ประโยชน์ที่ได้รับผ่านความทุกข์ยาก

วันที่ 07 เดือน 12 ปี 2022

ช่วงปลายปี 2019 ญาติคนหนึ่งแบ่งปันข่าวประเสริฐของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายกับผม ผมเห็นว่าพระวจนะเปี่ยมสิทธิอำนาจ และเป็นความจริง ผมรู้สึกเหมือนนี่คือพระสุรเสียง จึงยอมรับงานใหม่ของพระเจ้าด้วยความยินดี ผมอ่านพระวจนะทุกวัน และไม่อยากพลาดการชุมนุมสักครั้ง บางที สัญญาณเน็ตหรือเครื่องจ่ายไฟมีปัญหาแถวบ้านผมมีปัญหา จนเข้าชุมนุมออนไลน์ไม่ได้ ผมก็จะหัวเสียมาก แต่หลังจากนั้นผมจะรีบอ่านรายละเอียดการชุมนุม แล้วส่งความเข้าใจพระวจนะเข้าไปในกลุ่ม เข้าสนิทกับเหล่าพี่น้อง และทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ

ผ่านไปสักพัก ผมก็ถูกเลือกเป็นผู้นำคริสตจักร ทีแรก ผมแบ่งความรับผิดชอบในงานของคริสตจักรกับผู้นำอีกสองคน เลยไม่รู้สึกว่ามันยากหรือเครียดเกินไปนัก ผ่านไปไม่นาน ผมก็ถูกเลือกให้ไปดูแลงานของหลายคริสตจักร ในตอนแรก ผมไม่อยากทำหน้าที่นี้ เพราะผมรู้สึกว่า ผมมาทำหน้าที่ผู้นำได้ไม่นาน แถมยังมีข้อเสียมากมาย และมีหลายอย่างที่ไม่เข้าใจ ผมเลยกังวลว่า จะทำหน้าที่นี้ได้ไม่ดี ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะที่ว่า “โนอาห์ได้ฟังเพียงไม่กี่ข้อความ และในเวลานั้นพระเจ้าไม่ได้ทรงแสดงพระวจนะมากมาย และดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าโนอาห์ย่อมไม่เข้าใจความจริงหลายประการ เขาไม่ได้จับใจความวิทยาศาสตร์สมัยใหม่หรือความรู้สมัยใหม่ เขาเป็นคนธรรมดาเหลือเกิน เป็นสมาชิกที่ไม่น่าสนใจจดจำของเผ่าพันธุ์มนุษย์ กระนั้นในแง่มุมหนึ่ง เขากลับไม่เหมือนผู้อื่นใด กล่าวคือ เขารู้ว่าต้องรับฟังพระวจนะของพระเจ้า เขารู้วิธีติดตามและยึดปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า เขารู้ว่าที่ตั้งของมนุษย์คืออะไร และเขามีความสามารถที่จะเชื่อและเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง—ไม่มีอะไรอื่นนอกเหนือจากนั้น หลักความเชื่ออันเรียบง่ายสองสามอย่างเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเปิดโอกาสให้โนอาห์สำเร็จลุล่วงทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงไว้วางใจมอบหมายต่อเขา และเขาก็ได้พากเพียรบากบั่นในการนี้ไม่ใช่เป็นเวลาแค่สองสามเดือน ทั้งยังไม่ใช่เป็นเวลาหลายปี ทั้งยังไม่ใช่เป็นเวลาหลายทศวรรษ แต่เป็นเวลากว่าศตวรรษ ตัวเลขนี้ไม่น่าทึ่งหรอกหรือ? นอกจากโนอาห์แล้วใครหรือที่สามารถทำเช่นนี้ได้? (ไม่มีใครเลย) แล้วเหตุใดจึงไม่ล่ะ? ผู้คนบางคนพูดว่านั่นก็เนื่องมาจากการไม่เข้าใจความจริง—แต่นั่นไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง โนอาห์เข้าใจความจริงกี่ประการ? เหตุใดโนอาห์จึงสามารถทำทั้งหมดนี้ได้? ผู้เชื่อทุกวันนี้ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมาย พวกเขาพอเข้าใจความจริงอยู่บ้าง—ดังนั้นเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้? ผู้อื่นพูดว่านั่นเป็นเพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน—แต่โนอาห์มิได้มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมิใช่หรือ? เหตุใดโนอาห์จึงสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้ แต่ผู้คนสมัยนี้กลับทำไม่ได้? (เพราะผู้คนในวันนี้ไม่เชื่อพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาทั้งไม่ปฏิบัติต่อพระวจนะเหล่านั้นและไม่ยึดปฏิบัติตามพระวจนะเหล่านั้นในฐานะที่เป็นความจริง) แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าในฐานะที่เป็นความจริง? เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถยึดปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า? (พวกเขาไม่มีความยำเกรงพระเจ้าเลย) ดังนั้นเมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง และยังไม่ได้ยินความจริงมากมาย ความยำเกรงพระเจ้าเกิดขึ้นอย่างไรหรือ? ในสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คนนั้นต้องมีสองสิ่งซึ่งล้ำค่าที่สุดปรากฏอยู่ กล่าวคือ สิ่งแรกนั้นคือมโนธรรม และสิ่งที่สองคือสำนึกแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ การครองมโนธรรมและสำนึกแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติเป็นมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับการเป็นบุคคล นั่นเป็นมาตรฐานขั้นต่ำและเป็นพื้นฐานที่สุดสำหรับการประเมินวัดบุคคล แต่สิ่งนี้กลับขาดหายไปจากผู้คนในวันนี้ และดังนั้นไม่สำคัญว่าพวกเขาได้ยินและเข้าใจความจริงมากเพียงใด ความยำเกรงพระเจ้าย่อมอยู่เลยพ้นพวกเขา ดังนั้น สิ่งใดหรือคือความแตกต่างในแก่นแท้ของผู้คนในวันนี้เมื่อเปรียบเทียบกับโนอาห์? (พวกเขาไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ใดเลย) แล้วสิ่งใดหรือคือแก่นแท้ของการขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์นี้? (สัตว์เดียรัจฉานและปีศาจ) ‘สัตว์เดียรัจฉานและปีศาจ’ ฟังดูไม่ดีนัก แต่นี่อยู่ในแนวเดียวกันกับข้อเท็จจริง วิธีพูดถึงสิ่งนี้อย่างสุภาพมากขึ้นก็คือพวกเขาไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ ผู้คนที่ไร้สภาวะความเป็นมนุษย์และไร้สำนึกย่อมไม่ใช่คน พวกเขาอยู่ต่ำกว่าสัตว์เดียรัจฉานด้วยซ้ำไป การที่โนอาห์สามารถทำพระบัญชาของพระเจ้าจนสำเร็จสมบูรณ์ได้ก็เพราะเมื่อโนอาห์ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า เขาก็สามารถจดจำพระวจนะเหล่านั้นได้ สำหรับเขาแล้ว พระบัญชาของพระเจ้าคือภาระหน้าที่ชั่วชีวิต ความเชื่อของเขาไม่สั่นคลอน เจตจำนงของเขาไม่เปลี่ยนแปลงอยู่หนึ่งร้อยปี นี่เป็นเพราะเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เขาคือคนจริง และเขามีสำนึกสูงสุดว่าพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เขาสร้างหีบนั้น ผู้คนที่มีสำนึกมากเท่ากับโนอาห์หาได้ยากมาก การหาโนอาห์ให้พบอีกสักคนหนึ่งก็ย่อมจะยากมาก(พระวจนะฯ เล่ม 3 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, บทความเสริม สอง: วิธีที่โนอาห์และอับราฮัมฟังพระวจนะของพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ (ภาคที่หนึ่ง)) โนอาห์ไม่เคยฟังข้อความที่ลึกซึ้ง และไม่เข้าใจความจริงหลายอย่าง แต่เขามีหัวใจที่ยำเกรง และเชื่อฟังพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงบอกโนอาห์ว่าใช้จะน้ำท่วมกวาดล้างมนุษยชาติ และให้เขาสร้างเรือ โนอาห์ก็ตอบรับโดยไม่ลังเลเลย โนอาห์รู้ว่า พระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เขาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการสร้างเรือนั้นต้องโค่นต้นไม้ และทำการวัดอย่างแม่นยำ แต่ถึงโครงการนี้จะทั้งใหญ่และยาก โนอาห์ก็ไม่คิดถอย เพราะรู้ว่า นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบัญชาแก่เขา พอไตร่ตรองพระวจนะ ผมก็ตระหนักว่า ผมไม่มีความเป็นมนุษย์ หรือสำนึกของโนอาห์เลย พอผู้นำให้ผมรับผิดชอบงานของหลายคริสตจักร ผมก็ไม่มีความเชื่อในพระเจ้า และพึ้งพาแต่ความสามารถของตัวเอง ผมรู้สึกว่าความสามารถในการทำงานมีจำกัด ผมเป็นผู้นำคริสตจักรมาไม่นาน แถมยังมีข้อเสียมากมาย ผมกังวลว่าจะทำได้ไม่ดี เลยไม่เต็มใจยอมรับหน้าที่นี้ ผมไม่มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างโนอาห์ ไม่มีหัวใจที่ยำเกรง และเชื่อฟังพระเจ้า นับประสาอะไรกับความเป็นมนุษย์ หรือสำนึกที่โนอาห์มี พอตระหนักเรื่องนี้ได้ ผมก็เลิกกังวล และเต็มใจจะเชื่อฟัง และยอมรับหน้าที่เหมือนโนอาห์

อย่างไรก็ตาม พอผมเริ่มทำงาน ผมก็เจอปัญหาใหม่ ผมพบว่ามีงานที่ต้องทำมากมาย อย่างเช่น ผมต้องตั้งสติกับสภาวะของพี่น้องชายหญิง เกื้อหนุนคนที่ไม่ได้มาชุมนุมตามปกติ หาคำตอบว่าผู้คนมีความยากลำบากใดในหน้าที่ แล้วสามัคคีธรรมเพื่อแก้ไข ช่วยให้ผู้คนรู้วิธีทำหน้าที่ และอื่นๆ ทั้งหมดนี้คือความรับผิดชอบที่ผมต้องแบกรับ พอเจอปัญหาพวกนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าต้องเริ่มตรงไหน ผมไม่รู้ว่าจะทำงานนี้ให้ดียังไง และรู้สึกเครียดสุดๆ ความยากลำบากเหล่านี้ทำให้ผมคิดลบ และแค่อยากบอกผู้นำว่า ผมรู้สึกไม่เหมาะกับหน้าที่นี้ เพราะผมไม่มีประสบการณ์ และมีความยากลำบากมากมาย ต่อมา ผู้นำก็รู้ถึงสภาวะของผม และส่งพระวจนะบทตอนหนึ่งมาช่วย ผมได้อ่านพระวจนะที่ว่า “ย้อนกลับไปตอนที่พระเจ้าทรงส่งโมเสสไปนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ ปฏิกิริยาที่โมเสสมีต่อการที่พระเจ้าประทานพระบัญชาเช่นนี้แก่เขาคืออะไร? (เขากล่าวว่าเขาไม่มีคารมคมคาย ทั้งยังพูดจาไม่เก่ง) เขามีสิ่งนั้น ซึ่งก็คือความแคลงใจเล็กน้อย ว่าเขาไม่มีคารมคมคาย ทั้งยังพูดจาไม่เก่ง แต่เขาต้านทานพระบัญชาของพระเจ้าหรือไม่? เขาปฏิบัติต่อพระบัญชาอย่างไร? เขาทิ้งตัวหมอบราบ การทิ้งตัวหมอบราบหมายถึงสิ่งใด? หมายถึงการนบนอบและยอมรับ เขาหมอบราบทั้งกายเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ไม่คำนึงถึงความชอบส่วนตัวของตน และความลำบากยากเย็นใดๆ ที่ตนเองมี เขาก็ไม่เอ่ยถึง ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงให้เขาทำสิ่งใด เขาจะทำสิ่งนั้นทันที เหตุใดเขาจึงสามารถยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าแม้ในเวลาที่เขารู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้? เพราะเขามีความเชื่อที่แท้จริงอยู่ในตัวเขา เขามีประสบการณ์มาบ้างแล้วกับอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือทุกสิ่งและทุกเรื่อง และในช่วงเวลาสี่สิบปีที่เขามีประสบการณ์ เขาได้รู้ว่าอธิปไตยของพระเจ้านั้นเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ ดังนั้นเขาจึงยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าด้วยความกระตือรือร้น และเริ่มลงมือทำสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาให้เขาทำโดยไม่ลังเล ที่กล่าวว่าเขาเริ่มลงมือหมายความว่ากระไร? หมายความว่าเขาเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และพึ่งพาพระองค์อย่างแท้จริง และนบนอบพระองค์อย่างแท้จริง เขาไม่ใช่คนขลาด และเขาไม่ได้เลือกด้วยตนเองหรือพยายามที่จะปฏิเสธ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเขากลับมีความเชื่อใจอย่างเต็มเปี่ยม และเขาเริ่มลงมือกระทำการตามพระบัญชาที่พระเจ้ามีแก่เขา เปี่ยมไปด้วยความเชื่อ ความเชื่อของเขาก็คือ ‘หากพระเจ้าทรงบัญชาให้ทำดังนี้ เช่นนั้นแล้วทั้งหมดนี้ย่อมจะสำเร็จตามที่พระเจ้าตรัส พระเจ้าตรัสบอกให้ฉันนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ ดังนั้นฉันจะไป ในเมื่อนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชา พระองค์ย่อมจะเสด็จไปทรงพระราชกิจ และพระองค์จะประทานเรี่ยวแรงแก่ฉัน ฉันเพียงต้องให้ความร่วมมือเท่านั้น’ นี่คือความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่โมเสสมี…รูปการณ์แวดล้อมในเวลานั้นไม่เอื้ออำนวยต่อคนอิสราเอลหรือต่อโมเสส การนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ตามที่มนุษย์คิดเห็นย่อมเป็นเพียงกิจที่เป็นไปไม่ได้เท่านั้น เพราะอียิปต์มีทะเลแดงขวางกั้นอยู่ และการข้ามทะเลแดงก็ยังคงเป็นความท้าทายอีกประการหนึ่ง โมเสสไม่อาจรู้ได้จริงๆ หรือว่าการทำให้พระบัญชานี้ลุล่วงลำบากยากเย็นเพียงใด? ในหัวใจของเขา เขารู้ แต่เขากลับพูดเพียงว่าเขาพูดจาไม่เก่ง ว่าจะไม่มีผู้ใดสนใจคำพูดของเขา หัวใจของเขาไม่ได้ปฏิเสธพระบัญชาของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าตรัสบอกโมเสสให้นำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ เขาหมอบราบและยอมรับพระบัญชา เหตุใดเขาจึงไม่เอ่ยถึงความลำบากยากเย็นต่างๆ? ใช่เพราะหลังจากสี่สิบปีที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร เขาก็ไม่รู้ถึงภัยทั้งหลายในโลกมนุษย์ หรือไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆ ในอียิปต์ดำเนินไปไกลถึงไหนแล้ว หรือไม่รู้ถึงสถานการณ์อันเลวร้ายของคนอิสราเอลในห้วงเวลานั้นกระนั้นหรือ? เขาไม่อาจมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้อย่างชัดเจนกระนั้นหรือ? นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่ โมเสสฉลาดและมีปัญญา เขารู้ทั้งหมดนั้นเพราะได้เห็น ก้าวผ่าน และมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านั้นในโลกของมนุษย์มาแล้ว และเขาจะไม่มีวันลืมสิ่งเหล่านั้น เขารู้ทั้งหมดนั้นเป็นอย่างดียิ่ง ดังนั้นเขารู้หรือไม่ว่าพระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เขาลำบากยากเย็นเพียงใด? (รู้) หากเขารู้ เขาสามารถยอมรับพระบัญชานั้นได้อย่างไร? เขามีความเชื่อ ด้วยประสบการณ์ที่เขามีมาตลอดชีวิต เขาจึงเชื่อในมหิทธานุภาพของพระเจ้า ดังนั้นเขาจึงยอมรับพระบัญชาครั้งนี้ของพระเจ้าด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อและไม่กังขาแม้แต่น้อย…จงบอกเราสิว่าในช่วงสี่สิบปีที่เขาอยู่ในถิ่นทุรกันดาร โมเสสสามารถมีประสบการณ์หรือไม่ว่าในพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดลำบากยากเย็น ว่ามนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า? เป็นเช่นนั้นจริงๆ—นั่นคือประสบการณ์ที่จริงแท้ที่สุดของเขา ในช่วงสี่สิบปีที่เขาอยู่ในถิ่นทุรกันดาร มีหลายสิ่งเหลือเกินที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต และเขาไม่รู้ว่าเขาจะรอดตายจากสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ ทุกวันเขาย่อมจะดิ้นรนต่อสู้เพื่อชีวิตของตนและอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อขอการปกป้อง นั่นคือความปรารถนาเพียงประการเดียวของเขา ในช่วงสี่สิบปีนั้น สิ่งที่เขามีประสบการณ์ด้วยอย่างลึกซึ้งที่สุดคืออธิปไตยและการปกป้องของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เมื่อเขายอมรับพระบัญชาของพระเจ้าในเวลาต่อมา ความรู้สึกแรกของเขาจึงต้องเป็นว่าไม่มีสิ่งใดลำบากยากเย็นในพระเจ้า หากพระเจ้าตรัสว่าสามารถทำได้ เช่นนั้นแล้วก็สามารถทำได้อย่างแน่นอน ในเมื่อพระเจ้ามีพระบัญชาเช่นนั้นแก่ฉัน พระองค์ย่อมจะทรงดูแลเรื่องนี้ให้อย่างแน่นอน—เป็นพระองค์ที่จะทรงทำสิ่งนั้น หาใช่มนุษย์คนใดไม่ ก่อนลงมือกระทำการ มนุษย์ต้องวางแผนและเตรียมการล่วงหน้า เขาต้องจัดการขั้นตอนเบื้องต้นทั้งหลายเสียก่อน พระเจ้าต้องทรงทำสิ่งเหล่านี้ก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำการหรือไม่? พระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงทำเช่นนั้น สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกชนิดไม่ว่าจะมีอิทธิพลเพียงใด ไม่ว่าจะมีความสามารถหรือมีพลังอำนาจเพียงใด ไม่ว่าจะบ้าคลั่งเพียงใด ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า โมเสสมีความเชื่อ ความรู้ และประสบการณ์ในเรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่มีความกังขาหรือความกลัวอยู่ในหัวใจของเขาแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ ความเชื่อที่เขามีในพระเจ้าจึงแท้จริงและบริสุทธิ์เป็นพิเศษ อาจกล่าวได้ว่าเขามีความเชื่ออย่างเต็มเปี่ยม(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ด้วยการเชื่อฟังที่แท้จริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีความเชื่อที่จริงแท้) การอ่านพระวจนะทำให้ผมตระหนักว่า ผมคือคนขี้ขลาดที่ไม่วางใจ และไม่เชื่อในพระเจ้า พระเจ้าทรงเลือกโมเสส ให้นำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ พวกเขาจะได้เลิกถูกกดขี่ โมเสสไม่มีกองทัพที่จะสู้กับฟาโรห์ และการทำพระบัญชานี้ให้เสร็จสิ้นก็ยากมาก แต่โมเสสก็สามารถเชื่อฟังพระวจนะ และเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงนำประชากรของพระองค์ออกจากอียิปต์ด้วยพระองค์เอง พอย้อนมองตัวเองอีกที ผมก็เห็นงานหลายอย่างที่ผมทำไม่ได้ ผมเลยอยากละทิ้งหน้าที่นี้ เพราะผมรู้สึกว่ากดดันมาก หน้าที่นี้เป็นภาระกับผม และผมทำให้เสร็จไม่ได้ ผมไม่วางใจในพระเจ้า และไม่มีความเชื่อในพระเจ้า ผมเชื่อแต่ความสามารถที่จำกัดของตัวเอง ผมคิดว่าการที่ผมทำหน้าที่ได้ดี เกี่ยวกับขีดความสามารถและประสบการณ์ของผม ผมไม่เชื่อว่าทุกงานสำเร็จเพราะพระเจ้า เราแค่เป็นตัวสมทบ ผมมันโอหังจริงๆ ที่จริง พระเจ้าทรงอนุญาต ผมถึงทำหน้าที่นั้นได้ ทุกอย่างพระเจ้าทรงควบคุมและจัดเตรียม ผมต้องมีความเชื่อ เพื่อที่จะร่วมมือได้จริง นับแต่นี้ไป ผมจะปฏิเสธหน้าที่นี้อีกไม่ได้ ผมเชื่อว่าตราบใดที่ผมพึ่งพาพระเจ้าและหวังให้พระองค์ทรงช่วย พระองค์ย่อมจะทรงนำและช่วยเหลือผม เปิดโอกาสให้ผมเรียนรู้ความจริงในความยากลำบากทุกรูปแบบ ทำความเข้าใจหลักธรรมทั้งหลาย การทำหน้าที่นี้เผยให้เห็นว่าผมขาดพร่องความเชื่อ และช่วยชดเชยข้อบกพร่องของผม เปิดโอกาสให้ผมก้าวผ่านสถานการณ์ต่างๆ มากขึ้นและเข้าใจความจริง นี่คือพรของพระเจ้า

ที่เวเนซุเอลา น้ำ ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และเศรษฐกิจต่างมีปัญหา บางครั้ง เราต้องทำงานหนักกว่าปกติเพื่อจุนเจือครอบครัว ทุกวัน ผมกับพ่อจะออกไปหาปลากันตั้งแต่ตีสาม กว่าจะกลับก็ราวสามสี่โมงเย็น ผมรู้สึกว่าการลอยอยู่ในทะเลทั้งวันมันเหนื่อยมาก แต่พอกลับถึงบ้าน ผมก็ไม่อยากพัก เพราะยังมีอีกหลายอย่างในหน้าที่ ที่ผมทำไม่ได้ และผมต้องใช้เวลามากขึ้นเพื่อศึกษา เตรียมตัว และชดเชยข้อเสียของตัวเอง จะได้ทำหน้าที่ได้เหมาะสม ถ้าผมไม่ทำหน้าที่ให้ดี ผมคงทำให้พระเจ้าผิดหวัง ผมคิดถึงเหล่าธรรมิกชนในยุคพระคุณ พวกเขาติดตามองค์พระเยซูเจ้า เผยแผ่ข่าวประเสริฐ ทำหน้าที่ ก้าวผ่านความยากลำบากและอันตรายมากมาย และทนทุกข์สาหัส แล้วสิ่งที่ผมทนทุกข์เล็กน้อย จะเทียบได้ยังไง? เพราะฉะนั้น สิ่งแรกที่ผมทำตอนกลับบ้านในแต่ละวัน คือหยิบโทรศัพท์ และดูว่าได้รับมอบหมายงานอะไรบ้าง ผมยังส่งข้อความหาเหล่าพี่น้อง ถามว่าพวกเขามีความยากลำบากไหม ถ้ามีคนไม่รู้วิธีทำหน้าที่ของตัวเอง ผมก็จะช่วยเหลือ และเล่าว่าขณะทำหน้าที่ผมเรียนรู้อะไรบ้าง ผมเริ่มเรียนรู้ ที่จะพึ่งพาพระเจ้าในการทำหน้าที่ และเมื่อเหล่าพี่น้องประสบกับความยากลำบาก ผมก็จะอธิษฐานให้พระเจ้าทรงนำ และทรงทำให้ผมเจอพระวจนะที่จะช่วยพวกเขา หลังแบ่งปันพระวจนะ และสามัคคีธรรมประสบการณ์และความเข้าใจไป สภาวะของพวกเขาก็พอจะฟื้นคืนมาบ้าง ในระหว่างการช่วยเหลือเหล่าพี่น้อง ผมก็ยังได้รับอะไรบ้าง และความเข้าใจความจริงของผม ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นกว่าเดิม การประสบกับเรื่องนี้ทำให้ผมเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นความยากลำบากอันใด ตราบใดที่พวกเราพึ่งพาพระเจ้าอย่างจริงใจ พระองค์ก็จะทรงนำพวกเราเสมอ ถึงจะเจอความยากลำบากทุกวัน ผมก็ไม่อ่อนแอเหมือนตอนแรกแล้ว แต่ไม่นาน ผมก็เจออีกหนึ่งปัญหาใหญ่

เพราะแถวบ้านผมสัญญาณเน็ตไม่ดี ผมเลยไม่มีทางเข้าชุมนุมหรือสื่อสารกับเหล่าพี่น้องได้เป็นปกติ และไม่มีทางที่จะทำหน้าที่ได้ ผมรู้ว่านี่เป็นปัญหาที่อยู่เหนือการควบคุม ผมเลยอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่นาน ขอให้ทรงนำผมผ่านเรื่องนี้ หลังจากนั้น ผมก็ค่อยๆ สงบใจลง ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะที่ว่า “เมื่อเจ้าอยู่ในจุดต่ำสุดของเจ้า เมื่อเจ้าสามารถรู้สึกถึงพระเจ้าได้น้อยที่สุด เมื่อเจ้าเจ็บปวดที่สุดและรู้สึกโดดเดี่ยวที่สุด เมื่อเจ้ารู้สึกว่าเจ้าอยู่ไกลจากพระเจ้า—สิ่งหนึ่งที่เจ้าควรทำอย่างยิ่งคืออะไร? คือการขอให้พระเจ้าทรงช่วย เมื่อเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เจ้าย่อมแข็งแกร่ง เมื่อเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถรู้สึกได้ว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ เมื่อเจ้าขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เจ้าจะสามารถรู้สึกถึงการปกครองของพระองค์ เมื่อเจ้าขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า อธิษฐานถึงพระเจ้า และวางชีวิตของเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ เจ้าจะสามารถรู้สึกถึงพระองค์ข้างตัวเจ้า รู้สึกว่าพระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเจ้า เมื่อเจ้ารู้สึกว่าพระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเจ้า เมื่อเจ้าสามารถรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าพระเจ้าประทับอยู่ข้างตัวเจ้า ความเชื่อของเจ้าย่อมเป็นเช่นไร? กาลเวลาที่ผ่านเลยจะสามารถลบล้างความเชื่อนั้นได้หรือไม่? ไม่สามารถลบได้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ด้วยการเชื่อฟังที่แท้จริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีความเชื่อที่จริงแท้) เวลาเจอเรื่องยาก จงร้องหาพระเจ้าด้วยใจ แล้วคุณจะมีความเชื่อและความเข้มแข็ง มนุษย์มีความสามารถที่จำกัด เราไม่มีวิธีการที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ไกลกว่ามุมมองการเห็น เราจึงมักจะกลัวความยากลำบากที่เกิดขึ้นต่อหน้า พระเจ้าทรงปกครองทุกสิ่ง ตราบใดที่เราพึ่งพาพระองค์อย่างจริงใจ พระเจ้าจะทรงนำและช่วยเหลือเราในการทำหน้าที่ พระวจนะมอบความเชื่อและความเข้มแข็งให้ผม ผมไม่อาจล้มเหลวในการทำหน้าที่ เมื่อเจอกับความยากลำบากมากมาย ผมต้องอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า เพื่อก้าวผ่านความยากลำบากเหล่านี้ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ยิ่งหนักขึ้น ผมเลย เริ่มออกไปตามถนนเพื่อหาจุดที่สัญญาณเน็ตเสถียรขึ้น ที่จะทำให้ผมเข้าชุมนุมได้ตามปกติ บางครั้งเวลาจัดการชุมนุม ผมจะออกไปที่ถนนราวสองทุ่ม แล้วกลับเข้าบ้านเกือบห้าทุ่มหลังชุมนุมเสร็จ ระหว่างทางกลับบ้าน ผมรู้สึกกลัวมาก เพราะผมอยู่ในย่านที่อันตรายของเกาะมาร์การิตา และผมกลัวจะมีใครมากระชากโทรศัพท์ผมไป จนทำให้ผมชุมนุมหรือทำหน้าที่ต่อไปไม่ได้ ผมมักอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอทรงมอบความเข้มแข็ง ให้ผมยืนหยัดท่ามกลางความยากลำบาก ในไม่ช้า ผมก็ได้รับข้อความหนึ่ง พี่น้องชายคนหนึ่งรู้ถึงสถานการณ์ของผม และเป็นฝ่ายส่งข้อความมาหาผมว่า “พี่ครับ ผมรู้ว่าคุณกำลังเผชิญกับช่วงที่ยากลำบาก และต้องออกไปที่ถนนยามวิกาลเพื่อทำหน้าที่ นี่เป็นเรื่องอันตรายมาก ผมมีจักรยาน ถ้าคุณต้องใช้ก็มายืมที่ผมได้ คุณจะได้ไปไหนมาไหนง่ายขึ้น” ผ่านความยากลำบากเหล่านี้ ผมได้เรียนรู้มากมาย รวมถึงการพึ่งพาพระเจ้า ผมได้มาตระหนักว่า พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง และทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมให้ทุกคน ตลอดประสบการณ์ ผมได้เห็นการกระทำของพระเจ้าจริงๆ และตอนนี้ความเชื่อของผมก็แข็งแกร่งขึ้น เมื่อคนอื่นเผชิญความยากลำบากอย่างที่ผมเจอ ผมก็แบ่งปันพระวจนะและสามัคคีธรรมประสบการณ์บางส่วนเพื่อช่วยเหลือพวกเขา และมอบความเชื่อในพระเจ้าให้พวกเขา

แต่ละวันหลังกลับจากหาปลา ผมจะอยู่บ้านและอ่านพระวจนะ แล้วพอถึงเวลาชุมนุม ผมก็จะขับจักรยานออกไปที่ถนน เพื่อหาที่ที่มีสัญญาณเน็ตดีๆ ทุกครั้งที่ผมอธิษฐานถึงพระเจ้า ผมก็อธิษฐานให้ทรงนำผม ในการทำหน้าที่ให้ดีขึ้น ผมเลิกกังวลกับสถานการณ์ยากๆ ของตัวเอง ผมแค่อยากทำหน้าที่ให้ดี ให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้า ต่อให้ต้องเผชิญความยากลำบากยิ่งกว่านี้ ผมก็เต็มใจที่จะเชื่อฟังอธิปไตยและการทรงจัดเตรียม เพื่อประสบกับสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ผม และสนองพระทัย ผ่านไปสักระยะ พี่น้องชายหญิงก็ช่วยผมหาบ้านที่เหมาะสม ที่มีอินเทอร์เน็ตที่เสถียรกว่า ผมขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เพราะการอยู่ที่นี่ ผมเลยทำหน้าที่ได้ดีขึ้น และภายใต้การทรงนำ ผมก็คืบหน้าในหน้าที่อย่างมาก ไม่กี่วันก่อน ผู้นำบอกผมอีกว่า ผมจะต้องรับผิดชอบงานที่ยิ่งเยอะขึ้น ภาระของผมจะยิ่งใหญ่ขึ้น ผมจะต้องดูงานที่ยิ่งมากขึ้น มีเหล่าพี่น้องที่ยิ่งเยอะขึ้น แต่ผมไม่กังวลหรือพร่ำบ่นอีกต่อไป ตราบใดที่ผมยังวางใจและพึ่งพาพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงนำ และทรงช่วยให้ผมทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม

พระเจ้าตรัสว่า “ยิ่งเจ้าใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งแบกภาระยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น และยิ่งภาระที่เจ้ามียิ่งใหญ่ขึ้นเท่าใด ประสบการณ์ของเจ้าก็จะยิ่งมั่งคั่งขึ้นเท่านั้น เมื่อเจ้าใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงมอบภาระให้แก่เจ้า แล้วจากนั้นก็จะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าเกี่ยวกับภารกิจซึ่งพระองค์วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ เมื่อพระเจ้าทรงมอบภาระนี้แก่เจ้า เจ้าก็จะสนใจความจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องขณะที่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าไปด้วย หากเจ้ามีภาระที่เกี่ยวข้องกับสภาพชีวิตของพี่น้องชายหญิงของเจ้า เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นภาระที่พระเจ้าได้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ และเจ้าก็จะแบกภาระนี้ไว้กับตัวในการอธิษฐานประจำวันของเจ้าเสมอ เจ้ามีสิ่งที่พระเจ้าทรงทำอยู่กับตัวแล้ว และเจ้าเต็มใจทำสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำ นี่คือความหมายของการแบกภาระของพระเจ้าเสมือนเป็นภาระของเจ้าเอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อบรรลุความเพียบพร้อม)ในหลายกรณี บททดสอบของพระเจ้าคือภาระที่พระองค์ทรงมอบแก่ผู้คน ไม่ว่าภาระที่พระเจ้าประทานให้แก่เจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด นั่นคือน้ำหนักของภาระที่เจ้าควรดำเนินการ เพราะพระเจ้าเข้าพระทัยเจ้า และทรงรู้ว่าเจ้าจะมีความสามารถที่จะแบกรับมัน ภาระที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่เจ้าจะไม่มากเกินกว่าวุฒิภาวะของเจ้าหรือขีดจำกัดความอดทนของเจ้า ดังนั้น จึงไม่มีคำถามเลยว่าเจ้าจะมีความสามารถที่จะแบกรับมันหรือไม่ ไม่สำคัญว่าภาระที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้ามีลักษณะใด บททดสอบเป็นประเภทใด จงจำไว้สิ่งหนึ่งว่า เจ้าเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ ว่าเจ้าได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์หลังจากที่เจ้าอธิษฐานหรือไม่ ว่าบททดสอบคือการที่พระเจ้าทรงบ่มวินัยเจ้าหรือตักเตือนเจ้า นั่นไม่สำคัญหากว่าเจ้าไม่เข้าใจ ตราบเท่าที่เจ้าไม่รอช้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน และสามารถปฏิบัติตามหน้าที่ของเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ พระเจ้าก็จะพึงพอพระทัย และเจ้าจะตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หนทางข้างหน้ามีอยู่แต่ในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและตรึกตรองความจริงเป็นนิจเท่านั้น) การอ่านพระวจนะทำให้ผมเข้าใจว่า พระเจ้าจะไม่ทรงมอบภาระที่เราแบกรับไม่ไหว พระเจ้าทรงรู้วุฒิภาวะและสิ่งที่เราทำได้ ยิ่งเราเต็มใจที่จะเอาใจใส่น้ำพระทัย และยิ่งมีภาระในหน้าที่มากเท่าไหร่ ประสบการณ์ของเราก็จะยิ่งมั่งคั่ง ความเข้าใจในนามพระทัยของเราก็จะยิ่งลึกซึ้ง ผมต้องอธิษฐานต่อพระเจ้า เพื่อยอมรับภาระนี้ด้วยความจริงใจและเชื่อฟัง เพื่อให้แสวงหาความจริงในความยากลำบากได้ และเพื่อแสวงหาน้ำพระทัยเบื้องหลังทุกสิ่ง เพราะใจผมด้านชา ผมมีมโนคติอันหลงผิดมากมาย ผมยังด้อยวุฒิภาวะ และขาดความเชื่อในพระเจ้า การก้าวผ่านความยากลำบากเหล่านี้ ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่า ในเวลาที่ยากลำบาก ผมรู้จักตัวเองและการกระทำของพระเจ้าให้ดีขึ้นได้ และมีความเชื่อในพระเจ้ามากขึ้นได้ ตอนที่ผมเพิ่งเริ่มทำหน้าที่นี้ ผมแทบไม่อธิษฐานต่อพระเจ้า และไม่แสวงหาการทรงนำ ผมเอาแต่พยายามพึ่งพาความสามารถของตัวเองเพื่อทำหน้าที่ และไม่มีความเชื่อในพระเจ้า พอได้อ่านพระวจนะ และได้มาเข้าใจน้ำพระทัย ผมก็ได้รับความเชื่อ และทำงานหนักในหน้าที่ ผมมักจะอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า รวมถึงแสวงหาและเข้าสนิทกับเหล่าผู้นำ จนได้รู้หลักธรรมที่เกี่ยวกับการทำหน้าที่ รวมถึงเส้นทางและแนวทางบางอย่างในการทำงานของคริสตจักร การก้าวผ่านสิ่งเหล่านี้ ทำให้ผมไม่อยู่ในสภาวะคิดลบอีกต่อไป และไม่รู้สึกว่า ผมทำความรับผิดชอบและภาระที่พระเจ้าทรงมอบให้ผมไม่ได้ เมื่อสิ่งต่างๆ มาถึงผมในแต่ละวัน ผมก็เรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริง แข็งขันปฏิบัติหน้าที่อย่างเหมาะสม และเมื่อเจอความยากลำบาก ผมก็อธิษฐานต่อพระเจ้า และพระองค์ก็ทรงนำและช่วยให้ผมก้าวผ่านสภาพแวดล้อมและเรื่องยากลำบากทั้งหลายไปได้ ผมไม่รู้สึกว่าปัญหาหรือความเครียดของผมมันหนักหนาแล้วด้วย ถ้าผมไม่ได้ก้าวผ่านความยากลำบากเหล่านี้ ผมคงไม่ได้รับความรู้แจ้งจากพระเจ้า คงไม่มีความรู้หรือความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า ไม่ต้องพูดถึงประสบการณ์ที่แท้จริงเลย แบบนั้น ผมคงทำหน้าที่ให้ถูกต้องเหมาะสมไม่ได้ การก้าวผ่านสถานการณ์เหล่านี้ ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่า พระเจ้าทรงกำลังฝึกผม ทรงทำให้ผมแบกรับพระบัญชาและภาระที่ยิ่งมากขึ้นได้ ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาก พระองค์ทำให้ผมตระหนักว่า ความรักของพระองค์อยู่ในสถานการณ์ที่ผมเจอในแต่ละวัน ความทุกข์ที่ผมก้าวผ่าน ก็เป็นส่วนหนึ่งในความรักของพระเจ้า ตอนนี้ผมเข้าใจที่พระวจนะกล่าวแล้วว่า “ยิ่งเจ้าใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งแบกภาระยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น และยิ่งภาระที่เจ้ามียิ่งใหญ่ขึ้นเท่าใด ประสบการณ์ของเจ้าก็จะยิ่งมั่งคั่งขึ้นเท่านั้น” ผมโหยหาที่จะแบกรับภาระมากขึ้น เพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า

ตอนนี้ เวเนซุเอลามีความยากลำบากมากมายทางเศรษฐกิจ บริการสาธารณะ และอินเทอร์เน็ต ถึงบางครั้งผมจะรู้สึกเครียด ผมก็เรียนรู้ที่จะพึ่งพาและแสวงหาพระเจ้า จะมีความเชื่อในพระองค์ ถ้าผมไม่ได้ประสบกับความยากลำบากเหล่านี้ ผมคงไม่เข้าใจความสำคัญของการทำหน้าที่ หรือวิธีแสวงหาพระเจ้าท่ามกลางความยากลำบาก ผมขอบคุณพระเจ้าที่ทรงจัดเตรียมสถานการณ์ยากๆ ซึ่งทำให้ผมได้รับความรู้ และประโยชน์เหล่านี้

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger