ผลแห่งการแบ่งปันข่าวประเสริฐ
ไม่นานมานี้ ฉันได้พบคริสเตียนชาวฟิลิปปินส์ชื่อเทเรซาทางออนไลน์ พอได้รู้จัก ฉันก็เห็นว่าเธอมีความเชื่อที่แท้จริงในองค์พระผู้เป็นเจ้า เธอบอกว่า ไม่ได้อะไรจากการปรนนิบัติที่คริสตจักรเลย แถมยังเห็นผู้เชื่อ ติดตามกระแสทางโลกกันมากขึ้นเรื่อยๆ คริสตจักรของเธอช่างรกร้าง เธออยากหาที่ที่มีงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอยังบอกด้วยว่าอยากอ่านพระวจนะให้มากขึ้น รู้จักพระองค์ และใช้ชีวิตใหม่ พอเห็นความถวิลหาทางจิตวิญญาณนั้น ฉันก็อยากแบ่งปันข่าวประเสริฐกับเธอจริงๆ เพื่อให้เธอได้ยินพระสุรเสียง และเข้าร่วมในพระนิเวศของพระเจ้า ครั้งหนึ่ง ฉันถามเธอ ว่าเธอต้องการอะไรจากความเชื่อ เธอตอบว่า “ฉันต้องการไปสู่ราชอาณาจักร และอยู่กับพระเจ้าไปชั่วนิรันดร์ แต่ฉันเป็นคนบาป และไม่คู่ควรกับราชอาณาจักรของพระองค์” ฉันบอกเธอ ว่าถ้าอยากเข้าไป เราต้องเข้าใจมาตรฐานสำหรับราชอาณาจักรของพระเจ้าก่อน และถามว่า เธออยากเรียนรู้เพิ่มไหม เธอพูดอย่างตื่นเต้นมากว่า “อยากสิคะ!” ฉันเห็นว่าเธอคือผู้เชื่อแท้จริง ที่อยากแสวงหา ฉันจึงตั้งใจแบ่งปันคำพยานเรื่องงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า แต่ตอนนั้นเธอต้องกลับไปทำงานแล้ว เราเลยต้องจบบทสนทนาไว้แค่นั้น
เธอยุ่งอยู่กับงานที่ต้องสะสาง ทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ยันดึกดื่น พอเสร็จงาน เธอก็หมดแรงและอยากพัก แต่ละอาทิตย์ เธอใช้เวลาที่มีอันน้อยนิดไปทำงานปรนนิบัติที่คริสตจักร เราเลยไม่มีโอกาสได้คุยกันมากนัก เกือบทุกครั้งที่ติดต่อไป เธอจะอยู่ที่ทำงาน เราจึงไม่มีเวลาพูดคุยกันเลย ผ่านไปสักพัก ฉันก็เริ่มหมดกำลังใจ ฉันคิดว่า เราต้องสื่อสารกันทางออนไลน์ เพราะเราไม่ได้อยู่ประเทศเดียวกัน ถ้าเกิดเธอไม่มีเวลาเข้าระบบมา ฉันจะแบ่งปันงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้ากับเธอได้ยังไง ฉันเริ่มคิดว่าคงช่วยอะไรไม่ได้ และควรลืมไปซะ อาจมีคนอื่นแบ่งปันข่าวประเสริฐกับเธอก็ได้ ตอนที่กำลังจะล้มเลิก ฉันก็นึกถึงสิ่งที่พระเจ้าเคยตรัสไว้ “เจ้าได้ตระหนักรู้ถึงภาระบนบ่าของเจ้า พระบัญชาสำหรับเจ้า และความรับผิดชอบของเจ้าหรือไม่? สำนึกรับรู้แห่งภารกิจประวัติศาสตร์ของเจ้าอยู่ที่ไหน? เจ้าจะทำหน้าที่ในฐานะของเจ้านายคนหนึ่งในยุคถัดไปอย่างพอเหมาะพอควรได้อย่างไร? เจ้ามีสำนึกรับรู้อันแรงกล้าต่อสถานะแห่งความเป็นนายหรือไม่? เจ้าจะอธิบายถึงเจ้านายแห่งสรรพสิ่งอย่างไร? สิ่งนั้นคือเจ้านายเหนือสิ่งสร้างซึ่งมีชีวิตทั้งมวลและเหนือสรรพสิ่งทางกายภาพในโลกนี้จริงๆ หรือ? แผนการของเจ้าสำหรับความก้าวหน้าของงานระยะต่อไปคืออะไร? มีผู้คนมากเพียงใดที่กำลังรอคอยให้เจ้าเป็นผู้เลี้ยงของพวกเขา? งานของเจ้าเป็นงานหนักหรือไม่? พวกเขาอ่อนด้อย น่าสงสาร ตาบอดและหลงทางพลางกำลังร้องคร่ำครวญอยู่ในความมืดมิด—หนทางนั้นอยู่แห่งใด? พวกเขาช่างโหยหาความสว่างนั้นเหลือเกิน ความสว่างซึ่งเหมือนดาวตก ที่พลันตกลงมาและขับไล่อำนาจแห่งความมืดที่บีบคั้นมนุษย์มานานหลายปีเหลือเกิน ใครเลยจะสามารถรู้ว่าพวกเขาตั้งความหวังอย่างกระวนกระวายใจ และร่ำร้องหาสิ่งนี้ทั้งกลางวันและกลางคืนมากมายสักเพียงไหน? แม้กระทั่งในวันที่ความสว่างนั้นส่องแสงวาบผ่านไปแล้ว ผู้คนที่ทุกข์ทนอย่างล้ำลึกเหล่านี้ก็ยังคงถูกจองจำอยู่ในคุกใต้ดินอันมืดมิดโดยไม่มีหวังว่าจะได้รับการปลดปล่อยเลย เมื่อไรที่พวกเขาจะไม่ต้องร่ำไห้อีกต่อไป? ที่เลวร้ายก็คือความโชคร้ายของจิตวิญญาณอันเปราะบางเหล่านี้ไม่เคยได้รับอนุญาตให้พักผ่อนเลย และพวกเขาได้ถูกพันธนาการอยู่ในสภาวะนี้โดยพันธะซึ่งไร้ปรานีและประวัติศาสตร์อันเยือกเย็นเป็นเวลาเนิ่นนานเหลือเกิน และใครกันเล่าที่ได้สดับฟังเสียงร้องคร่ำครวญของพวกเขา? ใครกันเล่าที่ได้มองดูสภาพอันน่าเวทนาของพวกเขา? เจ้าเคยฉุกคิดบ้างหรือไม่ว่าพระหทัยของพระเจ้าโทมนัสและกระวนกระวายเพียงใด? พระองค์ทรงทนเห็นมวลมนุษย์ซึ่งไร้เดียงสา ผู้ที่พระองค์ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองต้องทนทุกข์ทรมานเยี่ยงนี้ได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม เหล่ามนุษย์ก็คือเหยื่อซึ่งถูกวางยาพิษ และถึงแม้ว่ามนุษย์จะรอดชีวิตมาได้จนถึงเวลานี้ ใครเล่าที่จะรู้ว่ามวลมนุษย์ได้ถูกมารวางยาพิษมานานแล้ว? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าก็เป็นหนึ่งในเหยื่อเหล่านั้นด้วย? ด้วยความรักที่มีต่อพระเจ้า เจ้าไม่เต็มใจที่จะเพียรพยายามช่วยผู้ที่รอดชีวิตมาได้เหล่านี้ให้รอดหรอกหรือ? เจ้าไม่เต็มใจที่จะอุทิศพลังงานทั้งหมดที่มีเพื่อการตอบแทนพระเจ้าผู้ทรงรักมวลมนุษย์เฉกเช่นเลือดและเนื้อหนังของพระองค์เองหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรจะทำภารกิจในอนาคตของเจ้าอย่างไร?) พอใคร่ครวญพระวจนะดู ฉันก็รู้สึกแย่มาก ฉันยังไม่ได้แบ่งปันข่าวประเสริฐกับเธอ อย่างสุดความสามารถ และยังไม่ได้บอกเธอด้วยซ้ำ ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว เธอเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงใจ และปรารถนาจะเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ แต่จิตวิญญาณเธอมืดมิด ขาดการค้ำจุน ตอนที่เธอต้องการความช่วยเหลือ ฉันก็กลับยอมแพ้ในตัวเธอ แล้วเมื่อไหร่เธอจะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ตอนนี้ความวิบัติกำลังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าฉันไม่เป็นพยานให้งานของพระเจ้าเดี๋ยวนั้น เธอก็อาจพลาดความรอดไป พอคิดแบบนี้แล้ว ฉันยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม เลยอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้เพราะพระองค์ ถ้าเธอเป็นแกะของพระองค์ ข้าพระองค์ก็อยากทำให้สุดกำลัง เพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐ โปรดทรงนำข้าพระองค์ที” หลังอธิษฐานจู่ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ว่า ถึงเธอมีเวลาน้อย แต่ฉันนัดเวลาล่วงหน้าเพื่ออธิษฐานร่วมกันได้ ฉันเลยถามเธอเรื่องนี้ และเธอก็ตอบตกลงทันที เราเลยนัดกันราวตีห้าในตอนเช้า ตอนนั้น ฉันก็ยุ่งอยู่กับหน้าที่มาก ทำงานยันตีสองตีสามทุกคืน ฉันเลยคิดว่า ฉันคงแทบไม่ได้นอนถ้าต้องตื่นเช้าขนาดนั้น แต่ก็บอกตัวเองว่า ถ้าฉันมัวห่วงความสบายทางกาย มันคงทำให้การมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของเทเรซาล่าช้าออกไป ฉันรู้ว่านั่นเป็นเรื่องผิด ฉันจำได้ว่า พระเจ้าตรัสไว้ว่า “เนื้อหนังนั้นเป็นของซาตาน ภายในตัวมันคือความอยากอันฟุ้งเฟ้อ มันคิดเพียงเพื่อตัวมันเองเท่านั้น มันต้องการที่จะชื่นชมการชูใจและสำราญไปกับเวลาว่าง เกลือกกลิ้งในความเกียจคร้านและการอยู่เฉย และเมื่อได้ตอบสนองความต้องการของมันจนถึงจุดหนึ่งที่แน่นอนแล้ว ท้ายที่สุดเจ้าก็จะถูกมันกินจนหมด” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) ฉันรู้ว่า การสนองทางเนื้อหนัง หมายถึงการสนองซาตาน ฉันคงล้มเหลวในการให้คำพยานและทำหน้าที่ และเสียโอกาสเป็นพยานให้งานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันจึงอธิษฐาน พร้อมจะหันหลังให้เนื้อหนัง ยอมลำบากในการแบ่งปันข่าวประเสริฐกับเธอมากขึ้น และนำเธอเข้ามาสู่พระนิเวศของพระเจ้า เราเริ่มพบปะกัน เพื่ออธิษฐานรอบเช้าตรู่ และเมื่อฉันอธิษฐานอย่างจริงใจให้กับเธอ หวังว่าเธอจะมีเวลา มาสามัคคีธรรมตามพระวจนะของพระเจ้าด้วยกันมากขึ้น เธอก็พูดอย่างจริงจังมากว่า “ฉันรู้สึกได้ว่าคุณจริงใจแค่ไหน ขอบคุณสำหรับคำอธิษฐานนะคะ ฉันตื่นตันมากจริงๆ” การได้ยินเธอพูดแบบนี้ มันอบอุ่นหัวใจมาก และฉันได้เห็นว่า ใครที่จริงใจ ผู้คนย่อมรับรู้ได้จริงๆ ฉันตั้งปณิธานกับพระเจ้าเงียบๆ ว่าฉันจะพาเทเรซา เข้าสู่พระนิเวศของพระองค์ให้ได้ ฉันเลย แนะนำเธอไป ว่าให้เราหาเวลามาสามัคคีธรรม ตามพระคัมภีร์ด้วยกัน เธอตกลง และหาเวลามาสามัคคีธรรมครึ่งชั่วโมงทุกวัน และย้ำว่า เธออยากรู้ว่าจะเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ยังไง
เราคุยกันเรื่องนั้น ตอนสามัคคีธรรมกันในวันถัดมา ฉันพูดว่า “ผู้เชื่อทุกคนล้วนอยากเข้าสู่ราชอาณาจักร แล้วเราจำเป็นต้องทำยังไง เราก็ต้องเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้’ (มัทธิว 7:21) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชัดเจนมาก กุญแจสำคัญของการเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ คือการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า การทำตามน้ำพระทัยหมายความว่ายังไง หากพูดให้ง่าย การทำตามน้ำพระทัย ก็คือการนำเอาพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปฏิบัติ และทำตามพระบัญชา คือการเอาตัวเราห่างจากบาป นำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ รัก และนบนอบต่อพระเจ้าจากหัวใจ คนที่โกหก ทำบาป และต่อต้านพระเจ้าเสมอ ขัดต่อข้อพึงประสงค์ ย่อมไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ แล้วพวกเขาคู่ควรกับการได้เข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์หรือ” เธอตอบว่า “ไม่ เราโกหกและทำบาปด้วยคำพูดอยู่ตลอด และคนอีกมากมาย ก็กำลังติดตามกระแสทางโลก ไล่ตามเงินทอง เราไม่ได้นมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริง แม้แต่ศิษยาภิบาลก็ไม่เว้น เราจะเข้าสู่ราชอาณาจักรในทางนั้นได้ยังไง” ฉันตอบว่า “ใช่ เราได้รับการไถ่โดยองค์พระเยซูเจ้า และบาปของเราก็ได้รับการอภัย แต่เรายังโกหกและทำบาปอยู่ตลอด เราทำบาปตอนกลางวัน สารภาพบาปตอนกลางคืน พระคัมภีร์บอกว่า ‘ถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย’ (ฮีบรู 12:14) แบบนี้ เราก็ไม่คู่ควรกับราชอาณาจักรเลย แต่เราต่างรู้ ว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ ทรงต้องการให้ทุกคนถูกช่วยให้รอด และเข้าสู่ราชอาณาจักร และใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างของพระองค์ แล้วพระเจ้าทรงบันดาลให้สิ่งนี้เกิดกับเราได้ยังไง พระคัมภีร์บอกว่า ‘พระคริสต์ก็ฉันนั้น คือพระองค์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียวเป็นพอ เพื่อจะได้ทรงแบกบาปของคนจำนวนมากไว้ แล้วพระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อนำความรอดมาให้บรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยใจจดจ่อ’ (ฮีบรู 9:28) พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาอีกครั้งในยุคสุดท้าย เพื่อช่วยเราให้รอด เพื่อปลดปล่อยเราจากพันธนาการแห่งบาปโดยสมบูรณ์ ทำให้เราเป็นผู้ที่นบนอบและทำตามน้ำพระทัย เราจะได้รับการช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ และเข้าสู่ราชอาณาจักรได้” เธอตื่นเต้นมากที่ได้ยินสิ่งนี้ และพูดว่า “ฉันอยากเลิกทำบาปค่ะ ว่าแต่พระเจ้าทรงช่วยเราให้รอดจากบาปได้ยังไงคะ” ฉันส่งข้อพระคัมภีร์ให้เธอไปสองสามข้อ นี่คือข้อแรก “ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง” (ยอห์น 17:17) แล้วก็ “และในพระหัตถ์ขวาของพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น ข้าพเจ้าเห็นหนังสือม้วนหนึ่งซึ่งเขียนไว้ทั้งข้างในและข้างนอก และมีตราผนึกอยู่เจ็ดดวง และข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์องค์หนึ่ง ประกาศด้วยเสียงดังว่า ‘ใครเป็นผู้ที่สมควรเปิดหนังสือม้วนและแกะตราของมันออก?…นี่แน่ะ สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ ซึ่งเป็นรากเหง้าของดาวิด ทรงมีชัยชนะแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถเปิดหนังสือและแกะตราทั้งเจ็ดดวงได้’” (วิวรณ์ 5:1-5) ฉันพูดว่า “พระเจ้าตรัสไว้ว่า จะทรงใช้ความจริงเพื่อชำระมนุษยชาติ ในวิวรณ์และพระธรรมดาเนียลต่างก็กล่าว ว่าหนังสือปิดผนึก จะถูกเปิดในยุคสุดท้าย หนังสือนี้ กล่าวถึงพระวจนะใหม่ที่พระเจ้าทรงดำรัสในยุคสุดท้าย และนี่คือความจริง ที่จะชำระมวลมนุษย์ มีเพียงพระเจ้าพระองค์เอง ที่เปิดผนึกหนังสือนี้ และแสดงความจริงเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในยุคสุดท้าย ทรงดำรัสความจริงมากมาย เพื่อชำระให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลงเรา เพื่อช่วยเราให้รอดจากบาป หนังสือวิวรณ์กล่าวถึงอยู่หลายครั้งด้วยว่า ‘ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย’ (วิวรณ์ บทที่ 2, 3) พระเจ้าจะตรัสกับคริสตจักรทั้งหลายในยุคสุดท้าย เราแค่ต้องเงี่ยหูฟังพระสุรเสียง เราไม่อาจต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ เว้นแต่ได้ยินพระสุรเสียง และนี่คือโอกาสเดียว ที่เราจะถูกชำระให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอด เพื่อคู่ควรที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักร”
พอสามัคคีธรรมถึงตรงนี้ เทเรซาก็ถามว่า “ทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้าต้องดำรัสพระวจนะใหม่ในยุคสุดท้าย ฉันอ่านพระคัมภีร์มาทั้งชีวิต ซึ่งมอบความเชื่อและสอนอะไรฉันมากมาย สอนให้ฉันอดทน อดกลั้น และให้อภัย ฉันรู้สึกว่า แค่พระคัมภีร์ก็พอ แถมศิษยาภิบาลของเราก็พูดอยู่เสมอ ว่าพระวจนะของพระเจ้า ล้วนอยู่ในพระคัมภีร์ สิ่งที่อยู่นอกพระคัมภีร์ย่อมไม่ใช่” ฉันได้เห็นว่า เทเรซามีมโนคติอันหลงผิดบางอย่าง เรื่องการตรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าในยุคสุดท้าย เห็นว่าเธอไม่ยอมรับ ฉันเลยไม่ได้หักล้างสิ่งที่เธอพูดไปตรงๆ ฉันแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเองค่ะ บอกว่า “ฉันก็เคยคิดแบบนั้น คิดว่าทุกอย่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสอยู่ในพระคัมภีร์ และไม่มีพระวจนะใหม่อยู่นอกเหนือจากนั้น แต่ต่อมา ฉันได้ยินพี่ชายคนหนึ่งพูดถึงสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ มันทำให้ฉันมองต่างไปเลย องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล’ (ยอห์น 16:12-13) นั่นคือสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับสาวกของพระองค์ในตอนนั้น พระองค์ตรัสว่า ยังมีสิ่งที่อยากแบ่งปันอีกมากมาย แต่ผู้คนขาดวุฒิภาวะ และยังไม่อาจฟังได้ตอนนั้น พระองค์จึงต้องตรัสเพิ่มเติมในยุคสุดท้าย เพื่อนำผู้คนให้เข้าใจและเข้าไปสู่ความจริงทั้งปวง เราจะได้เป็นอิสระจากพันธนาการแห่งบาป และถูกช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์” แล้วฉันก็นึกถึงตัวอย่างดีๆ ที่จะแบ่งปันกับเธอขึ้นมาได้ “ลองนึกถึงเด็กเล็กๆ ดูสิคะ ตอนที่เขายังเด็ก และแม่กำลังสอนให้เขารู้จักเดินและพูด เธอจะบอกให้เขา ทำมาหากินดีๆ จะได้เลี้ยงดูพ่อแม่ได้หรือเปล่า ไม่ใช่แน่นอน เขายังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจเรื่องนั้น ในวัยนั้น พ่อแม่จึงจะบอกแค่ในสิ่งที่เขาเข้าใจได้ พอโตขึ้นและเรียนรู้อะไรมากขึ้น พ่อแม่ก็จะบอกเรื่องชีวิตเพิ่มเติม อย่างเช่น หางานทำ และการมีครอบครัว นั่นก็เหมือน กับที่องค์พระเยซูเจ้าทรงงานแห่งการไถ่ในยุคพระคุณ ตามความจำเป็นของผู้คน ทรงแสดงหนทางกลับใจ ทรงสอนผู้คนในถ่อมใจและอดทน รับกางเขน ให้อภัยผู้อื่นเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง แต่ยังมีสิ่งอื่น ที่องค์พระผู้เป็นเจ้ายังไม่ได้ตรัสกับผู้คน นั่นคือความจริงทั้งปวง ที่ชำระให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด พระองค์ทรงรักษาความจริงเหล่านี้ไว้สำหรับเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในยุคสุดท้าย และนี่คือหนังสือปิดผนึก ที่ถูกเผยพระวจนะไว้ในหนังสือวิวรณ์ ตลอดสองพันปีนี้ ไม่มีใครอ่านหนังสือนั้น เพราะมันไม่เปิดออก จนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมาในยุคสุดท้าย คุณว่าเป็นไปได้ไหม ว่าสิ่งที่ถูกเขียนในหนังสือนั้น จะอยู่ในพระคัมภีร์” เธอตอบอย่างจริงจังว่า “มันไม่อยู่ในพระคัมภีร์หรอกค่ะ” ฉันแบ่งปันสามัคคีธรรมนี้กับเธออีกสองสามครั้ง จนกระทั่งเธอบอกว่าเธอเข้าใจแล้ว
แต่แล้วในวันรุ่งขึ้น ตอนที่ฉันยกเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสในยุคสุดท้ายมาพูดอีก เธอก็พูดว่า ทุกพระวจนะสำหรับยุคสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ควรอยู่ในพระคัมภีร์ ตอนแรกฉันคิดว่าคงฟังผิด เลยถามเพื่อความมั่นใจ ปรากฏว่าเธอพูดแบบนั้นจริงๆ ฉันผิดหวังมากเลยค่ะ และคิดว่า กลายเป็นว่าเธอไม่ได้เข้าใจเลย ฉันรู้สึกหมดกำลังใจขึ้นมาจริงๆ ฉันคิดว่าตอนแรก การหาเวลามาคุยกับเธอก็ยากอยู่แล้ว และตอนนี้ ขนาดอธิบายไปหลายรอบ เธอก็ยังไม่เข้าใจ เธอจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ไหมนะ ฉันไม่ได้พูดอะไร แต่กลับเริ่มคิดที่จะถอยหนี แต่แล้วฉันก็ตระหนักได้ มันไม่ใช่ว่าเธอไม่ได้อะไรเลยจากการสามัคคีธรรมของเรา การยอมแพ้ในตัวใครง่ายๆ ไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วจู่ๆ ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “พระเจ้าได้ทรงมอบหน้าที่ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่เจ้า ทั้งนี้ เจ้าควรปฏิบัติต่อเป้าหมายข่าวประเสริฐทุกๆ คนที่เจ้าเผชิญด้วยความรักและความอดทนจนสุดความสามารถของเจ้า สู้ทนความยากลำบากอันใดก็ตามที่จำเป็น เผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างรับผิดชอบ สัมพันธ์สนิทความจริงอย่างชัดเจน และมีความสามารถที่จะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการกระทำทั้งหมดของเจ้าต่อพระเจ้าได้ นี่คือท่าทีซึ่งเจ้าควรใช้เพื่อลุล่วงหน้าที่ของเจ้า” (“การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “หากเป้าหมายข่าวประเสริฐถามคำถามหนึ่งซ้ำๆ เจ้าควรตอบอย่างไร? เจ้าไม่ควรรังเกียจที่จะใช้เวลาและเป็นธุระในการตอบพวกเขา ในการคิดหาทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ที่จะไขข้อข้องใจสำหรับคำถามของพวกเขา จนกระทั่งพวกเขาเข้าใจและไม่ถามคำถามนั้นอีก เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะได้ปฏิบัติตามความรับผิดชอบของเจ้าให้ลุล่วง และหัวใจของเจ้าก็จะเป็นอิสระจากความรู้สึกผิด นี่หมายถึงการเป็นอิสระจากความรู้สึกผิดจากพวกเขาหรือไม่? ไม่ใช่ เจ้าจะเป็นอิสระจากความรู้สึกผิดจากพระเจ้า เพราะหน้าที่นี้ ความรับผิดชอบนี้ ได้รับการทรงมอบหมายให้แก่เจ้าโดยพระเจ้า” (“การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พอนึกถึงสิ่งที่พระเจ้าประสงค์ ฉันก็ละอายใจในตัวเอง ฉันแค่สามัคคีธรรมไปไม่กี่ครั้ง แต่กลับไม่อยากพยายามต่อ เพราะเธอยังไม่ปล่อยวางมโนคติที่หลงผิด ฉันไม่ได้เป็นผู้ที่มีความรักเลย ตอนมาเป็นผู้เชื่อแรกๆ ฉันก็มีมโนคติอันหลงผิดมากมายเหมือนกัน แต่พี่น้องชายหญิงก็สามัคคีธรรมหลายครั้ง และอธิษฐานให้ฉัน จนฉันปล่อยวางมโนคติอันหลงผิด และมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อยอมรับความรอดได้ นี่เป็นเพราะความรักและความอดทนของพระเจ้า แล้วทำไมตอนแบ่งปันข่าวประเสริฐ ฉันถึงสามัคคีธรรมกับเธออย่างอดทนไม่ได้ล่ะ ด้วยความละอายเหลือเกิน ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า! หากเธอคือหนึ่งในแกะ โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วย ข้าพระองค์จะทำทุกอย่างเพื่อร่วมมือกับพระองค์” หลังอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงการที่พระคัมภีร์เป็นรากฐานแห่งความเชื่อของเทเรซามาตลอดหลายปี เป็นเรื่องเข้าใจได้ ที่เธอไม่อาจยอมรับได้ในทันที ว่าพระวจนะใหม่ของพระเจ้า สำหรับยุคสุดท้ายไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์ ฉันคิดว่า ฉันอาจคุยเรื่องนี้กับเธอในแง่มุมอื่นได้ หลังจากนั้น ฉันเลยแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้ากับเธอสองสามบทตอน “พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นชีวิต และความจริง และพระชนม์ชีพของพระองค์และความจริงก็ดำรงอยู่ร่วมกัน พวกที่ไม่สามารถได้รับความจริงจะไม่มีทางได้รับชีวิต หากปราศจากการทรงนำ การสนับสนุน และการจัดเตรียมความจริง เจ้าจะได้รับเพียงตัวอักษร คำสอน และเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ความตายเท่านั้น พระชนม์ชีพของพระเจ้าเป็นปัจจุบันตลอดกาล และความจริงและพระชนม์ชีพของพระองค์นั้นดำรงอยู่ร่วมกัน หากเจ้าไม่สามารถค้นพบแหล่งกำเนิดความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ได้รับการบำรุงเลี้ยงของชีวิต หากเจ้าไม่สามารถได้รับการจัดเตรียมชีวิต เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีความจริงอย่างแน่นอน และดังนั้น นอกเหนือจากจินตนาการและมโนคติอันหลงผิดต่างๆ แล้ว ร่างกายทั้งร่างของเจ้าจะไม่เป็นอะไรเลยนอกจากเนื้อหนังของเจ้า—เนื้อหนังที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าของเจ้า จงรู้ไว้ว่าคำพูดในหนังสือนั้นไม่นับว่าเป็นชีวิต บรรดาบันทึกประวัติศาสตร์ไม่สามารถได้รับการสักการบูชาประหนึ่งเป็นความจริงได้ และกฎระเบียบต่างๆ ในอดีตไม่สามารถใช้เป็นการเล่าเรื่องราวของพระวจนะที่ตรัสโดยพระเจ้าในปัจจุบัน มีเพียงสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงแสดงให้เห็นเมื่อพระองค์เสด็จมาสู่แผ่นดินโลกและดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมนุษย์เท่านั้นที่คือความจริง ชีวิต น้ำพระทัยของพระเจ้า และวิธีปฏิบัติพระราชกิจในปัจจุบันของพระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้) “ข้อเท็จจริงที่เราปรารถนาที่จะอธิบายตรงนี้ก็คือ สิ่งใดที่พระเจ้าทรงเป็นและทรงมีนั้น ไม่มีวันหมดและไม่มีที่สิ้นสุดชั่วนิรันดร์ พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตและทุกสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างใดจะสามารถหยั่งลึกถึงพระองค์ได้ สุดท้ายนี้ เราต้องเตือนความจำทุกคนต่อไปว่า จงอย่าจำกัดเขตพระเจ้าไว้ในหนังสือ ในพระวจนะ หรือในถ้อยดำรัสในอดีตของพระองค์อีกเลย มีเพียงคำเดียวเท่านั้นที่จะบรรยายคุณลักษณะเฉพาะของพระราชกิจของพระเจ้า นั่นคือ ใหม่ พระองค์ไม่ทรงชอบที่จะใช้เส้นทางเก่าๆ หรือทำพระราชกิจของพระองค์ซ้ำ ที่มากกว่านั้น พระองค์ไม่ทรงต้องการให้ผู้คนนมัสการพระองค์โดยจำกัดเขตพระองค์ไว้ภายในวงเขตเฉพาะหนึ่ง นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำแถลงท้ายเล่ม) หลังจากนั้น ฉันสามัคคีธรรมกับเธอว่า “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความจริงทั้งปวง พระปัญญาของพระองค์ไร้ที่สิ้นสุด พระเจ้าทรงแสดงความจริงเพิ่มเติมได้เสมอ ตามความจำเป็นของมวลมนุษย์ พระองค์จะถูกจำกัดตามสิ่งที่พูดถึงในพระคัมภีร์ได้ยังไง นั่นไม่ใช่การจำกัดพระเจ้า ตามสิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์เหรอ” แล้วฉันก็เล่านิทานจีน เรื่องกบก้นบ่อให้เธอฟัง ฉันเล่าว่า “มีกบตัวหนึ่งอาศัยอยู่ก้นบ่อ และมองเห็นเพียงท้องฟ้า ผ่านปากบ่อที่เปิดอยู่ มันจึงคิดว่า ท้องฟ้าใหญ่เท่ากับปากบ่อนั้น วันหนึ่ง ฝนห่าใหญ่ตกลงมาเพราะพายุ จนมันกระโดดออกจากบ่อได้ มันมองเห็นท้องฟ้าแผ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด เห็นว่าท้องฟ้าใหญ่กว่าปากบ่อที่เปิดอยู่มากเหลือเกิน มันจึงตระหนักได้ว่า พลาดจะได้เห็นท้องฟ้าทั้งผืน เพราะมันอยู่ก้นบ่อนั่นเอง” ฉันบอกว่า ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าของฉันช่างแคบนัก พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ ส่วนเราช่างเล็กกระจ้อย พระเจ้าทรงไร้ขอบเขตและบริบูรณ์ ส่วนเราไม่มีวันรู้ถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและเป็น ด้วยเหตุผลของเราเอง แล้วเราจะจำกัดขอบเขตของพระเจ้าได้ยังไง องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” (ยอห์น 14:6) พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดความจริง ฉันถามเธอว่า พระเจ้าทรงแสดงความจริง มากกว่าในพระคัมภีร์ได้ไหม สิ่งต่างๆ สูงส่งกว่านั้น สิ่งต่างๆ ที่ผู้คนต้องการในยุคสุดท้าย เธอตอบว่า “ได้สิคะ แน่นอน” ฉันเห็นว่ามโนคติอันหลงผิดของเธอเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว หัวใจของเธอกำลังเปิดรับ ฉันส่งพระคัมภีร์ข้อเดิมกลับไปให้เธอ “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความ ที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” (วิวรณ์ 2:7) ฉันบอกเธอว่า สิ่งที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักร คือสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเมื่อทรงกลับมาในยุคสุดท้าย แถมในพระคัมภีร์ก็มีบันทึก สิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสและทรงทำในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ พอฉันถามว่า พระวจนะใหม่ที่ตรัสโดยองค์พระผู้เป็นเจ้าตอนที่ทรงกลับมา มีอยู่ก่อนในพระคัมภีร์ได้ไหม เธอยิ้ม และตอบว่า “ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าตอนที่ทรงกลับมานั้น ไม่อยู่ในพระคัมภีร์ และพระเจ้าดำรัสสิ่งใหม่ๆ นอกพระคัมภีร์ได้” เธอตื้นตันใจมาก และบอกว่าผู้คนไม่รู้จักพระเจ้าดีพอ เธออยากอ่านพระวจนะ และเข้าใจพระองค์มากขึ้น
ฉันก็ตื่นเต้นมาก ที่ได้เห็นเทเรซาพร้อมที่จะยอมรับ ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมา และตรัสอีกครั้ง ฉันเลยถามเธอว่า “ในเมื่อพระเจ้าจะทรงกลับมาและตรัสเพิ่มเติม คุณว่าพระองค์จะทรงใช้ตัวกลางไหนสำหรับถ้อยดำรัสคะ” เธอตอบว่า “ผ่านพระวิญญาณค่ะ” ฉันบอกเธอว่า นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเคยคิดเหมือนกัน แต่ฉันได้ค้นดูพระคัมภีร์กับพี่น้องชายหญิง และเห็นที่กล่าวว่า “เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน” (ลูกา 17:24-25) และอันนี้ “ในสมัยของโนอาห์ เหตุการณ์เคยเป็นมาแล้วอย่างไร ในสมัยของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นไปอย่างนั้นด้วย” (ลูกา 17:26) แล้วก็ “เพราะเหตุนี้พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” (มัทธิว 24:44) ฉันบอกว่า “ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ ล้วนกล่าวถึงว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาในฐานะ ‘บุตรมนุษย์’ บุตรมนุษย์หมายความว่า พระองค์ทรงเกิดจากมนุษย์ และมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พระองค์คงไม่ถูกเรียกเช่นนั้น หากทรงอยู่ในรูปพระวิญญาณ พระยาห์เวห์พระเจ้า ทรงอยู่ในรูปพระวิญญาณ จึงไม่ทรงถูกเรียกเช่นนั้น นั่นแปลว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาในรูปมนุษย์ในยุคสุดท้าย หากพระองค์เสด็จมาในกายพระวิญญาณที่คืนพระชนม์ เสด็จมาบนก้อนเมฆ และปรากฏอย่างเปิดเผยต่อมนุษย์ ทุกคนคงล้มลงกราบ สั่นเทิ้มด้วยความกลัว และคงไม่มีใครกล้าบอกปัดพระองค์ แล้วพระวจนะที่ว่า ‘ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน’ จะลุล่วงได้ยังไง?” ดูเหมือนเทเรซากำลังใคร่ครวญอะไรบางอย่าง ฉันเลยถามเธอต่อไปว่า “ทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตัดสินใจเสด็จมาในรูปมนุษย์ในยุคสุดท้าย ไม่ใช่พระวิญญาณ?” เธอส่ายหัว ฉันพูดว่า “ผู้คนไม่อาจเห็นหรือสัมผัสพระเจ้าในรูปพระวิญญาณได้ ถ้าจู่ๆ กายพระวิญญาณทรงปรากฏและตรัส คุณจะรู้สึกยังไงคะ?” ผู้คนคงหวาดกลัวและสับสน พระเจ้าทรงต้องการให้ทุกคนรู้สึกกลัว เมื่อพระองค์ตรัสกับเราไหม ไม่แน่นอน และมนุษยชาติผู้เสื่อมทรามนั้นแปดเปื้อนเกินไป เราจึงไม่คู่ควรจะได้เห็นพระวิญญาณของพระเจ้า การเห็นพระวิญญาณคงจะทำให้เราตายได้เลย หลังอธิบายทั้งหมดนี้ ฉันก็อ่านพระวจนะให้เธอฟังเพิ่มเติม “การช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าไม่ได้ทำโดยการใช้วิธีการของพระวิญญาณและพระอัตลักษณ์ของพระวิญญาณโดยตรง เพราะพระวิญญาณของพระองค์นั้นไม่สามารถทั้งถูกสัมผัสและมองเห็นได้โดยมนุษย์ ทั้งมนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใกล้ได้เช่นกัน หากพระองค์ได้ทรงพยายามที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดในลักษณะของพระวิญญาณโดยตรง มนุษย์ก็คงจะไร้ความสามารถที่จะได้รับความรอดของพระองค์ได้ หากพระเจ้ามิได้ทรงสวมรูปสัณฐานภายนอกของมนุษย์ที่ถูกสร้าง ก็คงจะปราศจากหนทางที่มนุษย์จะได้รับความรอดนี้ เนื่องเพราะมนุษย์นั้นปราศจากหนทางที่จะเข้าหาพระองค์ มากพอๆ กับที่ไม่มีใครเลยเคยมีความสามารถที่จะเข้าไปใกล้เมฆของพระยาห์เวห์ โดยการบังเกิดเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างเท่านั้น นั่นก็คือ โดยการบรรจุพระวจนะของพระองค์เข้าไปในร่างกายของมนุษย์ที่พระองค์กำลังจะทรงบังเกิดมาเป็นเท่านั้น พระองค์จึงจะสามารถนำพระวจนะของพระองค์มาดำเนินการในตัวทุกคนที่ติดตามพระองค์ได้ด้วยพระองค์เองโดยเฉพาะ เมื่อนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงสามารถมองเห็นและได้ยินพระวจนะของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้นคือ เข้าสู่การครองพระวจนะของพระองค์ได้ด้วยตัวเองโดยเฉพาะ และโดยวิถีทางนี้จึงมาได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบถ้วน หากพระเจ้ามิได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ ไม่มีใครเลยที่มีเลือดเนื้อจะมีความสามารถได้รับความรอดอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้ ทั้งยังจะไม่มีเลยสักคนที่ได้รับการช่วยให้รอด หากพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจโดยตรงในท่ามกลางมวลมนุษย์ มนุษยชาติทั้งมวลก็คงจะถูกบดขยี้จนคว่ำลงไป หรือไม่เช่นนั้น พวกเขาก็คงจะถูกซาตานจับไปเป็นเชลยอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีหนทางที่จะมาสัมผัสกับพระเจ้าเลย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)) “นี่คือความได้เปรียบของการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์: พระองค์ทรงใช้ความได้เปรียบของความรู้ของมวลมนุษย์และใช้ภาษาของมนุษย์เพื่อพูดคุยกับผู้คนและแสดงออกถึงน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์ทรงอธิบายหรือ ‘แปล’ ภาษาแบบพระเจ้าที่ลุ่มลึกของพระองค์ซึ่งผู้คนดิ้นรนที่จะทำความเข้าใจในภาษามนุษย์ให้กับมนุษย์ในวิธีของมนุษย์ สิ่งนี้ช่วยให้ผู้คนเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์และรู้สิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะทำ พระองค์ยังทรงสามารถมีการสนทนากับผู้คนจากมุมมองของมนุษย์โดยใช้ภาษาของมนุษย์ และทรงสื่อสารกับผู้คนในวิธีที่พวกเขาเข้าใจได้ พระองค์ยังถึงขั้นสามารถตรัสและทรงพระราชกิจโดยใช้ภาษาและความรู้ของมนุษย์เพื่อให้ผู้คนสามารถรู้สึกถึงความใจดีและความใกล้ชิดของพระเจ้า เพื่อให้พวกเขาสามารถมองเห็นพระทัยของพระองค์ได้” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3) แล้วฉันก็สามัคคีธรรมต่อว่า “พระเจ้าทรงตัดสินใจเสด็จมาในร่างมนุษย์ และทรงใช้ชีวิตจริงๆ ท่ามกลางพวกเรา จะได้ทรงใกล้ชิดเรามากขึ้น และจัดเตรียมความจริงเพื่อช่วยเราให้รอด ก็เหมือนพ่อแม่กับลูกๆ พ่อแม่อยากให้ลูกหวาดกลัว ทุกครั้งที่เห็นพวกเขาเหรอคะ?” ไม่อยากค่ะ ฉันเลยบอกเธอว่า “พ่อแม่ไม่มีวันอยากให้ลูกรู้สึกกลัว หรือหลบซ่อน ทุกครั้งที่เจอพวกเขา แล้วสำหรับพระเจ้าล่ะ ถ้าพระเจ้าแค่ตรัสจากบนสวรรค์ เราคงกลัวและถอยห่างจากพระองค์ พระเจ้าทรงไม่อยากให้เราถอยห่าง หรือรู้สึกยากที่จะใกล้ชิดพระองค์ได้ การทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงเหมือนกับครั้งขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์เสด็จมาในรูปมนุษย์ เป็นเพียงบุตรมนุษย์ธรรมดาทั่วไป กินและพูดกับเหล่าสาวกของพระองค์ และมักช่วยพวกเขาแก้ไขปัญหาหรือความสับสนเสมอ การได้เห็นพระเจ้าที่ทรงมีชีวิตแท้จริง ทรงใช้ชีวิตท่ามกลางมนุษย์จริงๆ ช่วยให้เรารู้สึกใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น และพระเจ้า ก็ทรงใช้ภาษาของเรา เพื่อแสดงความจริง มอบเสบียงและบำรุงเลี้ยงเราได้ด้วย พระองค์ทรงใช้ตัวอย่างและการอุปมาอุปไมย เพื่อให้เราเข้าใจน้ำพระทัยดีขึ้น แล้วเรา ก็จะได้เข้าใจและเข้าไปสู่ความจริงได้ง่ายขึ้น ความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา ช่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง และมีค่ามาก! ด้วยการบังเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าทรงอดกลั้นต่อการดูหมิ่นการทนทุกข์นับครั้งไม่ถ้วน เพื่อตรัสและทรงงาน เพื่อให้เราเข้าใจความจริง หลุดพ้นจากบาป และถูกช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ นี่คือความรอดยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ ต่อมนุษยชาติผู้เสื่อมทราม” พอถึงจุดนี้ เทเรซาก็ตื้นตันจนร้องไห้ออกมา เธอพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังทรงกลับมาในรูปการทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ฉันก็อยากให้พระเจ้า เสด็จมาในหมู่เราในรูปมนุษย์เหมือนกัน พระองค์ทรงรักเรามากเหลือเกิน เราไม่คู่ควรกับความรักนั้นเลย…” ฉันประทับใจมาก ที่เห็นว่าเทเรซาตื้นตันใจแค่ไหน และพลันนึกถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ขึ้นมา “เจ้าสามารถสื่อถึง ‘พระอุปนิสัยที่พระเจ้าทรงแสดงออกในแต่ละยุค’ อย่างเป็นรูปธรรมด้วยภาษาที่เหมาะแก่การสื่อนัยสำคัญของยุคนั้นได้หรือไม่? เจ้าผู้ซึ่งรับประสบการณ์พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายสามารถบรรยายพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอย่างละเอียดได้หรือไม่? เจ้าจะสามารถเป็นพยานเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างชัดเจนและถูกต้องแม่นยำได้หรือไม่? เจ้าจะถ่ายทอดสิ่งที่เจ้าได้เห็นและได้รับประสบการณ์ไปสู่บรรดาผู้เชื่อที่เคร่งศาสนาซึ่งน่าสงสาร อ่อนด้อยและเปี่ยมศรัทธาผู้ซึ่งหิวกระหายความชอบธรรมและกำลังรอคอยให้เจ้ามาเป็นผู้เลี้ยงต่อพวกเขาอย่างไร?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรจะทำภารกิจในอนาคตของเจ้าอย่างไร?) “เพื่อเป็นพยานต่อพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าต้องพึ่งพาประสบการณ์ ความรู้ของเจ้า และราคาที่เจ้าได้จ่ายไป ด้วยเหตุนั้นเท่านั้น เจ้าจึงสามารถทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์ได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง) ฉันนึกย้อนไปถึงตอนที่แบ่งปันข่าวประเสริฐ ส่วนมาก ฉันเพียงแค่แบ่งปันทฤษฎีกับผู้คน และไม่เคยนึกเลย ว่าฉันมีความเข้าใจที่แท้จริงเรื่องพระเจ้าไหม ว่าฉันแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์จริงส่วนตัวได้ไหม ประสบการณ์นี้ทำให้ฉันเห็น ว่าการแบ่งปันข่าวประเสริฐ ไม่ใช่แค่การคุยกับคนอื่น แต่เป็นโอกาสให้ฉันได้เข้าใจพระเจ้าดีขึ้น ฉันก็รู้สึกถึงความรักของพระเจ้า ผ่านการสามัคคีธรรมกับเทเรซาเหมือนกัน หากพระองค์ไม่เสด็จมาทรงงานและตรัสในร่างมนุษย์ ก็คงไม่มีทาง ที่เราจะเข้าใจความจริง หรือได้รับการชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามให้บริสุทธิ์ได้ สุดท้าย เราคงได้แต่ถูกทำลายในความวิบัติ ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ ฉันยิ่งรู้สึกว่าความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรานั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน แล้วเทเรซาก็พูดว่า “การสามัคคีธรรมวันนี้ใหม่กับฉันมากเลย ฉันได้รับอะไรมากมายเลยค่ะ”
ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ฉันก็ตื่นเต้นมาก และบอกเธอไปว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว ในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ปรากฏในรูปมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงแสดงพระวจนะใหม่ และกำลังทรงงานพิพากษาแห่งยุคสุดท้าย เพื่อชำระให้บริสุทธิ์และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดโดยสมบูรณ์ นี่ทำให้คำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ลุล่วง รวมถึง ‘เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า’ (1 เปโตร 4:17) แล้วก็ ‘เพราะว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาใคร แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร’ (ยอห์น 5:22)” เทเรซาตื่นเต้นมาก ที่ได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว แต่เธอก็สับสนด้วยเหมือนกัน เธอถามว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงให้อภัยแก่บาปของเราแล้ว ตอนที่ทรงถูกตรึงกางเขน ทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงจำเป็นต้องทรงกลับมาและทรงงานพิพากษา เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดในยุคสุดท้ายอีก?” ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบางส่วนให้เธอฟัง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้นำพามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) “เจ้ารู้เพียงว่าพระเยซูจะเสด็จลงมาในระหว่างยุคสุดท้าย แต่พระองค์จะเสด็จลงมาอย่างไรกันแน่เล่า? คนบาปเช่นพวกเจ้า ผู้ซึ่งเพิ่งได้รับการไถ่บาป และไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง หรือได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เจ้าสามารถเป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้าได้หรือ? สำหรับเจ้า เจ้าผู้ซึ่งยังคงเป็นตัวตนเก่าของเจ้า เป็นความจริงที่ว่าเจ้าได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเยซู และที่ว่าเจ้าไม่ได้ถูกนับว่าเป็นคนบาปเพราะความรอดของพระเจ้า แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้มีบาป และไม่ได้ไม่บริสุทธิ์ เจ้าสามารถเป็นผู้เปี่ยมบริสุทธิ์ได้อย่างไรหากเจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง? ภายใน เจ้าถูกรุมเร้าด้วยความไม่บริสุทธิ์ เห็นแก่ตัวและใจร้าย กระนั้นเจ้าก็ยังคงปรารถนาที่จะลงมาพร้อมกับพระเยซู—เจ้าคงจะไม่โชคดีขนาดนั้น! เจ้าได้พลาดไปขั้นตอนหนึ่งในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแล้ว นั่นคือ เจ้าเพียงได้รับการไถ่บาปเท่านั้น แต่เจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง เพื่อที่เจ้าจะได้เป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าต้องทรงพระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงและการชำระล้างเจ้าให้สะอาดด้วยพระองค์เอง มิฉะนั้น เจ้าผู้ซึ่งได้รับการไถ่บาปเท่านั้น ก็จะไม่สามารถบรรลุการชำระให้บริสุทธิ์ได้ ด้วยวิธีนี้เจ้าจะไม่มีคุณสมบัติที่จะแบ่งปันในพรดีๆ ของพระเจ้า เพราะเจ้าได้พลาดขั้นตอนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้าในการบริหารจัดการมนุษย์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงและการทำให้มีความเพียบพร้อม ดังนั้นเจ้า คนบาปที่เพิ่งได้รับการไถ่บาป จึงไม่สามารถรับมรดกของพระเจ้ามาเป็นมรดกของเจ้าโดยตรงได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยเรื่องชื่อและอัตลักษณ์) หลังอ่านพระวจนะ ฉันก็พูดว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงไถ่เรา แล้วการไถ่นั้นได้สัมฤทธิ์ผลใดบ้าง เราได้รับการไถ่จากบาปของตัวเองแล้ว จึงไม่ถูกลงโทษ เพราะละเมิดธรรมบัญญัติอีกต่อไป นี่คือสิ่งที่สัมฤทธิ์ผล ในงานแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า บาปของเราได้รับการให้อภัย ผ่านความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เรายังอดไม่ได้ที่จะโกหกและทำบาปอยู่ตลอด เราใช้ชีวิตอยู่ในวัฏจักรอันเลวทราม ทำบาปตอนกลางวัน สารภาพบาปตอนกลางคืน ไม่เคยหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งบาปได้เลย ทำไมถึงเป็นแบบนี้ใช่ไหมคะ นั่นเพราะว่า เรายังไม่ได้กำจัดธรรมชาติอันเปี่ยมบาปออกไป ธรรมชาติที่เปี่ยมบาปนี้ เหมือนเนื้อร้ายที่ฝังลึกอยู่ในตัวเรา หากไม่กำจัดมันออกไป เราอาจได้รับการอภัยอีกพันครั้ง หมื่นครั้ง แต่เราจะไม่มีวันเป็นอิสระจากบาป หรือคู่ควรกับราชอาณาจักร นี่เป็นเหตุผล ว่าทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้า จำเป็นต้องทรงกลับมา และทรงงานแห่งการพิพากษา งานพิพากษานั้น ก็เพื่อแก้ไขธรรมชาติที่เปี่ยมบาปของเรา เพื่อให้เราได้เป็นอิสระจากพันธนาการแห่งบาป ถูกชำระให้บริสุทธิ์ และช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์”
เทเรซามีความสุขมากที่ได้ยินแบบนี้ และพูดว่า “ช่วยเล่าเรื่องงานพิพากษาให้ฟังหน่อยได้ไหม พระเจ้าทรงดำเนินการพิพากษา เพื่อช่วยเราให้รอดจากบาปยังไงคะ?” ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้เธอฟังหนึ่งบทตอน “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง เพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจของมนุษย์ต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา มันยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่เปิดแผ่ความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง) หลังอ่านจบ ฉันก็พูดว่า “ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงแสดงการพิพากษาด้วยพระวจนะ เพื่อตีแผ่ธรรมชาติเยี่ยงซาตาน ซึ่งต่อต้านพระเจ้าของมวลมนุษย์ พระวจนะเปิดเผยทุกการแสดงออกของอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน และการต่อต้านพระเจ้าของเรา เราจึงได้เรียนรู้ความจริง ว่าซาตานทำให้เราเสื่อมทรามลึกซึ้งแค่ไหน ขณะเดียวกันก็เห็นพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมและบริสุทธิ์ด้วย ด้วยการถูกพิพากษา ตีสอน ตัดแต่ง และจัดการโดยพระวจนะ เราได้เห็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่ถูกเปิดเผยไปทั้งหมด เช่น การเป็นคนโอหัง หลอกลวง เห็นแก่ตัว และโลภมาก เราอาจพลีอุทิศเพื่อพระเจ้าได้ แต่พอมีสิ่งที่ไม่ชอบเกิดขึ้น เช่น การเจ็บป่วยหรือเผชิญความวิบัติ เราก็เข้าใจผิดและติเตียนพระองค์ การพิพากษานี้ เป็นทางเดียวที่เราจะได้เห็นว่า แม้เราจะพลีอุทิศเพื่อพระเจ้า นั่นก็แค่เพื่อพระพรและการปูนบำเหน็จ และได้เข้าสู่ราชอาณาจักร เรากำลังทำข้อตกลงกับพระเจ้า เราไม่ได้นบนอบต่อพระเจ้าจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงความรักแท้จริงเลย ผ่านการพิพากษาและตีสอนแห่งพระวจนะ รวมถึงสิ่งที่เปิดเผยผ่านเรื่องที่เกิดขึ้นกับเรา เราก็เห็นถึงความจริงแห่งความเสื่อมทรามของตัวเอง และได้มาเกลียดมัน เรายังได้รับประสบการณ์ถึงพระอุปนิสัยอันบริสุทธิ์และชอบธรรม ที่จะไม่ทนต่อการล่วงเกิน และเราก็ได้เกิดความเคารพและนบนอบต่อพระเจ้าขึ้นมา นี่เป็นหนทางเดียว ที่เราจะได้เห็นว่า ซาตานทำให้เราเสื่อมทรามลึกซึ้งแค่ไหน หากไม่มีการพิพากษาและตีสอนในยุคสุดท้ายจากพระเจ้า เราคงไม่มีวันได้เห็นความจริงแห่งความเสื่อมทรามของตัวเอง หรือเป็นอิสระจากมันได้ โดยเฉพาะเรา ที่ไม่เคยรักหรือเชื่อฟังพระเจ้าเลย ก็เหมือนกับคนที่ป่วย ถ้าพวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ก็จะไม่ไปรับการรักษา หรือรู้ว่าจำเป็นต้องรักษาแบบไหน อาการของพวกเขาจึงจะไม่ดีขึ้น แต่ถ้าพวกเขาไปหาหมอ หมอก็จะบอกพวกเขาได้ว่าเป็นอะไร สาเหตุคืออะไร ต้องรักษาแบบไหน พวกเขาก็จะดีขึ้น ถ้าทำตามคำที่หมอแนะนำ ดังนั้น พระเจ้าทรงพิพากษามวลมนุษย์ด้วยพระวจนะในยุคสุดท้าย เพื่อแก้ไขธรรมชาติที่เปี่ยมบาป รวมถึงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน เราต้องยอมรับการพิพากษาและการตีสอนนั้น เพื่อให้ถูกปลดปล่อยจากบาป กำจัดอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน ถูกพระเจ้าช่วยให้รอด และเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์” พอถึงตรงนั้น เทเรซาก็พูดว่า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ งานแห่งการพิพากษา คือการที่พระเจ้าทรงชำระเราให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอด ฉันอยากหนีไปจากชีวิตของการทำบาปแล้วสารภาพบาป ฉันจึงต้องยอมรับการพิพากษา และชำระให้บริสุทธิ์” จากนั้น เราก็ดูภาพยนตร์ข่าวประเสริฐด้วยกันอีกสองสามเรื่อง แล้วอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ด้วยกันเยอะมาก เทเรซาบอกฉันว่า “พระวจนะเหล่านี้เปี่ยมสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพมาก ทำเอาโลกสั่นสะเทือน นี่คือพระสุรเสียงของพระเจ้า! พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คือพระเยซูที่ทรงกลับมาจริงๆ พระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าที่เสด็จกลับมาเพื่อชำระให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเราให้รอด!” แล้วเธอก็ถามฉันทันควันว่า “ฉันจะหาหนังสือพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้จากไหนคะ ฉันจะสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อคนอื่นๆ ตัวต่อตัวได้ที่ไหน?” ฉันบอกว่า ฉันแนะนำสมาชิกคริสตจักรในท้องถิ่นให้เธอรู้จักได้ และได้ส่งหนังสือ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ฉบับออนไลน์ไปให้ เธอตื่นเต้นมาก ตาโตเชียว และบอกว่าเธออยากได้หนังสือ และอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้เร็วที่สุด
พอเห็นว่าเธอเบิกบานใจ ที่ได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าแค่ไหน ฉันก็ขอบคุณการให้ความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้า ที่ทำให้เทเรซาได้ยินพระสุรเสียง และได้เข้ามาสู่พระนิเวศของพระองค์ สองสามวันต่อมา เธอบอกฉันว่า เธอเล่าข่าวนี้ให้เพื่อนสนิท ที่เตือนเธอเรื่องการเชื่อสิ่งนี้ ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว ศิษยาภิบาลก็โทรมาข่มขู่เธอด้วย บอกว่านี่จะทำให้เธอถูกเตะออกจากคริสตจักร เธอพูดว่า “ฉันแน่ใจ ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย เพราะพระวจนะของพระองค์เป็นความจริง และมีเพียงพระคริสต์ที่ทรงแสดงความจริงได้ พระองค์คือพระเยซูที่ทรงกลับมา เพื่อนไม่มีผลกับฉันหรอก ศิษยาภิบาลก็หยุดฉันไม่ได้ด้วย” เธอยังพูดด้วยว่า “ฉันมองหาคริสตจักรที่แท้จริงมานานหลายปี แต่ก็ต้องผิดหวังตลอด ไม่มีที่ไหนให้การบำรุงเลี้ยง แถมเหล่าสมาชิกก็ตามกระแสทางโลกกันมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันรู้สึกสิ้นหวังมาก ฉันขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ค่ะ ฉันไม่เคยคิดฝันว่า จะได้ยินพระสุรเสียง และได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ในที่สุด ฉันก็พบคริสตจักรของพระเจ้าแล้ว” เธอปลื้มปริ่มมาก ฉันเห็นน้ำตาที่เอ่ออยู่ในตาของเธอ เธอดูมีความหวังมาก ฉันตื้นตันใจอย่างเหลือเชื่อ ฉันได้เห็นว่า เมื่อหนึ่งในแกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียง พวกเขาก็จะติดตามพระองค์ และรักษาความเชื่อไว้ได้ ไม่ว่าซาตานจะแทรกแซงยังไงก็ตาม แต่พอคิดถึงการที่ฉันหมดกำลังใจและอยากล้มเลิก พอเจอทางตัน ฉันก็พร้อม ตัดเธอทิ้งทันที เกือบจะล้มเลิกการแบ่งปันคำพยาน เรื่องงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้ากับเธอไปแล้ว ฉันเปี่ยมด้วยความเสียใจและรู้สึกผิด ฉันยังเห็นด้วยว่า มีเพียงพระเจ้าที่รักและใส่ใจเรา เพราะเมื่อฉันกำลังจะล้มเลิก พระวจนะของพระเจ้า ก็ให้ความรู้แจ้งและนำฉันได้ทันท่วงที ฉันจึงได้เห็นความกบฏของตัวเอง และเข้าใจความเร่งด่วนแห่งน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด ฉันจึงทำงานกับพระเจ้าได้ทีละนิด เพื่อเป็นพยานให้เทเรซา เรื่องงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า
นี่เป็นประสบการณ์อันลึกซึ้งสำหรับฉันด้วย ว่าการแบ่งปันข่าวประเสริฐคือการช่วย เพื่อช่วยผู้คนให้รอด มันใช้ความรู้สึกและประสบการณ์ในชีวิตจริงของฉัน เพื่อเป็นพยานให้กับงานของพระเจ้า เพื่อพาคนที่ถวิลหาการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่อยู่ในโลกแห่งความมืด มาสู่พระนิเวศของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใด มีความหมายมากไปกว่านี้ ฉันยังได้เห็น ความชื่นบานยินดีและอารมณ์ของผู้ที่จดจ่อ กับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อพวกเขาได้ยินพระสุรเสียงและได้ต้อนรับพระองค์ และฉันรู้สึกได้ว่า พระเจ้าทรงหวังว่าผู้เชื่อแท้จริงจะมาเฉพาะพระพักตร์ และได้รับความรอดของพระองค์มากขึ้น ในโลกนี้ยังมีคนอีกมากมายที่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืด และถวิลหาการเสด็จมาของพระเจ้า พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความเสียพระทัย และทรงวิตกกับพวกเขา ฉันเลยยิ่งรู้สึกว่าการแบ่งปันข่าวประเสริฐคือความรับผิดชอบของฉัน คือสิ่งที่ฉันต้องทำ ฉันยังสาบานกับพระเจ้าด้วย ว่าไม่ว่าฉันจะเจอทางตันใด ฉันจะพึ่งพิงพระองค์และทำหน้าที่แบ่งปันข่าวประเสริฐ ฉันจะแบ่งปันคำพยานตามความเข้าใจที่แท้จริงเรื่องพระเจ้า และนำแกะของพระองค์มาเฉพาะพระพักตร์ เพื่อให้พวกเขาได้รับพระคุณแห่งความรอดในยุคสุดท้ายของพระองค์โดยเร็ว
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ