ฉันหนีความบีบคั้นทางอารมณ์อย่างไร
เดือนพฤศจิกายนปี 2020 ฉันได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากผู้นำ ซึ่งแจกแจงโดยละเอียดถึงการที่แม่ของฉันซึ่งเป็นผู้เชื่อมานานหลายปีนั้นไม่เข้าร่วมการชุมนุมโดยถูกต้องเหมาะสม ในจดหมายกล่าวว่าท่านมักจะวุ่นอยู่กับการหาเงินเสมอ ทั้งยังผล็อยหลับในเวลาที่เข้าร่วมการชุมนุมตามที่ต่างๆ แม่ของฉันแทบไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้า ไม่ฟังการเทศนา ยึดถือทรรศนะแบบเดียวกับผู้ไม่เชื่อ ทั้งยังเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่าการกระทำของท่านเป็นแบบเดียวกับการกระทำของผู้ปราศจากความเชื่อ คริสตจักรกำลังพิจารณาทบทวนสถานการณ์ของแม่เพื่อตัดสินว่าท่านควรถูกขับออกไปหรือไม่ พวกเขาจึงขอให้ฉันจัดเตรียมการประเมิน ฉันค่อนข้างตกใจ พลางคิดว่า “ผู้นำคริสตจักรทำผิดพลาดไปหรือเปล่า? อย่างน้อยตลอดหลายปีนี้ ดูผิวเผินแล้วเหมือนแม่ได้แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาแรงกล้าและความมีใจกระตือรือร้นในความเชื่อ บางครั้งท่านยังถึงกับช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ เมื่อพวกเขาไปเจอกับปัญหาในชีวิตด้วยซ้ำ ท่านไม่ถึงขั้นที่สมควรถูกขับออกไปแน่นอน” แต่แล้วฉันก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าคริสตจักรขับผู้คนออกตามหลักธรรม ทั้งยังตัดสินพวกเขาบนพื้นฐานของพฤติกรรมโดยรวม และแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาเสมอ—พระนิเวศจะไม่มีวันปฏิบัติต่อใครบางคนอย่างไม่เป็นธรรม ด้วยหน้าที่ซึ่งทำให้ฉันต้องไปต่างเมืองหลายปี ฉันจึงไม่มั่นใจว่า ตลอดมานั้น แม่ปฏิบัติตัวอย่างไรในคริสตจักร ฉันควรยอมรับและนบนอบต่อเรื่องนี้เสียก่อน
หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มทบทวนการกระทำของแม่ตอนที่พวกเราอยู่ด้วยกัน เมื่อไรที่ฉันกลับบ้านและถามถึงสภาวะของท่าน ท่านก็ตั้งใจเลี่ยงหลบการตั้งคำถามของฉัน อีกทั้งท่านก็แทบไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังการเทศนา เวลาฉันสามัคคีธรรมถึงความสำคัญของการอ่านพระวจนะของพระเจ้า แม่ก็จะบอกว่าเห็นด้วย แต่จากนั้นท่านก็กลับไปทำนิสัยแบบเดิม เพื่อจะหาเงินให้ได้มากขึ้น แม่ถึงกับไม่เข้าร่วมการชุมนุมตามปกติ ทั้งที่ฉันมีการสามัคคีธรรมกับท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง ท่านก็ล้มเหลวที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเอง โดยพูดว่าการจะทำให้ชะตากรรมของท่านดีขึ้น ท่านพึ่งพาได้ก็แต่ตนเองเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นคือแม่มักจะทะเลาะกับพ่อบ่อยๆ ด้วยเรื่องสัพเพเหระ เมื่อใดก็ตามที่พ่อขึ้นเสียงใส่และสร้างบาดแผลให้กับความภูมิใจของแม่ แม่ก็จะแค้นเคืองและบ่อยครั้งที่ระบายความโกรธด้วยการสบถสาปแช่งพ่อราวกับพวกผู้ไม่เชื่อ ยามที่ฉันสามัคคีธรรมถึงวิธีใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องเหมาะสม แม่ก็ไม่ฟัง โดยพูดว่าท่านอดไม่ได้ ต่อมา ฉันบังเอิญเจอพระวจนะบทตอนนี้ของพระเจ้า ความว่า “มีผู้คนบางคนที่ความเชื่อของพวกเขาไม่เคยเป็นที่รับรู้ในพระทัยของพระเจ้า กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าไม่ทรงระลึกว่าพวกเขาเป็นผู้ติดตามของพระองค์ เพราะพระองค์ไม่ทรงสรรเสริญสิ่งที่พวกเขาเชื่อ สำหรับผู้คนเหล่านี้ แนวคิดและทรรศนะของพวกเขาไม่เคยเปลี่ยน โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาได้ติดตามพระเจ้านานกี่ปีแล้ว พวกเขาเป็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ โดยยึดติดอยู่กับหลักการและวิธีการทั้งหลายสำหรับการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน และยึดติดอยู่กับกฎแห่งการอยู่รอดและความเชื่อของผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาไม่เคยยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นชีวิตของพวกเขา ไม่เคยเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ไม่เคยตั้งใจที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้า และไม่เคยระลึกว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขา พวกเขาเห็นว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นงานอดิเรกสมัครเล่นบางอย่าง โดยปฏิบัติต่อพระองค์เหมือนเป็นเพียงความค้ำจุนทางจิตวิญญาณ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาไม่คิดว่ามันคุ้มค่าที่จะพยายามเข้าใจพระอุปนิสัยหรือแก่นแท้ของพระเจ้า อาจกล่าวได้ว่าทั้งหมดที่สอดคล้องกับพระเจ้าเที่ยงแท้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับผู้คนเหล่านี้ พวกเขาไม่สนใจ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถถูกรบเร้าให้ใส่ใจได้ นี่เป็นเพราะลึกลงไปในหัวใจของพวกเขามีเสียงรุนแรงที่มักจะบอกพวกเขาเสมอว่า ‘พระเจ้าไม่ทรงปรากฏแก่ตาและไม่สามารถแตะต้องได้ และไม่ทรงดำรงอยู่’ พวกเขาเชื่อว่าการพยายามเข้าใจพระเจ้าแบบนี้คงจะไม่คุ้มค่ากับความพยายามของพวกเขา และเชื่อว่าในการทำเช่นนั้น พวกเขาคงจะกำลังหลอกตัวเอง พวกเขาเชื่อว่าโดยเพียงแค่ยอมรับรู้พระวจนะของพระเจ้าโดยไม่ทำการยืนหยัดจริงๆ หรือลงทุนในการกระทำใดๆ จริงๆ ด้วยตัวเอง พวกเขาก็ค่อนข้างฉลาด พระเจ้าทรงพิจารณาผู้คนเช่นนี้อย่างไร? พระองค์ทรงมองว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์) ฉันได้ตระหนักโดยผ่านทางการอ่านพระวจนะว่า บรรดาผู้ปราศจากความเชื่อยอมรับรู้การเชื่อในพระเจ้าแค่เพียงวาจาโดยไม่เคยปฏิบัติความจริงเลย พวกเขามีแก่นแท้ธรรมชาติที่ไม่ชอบความจริง และพระเจ้าก็ไม่เคยทรงรับรู้ความเชื่อของพวกเขา ตลอดหลายปีที่เป็นผู้เชื่อ แม่ของฉันไม่เคยยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเชื่อ คิด พูด และปฏิบัติตัวราวกับใครบางคนที่ไม่มีความเชื่อ—นั่นไม่ได้ทำให้ท่านเป็นผู้ปราศจากความเชื่อหรอกหรือ? ฉันควรจัดเตรียมคำบรรยายที่ซื่อสัตย์เกี่ยวกับพฤติกรรมของแม่ แต่ก็อีกนั่นแหละ แม้แต่ตอนที่สมาชิกคนอื่นในครอบครัวคัดค้านและด่าว่าฉันเรื่องความเชื่อ แม่ก็ได้คอยเกื้อหนุนและคุ้มครองฉันเสมอมา เพื่อให้ฉันสามารถลุล่วงหน้าที่ของฉันได้อย่างสงบสุข อีกทั้งตลอดหลายปีที่ฉันกำลังทำหน้าที่ให้ลุล่วงอยู่ต่างเมือง แม่ก็ได้ให้การสนับสนุนด้านการเงินของฉันด้วย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย แม่ก็พาฉันไปโรงพยาบาลและลากฝีเท้าขึ้นลงบันไดเพื่อลงทะเบียนและรับยาให้ฉัน ทุกครั้งที่ฉันกลับมาบ้าน แม่ก็จะซื้ออาหารและเสื้อผ้าไว้ให้ หลังจากนึกถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ฉันก็ไม่อาจพาตัวเองให้มาเขียนการประเมินได้ ฉันรู้สึกร้าวรานและขัดแย้งในใจอย่างมากว่า “ท่านเป็นแม่ของฉัน การประเมินนี้จึงมีน้ำหนักมากเหลือเกิน หากฉันจัดเตรียมคำบรรยายที่ซื่อสัตย์เกี่ยวกับพฤติกรรมของท่าน ท่านก็จะยิ่งมีแววที่จะถูกขับออกไป นั่นจะไม่ใช่ปลายทางของเส้นทางแห่งความเชื่อของท่านหรือ? การรู้ว่าฉันเป็นคนเขียนเกี่ยวกับพฤติกรรมเยี่ยงผู้ปราศจากความเชื่อของท่านคงทำให้ท่านหัวใจสลาย และท่านจะต้องคิดอย่างแน่นอนว่าฉันไม่มีหัวใจและไม่สำนึกบุญคุณ” ความคิดนี้เหมือนมีมีดเล่มหนึ่งแทงทะลุหัวใจ จนดวงตาของฉันพรั่งพรูไปด้วยน้ำตา ท่ามกลางความทุกข์ ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าวอนขอให้พระองค์ทรงนำให้ฉันใช้จุดยืนที่ถูกต้องและยืนหยัดอยู่โดยจุดยืนนั้น
หลังอธิษฐาน ฉันก็รู้สึกจิตใจสงบลง ระหว่างช่วงเวลานั้น ฉันได้บังเอิญมาเจอพระวจนะบทตอนหนึ่งของพระเจ้า ที่ว่า “เจ้าควรรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเจ้าเป็นการทดสอบที่ยิ่งใหญ่และเป็นเวลาที่พระเจ้าจำเป็นต้องทรงให้เจ้าเป็นคำพยาน แม้สิ่งเหล่านั้นอาจดูเหมือนว่าไม่สำคัญจากภายนอก แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นพวกมันแสดงให้เห็นว่าเจ้ารักพระเจ้าหรือไม่ หากเจ้ารัก เจ้าจะสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าต่อพระองค์ได้ และหากเจ้าไม่ได้นำการรักพระองค์ไปปฏิบัติ นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ใช่ใครบางคนที่นำความจริงไปปฏิบัติ แสดงให้เห็นว่าเจ้าปราศจากความจริง และปราศจากชีวิต แสดงให้เห็นว่าเจ้าคือแกลบ! ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับผู้คนเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าจำเป็นต้องทรงให้พวกเขาตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระองค์ แม้ไม่มีอะไรที่สำคัญกำลังเกิดขึ้นกับเจ้า ณ ชั่วขณะนี้และเจ้าไม่ได้เป็นคำพยานที่ยิ่งใหญ่ แต่ทุกรายละเอียดในชีวิตประจำวันของเจ้าก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับคำพยานต่อพระเจ้า หากเจ้าสามารถได้รับความเลื่อมใสจากบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า บรรดาสมาชิกครอบครัวของเจ้า และทุกๆ คนรอบตัวเจ้า หากวันหนึ่ง ผู้ไม่มีความเชื่อมาเลื่อมใสทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ และเห็นว่าทั้งหมดที่พระเจ้าทรงกระทำนั้นน่ามหัศจรรย์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะได้เป็นคำพยานแล้ว… แม้ว่าเจ้าจะไร้ความสามารถในการทำงานที่ยิ่งใหญ่ แต่เจ้าก็สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ คนอื่นๆ ไม่สามารถละวางมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของพวกเขาลงได้ แต่เจ้าสามารถทำได้ คนอื่นๆ ไม่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าในช่วงระหว่างประสบการณ์จริงของพวกเขาได้ แต่เจ้าสามารถใช้วุฒิภาวะแท้จริงและการกระทำทั้งหลายของเจ้าเพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้าและเป็นคำพยานที่กังวานก้องต่อพระองค์ได้ นี่เท่านั้นที่ถือเป็นการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) เมื่อไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่า การที่ฉันต้องเขียนประเมินแม่ในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริง ฉันควรยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ในเรื่องนี้ แทนที่จะทำอะไรไปตามอารมณ์ ฉันควรพูดถึงสถานการณ์จริงของแม่ตามข้อเท็จจริง แต่เพราะฉันมีอารมณ์ที่เชื่อมโยงอยู่กับท่าน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจอย่างชัดเจนว่าท่านมีพฤติกรรมเยี่ยงผู้ปราศจากความเชื่ออยู่ไม่น้อยทีเดียว ฉันก็อิดออดที่จะเขียนประเมินเพราะกลัวท่านอาจจะถูกขับออกจากคริสตจักรและเสียโอกาสในความรอดไป ไม่ใช่ฉันกำลังล้มเหลวที่จะใช้จุดยืนที่ถูกต้อง และที่จะเป็นคำพยานหรอกหรือ? ฉันไม่เต็มใจที่จะยืนอยู่ฝั่งความจริงในความเชื่อของฉันและปกป้องงานของคริสตจักร และฉันถึงกับคุ้มภัยให้กับแม่เนื่องจากความเชื่อมโยงทางอารมณ์—หัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าของฉันอยู่ที่ไหน? ในอดีตนั้น ฉันรับมือกับพวกที่ถูกพบว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ พวกคนทำชั่ว และผู้ปราศจากความเชื่ออย่างแข็งขันและมีใจกระตือรือร้น สามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงถึงความสำคัญของงานชำระคริสตจักรให้สะอาด และพูดเปิดโปงสิ่งที่เป็นลบด้วยพลังแห่งความยุติธรรมเพื่อปกป้องงานของคริสตจักร ทว่าเมื่อเผชิญกับประเด็นปัญหาของแม่ ความเชื่อมโยงทางอารมณ์ที่มีต่อท่านก็ทำให้ฉันหวั่นไหวและไม่อาจปฏิบัติตนไปตามหลักธรรมได้ ฉันไม่มีความเป็นจริงความจริงแม้แต่น้อย อีกทั้งความรักใคร่ของฉันก็แข็งแกร่งเกินไป! ครั้นได้ตระหนักในเรื่องนี้ทั้งหมด ฉันก็ไม่รู้สึกทรมาน และรีบลงมือทำงานเรื่องการประเมินนั้น โดยส่งให้ผู้นำทันทีที่เขียนเสร็จ
วันรุ่งขึ้น ฉันอ่านเจอในบทเทศนาว่า ต่อให้ใครคนหนึ่งเป็นผู้เชื่อมานานหลายปีโดยไม่แสวงหาความจริง แต่หากพวกเขาไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน พวกเขาก็สามารถได้รับการละเว้นจากการถูกขับออกไปได้ชั่วคราว แววแห่งความหวังวาบเข้าสู่ใจฉัน แม่ของฉันแค่ไม่แสวงหาความจริง แต่ท่านไม่เคยเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนที่ชัดเจนอันใดต่องานของคริสตจักรเลย ในสถานการณ์เฉพาะของท่าน ท่านน่าจะยังมีโอกาสที่จะกลับใจ ฉันคิดว่าเป็นไปได้ที่ผู้นำคริสตจักรไม่ได้เข้าใจสถานการณ์ของท่าน บางทีฉันอาจเขียนจดหมายเน้นย้ำว่าแม่ของฉันมีใจกระตือรือร้นในการช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงอย่างไร หรืออาจขอให้พวกเขาสามัคคีธรรมกับท่านเพิ่มเติมอีกหน่อย แน่นอนว่าการที่ท่านได้ให้การปรนนิบัติในคริสตจักรต่อไป ย่อมดีกว่าการให้ท่านถูกไล่ออกไป ฉันอดใจรอไม่ไหวที่จะเขียนจดหมายถึงผู้นำคริสตจักรท้องถิ่น แต่ทันทีที่กำลังจะเขียน ฉันก็เริ่มกังวลใจขึ้นมาว่า “ฉันไม่เข้าใจพฤติกรรมในปัจจุบันของแม่ดีนัก หากท่านล้มเหลวที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ตามปกติ และผล็อยหลับระหว่างการชุมนุมอยู่จริงๆ นั่นจะไม่ส่งผลต่อพี่น้องชายหญิงคนอื่นในการชุมนุมหรือ? ไม่ใช่ว่าฉันก็แค่กำลังเขียนจดหมายนี้อยู่เพราะความผูกพันทางอารมณ์ที่มีต่อแม่ และฉันต้องการปกป้องท่านหรอกหรือ? แต่หากแม่ถูกขับออกไปจริงๆ ท่านก็จะไม่มีวันมีโอกาสได้รับความรอดอีกเลย” ในความทุกข์ใจ ฉันรีบมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน ขอพระองค์ทรงนำให้ฉันเข้าใจสภาวะที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม และเรียนรู้ที่จะงดเว้นการปฏิบัติตนไปตามอารมณ์ของตนเอง หลังอธิษฐาน ฉันก็บังเอิญมาพบพระวจนะสองบทตอนของพระเจ้า ความว่า “เรื่องที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกมีอะไรบ้าง? อย่างแรกคือการประเมินสมาชิกครอบครัวของเจ้าเอง และท่าทีที่เจ้ามีต่อสิ่งที่พวกเขาทำ แน่นอนว่าในที่นี้ ‘สิ่งที่พวกเขาทำ’ หมายรวมถึงเวลาที่พวกเขาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร เวลาที่พวกเขาตัดสินผู้คนลับหลังคนเหล่านั้น มีการปฏิบัติบางอย่างเหมือนผู้ไม่เชื่อ และอื่นๆ เจ้าสามารถรับมือสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นกลางได้หรือไม่? เมื่อเจ้าจำเป็นต้องเขียนประเมินสมาชิกครอบครัวของเจ้า เจ้าจะสามารถทำเช่นนั้นอย่างเป็นกลางตามข้อเท็จจริง โดยวางความรู้สึกของเจ้าเอาไว้ก่อนได้หรือไม่? นี่เกี่ยวพันกับว่าเจ้านั้นมีท่าทีต่อสมาชิกครอบครัวของตนเองอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ามีความรู้สึกต่างๆ ต่อคนที่เจ้าเป็นมิตรด้วยหรือคนที่เคยช่วยเหลือเจ้ามาก่อนหรือไม่? เจ้าสามารถมองการกระทำและการวางตนของพวกเขาตามข้อเท็จจริง อย่างเป็นกลางและเที่ยงตรงได้หรือไม่? ถ้าพวกเขาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร เจ้าจะสามารถรายงานหรือเปิดโปงพวกเขาทันทีที่เจ้ารู้ได้หรือไม่? นอกจากนี้ เจ้าเก็บงำความรู้สึกที่มีต่อคนที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับเจ้าหรือมีผลประโยชน์ร่วมกันกับเจ้าเอาไว้หรือไม่? เจ้ามีการประเมิน การนิยาม และวิธีจัดการการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขาในลักษณะที่เป็นกลางและเป็นไปตามข้อเท็จจริงหรือไม่? สมมุติว่าคริสตจักรจัดการผู้คนที่เจ้ามีความรู้สึกเชื่อมโยงด้วยนี้ตามหลักธรรม และผลที่ออกมาก็ไม่เป็นไปตามมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง—เจ้าจะรับมือเรื่องนี้อย่างไร? เจ้าจะเชื่อฟังได้หรือไม่? เจ้าจะแอบพัวพันกับพวกเขาต่อไป ถูกพวกเขาชักพาให้หลงผิดและถึงขั้นถูกพวกเขายุยงให้แก้ตัวให้พวกเขา สร้างความชอบธรรมให้พวกเขา และปกป้องพวกเขาหรือไม่? เจ้าจะให้การช่วยเหลือและแอ่นอกรับกระสุนแทนคนที่ช่วยเจ้ามาโดยตลอด มองข้ามหลักธรรมความจริงและไม่สนใจผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? เรื่องต่างๆ เหล่านี้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกทั้งสิ้นมิใช่หรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (2)) “สมมุติว่า ญาติหรือบิดามารดาของเจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า และเพราะการทำชั่ว การก่อความไม่สงบ หรือการไม่ยอมรับความจริงใดๆ จึงให้พวกเขาออกไป อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่มีวิจารณญาณเรื่องของพวกเขา ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงถูกกำจัดออกไป รู้สึกเสียใจอย่างที่สุด อีกทั้งพร่ำบ่นอยู่เสมอว่าพระนิเวศของพระเจ้าไร้ซึ่งความรักและไม่เป็นธรรมต่อผู้คน เจ้าควรอธิษฐานต่อพระเจ้าและแสวงหาความจริง แล้วจากนั้นจึงประเมินว่าญาติเหล่านี้เป็นผู้คนประเภทใดตามพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง เจ้าก็จะสามารถนิยามพวกเขาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และเจ้าจะมองเห็นว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำนั้นถูกต้อง และเห็นว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม แล้วจากนั้นเจ้าย่อมจะไม่มีเรื่องให้พร่ำบ่น จะสามารถนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และจะไม่พยายามปกป้องญาติหรือบิดามารดาของเจ้า ประเด็นในที่นี้คือการไม่รับใช้เครือญาติของพวกเจ้า การนี้เป็นไปเพื่อระบุว่าพวกเขาคือผู้คนประเภทใด และเพื่อทำให้เจ้าหยั่งรู้พวกเขาและรู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงถูกกำจัดออกไป หากสิ่งเหล่านี้ชัดเจนอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้า อีกทั้งเจ้ามีทรรศนะที่ถูกต้องและสอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะสามารถยืนอยู่ข้างเดียวกันกับพระเจ้าได้ และทรรศนะของเจ้าในเรื่องนี้ย่อมจะสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ หากเจ้าไม่สามารถยอมรับความจริงหรือมองดูผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้าได้ และยังคงเลือกอยู่ข้างสัมพันธภาพและมุมมองทางเนื้อหนังเมื่อมองดูผู้คน เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะไม่มีวันสามารถสลัดสัมพันธภาพทางเนื้อหนังนี้ทิ้งไปได้ และจะยังคงปฏิบัติต่อผู้คนเหล่านี้ในฐานะเครือญาติของตน—ใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งกว่าพี่น้องชายหญิงของเจ้าในคริสตจักรเสียอีก ในกรณีนี้ย่อมจะมีความความไม่ลงรอยกันระหว่างพระวจนะของพระเจ้ากับทรรศนะที่เจ้ามีต่อครอบครัวของตนในเรื่องนี้—เป็นความขัดแย้งที่แม้แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะยืนอยู่ข้างเดียวกันกับพระเจ้า และเจ้าจะมีมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ด้วยเหตุนั้น หากผู้คนจะสัมฤทธิ์การเข้ากันได้กับพระเจ้า ก่อนอื่นทรรศนะของพวกเขาในเรื่องทั้งหลายต้องสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาต้องสามารถมองดูผู้คนและสิ่งทั้งหลายตามพระวจนะของพระเจ้า ยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และสามารถละวางมโนคติดั้งเดิมอันหลงผิดของมนุษย์ ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญหน้ากับบุคคลหรือเรื่องอันใด เจ้าก็ต้องสามารถธำรงรักษามุมมองและทรรศนะเดียวกันกับพระเจ้า และมุมมองและทรรศนะของเจ้าก็ต้องลงรอยกับความจริง ในหนทางนี้ ทรรศนะของเจ้าและหนทางที่เจ้าเข้าหาผู้คนก็จะไม่เป็นปรปักษ์กับพระเจ้า และเจ้าจะสามารถนบนอบพระเจ้าและเข้ากันได้กับพระเจ้า ผู้คนเช่นนี้จะไม่สามารถต้านทานพระเจ้าได้อีก พวกเขาคือผู้คนที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะรับไว้โดยแท้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีระบุแก่นแท้ธรรมชาติของเปาโล) พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็นว่า พวกที่ถูกความรักใคร่ทางเนื้อหนังผูกมัด ย่อมไม่สามารถปฏิบัติความจริง หรือไม่สามารถประเมินญาติพี่น้องของพวกเขาได้อย่างเป็นกลางและเป็นธรรม นับประสาอะไรกับการปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริง พวกเขากลับปกป้อง คุ้มภัย และแก้ต่างให้กับญาติพี่น้องของพวกเขาอยู่เป็นนิตย์ โดยไม่มีสักเสี้ยวความคิดที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของคริสตจักร พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเข้าใจสภาวะของตนเองขึ้นบ้าง ฉันรู้ดีว่าแก่นแท้ธรรมชาติของแม่ก็คือธรรมชาติและแก่นแท้ของผู้ปราศจากความเชื่อ อีกทั้งท่านได้ทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักไปแล้ว ฉันควรที่จะปฏิบัติความจริงและเปิดโปงพฤติกรรมของแม่เพื่อปกป้องงานของคริสตจักร แต่ฉันก็ไม่อาจปล่อยมือจากความผูกพันทางอารมณ์ ทั้งยังกังวลว่าหากแม่ถูกขับ ท่านก็จะเสียโอกาสในการได้รับความรอดไปโดยสิ้นเชิง เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉันจึงต้องการโต้แย้งแทนท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฉันคิดว่าตลอดมาท่านดีกับฉันอย่างไร ฉันพยายามที่จะปกป้องคุ้มกันท่าน และไม่เปิดเผยพฤติกรรมของท่าน หลังอ่านบทเทศนา ฉันก็ไม่อาจเข้าใจหลักธรรมเบื้องหลังการขับและไล่ผู้คนออกจากพระนิเวศของพระเจ้าได้อย่างถ่องแท้ แถมยังรีบคว้าโอกาสจากช่องโหว่ ฉันต้องการให้คริสตจักรมีท่าทีที่ปรานีต่อแม่และอนุญาตให้ท่านยังอยู่ต่อได้ เพื่อที่บางทีท่านยังจะมีโอกาสได้บรรลุความรอด พระนิเวศของพระเจ้าทำงานแห่งการชำระให้สะอาดเพื่อประโยชน์แห่งความไร้ราคีของคริสตจักร และเพื่อจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เป็นบวกสำหรับชีวิตคริสตจักรให้กับพี่น้องชายหญิงของเราโดยปลอดจากความเสื่อมทรามทั้งหลายของซาตาน แต่ฉันก็ยังปล่อยให้ความผูกพันทางอารมณ์เอาชนะฉันได้ ฉันปกป้องแม่โดยไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรแม้แต่น้อย หรือไม่คิดว่าสิ่งนี้อาจจะสร้างความเสียหายต่อชีวิตของเหล่าพี่น้องชายหญิงของฉันอย่างไร ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นเหลือเกิน! ฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างถ้วนทั่ว ทั้งยังใช้ชีวิตโดยปรัชญาเยี่ยงซาตาน อย่างเช่น “เลือดข้นกว่าน้ำ” และ “มนุษย์มิใช่ไร้ชีวิตจิตใจ เขาจะสามารถเป็นอิสระจากภาวะอารมณ์ได้อย่างไรกัน?” ฉันคิดว่า ในเมื่อแม่ของฉันดูแลฉันให้เติบโตมาอย่างดี ทั้งยังสนับสนุนฉันในการทำหน้าที่ให้ลุล่วง พฤติกรรมไม่ดีในส่วนของท่านไม่ว่าปริมาณใดก็ควรเป็นที่ทนยอมรับได้ ในฐานะลูกสาว ฉันรู้สึกว่าการยืนด้านข้างและเฝ้าดูท่านถูกขับออกไปเฉยๆ คงเป็นการอกตัญญูอย่างยิ่ง ตราบใดที่ยังมีหวังแม้เพียงน้อยนิด ฉันก็ควรต่อสู้หาโอกาสให้ท่านได้อยู่ในคริสตจักร ไม่ใช่ว่าฉันกำลังลูบหน้าปะจมูกพระเจ้าอยู่หรอกหรือ? ตลอดหลายปีที่เป็นผู้เชื่อมา แม่ของฉันไม่เคยทะนุถนอมพระวจนะของพระเจ้า ไม่เคยเข้าร่วมการชุมนุมอย่างสม่ำเสมอหรือปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าเลย ท่านกลับไหลเข้าไปในการไล่ตามเสาะหาข้าวของเงินทองทางโลก และถึงกับพูดว่า “แม่มัวห่วงแต่จะแสวงหาความจริงไม่ได้หรอก การหาเงินเป็นตัวเลือกที่ทำให้แม่มั่นใจในความสำเร็จมากที่สุด” ครั้งหนึ่ง หลังจากคู่รักสูงวัยที่เป็นผู้เชื่อมากว่าสิบปีถูกขับออกไปเพราะความประพฤติเลวของพวกเขา และการที่พวกเขาทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก แม่ก็บอกกับพี่น้องชายหญิงว่า “มีพวกเราไม่กี่คนหรอกที่จะประสบความสำเร็จในความเชื่อ—พวกเขาถูกขับออกไป ไม่ช้าก็เร็วฉันก็จะถูกขับด้วยเหมือนกัน” ในตอนนั้น ฉันสามัคคีธรรมกับแม่เรื่องที่คริสตจักรกำจัดผู้คนไปตามหลักธรรม และบนพื้นฐานของพฤติกรรมและแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา ฉันยังบอกท่านด้วยว่า การแสดงความคิดเห็นแบบนั้นเป็นการหว่านความคิดลบ แต่แม่ก็ไม่ทบทวนตนเองและดูท่าจะไม่แยแสเลย ฉันตระหนักว่าตลอดหลายปีที่แม่อยู่ในคริสตจักร ท่านไม่เคยยอมรับความจริง และไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าด้วยซ้ำ—ท่านก็เป็นแค่ผู้ปราศจากความเชื่อคนหนึ่ง ฉันไม่ได้รับรู้แก่นแท้จริงๆ ของแม่ตามพระวจนะของพระเจ้า และถึงกับเกาะเกี่ยวอยู่กับทรรศนะวิบัติของตัวเองอย่างดื้อดึง ฉันเชื่อว่า ถึงแม้ท่านไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ตราบที่ท่านไม่ได้กำลังขัดขวางและก่อกวนสิ่งต่างๆ อย่างเปิดเผย ท่านก็ยังให้การปรนนิบัติในคริสตจักรต่อไปได้ และบางทีอาจจะยังมีโอกาสแห่งความรอดอยู่ ฉันไม่ได้ตระหนักว่า ถึงแม้พวกผู้ปราศจากความเชื่ออาจจะดูภายนอกเหมือนไม่ได้ทำความประพฤติเลว แต่แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาก็ไม่ทะนุถนอม แต่กลับไม่ชอบความจริง ไม่ว่าพวกเขาคงอยู่ในคริสตจักรมานานกี่ปี พวกเขาก็จะไม่มีวันสัมฤทธิ์การแปลงสภาพอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตหรือบรรลุความรอด งานในยุคสุดท้ายของพระเจ้าคือการแสดงความจริงเพื่อชำระมนุษยชนให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด หากผู้คนไม่รักความจริง พวกเขาก็จะไม่มีวันขจัดอุปนิสัยเสื่อมทรามของตนไปได้ และในไม่ช้าพวกเขาก็จะถูกกำจัดออกไป ฉันตระหนักว่าตนเองไม่ได้เข้าใจความจริง อีกทั้งทรรศนะและความคิดความอ่านของฉันก็ช่างไร้สาระโดยแท้จริง ฉันยังฉุกคิดได้ด้วยว่า พวกผู้ปราศจากความเชื่อหว่านแนวคิดเยี่ยงปุถุชนของพวกเขาไว้ภายในคริสตจักร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ลงรอยกับพระวจนะและข้อเรียกร้องของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง พี่น้องชายหญิงผู้มีวุฒิภาวะน้อยที่ไม่ได้เข้าใจความจริงนั้นขาดวิจารณญาณ พวกเขาย่อมถูกแนวคิดเช่นนั้นทำให้หยุดชะงักและหลงผิดได้ง่าย สิ่งนี้อาจทำให้พวกเขาหมกจมอยู่ในความอ่อนแอและคิดลบ ในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ ความเชื่อของพวกเขาอาจหวั่นไหวจนอาจทำให้พวกเขาออกห่างจากพระเจ้า ผู้ปราศจากความเชื่อไม่ใช่สมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้าแต่อย่างใดเลย พวกเขาไม่ใช่พี่น้องชายหญิงของพวกเรา โดยแก่นแท้แล้วพวกเขาเป็นของมารซาตานและเป็นศัตรูของพระเจ้า หากไม่ถูกคริสตจักรชำระให้สะอาดในทันที พวกเขาย่อมจะได้แต่ก่อความวิบัติเท่านั้น แม่ของฉันเป็นผู้เชื่อมาหลายปี แต่ท่านก็ยังไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำ นับประสาอะไรกับการปฏิบัติพระวจนะเหล่านั้น ไม่ว่าฉันสามัคคีธรรมกับท่านอย่างไร ท่านก็ยังไล่ตามสิ่งทางโลกและหาเงิน รวมทั้งมีธรรมชาติที่ไม่ชอบความจริง ท่านมักจะเผยแพร่แนวคิดอย่างผู้ปราศจากความเชื่อและมโนคติอันหลงผิด รวมถึงก่อความไม่สงบให้กับชีวิตคริสตจักรอยู่บ่อยครั้ง ต่อให้ได้รับโอกาสอีกครั้ง ท่านก็คงจะไม่กลับใจอย่างแท้จริง ข้อเท็จจริงที่ว่าฉันได้พยายามปกป้องสมาชิกของคนจำพวกมารคนนี้ และต้องการที่จะโต้แย้งแทนท่านเพื่อให้ท่านสามารถอยู่ในคริสตจักรต่อไปได้นั้น แสดงให้เห็นว่าฉันสมองทึบและไม่รู้อะไรถูกอะไรผิดอย่างแท้จริง
ต่อมา ฉันบังเอิญเจอพระวจนะอีกหนึ่งบทตอนของพระเจ้า ความว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างโลกนี้และทรงนำพามนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่พระองค์ประทานชีวิตให้เข้ามาในโลก ต่อมา มนุษย์ก็มามีพ่อแม่และญาติพี่น้อง และไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป ตั้งแต่ครั้งแรกที่มนุษย์เปิดตามองโลกแห่งวัตถุ เขาก็ได้ถูกลิขิตชะตาไว้แล้วให้ดำรงอยู่ภายในการทรงลิขิตของพระเจ้า ลมปราณจากพระเจ้าสนับสนุนสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดทุกชีวิต ตลอดช่วงวัยเจริญเติบโตไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ในช่วงระหว่างกระบวนการนี้ ไม่มีใครรู้สึกว่ามนุษย์กำลังเติบโตขึ้นภายใต้การดูแลของพระเจ้า พวกเขากลับเชื่อว่ามนุษย์กำลังเติบโตภายใต้การดูแลอันเปี่ยมรักของบิดามารดาของเขา และสัญชาตญาณชีวิตของเขานั่นเองที่กำกับการเติบโตของเขา นี่เป็นเพราะว่ามนุษย์ไม่รู้ว่าผู้ใดประทานชีวิตให้เขา หรือรู้ว่าตัวเขามาจากไหน นับประสาอะไรที่จะรู้หนทางที่สัญชาตญาณชีวิตสร้างปาฏิหาริย์ เขารู้เพียงว่าอาหารคือพื้นฐานที่ช่วยให้ชีวิตดำเนินต่อไป ความพากเพียรบากบั่นคือแหล่งกำเนิดแห่งการดำรงอยู่ของเขา และความเชื่อต่างๆ ในจิตใจของเขาคือทุนที่เขาต้องอาศัยพึ่งพาเพื่อความอยู่รอด เกี่ยวกับพระคุณและการจัดเตรียมของพระเจ้านั้น มนุษย์คือไม่รับรู้อันใดเลยอย่างถึงที่สุด และดังนั้นพวกเขาจึงใช้ชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ไปอย่างสูญเปล่า… ไม่มีแม้แต่คนเดียวในมนุษยชาตินี้ที่พระเจ้าทรงดูแลทั้งวันคืน จะคิดขึ้นมาได้เองว่าจะนมัสการพระองค์ พระเจ้ายังทรงพระราชกิจต่อไปกับมนุษย์ผู้ซึ่งพระองค์ไม่เคยตั้งความคาดหวัง ก็เพียงเท่าที่พระองค์ทรงวางแผนการไว้เท่านั้น พระเจ้าทรงทำเช่นนั้นด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่ง มนุษย์จะตื่นขึ้นจากฝันของเขาและพลันตระหนักถึงคุณค่าและความหมายของชีวิต รวมถึงราคาที่พระเจ้าทรงจ่ายเพื่อทั้งสิ้นทั้งมวลที่พระองค์ได้ประทานให้เขา และความกังวลร้อนใจขณะที่พระเจ้าทรงรอคอยให้มนุษย์หันกลับมาหาพระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์) พระวจนะของพระเจ้าปลุกเร้าฉันอย่างลึกซึ้ง พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตมนุษย์ และทุกสิ่งที่ฉันมีก็ล้วนได้รับมาจากพระองค์ เป็นพระเจ้านั่นเองที่ทรงดูแลและบำรุงเลี้ยงฉันจนมาถึงวัยผู้ใหญ่ หลังจากนั้นพระเจ้าก็ประทานพระคุณแก่ฉัน เปิดโอกาสให้ฉันได้มาเฉพาะพระพักตร์พระองค์และยอมรับการให้น้ำให้เสบียงบำรุงเลี้ยงจากพระวจนะของพระองค์เพื่อให้ฉันสามารถเข้าใจความจริง รู้ความหมายของชีวิต รวมทั้งรู้วิธีประพฤติปฏิบัติตนและเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง นี่ล้วนเป็นความรักและความรอดของพระเจ้า พระเจ้าทรงลิขิตให้แม่มาเป็นผู้พิทักษ์และอุ้มชูฉันในโลกวัตถุ—ฉันควรยอมรับการดูแลของท่านจากพระเจ้า เคารพท่าน และลุล่วงบทบาทของตนเองในฐานะลูกสาวของท่าน อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นเรื่องของหลักธรรมความจริง ฉันก็ไม่อาจอยู่ใต้อิทธิพลของความผูกพันทางอารมณ์ แต่ต้องปฏิบัติความจริงและเปิดโปงทุกพฤติกรรมเยี่ยงผู้ปราศจากความเชื่อของแม่ มีเพียงทางนั้นที่จะเป็นการปฏิบัติตนอย่างมีมโนธรรมและมีเหตุผล อีกทั้งสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง หากฉันปล่อยให้ความรักใคร่ชอบพอทางเนื้อหนังมีอิทธิพลต่อวิธีประพฤติปฏิบัติตน จัดเตรียมความรักความสงสาร และปกป้องคุ้มภัยให้กับผู้ปราศจากความเชื่ออย่างแม่ของฉัน โดยไม่เหลือเผื่อแม้เศษเสี้ยวที่คำนึงถึงงานของคริสตจักร หรือถึงการที่ชีวิตคริสตจักรของเหล่าพี่น้องชายหญิงอาจถูกรบกวน โดยพลีอุทิศหลักธรรมความจริงเพื่อปกป้องสัมพันธภาพระหว่างฉันกับแม่เอาไว้ นั่นย่อมเป็นการกบฏและต้านทานพระเจ้า เมื่อนั้นเองที่ฉันจะเป็นคนที่ไร้มโนธรรมและไร้การสำนึกบุญคุณอย่างแท้จริง ครั้นตระหนักเรื่องนี้ได้ ฉันก็รู้สึกไม่ถูกเหนี่ยวรั้งและเป็นอิสระขึ้นมาก
ไม่นานหลังจากนั้น ฉันได้กลับบ้านไปทำธุระบางอย่าง รวมถึงตรวจดูแม่ระหว่างที่ฉันอยู่ในเมือง คืนนั้น ฉันได้พูดคุยกับท่านเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ท่านเป็นอยู่ และท่านก็รู้ว่าตนเองกำลังจะถูกขับออกจากคริสตจักร พอฉันพยายามที่จะสามัคคีธรรม ท่านก็เอาแต่เปลี่ยนหัวเรื่องโดยไม่ออกความคิดเห็นใดๆ เมื่อเห็นว่าแม่ไม่เสียใจกับการกระทำของตนเองแม้แต่น้อย ฉันก็ยิ่งมั่นใจว่าการที่คริสตจักรตัดสินใจขับท่านออกไปนั้นเป็นไปตามหลักธรรมทั้งสิ้น สองเดือนให้หลัง ฉันได้รับจดหมายอีกฉบับจากผู้นำคริสตจักรท้องถิ่น ที่ขอให้ฉันเพิ่มเติมรายละเอียดในการประเมินของแม่ที่ส่งไปก่อนหน้านี้ ตอนนั้นฉันคิดว่า “เป็นได้ไหมว่าพฤติกรรมที่ผิดของแม่ไม่ร้ายแรงพอที่ท่านจะถูกขับไล่? หากเป็นกรณีนั้น นั่นหมายความว่าอย่างน้อยตอนนี้ท่านก็จะยังไม่ถูกขับออกไปอย่างนั้นหรือ? แต่เมื่อสองเดือนก่อนตอนที่ฉันสามัคคีธรรมกับท่าน ท่านดูไม่เสียใจสักนิดเลย ฉันควรบอกเรื่องนี้กับผู้นำคริสตจักรไหม?” ระหว่างที่ฉันคิดเรื่องนี้วนไปวนมา พระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิดว่า “หากเจ้าเป็นใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เจ้ายังไม่ได้รับความจริงและชีวิต อย่างน้อยที่สุดเจ้าจะพูดและกระทำการจากฝั่งของพระเจ้า อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็จะไม่ยืนอยู่เฉยๆ เมื่อเจ้าเห็นว่าผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้ากำลังได้รับความเสียหาย เมื่อเจ้านึกอยากจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เจ้าก็จะรู้สึกผิด และไม่สบายใจ และจะพูดกับตนเองว่า ‘ฉันจะนั่งอยู่ตรงนี้และไม่ทำสิ่งใดเลยไม่ได้ ฉันต้องลุกขึ้นพูดอะไรสักอย่าง ฉันต้องรับผิดชอบ ฉันต้องเปิดโปงพฤติกรรมชั่วนี้ ฉันต้องหยุดยั้งสิ่งนี้ เพื่อให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าไม่เป็นอันตราย และชีวิตคริสตจักรไม่ถูกรบกวน’ หากความจริงได้กลายเป็นชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ไม่เพียงแค่เจ้าจะมีความกล้าหาญและการตัดสินใจแน่วแน่นี้ และเจ้าจะสามารถเข้าใจเรื่องนั้นอย่างครบบริบูรณ์เท่านั้น แต่เจ้ายังจะลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้าควรทำเพื่อพระราชกิจของพระเจ้าและเพื่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระองค์ด้วย และหน้าที่ของเจ้าก็จะได้รับการทำให้ลุล่วงด้วยเหตุนั้น หากเจ้าสามารถพิจารณาหน้าที่ของเจ้า เสมือนเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพัน และเสมือนพระบัญชาของพระเจ้า และเจ้ารู้สึกว่านี่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเผชิญหน้ากับพระเจ้าและมโนธรรมของเจ้า แล้วเจ้าจะไม่ใช้ชีวิตตามความสัตย์สุจริตและศักดิ์ศรีของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปรกติหรือ? ความประพฤติและพฤติกรรมของเจ้าก็คงจะเป็น ‘การยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว’ ที่พระองค์ตรัสถึง เจ้าจะปฏิบัติแก่นแท้ของพระวจนะเหล่านี้และใช้ชีวิตตามความเป็นจริงของพระวจนะเหล่านี้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) พระวจนะทำให้ฉันตระหนักได้ว่า ขณะที่ทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงนั้น ฉันต้องเอาใจใส่น้ำพระทัยของพระเจ้า รักษาระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักร และเปิดโปงเหล่าผู้ที่เปิดเผยตนว่าเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ พวกคนทำชั่ว และพวกผู้ปราศจากความเชื่อในคริสตจักร มีเพียงการทำสิ่งนี้เท่านั้นที่จะทำให้ฉันลุล่วงหน้าที่ของตนได้ ฉันนึกถึงครั้งที่ภรรยาของโยบขอให้เขาละทิ้งพระเจ้า เขาก็สามารถยืนอยู่ฝั่งพระเจ้าและว่ากล่าวภรรยาของตนว่าเป็น “หญิงโง่” ได้ โยบซื่อสัตย์ ซื่อตรง และมีแนวคิดที่ชัดเจนว่าคนเราควรรักและเกลียดสิ่งใด เขาไม่ปล่อยให้ความผูกพันทางอารมณ์เข้ามามีอิทธิพลต่อหนทางที่เขาดำเนินชีวิต ฉันด้วยเหมือนกันที่ควรละทิ้งเนื้อหนังของฉัน เปิดโปงความจริงตามที่เห็น และเอาผู้ปราศจากความเชื่อออกจากคริสตจักรโดยไม่รอช้า เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ ฉันจึงเขียนพฤติกรรมทั้งหมดของแม่เท่าที่สังเกตเห็นจากการกลับบ้านครั้งล่าสุดของฉันลงในการประเมิน แล้วไม่นาน ฉันก็ได้รับจดหมายระบุว่าแม่ของฉันถูกขับออกจากคริสตจักรเรียบร้อยแล้ว มีการเอ่ยถึงหลายพฤติกรรมที่ฉันเพิ่มเติมรายละเอียดลงไป ฉันอิ่มเอมใจที่ไม่ยอมใจอ่อนต่ออารมณ์ของตนและเสียคำพยานของฉันไป ฉันรู้สึกได้ถึงความสงบและมีเหตุผล
โดยผ่านทางประสบการณ์นี้ ฉันจึงเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นถึงวิธีที่พระเจ้าตัดสินพระทัยว่าจะทรงช่วยผู้ใดให้รอด และผู้ใดจะถูกกำจัดออกไปโดยขึ้นอยู่กับแก่นแท้ธรรมชาติและพฤติกรรมโดยรวมของพวกเขา นี่คือการสำแดงที่ชัดเจนถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พวกเราต้องไม่ปล่อยให้ความผูกพันทางอารมณ์มาปกครองหนทางที่เราปฏิบัติตนต่อผู้อื่น แต่ควรกระทำโดยมีพื้นฐานอยู่บนพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริง นี่เท่านั้นที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันสำนึกขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่ฉันสัมฤทธิ์ความเข้าใจใหม่นี้และมีความก้าวหน้าเช่นนี้
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ