ความทุกข์คือพระพรของพระเจ้า

วันที่ 28 เดือน 01 ปี 2021

โดย หวางกาง ประเทศจีน

บ่ายวันหนึ่งในฤดูหนาวของ ค.ศ. 2008 ตอนที่พี่น้องหญิงสองคนกับผมกำลังให้คำพยานเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายต่อเป้าหมายข่าวประเสริฐคนหนึ่ง พวกเราถูกรายงานโดยผู้คนชั่ว เจ้าหน้าที่ตำรวจหกนายใช้ข้อแก้ตัวว่าจำเป็นต้องตรวจบัตรอนุญาตพำนักอาศัยของพวกเราเพื่อบุกเข้ามาในบ้านของเป้าหมายข่าวประเสริฐ ขณะที่พวกเขาเข้าประตูมา พวกเขาก็แผดเสียงว่า “อย่าขยับ!” เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายดูเหมือนว่าเสียสติไปเสียแล้วอย่างสิ้นเชิงขณะที่พวกเขากระโจนเข้าใส่ผม หนึ่งในสองคนนั้นขยุ้มเสื้อผ้าบนหน้าอกของผมและอีกคนก็คว้าแขนผม และใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดของเขามัดมือของผมไว้ด้านหลังอย่างแน่นหนา จากนั้นเขาก็ถามอย่างดุร้ายว่า “คุณกำลังทำอะไรอยู่? คุณชื่ออะไร? คุณมาจากไหน?” ผมตอบกลับไปเป็นคำถามว่า “คุณกำลังทำอะไรอยู่? คุณจับกุมผมด้วยเรื่องอะไร?” เมื่อพวกเขาได้ยินผมพูดเช่นนี้ พวกเขาก็โกรธอย่างจริงจัง และพูดอย่างก้าวร้าวว่า “ไม่สำคัญหรอกว่าเหตุผลคืออะไร คุณคือคนที่พวกเรากำลังตามหาอยู่ และคุณก็กำลังต้องมากับพวกเรา!” หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็นำตัวผมและพี่น้องหญิงสองคนไปและผลักพวกเราเข้าไปในรถตำรวจ

หลังจากที่พวกเราไปถึงสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผมไปและขังผมไว้ในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง พวกเขาสั่งให้ผมนั่งย่อตัวลงบนพื้นและจัดการเตรียมการให้พวกเขาสี่คนเฝ้าผม เนื่องจากผมได้นั่งยองๆ อยู่เป็นเวลานาน ผมจึงรู้สึกเหนื่อยมากจนไม่สามารถทนได้ ชั่วขณะที่ผมลองพยายามที่จะลุกขึ้นยืน พวกเขาก็รีบซอยเท้าเข้ามาหาและกดศีรษะผมลงเพื่อกันมิให้ผมลุกขึ้นยืน ไม่นานนักหลังจากนั้น ผมได้ยินเสียงกรีดร้องสยองขวัญของใครคนหนึ่งซึ่งถูกทรมานในห้องถัดไป และอึดใจนั้นเอง ผมก็เกิดหวาดกลัวขึ้นมาอย่างมาก คือว่า ผมไม่รู้ว่าพวกเขาจะใช้การทรมานใดกับผมเป็นลำดับถัดไป! ผมเริ่มอธิษฐานต่อพระเจ้าในหัวใจของผมอย่างเร่งด่วนว่า “โอ้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ตอนนี้ข้าพระองค์กลัวเหลือเกิน ได้โปรดทรงมอบความเชื่อและพลังให้แก่ข้าพระองค์ และทรงทำให้ข้าพระองค์ตั้งมั่นและมีความกล้า ข้าพระองค์เต็มใจที่จะยืนหยัดเป็นคำพยานต่อพระองค์ด้วยเถิด หากข้าพระองค์ไม่สามารถทนการทรมานอันโหดร้ายของพวกเขาได้ ข้าพระองค์คงจะยอมฆ่าตัวตายโดยการกัดลิ้นของข้าพระองค์เองเสียดีกว่าจะมีวันทรยศพระองค์เยี่ยงยูดาส!” หลังจากที่อธิษฐาน ข้าพระองค์รู้สึกถึงความเข้มแข็งที่เกิดขึ้นภายในตัวข้าพระองค์ และความเกรงกลัวของข้าพระองค์ก็บรรเทาลง

เย็นวันนั้นหลังหนึ่งทุ่ม พวกเขาใส่กุญแจมือไขว้แขนผมไว้ที่ด้านหลังผม นำตัวผมไปยังห้องสอบปากคำชั้นบน และผลักผมลงไปที่พื้น มีอุปกรณ์ทรมานทุกประเภท อาทิ เชือก แท่งไม้ กระบอง แส้ ฯลฯ ในมือของตำรวจนายหนึ่งมีกระบองไฟฟ้าซึ่งลั่นดัง “เปรี๊ยะๆ ” ถืออยู่ และเขาก็เรียกร้องขอข้อมูลเป็นทำนองข่มขู่ว่า “คริสตจักรของคุณมีคนกี่คนอยู่ใน? สถานที่พบปะของคุณอยู่ที่ไหน? ใครเป็นคนดูแลรับผิดชอบ? มีกี่คนที่กำลังประกาศข่าวประเสริฐอยู่ในพื้นที่? พูดออกมาสิ! ไม่อย่างนั้น คุณจะได้รับสิ่งที่กำลังจะมาถึง!” ผมมองดูอันตรายที่ปรากฏขึ้นรางๆ จากกระบองไฟฟ้า และมองดูห้องซึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทรมานอีก ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นวิตกและหวาดกลัว ผมไม่รู้ว่าผมจะมีความสามารถที่จะเอาชนะการทรมานนี้ได้หรือไม่ ดังนั้น ผมจึงร้องเรียกหาพระเจ้าเรื่อยไป เมื่อเห็นว่าผมไม่พูดอะไรเลย เขาจึงเกิดหงุดหงิดขึ้นมาและกระทุ้งผมที่สีข้างด้านซ้ายด้วยกระบองไฟฟ้า เขาปล่อยกระแสไฟใส่ผมเป็นเวลาเกือบหนึ่งนาที ผมรู้สึกทันทีเหมือนเลือดในร่างกายของผมได้ถูกต้มจนเดือดไปแล้ว ผมอยู่ในความเจ็บปวดจนสุดจะทนจากหัวจรดเท้า และผมก็กลิ้งเกลือกไปมาที่พื้นพลางแผดเสียงร้องไม่หยุด เขายังคงจะไม่ล้มเลิกกับผม และจู่ๆ เขาก็เริ่มฉุดลากตัวผมขึ้นมา และใช้กระบองเสยคางผมให้หน้าแหงนขึ้น พลางตะโกนว่า “พูดออกมาสิ! แกจะไม่สารภาพอะไรเลยหรือ?” ในการเผชิญหน้ากับการทรมานอันวิกลจริตของปีศาจเหล่านี้ ผมได้แต่กลัวว่าผมจะไม่มีความสามารถที่จะทนการทรมานของพวกเขาได้ และก็จะทรยศพระเจ้าด้วยเหตุนั้น และดังนั้น ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าในหัวใจของผมอย่างท้อแท้สิ้นหวัง ในเวลานี้ ผมคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “บรรดาคนเหล่านั้นที่มีอำนาจอาจดูเหมือนเลวทรามจากภายนอก แต่จงอย่าได้กลัวไปเลย ด้วยเหตุที่การนี้เป็นเพราะว่า พวกเจ้ามีความเชื่ออันน้อยนิด ตราบเท่าที่ความเชื่อของพวกเจ้าเพิ่มพูนขึ้น จะไม่มีอะไรยากจนเกินไป(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 75) พระวจนะของพระเจ้าได้มอบความเชื่อและพลังให้ผมอีก และผมระลึกได้ว่า ถึงแม้พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจชั่วๆ ที่อยู่ตรงหน้าผมนั้น บ้าแบบไร้เหตุผลและควบคุมไม่อยู่ แต่พวกเขาก็ถูกจัดการเตรียมการโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า หากปราศจากการทรงยินยอมของพระเจ้า พวกเขาย่อมไม่สามารถฆ่าผมได้ ตราบเท่าที่ผมพึ่งพิงความเชื่อและพึ่งพาพระเจ้า และไม่ได้ยอมให้พวกเขา พวกเขาก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องล้มเหลวไปอย่างอัปยศ ในการคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมได้เรียกระดมเรี่ยวแรงทั้งหมดของร่างกายผมคืนมาและตอบกลับไปด้วยเสียงอันดังว่า “คุณพาผมมาที่นี่ทำไม? คุณจี้ผมด้วยกระบองไฟฟ้าทำไม? ผมได้ก่ออาชญากรรมอะไรไปหรือไง?” เจ้าหน้าที่ตำรวจชั่วนั่นกลายเป็นอึ้งทำอะไรไม่ถูกไปในบัดดล เหมือนกวางที่โดนแสงไฟหน้ารถ และถูกมโนธรรมแห่งความรู้สึกผิดถ่วงจนหนักอึ้ง เขาอ้ำๆ อึ้งๆ และก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เลย จากนั้นพวกเขาก็จากไปแบบหางจุกก้น ในขณะที่มองเห็นสถานการณ์อันน่าเสื่อมเสียกับสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของซาตาน ผมได้รับการดลใจจนร้องไห้ออกมา ในสภาวะที่ลำบากใจนี้ ผมได้รับประสบการณ์กับพลังอำนาจและสิทธิอำนาจของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างแท้จริง ตราบเท่าที่ผมนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ ผมก็ย่อมจะมองเห็นกิจการของพระเจ้า เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายเข้ามาในอีกห้าหรือหกนาทีถัดมา แต่ครั้งนี้พวกเขาลองพยายามกลเม็ดอื่น เจ้าหน้าที่ผอมแห้งคนหนึ่งพูดกับผมอย่างอบอุ่นจริงๆ ว่า “ลองทำตัวดีๆ สักหน่อยนะ ตอบคำถามของพวกเรา ไม่อย่างนั้น พวกเราก็จะปล่อยคุณไปไม่ได้” ผมไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาจึงเอากระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ผมลงชื่อ เมื่อได้เห็นคำว่า “การให้การศึกษาใหม่โดยผ่านทางการใช้แรงงาน” เขียนอยู่บนกระดาษแผ่นนั้น ผมจึงไม่ยอมลงชื่อ เจ้าหน้าที่อีกคนตบเข้าที่หูซ้ายของผมอย่างสารเลว เกือบจะแรงพอที่จะส่งผมไปอยู่ที่พื้น ผมหูอื้อไปสักพักและต้องใช้เวลาค่อนข้างนานทีเดียวก่อนที่จะกลับมาได้ยินอย่างชัดเจนเหมือนเดิม พวกเขาใส่กุญแจมือผมอีกครั้งและขังผมไว้ในห้องเล็กห้องนั่น

หลังจากกลับไปที่ห้องเล็ก ผมฟกช้ำดำเขียวและสะบักสะบอม ความเจ็บปวดนั้นเกินกว่าจะทน ผมห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะไม่ให้รู้สึกหดหู่ผิดหวังในหัวใจและอ่อนแอ ผมได้ประกาศข่าวประเสริฐด้วยเจตนาที่ดี ผมได้แสดงให้ผู้คนเห็นว่า พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จมาแล้ว และว่าพวกเขาจำเป็นต้องรีบไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับการช่วยให้รอด แต่กระนั้นผมก็ได้ทนทุกข์กับการข่มเหงนี้โดยไม่ได้คาดคิด ในขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมยิ่งรู้สึกไปอีกว่าผมได้ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ผมร้องเรียกหาพระเจ้าในการอธิษฐานในความทุกข์ของผม โดยพูดว่า “โอ้ พระเจ้า วุฒิภาวะของข้าพระองค์น้อยเกินไป และข้าพระองค์อ่อนแอเกินไป ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการที่จะพึ่งพาพระองค์และยืนหยัดเป็นพยานต่อพระองค์ ขอได้โปรดนำข้าพระองค์ด้วยเถิด” ต่อมา ผมนึกขึ้นได้ถึงบทเพลงสรรเสริญเพลงหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “จงอย่าท้อแท้ จงอย่าอ่อนแอ และเราจะทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนแก่เจ้า ถนนสู่ราชอาณาจักรมิได้ราบเรียบนัก ไม่มีอะไรเรียบง่ายเช่นนั้นหรอก! เจ้าต้องการให้พระพรมาถึงเจ้าอย่างง่ายดาย ในวันนี้ ทุกคนจะต้องเผชิญกับการทดสอบอันขมขื่น หากปราศจากการทดสอบเช่นนี้ หัวใจรักของพวกเจ้าที่มีต่อเราก็จะไม่เติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้น และพวกเจ้าก็จะไม่มีรักแท้ต่อเรา แม้ว่าการทดสอบเหล่านี้ก็แค่ประกอบด้วยรูปการณ์แวดล้อมเล็กน้อยทั้งหลายเท่านั้น แต่ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าความลำบากยากเย็นของการทดสอบทั้งหลายจะแปรผันไปตามแต่ละตัวบุคคลเท่านั้น การทดสอบทั้งหลายคือพรจากเรา และมีพวกเจ้ามากน้อยแค่ไหนหรือที่เข้าเฝ้าเราบ่อยครั้งและคุกเข่าขอร้องพรจากเรา? เจ้าเอาแต่คิดว่าคำพูดที่เป็นมงคลไม่กี่คำนับเป็นพรของเราแล้ว ทว่ากลับไม่ตระหนักว่าความขมขื่นก็เป็นพรหนึ่งของเรา(“ความเจ็บปวดจากบททดสอบคือพระพรจากพระเจ้า” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ผมได้เข้าใจจากพระวจนะของพระเจ้าว่า การเผชิญหน้ากับการข่มเหงและความยากลำบากนี้ ก็เพื่อที่พระองค์จะสามารถทรงทำให้ความเชื่อและความรักของผมเพียบพร้อมได้ สภาพแวดล้อมนั้นคือพระพรของพระเจ้า ผมจะสามารถร้องทุกข์คร่ำครวญและติเตียนพระเจ้าได้อย่างไรกัน? ผมถูกจับกุมและถูกทรมาน แต่พระเจ้าก็กำลังทรงนำผมด้วยพระวจนะของพระองค์ไปจนตลอดความทุกข์ยากสาหัสทั้งหมดทั้งสิ้น นี่คือความรักของพระเจ้า ผมขับร้องบทเพลงสรรเสริญนั้นในหัวใจของผม และยิ่งผมขับร้องเพลงสรรเสริญนั้นนานขึ้นเท่าใด ผมก็ยิ่งรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามีแรงมากขึ้นเท่านั้น นั่นยังฟื้นคืนความเชื่อให้กับผมด้วยเช่นกัน และผมได้สาบานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ไม่สำคัญว่าตำรวจทรมานข้าพระองค์อย่างไร ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะยืนหยัดเป็นพยานและไม่มีวันทรยศพระองค์เป็นอันขาด ข้าพระองค์มุ่งมั่นที่จะติดตามพระองค์ไปจวบจนปลายทางสุดท้าย”

ที่สถานกักกัน พวกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีการทรมานทุกชนิดกับผมต่อไป และยุยงอยู่บ่อยๆ ให้บรรดานักโทษซ้อมผม ในความเย็นยะเยือกของฤดูหนาว พวกเขาสั่งให้บรรดานักโทษเทน้ำเย็นหลายถังใส่ผม และบังคับผมให้อาบน้ำเย็น ผมตัวสั่นเทิ้มไปด้วยความหนาวเย็นตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เมื่อได้รับประสบการณ์กับอาการใจสั่นและการเหงื่อแตก หัวใจของผมก็เจ็บปวดจนถึงจุดที่หลังของผมก็เจ็บปวดรวดร้าวเช่นกัน บรรดานักโทษที่นั่นเป็นเครื่องจักรที่ทำเงินให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน และไม่ได้มีสิทธิทางกฎหมายอันใด พวกเขาไม่มีตัวเลือกอื่นใดเลยนอกจากจะสู้ทนการถูกบีบคั้นและการถูกเอาเปรียบเยี่ยงทาส ในระหว่างวัน ผู้คุมนักโทษบังคับผมให้พิมพ์เงินกระดาษซึ่งใช้เป็นเครื่องเผาบูชาให้กับคนตาย ตอนแรกนั้น พวกเขาตั้งกฎเกณฑ์ว่า ผมจำเป็นที่จะต้องพิมพ์เงินกระดาษ 1,000 ฉบับต่อวัน จากนั้นพวกเขาก็เพิ่มจำนวนเป็น 1,800 ฉบับต่อวัน และในที่สุดแล้วก็เพิ่มเป็น 3,000 ฉบับ จำนวนนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่บุคคลซึ่งมีประสบการณ์จะทำจนครบบริบูรณ์ นับประสาอะไรกับบุคคลที่ไร้ประสบการณ์เช่นผม ในข้อเท็จจริงนั้น พวกเขาตั้งใจทำเช่นนั้นเพื่อที่ผมจะไม่สามารถทำทั้งหมดได้จนครบบริบูรณ์ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถมีข้อแก้ตัวที่จะทรมานและย่ำยีผม ตราบเท่าที่ผมไม่สามารถทำได้ตามยอดที่กำหนด เจ้าหน้าที่ตำรวจชั่วจะใส่เครื่องจองจำรอบขาของผมซึ่งหนักมากกว่า 5 กิโลกรัม และพวกเขาก็ใช้โซ่ตรวนมัดมือและเท้าของผมเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งหมดที่ผมสามารถทำได้คือนั่งนิ่งอยู่กับที่ ค้อมศีรษะของผมลง และหลังงอ ผมไม่มีความสามารถที่จะเคลื่อนไหวได้ ที่ยิ่งน่าดูหมิ่นก็คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งไร้ความรู้สึกและไร้ความเป็นมนุษย์เหล่านี้ ไม่ได้ถามหรือใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งจำเป็นพื้นฐานของผมเลย ถึงแม้ว่าโถส้วมนั้นอยู่ในห้องขังของคุก แต่ผมก็ไร้ความสามารถที่จะเดินไปให้ถึงและใช้มันได้อย่างสิ้นเชิง ผมสามารถเพียงแค่ขอความเมตตาเพื่อนร่วมห้องขังของผมให้อุ้มผมขึ้นไปบนโถส้วมเท่านั้น หากพวกเขาเป็นนักโทษที่ดีกว่าคนอื่นสักนิด พวกเขาก็จะดึงผมขึ้นไป หากไม่มีใครช่วยผมเลย ผมก็จะไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากจะอั้นไว้ เวลาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่สุดคือเวลาอาหารกลางวัน เพราะมือและเท้าของผมถูกใส่กุญแจมือเข้าด้วยกัน ผมสามารถเพียงแค่ค้อมศีรษะของผมให้ต่ำลงด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดของผม และยกมือและเท้าของผมขึ้นได้เท่านั้น นี่เป็นเพียงหนทางเดียวที่ผมสามารถหยิบหมั่นโถวใส่ปากผมได้ ผมใช้พลังงานเป็นปริมาณมากทีเดียวกับอาหารทุกคำ โซ่ตรวนเสียดสีมือและเท้าของผม เป็นเหตุให้เกิดความเจ็บปวดมากมายมหาศาล หลังผ่านไปเป็นเวลานาน ข้อมือและข้อเท้าของผมก็ได้มีผิวหนังหนาด้านแข็งสีเข้มและเป็นเงาขึ้นมา บ่อยครั้งที่ผมถูกใส่ตรวนไว้และไม่สามารถกินอาหารได้ และในโอกาสซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก บรรดานักโทษจะให้หมั่นโถวชิ้นเล็กๆ สองชิ้นแก่ผม ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะกินส่วนของผม และทั้งหมดที่ผมได้รับก็คือท้องอันว่างเปล่า ยิ่งจะให้ผมได้ดื่มน้ำนั้นยิ่งไม่ต้องพูด เดิมทีนั้น ทุกคนได้รับน้ำเพียงสองถ้วยต่อวัน แต่ผมถูกตีตรวนและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ดังนั้น ผมจึงแทบจะไม่มีความสามารถที่จะดื่มน้ำได้เลย ผมอยู่ภายใต้การทรมานอันไร้ความเป็นมนุษย์ประเภทนั้นสี่ครั้ง ซึ่งกินเวลารวมสิบวัน แม้กระทั่งในภาวะเหล่านั้น เจ้าหน้าที่ก็ได้บังคับให้ผมทำงานกะกลางคืน ผมผ่านเวลาไปอย่างเนิ่นนานโดยไม่เคยมีความสามารถที่จะกินให้อิ่มได้เลย บ่อยครั้งที่ความหิวของผมทิ้งผมให้อยู่กับอาการใจสั่น อาการคลื่นไส้ และอาการแน่นหน้าอก ผมยังได้แปรสภาพไปเป็นถุงกระดูกอีกด้วย เมื่อความหิวของผมไปถึงจุดที่ว่า ผมไม่สามารถทนได้จริงๆ ผมคิดถึงบางสิ่งซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสโต้ซาตานไปในท่ามกลางการทดลองครั้งหนึ่งว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า(มัทธิว 4:4) นั่นทำให้ผมรู้สึกทุเลาลง และผมก็รู้สึกพร้อมแล้วที่จะได้รับประสบการณ์ด้วยตนเองกับพระวจนะเหล่านั้นจากพระเจ้าในการให้ซาตานข่มเหงผม ผมอยู่ในความเงียบสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและไตร่ตรองพระวจนะของพระองค์ และก่อนที่ผมจะรู้ตัว ความเจ็บปวดและความหิวของผมก็ได้ทุเลาลงแล้ว ครั้งหนึ่งนักโทษคนหนึ่งพูดกับผมว่า “มีคนหนุ่มคนหนึ่งถูกใส่กุญแจมือและหิวตายอย่างนี้มาก่อน ผมได้เห็นว่านานหลายวันแล้วที่คุณไม่ได้กินอะไรมากมายเลย และคุณก็ยังคงกำลังใจดีมากขนาดนี้” เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ผมก็กล่าวคำขอบคุณแด่พระเจ้าอย่างเงียบๆ ผมรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า เป็นพลังแห่งชีวิตในพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่สนับสนุนผม นี่ได้ทำให้ผมรู้สึกอย่างแท้จริงว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง หนทาง และชีวิต และแน่นอนว่าเป็นรากฐานซึ่งผมควรพึ่งพาในการที่จะมีชีวิตรอด เพราะฉะนั้น ความเชื่อในพระเจ้าของผมจึงเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ในสภาพแวดล้อมนี้ของความทุกข์ ผมมีความสามารถที่จะได้รับประสบการณ์อย่างแท้จริงกับความเป็นจริงของความจริงที่ว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” นี่คือความอุดมด้วยโภคทรัพย์ของชีวิตอันล้ำค่าที่สุดอย่างแท้จริงซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่ผม และยังเป็นของประทานอันเป็นเอกลักษณ์ของผมด้วยเช่นกัน ที่มากกว่านั้นคือ ผมไม่มีวันสามารถได้มาซึ่งสิ่งนี้ได้เลยในสภาพแวดล้อมซึ่งผมไม่ได้จำเป็นที่จะต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับอาหารหรือเสื้อผ้า ความทุกข์นี้ของผมช่างมีความหมายและมีคุณค่ามากมายยิ่งนัก!

ประสบการณ์นี้ของการข่มเหงและการทรมาน ทำให้ความเกลียดชังในหัวใจผมที่มีต่อพรรคคอมมิวนิสต์แรงกล้าขึ้น ผมถูกจับกุมและอยู่ภายใต้ความทรมานทุกลักษณะ ไม่ใช่เพราะสิ่งใดที่มากไปกว่าการที่เชื่อในพระเจ้า นั่นคือการทารุณกรรมซึ่งไร้ความเป็นมนุษย์ มันช่างชั่วอย่างถึงที่สุด! ผมคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งซึ่งผมได้อ่านมาก่อนหน้านี้ที่ว่า “ผิวของทะเลที่ลึกนั้นวุ่นวายและมืด ในขณะที่คนทั่วไปซึ่งทนทุกข์กับความทุกข์ร้อนเช่นนั้นร้องต่อสวรรค์และพร่ำบ่นต่อแผ่นดินโลก เมื่อใดเล่ามนุษย์จะมีความสามารถที่จะเชิดหน้าของเขาได้? มนุษย์นั้นผอมแห้งและแรงน้อย เขาจะสามารถต่อกรกับมารที่ดุร้ายและเผด็จการนี้ได้อย่างไร? เหตุใดเขาไม่มอบชีวิตของเขาให้แก่พระเจ้าทันทีที่เขาสามารถทำได้? เหตุใดเขายังคงหวั่นไหว? เมื่อใดเขาจะสามารถทำให้พระราชกิจของพระเจ้าแล้วเสร็จได้? เมื่อถูกรังแกและกดขี่อย่างไร้จุดหมายดังนี้ ในท้ายที่สุดทั้งชีวิตของเขาจะถูกใช้ไปโดยสูญเปล่า เหตุใดเขาจึงรีบเร่งที่จะมาถึงเช่นนั้น และเร่งรุดที่จะจากไปเช่นนั้น? เหตุใดเขาจึงไม่เก็บรักษาบางสิ่งบางอย่างที่ล้ำค่าไว้เพื่อถวายพระเจ้า? เขาได้ลืมหลายสหัสวรรษแห่งความเกลียดชังไปแล้วหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) ประสบการณ์นี้ได้แสดงให้ผมเห็นแก่นแท้ที่แท้จริงของพรรคคอมมิวนิสต์ในฐานะศัตรูของพระเจ้า ศัตรูของความจริง นั่นได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับความแน่วแน่ของผมที่จะยืนหยัดเป็นพยานต่อพระเจ้า

หนึ่งเดือนต่อมา ตำรวจของพรรคคอมมิวนิสต์จีนยัดเยียดข้อหาซึ่งไม่มีเหตุผลให้ผมว่า “รบกวนความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมและทำลายการดำเนินการตามกฎหมาย” ผมถูกตัดสินโทษให้กลับตัวโดยผ่านทางการใช้แรงงานเป็นเวลาหนึ่งปี ทันทีที่ผมเข้าสู่ค่ายแรงงาน เจ้าหน้าที่ตำรวจบังคับผมให้ทำงานทุกวัน ในขณะที่ผมกำลังนับถุงอยู่ในโรงงาน ผมจะนับออกมา 100 ถุง แล้วจึงมัดถุงเหล่านั้นเข้าด้วยกัน บรรดานักโทษจะตั้งใจมาเอาถุงไปหนึ่งใบหรือหลายใบเสมอจากจำนวนที่ผมได้นับไว้แล้ว จากนั้นพวกเขาก็จะพูดว่าผมนับไม่ถูกต้อง และใช้การนั้นเป็นโอกาสเหมาะที่จะชกต่อยและเตะผม เมื่อหัวหน้าทีมเห็นผมถูกซ้อม เขาจะมาและถามผมอย่างหน้าซื่อใจคดว่าเกิดอะไรขึ้น และบรรดานักโทษก็จะเสนอหลักฐานเท็จว่าผมไม่ได้นับถุงให้พอดีจำนวน จากนั้นผมก็จะจำเป็นต้องสู้ทนต่อการระดมยิงด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์อันเข้มงวดจากหัวหน้าทีม เมื่อใดก็ตามที่ผมรู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมและอยู่ในความเจ็บปวด ผมจะขับร้องบทเพลงสรรเสริญแห่งพระวจนะของพระเจ้าในขณะที่ผมทำงานว่า “ในระหว่างวันสุดท้ายเหล่านี้พวกเจ้าต้องเป็นคำพยานต่อพระเจ้า ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าควรต้องเดินไปจนถึงวาระสิ้นสุด และแม้กระทั่งถึงลมหายใจสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง(“จงเสาะแสวงที่จะรักพระเจ้า โดยไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าใหญ่หลวงเพียงใด” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ขณะที่ผมขับร้องไปเรื่อยๆ ผมเริ่มรู้สึกได้รับการดลใจและแรงบันดาลใจ และผมไม่สามารถห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลอาบแก้มของผมได้ ผมตกลงใจแน่วแน่ผมว่า ไม่สำคัญว่าผมได้ทนทุกข์มากเพียงใด ผมจะยืนหยัดเป็นพยานต่อพระเจ้า มีพี่น้องชายอีกคนในวัยใกล้เคียงกับผมซึ่งบังเอิญถูกขังอยู่ด้วยกันกับผมในเวลานั้น พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้พูดในเวลาที่พวกเรากำลังทำงานในระหว่างวัน แต่เวลากลางคืนพวกเราจะแอบเขียนบทตอนเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและบทเพลงสรรเสริญซึ่งพวกเราได้จดจำไว้ และแลกเปลี่ยนบทตอนเหล่านั้นซึ่งกันและกันอย่างลับๆ หลังผ่านไปสักระยะหนึ่งพวกเราก็ได้รับมอบหมายให้ทำงานร่วมกัน ดังนั้น พวกเราก็จะแบ่งปันการสามัคคีธรรมกันอย่างสงบนิ่งมาก โดยช่วยเหลือและหนุนใจกันและกัน นั่นได้ช่วยบรรเทาความทุกข์ได้จริงๆ

นอกจากนี้ ผมยังถูกบังคับให้จดจำ “กฎเกณฑ์แห่งการประพฤติปฏิบัติ” ทุกเช้า และหากผมจำกฎเกณฑ์นั้นไม่ได้ ผมจะถูกทุบตี พวกเขายังบังคับผมให้ขับร้องบทเพลงซึ่งสรรเสริญพรรคคอมมิวนิสต์ด้วยเช่นกัน หากพวกเขาเห็นว่าผมไม่ได้ขับร้องหรือว่าริมฝีปากของผมไม่ได้ขยับ ผมก็จะถูกซ้อมตอนกลางคืนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเขายังลงโทษผมโดยการบังคับให้ผมถูพื้นด้วยเช่นกัน และหากผมไม่ถูพื้นตามความคาดหวังของพวกเขา ผมก็จะถูกทุบตีอย่างรุนแรง ครั้งหนึ่ง อยู่ดีๆ ก็มีนักโทษบางคนเริ่มมาต่อยและเตะผม หลังจากที่ซ้อมผมแล้ว พวกเขาก็ถามผมว่า “ไอ้หนุ่ม แกรู้ไหมว่าทำไมแกถึงถูกซ้อม? ก็เป็นเพราะแกไม่ลุกขึ้นยืนและทักทายพัศดีตอนเขาแวะมานั่นแหละ” หลังจากแต่ละครั้งที่ผมถูกทุบตี ผมรู้สึกโกรธขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรเลย ผมสามารถเพียงแค่ร้องไห้และอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ เท่านั้น โดยบอกพระองค์เกี่ยวกับความคับแค้นและความคับข้องใจในหัวใจของผม ในสถานที่ไร้กฎหมายและไร้เหตุผลแห่งนี้ ที่นี่ไม่มีความมีเหตุผลอยู่เลย มีก็แต่ความรุนแรงเท่านั้น ที่นี่ไม่มีผู้คนเลย มีแต่พวกปีศาจวิกลจริตเท่านั้น! ผมรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความกดดันมากมายยิ่งนักในการดำรงชีวิตอยู่ในเคราะห์หามยามร้ายนี้ทุกวัน ผมไม่ได้เต็มใจที่จะอยู่นานกว่านี้แม้แต่นาทีเดียว แต่ละครั้งที่ผมร่วงลงสู่ภาวะของความอ่อนแอและความเจ็บปวด ผมจะคิดเกี่ยวกับพระวจนะของผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ว่า “พวกเจ้าเคยได้ยอมรับพรทั้งหลายที่ได้มอบให้พวกเจ้าหรือไม่? พวกเจ้าเคยแสวงหาสัญญาทั้งหลายที่ได้ทำให้พวกเจ้าหรือไม่? พวกเจ้าจะฝ่าฟันผ่านเงื้อมมือของอำนาจแห่งความมืดไปภายใต้การนำจากความสว่างของเราอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะไม่สูญเสียความสว่างที่นำพวกเจ้าในท่ามกลางความมืดอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะเป็นนายแห่งสรรพสิ่งสร้างทั้งปวงอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะเป็นผู้ชนะต่อหน้าซาตานอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะยืนอยู่กลางฝูงชนเนืองแน่นมากมายมหาศาลเพื่อเป็นพยานแก่ชัยชนะของเราอย่างแน่นอน ในขณะที่อาณาจักรแห่งพญานาคใหญ่สีแดงล่มสลาย พวกเจ้าจะตั้งมั่นและไม่หวั่นไหวอย่างแน่นอนในแผ่นดินซีนิม พวกเจ้าจะสืบทอดพรของเราโดยผ่านทางความทุกข์ที่พวกเจ้าสู้ทน และจะแผ่สง่าราศีของเราไปตลอดทั่วทั้งจักรวาลอย่างแน่นอน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 19) พระวจนะของพระเจ้าได้หนุนใจผม ผมได้เข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำไปในตัวผมนั้น เป็นไปเพื่อจัดเตรียมให้กับผมและช่วยผมให้รอด เป็นการใส่ความจริงเข้ามาในตัวผมและสร้างความจริงให้เป็นชีวิตของผม พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้การข่มเหงและความทุกข์ลำบากมาพานพบผม และแม้ว่าผมได้ทนทุกข์ทางกายเป็นอย่างมาก แต่นั่นก็ได้เปิดโอกาสให้ผมเห็นอย่างชัดเจนถึงแก่นแท้ชั่วของพญานาคใหญ่สีแดงในการต้านทานและการเกลียดชังพระเจ้า รังเกียจและละทิ้งมัน หลีกหนีอิทธิพลของซาตานอย่างสิ้นเชิง และกลับคืนสู่พระเจ้าและได้รับการทำให้เป็นผู้ชนะโดยพระเจ้าอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ นั่นยังได้เปิดโอกาสให้ผมมีความสามารถที่จะได้รับประสบการณ์อย่างแท้จริงด้วยเช่นกันว่า พระเจ้าทรงอยู่กับผม นั่นเป็นเหตุให้ผมได้ชื่นชมยินดีอย่างแท้จริงในพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งกลายมาเป็นขนมปังแห่งชีวิตของผม และโคมไฟให้กับเท้าของผมและความสว่างให้กับเส้นทางของผม นำทางผมทีละก้าวให้ผ่านพ้นหลุมนรกมืดนี้ นี่คือความรักและการทรงอารักของพระเจ้าซึ่งผมได้ชื่นชมและได้มาในระหว่างการข่มเหงและความทุกข์ลำบาก ณ เวลานี้ ผมมีความสามารถที่จะเห็นได้ว่าผมหูหนวกตาบอดยิ่งนัก ในการที่เชื่อในพระเจ้านั้น ผมเพียงแค่รู้วิธีที่จะชื่นชมพระคุณและพระพรของพระเจ้าเท่านั้น และไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงและชีวิตแม้แต่ในระดับเล็กน้อย ทันทีที่เนื้อหนังของผมได้ทนทุกข์กับความยากลำบากเล็กน้อย ผมจะครวญครางโหยหวนไม่ยอมหยุด ผมไม่ได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและไม่ได้เสาะแสวงที่จะเข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าเลย ผมจะเป็นเหตุอยู่เสมอให้พระเจ้าทรงรู้สึกถึงความระทมพระทัยและความเจ็บปวดที่มีต่อตัวผม ผมช่างปราศจากมโนธรรมอย่างแท้จริง! ในขณะที่กำลังรู้สึกสำนึกผิดและติเตียนตัวเอง ผมได้อธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่า “โอ้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์สามารถเห็นได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งพระองค์ทรงทำ คือการทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดและทรงได้มาซึ่งข้าพระองค์ ข้าพระองค์เกลียดชังยิ่งนักที่ข้าพระองค์เป็นกบฏและหูหนวกตาบอดเหลือเกิน ข้าพระองค์ได้เข้าใจพระองค์ผิดเสมอ และไม่ได้คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระองค์ โอ้ พระเจ้า วันนี้พระวจนะของพระองค์ได้ปลุกหัวใจและจิตวิญญาณที่ด้านชาของข้าพระองค์ให้ตื่นขึ้น และได้เป็นเหตุให้ข้าพระองค์เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ ข้าพระองค์ไม่เต็มใจที่จะมีความอยากได้อยากมีและข้อพึงประสงค์ของข้าพระองค์เองอีกต่อไป ข้าพระองค์จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์เท่านั้น ไม่สำคัญว่าข้าพระองค์จำเป็นที่จะต้องสู้ทนความทุกข์มากเพียงใด ข้าพระองค์จะเป็นคำพยานให้พระองค์ไปจนตลอดการข่มเหงของซาตาน” หลังจากที่อธิษฐาน ผมได้เข้าใจเจตนารมณ์อันดีงามของพระเจ้า และผมได้รู้ว่า แต่ละสภาพแวดล้อมซึ่งพระเจ้าได้ทรงเปิดโอกาสให้ผมได้รับประสบการณ์ คือความรักและความรอดอันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผมของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ผมจะไม่คิดที่จะคุดคู้หัวหดอยู่ด้วยความกลัวหรือเข้าใจพระเจ้าผิดอีกต่อไป ถึงแม้ว่าสถานการณ์ยังคงเป็นอย่างเดียวกัน แต่หัวใจของผมก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นบานและความยินดีอย่างแท้จริง ผมรู้สึกว่า การมีความสามารถที่จะทนทุกข์กับความยากลำบากและการข่มเหงสำหรับการเชื่อในพระเจ้าของผมนั้นเป็นเกียรติ และนั่นคือของประทานอันเป็นเอกลักษณ์สำหรับตัวผม บุคคลหนึ่งซึ่งเสื่อมทราม นั่นคือพระพรและพระคุณอันพิเศษของพระเจ้าสำหรับผม

หลังจากที่ได้รับประสบการณ์กับความยากลำบากในคุกเป็นเวลาหนึ่งปี ผมได้เห็นว่าผมมีวุฒิภาวะน้อยนิดเหลือเกิน และว่าผมขาดพร่องความจริงมากเหลือเกิน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงชดเชยให้กับความขาดตกบกพร่องของผมอย่างแท้จริงโดยผ่านทางสภาพแวดล้อมอันเป็นเอกลักษณ์นี้ และได้ทรงเปิดโอกาสให้ผมได้เติบโต ในความทุกข์ยากของผม พระองค์ได้ทรงทำให้ผมสามารถได้มาซึ่งความอุดมด้วยโภคทรัพย์อันล้ำค่าที่สุดในชีวิต เข้าใจความจริงมากมายซึ่งผมไม่ได้เข้าใจในอดีต และเห็นอย่างชัดเจนถึงอาชญากรรมอันเลวร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการข่มเหงพระเจ้าและการทรมานคริสตชน ผมได้ระลึกรู้ถึงรูปลักษณ์อันน่าอาเจียนของปีศาจซาตานและแก่นแท้ที่ขวาจัดของมัน ผมได้รับประสบการณ์อย่างจริงจังตั้งใจกับความรอดอันยิ่งใหญ่และพระกรุณาซึ่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงมีให้กับผม บุคคลที่เสื่อมทรามคนหนึ่ง และรู้สึกว่าพลังอำนาจและชีวิตในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สามารถนำพาความสว่างมาให้ผมและเป็นชีวิตของผม และนำทางผมให้มีชัยเหนือซาตาน และเดินออกจากหุบเขาแห่งเงามรณะอย่างมุ่งมั่นไม่ท้อถอยได้ คำขอบคุณจงมีแด่พระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ตำรวจเรียกเอาเงิน

โดย กาว ฮุ่ย, ประเทศจีน เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อกรกฎาฯ ค.ศ. 2009 ค่ะ วันหนึ่ง พี่หลิวรีบร้อนมาที่บ้านฉัน...

เมื่อแม่ถูกจองจำ

โดย โจว เจี๋ย, ประเทศจีน ฉันอายุ 15 ตอนที่ฉันกับแม่หนีจากบ้าน ฉันจำได้ว่าเราออกมากลางดึกคืนหนึ่งในปี 2002 อยู่ๆ...

หลังจากถูกจับ

โดย โจว ลี่, ประเทศจีน บ่ายวันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2013 ตอนที่ฉัน กำลังไปชุมนุมพร้อมพี่สาวอีกสามคน เราตระหนักได้ว่า มีรถสองคัน...

ติดต่อเราผ่าน Messenger