ควรคำนึงถึงความจริงที่ไม่น่ายินดีของตนอย่างไร
ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2017 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ตอนที่ฉันเริ่มชุมนุมหรือหารือกับพี่น้องครั้งแรก ฉันก็แบ่งปันทรรศนะของตัวเองได้ และการสามัคคีธรรมของฉันก็มีความสว่างอยู่บ้าง พี่น้องเหล่านั้นชื่นชมฉันพอควรและพูดกับฉันด้วยความเคารพ ก็เลยรู้สึกว่าฉันมีคุณค่า และพอใจกับตัวเองมากทีเดียว ผ่านไประยะหนึ่ง ฉันสังเกตว่าคู่ทำงานของฉัน พี่น้องหญิงเวนดี้ มีวิธีพูดกับฉันที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา และบางครั้งจะยกปัญหาของฉันขึ้นมาพูดทันทีที่เธอสังเกตเห็น อย่างเช่น เมื่อฉันไม่ได้คำนึงถึงงานธุรการของคริสตจักร เธอก็พูดขึ้นมาและบอกให้ฉันมุ่งเน้นที่เรื่องนั้น แต่ฉันรู้สึกเสียหน้านิดหน่อย ก็เลยบอกว่าต่อไปฉันจะมุ่งเน้นที่เรื่องนั้น เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นมองฉันไม่ดี แต่ฉันค่อนข้างบกพร่องในด้านนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าฉันคิดถึงบางสิ่งไม่ได้ ก็เป็นว่าคิดได้ แต่ไม่รู้ว่าจะคิดยังไง ต่อมา พอเวนดี้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกสองสามครั้ง ฉันจะอ้างว่าต่อไปฉันจะมุ่งเน้นที่เรื่องนี้ แต่จริงๆ แล้วฉันกำลังคิดว่า “ใครๆ ก็พูดอยู่เสมอว่าฉันแบกรับภาระในหน้าที่ของตัวเอง แต่เวนดี้กลับมาวิจารณ์ฉันแบบนี้ ฉันสงสัยว่าตอนนี้คนอื่นจะคิดยังไงกับฉันนะ” ฉันรู้สึกเหมือนเวนดี้คอยจับตาดูปัญหาของฉันอย่างใกล้ชิด ว่าเธอดูถูกฉัน ก็เลยรู้สึกอยากหลีกเลี่ยงเธอ บางครั้งเวลาที่เราคุยกันเรื่องงาน แล้วฉันพูดความคิดขึ้นมา เวนดี้จะบอกฉันทันทีว่าเธอเห็นว่าไม่เหมาะ บางครั้งน้ำเสียงของเธอไม่เหมาะสมและเธอก็ทำให้ฉันตกที่นั่งลำบาก ฉันรู้สึกว่าเธอรุนแรงเกินไปและไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีของฉัน รู้สึกว่าเธอมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีและเข้ากันได้ยาก มีบางครั้งที่ฉันพยายามจะคุยกับเวนดี้ หรือบอกเธอให้มากินข้าวตอนเธอคุยโทรศัพท์อยู่ แต่เธอไม่ตอบทันที ซึ่งยิ่งทำให้ฉันเชื่อว่าเธอมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีและเย็นชาเกินไป ฉันเลยยิ่งอยากมีปฏิสัมพันธ์กับเธอน้อยลงอีก ฉันทำงานคู่กับพี่น้องหญิงอีกสองคนได้ง่ายกว่ามาก ฉันสัมผัสได้ว่าพวกเธอชื่นชมฉันมาก เวลาที่เราพูดถึงงานหรือสภาวะปัจจุบันของเรา และพวกเธอก็พูดกับฉันด้วยความเคารพ เมื่อพวกเธอมีปัญหา ก็มักจะมาหาฉันเพื่อขอคำแนะนำและไม่ค่อยชี้ปัญหาของฉัน ฉันรู้สึกสบายใจมากเมื่อไรก็ตามที่ได้คุยหรือหารือเรื่องงานกับพวกเธอ ยิ่งฉันมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเธอมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าเข้ากับเวนดี้ได้ยากมากขึ้นเท่านั้น และฉันก็อยู่ให้ห่างจากเธอเข้าไว้ให้มากที่สุด ที่จริงฉันสัมผัสได้ว่าเวนดี้เต็มใจร่วมงานกับฉัน เธอจะมาหารือเรื่องต่างๆ กับฉัน แต่ฉันก็จะตอบอย่างสุกเอาเผากินและไม่ได้เต็มใจเข้าใกล้เธอจริงๆ เพราะฉันรู้สึกว่าเธอมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี บางครั้งฉันก็ผุดความคิดชั่วร้ายบางอย่างขึ้นมา “ถ้าเวนดี้ไม่อยู่ในกลุ่มเราก็คงจะดีกว่า แบบนั้นก็คงไม่มีใครมาจับผิดข้อบกพร่องของฉัน”
จำได้ว่าครั้งหนึ่ง ระหว่างการเลือกตั้งผู้นำประจำปีของคริสตจักร ฉันจับตาดูผลการเลือกตั้งของเวนดี้อย่างใกล้ชิด ฉันคิดกับตัวเองว่า “ความเป็นมนุษย์ของเธอไม่ดีจึงไม่มีทางได้รับเลือกหรอก” แต่ผิดคาด ทุกคนบอกว่าเธอแบกรับภาระในหน้าที่และมีความรับผิดชอบมาก ไม่มีใครพูดอะไรเลยเกี่ยวกับปัญหาที่เห็นตำตาในความเป็นมนุษย์ของเธอ ผู้นำระดับสูงยังบอกด้วยว่าเวนดี้เป็นคนที่เหมาะสม ฉันรู้สึกสับสนมาก “งั้นก็ไม่มีใครมีวิจารณญาณเกี่ยวกับเวนดี้เลยเหรอ? เธอโอหังมากและชอบเปิดโปงจุดอ่อนของคนอื่น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีนะ” ฉันไม่อยากเป็นคู่ร่วมงานกับเธออีกแล้วจริงๆ แต่พอผลออกมา เราทั้งคู่ได้รับเลือกเป็นผู้นำ ฉันรู้สึกอึดอัดมากเมื่อนึกถึง การที่ฉันต้องร่วมทำงานกับเวนดี้ต่อไปข้างหน้า หลังจากนั้นฉันก็จะไม่ค่อย ไปหาเวนดี้เพื่อหารือเรื่องงาน ส่วนใหญ่แล้วเป็นเวนดี้ที่มาหาฉัน และฉันจะเลื่อนการประชุมออกไปให้มากเท่าที่ทำได้ ฉันจะคุยกับเธอเฉพาะเมื่อเลื่อนไม่ได้อีกแล้ว และไม่เต็มใจที่จะเปิดอกแล้วพูดสิ่งที่อยู่ในใจกับเธอ ครั้งหนึ่ง พี่น้องชายสองคนรายงานปัญหากับเวนดี้ พวกเขาพูดกันว่าเธอไม่ค่อยสามัคคีธรรมถึงการเข้าสู่ชีวิต และดูเหมือนจะมุ่งเน้นไปที่งานมากกว่า ฉันตระหนักว่าตั้งแต่ที่ร่วมงานกับเวนดี้ เธอแทบไม่ได้พูดถึงการเข้าสู่ชีวิตเลย และเธอไม่แข็งขันในการสามัคคีธรรมระหว่างการชุมนุม โดยที่ไม่สนใจจะเข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงของเธอหรือสามัคคีธรรมกับเธอ ฉันก็ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกับมัคนายกสองคนทันที โดยผิวเผิน ฉันแค่กำลังพูดถึงปัญหาของเธอ แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่ฉันพูดคือ “เวนดี้เป็นผู้นำคริสตจักร และถ้าเธอมุ่งเน้นแต่เรื่องงานและไม่ให้ความสำคัญกับการสามัคคีธรรมเพื่อแก้ไขปัญหา งั้นเธอก็ไม่เหมาะกับหน้าที่นี้” ณ ตอนนั้น ฉันกำลังพูดเพื่อรับใช้เจตนารมณ์ส่วนตัว มัคนายกเห็นด้วยกับฉันว่าเวนดี้ไม่ได้ให้คุณค่ากับการเข้าสู่ชีวิต และไม่เหมาะกับการเป็นผู้นำคริสตจักร ฉันยังบอกพวกเขาด้วยว่า “เวนดี้ค่อนข้างเจ้ากี้เจ้าการ และเวลาพูดก็ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่น ซึ่งอาจเป็นการตีกรอบได้” ทันทีที่ฉันพูดแบบนั้น หนึ่งในมัคนายกก็แทรกเข้ามาบอกว่าเวนดี้เพิ่งพูดถึงข้อบกพร่องของเธอ และเธอก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก คำพูดนี้พิสูจน์ให้ฉันเห็นมากขึ้นอีกว่าเวนดี้มีปัญหากับความเป็นมนุษย์ของเธอ ฉันก็เลยพูดว่า “เวนดี้มีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีและค่อนข้างเย็นชา” แล้วฉันก็ยกบางตัวอย่างขึ้นมาให้พวกเขาฟัง แม้ตอนพูดจะรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่พอคิดว่าเวนดี้ตีกรอบฉันยังไง ฉันก็รู้สึกแน่ใจว่าเธอมีปัญหา หลังจากได้ยินฉันพูด มัคนายกทั้งสองก็เห็นพ้องว่าเวนดี้มีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี พวกเขาก็กระซิบกระซาบวิจารณ์เวนดี้เหมือนที่ฉันทำด้วย และเมื่อเราจะมีการชุมนุมออนไลน์ เราจะส่งข้อความหากันขณะที่เวนดี้กำลังสามัคคีธรรม บอกว่าการเข้าสู่ชีวิตกับการสามัคคีธรรมของเธอแย่แค่ไหน ครั้งหนึ่ง มัคนายกกับพี่น้องหญิงอีกคนมาคุยเกี่ยวกับสภาวะปัจจุบันของฉัน เมื่อพวกเขาถามว่าการร่วมงานกันของฉันกับเวนดี้เป็นยังไงบ้าง ฉันตอบว่า “เธอค่อนข้างเจ้ากี้เจ้าการ น้ำเสียงของเธอไม่เหมาะสม และบางครั้งเธอก็เมินฉันเวลาฉันคุยกับเธอ เธอดูค่อนข้างเย็นชาและฉันรู้สึกว่าเธอตีกรอบฉัน” ในตอนนั้น พี่น้องหญิงสองคนนี้ไม่มีวิจารณญาณเกี่ยวกับฉัน และบอกว่าจะแสวงหาจากผู้นำระดับสูง จะยังไง เมื่อมองว่าเวนดี้เป็นผู้นำคริสตจักร ปัญหาใดๆ ที่เธอมีจะส่งผลต่องานของคริสตจักร หลังจากได้ยินดังนั้นฉันก็คิดว่า “ถ้าเธอโดนผู้นำระดับสูงปลด ฉันก็จะไม่ต้องร่วมงานกับเธออีกแล้ว”
วันรุ่งขึ้นเรามีการประชุมกับผู้นำระดับสูง แล้วฉันก็ยกปัญหาต่างๆ ของเวนดี้ขึ้นมามากมาย ฉันพูดถึงการเข้าสู่ชีวิตกับความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีของเธอ และฉันรู้สึกถูกเธอตีกรอบยังไงบ้าง พี่น้องหญิงอีกสองคนก็แสดงความคิดเห็นของตัวเองเช่นกัน ผู้นำระดับสูงแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเรื่องทั้งหมดนั้น เธอบอกว่าเธอคุ้นเคยกับเวนดี้และไม่ตระหนักเลยว่าเวนดี้เป็นแบบนั้น เธอรับปากว่าจะรับเรื่องนี้ไปตรวจสอบต่อ เพียงไม่กี่วันต่อมา ผู้นำระดับสูงก็แจ้งให้ฉันทราบ ว่าจากวิธีที่ฉันจัดการเวนดี้ ที่ฉันรุมเธอ แอบพยายามบ่อนทำลายเธอ ตัดสินเธอ และไม่ได้แสดงบทบาทที่ดี เห็นได้ชัดว่าฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี ไม่ควรค่าแก่การบ่มเพาะ และตามหลักธรรม ฉันควรถูกปลด ฉันตกใจมาก ไม่เคยนึกเลยว่าสิ่งต่างๆ จะกลายเป็นแบบนั้น “รุม” “แอบบ่อนทำลาย” “ตัดสิน” “ความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี” “ไม่ควรค่าแก่การบ่มเพาะ” การบรรยายอุปนิสัยเหล่านี้กระทบฉันอย่างแรง ฉันไม่อยากจะเชื่อ นับประสาอะไรที่จะเต็มใจยอมรับ ฉันแค่ไม่เข้าใจว่า ตั้งแต่ยังเด็ก คนอื่นมักจะนับถือฉันเสมอ เป็นไปได้ยังไงที่ตอนนี้เธอมาบอกว่าฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี? ฉันฟังเธอผิดไปหรือเปล่า? กระบวนการถูกเปิดโปงและชำแหละนั้นราวกับฝันร้าย และฉันรู้สึกเจ็บปวดมาก หลังจากถูกปลด ฉันก็ไม่อยากเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันยอมรับคำวิจารณ์ความเป็นมนุษย์ของฉันนั้นไม่ได้ ไม่คิดว่าฉันเป็นคนแบบนั้น และไม่ได้สนใจที่จะทบทวนตนเองเลย พอพูดถึงการถูกปลด ฉันก็กลบเกลื่อนธรรมชาติร้ายแรงของสถานการณ์ บอกว่าผู้คนพูดเสมอว่าฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ดี ใจดีและเข้าอกเข้าใจ ฉันหมายความว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุและไม่สะท้อนถึงธรรมชาติที่แท้จริงของฉัน หลังจากนั้น หลายครั้งที่ผู้นำของฉันพิจารณามอบหมายหน้าที่สำคัญให้ฉัน แต่สุดท้ายก็ปัดตกไป เนื่องจากความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีของฉัน นี่ทำให้ฉันรู้สึกแย่มาก และฉันร้องไห้โอดครวญถึงพระเจ้าว่า “พระเจ้า ไม่มีการช่วยข้าพระองค์ให้รอดจริงเหรอ? ความเป็นมนุษย์ของข้าพระองค์แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ? โปรดทรงนำข้าพระองค์ให้รู้จักตนเองด้วยเถิด ข้าพระองค์ยินดีที่จะทบทวน” หลังจากอธิษฐานแล้ว ฉันก็บังเอิญเจอพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “ในชีวิตประจำวันของพวกเจ้า พวกเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าในเรื่องใดบ้าง? และเจ้าไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าในเรื่องใดบ้าง? เจ้าสามารถชังใครบางคนได้หรือไม่เมื่อพวกเขาล่วงเกินเจ้าหรือรุกล้ำผลประโยชน์ของเจ้า? และเมื่อเจ้าชังใครบางคน เจ้าสามารถลงโทษพวกเขาและแก้แค้นได้หรือไม่? (ได้) เช่นนั้นแล้วเจ้าก็น่ากลัวทีเดียว! หากเจ้าไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และสามารถทำสิ่งทั้งหลายที่ชั่วได้ เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยอันชั่วร้ายนี้ของเจ้าก็ร้ายแรงเกินไปยิ่งนัก! ความรักและความชังคือสิ่งทั้งหลายที่สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรจะมี แต่เจ้าต้องแยกความแตกต่างให้ชัดเจนระหว่างสิ่งที่เจ้ารักและสิ่งที่เจ้าชัง ในหัวใจของเจ้า เจ้าควรจะรักพระเจ้า รักความจริง รักสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก และรักพี่น้องชายหญิงของเจ้า ในขณะที่เจ้าควรจะชังซาตานและพวกมาร ชังสิ่งทั้งหลายที่เป็นลบ ชังศัตรูของพระคริสต์ และชังคนชั่ว หากเจ้าสามารถบดขยี้และแก้แค้นพี่น้องชายหญิงของตนด้วยความชิงชัง การนี้จะน่ากลัวมาก และการนี้เป็นอุปนิสัยของบุคคลที่ชั่ว ผู้คนบางคนเพียงแค่มีความคิดและแนวคิดที่เปี่ยมไปด้วยความชิงชัง—แนวคิดที่ชั่ว แต่พวกเขาจะไม่มีวันทำสิ่งใดที่เป็นความชั่ว ผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่คนชั่วเพราะเมื่อบางสิ่งเกิดขึ้น พวกเขาก็สามารถแสวงหาความจริงได้ และพวกเขาให้ความสนใจกับหลักธรรมในวิธีที่พวกเขาปฏิบัติตนเองและจัดการกับสิ่งทั้งหลาย เมื่อพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น พวกเขาไม่ร้องขอจากคนอื่นมากกว่าที่พวกเขาควรจะร้องขอ หากพวกเขาเข้ากันได้ดีกับบุคคลนั้น พวกเขาจะมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลนั้นต่อไป หากพวกเขาเข้ากันไม่ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ต่อไป การนี้แทบจะไม่มีผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรือการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาเลย พระเจ้าทรงอยู่ในหัวใจของพวกเขาและพวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขาไม่เต็มใจที่จะล่วงเกินพระเจ้า และกลัวการทำเช่นนั้น แม้ว่าผู้คนเหล่านี้อาจจะเก็บงำความคิดและแนวคิดที่ไม่ถูกต้องบางอย่างไว้ พวกเขาก็สามารถละทิ้งและกบฏต่อความคิดและแนวคิดเหล่านั้นได้ พวกเขาใช้ความยับยั้งชั่งใจในการกระทำของตน และไม่เอ่ยถ้อยคำสักคำที่ไม่เหมาะสม หรือถ้อยคำที่ล่วงเกินพระเจ้า ใครบางคนที่พูดและกระทำในหนทางนี้เป็นใครบางคนที่มีหลักธรรมและปฏิบัติความจริง บุคลิกลักษณะของเจ้าอาจเข้ากันไม่ได้กับบุคลิกลักษณะของอีกบุคคลหนึ่ง และเจ้าอาจจะไม่ชอบพวกเขา แต่เมื่อเจ้าทำงานด้วยกันกับพวกเขา เจ้าก็ยังคงไม่ลำเอียงและจะไม่ระบายความคับข้องใจของตนในการทำหน้าที่ หรือไม่ปล่อยให้ความคับข้องใจของตนส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของครอบครัวของพระเจ้า เจ้าสามารถรับมือกับกิจธุระทั้งหลายตามหลักธรรมได้ นี่เป็นการสำแดงของสิ่งใด? เป็นการสำแดงของการมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าแบบพื้นฐาน หากเจ้ามีมากกว่านั้นเล็กน้อย เมื่อเจ้าเห็นว่าคนอื่นมีความพร่องหรือความอ่อนแอบางประการ เช่นนั้นแล้วต่อให้พวกเขาล่วงเกินเจ้าหรือมีอคติต่อเจ้า เจ้าก็ยังคงมีความสามารถในการปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างถูกต้องและช่วยเหลือพวกเขาอย่างเปี่ยมรัก การนี้หมายความว่ามีความรักอยู่ในตัวเจ้า หมายความว่าเจ้าเป็นบุคคลที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ หมายความว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่มีเมตตาและสามารถปฏิบัติความจริง หมายความว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ซึ่งมีความเป็นจริงความจริง และหมายความว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า หากเจ้ายังคงมีวุฒิภาวะน้อยแต่เจ้ามีเจตจำนง และเต็มใจที่จะเพียรพยายามเพื่อความจริง และเพียรพยายามที่จะทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรม และเจ้าสามารถจัดการกับสิ่งทั้งหลายและปฏิบัติตนต่อผู้อื่นโดยมีหลักธรรม เช่นนั้นแล้วการนี้ก็นับเป็นการมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้างเช่นกัน นี่คือพื้นฐานที่สุด หากเจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์แม้แต่การนี้ และไม่สามารถยับยั้งตนเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวงและเจ้าก็น่ากลัวทีเดียว หากเจ้าได้รับตำแหน่งมา เจ้าก็สามารถลงโทษผู้คนและทำให้พวกเขามีเวลาอันยากลำบาก แล้วเจ้าก็จะหมิ่นเหม่ต่อการกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ในเวลาใดก็ได้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เงื่อนไขห้าประการที่ต้องทำเพื่อออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า) ฉันได้เรียนรู้ผ่านพระวจนะของพระเจ้าว่า ผู้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าจะไม่พูดและทำอย่างขาดจิตสำนึก ต่อให้ผู้อื่นจะคุกคามผลประโยชน์ของตัวเอง พวกเขาก็จะไม่โจมตีหรือขับไล่ผู้คนเพราะกลัวล่วงเกินพระเจ้า พระเจ้าทรงไม่มีที่ในหัวใจของผู้ที่ไม่ยำเกรงพระองค์ พวกเขาจึงทำและพูดตามอำเภอใจ พวกเขาลงโทษและแก้แค้นใครก็ตามที่คุกคามผลประโยชน์ของตัวเอง พระเจ้าตรัสว่านี่คืออุปนิสัยของคนชั่ว วลี “อุปนิสัยของบุคคลที่ชั่ว” นี้ทำร้ายจิตใจมาก และภาพที่ฉันปฏิสัมพันธ์กับเวนดี้ก็หลั่งไหลมาเป็นฉากๆ เธอพูดค่อนข้างตรงไปตรงมา และเธอก็มักจะให้คำแนะนำและชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในหน้าที่ของฉัน ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเสียหน้า เพราะงั้น ฉันจึงรู้สึกว่าเวนดี้มีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีและเข้ากันได้ยาก บางครั้งที่ฉันคุยกับเวนดี้แล้วเธอไม่ตอบทันที กลายเป็นว่าฉันยิ่งมั่นใจว่าเธอมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีและไม่ชอบเธอมากขึ้นไปอีก เมื่อได้ยินคนบอกว่าเธอไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การเข้าสู่ชีวิต ฉันไม่ได้ดูบริบทและไม่ได้คำนึงถึงพฤติกรรมที่คงเส้นคงวาของเธอ แล้วถือโอกาสบอกเรื่องนี้กับเหล่าผู้ร่วมงานของฉัน บอกไปว่าเวนดี้มุ่งเน้นที่การทำงาน ไม่ใช่การเข้าสู่ชีวิต จึงไม่เหมาะในการทำหน้าที่เป็นผู้นำ ฉันอยากจะดึงพวกเขามาอยู่ข้างฉันเพื่อให้เวนดี้โดดเดี่ยว ตอนนี้มานึกย้อนกลับไป เวนดี้กดดันอย่างมากในฐานะผู้ดูแลงานข่าวประเสริฐของคริสตจักร เธอมีงานมากมายที่ต้องติดตาม และบางครั้งเธอก็กระวนกระวายเมื่อมีปัญหาในการทำงานและไม่ได้ผลลัพธ์ มีแค่การพูดแต่เรื่องงานและไม่มุ่งเน้นที่การสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงเท่านั้นที่เป็นการเบี่ยงเบนในหน้าที่ของเธอ นั่นไม่ได้แปลว่าเธอไม่เหมาะกับหน้าที่นี้ แต่ฉันตัดสินเวนดี้ด้วยความตั้งใจให้เธอถูกปลด เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ต้องเป็นคู่ร่วมงานกับเธออีกแล้ว ฉันพยายามจะลงโทษเธอไม่ใช่เหรอ? ยิ่งกว่านั้น ทุกคนก็มีอารมณ์ไม่ดีได้บ้างบางครั้ง ใครบ้างที่สบายใจไร้กังวลตลอดได้? ยังไงซะเวนดี้ก็ยุ่งกับงาน จึงเป็นปกติที่เธอไม่มีเวลามาสนใจฉัน นั่นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่ฉันทำให้เรื่องที่เธอเมินฉันเป็นเรื่องใหญ่ และสรุปว่าเธอมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีและเย็นชาเกินไป การสรุปนี้ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ฉันตีตราเธออย่างสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยตราที่ไม่สมเหตุสมผลและกล่าวโทษเธอ ฉันยังแพร่แนวคิดเหล่านี้ให้พี่น้องหญิงคนอื่นๆ ด้วย ซึ่งทำให้พวกเธอมีอคติต่อเวนดี้มากขึ้นไปอีก และยังตัดสินเวนดี้ลับหลังตามฉัน และเลิกมุ่งเน้นที่หน้าที่ของตัวเอง อุปนิสัยของฉันต้องร้ายกาจมากถึงทำอะไรแบบนั้น พอการกระทำและคำพูดของเวนดี้คุกคามผลประโยชน์และชื่อเสียงของฉัน ฉันกล่าวโทษ โจมตี และแก้แค้นเธอ ฉันเห็นว่าฉันไม่มีความยำเกรงพระเจ้าในหัวใจเลยแม้แต่น้อย ในฐานะผู้นำคริสตจักร ไม่ใช่แค่ฉันล้มเหลวในการเป็นคู่ร่วมงานที่ดีกับพี่น้องของฉันและปฏิบัติหน้าที่ตามหลักธรรม แต่ยังเป็นผู้นำในการทำความชั่วและขัดขวางงานคริสตจักรด้วย ฉันไม่คู่ควรกับการทำหน้าที่สำคัญขนาดนี้จริงๆ ฉันได้คิดว่าฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ยอดเยี่ยม ใจดีและเข้าอกเข้าใจ แต่นั่นเพียงเพราะคนอื่นไม่ได้คุกคามผลประโยชน์ของฉัน ทันทีที่ถูกคุกคาม ธรรมชาติอันชั่วร้ายของฉันก็ถูกเปิดโปง และฉันสามารถตัดสิน โจมตี และแก้แค้นผู้คนได้ เมื่อตระหนักเช่นนี้เท่านั้น ฉันจึงเห็นว่าฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี ฉันถูกปลดจากความชอบธรรมของพระเจ้า ฉันสมควรได้รับชะตากรรมนั้น
หลังจากนั้นฉันก็เปิดใจกับพี่น้อง ชำแหละเจตนารมณ์เบื้องหลังการกระทำของตัวเอง และแบ่งปันการทบทวนและความรู้เกี่ยวกับตัวฉันเอง พี่น้องทุกคนต่างให้กำลังใจฉัน พวกเขากล่าวว่า “คุณสามารถได้รับความรู้ในตนเองผ่านการถูกปลด นี่เป็นสิ่งที่ดี!” ฉันได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวเองอยู่บ้างผ่านประสบการณ์นั้น และรู้สึกหดหู่ใจน้อยลง ฉันยังยอมรับการถูกเปิดโปงในระดับหนึ่งได้ด้วย ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ได้ทำชั่วอย่างแท้จริง ต่อแต่นี้ข้าพระองค์ยินดีที่จะกลับใจ” หลังจากนั้น เวลาที่ฉันเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเองเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ฉันจะอธิษฐานต่อพระเจ้า ทบทวนตนเอง และมุ่งเน้นที่การร่วมมือกับผู้อื่นอย่างสามัคคี แล้วก็เริ่มแสวงหาอย่างจริงจังมากขึ้นด้วยในหน้าที่ของฉันเอง และรู้สึกว่าวันเวลาของฉันอุดมสมบูรณ์ หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผู้นำระดับสูงของฉันก็มาหา แล้วบอกว่า เมื่อก่อนฉันโอหังเกินไป ไม่ยอมรับคำแนะนำของคนอื่น และไม่ปฏิบัติต่อผู้อื่นตามหลักธรรม แต่หลังจากถูกปลดแล้ว ฉันก็เรียนรู้ที่จะทบทวนและรู้จักตนเอง ทุกคนจึงเห็นพ้องให้ฉันกลับมาทำหน้าที่ผู้นำอีกครั้ง พอได้ยินแล้วฉันก็ประหลาดใจมาก ไม่เคยนึกเลยว่าฉันจะมีโอกาสได้เป็นผู้นำอีกครั้ง ฉันซาบซึ้งจนบรรยายไม่ถูก และเต็มไปด้วยความสำนึกรู้คุณพระเจ้า ขณะเดียวกัน ฉันก็เสียใจมากกับทุกสิ่งที่ฉันทำในอดีต ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าในหัวใจ และแน่วแน่ที่จะกลับใจ ไม่ทำผิดซ้ำรอยเดิม ร่วมมือกับผู้อื่นอย่างดีและใส่ใจในหน้าที่
ต่อมา ฉันทบทวนตนเองอีกครั้งว่า “ทำไมเมื่อก่อนฉันถึงละทิ้งอคติต่อเวนดี้ไม่ได้ และถึงกับตัดสินเธอลับหลังและบ่อนทำลายเธอ?” ครั้งหนึ่งในระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันบังเอิญพบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “อันดับแรกเลยก็คือ สำหรับศัตรูของพระคริสต์ เมื่อเป็นเรื่องของการถูกตัดแต่ง พวกเขาไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ และมีเหตุผลต่างๆ ที่พวกเขาไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ โดยเหตุผลหลักก็คือในยามที่ถูกตัดแต่ง พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาเสียหน้าไปแล้ว พวกเขาได้สูญเสียความมีหน้ามีตา สถานะ และศักดิ์ศรีของตนไปแล้ว พวกเขาถูกทิ้งไว้ให้ไม่สามารถเงยหน้าต่อหน้าทุกคนได้ สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบในหัวใจของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับการถูกตัดแต่ง และพวกเขาก็รู้สึกว่าใครก็ตามที่ตัดแต่งพวกเขาตั้งใจที่จะทำร้ายพวกเขาและเป็นศัตรูของพวกเขา นี่คือวิธีคิดของพวกศัตรูของพระคริสต์ในยามที่พวกเขาถูกตัดแต่ง เจ้ามั่นใจในเรื่องนี้ได้ ในข้อเท็จจริงแล้ว การที่ใครบางคนสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่ อีกทั้งการที่ใครบางคนสามารถนบนอบอย่างแท้จริงได้หรือไม่นั้น ถูกเผยให้เห็นมากที่สุดในการตัดแต่งนั่นเอง การที่ศัตรูของพระคริสต์ต่อต้านการตัดแต่งอย่างมากนั้นเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขารังเกียจความจริงและไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นนี่ย่อมเป็นประเด็นสำคัญของปัญหา ความภาคภูมิใจของพวกเขาไม่ใช่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ การไม่ยอมรับความจริงคือแก่นแท้ของปัญหา เมื่อพวกเขาถูกตัดแต่ง ศัตรูของพระคริสต์เรียกร้องให้ทำการตัดแต่งด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่ดี หากน้ำเสียงของผู้กระทำการจริงจังและท่าทีของพวกเขาเข้มงวด ศัตรูของพระคริสต์จะต่อต้านและแข็งขืน และยิ่งเดือดดาลจากความละอาย พวกเขาไม่ใส่ใจว่าสิ่งที่ถูกเปิดโปงในตัวพวกเขาถูกต้องหรือไม่ หรือนั่นเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ และพวกเขาก็ไม่ทบทวนว่าพวกเขาทำผิดพลาดไปตรงไหนหรือพวกเขาควรยอมรับความจริงหรือไม่ พวกเขาคิดเพียงแค่ว่าความทะนงตนและความภาคภูมิใจของพวกเขาได้รับผลกระทบหรือไม่ ศัตรูของพระคริสต์ไม่สามารถรับรู้ได้โดยสมบูรณ์ว่าการตัดแต่งเป็นประโยชน์ต่อผู้คน และเปี่ยมรัก และมีเจตนาในการช่วยให้รอด สิ่งเหล่านี้มีประโยชน์ต่อผู้คน พวกเขามองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำ นี่เป็นการที่พวกเขาไม่แยกแยะและไม่มีเหตุผลไปหน่อยมิใช่หรือ? แล้วเมื่อเผชิญกับการถูกตัดแต่ง ศัตรูของพระคริสต์เผยอุปนิสัยใดออกมา? โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าอุปนิสัยนั้นก็คืออุปนิสัยของการรังเกียจความจริง ตลอดจนอุปนิสัยของความโอหังและการดื้อแพ่ง นี่เผยให้เห็นว่าแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ก็คือแก่นแท้ของการรังเกียจความจริงและการเกลียดชังความจริง” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่แปด)) พระเจ้าทรงเผยว่าศัตรูของพระคริสต์กังวลมากเกินไปกับการปกป้องสถานะและชื่อเสียงของพวกเขา และเมื่อเผชิญกับการตัดแต่งก็ไม่ทบทวนและไม่รู้จักตนเองเลยสักนิด แต่กลับต่อต้าน ปฏิเสธ และคิดไปว่าคนอื่นจ้องเล่นงานตัวเอง พวกเขายังโจมตีและแก้แค้นผู้คนด้วย พฤติกรรมทั้งหมดนี้แสดงถึงอุปนิสัยที่รังเกียจและเกลียดความจริง พอนำพระวจนะของพระเจ้ามาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ของฉัน ก็เห็นว่าการตัดสิน บ่อนทำลาย โจมตี และล้างแค้นเวนดี้ที่ฉันทำ ล้วนเป็นการแสดงถึงอุปนิสัยศัตรูของพระคริสต์ของฉัน เวลาที่ฉันร่วมงานกับเวนดี้ เธอมักจะให้คำแนะนำและชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของฉัน แต่เธอไม่ได้ตัดแต่งฉัน ฉันไม่ได้ทบทวนว่าสิ่งที่เวนดี้พูดนั้นเป็นจริงไหม หรือฉันทำผิดหรือไม่ หรือฉันเรียนรู้อะไรได้จากสิ่งที่เธอพูด แต่ฉันกลับเอาแต่จับตามองเธอ คิดว่าเธอจ้องเล่นงานฉันและดูถูกฉัน ถึงกับสรุปว่าเธอมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี ฉันไม่รู้ปัญหาของตัวเองเลยสักนิด ตอนนั้น ฉันดำรงตำแหน่งผู้นำคริสตจักรและแบ่งเวลาดูแลงานธุรการด้วย แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งงานธุรการ จึงไม่กล้าบริหารจัดการหรือสอบถามเกี่ยวกับงานนั้น และไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นที่มีทักษะในด้านนั้นด้วย ฉันทำงานที่เป็นจริงไม่ได้ เวนดี้ถูกแล้วที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด! เมื่อเวนดี้ยกความเบี่ยงเบนในการทำงานของฉันขึ้นมาพูด และให้คำแนะนำบางอย่างแก่ฉัน นั่นคือเธอกำลังช่วยฉันปรับปรุงตัว แต่ฉันกลับคำนึงเพียงชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง และรู้สึกว่าเธอกำลังตั้งคำถามถึงความสามารถในเรื่องการงานของฉัน ฉันยังเอาคำเตือนและความช่วยเหลือของเธอมาถือเป็นเรื่องส่วนตัว และเสาะหาการตอบโต้เธอด้วยการชักจูงคนอื่นให้มาอยู่ข้างฉัน และให้คนมาตัดสินและขับไล่เวนดี้ด้วยกันกับฉัน ทั้งหมดนี้เป็นโทษต่อเวนดี้ และยังเป็นการสร้างบรรยากาศการทะเลาะที่ทำให้ทุกคนไม่สามารถมุ่งเน้นที่หน้าที่ของตัวเองได้ และขัดขวางงานของคริสตจักร ฉันเพิ่งจะแสดงบทบาทของซาตานไม่ใช่เหรอ? ฉันควรถูกสาปแช่งและลงโทษจริงๆ! ฉันนึกถึงคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกเอาตัวออกไปออกจากคริสตจักร พวกเขารังเกียจและเกลียดความจริง ล้มเหลวในการยอมรับสถานการณ์จากพระเจ้า และยึดติดกับผู้ที่คุกคามผลประโยชน์ของตัวเอง โดยคิดว่าคนเหล่านั้นจ้องเล่นงานตัวเอง และวิเคราะห์การกระทำของคนเหล่านี้มากเกินไป พวกเขาล้มเหลวในการทบทวนและมารู้จักตัวเองอย่างสิ้นเชิง ขณะที่ผู้อื่นคอยตักเตือน ช่วยเหลือ หรือตัดแต่งพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งกว่านั้น พวกเขาเกลียดใครก็ตามที่พยายามแก้ไขพวกเขา แล้วโจมตีและขับไล่คนเหล่านั้น รบกวนคนรอบข้าง ขัดขวางงานของคริสตจักร และในที่สุดก็ทำความชั่วมากมายจนถูกเอาตัวออกไป ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการไม่ยอมรับและรังเกียจความจริง พวกเขาล้วนได้รับสิ่งที่สมควรได้รับ! ด้วยลักษณะเหล่านี้ ฉันกำลังกระทำเหมือนคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์เลยไม่ใช่เหรอ? ฉันตระหนักว่าฉันเสื่อมทรามและมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีจริงๆ ฉันรู้สึกกลัวมาก ฉันอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมอย่างยิ่ง และถ้าฉันไม่กลับใจ พระเจ้าก็จะทรงเกลียดและกำจัดฉัน ฉันต้องคว้าโอกาสที่จะกลับใจและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง เข้ารับมือกับสถานการณ์ด้วยหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า แสวงหาความจริง ทบทวนและรู้จักตนเอง รอบคอบในการพูดของตัวเอง และตั้งเจตนารมณ์ที่ดีในการปฏิสัมพันธ์ ฉันมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่าฉันจะหยุดทำสิ่งที่เคยทำ และฉันเต็มใจยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าและกลับใจอย่างแท้จริง
ต่อมา ฉันบังเอิญเจอพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ที่ช่วยให้ฉันเข้าใจวิธีตัดสินความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่ง และวิธีปฏิบัติต่อคนที่พูดตรงไปตรงมาและให้คำแนะนำแก่ฉัน พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าต้องเข้าใกล้คนที่สามารถพูดกับเจ้าตามความจริง การมีคนเช่นนี้อยู่เคียงข้างเจ้าเป็นข้อดีอย่างยิ่งกับเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีคนดีอยู่รอบๆ ตัวเจ้าดังเช่นบรรดาผู้ที่มีความกล้าที่จะตำหนิเจ้าและเปิดโปงเจ้าเวลาที่พวกเขาค้นพบปัญหาเกี่ยวกับเจ้านั้น สามารถป้องกันไม่ให้เจ้าออกนอกลู่นอกทางไป พวกเขาไม่สนใจว่าสถานะของเจ้าคืออะไร และชั่วขณะที่พวกเขาค้นพบว่าเจ้าทำบางสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักธรรมความจริง เมื่อนั้นพวกเขาก็จะตำหนิและเปิดโปงเจ้าหากจำเป็น มีเพียงคนเช่นนี้เท่านั้นที่เป็นคนที่เที่ยงธรรม คนที่มีสำนึกถึงความยุติธรรม และไม่สำคัญว่าพวกเขาเปิดโปงและตำหนิเจ้าอย่างไร นั่นล้วนเป็นประโยชน์ต่อเจ้า และล้วนเป็นเรื่องของการกำกับดูแลเจ้าและผลักดันเจ้าไปข้างหน้า เจ้าต้องเข้าใกล้คนเช่นนี้ เมื่อมีคนเช่นนี้เคียงข้างเจ้าและช่วยเหลือเจ้า เจ้าย่อมมีความปลอดภัยมากขึ้นทีเดียว—นี่เองคือการมีการคุ้มครองจากพระเจ้า การมีคนที่เข้าใจความจริงและค้ำจุนหลักธรรมเคียงข้างเจ้าทุกวันคอยกำกับดูแลเจ้านั้นเป็นประโยชน์มากต่อการที่เจ้าทำหน้าที่และงานของเจ้าให้ดี… เมื่อเจ้าทำบางสิ่งที่ขัดกับหลักธรรม พวกเขาจะเปิดโปงเจ้า แสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นปัญหาของเจ้า และชี้ให้เห็นปัญหาและความผิดของเจ้าอย่างจริงใจเปิดเผยและซื่อสัตย์ พวกเขาจะไม่พยายามช่วยเจ้ารักษาหน้า และพวกเขาไม่แม้แต่จะให้โอกาสแก่เจ้าในการหลีกเลี่ยงความน่าอับอายต่อหน้าคนมากมาย เจ้าควรปฏิบัติต่อคนเช่นนี้อย่างไร? เจ้าควรลงโทษพวกเขาหรือเข้าใกล้พวกเขา? (เข้าใกล้พวกเขา) ถูกต้อง เจ้าควรเปิดหัวใจของเจ้าและสามัคคีธรรมกับพวกเขาโดยกล่าวว่า ‘ประเด็นปัญหานั้นที่ฉันมีซึ่งคุณได้ชี้ให้ฉันเห็นนั้นถูกต้อง ในเวลานั้นฉันเต็มไปด้วยความถือดีและความคิดเกี่ยวกับสถานะ ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นผู้นำมาเป็นเวลาหลายต่อหลายปี กระนั้นไม่เพียงแต่คุณไม่พยายามช่วยฉันรักษาหน้าเท่านั้น แต่คุณยังชี้ให้เห็นปัญหาของฉันต่อหน้าคนมากมายเหลือเกิน ดังนั้นฉันจึงไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉันเห็นว่าสิ่งที่ฉันทำจริงๆ แล้วขัดแย้งกับหลักธรรมและความจริง และฉันก็ไม่ควรทำเช่นนั้นเลย การมีตำแหน่งผู้นำมีนัยสำคัญอะไร? นี่ไม่ใช่หน้าที่ของฉันเท่านั้นหรอกหรือ? พวกเราล้วนกำลังทำหน้าที่ของพวกเราและพวกเราก็ล้วนมีสถานะเท่าเทียมกัน ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือฉันแบกรับภาระความรับผิดชอบมากกว่าเล็กน้อย ทั้งหมดก็เท่านั้นเอง หากคุณค้นพบปัญหาใดๆ ในอนาคต เช่นนั้นก็จงพูดสิ่งที่คุณควรที่จะพูด แล้วระหว่างพวกเราก็จะไม่มีความขุ่นแค้นฝังใจส่วนบุคคลใดๆ หากพวกเราแตกต่างกันในการจับใจความเกี่ยวกับความจริง เช่นนั้นพวกเราก็สามารถสามัคคีธรรมร่วมกันได้ ในพระนิเวศของพระเจ้าและเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าความจริง พวกเราควรจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่เหินห่างกัน’ นี่คือท่าทีของการปฏิบัติและการรักความจริง เจ้าควรทำอย่างไรหากเจ้าปรารถนาจะทิ้งระยะห่างจากเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์? เจ้าควรริเริ่มที่จะเข้าใกล้คนที่รักความจริง คนที่เที่ยงธรรม เข้าใกล้คนที่สามารถชี้ให้เจ้าเห็นประเด็นปัญหาทั้งหลาย ผู้ที่สามารถพูดตามความจริงและตำหนิเจ้าในยามที่ค้นพบปัญหาของเจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่สามารถตัดแต่งเจ้าในยามที่พวกเขาค้นพบปัญหาของเจ้า—นี่คือคนที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้ามากที่สุด และเจ้าก็ควรทะนุถนอมพวกเขา หากเจ้ากีดกันและกำจัดคนดีเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะสูญเสียการคุ้มครองจากพระเจ้า และความวิบัติก็จะค่อยๆ มาสู่เจ้า ด้วยการเข้าใกล้คนดีและคนที่เข้าใจความจริง เจ้าย่อมจะมีสันติสุขและความชื่นบานยินดี และเจ้าย่อมจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดความวิบัติได้ ด้วยการเข้าใกล้คนสามานย์ คนที่ไร้ยางอาย และคนที่ประจบสอพลอเจ้า เจ้าย่อมจะตกอยู่ในอันตราย ไม่เพียงแต่เจ้าจะถูกลวงและหลอกให้หลงกลอย่างง่ายดายเท่านั้น แต่ความวิบัติยังอาจมาถึงเจ้าได้ตลอดเวลาอีกด้วย เจ้าต้องรู้ว่าคนประเภทใดสามารถทำให้เจ้าได้รับประโยชน์มากที่สุด—นั่นก็คือบรรดาผู้ที่เตือนเจ้าเมื่อเจ้าทำบางสิ่งที่ผิด หรือเมื่อเจ้ายกย่องและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองและชักพาผู้อื่นให้หลงผิด นั่นสามารถทำให้เจ้าได้รับประโยชน์มากที่สุด การเข้าใกล้คนเช่นนี้คือเส้นทางเดินที่ถูกต้อง” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สี่: พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันตระหนักว่า ผู้มีสำนึกของความยุติธรรมที่ค้ำชูหลักธรรมความจริง สามารถชี้ให้เห็นได้เมื่อพี่น้องมีปัญหาหรือมีความบกพร่อง และตัดแต่ง เปิดโปง และชำแหละผู้คนได้ เมื่อพวกเขากระทำขัดต่อหลักธรรม คนเช่นนั้นมีความเป็นมนุษย์ที่ดี และฉันควรอยู่ใกล้ชิดกับพวกเขา ถ้าใครที่ภายนอกรักใคร่ เข้ากับคนได้ดี ไม่ทำให้ใครขุ่นเคืองและเป็นที่ชื่นชอบ แต่เมื่อสังเกตเห็นเหตุการณ์ที่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมหรือเป็นผลเสียต่อผลประโยชน์ของคริสตจักร แล้วพวกเขาเลือกปกป้องความสัมพันธ์ของตน และไม่ยืนหยัด เปิดโปง และหยุดปัญหา พวกเขาก็เห็นแก่ตัวและหลอกลวง และไม่ได้ปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ฉันนึกถึงที่ฉันตัดสินความเป็นมนุษย์ของผู้คนโดยอิงจากความเป็นมิตรของพวกเขา และจากที่ว่าพวกเขาพูดในทางรักษาศักดิ์ศรีของคนอื่นหรือไม่ แต่การตัดสินนี้ไม่สอดคล้องกับความจริง ฉันตระหนักว่ายุติธรรมแล้วที่เวนดี้มักจะชี้ให้เห็น ปัญหาและข้อบกพร่องของฉัน แม้ว่าจริงอยู่ที่เวนดี้พูดตรงมาก แต่เธอพูดความจริงและชี้ปัญหาของฉันได้ นี่จะช่วยฉันในการลุล่วงหน้าที่และปรับปรุงการเข้าสู่ชีวิตของฉัน ฉันควรใช้เวลากับเธอให้มากขึ้นและรับฟังข้อเสนอแนะของเธอ หากคนเรายอมรับความจริง เขาย่อมไม่ใส่ใจว่าผู้คนที่ชี้ประเด็นปัญหาของพวกเขามีน้ำเสียงแบบใด ตราบที่สิ่งที่พวกเขาพูดอย่างน้อยที่สุดเป็นจริงบางส่วน เขาย่อมจะยอมรับสิ่งนั้น แสวงหาความจริง และเรียนรู้บทเรียนบางอย่าง นี่คือการปรับปรุงสำหรับเขา หลังจากนั้นฉันก็ขอโทษเวนดี้ ฉันรู้ว่าความเสียหายที่ฉันทำกับเธอนั้นเอากลับคืนไม่ได้ แต่ถ้าฉันมีโอกาสได้ร่วมงานกับเธออีกครั้ง ฉันก็จะถนอมโอกาสนั้น
ต่อมาฉันได้ร่วมงานกับพี่น้องชายลีโอนาร์ด ลีโอนาร์ดมีขีดความสามารถที่ดีและมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองค่อนข้างมาก ถ้าเขาเห็นฉันเบี่ยงเบนในหน้าที่ เขาจะชี้บอกฉันต่อหน้าคนอื่นๆ ตอนแรก แม้จะรู้สึกอับอายเล็กน้อย แต่ฉันก็รับคำวิจารณ์ของเขาว่าเป็นบทเรียนจากพระเจ้าได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป และยังคงดำเนินต่อไปแบบเดิม ฉันก็เริ่มสุดจะทนอยู่บ้าง บางครั้งลีโอนาร์ดก็จะวิจารณ์อย่างดูแคลนนิดหน่อย และเจอข้อบกพร่องในงานของฉัน ฉันรู้สึกอายมาก ยังกับเขามองฉันทะลุปรุโปร่ง และฉันก็ไม่อยากเป็นคู่ร่วมงานกับเขาอีกแล้ว ฉันคิดว่าเขาโอหังเกินไปและน้ำเสียงของเขาก็เกินกว่าจะยอมรับได้ มีสองสามครั้งขณะหารือเรื่องการร่วมงานของฉันกับคนอื่น ที่ฉันอยากจะวิพากษ์วิจารณ์ลีโอนาร์ดในทางลบ แต่ตอนกำลังจะพูดอะไรออกไป ฉันก็คิดได้ว่าฉันผิด มีอะไรมากมายจริงๆ ให้ฉันเข้าสู่ได้ในคำวิจารณ์ของลีโอนาร์ด ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ตั้งเจตนารมณ์ที่ดีและแสวงหาวิธีการร่วมมือกับลีโอนาร์ดในทางที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันตัดสินลีโอนาร์ดด้วยเจตนาร้ายไม่ได้ ต่อมา ฉันบังเอิญพบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่เป็นประโยชน์กับฉันมาก พระเจ้าตรัสว่า “เมื่อเจ้าพบว่าตัวเจ้ากำลังทำสิ่งผิดหรือเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา หากเจ้าสามารถเปิดใจและสัมพันธ์สนิทกับผู้คนได้ นี่จะช่วยให้ผู้คนรอบตัวเจ้าเฝ้าจับตาดูเจ้า แน่นอนว่าการยอมรับการกำกับดูแลมีความจำเป็น แต่สิ่งสำคัญคือการอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ ตรวจสอบตัวเจ้าเองอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เจ้าเดินอยู่บนทางที่ผิดหรือกระทำบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องลงไป หรือในยามที่เจ้ากำลังจะลงมือหรือตัดสินใจเอาเอง แล้วมีใครบางคนที่อยู่ใกล้ตัวกล่าวถึงการนั้นขึ้นมาและเตือนให้เจ้ารู้สึกตัว เจ้าก็จำเป็นต้องยอมรับการนั้นและรีบเร่งทบทวนตนเอง ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง และแก้ไขให้ถูกต้อง นี่จะสามารถช่วยให้เจ้าไม่ก้าวเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ หากมีใครบางคนช่วยเหลือและสะกิดเตือนเจ้าเช่นนี้ เจ้าก็กำลังได้รับการคุ้มครองโดยไม่รู้ตัวมิใช่หรือ? ใช่แล้ว—นั่นคือการคุ้มครองเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน) พระวจนะของพระเจ้าเตือนฉันว่า การที่ข้างกายฉันมีคนที่มีสำนึกในความยุติธรรม ซึ่งมั่นใจที่จะพูดตรงๆ และชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของฉันทันที เป็นการคุ้มครองรูปแบบหนึ่ง ป้องกันไม่ให้ฉันหลงทาง นั่นคือความรักของพระเจ้า สิ่งที่ถูกต้องคือยอมรับสถานการณ์! ในช่วงนั้น ฉันพอใจกับการแค่ทำงานเล็กๆ แต่ฉันได้ล้มเหลวที่จะจ่ายราคาในการทำงานสำคัญใดก็ตามของการให้น้ำผู้มาใหม่ การที่ลีโอนาร์ดเตือนฉันบ่อยๆ ทำให้ฉันจริงจังกับหน้าที่ตัวเองมากขึ้นเล็กน้อย ฉันยังได้ประโยชน์มากมายจากเส้นทางการปฏิบัติที่ลีโอนาร์ดบอกมา ฉันตระหนักว่าความช่วยเหลือและคำแนะนำของเขามีค่ามาก ถ้านึกถึงว่าฉันไม่มีความจริง ยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอย่างร้ายแรง และอาจทำผิดได้ทุกเมื่อ การมีลีโอนาร์ดคอยเฝ้าดูฉันนั้น เป็นการส่งเสริมอย่างแท้จริงและจะป้องกันไม่ให้ฉันทำสิ่งชั่วร้ายมากมาย เมื่อตระหนักเช่นนี้ ฉันก็รู้สึกพร้อมแก้ไขความเบี่ยงเบนในหน้าที่ของฉัน และมีท่าทีที่ดีขึ้นต่อคำแนะนำของลีโอนาร์ด ฉันส่งข้อความไปหาเขาว่า “จากนี้ไป ถ้าคุณสังเกตเห็นสิ่งที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับฉันอีกช่วยบอกกันด้วย ฉันอาจรู้สึกอายสักนิด แต่นั่นคงจะเป็นประโยชน์สำหรับฉัน” พอตอนนี้มองย้อนกลับไปแล้ว พระเจ้าทรงวางคนเช่นนี้ไว้เคียงข้างฉันมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ฉันอยากจะเลี่ยงพวกเขามาตลอดเพราะคิดว่าเข้ากับพวกเขาได้ยาก ที่จริงคือฉันไม่เก่งในการตัดสินผู้คน ไม่รู้ว่าจะประเมินหรือปฏิบัติต่อผู้คนยังไง ฉันจึงเสียโอกาสในการเรียนรู้จากคู่ร่วมงานของฉันโดยไม่รู้ตัว เมื่อพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงสถานการณ์นี้อีกครั้ง ในที่สุดฉันก็เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์และปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างมีหลักธรรมได้ และรู้สึกเป็นอิสระมากขึ้นเยอะ! ฉันขอบคุณพระเจ้าในหัวใจ!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ