อะไรกำลังกีดกันไม่ให้ฉันติดตามพระเจ้า?
ตอนนั้นเป็นเดือนธันวาคม ค.ศ. 2011 และผู้นำคริสตจักรของเราทั้งสองคนถูกจับกุม หลังรู้ข่าว ฉันกับพี่น้องชายหญิงต้องรีบจัดการกับผลพวงที่ตามมา ไม่กี่วันต่อมา ฉันก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง บอกว่าพี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรเราส่วนหนึ่งถูกตำรวจจับไม่หยุดหย่อน และบอกว่ามีคนน่าสงสัยอยู่นอกบ้านฉัน แปลว่าฉันอาจถูกสอดแนมด้วย จดหมายบอกว่าไม่ควรกลับบ้าน ควรไปที่ปลอดภัย ดูแลงานคริสตจักรจากที่นั่น พออ่านจดหมายแล้ว ฉันก็รู้สึกร้อนใจมากค่ะ คิดถึงรถตำรวจที่เทียวมาลาดตระเวนไม่กี่วันมานี้ ทั้งการสอดส่องที่มีอยู่ทุกที่ พวกเขารู้แล้วหรือว่าฉันเป็นมัคนายกคริสตจักร? มาถึงบ้านเพื่อควบคุมตัวฉันเหรอ? ฉันคิดถึงพี่น้องทุกคนที่เคยถูกจับ บ้างถูกซ้อมจนพิการ บ้างถูกซ้อมจนตาย ช่วงนั้นฉันทำงานของคริสตจักร ต้องเดินทางไปมา ถ้าถูกตำรวจตามรอยและจับกุม จะทำยังไง? ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกกลัว ถ้าถูกซ้อมจนตายจริงๆ จะได้รับความรอดและชีวิตนิรันดร์ยังไง? ฉันรู้สึกเหมือนมีหินก้อนใหญ่ทับหัวใจอยู่ ถึงกับรู้สึกหายใจลำบาก ต่อมา ฉันไปพักอยู่บ้านญาติสองสามวัน สามีพบตัวฉันและพูดว่า “ที่นี่ก็ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน คุณควรไปซ่อนตัวที่บ้านเพื่อนในจังหวัดอื่น ตำรวจรู้ว่าคุณเป็นมัคนายกที่คริสตจักร พวกเขาจะปล่อยคุณไปทำไม?” พอได้ยินที่สามีพูด ฉันก็เกิดลังเลขึ้นมาตอนนั้น หลักๆ ก็เพราะผู้นำคริสตจักรของเราถูกจับไปแล้ว แต่ยังมีงานอีกเยอะที่ต้องทำโดยด่วน แล้วถ้าตอนนั้นฉันหนีไปอีกคน ก็จะไม่เหลือใครดำเนินงานของคริสตจักรเลย แต่ว่า ถ้าฉันไม่ออกไปจากที่นั่นและถูกตำรวจจับ ก็จะถูกทรมานจนตายหรือจนพิการ ฉันจึงตัดสินใจว่าควรไปซ่อนตัวสองสามวัน แล้วค่อยกลับมาทำหน้าที่ต่อเมื่ออะไรๆ สงบลงแล้ว ฉันจึงละทิ้งหน้าที่และไปที่บ้านเพื่อนที่อีกจังหวัดค่ะ ที่จริง ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ ฉันละทิ้งหน้าที่ตนเอง นี่เป็นการทรยศต่อพระเจ้า! แต่ตอนนั้น ฉันคิดถึงความปลอดภัยของตัวเองเท่านั้น ไม่มีความเชื่อเลย และยังไม่มีความเข้าใจในธรรมชาติของสิ่งที่ทำไป
ต่อมา เพื่อนฉันกลัวถูกลากไปเกี่ยว ก็เลยจัดเตรียมให้ฉันพักในบ้านที่ทรุดโทรมนอกหมู่บ้าน บ้านหลังนั้นผุพังจนประตูปิดไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่มีอะไรให้กิน ไม่มีน้ำใช้ ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ฉันไม่มีความสุขเอามากๆ ตอนนั้นเองที่ฉันเริ่มจะไตร่ตรอง ว่าถูกไหมที่ทิ้งหน้าที่มาซ่อนตัวในอีกจังหวัด? จากนั้น ฉันได้เห็นพระวจนะนี้ค่ะ “ในปัจจุบัน มีบางคนที่ไม่แบกภาระให้กับคริสตจักร ผู้คนเหล่านี้ย่อหย่อนและเหลวไหล และสนใจแต่เนื้อหนังของพวกเขาเองเท่านั้น คนเช่นนี้เห็นแก่ตัวอย่างสุดขั้ว และพวกเขายังตาบอดอีกด้วย หากเจ้าไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน เจ้าจะไม่แบกภาระใดๆ เลย ยิ่งเจ้าใส่ใจต่อน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด ภาระที่พระเจ้าจะวางพระทัยมอบหมายให้เจ้าก็จะยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น ผู้ที่เห็นแก่ตัวไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์กับสิ่งต่างๆ ดังกล่าว พวกเขาไม่เต็มใจชดใช้ และเนื่องจากผลนั้น พวกเขาจะพลาดโอกาสเหมาะที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า พวกเขามิได้กำลังทำอันตรายตัวพวกเขาเองอยู่หรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อบรรลุความเพียบพร้อม) เมื่อได้อ่านพระวจนะ ฉันก็รู้สึกเสียดแทงหัวใจ ฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวและต่ำช้าประเภทที่พระเจ้าได้ทรงเปิดโปง ผู้นำคริสตจักรของเราถูกจับ เราต้องจัดการกับผลพวงที่ตามมาทันที ในช่วงเวลาที่สำคัญนั้น ฉันควรพึ่งพาพระเจ้าและทำงานของคริสตจักร คุ้มภัยให้พี่น้องชายหญิง แต่ฉันคิดเพียงให้ตัวเองปลอดภัย กลายเป็นคนขี้ขลาด หลบซ่อนตัวในที่ห่างไกล ละทิ้งงานของคริสตจักรไปเฉยๆ และไม่สนใจชีวิตของบรรดาพี่น้องชายหญิง นี่คือการทรยศต่อพระเจ้าอย่างร้ายแรง! ตอนนั้นเอง ฉันนึกถึงเพลงสรรเสริญพระวจนะบางท่อน “อับราฮัมได้มอบถวายอิสอัค—พวกเจ้าได้มอบถวายสิ่งใด? โยบได้มอบถวายทุกสิ่งทุกอย่าง—พวกเจ้าได้มอบถวายสิ่งใด? ผู้คนมากมายเหลือเกินได้ให้ชีวิตของพวกเขา ได้วางศีรษะของพวกเขาลง และหลั่งเลือดของพวกเขาเพื่อแสวงหาหนทางที่แท้จริง พวกเจ้าเคยได้จ่ายราคานั้นหรือไม่?” (“เจ้าได้มอบถวายสิ่งใดแด่พระเจ้า?” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ใช่ค่ะ ฉันได้ถวายอะไรแด่พระเจ้า? อับราฮัมพลีอุทิศลูกชายได้เพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย โยบมอบทุกอย่างให้พระองค์พึงพอพระทัย แล้วฉันล่ะ? ฉันกลัวถูกจับและถูกทรมานจนตาย หนีไปเพื่อความปลอดภัยของตน ฉันเป็นทหารหนีทัพที่รักตัวกลัวตายไม่ใช่เหรอคะ? ดังคำกล่าวว่า “ตระเตรียมยาวนาน สุดท้ายจึงได้ใช้” ในฐานะมัคนายกของคริสตจักร ถูกเลี้ยงดูโดยพระนิเวศมาหลายปี ในช่วงสำคัญ ฉันไม่ได้คิดถึงสิ่งที่ถูกไว้วางใจมอบหมายเลย ไม่ได้คิดเลยว่าจะดำรงงานของคริสตจักรยังไง มีแต่คิดถึงตัวเอง หวงแหนการมีอยู่ของตัวเอง และวิ่งหนีจากภยันตราย ฉันยังควรค่าให้ถูกเรียกว่ามนุษย์อีกหรือ? ฉันแว้งกัดผู้มีบุญคุณ ฉันดีไม่เท่าสัตว์ด้วยซ้ำ!
หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะอีกช่วงหนึ่ง “ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงขอสิ่งใดจากเจ้า เจ้าเพียงแค่จำเป็นต้องทำมันให้ได้ด้วยพละกำลังทั้งหมดของเจ้า และเราหวังว่าเจ้าจะสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและมอบการอุทิศสูงสุดแด่พระองค์ในบทอวสาน ตราบเท่าที่เจ้าสามารถมองเห็นรอยแย้มพระโอษฐ์แห่งความสมดังใจหมายของพระเจ้าขณะที่พระองค์ประทับบนพระบัลลังก์ของพระองค์ ต่อให้ชั่วขณะนี้เป็นเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการตายของเจ้า เจ้าก็ควรมีความสามารถที่จะหัวเราะและยิ้มได้เมื่อเจ้าหลับตาของเจ้า ในระหว่างเวลาของเจ้าบนแผ่นดินโลก เจ้าต้องทำหน้าที่สุดท้ายของเจ้าเพื่อพระเจ้า ในอดีต เปโตรได้ถูกตรึงกางเขนโดยห้อยหัวลงเพื่อประโยชน์แห่งพระเจ้า แต่เจ้าควรทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในบทอวสาน และใช้พลังงานทั้งหมดของเจ้าให้หมดไปเพื่อประโยชน์ของพระองค์ สิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างสามารถทำสิ่งใดในพระนามของพระเจ้าได้? เพราะฉะนั้น เจ้าควรยอมถวายตัวเจ้าเองต่อพระเจ้าโดยเร็วแทนที่จะเป็นภายหลัง เพื่อให้พระองค์ทรงจัดการกับเจ้าตามที่พระองค์ทรงปรารถนา ตราบเท่าที่มันทำให้พระเจ้าทรงมีความสุขและพอพระทัย ตราบนั้นก็ปล่อยให้พระองค์ทรงทำตามที่พระองค์ทรงประสงค์กับเจ้า พวกมนุษย์มีสิทธิ์อันใดที่จะกล่าวคำร้องทุกข์เล่า?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 41) ฉันรู้สึกมีกำลังใจจากพระวจนะ รู้สึกควรถูกติเตียน ฉันคิดถึงการที่เปโตรหนีออกจากคุก ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏแก่เขา ตรัสว่าจะทรงถูกตรึงกางเขนอีกเพื่อเขา พระวจนะนั้นทำให้เปโตรเข้าใจว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนไปครั้งหนึ่งแล้วเพื่อไถ่มวลมนุษย์ ฉันจะปล่อยให้ทรงถูกตรึงกางเขนอีกไม่ได้ ทรงสละชีวิตเพื่อเรา ครั้งนี้ ฉันควรสละชีวิตบ้าง” เปโตรจึงกลับไปที่คุกโดยที่ไม่ลังเล สุดท้ายจึงขอถูกตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้า เปโตรสละชีวิตเพื่อพระเจ้าได้ แล้วฉันล่ะ? ในสภาพแวดล้อมที่อันตรายเล็กน้อย ฉันก็ละทิ้งพระบัญชาหนีไปไกล จะบอกว่ามีมโนธรรมสักนิดได้ยังไง? ฉันติดตามพระเจ้ามาหลายปี ได้รับพระวจนะของพระองค์มากมาย แต่ก็ยังทรยศพระเจ้าในช่วงเวลาที่สำคัญ ไม่เหมาะจะมีชีวิตอยู่หน้าพระพักตร์ ฉันคุกเข่า อธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อกลับใจว่า “พระเจ้า! ข้าพระองค์ผิด ละทิ้งหน้าที่เพื่อประโยชน์ความปลอดภัยของตน ข้าพระองค์เห็นแก่ตัวและต่ำช้า! ข้าพระองค์ไม่ขอคิดถึงประโยชน์ตนอีกต่อไป แต่ขอเรียนรู้จากเปโตร ทำสิ่งที่ทรงไว้วางใจมอบหมายจนเสร็จสิ้น แม้ต้องตาย” หลังจากนั้น ฉันกลับไปที่คริสตจักร น้องสาวคนหนึ่งเห็นฉันแล้วพูดว่า “วันนี้ เราได้รับคำเทศนาจากพระเจ้าอันล่าสุดมาค่ะ ฉันไม่รู้ว่าต้องติดต่อใครเพื่อส่งคำเทศนาไปให้พี่น้องชายหญิงของเรา กำลังร้อนใจแล้วคุณก็กลับมาพอดี” เมื่อได้ยินน้องสาวคนนั้นพูด ฉันก็รู้สึกดีใจมากที่กลับมาทันเวลา ฉันไม่ได้ทำให้งานของคริสตจักรเสียหายมากเกินไป ฉันรีบหารือกับน้องสาวถึงการจัดเตรียมบุคลากรที่เหมาะสม เพื่อส่งคำเทศนาให้พี่น้องได้ทันเวลา จากนั้นมา ฉันก็ไม่ขี้ขลาดเหมือนที่เคยเป็นมาเวลาทำหน้าที่ค่ะ
หลังผ่านสภาพแวดล้อมนั้นมา ฉันคิดว่าได้รับความเชื่อบ้างแล้ว แต่ฉันกลับเผชิญอีกสถานการณ์และถูกเปิดโปงอีก วันหนึ่ง น้องโจว เพื่อนร่วมงานบอกว่า “บ้านที่เก็บเงินของคริสตจักรหลายหลังกำลังมีภัย” แล้วเธอก็ให้ขนย้ายเงินไปยังที่ปลอดภัยกว่า เมื่อนึกถึงรถตำรวจที่ลาดตระเวนไปทั่ว ฉันรู้สึกกลัวเล็กน้อย กังวลว่าตำรวจอาจกำลังเฝ้าดูที่บ้านอยู่ ถ้าฉันถูกตามรอยและจับกุมขณะขนย้ายเงินล่ะ? ฉันอดคิดไม่ได้ว่า “ฉันเป็นมัคนายก ถ้าถูกจับ ต้องถูกทรมานอย่างแน่นอน โอกาสรอดออกมาจะเป็นศูนย์ จะได้ความรอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ยังไง?” เมื่อคิดเรื่องนี้ซ้ำไปมา ก็มีแต่อยากหดหัว รู้สึกว่าการทำหน้าที่นี้จะอันตรายไป ในขณะนั้นเอง ฉันนึกถึงประสบการณ์ครั้งก่อนของฉัน เพราะฉันเห็นแก่ตัวและต่ำช้าไป ทำแต่เพื่อความปลอดภัยตัว เกือบทำให้งานแห่งพระนิเวศล่าช้า ฉันเตือนตัวเองไม่ให้เดินบนเส้นทางความล้มเหลวนั้นอีก แต่จะพึ่งพาอาศัยพระเจ้า ทำหน้าที่สำคัญนี้ให้เสร็จสิ้น เมื่อฉันคิดได้แบบนั้นแล้ว ก็ไม่รู้สึกร้อนใจต่อไปมากนักค่ะ ในเวลานั้นฉันมักจะสงสัยว่า “ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ทำไมฉันถึงเอาแต่กลัวถูกจับถูกทรมานจนตายนะ?” ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าว่า “เริ่มจากวันนี้ เราจะปล่อยให้ผู้คนทั้งหมดเริ่มรู้จักเรา—พระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว ผู้ได้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้ได้ทรงมาท่ามกลางพวกมนุษย์และได้ทรงถูกพวกเขาปฏิเสธและใส่ร้ายป้ายสี และผู้ทรงควบคุมและทรงจัดการเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างให้ครบถ้วนบริบูรณ์ กษัตริย์ผู้ทรงกำกับดูแลราชอาณาจักร พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงบริหารจัดการระบบจักรวาลทั้งหลาย และยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าผู้ทรงควบคุมชีวิตและความตายของพวกมนุษย์ และผู้ทรงถือกุญแจแห่งแดนคนตาย เราจะปล่อยให้พวกมนุษย์ทั้งหมด (ผู้ใหญ่และเด็ก ไม่ว่าพวกเขาจะมีวิญญาณหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนโง่หรือมีความพิการหรือไม่ ฯลฯ) รู้จักเรา เราจะไม่ให้ผู้ใดมีข้ออ้างไปจากกิจนี้ มันเป็นงานที่หนักหน่วงที่สุด เป็นกิจที่เราได้ตระเตรียมอย่างดีและเป็นกิจที่กำลังถูกดำเนินการให้เสร็จสิ้น โดยเริ่มตั้งแต่บัดนี้เลย สิ่งที่เราพูดจะต้องทำ จงเปิดดวงตาฝ่ายวิญญาณของเจ้าให้กว้าง จงทิ้งมโนคติที่หลงผิดเฉพาะตัวของเจ้าไปเสีย และจงระลึกรู้ว่าเราเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวผู้ทรงบริหารจักรวาล! เราไม่ถูกซ่อนเร้นจากผู้ใด และเราดำเนินประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราจนเสร็จสิ้นกับทุกคน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 72) เมื่ออ่านพระวจนะ ฉันรู้สึกละอายใจมาก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงอธิปไตยเหนือจักรวาล ทรงควบคุมชะตากรรม ชีวิตและความตายอยู่ในพระหัตถ์ ทั้งหมดคือการจัดการเตรียมการของพระองค์ แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจพระมหิทธิฤทธิ์และอธิปไตย เวลาปฏิบัติหน้าที่ ฉันคิดถึงแต่ชีวิตของตัวเองเท่านั้น กลัวจริงๆ ว่าจะตกอยู่ในมือตำรวจและถูกทรมานจนตาย ไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าสักนิดด้วยซ้ำ วุฒิภาวะของฉันน้อยเกินไปมากๆ ฉันเป็นคนที่เกาะเกี่ยวชีวิตอย่างขี้ขลาด อยากหนีตลอดเมื่อเผชิญหน้าที่อันตราย ถ้าถูกจับและทรมานจริงๆ ฉันคงจะทรยศพระเจ้าและกลายเป็นยูดาสแน่ๆ สุดท้ายก็จะถูกส่งลงนรกเป็นการลงโทษ พอได้ตระหนักรู้ ฉันก็รู้สึกกลัวมากจริงๆ ค่ะ
ต่อมา ฉันเจอพระวจนะอีกส่วนว่า “เมื่อผู้คนพร้อมที่จะพลีอุทิศชีวิตของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นไม่สลักสำคัญ และไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้ สิ่งใดจะสามารถสำคัญกว่าชีวิตได้? ด้วยเหตุนั้น ซาตานจึงกลายเป็นไม่สามารถทำสิ่งใดมากขึ้นอีกในผู้คน ไม่มีสิ่งใดที่มันสามารถทำกับมนุษย์ ถึงแม้ว่าในคำนิยามของ ‘เนื้อหนัง’ มีการกล่าวว่าเนื้อหนังถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม หากผู้คนยอมมอบตัวพวกเขาเองอย่างแท้จริง และไม่ถูกซาตานขับดัน เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 36) พระวจนะช่วยให้ฉันรู้ว่าจุดตายของฉันคือกลัวตายเสมอมา ซาตานใช้จุดอ่อนในเนื้อหนังฉันโจมตีฉัน ทำให้ฉันทรยศต่อพระเจ้า ซึ่งจะนำให้ฉันถูกทำลายไปพร้อมมัน ซาตานช่างน่ารังเกียจและชั่วมาก! ชีวิตและความตายฉันอยู่ใต้อธิปไตยพระเจ้า ถึงซาตานจะป่าเถื่อนแค่ไหน ถ้าพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต มันก็ไม่กล้าทำอะไรฉัน ฉันต้องนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียง ฝากชีวิตไว้กับพระเจ้า ถึงถูกพรรคฯ ทรมานจนตายก็ต้องยืนหยัด เป็นคำพยานและสรรเสริญพระองค์ ฉันคุกเข่าอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าฯ ขอฝากชีวิตไว้ที่พระองค์ ทรงจัดวางเรียบเรียงว่าจะอยู่หรือตาย โปรดทรงตรวจสอบหัวใจข้าฯ ด้วยเถิด”
ในขณะนั้น ฉันคิดถึงพระวจนะเพิ่มเติมว่า “ในฐานะสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และคริสตชนผู้เปี่ยมศรัทธา พวกเราทุกคนล้วนมีความรับผิดชอบและภาระผูกพัน ที่จะต้องถวายร่างกายและจิตใจเพื่อเติมเต็มพระบัญชาของพระเจ้าให้สำเร็จบริบูรณ์ ด้วยเหตุที่การเป็นอยู่ของพวกเราทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นล้วนมาจากพระเจ้า และดำรงอยู่ได้ก็ด้วยอำนาจอธิปไตยของพระเจ้า หากร่างกายและจิตใจของเรามิได้มีไว้เพื่อพระบัญชาของพระเจ้าและไม่ได้เป็นไปเพื่อเหตุอันชอบธรรมของมวลมนุษย์แล้วไซร้ ดวงวิญญาณของพวกเราจะรู้สึกไม่ควรค่าต่อผู้คนซึ่งได้ยอมพลีชีพเพื่อพระบัญชาของพระเจ้าเลย และยิ่งไม่มีค่าพอต่อพระเจ้าผู้ได้ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งไว้ให้กับพวกเรา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง) จากพระวจนะ การที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างตายเพื่อกิจที่ทรงมอบหมาย คือสิ่งที่มีความหมายที่สุด เมื่อคิดถึงสาวกและอัครทูตที่ติดตามองค์พระเยซูเจ้า หลายคนยอมพลีชีพในระหว่างเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แต่พระเจ้าทรงจดจำการตายพวกเขา พวกเขาตายในเนื้อหนัง แต่วิญญาณอยู่ต่อไป ถ้าเป็นยูดาสและทรยศพระเจ้าเพราะกลัวตาย ก็จะทรงลงโทษและเราก็ตาย นั่นคือความตายที่แท้ เราจะลงนรก และนั่นคือการทนทุกข์นิรันดร์ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด” (มัทธิว 16:25) ในสภาพแวดล้อมที่เกรี้ยวกราด ทางพรรคฯ มัวเมากดขี่จับกุมผู้คน พระเจ้าทอดพระเนตรดูท่าทีฉัน ทรงดูว่าฉันจะเสี่ยงตายให้ทรงพอพระทัย และเป็นพยานต่อหน้าซาตานไหม ถ้าละทิ้งหน้าที่และทรยศพระเจ้าเพราะกลัวตาย ฉันก็เป็นแค่ซากศพที่เดินได้ ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า ประกาศทรยศเนื้อหนัง และพึ่งพาพระองค์เพื่อบรรลุหน้าที่ค่ะ ขณะที่กำลังขนย้ายเงินของคริสตจักร ฉันร้องเพลงสรรเสริญพระวจนะอยู่เงียบๆ ค่ะ “เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—แน่นอนว่าเจ้าควรนมัสการพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย เนื่องจากเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าควรสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์ทุกอย่าง! เจ้าควรยินดีและแน่ใจยอมรับความทุกข์เล็กน้อยที่เจ้าต้องมีในวันนี้ และใช้ชีวิตที่มีความหมาย ดังเช่นโยบ และเปโตร พวกเจ้าคือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาหนทางที่ถูกต้อง คือบรรดาผู้ที่แสวงหาการปรับปรุง พวกเจ้าคือผู้คนที่ลุกขึ้นในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกขานว่ามีความชอบธรรม นั่นไม่ใช่ชีวิตที่มีความหมายมากที่สุดหรอกหรือ?” (“ชีวิตอันเปี่ยมความหมายที่สุด” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ยิ่งร้องเพลงนี้ ฉันก็ยิ่งซาบซึ้ง ในฐานะสิ่งทรงสร้าง การได้ทำหน้าที่ของตนเอง คือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด การใช้ชีวิตทางนี้คือชีวิตที่มีความหมาย พระเจ้าทรงสรรเสริญ ถึงตอนนั้น ฉันไม่รู้สึกขลาดและกลัวอีกแล้ว ขนย้ายเงินของคริสตจักรได้โดยไม่มีเคราะห์ร้าย ตอนนี้ฉันสงบและได้รับการชูใจโดยสมบูรณ์ค่ะ หลังจากนั้น ด้วยการทรงนำ ฉันก็ขนย้ายทรัพย์สินและหนังสือแห่งพระนิเวศได้ปลอดภัยหลายครั้งค่ะ
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ