฉันได้ฟังสิ่งที่เกิดขึ้น เธอก็ส่งพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งมาให้ฉัน “ขณะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ คนเราย่อมจะเผชิญการเย้ยหยัน ล้อเลียน เหยียดหยาม และว่าร้าย หรือถึงกับพบว่าพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย  ตัวอย่างเช่น พี่น้องชายหญิงบางคนถูกพวกคนชั่วประณามหรือลักตัวไป และคนอื่นๆ ก็ถูกแจ้งให้ตำรวจจับและส่งตัวให้ทางรัฐบาล  บางคนอาจถูกจับและติดคุก ขณะที่คนอื่นอาจถึงกับถูกทุบตีจนถึงแก่ความตาย  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น  ทว่าในตอนนี้ที่พวกเรารู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แล้ว พวกเราควรเปลี่ยนท่าทีที่มีต่องานเผยแผ่ข่าวประเสริฐหรือไม่?  (ไม่)  การประกาศข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของทุกคน  ในเวลาใดก็ตาม ไม่ว่าพวกเราจะได้ยินสิ่งใด หรือพวกเราจะเห็นสิ่งใด หรือพวกเราจะเผชิญกับการปฏิบัติประเภทใดก็ตาม พวกเราจะต้องดำรงความรับผิดชอบในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเอาไว้เสมอ  ไม่มีรูปการณ์แวดล้อมใดที่พวกเราจะสามารถละทิ้งหน้าที่นี้เพราะความคิดแง่ลบหรือความอ่อนแอได้  หน้าที่ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่เต็มไปด้วยอันตราย  เมื่อพวกเจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเจ้าจะไม่พบกับทูตสวรรค์ หรือมนุษย์ต่างดาว หรือหุ่นยนต์  พวกเจ้าจะเผชิญหน้ากับมนุษยชาติที่ชั่วร้ายและเสื่อมทราม พวกปีศาจที่มีชีวิต พวกสัตว์ร้ายเท่านั้น—ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นมนุษย์ที่อยู่รอดในพื้นที่อันชั่วร้ายนี้ โลกอันชั่วนี้ ผู้ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกและต้านทานพระเจ้า  ดังนั้น ในกระบวนการแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐย่อมมีอันตรายอยู่ทุกรูปแบบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการนินทาเล็กๆ น้อยๆ การเหยียดหยามทั้งหลาย และความเข้าใจผิดทั้งหลาย ซึ่งเกิดขึ้นทั่วไป  หากเจ้ามองว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบ เป็นภาระผูกพัน และเป็นหน้าที่ของเจ้าอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถมองสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและกระทั่งจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างถูกต้องด้วย  เจ้าจะไม่ละทิ้งความรับผิดชอบของเจ้าและภาระผูกพันของเจ้า อีกทั้งเจ้าจะไม่หันเหไปจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของเจ้าที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าเพราะสิ่งเหล่านี้ และเจ้าจะไม่ละเลยความรับผิดชอบนี้ เพราะนี่คือหน้าที่ของเจ้า  พวกเราควรทำความเข้าใจหน้าที่นี้อย่างไร?  นี่คือคุณค่าและภาระผูกพันเบื้องต้นในชีวิตมนุษย์  การเผยแผ่ข่าวดีเกี่ยวกับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าและข่าวประเสริฐแห่งพระราชกิจของพระเจ้าคือคุณค่าของชีวิตมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ)  ฉันเข้าใจผ่านพระวจนะของพระเจ้าว่า เวลาที่เราเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เรากำลังเผชิญกับคนชั่วที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เช่นเดียวกับการกล่าวโทษและการโจมตีทุกรูปแบบจากศัตรูของพระคริสต์ คนทำชั่ว และผู้ไม่เชื่อ เราอาจถูกเย้ยหยัน ใส่ร้าย ดูถูก รายงานและจับกุม และชีวิตของเราอาจตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคาม คนที่แพร่ข่าวลือว่าฉันเป็นฆาตกรและทำชั่วนั้น แค่พยายามทำให้ชื่อเสียงของฉันเสื่อมเสียและหยุดยั้งไม่ให้ฉันเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเขาต้องการใช้ข่าวลือและการใส่ร้ายเพื่อทำให้ฉันแพ้ เพื่อให้ฉันไม่กล้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้พระเจ้า นี่คือแผนการทรยศของซาตาน ถ้าฉันออกจากหมู่บ้านแล้วหยุดเผยแผ่ข่าวประเสริฐกับให้น้ำผู้มาใหม่ ฉันคงหลงกลของซาตานและจะกลายเป็นตัวตลกของมัน ที่ผู้มาใหม่กลัวที่จะมาชุมนุมและอ่านพระวจนะของพระเจ้า เพราะกลัวว่าจะถูกรายงานหรือถูกจับกุมนั้น ฉันรู้ว่าพวกเขาต้องการการให้น้ำมากขึ้นอีก เพื่อที่พวกเขาจะได้เข้าใจความจริง รู้เท่าทันแผนการทรยศของซาตาน และไม่ใช้ชีวิตด้วยความกลัว แต่เพราะฉันเข้าบ้านไม่ได้ จึงรู้สึกไม่เป็นธรรม และกังวลมากขึ้นว่าจะถูกจับกุมและถูกทำให้อับอาย ฉันเลยอยากเลิกแล้วกลับบ้าน ฉันไม่ได้ถือว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ของตัวเอง ฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วงเลย เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ไม่พึงปรารถนานี้ ฉันไม่ได้แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือนึกถึงผู้มาใหม่ แต่แค่อยากละทิ้งหน้าที่ของฉัน ฉันไม่มีสำนึกความรับผิดชอบเลยแม้แต่น้อย! ยิ่งสถานการณ์ยากลำบาก และกองกำลังแห่งความมืดของซาตานโจมตีและก่อกวนพวกเขามากเท่าไร ผู้ที่ให้ความสนใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง จะยิ่งรู้สึกว่าจำเป็นต้องลุกขึ้นยืน สามัคคีธรรมความจริง ปฏิเสธและเปิดโปงคำโกหกและการหลอกลวงของซาตาน รักษาพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้าไว้ และทำให้ซาตานขายหน้า วิธีนี้เท่านั้นที่ชูพระทัยของพระเจ้าและเป็นการทำหน้าที่ให้ลุล่วงอย่างแท้จริง ความรับผิดชอบและหน้าที่ของฉันคือการเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าและเป็นพยานให้พระผู้สร้าง นี่เป็นงานที่มีความหมายมากและเป็นเจตนารมณ์เร่งด่วนของพระเจ้า พอตระหนักทั้งหมดนี้แล้ว ฉันก็มั่นใจที่จะทำงานต่อไป ไม่ว่าซาตานจะก่อกวนเรายังไง หรือผู้มาใหม่ปฏิบัติต่อฉันแบบไหน ฉันก็จะยังคงอยู่เผยแผ่ข่าวประเสริฐและให้น้ำผู้มาใหม่ต่อไป

หลังจากนั้น เราก็ตามหาผู้มาใหม่ พวกเขาเอาแต่พูดกับเราว่า “เราก็อยากชุมนุมเหมือนกัน แต่เรากลัวโดนชักนำให้หลงผิด และยิ่งกลัวไปใหญ่ว่าสามีอิมาจะแจ้งตำรวจมาจับเรา” อิสาสามัคคีธรรมกับพวกเขาว่า “เราต่างรู้ดีว่าองค์พระเยซูเจ้าเป็นพระเจ้า แล้วทำไมตอนนั้นคนถึงบอกว่าพระองค์กำลังเผยแผ่ศาสนานอกรีต? ใครเป็นคนพูดเรื่องนี้? เป็นเหล่าศิษยาภิบาลกับผู้อาวุโสแห่งโลกศาสนา พวกเขาเห็นว่าเหล่าสาวกเริ่มติดตามองค์พระเยซูเจ้า เลยเริ่มพากันตื่นตระหนก พวกเขากังวลว่าถ้าทุกคนเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า จะไม่มีใครมาฟังคำเทศนาของพวกเขา และจะไม่มีใครชื่นชมพวกเขา พวกเขาจึงเริ่มแพร่ข่าวลือและห้ามไม่ให้ผู้คนติดตามพระองค์ ในพระคัมภีร์ เราเห็นได้ว่า บางคนกล่าวหาพระองค์ว่าเป็นคนนอกรีต ขณะที่คนอื่นๆ บอกว่าพระองค์ทรงขับผีโดยนายผี เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงฟื้นคืนพระชนม์หลังถูกตรึงกางเขน พวกเขาติดสินบนทหารที่เฝ้าอุโมงค์ แล้วให้บอกว่าสาวกขององค์พระเยซูเจ้าขโมยพระศพของพระองค์ไปจากอุโมงค์ และพระองค์ไม่ได้ฟื้นคืนพระชนม์จริงๆ พวกเขาไม่ได้แพร่ข่าวลือหรอกเหรอ? เห็นได้ชัดว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงฟื้นคืนพระชนม์ แต่พวกเขาไม่ยอมรับ ตอนนั้นมีข่าวลือแพร่สะพัดมากมาย และทั้งหมดนั้นทำเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า ทีนี้ พวกเขากล่าวโทษพระเยซูเจ้าว่าเป็นคนนอกรีต แล้วทำไมเราถึงควรเชื่อในพระองค์ล่ะ?” ผู้มาใหม่ทุกคนตอบว่า “เพราะว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้า เป็นพระผู้ไถ่” อิสาพูดต่อว่า “พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์และเสด็จมาปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์และช่วยมวลมนุษย์ให้รอด มารทนไม่ได้ที่จะเห็นพระเจ้าได้รับคนมากขึ้น มันจึงแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับพระองค์ และร่วมกับรัฐบาลเพื่อข่มเหงสาวกของพระองค์ และขัดขวางไม่ให้พวกเขาติดตามพระเจ้า ยังไงก็ตาม บรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าอย่างจริงใจก็ไม่ได้ถูกขัดขวาง สาวกคนหนึ่งขององค์พระเยซูเจ้าถูกม้าลากจนตาย คนหนึ่งถูกตรึงกางเขนคว่ำ และบางคนถูกจำคุก แต่พวกเขาก็ยังคงเชื่อและติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้เชื่อที่แท้จริงของพระเจ้าไม่ได้ถูกเผยผ่านการข่มเหงและความยากลำบากนี้หรอกหรือ? ผู้ไม่เชื่อเหล่านั้นที่แค่ ‘กินขนมปังจนอิ่ม’ เชื่อข่าวลือ หรือไม่กล้าเชื่อพระเจ้า เพราะกลัวถูกจับหรือถูกข่มเหง คนแบบนั้นก็เหมือนวัชพืช พระราชกิจของพระเจ้าเปิดโปงพวกเขาแล้วพวกเขาก็ถูกกำจัด ในที่สุดพวกเขาทุกคนก็จะตกนรกพร้อมกับคนที่สร้างข่าวลือขึ้นมา” จากนั้นเธอก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “ในชาติของพญานาคใหญ่สีแดง เราได้ดำเนินงานระยะหนึ่งที่ยากหยั่งถึงสำหรับมนุษย์ ทำให้พวกเขาโอนเอนไปมาในสายลม ซึ่งหลังจากนั้นหลายคนล่องลอยห่างออกไปอย่างเงียบเชียบด้วยการพัดพาของสายลม  แท้จริงแล้ว นี่คือ ‘ลานนวดข้าว’ ที่เรากำลังจะปัดกวาดให้เกลี้ยง มันคือสิ่งที่เราโหยหาและยังเป็นแผนการของเราเช่นกัน  ด้วยเหตุที่คนชั่วมากมายได้คืบคลานเข้ามาในขณะที่เราทำงาน แต่เราก็ไม่รีบที่จะขับไล่พวกเขาออกไป  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม  เพียงหลังจากนั้นเท่านั้นเราจึงจะเป็นน้ำพุแห่งชีวิต เปิดโอกาสให้บรรดาผู้ที่รักเราอย่างแท้จริงได้รับผลของต้นมะเดื่อและกลิ่นหอมของดอกลิลลี่จากเรา  ในดินแดนที่ซึ่งซาตานพักแรม ดินแดนแห่งธุลี ไม่มีทองคำบริสุทธิ์คงเหลืออยู่ มีเพียงทราย และดังนั้นแล้ว เมื่อได้ประสบกับรูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ เราจึงทำงานช่วงระยะดังกล่าว  เจ้าควรรู้ว่าสิ่งที่เราได้รับไว้นั้น เป็นทองคำถลุงบริสุทธิ์ ไม่ใช่ทราย  คนชั่วจะคงอยู่ในบ้านของเราได้อย่างไร?  เราจะยอมให้พวกสุนัขจิ้งจอกเป็นปรสิตอยู่ในสรวงสวรรค์ของเราได้อย่างไร?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังกังวาน—การเผยพระวจนะว่าข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรจะเผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว อิสาก็พูดต่อว่า “ทำไมพระเจ้าถึงยอมให้มีข่าวลือแบบนี้? พระองค์ทรงใช้สถานการณ์เช่นนี้เพื่อทดสอบผู้คน เพื่อดูว่าความเชื่อของพวกเขาจริงใจหรือเป็นฉ้อฉล เหล่าผู้เชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าต่างก็ฟังพระวจนะของพระองค์ และในสถานการณ์ที่ยากลำบาก พวกเขายังคงแสดงความเชื่อที่จริงใจและติดตามพระเจ้า สำหรับเหล่าผู้เชื่อเท็จ พวกเขาเชื่อคนปล่อยข่าวลือ และไม่กล้าติดตามพระเจ้าเพราะความกลัวและความขลาด สุดท้ายพวกเขาก็ถูกซาตานจับและเสียโอกาสที่จะได้รับความรอด” ผู้มาใหม่บางคนบอกว่า “คนปล่อยข่าวลือพวกนี้มักจะพยายามชักนำเราด้วยคำบอกเล่าของพวกเขา พวกเขาชั่วมาก! ทำไมเรายังฟังสิ่งที่พวกเขาพูดอยู่อีก? เราจะไม่ฟังแล้ว” บางคนยังบอกว่า “เราจะไม่ฟังอิมาและสามีของเธออีกต่อไป เราจะฟังพระวจนะของพระเจ้า!” ฉันขอบคุณพระเจ้ามาก เมื่อได้ยินผู้มาใหม่พูดคำพูดพวกนี้! ไม่ว่าซาตานจะโหดร้ายแค่ไหน และใช้แผนการชั่วหรือข่าวลืออะไร ซาตานก็ไม่มีอำนาจที่จะหยุดพระราชกิจของพระเจ้า หลังจากนั้นฉันก็เผยแผ่ข่าวประเสริฐต่อไป ครั้งหนึ่ง ตอนที่ฉันไปกับผู้มาใหม่เพื่อคุยกับผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ ผู้มีศักยภาพคนนั้นพาอีกเจ็ดหรือแปดคนมาฟังด้วย และทุกคนค่อนข้างกระตือรือร้น ฉันเป็นพยานยืนยันแก่พวกเขาว่าองค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาแล้ว ทรงแสดงความจริงหลายประการและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย หลังจากนั้น ฉันเป็นพยานยืนยันแก่พวกเขาว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจสามช่วงระยะเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ยังไง หลังจากฟังแล้ว ทุกคนก็เต็มใจสืบค้น และบางคนบอกว่าพวกเขามีความสุขมากที่ได้ฟังพระวจนะของพระเจ้า ฉันหนุนใจให้พวกเขาพาเพื่อนและครอบครัวมาฟังคำเทศนาของเรา พวกเขาเต็มใจอย่างยิ่ง หลังจากสามัคคีธรรมได้สองสามวัน คนอีกกลุ่มหนึ่งก็ยอมรับงานใหม่ของพระเจ้า จากนี้ไป เราเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างต่อเนื่อง และคนทั้งหมด 64 คนจากหมู่บ้านก็ยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า

มองย้อนกลับไปถึงประสบการณ์ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ มันไม่ได้ราบรื่น เราเผชิญกับสถานการณ์อันตรายมากมาย เราถูกข่มเหงและอาจถูกจับกุม และยังถูกใส่ร้ายและดูหมิ่นด้วย แต่พระเจ้าทรงใช้การก่อกวนของซาตานเพื่อทำให้ความเชื่อของฉันเพียบพร้อม และอนุญาตให้ฉันรับรู้ถึงความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตัวเอง จากประสบการณ์นี้ ตอนนี้ฉันมีความมั่นใจมากขึ้นในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแล้ว!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ความเห็นแก่ตัวนั้นเลวทราม

โดย หยางซว่อ ประเทศจีน เมื่อต้นปี ค.ศ. 2021 ฉันกับพี่น้องหญิงจางอี้เฉินร่วมกันสนับสนุนคริสตจักรที่เพิ่งก่อตั้งใหม่...

ฉันมุ่งมั่นบนเส้นทางนี้

โดย หาน เฉิน, ประเทศจีน สองสามปีก่อน ฉันถูกจับฐานประกาศข่าวประเสริฐ พรรคคอมมิวนิสต์จีน ให้ฉันจำคุกสามปีข้อหา...

ภาระคือพระพรของพระเจ้า

โดย หย่ง สุย, เกาหลีใต้ ในการเลือกตั้งของคริสตจักรเมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้รับเลือกเป็นผู้นำค่ะ ตอนที่ทราบฉันตกใจมาก...

เรื่องราวของจอย

โดย จอย, ประเทศฟิลิปปินส์เมื่อก่อน ฉันปฏิบัติต่อผู้คนตามอารมณ์อยู่เสมอ ถ้าใครดีกับฉัน ฉันก็จะดีตอบ  ฉันไม่มีการแยกแยะว่าใครเป็นยังไง...

ติดต่อเราผ่าน Messenger