ฉันเกือบยืนอยู่ฝั่งศัตรูของพระคริสต์เสียแล้ว
สิงหาคมปี 2021 ฉันยอมรับงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สามเดือนต่อมา ฉันกับมาร์โจรีถูกเลือกเป็นผู้นำคริสตจักรทั้งคู่ มาร์โจรียอมรับงานของพระเจ้าในยุคสุดท้ายก่อนฉันสามเดือน และแม้ว่าจะไม่ได้อยู่คริสตจักรเดียวกัน เราก็จะเข้าร่วมการชุมนุมผู้ร่วมงานด้วยกัน และหารือเรื่องงานของคริสตจักร ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง มาร์โจรีพูดถึงประสบการณ์ของเธอ เธอว่าเธอล้มป่วย แต่ก็ยังทำหน้าที่ของเธอต่อไป แม้สามีจะกดขี่เธอ เธอก็ยังไม่คิดลบหรือย่นย่อ ฉันนับถือเธอจริงๆ และคิดว่าเธอมีวุฒิภาวะที่ดี ถ้าฉันเจอสถานการณ์เดียวกัน ก็อาจจะกระทบความสามารถในการทำหน้าที่ของฉัน ฉันมองเธอในแง่ดีจริงๆ เธอแบกรับภาระในหน้าที่และไม่ล้มเลิกแม้ขณะที่สามีกดขี่เธอ ฉันมองว่านี่เผยว่าเธอเป็นคนที่ปฏิบัติความจริง และพระเจ้าทรงเห็นชอบ ต่อมา มีการตั้งคริสตจักรใหม่ และฉันมาร์โจรีก็แยกกันไป
วันหนึ่งในห้าเดือนต่อมา มาเรียหัวหน้าของเราโพสต์ข้อความในแชทกลุ่ม ว่าในการชุมนุมคืนนั้นเราจะหารือเรื่องวิธีแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ แล้วเธอก็ส่งลิงค์ไปที่เพจเฟซบุ๊กของมาร์โจรี และบอกเราไม่ให้พูดคุยกับเธอเพราะเธอเป็นศัตรูของพระคริสต์ ฉันตกใจมาก ไม่อยากเชื่อว่ามาร์โจรีเป็นศัตรูของพระคริสต์ ฉันคิดว่าเธอทุ่มเทในหน้าที่แค่ไหน การที่เธอพลีอุทิศได้ สละตนเอง และก้าวผ่านความทุกข์ยาก แม้แต่เมื่อเผชิญการกดขี่จากครอบครัว ก็ทำหน้าที่ต่อไปได้ คนที่แสวงหาความจริงอย่างนั้นเป็นศัตรูของพระคริสต์ได้จริงเหรอ? มาเรียต้องเข้าใจผิดแน่! ฉันไม่อยากเชื่อว่าเป็นความจริง หัวหน้างานคนนี้ส่งอีกข้อความมา ว่าเธอหวังฉันจะบล็อกมาร์โจรีบนเฟซบุ๊ก ฉันจะได้ไม่ถูกเธอรบกวนหรือหลอกลวง ฉันตะขิดตะขวงใจที่จะทำตามที่เธอบอก มันดูไม่เป็นธรรมที่จะปฏิบัติต่อมาร์โจรีแบบนั้น เธอทุ่มเทและกระตือรืนร้านในหน้าที่ เคยหนุนใจ และช่วยฉันมาก่อน ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ หรือทำไมเธอถึงถูกมองว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ ฉันสับสน และเศร้าใจมาก แล้วก็ไม่อยากบล็อกเธอเลย จึงพูดว่า “มาร์โจรีไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ เธอแค่มีมโนคติอันหลงผิด ไม่จำเป็นต้องบล็อกเธอ ลองมองจากมุมมองของเธอและนึกถึงความรู้สึกของเธอสิ” ตอนนั้น หัวหน้าสามัคคีธรรมกับฉัน แต่ฉันไม่ฟัง เธอยังส่งวิดีโอคำพยานประสบการณ์การแยะแยะศัตรูของพระคริสต์มาให้ฉัน และบอกให้ฉันเปิดดู โดยบอกว่าวิดีโอนั้นจะช่วยฉันได้มาก แต่ฉันก็ไม่สนใจ จากนั้น ฉันส่งข้อความไปถามมาร์โจรีว่าเกิดอะไรขึ้น มาร์โจรีพูดว่า “ฉันแพร่มโนคติอันหลงผิดบางอย่าง จึงถูกเตะออกจากกลุ่มแชทและถูกทุกคนบล็อก ฉันรู้สึกเจ็บปวดมากจริงๆ ฉันไม่ต้องชี้แจงอะไร พระเจ้าจะทรงพินิจพิเคราะห์เอง พวกเธอก็กำลังแยกแยะฉันด้วยหรือเปล่า? ฉันหดหู่มาก ทุกคนกำลังแยกแยะและทอดทิ้งฉัน” เธอยังระบายเรื่องที่เธอไม่พอใจหัวหน้างานแค่ไหนอีกด้วย หลังจากฟังเธอ ฉันก็เกิดอคติต่อหัวหน้างานเช่นกัน ฉันคิดว่าเธอไม่ได้จัดการเรื่องนี้อย่างเป็นธรรม ถ้ามาร์โจรีมีมโนคติอันหลงผิดหรือปัญหา หัวหน้าก็ควรช่วยเธอและสามัคคีธรรมกับเธอ ไม่ด่วนสรุปว่าเธอเป็นศัตรูของพระคริสต์ สำหรับการชุมนุมคืนนั้นเรื่องการแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ ฉันไม่เข้าร่วมและไปเข้านอนแทน ฉันหดหู่ทีเดียว และไม่รู้ว่าจะรับมือสถานการณ์นั้นยังไง ฉันอธิษฐานก่อนเข้านอน ไม่อยากหลงไปจากพระเจ้า และใช้ชีวิตในสภาวะแบบนั้น ฉันขอความรู้แจ้ง เพื่อให้เข้าใจว่าทรงมีน้ำพระทัยยังไงในเรื่องนี้
เช้าวันถัดมา ฉันรู้สึกมีสันติสุขขึ้นมาก ฉันมาดูเนื้อหาการสามัคคีธรรมจากคืนก่อน แล้วก็บังเอิญเห็นภาพหน้าจอภาพหนึ่ง จากบทสนทนาระหว่างหัวหน้างานกับมาร์โจรี มาร์โจรีพูดว่า “พระเจ้าไม่มีทางจุติเป็นมนุษย์ ในหมู่พี่น้องชายหญิงมีใครเคยเห็นพระเจ้าบ้าง? พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ พวกมันอยู่นอกเหนือพระคัมภีร์” ฉันตกใจเมื่อเห็นว่ามาร์โจรีได้พูดสิ่งเหล่านี้ เธอแพร่มโนคติอันหลงผิดแบบไม่ยั้งและไม่เชื่อในงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ด้วยซ้ำ ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนัก ว่าฉันไม่ได้เข้าใจเหตุผลจริงๆ ว่า ทำไมมาร์โจรีถึงถูกมองว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ และไม่ได้ตรวจสอบพฤติกรรมของเธอจริงๆ ฉันสรุปว่าเธอไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ตามความรู้สึกของตัวเอง ฉันช่างหน้ามืดตามัว และโอหังนัก! ฉันอ่านพระวจนะที่ว่า “ผู้คนบางคนสามารถทนความยากลำบากได้ สามารถจ่ายราคาได้ ภายนอกมีความประพฤติดีมาก ค่อนข้างเป็นที่นับถือดี และชื่นชมกับการเลื่อมใสของผู้อื่น พวกเจ้าจะพูดว่าพฤติกรรมภายนอกประเภทนี้สามารถถือได้ว่าเป็นการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติหรือไม่? คนเราจะสามารถกำหนดพิจารณาได้หรือไม่ว่าผู้คนเช่นนี้กำลังทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า? เหตุใดจึงเป็นว่า ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผู้คนเห็นปัจเจกบุคคลเช่นนี้และคิดว่าพวกเขากำลังทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย กำลังเดินตามเส้นทางของการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ และกำลังเดินตามทางของพระเจ้า? เหตุใดผู้คนบางคนจึงคิดเช่นนี้? มีคำอธิบายเพียงคำเดียวเท่านั้น คำอธิบายนั้นคืออะไรเล่า? คำอธิบายก็คือว่า สำหรับผู้คนจำนวนมหาศาล คำถามบางคำถาม—อาทิ การนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติหมายความว่าอะไร การทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยหมายความว่าอะไร และการครองความเป็นจริงของความจริงอย่างแท้จริงหมายความว่าอะไร—ไม่ชัดเจนอย่างมาก ดังนั้น จึงมีผู้คนบางคนที่มักถูกหลอกลวงโดยพวกที่ภายนอกดูเหมือนจะเป็นฝ่ายวิญญาณ สูงศักดิ์ สูงส่ง และยิ่งใหญ่ ในส่วนของผู้คนที่สามารถพูดถึงตัวอักษรและคำสอนได้อย่างมีวาทศิลป์ และวาทะและการกระทำของพวกเขาดูเหมือนจะมีค่าคู่ควรกับการเลื่อมใส พวกที่ถูกพวกนั้นหลอกลวงไม่เคยได้มองที่แก่นแท้ของการกระทำของพวกเขา หลักการทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของพวกเขา หรืออะไรคือเป้าหมายของพวกเขา ยิ่งกว่านั้น พวกเขาไม่เคยมองว่าผู้คนเหล่านี้นบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ และพวกเขาไม่เคยกำหนดพิจารณาว่าผู้คนเหล่านี้ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างแท้จริงหรือไม่ พวกเขาไม่เคยหยั่งรู้แก่นแท้ของสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คนเหล่านี้ ตรงกันข้าม เริ่มต้นด้วยขั้นตอนแรกของการทำความคุ้นเคยกับพวกเขา พวกเขาได้มาเลื่อมใสและเคารพผู้คนเหล่านี้ทีละเล็กทีละน้อย และในที่สุด ผู้คนเหล่านี้ก็กลายเป็นรูปเคารพของพวกเขา นอกจากนี้ ในจิตใจของผู้คนบางคน รูปเคารพที่พวกเขานมัสการ—และผู้ที่พวกเขาเชื่อว่าสามารถทอดทิ้งครอบครัวและอาชีพการงานของพวกเขาได้ และผู้ที่โดยผิวเผินแล้วดูเหมือนจะสามารถจ่ายราคาได้—เป็นพวกที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างแท้จริง และพวกที่สามารถบรรลุบทอวสานที่ดีและบั้นปลายที่ดีได้ ในจิตใจของพวกเขา รูปเคารพเหล่านี้คือพวกที่พระเจ้าทรงสรรเสริญ อะไรเล่าที่ทำให้พวกเขาเชื่อสิ่งเช่นนี้? อะไรคือแก่นแท้ของประเด็นปัญหานี้? อะไรคือผลที่ตามมาที่มันจะนำไปสู่?…ผลพวงโดยตรงของเรื่องนี้คือผู้คนใช้พฤติกรรมที่ดีของมนุษย์เป็นสิ่งแทนที่สำหรับการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ ซึ่งก็สนองความอยากของพวกเขาที่จะประจบประแจงพระเจ้าอีกด้วย นี่เป็นทุนให้แก่พวกเขาเพื่อใช้ในการขับเคี่ยวกับความจริง ซึ่งพวกเขายังใช้เพื่อเป็นเหตุผลและแข่งขันกับพระเจ้าอีกด้วย ในเวลาเดียวกัน ผู้คนก็กันพระเจ้าออกไปอย่างไม่มีหลักศีลธรรม แล้ววางรูปเคารพที่พวกเขาเลื่อมใสลงแทนที่พระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์) หลังจากอ่านพระวจนะ ฉันก็เริ่มทบทวน ฉันตัดสินผู้คนจากพฤติกรรมภายนอกเสมอ คิดว่าคนที่พลีอุทิศ ทนความทุกข์ และยอมลำบาก คือผู้แสวงหาความจริง และเป็นผู้รักพระเจ้า แต่วิจารณญาณนี้ไม่สอดคล้องกับความจริง และทำให้ฉันถูกหลอกจากพฤติกรรมภายนอก ฉันนึกถึงการที่พวกฟาริสี มักจะอธิบายข้อพระคัมภีร์ให้ผู้คนฟังในสุเหร่ายิว ภายนอกพวกเขาดูเคร่งศาสนา ทนทุกข์ พลีอุทิศและประพฤติดี แต่เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน กลับไม่แสวงหาและตรวจสอบ แต่ต่อต้านและกล่าวโทษพระองค์ และสุดท้ายก็ตอกพระองค์กับกางเขน จากเรื่องนี้ ฉันตระหนักว่าคนที่ภายนอกประพฤติดีไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี มีแต่ผู้ที่นบนอบต่อพระเจ้า รักและยอมรับความจริง จึงเป็นคนดีอย่างแท้จริง ส่วนคนที่ไม่รักความจริง และไม่ยอมรับความจริงเลย ต่อให้จะทำดีที่ภายนอก ก็แค่เคร่งศาสนาอย่างปลอมๆ ภายนอกมาร์โจรีสามารถทนความทุกข์ได้บ้าง และยอมลำบาก แต่ลึกๆ เธอเบื่อหน่ายความจริง และเกลียดพระเจ้า เธอถึงกับตัดสินและปฏิเสธพระเจ้าอย่างเปิดเผย เธอเป็นคนประเภทที่เป็นของซาตาน แต่ฉันเห็นแค่ภายนอกเธอทนทุกข์และพลีอุทิศยังไง และดังนั้นฉันเชื่อตามมโนคติอันหลังผิดของตนว่าเธอแสวงหาความจริง มีความรับผิดชอบและอุทิศตนในหน้าที่ และไม่มีทางเป็นศัตรูของพระคริสต์ไปได้ เมื่อหัวหน้างานขอให้เราใช้วิจารณญาณและบล็อกมาร์โจรี ฉันถึงกับเกิดอคติกับเธอ และไม่อยากทำหน้าที่ของฉัน ฉันไม่มีวิจารณญาณในตัวมาร์โจรีเลย เป็นผลให้ฉันถูกเธอหลอก ฉันช่างโง่เขลาจริงๆ
วันต่อมา ฉันเห็นว่ามาร์โจรีกำลังแพร่ข่าวลือและความเชื่อผิดๆ บนเฟซบุ๊ก โดยว่าคริสตจักรของเราติดตามบุคคลหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่พระเจ้า การเห็นว่าเธอใส่ร้ายคริสตจักรอย่างไร ทำให้ฉันเสียใจที่ไม่ได้บล็อกและปฏิเสธเธอ และพยายามปกป้องเธอด้วยซ้ำ ฉันจึงส่งข้อความหาเธอ ถามเธอว่าทำไมทำสิ่งเหล่านี้ มาร์โจรีตอบและว่าร้ายคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และถึงกับยุให้ฉันออกจากคริสตจักร ฉันไม่ได้ตอบอะไร สองเดือนต่อมา ฉันได้รู้จากหัวหน้างานว่า มาร์โจรีส่งข้อความใส่ร้ายและกล่าวโทษคริสตจักรมาให้เธอ และถึงกับพูดว่าเธอจะส่งวิดีโอใส่ร้ายไปให้ผู้มาใหม่ เธอยังแพร่แนวคิดของตนมากมายเกี่ยวกับงานของพระเจ้าในแชทกลุ่ม ป้าของมาร์โจรีก็เกิดมโนคติอันหลงผิดและออกจากคริสตจักร การที่มาร์โจรีแพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อหลอกผู้คนเป็นการต่อต้านอย่างชัดเจนแม้จะรู้หนทางที่แท้จริง เป็นการล่วงเกินที่ร้ายแรงมาก เธอเป็นศัตรูของพระคริสต์ ผ่านพฤติกรรมของมาร์โจรี ฉันเห็นได้ว่า เธอมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับงานของพระเจ้า แต่เธอไม่พยายามแก้ไขผ่านการแสวงหาความจริง เธอถึงกับแพร่ข่าวลือและความเชื่อผิดๆ หมิ่นประมาทพระเจ้า ใส่ร้ายคริสตจักร และหลอกพี่น้องให้ปฏิเสธและหลงจากพระเจ้า ฉันคิดว่ามาร์โจรีคิดคนทรยศและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงจริงๆ เหมือนจิ้งจองเจ้าเล่ห์ที่หลอกลวงผู้คน ให้ปฏิเสธและหลงจากพระเจ้า เธออันตรายมากต่อพี่น้องชายหญิงคนอื่นจริงๆ ต่อมา ฉันเจอพระวจนะบทตอนหนึ่ง “พวกที่อยู่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิงซึ่งระบายความรู้สึกในแง่ลบของตนอยู่เสมอนั้นเป็นสมุนของซาตานและพวกเขารบกวนคริสตจักร สักวันหนึ่ง ผู้คนเช่นนี้ต้องถูกไล่และขับออกไป ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้น หากผู้คนไม่มีหัวใจแห่งความเคารพต่อพระเจ้า หากพวกเขาไม่มีหัวใจแห่งการเชื่อฟังต่อพระเจ้าแล้วไซร้ พวกเขาจะไม่เพียงแค่ไร้ความสามารถที่จะทำงานใดๆ เพื่อพระองค์ได้เท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาจะกลายเป็นพวกที่รบกวนพระราชกิจของพระองค์และพวกที่ท้าทายพระองค์ การเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่เชื่อฟังหรือไม่เคารพพระองค์ และกลับต่อต้านพระองค์แทนนั้น เป็นความอัปยศยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้เชื่อ หากผู้เชื่อทั้งหลายแค่ทำตามใจชอบและไม่ระงับยับยั้งคำพูดและความประพฤติของตนดังเช่นที่ผู้ไม่เชื่อเป็นแล้วไซร้ พวกเขาก็ชั่วร้ายยิ่งกว่าพวกผู้ไม่เชื่อเสียอีก พวกเขาคือปีศาจขนานแท้ บรรดาผู้ที่ระบายถึงการพูดคุยที่เป็นพิษและมุ่งร้ายของตนภายในคริสตจักร ผู้ซึ่งแพร่ข่าวลือ ยุแหย่ให้เกิดความไม่ลงรอยกัน และก่อการแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่พี่น้องชายหญิง—พวกเขาควรจะถูกไล่ออกจากคริสตจักร ถึงกระนั้นก็ดี เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุคแห่งพระราชกิจที่ต่างออกไปของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้จึงถูกคุมเข้ม เพราะแน่นอนแล้วว่าพวกเขาจะถูกขับออกไป ทุกคนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามล้วนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม บางคนไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ในขณะที่คนอื่นๆ แตกต่างออกไป นั่นคือ ไม่ใช่แค่พวกเขามีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเท่านั้น แต่ธรรมชาติของพวกเขายังมุ่งร้ายอย่างที่สุดอีกด้วย ไม่ใช่แค่คำพูดและการกระทำของพวกเขาเท่านั้นที่เปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทรามของพวกเขา แต่ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนเหล่านี้เป็นซาตานมารร้ายที่แท้จริง พฤติกรรมของพวกเขาขัดจังหวะและรบกวนพระราชกิจของพระเจ้า มันทำให้การเข้าสู่ชีวิตของบรรดาพี่น้องชายหญิงเสื่อมถอยลง และ มันสร้างความเสียหายต่อชีวิตตามปกติของคริสตจักร ไม่ช้าก็เร็ว หมาป่าในคราบแกะเหล่านี้ต้องถูกลบล้างไป ท่าทีที่ไม่ผ่อนปรน ท่าทีแห่งการปฏิเสธ ควรจะถูกนำมาใช้กับสมุนของซาตานเหล่านี้ นี่เท่านั้นคือการยืนในฝ่ายของพระเจ้า และพวกที่ล้มเหลวในการทำเช่นนั้นกำลังเกลือกกลิ้งในโคลนตมกับซาตาน ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าโดยแท้มักจะมีพระองค์อยู่ในหัวใจของพวกเขาตลอดเวลา และพวกเขาจะพกพาหัวใจที่เคารพพระเจ้า หัวใจที่รักพระเจ้า ไว้ภายในพวกเขาเสมอ บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรทำสิ่งต่างๆ อย่างสุขุมและรอบคอบ และทุกอย่างที่พวกเขาทำควรสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและสามารถทำให้สมดังพระทัยของพระองค์ได้ พวกเขาไม่ควรดื้อรั้น กระทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาพอใจ ที่ไม่เหมาะสมกับมารยาทอย่างวิสุทธิชน ผู้คนต้องไม่ก่อความวุ่นวาย โบกธงของพระเจ้าไปทั่วทุกแห่งในขณะที่กรีดกรายและฉ้อโกงไปทุกที่ นี่คือความประพฤติชนิดที่เป็นกบฏมากที่สุด ครอบครัวทั้งหลายมีกฎของตนเอง และชนชาติทั้งหลายก็มีกฎหมายของตน—และจะไม่มีมากกว่านั้นหรือในพระนิเวศของพระเจ้า? พระนิเวศไม่ยิ่งมีมาตรฐานที่เข้มงวดมากกว่าอีกหรือ? พระนิเวศไม่ยิ่งมีกฤษฎีกาบริหารมากขึ้นไปอีกหรอกหรือ? ผู้คนมีอิสระที่จะทำสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่ประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตามใจชอบได้ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งไม่ทนต่อการทำให้ขุ่นเคืองจากมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งทำให้ผู้คนถึงแก่ความตาย ผู้คนไม่ได้รู้สิ่งนี้อยู่แล้วจริงๆ หรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง) ผ่านพระวจนะ ฉันตระหนักว่า คนที่ชอบเผยแพร่ มโนคติอันหลงผิด หว่านความคิดลบและก่อกวนคริสตจักรคือสมุนของซาตาน พวกเขาไม่รักความจริง และในใจไม่กลัวพระเจ้าเลย คนที่แบ่งพรรคแบ่งพวกและสร้างความแตกร้าว คนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดและข่าวลือ ปฏิเสธและหมิ่นประมาทพระเจ้า ล้วนคือปีศาจ และพวกเขาต่างต้องถูกพระเจ้าขับออกและลงโทษ คนที่ถูกข่าวลือชักพาให้หลงผิดและยืนข้างคนทำชั่วกับศัตรูของพระคริสต์ ก็จะถูกขับออกด้วย ยกเว้นจะปฏิเสธพวกนั้น มาร์โจรีไม่อ่านพระวจนะหรือแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตน อีกทั้งไม่แสวงหากับพี่น้องชายหญิง แต่กลับสงสัยและปฏิเสธพระเจ้า และถึงกับแพร่มโนคติอันหลงผิด หมิ่นประมาทพระเจ้า เธอยังหว่านความไม่ลงรอยและชักจูงพี่น้องคนอื่น หลอกลวงพวกเขาให้ยืนอยู่ข้างเธอ และก่ออคติต่อหัวหน้างาน ซึ่งรบกวนงานของคริสตจักร มาร์โจรีชั่วร้ายจริงๆ แก่นแท้ของเธอคือศัตรูของพระคริสต์ที่เกลียดความจริง เกลียดพระเจ้า หากไม่ใช่เพราะการให้ความรู้แจ้งและการทรงนำของพระวจนะ ฉันก็คงถูกหลอกให้ยืนข้างเธอและเห็นพระเจ้าเป็นศัตรู ฉันตระหนักด้วยว่า จุดประสงค์ของการอ่านพระวจนะและสามัคคีธรรมเรื่องการแยกแยะศัตรูของพระคริสต์ ก็เพื่อช่วยให้พี่น้องชายหญิงเข้าใจความจริงและมีวิจารณญาณ เพื่อให้ไม่ถูกศัตรูของพระคริสต์รบกวนและหลอกลวง การขับไล่ศัตรูของพระคริสต์จากคริสตจักร ทำไปเพื่อปกป้องผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ทั้งๆ ที่เป็นผู้นำ ฉันกลับแยกแยะศัตรูของพระคริสต์คนนี้ไม่ออก และหลงเชื่อคำโกหกต่างๆ ของเธอ ฉันถึงกับยืนข้างเธอและปกป้องเธอ ฉันเห็นว่าฉันกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตานไปแล้ว ฉันเห็นอกเห็นใจ ปกป้องและแสดงความรักต่อศัตรูของพระคริสต์ นี่เป็นการกระทำทารุณต่อผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ฉันตระหนักว่าที่ผ่านมาฉันโง่เขลาแค่ไหน และดูหมิ่นตัวเองจริงๆ ฉันจึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ กลับใจและขอให้พระองค์ทรงอภัย
ต่อมา ฉันเห็นพระวจนะเหล่านี้ “มาตรฐานที่มนุษย์ใช้ตัดสินมนุษย์คนอื่นๆ อยู่บนพื้นฐานของพฤติกรรมของพวกเขา กล่าวคือ บรรดาผู้ที่ความประพฤติของเขานั้นดีก็เป็นคนชอบธรรม ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้ที่ความประพฤติของเขาน่าสะอิดสะเอียนก็เป็นคนชั่ว ส่วนมาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้พิพากษามนุษย์นั้นอยู่บนพื้นฐานของแก่นแท้ของพวกเขาว่านบนอบต่อพระองค์หรือไม่ กล่าวคือ บุคคลผู้ซึ่งนบนอบต่อพระเจ้าคือคนชอบธรรม ในขณะที่บุคคลผู้ซึ่งไม่นบนอบเป็นศัตรูและเป็นคนชั่ว โดยไม่คำนึงถึงว่าพฤติกรรมของบุคคลผู้นี้ดีหรือชั่ว และโดยไม่คำนึงถึงว่าวาทะของพวกเขาถูกหรือผิด” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน) “ครั้นพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมาทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ ทุกคนมองเห็นพระองค์และได้สดับตรับฟังพระวจนะของพระองค์ และทั้งหมดมองเห็นกิจการที่พระเจ้าทรงพระราชกิจจากภายในกายมนุษย์ของพระองค์ ณ ขณะนั้นเอง มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ทุกคนจึงปลาสนาการไป สำหรับผู้ที่เคยเห็นพระเจ้าซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์แล้วนั้น พวกเขาจะไม่ถูกกล่าวโทษหากพวกเขาเต็มใจเชื่อฟังพระองค์ ในขณะที่พวกซึ่งยืนต้านพระองค์อย่างมีจุดประสงค์จะถูกถือว่าเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้า ผู้คนดังกล่าวคือศัตรูของพระคริสต์ เป็นศัตรูที่ตั้งใจยืนต้านพระเจ้า พวกที่เก็บงำมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเอาไว้ แต่ยังคงพร้อมและเต็มใจที่จะเชื่อฟังพระองค์จะไม่ถูกกล่าวโทษ พระเจ้าทรงกล่าวโทษมนุษย์ตามพื้นฐานของเจตนาและการกระทำของมนุษย์ ไม่ใช่เพราะความคิดและแนวคิดของเขา หากพระองค์ทรงกล่าวโทษมนุษย์ตามพื้นฐานของความคิดและแนวคิดของเขา เช่นนั้นแล้วจะไม่มีสักคนที่สามารถหนีพ้นจากพระหัตถ์อันพิโรธของพระองค์ไปได้ พวกที่ตั้งใจยืนต้านพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะถูกลงโทษสำหรับความไม่เชื่อฟังของพวกเขา จากการพิจารณาผู้คนเหล่านี้ที่ตั้งใจยืนต้านพระเจ้า การต่อต้านของพวกเขามีต้นกำเนิดมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาเก็บงำมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเอาไว้ ซึ่งนำพวกเขาไปสู่การกระทำทั้งหลายอันขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้เจตนาต้านทานและทำลายพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาไม่เพียงมีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า แต่พวกเขายังทำกิจกรรมทั้งหลายอันขัดขวางพระราชกิจของพระองค์อีกเช่นกัน และด้วยเหตุผลนี้ผู้คนประเภทนี้จะถูกกล่าวโทษ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า) พระวจนะของพระเจ้าชัดเจน พระเจ้าทรงตัดสินผู้คนตามแก่นแท้ของพวกเขา และท่าทีของพวกเขาที่มีต่อความจริง บางคนอาจมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับงานของพระเจ้า แต่ถ้าแสวงหาความจริงและวางมโนคติอันหลงผิดลงได้ พระเจ้าก็จะไม่ทรงกล่าวโทษพวกเขา คนที่มักจะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า ไม่ยอมรับความจริง และถึงกับสงสัยและปฏิเสธพระเจ้า ล้วนเป็นศัตรูของของพระเจ้าและศัตรูของพระคริสต์ แม้ว่าพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาจะดีแค่ไหน พระเจ้าทรงกล่าวโทษคนเช่นนี้และขับพวกเขาออก ฉันเคยชินกับการมองพฤติกรรมภายนอกของผู้คน ฉันคิดว่ามาร์โจรีต้องอุทิศตนให้พระเจ้าและแสวงหาความจริงแน่ เพราะเธอทุ่มเทและพลีอุทิศ สละตนเองและเป็นผู้นำคริสตจักร แต่ฉันไม่พิจารณาแก่นแท้ของเธอ หรือท่าทีของเธอต่อพระเจ้าและความจริง มาร์โจรีมีมโนคติอันหลงผิดบางอย่างเกี่ยวกับงานของพระเจ้า และเธอไม่ยอมรับสามัคคีธรรมจากพี่น้องชายหญิงคนอื่น เธอยังแพร่มโนคติอันหลงผิดของตัวเองและปฏิเสธพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์อย่างเปิดเผย แก่นแท้ของเธอเกลียดพระเจ้า และเกลียดความจริง เธอเป็นศัตรูของพระคริสต์ ฉันถูกหลอกและนำให้หลงผิดโดยภาพลวงตาภายนอกของมาร์โจรีและเข้าข้างศัตรูของพระคริสต์ ฉันขาดวิจารณญาณจริงๆ ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักว่า เราต้องตัดสินผู้คนและสิ่งต่างๆ โดยพระวจนะและหลักธรรมของความจริง ไม่ใช่ตามพฤติกรรมภายนอกของผู้คน
จากนั้น ฉันเห็นพระวจนะอีกบทตอนที่กล่าวว่า “พระเจ้ากำลังทรงชำระคริสตจักรให้บริสุทธิ์ ชำระให้สะอาดปราศจากผู้ทำให้หยุดชะงักและผู้ก่อความไม่สงบ ศัตรูของพระคริสต์ วิญญาณชั่ว คนชั่ว ผู้ปราศจากความเชื่อ ผู้ที่ไม่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง และผู้ที่ไม่สามารถแม้แต่จะให้การปรนนิบัติ นี่เรียกว่าการเก็บกวาดพื้นที่ เรียกว่าการฝัดร่อน…เจ้าสามารถเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงทำทุกสิ่งตามเวลาของสิ่งนั้นๆ พระองค์ไม่ทรงพระราชกิจอย่างไร้แบบแผน พระราชกิจบริหารจัดการของพระองค์เป็นไปตามแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้ และพระองค์ทรงทำทุกสิ่งอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ใช่อย่างไร้แบบแผน แล้วขั้นตอนเหล่านั้นเป็นเช่นไร? พระราชกิจแต่ละขั้นตอนที่พระเจ้าทรงทำกับผู้คนต้องบังเกิดผล และเมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าบังเกิดผลแล้ว พระองค์ก็ทรงพระราชกิจขั้นตอนถัดไป พระเจ้าทรงขบคิดให้พระองค์เองว่าพระราชกิจของพระองค์อาจบังเกิดผลอย่างไร พระองค์ต้องตรัสและทำสิ่งใด พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์ตามสิ่งที่ผู้คนต้องการ ไม่ใช่อย่างไร้แบบแผน พระราชกิจใดก็ตามที่จะมีประสิทธิผลแก่ผู้คน พระเจ้าก็ทรงทำ และพระราชกิจใดก็ตามที่ไม่มีนัยสำคัญในแง่ของประสิทธิผล พระเจ้าย่อมไม่ทรงทำอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่น เมื่อจำเป็นต้องมีบทเรียนด้านลบในเชิงประจักษ์เพื่อที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอาจพัฒนาวิจารณญาณของพวกเขา พระคริสต์เทียมเท็จ ศัตรูของพระคริสต์ วิญญาณชั่ว คนชั่ว และผู้ทำให้หยุดชะงักและผู้ก่อความไม่สงบย่อมจะปรากฏในคริสตจักร เพื่อที่ผู้อื่นอาจพัฒนาวิจารณญาณของพวกเขา หากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าใจความจริงและสามารถระบุตัวผู้คนเยี่ยงนั้นได้ เช่นนั้นแล้วผู้คนเหล่านั้นก็ได้ให้การปรนนิบัติของพวกเขาแล้ว และการดำรงอยู่ของพวกเขาก็ไม่มีค่าอีกต่อไป ในเวลานั้น ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะลุกขึ้นเปิดโปงและรายงานพวกเขา และคริสตจักรจะชำระพวกเขาทิ้งในทันที พระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้ามีขั้นตอนของตน และพระเจ้าทรงจัดการเตรียมขั้นตอนทั้งหมดนั้นตามสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องมีในชีวิตของพวกเขาและตามวุฒิภาวะของพวกเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า (3)) หลังจากอ่านพระวจนะ ฉันก็ตระหนักว่า แม้ว่าหลายคนทำหน้าที่ในคริสตจักร แต่ไม่ใช่ทุกคนเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และแกะของพระองค์ หมาป่าได้ซ่อนเร้นตัวเองในหมู่ฝูงแกะ พระเจ้ายอมให้ศัตรูของพระคริสต์ คนทำชั่ว และผู้ปราศจากความเชื่อให้เข้าคริสตจักร เพื่อช่วยให้เรามีวิจารณญาณ เรียนรู้บทเรียนและสามารถแยกแยะดีจากชั่ว แม้ว่าเธอจะทำหน้าที่ในคริสตจักร มาร์โจรีไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เธอแค่เข้ามาในคริสตจักรเพื่อวิเคราะห์งานของพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อแสวงหาและเข้าใจความจริง เธอเป็นหมาป่าในคราบแกะ และเป็นคนชั่วที่ถูกพระเจ้าขับออก ตอนนี้พระเจ้าทรงชำระคริสตจักร และเปิดโปงคนแต่ละประเภท ไม่มีศัตรูของพระคริสต์ คนทำชั่ว หรือผู้ปราศจากความเชื่อคนไหนซ่อนตัวในคริสตจักรต่อไปได้ แต่ล้วนจะถูกเปิดโปงและขับออกผ่านงานของพระเจ้า มีเพียงผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง รักความจริงและแสวงหาความจริงที่จะคงอยู่ พวกเขาเท่านั้นจะถูกชำระและได้รับความรอด
ผ่านประสบการณ์นี้ ฉันได้รับวิจารณญาณ และเรียนรู้บางอย่างขึ้นมาบ้าง ข้อแรก ฉันพิจารณาแค่พฤติกรรมภายนอก พวกเขาทนทุกข์และสละตัวเองมากแค่ไหนไม่ได้ เพราะหลายคนทำสิ่งเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะการหลอกลวงทางศาสนา ข้อสอง ฉันไม่ควรบูชาคนธรรมดา เพราะพระเจ้าทรงรังเกียจการบูชาผู้คน คนเราควรยกย่องและนมัสการพระเจ้าเท่านั้น ข้อสาม ในฐานะผู้นำคริสตจักร ฉันต้องพิจารณาการเข้าสู่ของพี่น้องชายหญิง และให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาก่อน ข้อสี่ เมื่อเผชิญปัญหา ฉันควรมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า แสวงหา และรอคอย ฉันไม่ควรด่วนตัดสินและกล่าวโทษตามมโนคติอันหลงผิดของตัวเอง นั่นง่ายต่อการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า ข้อห้า ฉันควรอ่านพระวจนะให้มากขึ้นเพื่อเข้าใจความจริง ด้วยการชี้นำของพระวจนะเท่านั้น เราจึงสามารถมองแผนร้ายของซาตานออก และยืนอยู่ข้างความจริง ฉันตระหนักด้วยว่าความจริงล้ำค่าแค่ไหน ด้วยการเข้าใจความจริงเท่านั้น เราถึงเข้าใจสิ่งต่างๆ และแยกแยะคนทำชั่ว ศัตรูของพระคริสต์ และผู้ปราศจากความเชื่อได้ ในอนาคต ฉันจะอ่านพระวจนะให้มากขึ้น กระทำและตัดสินผู้คนและสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะ มีความจริงเป็นหลักธรรมค่ะ ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ