พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้เห็นหนทางผ่านความทุกข์ยาก

วันที่ 30 เดือน 10 ปี 2024

ฉันจำได้ว่า มันคือคืนหนึ่งในปี 2003 ฉันกับพี่สาวที่คริสตจักรสองคนพบปะกันอยู่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหมาเห่านอกประตู ตามมาด้วยเสียงอะไรบางอย่างกระแทกประตู และเสียงคนมากมายตะโกนว่า “เปิดประตู! แกถูกล้อมไว้หมดแล้ว!” ประตูถูกกระแทกเปิดออกดังปัง แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจสิบกว่าคน ก็บุกเข้ามาต้อนเราเข้ามุม จากนั้น พวกตำรวจก็รื้อค้นไปทั่วทั้งบ้านอย่างกับโจร จนของในห้องกระจายเละเทะ จังหวะนี้ จู่ๆ เราก็ได้ยินเสียงปืนสองนัดข้างนอก ตำรวจตะโกนว่า “จับได้แล้วครับ! มีสามคน!” ฉันกลัวมากจนตัวสั่นไม่หยุด ฉันเอาแขนโอบไหล่ตัวเองไว้ แล้วขดตัวเป็นลูกบอล จากนั้น ตำรวจก็จับเราใส่กุญแจมือ ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็พาเราไปที่สนามหน้าบ้าน ที่ฉันเห็นตำรวจที่ดูท่าทางน่ากลัวอยู่อย่างน้อยยี่สิบคน ตำรวจคนหนึ่งถือกระบองไฟฟ้า ตะโกนว่า “แกสามคนฟังให้ดี! ห้ามส่งเสียงเด็ดขาด! ใครส่งเสียงฉันจะใช้กระบองนี่ช็อตซะ ถึงตายก็ไม่ผิดกฎหมาย!” หลังจากนั้น พวกเขาก็ดันเราเข้าไปในรถตำรวจ พอขึ้นรถไป ฉันก็ถูกเบียดอยู่ระหว่างตำรวจสองคน หนึ่งในนั้นใช้ขามาหนีบขาฉัน และเอาแขนโอบร่างกายท่อนบนฉันไว้ ขณะที่พูดว่า “ถ้าวันนี้ไม่ได้ฉวยโอกาสจากแก ก็คงโง่น่าดู!” เขากอดรัดฉันไว้แน่น ขณะที่ฉันพยายามดิ้นหนี จนตำรวจอีกคนพูดว่า “เลิกเล่นได้แล้ว! รีบทำภารกิจให้เสร็จจะได้ส่งเรื่องต่อ” เขาเลยยอมปล่อยฉันค่ะ ฉันไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าคนที่ควรจะเป็นตำรวจผู้ทรงเกียรติจะเป็นคนเลวแบบนี้ มันทำให้ฉันโกรธมาก

จากนั้น ตำรวจก็พาเราไปที่สถานี และขังเราไว้ในห้องเล็กๆ และล็อกกุญแจมือเราสามคนไว้กับเก้าอี้โลหะ ตำรวจคนหนึ่ง กดดันเราเพื่อถามว่าใครคือผู้นำคริสตจักร และเราพักกันที่ไหน ฉันนึกถึงหลายครั้งก่อน ที่ตำรวจพยายามจับฉัน และรู้ว่าถ้าพวกเขารู้จักชื่อและที่อยู่ของฉัน พวกเขาคงไม่มีทางปล่อยฉันไปแน่ ฉันนึกถึงที่พี่จ้าวถูกตำรวจจับและทรมานเมื่อสองปีก่อนด้วย ฉันเลยกังวลมากๆ ฉันสงสัยว่า พวกเขาจะทรมานฉันด้วยไหม ถ้าฉันทนไม่ไหวขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ เพื่อขอการทรงนำของพระองค์ ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าสองสามบรรทัดขึ้นมาได้ “และคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งครอบครัวของพระเจ้าเป็นอันดับแรกในทุกสิ่ง ทั้งยังหมายถึงการยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าและการนบนอบต่อการจัดการเตรียมการต่างๆ ของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นเช่นไร?)  ใช่แล้ว ผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าต้องมาก่อน ไม่ว่าจะสู้ทนกับการทรมานแบบไหน ฉันก็ขายพี่น้องชายหญิงไม่ได้ และจะกลายเป็นพวกยูดาสไม่ได้ ฉันต้องยืนหยัดให้คำพยานแก่พระเจ้า หลังจากนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะถามอะไร ฉันก็ไม่ตอบค่ะ เช้าวันรุ่งขึ้น รองหัวหน้ากองพันความมั่นคงแห่งชาติพูดด้วยรอยยิ้มจอมปลอมว่า “เราหว่านแหไปกว้างมาก ในที่สุดก็จับตัวแกได้สักที แต่ละวันที่ยังจับแกไม่ได้ เราก็ผ่อนคลายไม่ลง!” หลังจากนั้น เขาก็ถอดกุญแจมือออกและกระชากคอเสื้อฉันอย่างแรง แล้วฉวยโอกาสจิ้มหน้าอกฉันถึงสองครั้ง ฉันโกรธมากเลยค่ะ ตำรวจพวกนี้มันล่วงละเมิดทางเพศกันโจ่งแจ้งเลย นี่มันกุ๊ยข้างถนนชัดๆ!

จากนั้นพวกเขาก็พาฉันไปที่สถานกักกัน และถ่ายวิดีโอโดยที่ฉันไม่ยินยอม บอกว่าจะเอาไปฉายทางทีวี เพื่อทำลายชื่อเสียงของฉัน ฉันคิดว่า “ฉันแค่เชื่อในพระเจ้า ไปพบปะเพื่ออ่านพระวจนะ และเผยแผ่ข่าวประเสริฐเพื่อให้คำพยานแก่พระเจ้า ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายหรือทุจริตเสียหน่อย ข้อเท็จจริงที่พวกเขาอยากข่มเหงและหมิ่นเกียรติฉันแบบนี้ต่างหาก ที่น่ารังเกียจจริงๆ!” ฉันพูดกับพวกเขาแบบนิ่งๆ ว่า “อยากทำอะไรก็เชิญ!” พอเห็นกลยุทธ์ไม่ได้ผล พวกเขาก็จับฉันใส่กุญแจมือกับใส่ห่วงหนักห้ากิโลที่ขา และยัดฉันขึ้นรถเพื่อไปสอบปากคำ ห่วงนั่นหนักเกินไป ฉันเลยทำได้แค่เดินลากส้นเท้า ก้าวเท้าแต่ละทีก็ยากเย็น เดินได้แค่ไม่กี่ก้าว หนังส้นเท้าของฉันก็เริ่มถลอก พอขึ้นรถไป พวกเขาก็เอาหมวกสีดำมาคลุมหัวไม่ให้ฉันมองเห็น และฉันนั่งอยู่ระหว่างเจ้าหน้าที่สองคน ฉันรู้สึกกลัวเหมือนกันค่ะ คิดว่า “ตำรวจพวกนี้ไม่มีความเป็นมนุษย์เลย ไม่รู้ว่าพวกเขาจะใช้วิธีเลวร้ายแบบไหนมาทรมานฉัน ฉันจะทนไหวหรือเปล่านะ?” ฉันเลยรีบอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! โปรดทรงมอบความเชื่อให้ที ไม่ว่าจะต้องทนทุกข์กับการทรมานที่โหดร้ายแบบไหน ข้าพระองค์ก็อยากยืนหยัดเป็นพยานเพื่อให้พระองค์พอพระทัย ถึงตายก็จะไม่ทรยศพระองค์” หลังอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ความเชื่อเป็นเหมือนสะพานไม้ซุงต้นเดียว กล่าวคือ พวกที่ยึดติดอยู่กับชีวิตอย่างยอมจำนนจะประสบความลำบากยากเย็นในการข้ามสะพานนั้นไป แต่บรรดาผู้ที่พร้อมจะพลีอุทิศตัวพวกเขาเองจะสามารถข้ามไปได้ด้วยเท้าที่มั่นคงและปราศจากความกังวล  หากว่ามนุษย์เก็บงำความคิดที่ขลาดอายและเกรงกลัว นั่นก็เป็นเพราะซาตานได้หลอกพวกเขา ด้วยกลัวว่าพวกเราจะข้ามสะพานแห่งความเชื่อเพื่อเข้าสู่พระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6)  พอใคร่ครวญพระวจนะ ฉันก็เข้าใจว่า ฉันมีความคิดที่ขลาดกลัว ซึ่งเป็นการหลงกลอุบายของซาตาน และได้เห็นว่าฉันไม่ได้เชื่อพระเจ้าอย่างจริงใจ พระอธิปไตยของพระเจ้า กำหนดว่าฉันจะอยู่หรือตาย ฉันต้องเสี่ยงชีวิตและพึ่งพาพระเจ้า เพื่อยืนหยัดและให้คำพยานแก่พระองค์

จากนั้น พวกตำรวจก็พาฉันไปยังที่ที่ห่างไกลมาก พอเข้าไปในห้อง พวกเขาก็ถอดที่คลุมหัวฉันออก และสั่งให้ฉันยืนอยู่ทั้งวัน ค่ำวันนั้น ตำรวจก็กดดันฉันต่อเพื่อข้อมูลเรื่องคริสตจักร พอเห็นว่าฉัน ไม่ยอมพูดเลย พวกเขาก็สั่งให้ฉันยืนชูแขนขึ้นแบบห้ามขยับ ผ่านไปได้ไม่นาน ฉันก็เริ่มปวดแขน และไม่แน่ใจว่าจะทนได้อีกนานแค่ไหน แต่พวกเขาไม่ยอมให้ฉันเอาแขนลง จนถึงจุดที่ฉันเหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัว สั่นเทา และประคองแขนไว้ไม่ไหวแล้ว พวกเขาบังคับให้ฉันยืนอยู่จนฟ้าสาง ฉันต้องยืนอยู่จนขาชาและบวมขึ้นมา

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกตำรวจก็มาสอบปากคำฉันต่อ พวกเขาใช้ท่อนไม้ที่หนาราวสิบเซนและยาวประมาณเจ็ดสิบเซน ตีมาที่ข้อพับขาของฉันซ้ำๆ จนฉันทรุดลงไปนั่งยองๆ พอทรุดลงไป พวกเขาก็สอดไม้นั่นมาค้ำข้อพับฉันไว้ แล้วกระชากแขนฉันให้ไพล่อยู่หลังไม้ และใส่กุญแจมือฉันที่หน้าขา ฉันรู้สึกอึดอัด หายใจลำบากมาก รู้สึกราวกับเส้นเอ็นที่ไหล่ของฉันกำลังจะขาดผึง น่องของฉันเกร็งจนเหมือนมันกำลังจะแหลก ฉันเจ็บปวดมากจนตัวสั่นไม่หยุด ผ่านไปได้สักสามนาที ฉันก็พยุงตัวเองไว้ไม่อยู่ และเริ่มเซไปมา จนล้มโครมไปนอนแผ่อยู่บนพื้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินมา ใช้มือข้างหนึ่งกดไม้นั่น และใช้อีกข้างกระชากไหล่ฉันขึ้นมา ส่วนคนอื่นๆ ก็โผล่มาจากข้างหลัง แล้วยกหัวฉันขึ้น และใช้เท้าดันหลังช่วงล่างของฉันขึ้น บังคับให้ฉันกลับมานั่งยองๆ แต่จุดนี้ มันปวดไปทั้งตัวจนฉันทนไม่ไหว ไม่ช้าก็ล้มลงไปอีกครั้ง แล้วพวกเขาก็ให้ฉันลุกขึ้นอีก การทรมานซ้ำๆ แบบนี้ ดำเนินไปราวหนึ่งชั่วโมง จะหยุดก็ตอนที่พวกเขาหอบ และเหงื่อท่วมตัวเท่านั้น ผิวหนังตรงข้อมือของฉันถลอกเพราะกุญแจมือ และเท้าก็ถลอกจนเลือดออกเพราะห่วงนั่น ฉันเจ็บปวดมากจนเหงื่อท่วม พอเหงื่อเค็มๆ นั่นไปโดนแผล ฉันก็รู้สึกเหมือนโดนมีดเฉือน รู้สึกราวกับเส้นประสาทที่หลังของฉันขาดสะบั้นไปแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนไหล่เคลื่อน ราวกับถูกขึงตึงจนมันหลุด ตอนนั้นฉันมีอาการหอบ และไม่รู้ว่าในนาที หรือแม้แต่วินาทีข้างหน้า ฉันจะรอดชีวิตอยู่ไหม การเจอกับการคุกคามถึงตาย มันน่ากระวนกระวายมากค่ะ ฉันได้แต่ร้องเรียกพระเจ้าอยู่ในหัวใจ “พระเจ้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย ช่วยที!” จากนั้น ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เมื่อผู้คนพร้อมที่จะพลีอุทิศชีวิตของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นไม่สลักสำคัญ และไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้  สิ่งใดจะสามารถสำคัญกว่าชีวิตได้?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 36)  พระวจนะทำให้หัวใจฉันกระจ่าง พวกตำรวจอยากทำลายเนื้อหนังของฉัน เพื่อให้ฉันทรยศพระเจ้า นี่คือหนึ่งในกลอุบายของซาตาน ฉันจะหลงกลไม่ได้ ไม่ว่าฉันจะถูกทรมานยังไง ต่อให้จะถึงแก่ชีวิต ฉันก็ต้องทำให้พระเจ้าพอพระทัย ยืนหยัดให้คำพยานแก่พระองค์ และทำให้ซาตานอับอาย พอคิดแบบนี้ มันก็ไม่ได้เจ็บปวดมากนัก และฉันก็ไม่รู้สึก ทรมานและทุกข์ระทมมากด้วยค่ะ จากนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็สั่งให้ฉันยืนขึ้น และพูดว่า “ถ้าไม่สารภาพ ก็ยืนอยู่แบบนี้แหละ ดูซิว่าแกจะดื้อด้านได้นานแค่ไหน!” และสุดท้าย ฉันก็ยืนอยู่อย่างนั้นจนค่ำ ค่ำวันนั้น ตอนไปห้องน้ำ เท้าของฉันบวมเพราะห่วงที่ขา ส่วนแผลก็เป็นหนองและเลือดไหล เวลาเดินฉันขยับเท้าได้แค่ทีละนิด ขนาดขยับนิดเดียวก็ยังเจ็บเลย กว่าจะเดินไปกลับสามสิบเมตร ฉันต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมง และฉันทิ้งรอยเลือดที่เห็นชัดไว้เป็นทาง คืนนั้น ฉันใช้มือนวดขาที่บวมอยู่เนืองๆ ฉันยืดหดขาไม่ได้เลย มันอึดอัดมาก แต่สิ่งที่ชูใจฉัน ก็คือการนำแห่งพระวจนะของพระเจ้า ฉันไม่ได้ทรยศพระเจ้าค่ะ

ในเช้าวันที่สาม ตำรวจหญิงคนหนึ่งเข้ามา นั่งยองตรงหน้าฉัน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเอาใจว่า “เธอหิวไหมล่ะ อยากให้ฉันไปหาอะไรมาให้กินไหม?” ฉันคิดว่า “แกมันก็แค่ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ แกไม่ได้มาดีหรอก แกพยายามใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง เพื่อให้ฉัน ขายพี่น้องชายหญิง และทรยศพระเจ้า แต่ฉันจะไม่ยอมถูกหลอกหรอก” ฉันทำเฉยใส่เธอ เธอเลยถามฉันตรงๆ ว่า “ถ้ามีอะไรที่เธอไม่อยากบอกพวกเขา เธอบอกฉันได้นะ ทำไมไม่พูด จะได้ออกไปจากที่นี่ให้เร็วขึ้นล่ะ เธอเป็นผู้นำคริสตจักรหรือเปล่า เธอรับผิดชอบเรื่องไหน ติดต่อกับใครบ้าง คนพวกนั้นชื่ออะไร?” ฉันไม่ตอบ เธอเลยเตะฉันด้วยความโมโห แล้วเดินจากไป ผ่านไปสักพัก หัวหน้าตำรวจก็พูดอย่างโกรธเคืองว่า “ถ้ามันไม่พูด ก็จัดแบบเดิมให้เลย” พวกเขาใช้วิธีเดิมทรมานฉันอีกครั้ง ทุกครั้งที่ฉันล้มลง หัวหน้าคนนั้นก็จะหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านั้นดูดีว่ะ ฉันชอบให้มันอยู่ท่านั้น เอาอีก!” ฉันถูกยกกลับขึ้นมา แล้วล้มไปอีก ทุกครั้งที่ฉันล้ม พวกเขาจะหัวเราะครืน เสียงหัวเราะเยาะของพวกเขา ทำเอาฉันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ยิ่งซาตานทรมานฉัน ฉันยิ่งเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของมันชัดขึ้น เกลียดมัน ละทิ้งมันมากขึ้น พวกเขาจะไม่มีวันได้ข้อมูลเรื่องคริสตจักรจากปากฉัน เพราะว่าบวมไปทั้งตัว แถมเท้าก็อ่อนแรง บางทีฉันเลยทรงตัวไม่ได้ พยุงตัวเองไว้ไม่อยู่ และล้มลงไปดื้อๆ ทำให้หัวและไหล่ของฉันกระแทกพื้นอย่างแรง แล้วตำรวจสองคนก็ยกหัวฉันขึ้นมา ขณะที่อีกคนเหยียบปลายท่อนไม้ด้านหนึ่งเต็มแรง ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อทุกส่วนถูกกระชากออกพร้อมกัน ทั้งแขนและขากำลังจะถูกดึงออกจากตัว และหัวก็กำลังจะระเบิดด้วยความเจ็บปวด ฉันไม่มีแรงจะร้องออกมาด้วยซ้ำ ขณะที่เหงื่อเม็ดโตหยดจากหน้าผาก พวกเขาทรมานฉันอยู่แบบนั้นเป็นชั่วโมง และไม่หยุดจนกว่าพวกเขาจะเหนื่อยและเหงื่อท่วม ฉันล้มหงายหลัง เงยหน้าขื้น มันเหมือนท้องฟ้าหมุนติ้ว และฉันก็สั่นไม่หยุด ตัวของฉันเต็มไปด้วยเหงื่อเค็มๆ จนฉันลืมตาไม่ขึ้น ท้องไส้ของฉันมันปั่นป่วนเสียจนอยากจะอาเจียนออกมา ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตาย ฉันอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาในหัวใจ “พระเจ้า ข้าพระองค์ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ไม่ว่าจะอยู่หรือตาย ก็ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ แต่ข้าพระองค์ยอมตายเสียดีกว่ากลายเป็นยูดาส และยอมให้การสมคบคิดของซาตานนั้นสำเร็จ ทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด!” ตอนนั้น พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งกับฉัน ด้วยการทำให้นึกถึงพระวจนะที่ว่า “บางทีพวกเจ้าทุกคนอาจจำคำพูดเหล่านี้ได้ ความว่า ‘เพราะว่าความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา จะทำให้เรามีสง่าราศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ’  พวกเจ้าทุกคนเคยได้ฟังคำพูดเหล่านี้มาก่อน แต่ไม่มีใครในหมู่พวกเจ้าที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้เลย  วันนี้พวกเจ้าตระหนักรู้อย่างลุ่มลึกถึงนัยสำคัญที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้แล้ว  คำพูดเหล่านี้จะได้รับการทำให้ลุล่วงโดยพระเจ้าในระหว่างยุคสุดท้าย และจะได้รับการทำให้ลุล่วงในบรรดาผู้ที่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงอย่างทารุณโหดร้ายในแผ่นดินที่มันนอนขดกายอยู่  พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระเจ้า และฉะนั้น ในแผ่นดินนี้ เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าจึงตกอยู่ภายใต้การเหยียดหยามและกดขี่ และผลที่ได้ก็คือคำพูดเหล่านี้ได้รับการทำให้ลุล่วงในตัวพวกเจ้า ในคนกลุ่มนี้นี่เอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?)  พระวจนะทำให้ฉันเข้าใจว่า การเชื่อและติดตามพระเจ้าในประเทศที่อยู่ใต้กฎเยี่ยงปีศาจของพรรคคอมมิวนิสต์ แปลว่าเราต้องทนทุกข์กับการหมิ่นเกียรติและข่มเหงครั้งใหญ่แน่นอน แต่พระเจ้าทรงใช้การกดขี่ของซาตาน สร้างกลุ่มผู้ชนะขึ้น และซาตานก็จะพ่ายแพ้ไป ฉันได้ประสบกับการข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์เอาตอนนี้เอง ตอนนี้ฉันมีโอกาสที่จะให้คำพยานแก่พระเจ้าต่อหน้าซาตาน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญ และเป็นเกียรติของฉัน ฉันจึงต้องยืนหยัดเป็นพยานแก่พระเจ้า และทำให้ซาตานอับอายให้ได้ ภายใต้การนำของพระวจนะ ฉันก็มีความเชื่อและความแข็งแกร่งขึ้นมา และฉันก็ประกาศต่อซาตานในหัวใจได้ “ไอ้ปีศาจชั่ว ฉันมีปณิธานแล้ว ไม่ว่าแกจะทรมานฉันยังไง ฉันก็จะไม่มีวันนบนอบต่อแก ฉันสาบานด้วยชีวิตว่าจะยืนอยู่ข้างพระเจ้า!”

หลังจากนั้น เมื่อตำรวจเห็นว่าฉันยังไม่ยอมสารภาพ พวกเขาก็ถอดเครื่องทรมานออกด้วยความโมโห และตะคอกใส่ฉันว่า “เอาเลย ลุกขึ้นซะ! ขอดูหน่อยว่าจะดื้อด้านได้อีกนานแค่ไหน ฉันจะบั่นทอนกำลังใจแกไปเรื่อยๆ แล้วจะคอยดูว่าทนไหวไหม!” ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลุกขึ้นอย่างยากลำบาก แต่เท้าของฉันมันทั้งบวมและเจ็บจนยืนเองไม่ไหว ฉันเลยต้องพิงกำแพง บ่ายวันนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดกับฉันว่า “คนส่วนใหญ่โดนทรมานไปชุดเดียวก็เปิดปากแล้ว แกนี่มันอึดจริงๆ ขนาดสภาพขาแกน่าสังเวชแบบนั้น แกยังจะไม่ยอมพูดอีก ไม่รู้ว่าไปเอาความอึดมาจากไหนนัก” ฉันรู้ดีเลยค่ะ ว่าพระเจ้าทรงมอบความแข็งแกร่งนี้ให้ฉัน และฉันก็ขอบคุณพระเจ้าอยู่เงียบๆ จากนั้น เขาก็ข่มขู่ฉันอีกว่า “ฉันจัดการจนร่วงมาหลายคนแล้ว แน่ใจนะว่าแกอยากจะสู้กับฉัน ถึงแกจะไม่สารภาพ เราก็เอาแกเข้าคุกแปดถึงสิบปีได้อยู่ดี แล้วฉันจะให้คนที่อยู่ในนั้นอัดแก หยามแก หรืออาจจะฆ่าแกเลยด้วยซ้ำ!” ฉันคิดในใจว่า “ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าคือผู้ทรงตัดสินว่าฉันจะอยู่หรือตาย ต่อให้แกจะขังฉันแปดหรือสิบปี ต่อให้แกจะทุบตีฉันจนตาย ฉันก็จะไม่มีวันทรยศพระเจ้า!” พอเห็นฉันเงียบ เขาก็ตบเข่าฉาดแล้วกระทืบเท้าด้วยความโกรธ พูดว่า “ฉันเสียเวลาไปสองสามวันแล้วแค่เพื่อจะจัดการกับแก ถ้าทุกคนเป็นแบบแกหมด ฉันก็ไม่ต้องทำงานทำการพอดี!” ฉันมีความสุขมากค่ะ เพราะฉันได้เห็นซาตานสิ้นอำนาจ และเห็นว่าซาตานไม่อาจเอาชนะพระเจ้าได้ ฉันอดนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ “พลังชีวิตของพระเจ้าสามารถพิชิตพลังอำนาจใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมากล้นเกินกว่าพลังอำนาจใดๆ  ชีวิตของพระองค์เป็นนิรันดร์ ฤทธานุภาพของพระองค์นั้นพิเศษกว่าความธรรมดาสามัญ และพลังชีวิตของพระองค์ก็ไม่สามารถถูกสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดหรือกองกำลังศัตรูใดเอาชนะได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)  ในวันนั้น ฉันได้ประสบกับสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพแห่งพระวจนะด้วยตัวเอง ในช่วงสามวันนี้ ฉันไม่ได้กิน ดื่ม หรือนอนเลย แถมถูกทรมานอย่างโหดร้าย แต่ฉันก็ยังทนได้ ทั้งหมดเป็นเพราะความแข็งแกร่งที่พระเจ้าทรงมอบให้ฉัน ตอนนี้ฉันยิ่งมั่นใจที่จะให้คำพยานกับพระเจ้าต่อหน้าซาตานกว่าเดิม

ในเช้าของวันที่สี่ ตำรวจสั่งให้ฉันทำท่าขี่ม้าและยื่นแขนทั้งสองข้างออกมา แล้วเอาท่อนไม้มาวางไว้บนหลังมือของฉัน ในไม่ช้าฉันก็แบกไม่ไหว แล้วไม้ท่อนนั้นก็ร่วงลงพื้น พวกเขาหยิบมันขึ้นมา แล้วตีที่มือกับข้อเข่าของฉันอย่างโหดเหี้ยม ทุกแรงฟาดมันทำให้ฉันเจ็บแปลบ พวกเขาสั่งให้ฉันทำท่าขี่ม้าอีกครั้ง แต่เพราะฉันถูกทรมานติดต่อกันมาหลายวันแล้ว ขาของฉันจึงทั้งบวมและเจ็บ ผ่านไปไม่นาน ขาของฉันก็รับไม่ไหว จนฉันล้มลงบนพื้นอย่างแรง พวกเขายกฉันขึ้นมาอีกครั้ง แล้วจงใจปล่อยให้ร่วง และฉันก็ล้มกลับไปอยู่ในท่านั่งบนพื้นอีก หลังจากล้มลงไปหลายครั้ง ก้นของฉันก็ช้ำหนัก จนแค่แตะไปโดนก็เจ็บจนเหงื่อแตกพลั่ก พวกเขาทรมานฉันแบบนี้อยู่อีกหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้น พวกตำรวจก็สั่งให้ฉันนั่งลงกับพื้น แล้วเอาน้ำเกลือใส่ชามมาให้ฉันดื่ม ฉันไม่ดื่ม ตำรวจคนหนึ่งจึงใช้แขนดันหัวฉันให้หงายขึ้น และใช้มืออีกข้างง้างปากฉันออก ขณะที่อีกคนบีบแก้มฉันเและกรอกน้ำเกลือใส่ปาก น้ำเกลือมันขม และฝาดลงไปในคอ มันรู้สึกเหมือนท้องถูกไฟเผา และฉันก็รู้สึกเจ็บปวดมากจนอยากร้องไห้ พอพวกเขาเห็นว่าฉันเจ็บปวด พวกเขาก็พูดออกมาอย่างโหดเหี้ยมว่า “รู้ไหมว่าทำไมเราให้แกกินน้ำเกลือ เพราะแกไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน แถมขาดน้ำ การทุบตีอาจฆ่าแกให้ตายได้ เราเลยให้แกกินน้ำเกลือไงละ” พอได้ยินพวกเขาพูดแบบนั้น ฉันก็ตระหนักได้ว่า พวกเขาอยากทรมานฉันให้ค่อยๆ ตายทีละนิด ฉันคิดว่า แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาทรมานฉันจนตาย ฉันอาจเอาหัวโขกกำแพงและจบเรื่องนี้เสียเอง แต่ฉันไม่มีแรงจะลุกขึ้นด้วยซ้ำ ฉันรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ช่างสิ้นหวัง ฉันเลยอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ข้าพระองค์ทนไม่ไหวแล้ว ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าพวกตำรวจจะทารุณด้วยวิธีไหนอีก แต่ข้าพระองค์จะวางชีวิตไว้ในพระหัตถ์โปรดทรงสถิตอยู่กับข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังอธิษฐาน ฉันนึกถึงพระวจนะบรรทัดหนึ่งขึ้นมาได้ “ก็ไม่มีใครสามารถหลีกหนีการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของฟ้าสวรรค์ได้ และไม่มีใครควบคุมชะตาลิขิตของตนเองได้ เพราะมีเพียงพระองค์ผู้ทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่งเท่านั้นที่สามารถทำงานเช่นนั้นได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์)  จริงด้วย พระเจ้าทรงควบคุมชะตากรรมของมวลมนุษย์ทุกคน พระเจ้าทรงลิขิตทุกชีวิตและความตายไว้แล้ว ไม่มีใครมีสิทธิ์มีเสียงในสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งเราตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได้ ชีวิตและความตายของฉันถูกกำหนดโดยพระเจ้า ไม่ใช่พวกตำรวจ ฉันจึงอยากวางชีวิตเอาไว้ในพระหัตถ์และเชื่อฟังต่อการจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการของพระองค์ พอคิดได้อย่างนั้น ฉันก็ไม่รู้สึกสิ้นหวังอีกต่อไป และหัวใจฉันก็เปี่ยมด้วยความขุ่นเคืองต่อพญานาคใหญ่สีแดง ปีศาจพวกนี้ต้องการใช้วิธีน่ารังเกียจเพื่อบีบให้ฉันทรยศพระเจ้า ฉันจะปล่อยให้แผนของพวกมันสำเร็จไม่ได้ ฉันถูกทรมานมามากแล้ว ฉันจะยอมให้พี่น้องชายหญิงมาทนทุกข์แบบเดียวกันไม่ได้

ปีศาจพวกนี้ไม่เพียงแต่กลั่นแกล้งและทรมานฉัน แต่ยังดูถูกฉันด้วย ตอนกลางคืน มีตำรวจคนหนึ่งมาหาฉัน เอื้อมมือมาแตะหน้า และกระซิบเรื่องสัปดนข้างหูฉันไปด้วย ฉันโมโหมาก จึงตบหน้าเขาไป เขาตบฉันคืนอย่างป่าเถื่อน จนฉันเห็นดาวและได้ยินเสียงวิ้งในหู เขาก็เสริมอย่างดุร้ายว่า “ยังเหลือวิธีทรมานรอแกอยู่อีกบาน ถึงเราฆ่าแกให้ตายตรงนี้ก็จะไม่มีใครรู้ เชื่อเถอะ ฉันจะจัดให้หนักเลย!” คืนนั้น ฉันนอนอยู่บนพื้นและขยับเขยื้อนไม่ไหว ฉันขอไปเข้าห้องน้ำ พวกเขาบอกให้ฉันลุกขึ้นเอง ฉันใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ค่อยๆ ลุกขึ้นมาได้ แต่เดินได้ก้าวเดียวก็ล้มลงไป เมื่อไม่มีทางเลือก ตำรวจหญิงคนหนึ่งจึงลากฉันไปเข้าห้องน้ำ ตอนเข้าห้องน้ำ ฉันก็เป็นลมไปอีก ตื่นมาอีกที ฉันก็กลับมาอยู่ที่ห้องแล้ว ฉันเห็นขาตัวเองบวมและเป็นมันวาว กุญแจมือและห่วงที่ขาถูกฝังลึกเข้าไปในเนื้อ ตามแผลมีเลือดออกและหนองไหล มันเจ็บมากจนฉันทนไม่ไหว ฉันพาลนึกถึงวิธีทรมานหลายรายการที่ตำรวจนั่นพูดถึง และกลัวขึ้นมานิดหน่อย ฉันเลยอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าปีศาจพวกนี้วางแผนจะทรมานข้าพระองค์ยังไงอีก แต่ข้าพระองค์ทนการทรมานแบบนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ โปรดทรงนำ ทรงมอบความเชื่อและเรี่ยวแรงให้ด้วยเถิด ข้าพระองค์อยากยืนหยัดเป็นพยาน และทำให้ซาตานอับอายให้ได้” หลังอธิษฐาน ฉันนึกถึงการทนทุกข์ที่พระเจ้าทรงสู้ทน เมื่อเสด็จมาทรงปรากฏในรูปมนุษย์สองครั้งเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด ในยุคพระคุณ เพื่อไถ่มวลมนุษย์ องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกหัวเราะเยาะ หมิ่นพระเกียรติ และถูกพวกทหารเฆี่ยนตี แล้วทรงถูกจับใส่มงกุฏหนาม และทรงถูกตรึงกางเขนในที่สุด วันนี้ พระเจ้าทรงกลับมาปรากฏในรูปมนุษย์อีกครั้งที่จีน ที่ซึ่งพระองค์ทรงทนทุกข์กับการข่มเหงและไล่ล่าจากพรรคคอมมิวนิสต์ รวมถึงการต่อต้าน และกล่าวโทษอย่างบ้าคลั่งจากโลกศาสนา ถึงอย่างนั้น พระเจ้าก็ทรงสู้ทนและแสดงความจริงเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอย่างเงียบๆ ฉันนึกถึงพระวจนะอีกบทตอนขึ้นมาได้ “พระเจ้าได้ทรงสู้ทนกับค่ำคืนที่ไม่ได้หลับมากมายหลายคืนเพื่อประโยชน์แห่งงานของมวลมนุษย์  จากที่สูงถึงส่วนลึกที่สุด พระองค์ได้เสด็จลงสู่นรกคนเป็นที่ซึ่งมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่เพื่อผ่านวันเวลาของพระองค์ไปกับมนุษย์ พระองค์ไม่เคยได้ทรงพร่ำบ่นถึงความเลวทรามท่ามกลางมนุษย์ และพระองค์ไม่เคยได้ทรงตำหนิมนุษย์สำหรับการไม่เชื่อฟังของเขา แต่ทรงสู้ทนความอัปยศอดสูอันยิ่งใหญ่ที่สุดขณะที่พระองค์ทรงดำเนินงานของพระองค์ด้วยพระองค์เองจนเสร็จสิ้น  พระเจ้าจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของนรกได้อย่างไร?  พระองค์จะสามารถใช้ชีวิตของพระองค์ในนรกได้อย่างไร?  แต่เพื่อประโยชน์แห่งมวลมนุษย์ทั้งปวง เพื่อที่มวลมนุษย์ทั้งหมดจะสามารถพบกับการหยุดพักได้เร็วขึ้น พระองค์ได้ทรงสู้ทนความอัปยศอดสูและทรงทนทุกข์กับความไม่ยุติธรรมเพื่อเสด็จมายังแผ่นดินโลก และได้เสด็จเข้าสู่ ‘นรก’ กับ ‘แดนคนตาย’ เข้าสู่ถ้ำเสือ ด้วยพระองค์เอง เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด  มนุษย์มีคุณสมบัติที่จะต่อต้านพระเจ้าอย่างไร?  เขามีเหตุผลใดที่จะพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (9))  ใช่ค่ะ พระเจ้าทรงไร้เดียงสา ทรงทนทุกข์และถูกหมิ่นพระเกียรติอย่างใหญ่หลวงเพื่อช่วยมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามให้รอด ความรักที่พระเจ้ามีต่อมวลมนุษย์ ช่างยิ่งใหญ่และเสียสละมากค่ะ! ตอนนี้ฉันกำลังติดตามพระเจ้า และไล่ตามความจริง เพื่อความรอดของฉันเอง ดังนั้นการทนทุกข์เพียงเล็กน้อยจะเป็นอะไรไปล่ะ? พระเจ้าทรงทดลองความตั้งใจและทำความเชื่อของฉันให้เพียบพร้อมผ่านการทนทุกข์นี้ ฉันยังได้รับประสบการณ์ด้วยว่า พระวจนะของพระเจ้า คือพละกำลังในชีวิตของผู้คน การที่ฉันได้ได้ประสบความทุกข์นี้ เป็นพระคุณและพระพรของพระเจ้าค่ะ ฉันร้องเพลงสรรเสริญกับตัวเองเงียบๆ “พระเจ้าทรงเป็นความเกื้อหนุนของฉัน เหตุใดต้องเกรงกลัว? ฉันจะสู้กับซาตานไปจนกระทั่งถึงปลายทาง พระเจ้าทรงยกชูพวกเรา ดังนั้นแล้วจงทิ้งทุกสิ่ง จงต่อสู้เพื่อเป็นพยานของพระคริสต์ พระเจ้าทรงเป็นความเกื้อหนุนของฉัน เหตุใดต้องเกรงกลัว? ฉันจะสู้กับซาตานไปจนกระทั่งถึงปลายทาง พระเจ้าทรงยกชูพวกเรา ดังนั้นแล้วจงทิ้งทุกสิ่ง จงต่อสู้เพื่อเป็นพยานของพระคริสต์ พระเจ้าจะทรงดำเนินการน้ำพระทัยของพระองค์จนเสร็จสิ้นบนแผ่นดินโลกอย่างแน่นอน ฉันจะมอบความรัก ความจงรักภักดี การเฝ้าเดี่ยวของฉันแด่พระองค์ ฉันจะถวายการต้อนรับการทรงกลับมาของพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จมาในพระสิริ เมื่อราชอาณาจักรของพระคริสต์เป็นจริงขึ้นมา ฉันจะได้พบพระองค์อีก” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ, ราชอาณาจักร)  พอร้องเพลงนี้จบ ฉันก็รู้สึกมีกำลังใจมาก ไม่ว่าตำรวจจะทรมานฉันยังไง ฉันก็จะยืนหยัดเป็นพยาน และทำให้ซาตานอับอายให้ได้!

ในวันที่ห้า พวกตำรวจก็ยังให้ฉันทำท่าขี่ม้าต่อ ทั้งเท้าและขาของฉันบวมมาก จนยืนขึ้นไม่ได้อีกต่อไป เจ้าหน้าที่หลายคนจึงเข้ามาล้อมฉันและผลักฉันไปมา บางคนแอบฉวยโอกาสลูบคลำตัวฉันด้วย การทรมานดำเนินต่อไป แม้ว่าฉันจะสับสนมึนงงจนลืมตาไม่ขึ้น ราวหนึ่งทุ่ม ตำรวจคนหนึ่งนั่งลงตรงหน้าฉัน เขาถอดรองเท้า แล้วดันเท้าเหม็นๆ มาไว้ตรงหน้าฉัน แถมพูดจาลามกใส่ ฉันฟังคำพูดหยาบโลนของเขา และมองดูรูปโฉมที่ชั่วร้ายและน่าไม่อาย มันทำให้ฉันโมโหมาก ฉันเกลียดปีศาจชั่วร้ายพวกนี้! สักราวๆ สามทุ่ม ฉันก็เริ่มผล็อยหลับ พวกตำรวจพูดแบบรู้สึกมีชัยว่า “ในที่สุดแกก็เริ่มคอพับจนได้! แกอาจจะอยากนอน แต่เราไม่ให้แกนอนหรอก! เราจะคอยทำให้แกตื่นจนทนไม่ไหว! มาดูกันว่าแกจะอยู่ได้นานแค่ไหน!” ตำรวจหลายคนผลัดกันเฝ้าดูฉัน จังหวะที่ฉันหลับตาและคอพับไป พวกเขาก็จะใช้แส้หนังฟาดโต๊ะ ใช้ไม้ท่อนเล็กๆ ตีที่ขาบวมๆ และเงาวับของฉัน ดึงผม หรือกระทืบเท้าของฉัน และทุกครั้งฉันก็จะตื่นขึ้นมาทันที บางที พวกเขาก็เตะห่วงที่เท้าของฉัน มันจะไปโดนแผลที่เป็นหนอง ความเจ็บปวดนั้นเล่นเอาฉันสั่นไปหมด ในที่สุด ฉันก็ปวดหัวแทบระเบิด รู้สึกเหมือนห้องหมุนติ้ว ฉันภาพตัด และล้มหมดสติลงไปกับพื้น หลังตื่นขึ้นมา ฉันก็จับใจความที่หมอพูดได้รางๆ ว่า “เธอก่ออาชญากรรมอะไรเหรอ ถึงต้องทรมานเธอหนักหนาขนาดนี้ ไม่ยอมให้กินหรือนอนตั้งหลายวันเชียว โหดร้ายกันจริงๆ! กุญแจมือกับห่วงนั่นฝังลงไปในเนื้อเธอแล้ว ให้เธอใส่ต่อไม่ได้แล้วนะ ไม่งั้นเธออาจจะตายได้” หลังจากหมอกลับไป พวกตำรวจเปลี่ยนเป็นห่วงที่หนักสองโลครึ่ง และให้ฉันกินยา ก่อนที่ฉันจะกลับมาได้สติเต็มที่ ฉันรู้ว่าฉันอาจรอดไปได้ เพราะฤทธานุภาพของพระเจ้าเท่านั้น และพระองค์ก็ทรงคุ้มครองฉันอยู่เงียบๆ ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า หากพระองค์ไม่ทรงอนุญาต ไม่ว่าซาตานจะทรมานฉันยังไง มันก็ฆ่าฉันไม่ได้ นี่ยิ่งทำให้ฉันเชื่อในพระเจ้ามากขึ้น ฉันตัดสินใจว่า ตราบใดที่ฉันยังหายใจอยู่ ฉันจะไม่ยอมแพ้ให้ซาตานเป็นอันขาด

ฉันอยู่จนถึงวันที่หก ก่อนที่จะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ และผล็อยหลับอยู่ตลอด และทุกครั้ง ตำรวจคนหนึ่งจะเข้ามาเหยียบนิ้วเท้าฉันอย่างแรง หยิกหลังมือ ไม่ก็ตบฉันจนหน้าหัน ช่วงบ่าย ตำรวจถามฉันเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับคริสตจักรต่อ ในตอนนั้น ฉันเริ่มสูญเสียความเป็นจริง ฉันกลัวว่าจะหลุดปากและให้ข้อมูลเรื่องคริสจักรไปในสภาวะที่สับสน ฉันเลยอธิษฐานต่อพระเจ้าโดยด่วนว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! จิตใจของข้าพระองค์ เลอะเลือนจากการทรมาน โปรดทรงคุ้มครอง และทรงมอบจิตใจที่กระจ่าง ให้ข้าพระองค์ไม่ขายพี่น้องชายหญิง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นด้วยเถิด” ฉันรู้สึกขอบคุณที่พระเจ้าทรงตอบรับคำอธิษฐาน แม้ว่าฉันจะถูกทรมานมาห้าคืนหกวันโดยไม่ได้กิน ดื่ม หรือนอน แต่จิตใจฉันก็ยังกระจ่างชัด และไม่ว่าตำรวจทรมานฉันยังไง ฉันก็ไม่บอกอะไรพวกเขาเลย ต่อมา ตำรวจนำรายชื่อเป้าหมายข่าวประเสริฐที่ฉันจดไว้ออกมา และสอบปากคำฉัน และขอให้ฉันบอกชื่อคนอื่นๆ ฉันทนกับการทารุณของปีศาจพวกนี้มาพอแล้ว และจะไม่ยอมให้พี่น้องชายหญิงมาทนทุกข์แบบฉัน ตอนที่เขาไม่ทันมอง ฉันเลยพุ่งไปข้างหน้า แย่งรายชื่อนั่นมา ยัดใส่ปากแล้วกลืนลงไป ตำรวจสองคนแผดเสียงด้วยความโกรธ พวกเขารีบพุ่งมาจับฉันง้างปาก และตบฉันจนหน้าหัน แรงมากจนฉันเลือดไหลออกทางมุมปาก และหัวหมุน หนึ่งในนั้นบีบแก้มและคางของฉันอย่างแรง ขณะที่อีกคนง้างปากฉัน และล้วงมือเข้าไปในคอ เขาล้วงอย่างแรงจนบาดคอฉัน ถึงตอนนี้ฉันยังเป็นโรคคออักเสบอยู่ด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาไม่ได้ข้อมูลเรื่องคริสตจักรจากฉันเลย ตลอดการสอบปากคำหลายหน พวกตำรวจจึงตัดสินใจพาฉันกลับไปยังสถานกักกัน ตำรวจที่สถานกักกันเห็นว่าฉันบาดเจ็บร้ายแรงแค่ไหน และกลัวจะต้องรับผิดชอบถ้าฉันตายที่นั่น พวกเขาเลยบอกปัดที่จะรับฉันไว้ พวกตำรวจเลยต้องส่งฉันไปให้อ็อกซิเจนที่โรงพยาบาลอย่างไม่มีทางเลือก ที่โถงทางเดินโรงพยาบาล มีหลายคนเข้ามาดูและหารือเรื่องสภาพของฉัน ตำรวจชี้มาที่ฉันแล้วพูดว่า “คนคนนี้เชื่อในพระเจ้า ดูกันไว้ให้ดี ถ้าคุณเชื่อในพระเจ้า ก็จะโดนแบบนี้” ฉันอยากพูดปฏิเสธไปบ้าง แต่ฉันก็พูดไม่ได้ และคิดว่า “พวกแกมันชั่วกันหมด แกเผยแพร่คำโกหกเพื่อหลอกลวงผู้คน” จากนั้น ตำรวจก็คุ้มกันฉันกลับไปยังสถานกักกัน ฉันเป็นลมที่นั่นอีกสองครั้ง

ราวปลายเดือนตุลาคม ตอนที่ตำรวจกำลังพาเราไปที่สถานกักกัน ฉันได้เจอพี่หลี่ ที่ถูกจับมาพร้อมฉัน ฉันเห็นว่าเธอซูบผอมลงไปมากทีเดียว และเดินเหินอย่างอ่อนแรง ราวกับจะโดนลมพัดปลิวไปได้ทุกเมื่อ น้ำตาของฉันไหลนองแบบห้ามไม่ได้ พอมาถึงสถานกักกัน ฉันได้เห็นรอยช้ำเป็นห้อเลือดตามแขนขาของพี่หลี่ เธอบอกว่าพวกตำรวจทุบตีเธอ เตะเธอ ไม่ยอมให้เธอกินและนอนอยู่หลายวัน ส่วนพี่สาวอีกคนก็ป่วยทันทีที่ถูกจับมา เธอกินอะไรไม่ได้เลย และการทรมานก็ทำให้เธอซูบผอมเสียจนจำไม่ได้เลย พี่หลี่พูดไปร้องไห้ไป ฉันเกลียดปีศาจพวกนี้จากก้นบึ้งของหัวใจเลยค่ะ!

สุดท้าย พรรคคอมมิวนิสต์ก็จับฉันในข้อหา “มีส่วนพัวพันกับองค์กรลัทธิ” และสั่งจำคุกฉันหนึ่งปีเก้าเดือนเพื่อรับการศึกษาใหม่ผ่านการใช้แรงงาน เพราะฉันถูกทรมานมาอย่างหนัก ฉันเลยมีแผลทั่วตัว เป็นอัมพาต และเดินไม่ได้ ค่ายแรงงานเลยไม่รับฉัน สี่เดือนต่อมา สามีใช้เงิน 12,000 หยวนเพื่อประกันตัวฉันออกมา และฉันก็ใช้โทษที่นอกค่ายแรงงานแทน ตอนที่สามีมารับ ฉันบาดเจ็บเกินจะเดินไหว เขาเลยต้องอุ้มฉันขึ้นรถ หลังกลับถึงบ้าน หมอตรวจร่างกายฉันและพบว่ากระดูกสันหลังช่วงเอวคดไปสองท่อน ฉันดูแลตัวเองไม่ได้ ลุกจากเตียงเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันคิดว่าฉันคงนอนติดเตียงไปทั้งชีวิต แต่หนึ่งปีให้หลัง ร่างกายของฉันก็ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นแบบไม่คาดคิด และฉันก็กลับมาทำหน้าที่ได้อีกครั้งค่ะ ฉันได้เห็นความรักและความรอดที่พระเจ้าทรงมีต่อฉัน ฉันขอบคุณพระองค์จากหัวใจจริงๆ ค่ะ! แม้กระทั่งตอนนี้ ตำรวจก็จับตาดูฉันอยู่เรื่อยๆ และฉันอาจถูกจับอีกก็ได้ แต่ฉันได้เห็นถึงสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพแห่งพระวจนะของพระเจ้า และเต็มใจที่จะพึ่งพาพระเจ้าผ่านความเชื่อ และทำหน้าที่ให้ลุล่วงอย่างดีที่สุด เพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้าค่ะ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ใช้วัยสาวในคุก

โดยเฉินซี มณฑลเหอเป่ย ทุกคนพูดว่าวัยหนุ่มสาวของเราเป็นช่วงเวลาที่แจ่มจรัสที่สุดและบริสุทธิ์ที่สุดของชีวิต บางทีสำหรับหลายคน...

ความเจ็บปวดสุดพรรณนา

โดย จาง หลิน, ประเทศจีน บ่ายวันหนึ่ง เดือนธันวาฯ ค.ศ. 2012 ฉันนั่งรถโดยสารไปนอกเมืองเพื่อทำหน้าที่ให้ลุล่วง...

ปาฏิหาริย์ของชีวิต

โดย Yang Li, ประเทศจีน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พลังชีวิตของพระเจ้าสามารถพิชิตพลังอำนาจใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น...

ความเชื่อเกิดขึ้นได้อย่างไร

วันหนึ่งเกือบปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 ฉันได้รับแจ้งว่าพี่เสี่ยวหวู่ผู้นำคริสตจักรได้ถูกจับ พี่ฮองกับฉันบอกพี่น้องชายหญิงให้ย้ายทันที...

ติดต่อเราผ่าน Messenger