การเปลี่ยนแปลงหลังจากถูกจัดการ
เดือนมีนาฯที่แล้ว ผมรับผิดชอบงานวิดีโอของคริสตจักร ผมไม่เข้าใจหลักธรรมหลายอย่างเพราะยังใหม่อยู่ ผมเลยกังวลอยู่ทุกวัน กลัวว่าจะข้ามขั้นตอนสำคัญของโครงการแล้วทำให้งานล่าช้า ผมอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้าตลอดตอนทำงาน และเมื่อไรที่ผมเจอปัญหาในงาน ผมจะหารือและแก้ปัญหากับพี่น้องคนอื่นทันที หลังจากทำงานหนักแบบนี้สักพัก เราก็ผลิตงานได้มากขึ้น และวิดีโอก็หลากหลายขึ้น พี่น้องคนอื่นพูดว่า คุณภาพและประสิทธิภาพของงานผลิตวิดีโอของเราพัฒนาขึ้น ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้น ถึงผมจะทำงานมาได้ไม่นาน เราก็ยังได้ผลลัพธ์ที่ดี ผมเลยคิดว่า ถ้าทำแบบนี้ต่อไปทุกวันก็คงไม่มีปัญหา แต่ท่าทีที่ผมมีต่อหน้าที่ค่อยๆ เปลี่ยน ผมไม่รู้สึกถึงความเร่งด่วนเหมือนเมื่อก่อน และก่อนที่จะรู้ตัว ผมก็อยู่ในสภาวะพอใจกับตัวเองแล้ว ผ่านไปสักพัก คู่ทำงานของผมสังเกตว่าวิดีโอของเราผลิตได้ช้าลง และไม่สร้างสรรค์ เธอจึงมาหาผมเพื่อหาวิธีแก้ปัญหา ผมคิดว่าเธอทำให้เป็นเรื่องใหญ่เกินไป เลยไม่สนใจ ผมยังพอใจกับตัวเองเหมือนเดิม ทำงานแบบขอไปที
สองสามวันต่อมา พอผู้นำมาดูงานของเรา เธอสังเกตว่าคุณภาพและประสิทธิภาพของงานวิดีโอลดลง เธอเลยสามัคคีธรรมกับเรา เธอถามว่า “คุณห่วงเรื่องประสิทธิผลบ้างไหม? การอุทิศตนของคุณล่ะ? คุณกลัวว่าจะเหนื่อยกับการทำงาน ทำไมคุณไม่พยายามอีกหน่อย? คุณอืดอาด เฉื่อย และไม่มีวินัย คุณคำนึงถึงน้ำพระทัยด้วยหรือเปล่า? การทำหน้าที่แบบนี้ก็แค่ปรนนิบัติ และถ้าคุณไม่อุทิศตน สุดท้ายแล้วคุณอาจถูกขับออก” ผมอึ้งไปกับคำวิจารณ์ของเธอ นั่นไม่เป็นธรรม จริงอยู่ที่ว่าวิดีโอของเราไม่ค่อยดีในช่วงหลังๆ นี้ แต่มันก็ยังดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ เธอพูดได้ไงว่าเราไม่อุทิศตน? ว่าแค่ปรนนิบัติ? เราไม่ได้ตั้งใจจะดึงงานให้ช้า หรือไม่อยากทำงาน ในเวลาเดียวกัน ผมก็รู้ตัวว่าการตัดแต่งนี้พระเจ้าทรงอนุญาตแล้ว ผมเลยรู้ว่าผมต้องมีหัวใจที่เชื่อฟังและแสวงหา ถึงจะมองไม่เห็นปัญหาของผมเอง ผมอธิษฐานถึงพระเจ้า “พระเจ้า วันนี้ลูกถูกผู้นำวิจารณ์ แต่ยังไม่รู้ว่าทำอะไรผิดไป โปรดทรงนำให้ลูกทบทวนและรู้จักตัวเองได้ด้วยเถิด เพื่อจะรู้ถึงน้ำพระทัยของพระองค์และเรียนรู้บทเรียนได้” ผมคิดได้หลังอธิษฐานจบ ว่าไม่ว่าผมจะมีข้อแก้ตัวอะไรตามจริง การที่วิดีโอล่าช้าและไม่สร้างสรรค์ก็ยังเป็นเรื่องจริง ผู้นำไม่ได้วิจารณ์พฤติกรรมภายนอกของเรา เธอพูดถึงสภาวะที่ไม่ถูกต้องและท่าทีที่พวกเรามีต่อหน้าที่ต่างหาก ผมจึงต้องมองไปที่สภาวะของตัวเอง
จากนั้นผมอ่านบางอย่างในพระวจนะ “ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงย่อมเต็มใจปฏิบัติหน้าที่โดยไม่คำนวณผลได้และผลเสียของพวกเขาเอง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ เจ้าก็ต้องพึ่งพามโนธรรมและเหตุผลของตนเสมอ และต้องพยายามอย่างหนักโดยแท้จริงในการปฏิบัติหน้าที่ การพยายามอย่างหนักโดยแท้จริงหมายความว่าอย่างไร? หากเจ้าพอใจแค่ใช้ความพยายามบ้างสักเล็กน้อยและทนทุกข์กับความยากลำบากทางกายเพียงนิดหน่อย แต่กลับไม่จริงจังกับหน้าที่ของตนเลยหรือไม่แสวงหาหลักธรรมของความจริง เช่นนั้นแล้ว นี่ก็เป็นเพียงความมักง่ายและสุกเอาเผากิน—ไม่ใช่การทุ่มเทพยายามที่แท้จริง กุญแจสำคัญของการทุ่มเทพยายามคือการทุ่มเทหัวใจของเจ้าให้กับสิ่งนั้น ยำเกรงพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเจ้า เอาใจใส่น้ำพระทัยของพระเจ้า กลัวการไม่เชื่อฟังพระเจ้าและการทำให้พระองค์เจ็บช้ำน้ำใจ ทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีและทำให้พระเจ้าพอพระทัย หากเจ้ามีหัวใจที่รักพระเจ้าเช่นนี้แล้ว เจ้าก็จะปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม หากในหัวใจของเจ้าไร้ซึ่งความยำเกรงพระเจ้า เมื่อปฏิบัติหน้าที่ เจ้าจะไร้ซึ่งภาระ จะไม่สนใจหน้าที่นั้น เจ้าจะสะเพร่าและสุกเอาเผากินอย่างเลี่ยงไม่ได้ และทำไปพอพ้นตัวโดยไม่สร้างผลกระทบที่แท้จริงอันใด—ซึ่งไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ หากเจ้ามีสำนึกถึงภาระอย่างแท้จริงและรู้สึกเหมือนการปฏิบัติหน้าที่เป็นความรับผิดชอบส่วนตัวของเจ้า และรู้สึกว่าหากเจ้าไม่มีสำนึกดังกล่าว เจ้าก็ไม่เหมาะที่จะมีชีวิตอยู่และเป็นสัตว์ร้าย หากเจ้ารู้สึกว่าต่อเมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสมเท่านั้น เจ้าจึงจะคู่ควรแก่การได้ชื่อว่ามนุษย์ และเผชิญหน้ามโนธรรมของตนเองได้—หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ด้วยสำนึกถึงภาระเช่นนี้—เมื่อนั้นเจ้าจะทำทุกอย่างได้อย่างมีสติ จะแสวงหาความจริงและทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมได้ และดังนั้น เจ้าก็จะทำหน้าที่ของตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ หากเจ้าคู่ควรกับภารกิจที่พระเจ้าประทานให้ คู่ควรกับทั้งหมดที่พระองค์ทรงเสียสละเพื่อเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงคาดหวังในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้ว นี่ก็คือการพยายามอย่างหนักโดยแท้จริง ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง? หากเจ้าเพียงปฏิบัติหน้าที่ของตนแค่พอพ้นตัวและไม่เสาะแสวงที่จะทำให้สัมฤทธิ์ผล เจ้าก็เป็นพวกหน้าซื่อใจคด เป็นหมาป่าในคราบแกะ เจ้าอาจลวงผู้คนได้ แต่ไม่อาจหลอกพระเจ้าได้ หากไม่มีสิ่งที่ต้องแลกอย่างแท้จริงและไม่มีความจงรักภักดีในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ เช่นนั้นแล้วนี่ก็ไม่ได้มาตรฐาน หากเจ้าไม่อุทิศตนอย่างแท้จริงให้แก่ความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หากเจ้าทำแค่พอพ้นตัวและสุกเอาเผากินในการกระทำทั้งหลายของเจ้าเหมือนอย่างที่ผู้ไม่เชื่อทำงานให้กับนายของพวกเขา หากเจ้าเพียงใช้ความพยายามพอเป็นพิธี เจ้าไม่ใช้จิตใจของเจ้า เจ้าทำสักแต่พอเอาหน้ารอดไปวันๆ ไม่รายงานปัญหาเมื่อเจ้ามองเห็นปัญหาเหล่านั้น เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ และมองผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองไปอย่างไม่แยกแยะ—เช่นนั้นแล้ว นี่มิใช่ปัญหาหรอกหรือ? ใครบางคนเช่นนี้สามารถเป็นสมาชิกของครัวเรือนของพระเจ้าได้หรือ? ผู้คนเช่นนั้นคือผู้ไม่เชื่อ พวกเขาไม่ได้เป็นของพระนิเวศของพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงรับรู้พวกเขาแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าเจ้าจะจริงใจหรือไม่ และไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างอุทิศตนแล้วหรือยัง พระเจ้าก็ทรงทำบัญชีเอาไว้ และเจ้าก็รู้ดีเช่นกัน ดังนั้นพวกเจ้าเคยอุทิศตนอย่างแท้จริงให้แก่การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าบ้างหรือไม่? เจ้าเคยจริงจังกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าบ้างหรือไม่? เจ้าได้ปฏิบัติต่อมันอย่างเป็นความรับผิดชอบของเจ้า เป็นภาระผูกพันของเจ้าแล้วหรือยัง? เจ้าได้รับสภาพความเป็นเจ้าของของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าแล้วหรือยัง? เจ้าต้องคิดทบทวนและทำความรู้จักเรื่องเหล่านี้อย่างถูกต้องเหมาะสม ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการจัดการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และจะเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่อย่างไร้ความรับผิดชอบเสมอ และเมื่อพบเจอปัญหา เจ้าก็ไม่รายงานต่อผู้นำและคนทำงาน อีกทั้งไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นด้วยตัวเจ้าเอง คิดเสมอว่า ‘ปัญหายิ่งน้อยยิ่งดี’ ดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาทางโลกเสมอ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสะเพร่าและสุกเอาเผากินเสมอ ไม่เคยมีการอุทิศตน และไม่ยอมรับความจริงเลยในยามที่เจ้าถูกตัดแต่งและจัดการ—หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางนี้ เจ้าย่อมตกอยู่ในอันตราย เจ้าเป็นหนึ่งในพวกคนปรนนิบัติ พวกคนปรนนิบัติไม่ใช่สมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้า ทว่าเป็นลูกจ้าง เป็นคนทำงานที่ได้รับการว่าจ้างมา เมื่องานสิ้นสุดลง พวกเขาก็จะถูกขับออกไปและถลำเข้าสู่มหันตภัยไปเอง…ข้อเท็จจริงก็คือพระเจ้าทรงปรารถนาอยู่ในพระทัยที่จะปฏิบัติต่อพวกเจ้าในฐานะสมาชิกครอบครัวของพระองค์ แต่พวกเจ้ากลับไม่ยอมรับความจริง และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความสะเพร่า สุกเอาเผากิน และไร้ความรับผิดชอบเสมอ ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงแก่พวกเจ้าอย่างไร พวกเจ้าก็ไม่กลับใจ พวกเจ้าพาตนเองไปอยู่นอกพระนิเวศของพระเจ้าเอง พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยพวกเจ้าให้รอดและทำให้พวกเจ้ากลายเป็นสมาชิกครอบครัวของพระองค์ แต่พวกเจ้ากลับไม่ยอมรับสิ่งนี้ เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าย่อมอยู่นอกพระนิเวศของพระองค์ พวกเจ้าคือผู้ไม่เชื่อ ใครก็ตามที่ไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย จะถูกจัดการตามอย่างผู้ไม่เชื่อเท่านั้น พวกเจ้ากำหนดจุดจบและตำแหน่งของพวกเจ้าเอง พวกเจ้าวางทั้งสองสิ่งไว้นอกพระนิเวศของพระเจ้า พวกเจ้าจะโทษใครได้ในเรื่องนั้นนอกจากตนเอง?” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีนั้น คนเราต้องมีมโนธรรมและเหตุผลเป็นอย่างน้อย) ผมรู้สึกละอายใจหลังจากอ่านพระวจนะ พระเจ้าตรัสว่าการพึงพอใจกับความทุกข์ยากทางกายเล็กน้อยนั้น ไม่นับเป็นการอุทิศตนให้กับหน้าที่ สิ่งสำคัญคือการแบกรับภาระที่จริงแท้และรับผิดชอบต่อหน้าที่ การปฏิบัติกับทุกสิ่งที่ทำ ให้เหมือนเป็นความรับผิดชอบของตัวเอง ทุ่มเททุกสิ่งที่เรามีเพื่อที่เราจะสามารถ ได้ผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่ ผู้ที่มีการแบกรับภาระที่จริงแท้นั้น ไม่ต้องมีใครคอยผลักดัน แต่จะมีความมุ่งมั่นภายในตนเอง พอเสร็จหน้าที่ประจำวันแล้ว พวกเขาจะคิดถึงสิ่งที่ทำไม่ถูก และวิธีที่จะทำให้ดีขึ้น นั่นคือการคำนึงถึงน้ำพระทัย นั่นคือการคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของพระนิเวศ แต่คนปรนนิบัติกลับไม่ทุ่มเทหัวใจให้กับหน้าที่ พวกเขาพอใจความพยายามที่ผิวเผิน แต่ไม่แบกรับภาระไว้ในหัวใจ พวกเขาไม่เคยทบทวนว่าจะทำหน้าที่ให้ดีอย่างไร และไม่รู้สึกถึงความกังวลหรือความรีบด่วนเวลาเกิดปัญหาขึ้นกับงาน พวกเขาจะบอกว่าทำหน้าที่อยู่ แต่พวกเขาไม่นึกถึงน้ำพระทัยเลย พวกเขาเป็นเหมือนกับผู้ไม่เชื่อ พยายามบ้างเพื่อแลกกับเงินเดือน คนแบบนั้นไม่ได้ทำหน้าที่อย่างแท้จริง แค่ทำงานปรนนิบัติ แบบนี้จะไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า พอพิจารณาพฤติกรรมและท่าทีที่ผมมีต่อหน้าที่แล้ว ผมก็เหมือนกับคนปรนนิบัติ ตั้งแต่ที่เราพัฒนาการผลิตวิดีโอมา ผมก็ติดอยู่ในสภาวะพอใจกับตัวเอง ผมคิดว่าอย่างไรเราก็งานยุ่งกัน ตราบใดที่เราทำแบบเดิมต่อไปแล้วไม่ทำพลาดรุนแรง การทำหน้าที่แบบนั้นก็ดีพอแล้ว ดังนั้นพอผมเห็นว่าวิดีโอของเราไม่สร้างสรรค์และมีรูปแบบเดิมๆ ผมไม่รู้สึกกังวลเลย ผมดูเหมือนใช้เวลาทั้งหมดไปกับหน้าที่ แต่ผมไม่มีการแบกรับภาระที่แท้จริง ผมคิดว่าเพราะเรามีประสิทธิภาพกว่าก่อนนิดหน่อย ก็ถือว่ามีความคืบหน้า และความสำเร็จในหน้าที่แล้ว ผมเริ่มรู้สึกยินดีกับตัวเองและทำให้ติดอยู่ที่เดิม ผมไม่เคยคิดว่าเราทำได้มากกว่านี้ หรือปรับปรุงผลลัพธ์ และทำให้ความคืบหน้าและประสิทธิภาพดีขึ้นอีกได้หรือไม่ และผมก็ไม่ไตร่ตรองว่าทำหน้าที่ตามหลักธรรมหรือไม่ หรือว่ามองข้ามหรือมีความผิดพลาดอย่างไร การทำหน้าที่แบบนั้น ในแก่นแท้ก็คือการปรนนิบัติ ผมอ่านในพระวจนะ ว่าเวลาผู้คนไม่จริงใจกับหน้าที่ พวกเขาจะทำพอเอาหน้ารอดและโกงพระเจ้า พอมองที่พฤติกรรมของผมทั้งหมด ผมเห็นว่าผมโกงพระเจ้าตลอด ไม่มีความเป็นมนุษย์ เฉพาะเมื่อถูกจัดการแล้ว ผมถึงเห็นว่าการทำตัวฉาบฉวยและไร้ความรับผิดชอบในหน้าที่ ทำตัวเหมือนคนปรนนิบัติ แต่ยังต้องการความเห็นชอบจากพระเจ้า นั้นไร้สาระจริงๆ การจัดการหน้าที่แบบนั้น ไม่เพียงทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า แต่ตัวผมเองก็ไม่ก้าวหน้าอีกด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นนานเกินไป ผมต้องถูกขับออกแน่นอน การคิดเรื่องนั้นพาให้ผมทุกข์ใจมากจริงๆ ผมจึงมาเฉพาะพระพักตร์และอธิษฐาน พร้อมจะกลับใจ พร้อมเปลี่ยนความคิดที่ไม่ถูกต้องนี้และทำหน้าที่ให้ดี ตอนที่คิดทบทวนอยู่ ผมพบสาเหตุอีกข้อของความล้มเหลวนี้ ผมเอาแต่ใจเกินไป ปล่อยให้เจตจำนงของผมนำตัวเองในหน้าที่ แทนที่จะแสวงหาหลักธรรมที่ถูกต้อง ผมอ่านสิ่งนี้ในพระวจนะว่า “หน้าที่ไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวของเจ้าเอง เจ้าไม่ได้กำลังทำหน้าที่นั้นเพื่อตัวเจ้าเอง เจ้าไม่ได้กำลังดำเนินกิจการของเจ้าเอง นั่นไม่ใช่ธุรกิจส่วนตัวของเจ้าเอง ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าทำสิ่งใด เจ้าไม่ได้กำลังทำงานอยู่ในการประกอบการของเจ้าเอง นั่นเป็นงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า นั่นเป็นพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าต้องจดจำความรู้และการตระหนักรู้นี้ไว้ในจิตใจเป็นนิตย์และพูดว่า ‘นี่ไม่ใช่กิจการของฉันเอง ฉันกำลังทำหน้าที่ของฉันและทำให้ความรับผิดชอบของฉันลุล่วง ฉันกำลังทำงานของคริสตจักร นี่คือกิจที่พระเจ้าวางพระทัยมอบหมายให้ฉันและฉันกำลังทำภารกิจนั้นเพื่อพระองค์ นี่คือหน้าที่ของฉัน ไม่ใช่กิจส่วนตัวของฉันเอง’ นี่คือสิ่งแรกที่ผู้คนควรเข้าใจ หากเจ้าทำเหมือนหน้าที่คือธุรกิจส่วนตัวของเจ้า และไม่แสวงหาหลักธรรมของความจริงเมื่อเจ้าลงมือกระทำการ และทำหน้าที่ตามสิ่งจูงใจ ทรรศนะ และเจตนาซ่อนเร้นของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่แคล้วที่จะทำความผิดพลาด” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?) ผมเห็นในพระวจนะ ว่าการทำหน้าที่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่คือพระบัญชาจากพระเจ้า คนเราควรทำหน้าที่ตนตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและหลักธรรมของความจริง แบบนี้เท่านั้นที่จะเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ถ้าคุณทำหน้าที่เหมือนเป็นเรื่องส่วนตัว ทำตามใจชอบ โดยไม่แสวงหาน้ำพระทัยหรือหลักธรรมของความจริงเลย นั่นไม่ใช่การทำหน้าที่อย่างแท้จริง ไม่ว่าคุณจะเหมือนทำงานหนักแค่ไหน จะทนทุกข์และพลีอุทิศเท่าไร พระเจ้าก็จะไม่ทรงเห็นชอบ ผมรู้ตัวว่าผมเป็นอย่างนี้ในการทำหน้าที่ ผมดูยุ่งเหมือนผึ้งงาน แต่ผมทำตามที่ผมอยากทำ ทำตามความชอบมาตลอด ไม่ทำตามหลักธรรมอย่างเข้มงวด พระนิเวศบอกเราครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าในการผลิตวิดีโอ เราต้องทำให้มั่นใจว่ามีประสิทธิภาพและปรับปรุงคุณภาพไปด้วย ช่วงแรก ผมก็เห็นด้วย แต่พอปัญหาเกิดขึ้นจริง ผมก็ละทิ้งหลักธรรมเหล่านี้ไว้ข้างหลังและทำอะไรตามที่ผมอยากทำ พอพี่น้องหญิงชี้ให้เห็นว่างานผลิตของเราช้าลงและเราใช้แต่รูปแบบเดิมๆ ผมก็ไม่คิดอะไร แม้แต่ตอนผมโดนจัดการผมก็ยังไม่คิดว่าตัวเองผิด รู้สึกโดนให้ร้าย ผมนั้นด้านชาและแข็งกระด้าง และไม่รู้จักตัวเองเลย ผมพอใจเฉพาะกับการรู้ข้อพึงประสงค์ของพระนิเวศในทางทฤษฎี แต่พอจะใช้จริง ผมทำขัดกับหลักธรรมและทำในวิธีของตัวเอง ท้ายที่สุดก็ทำให้งานล่าช้า นั่นคือตอนที่ผมรู้ตัวว่ามีปัญหาร้ายแรง คำวิจารณ์ที่ผู้นำว่าผมนั้น ก็เพื่อค้ำจุนงานของคริสตจักรและคำนึงถึงน้ำพระทัย ผมควรโดนวิจารณ์แบบนั้น เพราะว่าผมไม่จริงจังกับหน้าที่ ทำอะไรที่อยากทำ และยังละเมิดหลักธรรม ผู้นำทำแบบนี้ให้ผมเห็นความผิดพลาดของตัวเอง ให้ผมทำหน้าที่ตามหลักธรรมต่อจากนี้ไป พอรู้แบบนี้ ผมเข้าใจเลยว่าการถูกจัดการนั้นเป็นความรักและการทรงคุ้มครองของพระเจ้า
หลังจากนั้น ผมได้พบเส้นทางปฏิบัติในพระวจนะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ทุกวันนี้มีผู้ที่เริ่มขวนขวายในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาเริ่มคิดถึงวิธีทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างถูกต้องเหมาะสมเพื่อให้สมพระทัยของพระเจ้า พวกเขาไม่คิดลบและไม่เกียจคร้าน พวกเขาไม่นิ่งเฉยรอให้เบื้องบนออกคำสั่ง แต่เริ่มทำบางสิ่ง ดูจากการที่พวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเจ้ามีประสิทธิผลมากกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย และแม้จะยังคงต่ำกว่ามาตรฐาน แต่ก็เติบโตขึ้นเล็กน้อย—ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่เจ้าต้องไม่พึงพอใจกับสถานภาพที่เป็นอยู่ เจ้าต้องค้นหาต่อไป เติบโตต่อไป—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าดีขึ้นและถึงมาตรฐานที่ยอมรับกันได้ แต่เมื่อผู้คนบางคนปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาไม่เคยทำทุกอย่างที่ทำได้และทุ่มสุดตัว แต่กลับพยายามเพียงร้อยละ 50-60 เท่านั้นและแค่ทำพอแก้ขัดไปจนกระทั่งสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้นเสร็จสิ้น พวกเขาไม่เคยสามารถดำรงสภาวะที่ปกติไว้ได้ กล่าวคือเมื่อไม่มีผู้ใดคอยจับตาดูพวกเขาหรือให้การสนับสนุน พวกเขาก็ย่อหย่อนและใจเสีย เมื่อมีใครบางคนมาสามัคคีธรรมถึงความจริง พวกเขาก็จะมีชีวิตชีวาขึ้นมา แต่หากไม่มีการสามัคคีธรรมถึงความจริงแก่พวกเขาสักระยะหนึ่ง พวกเขาก็จะกลายเป็นไม่แยแส ปัญหาคืออะไรเวลาที่พวกเขากลับไปกลับมาเช่นนี้อยู่เสมอ? นี่คือลักษณะที่ผู้คนเป็นเมื่อพวกเขาไม่ได้รับความจริง พวกเขาล้วนดำรงชีวิตตามความหลงใหล—เป็นความหลงใหลที่ยากจะธำรงรักษาไว้ได้เป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาต้องมีใครบางคนประกาศและสามัคคีธรรมแก่พวกเขาทุกวัน ครั้นไม่มีผู้ใดให้น้ำและจัดเตรียมให้แก่พวกเขาและไม่มีผู้ใดเกื้อหนุนพวกเขา หัวใจของพวกเขาก็เย็นชาอีกครั้ง พวกเขาย่อหย่อนอีกครั้ง และเมื่อหัวใจของพวกเขาย่อหย่อน พวกเขาก็มีประสิทธิผลในหน้าที่ของตนน้อยลง หากพวกเขาทำงานหนักขึ้น ประสิทธิผลย่อมเพิ่มขึ้น การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาย่อมเกิดผลมากขึ้น และพวกเขาย่อมได้รับมากขึ้น…ในข้อเท็จจริงนั้น ผู้คนล้วนทำสิ่งที่พระเจ้าทรงขอจากผู้คนได้ ตราบใดที่พวกเจ้าใช้มโนธรรมของตนและสามารถทำตามมโนธรรมของตนในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ ตราบนั้นการยอมรับความจริงก็ย่อมจะง่าย—และหากเจ้าสามารถยอมรับความจริงได้ เจ้าก็ย่อมสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีพอได้ พวกเจ้าต้องคิดในหนทางนี้ว่า ‘จากการเชื่อในพระเจ้าในช่วงหลายปีมานี้ กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าในช่วงหลายปีมานี้ ฉันได้รับมาเป็นจำนวนมหาศาล และพระเจ้าได้ประทานพระคุณและพรอันยิ่งใหญ่แก่ฉัน ฉันมีชีวิตอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ฉันมีชีวิตอยู่ภายใต้ฤทธานุภาพของพระเจ้า ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ และพระองค์ประทานลมหายใจนี้แก่ฉัน ดังนั้นฉันจึงควรใช้ความรู้สึกนึกคิดและเพียรพยายามปฏิบัติหน้าที่ของฉันด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี—นี่คือสิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญ’ ผู้คนต้องมีเจตจำนง มีเพียงผู้ที่มีเจตจำนงเท่านั้นที่จะสามารถเพียรพยายามเพื่อความจริงได้ และเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริงแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และทำให้ซาตานละอาย หากเจ้ามีความจริงใจเช่นนี้และไม่วางแผนเพื่อตัวเจ้าเอง แต่ทำเพียงเพื่อให้ได้รับความจริงและเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าก็จะกลายเป็นปกติและจะคงเส้นคงวาตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญรูปการณ์แวดล้อมใด เจ้าจะสามารถยืนหยัดในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ไม่ว่าผู้ใดหรือสิ่งใดอาจมาชักนำเจ้าไปในทางที่ผิดหรือรบกวนเจ้า ไม่ว่าอารมณ์ของเจ้าจะดีหรือเสีย เจ้าก็จะยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้อย่างเป็นปกติ ในหนทางนี้ พระเจ้าย่อมจะสบายพระทัยเกี่ยวกับเจ้าได้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะสามารถประทานความรู้แจ้งในการเข้าใจหลักธรรมของความจริงแก่เจ้า และนำเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง และผลก็คือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าย่อมจะได้มาตรฐานอย่างแน่นอน ตราบใดที่เจ้าสละเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจ ทำหน้าที่ของตนตามความเป็นจริง และไม่ทำตัวตลบตะแลงหรือเล่นเล่ห์กล เจ้าก็จะเข้าเกณฑ์มาตรฐานของพระเจ้า พระเจ้าทรงจับสังเกตจิตใจ ความคิดและเหตุจูงใจของผู้คน หากหัวใจของเจ้าถวิลหาความจริงและเจ้าสามารถแสวงหาความจริงได้ พระเจ้าก็จะทรงให้ความรู้แจ้งและความกระจ่างแก่เจ้า ไม่ว่าในเรื่องใด พระเจ้าจะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าตราบเท่าที่เจ้าแสวงหาความจริง พระองค์จะทรงทำให้หัวใจของเจ้าเปิดรับความสว่างและเปิดโอกาสให้เจ้ามีเส้นทางปฏิบัติ แล้วการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าก็จะบังเกิดผล ความรู้แจ้งของพระเจ้าคือพระคุณและพรจากพระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ในการเชื่อในพระเจ้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์) ผมเรียนรู้ผ่านพระวจนะ ว่าอย่างน้อย ผู้คนควรพึ่งพามโนธรรมของตนในหน้าที่ และพอเจอปัญหา ให้แสวงหาน้ำพระทัยและมองหาหลักธรรมอย่างไม่รีรอ ทุ่มเททุกอย่างเพื่อจะทำตามข้อพึงประสงค์ในพระวจนะ จะได้มีการนำของพระเจ้า และมีผลที่ดีในหน้าที่ การมีโอกาสได้ดูแลงานวิดีโอนั้นเป็นพระคุณของพระเจ้า ผมควรทำให้เต็มที่เพื่อหน้าที่และพัฒนาให้งานก้าวหน้าและได้ผลต่อไป ผมไม่ควรหย่อนยาน หรือไม่รอบคอบในงาน พอรู้ตัวแบบนี้ ผมเลยมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า “พระเจ้า ในหน้าที่นั้นลูกเอาแต่ทำตามกิจวัตรและไม่เพียรพยายามที่จะก้าวหน้า ได้โปรดทรงนำลูกด้วยเถิด เพื่อที่ไม่ว่าจะเผชิญความยากลำบากเท่าไร ลูกจะพยายามเต็มที่ในหน้าที่ ถ้าลูกทำให้งานล่าช้าอีก โปรดบ่มวินัยลูกด้วย” จากนั้น พี่น้องชายหญิงและผมหารือเรื่องที่เราทำงานล่าช้าและประสิทธิภาพต่ำ และคิดแผนสำหรับวิดีโอแต่ละเรื่อง เราพยายามหาแนวคิดดีๆ สำหรับการผลิตด้วย ด้วยความร่วมมือของทุกคน การผลิตวิดีโอของเราประสบความสำเร็จยิ่งกว่าเดิมมาก และมีรูปแบบหลากหลายขึ้น ผมขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ในผลลัพธ์นี้ นอกจากจะมีความสุขแล้ว ผมยังรู้สึกผิดและตำหนิตัวเองเรื่องท่าทีที่ผมมีต่อหน้าที่ก่อนหน้านี้ ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่า การที่ผมเหลวไหลในหน้าที่นั้นร้ายแรงแค่ไหน พอเทียบกันแล้ว ผมเอาแต่ทำตัวสบายๆ เอาเท้าราน้ำ แค่พยายามให้ผ่านพ้นไปวันๆ แต่เชื่อว่าอุทิศตนแล้ว ผมไม่รู้จักตัวเองเลย ถ้าผมไม่ถูกจัดการในตอนนั้น แต่ทำหน้าที่ต่อไปด้วยท่าทีขอไปที และพอใจกับตัวเอง ใครจะรู้ว่าผมจะทำให้งานล่าช้าอีกแค่ไหน ผมรู้สึกจากก้นบึ้งหัวใจเลยว่าคำวิจารณ์ของผู้นำนั้นมาทันเวลาพอดี ผมได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะในการชุมนุมช่วงต่อมา “ท่าทีที่โนอาห์มีต่อพระบัญชาของพระเจ้าคือการเชื่อฟัง เขาไม่ใช่ไม่กังวลสนใจในพระบัญชา และหัวใจของเขาก็ไม่มีการต้านทานหรือความไม่แยแส แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับพยายามอย่างขะมักเขม้นที่จะเข้าใจน้ำพระทัยของพระผู้สร้างในขณะที่เขาทำการบันทึกทุกรายละเอียด เมื่อเขาเข้าใจน้ำพระทัยอันเร่งด่วนของพระเจ้าแล้ว เขาก็ตัดสินใจที่จะเร่งมือ เพื่อทำสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เขาให้เสร็จสมบูรณ์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ‘โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้’ นี้หมายความว่ากระไร? นี่หมายถึงการทำงานที่น่าจะใช้เวลาสักหนึ่งเดือนเมื่อก่อนหน้านี้ ให้เสร็จสมบูรณ์ภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ บางทีอาจจะทำให้เสร็จเร็วกว่ากำหนดสักสามหรือห้าวันโดยไม่มีการประวิงเวลาเลยหรือไม่มีการชักช้าแม้แต่น้อย แต่ผลักดันโครงการทั้งหมดให้เดินหน้าอย่างดีที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถทำได้ แน่นอนว่า ขณะดำเนินงานแต่ละงาน เขาจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะลดความสูญเสียและความผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุด และจะไม่ทำงานใดในลักษณะที่จะต้องกลับมาทำใหม่ นอกจากนี้เขาจะทำงานและกระบวนการทุกอย่างให้เสร็จสมบูรณ์ภายในกำหนด และจะทำอย่างดี รับประกันว่ามีคุณภาพ นี่คือการสำแดงที่แท้จริงของการไม่ประวิงเวลา ดังนั้น อะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้นที่ทำให้เขาไม่ประวิงเวลาได้? (เขาได้ยินพระบัญชาของพระเจ้า) ใช่แล้ว นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นและบริบทของผลสำเร็จของเขา ทั้งนี้ เหตุใดโนอาห์จึงสามารถไม่ประวิงเวลาได้? ผู้คนบางคนพูดว่าโนอาห์มีความเชื่อฟังที่แท้จริง แล้วเขามีสิ่งใดที่เปิดโอกาสให้เขาสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังที่แท้จริงดังกล่าวได้? (เขาใส่ใจต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า) นั่นถูกต้องแล้ว! นี่คือสิ่งที่หมายถึงการมีหัวใจ! ผู้คนที่มีหัวใจย่อมมีความสามารถที่จะใส่ใจต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกที่ไม่มีหัวใจก็คือเปลือกที่ว่างเปล่า เป็นคนเขลา พวกเขาไม่รู้จักการใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้า นั่นคือ ‘ฉันไม่ใส่ใจว่าการนี้เร่งด่วนเพียงใดสำหรับพระเจ้า ฉันจะทำสิ่งที่ฉันต้องการ—ไม่ว่าในกรณีใด ฉันไม่ใช่กำลังลอยชายหรือเกียจคร้าน’ ท่าทีเช่นนี้ การคิดลบเช่นนี้ การไร้ซึ่งความขวนขวายโดยสิ้นเชิง—นี่ไม่ใช่ใครบางคนที่ใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้า อีกทั้งพวกเขายังไม่เข้าใจวิธีใส่ใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งในกรณีนั้น พวกเขามีความเชื่อที่แท้จริงหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ โนอาห์ใส่ใจน้ำพระทัยของพระเจ้า เขามีความเชื่อที่แท้จริง และด้วยเหตุนี้จึงสามารถทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสมบูรณ์ได้ ดังนั้นแล้ว การยอมรับพระบัญชาจากพระเจ้าและเต็มใจที่จะใช้ความพยายามอยู่บ้างจึงไม่เพียงพอ เจ้าต้องใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้า มอบทั้งหมดที่เจ้ามี และอุทิศตนด้วย—ผู้คนจึงต้องมีมโนธรรมและสำนึก นั่นคือสิ่งที่ผู้คนควรที่จะมี และคือสิ่งที่พบในตัวโนอาห์” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, บทความเสริม สาม: วิธีที่โนอาห์และอับราฮัมฟังพระวจนะของพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ (ภาคที่สอง)) ผมตื้นตันใจเมื่ออ่านบทตอนนี้ของพระวจนะเช่นกัน โนอาห์ฟังพระเจ้า เข้าใจน้ำพระทัย และไม่ละเลยพระบัญชาของพระองค์ ผมเห็นว่าโนอาห์ต้องการจะคำนึงถึงน้ำพระทัย และพอพระเจ้าทรงบัญชาให้โนอาห์ต่อเรือ เขาก็สัมผัสถึงความเร่งด่วนของน้ำพระทัย และมุ่งหน้าทำสิ่งที่พระเจ้าทรงพิจารณาว่าเร่งด่วนที่สุด กับงานทุกชิ้น เขาทำทุกอย่างที่สามารถเพื่อไม่ให้ล่าช้า ให้แน่ใจว่าทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อก้าวไปข้างหน้า และในทุกสิ่งที่ทำ เขาพยายามให้เกิดความผิดพลาดและความเสียหายให้น้อยที่สุด ท่าทีของโนอาห์ต่อหน้าที่แสดงให้เห็นการคำนึงถึงน้ำพระทัยอย่างแท้จริง ประสบการณ์ของโนอาห์เป็นแรงจูงใจให้ผมจริงๆ และช่วยให้ผมเข้าใจน้ำพระทัยและให้เส้นทางปฏิบัติกับผม ผมต้องเป็นเหมือนโนอาห์และคำนึงถึงภาระของพระเจ้า ต้องทำรายการของรายละเอียดทุกอย่างในงาน จัดเรียงให้เป็นระเบียบ และทำอย่างเต็มที่ให้เสร็จทุกงาน เวลาเจอความยากลำบากในการทำงาน ผมมีความเชื่อว่าจะผ่านพ้นและไม่ติดอยู่กับปัญหา เชื่อว่าเมื่อมีพระเจ้า ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ผมจึงอธิษฐานและร้องเรียกพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงมอบภาระให้ผมอีก และทรงนำให้ผมทำหน้าที่ให้ดี จากนั้น เราก็สรุปงานกันบ่อยๆ แก้ไขสิ่งที่ถูกมองข้ามหรือผิดพลาดอย่างรวดเร็ว และร่วมมือกันในหน้าที่ ประสิทธิภาพของเราพัฒนาขึ้นมากทีเดียว
ครั้งหนึ่ง เราต้องทำงานกับโครงการประเภทที่เราไม่คุ้นเคยเลย และต้องทำให้เสร็จในเวลาสั้นๆ ผมรู้สึกกังวลนิดหน่อย ไม่รู้ว่าจะทำให้เสร็จทันเวลาได้ไหม ผมไม่พูดอะไร แต่ภายในผมรู้สึกหวาดหวั่น ผมรู้ตัวว่าผมนึกถึงผลประโยชน์ทางเนื้อหนังอีกแล้ว ผมจึงอธิษฐานว่า “พระเจ้า งานของลูกนั้นเคยฉาบฉวยมาก่อน ลูกไม่อุทิศตนให้กับหน้าที่ และทำให้งานล่าช้า ตอนนี้ที่งานของเราจำเป็นต้องให้ลูกทนทุกข์และยอมแลก ลูกจะคิดถึงแต่ความสบายของตนไม่ได้ โปรดประทานความแน่วแน่ที่จะทนทุกข์และทำงานนี้ให้เสร็จด้วยดีด้วยเถิด” ผมรู้สึกว่าสงบลงมากหลังจากอธิษฐาน ผมพร้อมที่จะเปลี่ยนท่าทีและทำหน้าที่ให้ดี หลังจากนั้น ผมเรียนรู้ทักษะการผลิตวิดีโอที่จำเป็นกับคนอื่น เราหารือเรื่องโครงการกัน เราจัดให้ตารางงานอยู่ภายในเวลาที่ได้รับจัดสรรมา ในที่สุด เราก็ทำวิดีโอเสร็จ พอคิดถึงประสบการณ์ทั้งหมด ผมเห็นว่าผมสุกเอาเผากินในหน้าที่และกลิ้งกลอกบ่อยเกินไปแล้ว ผมทนทุกข์นิดหน่อยกับหน้าที่ในช่วงนั้น แต่ผมมีสันติสุข และรู้สึกว่าวิเศษ ในการชุมนุมตอนสิ้นเดือน ทุกคนสามัคคีธรรมเรื่องประสบการณ์และสิ่งที่ได้รับ ทุกคนรู้สึกจริงๆ ว่าถ้าไม่ถูกจัดการ และไม่มีการเปิดเผยของพระวจนะ เราจะไม่เห็นข้อบกพร่องและความเสื่อมทราม และจะไม่ก้าวหน้าไม่ว่าจะทำงานนานแค่ไหนก็ตาม สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรามาก ทั้งในหน้าที่และการเข้าสู่ชีวิต
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ