ชีวิตบนขอบเหว

วันที่ 31 เดือน 10 ปี 2024

โดย หวังฟาง, ประเทศจีน

ในปี ค.ศ. 2008 ฉันรับผิดชอบการขนส่งงานตีพิมพ์ของคริสตจักร  นี่เป็นหน้าที่ชนิดที่ธรรมดามากในประเทศที่มีอิสระทางศาสนา แต่ในประเทศจีน มันอันตรายจริงๆ  ตามกฎหมายของพรรคคอมมิวนิสต์ ใครก็ตามที่ถูกจับได้ว่าขนส่งงานตีพิมพ์ทางศาสนาอาจจะถูกตัดสินจำคุกเจ็ดปีขึ้นไป  ด้วยเหตุนี้ ฉันกับพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ต่างก็ระมัดระวังกันอย่างที่สุดระหว่างทำหน้าที่ของพวกเรา  แต่ในวันที่ 26 สิงหาคม ขณะที่ฉันกำลังเดินไปตามถนน ทันใดนั้นฉันก็ถูกรถตำรวจหลายคันล้อมกรอบ แล้วตำรวจก็ผลักฉันเข้าไปในรถตำรวจคันหนึ่ง  ฉันประหม่ามาก  ฉันนึกถึงพี่สาวคนหนึ่งที่ถูกจับกุมเพราะสาเหตุเดียวกัน และเธอถูกตัดสินจำคุก 10 ปี  ฉันจะติดคุก 10 ปีด้วยหรือไม่?  ถ้าฉันติดคุกนานขนาดนั้นจริงๆ ฉันจะมีชีวิตรอดออกมาหรือไม่?  ความคิดนั้นบีบหัวใจฉันมาก และฉันก็รีบร้องหาพระเจ้าว่า “โอ้พระเจ้า! ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าพวกตำรวจจะทรมานข้าพระองค์อย่างไร  โปรดทรงคุ้มครองข้าพระองค์ และทรงมอบความเชื่อและพละกำลังให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด”  หลังจากอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าที่ว่า “เจ้าไม่ควรกลัวสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้าอาจเผชิญความยากลำบากและภยันตรายมากเพียงใด เจ้าสามารถจะยังคงมั่นคงอยู่ต่อหน้าเราได้ โดยไร้อุปสรรคใดๆ กีดขวาง เพื่อที่เจตจำนงของเราจะได้รับการดำเนินการโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น  นี่คือหน้าที่ของเจ้า… บัดนี้เป็นเวลาที่เราจะทดสอบเจ้า เจ้าจะมอบความรักภักดีแก่เราหรือไม่?  เจ้าสามารถติดตามเราอย่างรักภักดีไปจนสุดทางได้หรือไม่?  จงอย่ากลัวเลย ด้วยการสนับสนุนของเรา ใครเล่าจะสามารถขวางกั้นถนนสายนี้ได้?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10)  นี่ทำให้ความเชื่อและความกล้าหาญของฉันเข้มแข็งขึ้น  พระเจ้าคือองค์ปกครองทุกสรรพสิ่งและทั่วทั้งจักรวาลก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  ดังนั้น พวกตำรวจก็ไม่ได้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ด้วยหรอกหรือ?  หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต ก็ไม่มีใครแตะต้องผมบนศีรษะของฉันได้แม้แต่เส้นเดียว  พระเจ้าทรงใช้การกดขี่และความทุกข์ยากเพื่อทำให้ความเชื่อของฉันเพียบพร้อม ดังนั้นฉันต้องอธิษฐานและพึ่งพิงพระเจ้า และยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระองค์  ต่อให้ฉันจะติดคุก 10 ปีจริง ฉันก็แน่วแน่ที่จะไม่มีวันหักหลังพี่น้องชายหญิงของฉัน ไม่มีวันทรยศพระเจ้า

ตำรวจนำตัวฉันไปยังอาคารสองชั้นหลังหนึ่งนอกเมือง  เจ้าหน้าที่วัยกลางคนดูสูงล่ำที่กำลังถือน้ำเย็นขวดหนึ่งตรงรี่มาหาฉันด้วยสีหน้าน่ากลัวมาก เขาตบโต๊ะพร้อมตะคอกว่า “แกชื่ออะไร?  แกทำอะไรในคริสตจักร?  แกติดต่อกับใครมาบ้าง?  ใครเป็นผู้นำคริสตจักรของแก?”  เมื่อฉันไม่ปริปากพูด เขาก็ยกขวดนั่นขึ้นแล้วฟาดใส่หัวฉัน จนฉันมึนงงไปหมด  เขาสอบถามฉันต่อ โดยใช้คำพูดหยาบคายทุกรูปแบบ  ฉันเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอธิษฐานโดยไม่ตอบเขาแม้แต่คำเดียว  แล้วเขาก็ฟาดขวดใส่หน้าผากฉัน ตาฉันพร่าไปชั่วครู่แล้วก็รู้สึกเหมือนกะโหลกกำลังจะปริแตก  มันเจ็บมากจนฉันน้ำตาไหล  จากนั้นเขาก็แผดเสียงอย่างเกรี้ยวกราด  “ถ้าแกไม่พูดแกจะถูกทรมาน แล้วถ้าหลังจากนั้นแกยังไม่ยอมพูด ก็อย่าคิดว่าจะมีชีวิตรอดออกไป!”  ฉันกลัวมากทีเดียว  ฉันคิดอยู่ว่าถ้าเขายังตีฉันอยู่แบบนั้นแล้วละก็ ต่อให้กะโหลกฉันจะไม่แตก แต่ฉันต้องลงเอยด้วยสมองกระทบกระเทือนแน่ๆ  ฉันนึกสงสัยว่าฉันจะถูกทุบตีจนตายหรือไม่  ฉันรีบร้องหาพระเจ้า ขอการคุ้มครองจากพระองค์ แล้วฉันก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าไม่ว่าเขาจะทุบตีฉันอย่างไร ฉันก็ไม่มีทางทรยศพระเจ้าได้ ไม่มีทางเป็นยูดาส  ตอนนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น แล้วหลังจากที่เขารับสาย เขาก็เดินออกไป  เจ้าหน้าที่อีกคนเอาถุงผ้าใบครอบหัวฉัน เอาเชือกมัดไว้แน่น แล้วลากฉันเข้าไปในห้องว่าง  ในถุงนั้นฉันรู้สึกร้อนและอบอ้าวมาก  ฉันไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนก่อนที่พวกนั้นจะนำตัวฉันขึ้นไปบนชั้นสอง  หัวหน้าแผนกจากฝ่ายความมั่นคงสาธารณะจังหวัดแซ่กงขบฟันข่มขู่ฉันว่า “แค่เพราะแกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เราก็จำคุกแก 10 ปีได้แล้ว  บอกสิ่งที่รู้มาให้หมดเสียเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครช่วยแกได้!”  เขายังพูดด้วยว่าเขาจะให้นายจ้างงดจ่ายค่าแรงให้ฉัน  ในเมื่อฉันยังคงไม่ยอมพูด เขาก็บอกให้ใครอีกคนไปค้นประวัติการถูกจับกุมครั้งก่อนๆ ของฉัน  นั่นน่าเขย่าขวัญจริงๆ เพราะฉันเคยถูกจับในปี ค.ศ. 2003 ข้อหาเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และถูกกักตัวเป็นเวลาห้าเดือน  ถ้าพวกนั้นเจอประวัติของฉัน ฉันก็คงถูกพิพากษารุนแรงขึ้นอย่างแน่นอน  สุดท้ายพวกเขาก็ไม่เจออะไร ฉันรู้ว่านั่นคือการทรงคุ้มครองของพระเจ้า  ฉันกล่าวขอบคุณพระองค์อย่างเงียบๆ  ตำรวจนำตัวฉันไปยังสถานกักกันตอนประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ที่ซึ่งเจ้าหน้าที่เรือนจำคนหนึ่งให้ผู้ต้องขังสองสามคนเปลื้องผ้าฉันออกจนหมด ให้ฉันยื่นแขนไปข้างหน้าแล้วทำท่าสควอทสามครั้ง  พวกนั้นยังโยนเสื้อผ้าชั้นนอกทั้งหมดของฉันออกไปนอกห้องขัง และเมื่อฉันเห็นว่าพวกเขาถึงกับจะโยนชุดชั้นในทั้งหมดของฉันออกไปด้วย ฉันก็รีบแย่งคืนมาสวมตามเดิม  การทำท่าสควอทตรงนั้นโดยไม่สวมเสื้อผ้าต่อหน้ากล้องรักษาความปลอดภัยสี่ตัวบนผนัง ทำให้ฉันรู้สึกอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง  เช้าวันต่อมาหลังจากผู้ต้องขังทั้งหมดลุกจากเตียง ฉันทำได้แค่คว้าผ้าคลุมเตียงมาพันกายไว้  แล้วผู้ต้องขังคนหนึ่งตรงนั้นก็โยนเสื้อผ้าบางตัวมาให้พลางกระซิบว่า “สวมซะ เร็วเข้า”  อีกคนหนึ่งให้ฉันยืมกางเกงใส่  ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมการนี้ไว้ให้ ฉันรู้สึกขอบคุณมาก  สายวันนั้นเจ้าหน้าที่เรือนจำคนหนึ่งโยนเสื้อผ้าของฉันกลับเข้ามาในห้องขัง แต่เมื่อฉันดูเสื้อผ้าพวกนั้น ฉันก็เห็นว่ากระดุมและซิปบนกางเกงและเสื้อผ้าตัวอื่นถูกตัดออกไป ดังนั้นฉันจึงต้องใช้มือหนึ่งดึงกางเกงไว้ ใช้มืออีกข้างหนึ่งดึงเป้ากางเกงข้างหน้าให้ปิดทับกัน แล้วเดินงอตัวไปข้างหน้า  เมื่อเห็นฉันแบบนั้น ผู้ต้องขังคนอื่นก็ล้อฉันและสั่งให้ฉันทำสิ่งต่างๆ บางคนก็จงใจดึงกางเกงของฉันลงและพูดจาเยาะเย้ยทุกรูปแบบ  การอธิษฐานเป็นทางเดียวที่ทำให้ฉันผ่านวันนั้นมาได้

เที่ยงวันที่สาม พวกตำรวจมาพาฉันกลับไปสอบสวน  พวกเขานำตัวฉันเข้าไปในห้องว่างที่มีแสงสลัวๆ ในนั้นฉันเห็นเครื่องมือทรมานที่เป็นเหล็กแขวนอยู่บนฝาผนัง ตามเครื่องมีคราบเลือดคล้ำดำเกาะอยู่ทั่ว  มันดูน่ากลัวและสยองขวัญมาก  พวกนั้นสวมกุญแจมือฉันไพล่หลัง แล้วผู้กองหยางจากกองพลความมั่นคงแห่งชาติและเจ้าหน้าที่ตำรวจอาชญากรรมอีกสองสามคนก็ยืนล้อมฉัน จ้องฉันเขม็งเหมือนหมาป่าที่หิวโซ  ผู้กองหยางมีรูปถ่ายสองสามใบของพี่น้องหญิงคนอื่นมาให้ฉันระบุตัวตน และเขาถามฉันว่าเงินของคริสตจักรเก็บอยู่ที่ไหน  เขายังข่มขู่ฉันอย่างป่าเถื่อนด้วยว่า “คายออกมา! ถ้าแกไม่พูด พวกเราจะตีแกให้ตาย!”  ฉันคิดว่าต่อให้พวกเขาทำจริง ฉันก็จะไม่ยอมเป็นยูดาสอยู่ดี  ตำรวจร่างท้วมอีกคนพูดว่า “พูดเสียวันนี้จะดีกว่านะ! ถ้าไม่พูด บอกได้เลยว่าฉันจะต่อยแกให้ยับทีเดียว ฉันเรียนต่อยมวยที่โรงเรียนตำรวจมาสี่ปี และฝึกเทคนิคที่เรียกว่า ‘เหวี่ยงค้อนปอนด์’ มาเป็นพิเศษ  มันคือการต่อยจุดสำคัญที่บ่าของแก ต่อยครั้งเดียว กระดูกกับอวัยวะภายในทั้งหมดของแกจะแหลก  เจอกำปั้นของฉันเข้าไป ไม่มีใครไม่สารภาพแม้แต่คนเดียว”  ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งกระหยิ่มใจมากขึ้นเรื่อยๆ  จากนั้นผู้กองหยางก็นำเอกสารที่มีหัวจดหมายสีแดงของทางการออกจากกระเป๋ามาโบกตรงหน้าฉันและพูดว่า “นี่เป็นเอกสารลับที่ออกโดยคณะกรรมการกลางเกี่ยวกับคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์โดยเฉพาะ  พอพวกเราจับพวกแกได้ พวกเราจะฆ่าพวกแกเสียก็ได้ พวกแกตายไปก็ไม่มีใครสนหรอก!  หลังจากซ้อมพวกแกจนตายแล้ว พวกเราก็แค่เอาศพพวกแกไปทิ้งตามภูเขา และไม่มีวันที่ใครจะรู้  พวกเรามีเครื่องมือทรมานทุกรูปแบบไว้รับมือผู้เชื่ออย่างพวกแก  มีแส้ลวดที่เอาจุ่มน้ำเย็นจัดได้ แล้วทุกครั้งที่ใช้เฆี่ยนใครสักคนก็จะมีชิ้นเนื้อติดออกมาด้วย ลงท้ายก็จะเห็นกระดูกของคนคนนั้นเลยละ”  การได้ฟังเรื่องน่าสยดสยองพวกนี้ช่างน่ากลัวจนบีบหัวใจฉัน และสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวฉันก็คือถ้าพวกเขาใช้เครื่องมือทรมานพวกนั้นกับฉัน แสดงว่าต้องการให้ฉันตาย  และถ้าพวกเขาโยนศพฉันทิ้งตามภูเขา ฉันก็จะถูกหมาป่าแทะกินเท่านั้นเอง  นั่นย่อมจะน่าอนาถมากทีเดียว!  ฉันรีบร้องหาพระเจ้าด้วยความพรั่นพรึงว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์กลัวมากว่าพวกตำรวจจะทรมานข้าพระองค์ด้วยเครื่องมือพวกนี้  ความเชื่อของข้าพระองค์ไม่เข้มแข็งพอ ได้โปรดคุ้มครองข้าพระองค์และประทานความเชื่อและความกล้าหาญให้ข้าพระองค์เพื่อที่ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรกับข้าพระองค์ ต่อให้ข้าพระองค์จะต้องพลีชีวิตเพราะการนี้ ข้าพระองค์ก็จะยังสามารถยืนหยัดเป็นพยานได้”  เมื่อเห็นว่าฉันยังไม่ยอมพูด ผู้กองหยางก็เหวี่ยงแขนทั้งสองข้างฟาดซ้ายฟาดขวาใส่หัวฉันประมาณสิบกว่าครั้ง  ฉันยืนทรงตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ  ฉันหลับตาแน่น น้ำตาไหลพราก  คนที่ยืนอยู่ทางซ้ายของฉันซึ่งพูดว่าเขาจะ “เหวี่ยงค้อนปอนด์” ใส่ฉันก็ต่อยตรงจุดหนึ่งบนบ่าของฉันด้วยกำลังทั้งหมดที่เขามี  ชั่วขณะหนึ่งฉันรู้สึกเหมือนกระดูกทั้งหมดแตกหัก และเขาก็ต่อยฉันต่อในขณะที่นับไปด้วย  เจ้าหน้าที่ทางขวามือของฉันเตะเข้าที่สะบ้าหัวเข่าข้างขวาของฉันจนฉันร่วงลงไปกองกับพื้น  พวกมันตะคอกให้ฉันยืนขึ้น  แม้จะเจ็บปวด ฉันก็ลุกขึ้นอย่างลำบากยากเย็นในสภาพที่ถูกใส่กุญแจมือไพล่หลัง  พวกมันเตะฉันร่วงลงไปอีก  เจ้าหน้าที่ “ค้อนปอนด์” นั่นก็ต่อยบ่าของฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลางถามตลอดเวลาเพื่อให้รู้ว่า “แกติดต่อกับใครมาบ้าง?  เงินของคริสตจักรอยู่ที่ไหน?  บอกมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นแกจบเห่แน่!”  ฉันถามพวกมันอย่างโกรธจัดว่า “ฉันทำผิดกฎหมายข้อไหน พวกแกถึงมาซ้อมฉันแบบนี้?  รัฐธรรมนูญบอกว่าพวกเรามีอิสรภาพในการเชื่อไม่ใช่หรือ?”  ผู้กองนั่นพูดอย่างเหี้ยมเกรียมว่า “พอได้แล้ว! ถ้าไม่อยากตายอยู่ที่นี่ก็พูดออกมา!  เงินของคริสตจักรอยู่ที่ไหน?  สิ่งที่พวกเราต้องการคือเงิน  พวกเราจะซ้อมแกให้ตายวันนี้แหละถ้าแกไม่บอกพวกเรา!”  ในขณะที่พูดนี้ เขาก็ต่อยหัวฉันซ้ำๆ แต่ละครั้งหนักกว่าครั้งก่อนหน้า  ฉันถูกพวกมันเตะต่อยจนลงไปกองกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า และทุกครั้งก็ถูกสั่งให้ลุกขึ้นมา  ฉันไม่รู้ว่าพวกมันซ้อมฉันนานขนาดไหน  ฉันรู้สึกได้แค่หัวกับหูของฉันอื้อไปหมด และฉันลืมตาไม่ขึ้น รู้สึกเหมือนดวงตาจะกระเด็นหลุดออกจากเบ้า  หน้าของฉันบวมมากจนชาและมีเลือดไหลออกจากมุมปาก  ฉันรู้สึกเหมือนหัวใจจะกระดอนออกจากอก และกระดูกบริเวณบ่าของฉันก็รู้สึกเหมือนแหลกละเอียด  ฉันทรุดไปนอนนิ่งอยู่ที่พื้น เจ็บปวดไปทั้งตัว ราวกับว่าทั้งร่างแหลกเป็นเสี่ยงๆ  ฉันร้องหาพระเจ้าไม่หยุดขอให้พระองค์ทรงคุ้มครอง และในหัวของฉันคิดเพียงอย่างเดียวว่า ต่อให้ฉันตาย ฉันก็จะไม่เป็นยูดาส!

เมื่อเห็นว่าฉันไม่ยอมพูดอะไร ผู้กองนั่นก็ลองหว่านล้อมฉันว่า “พวกเรากำลังถามคำถามพวกนี้ แต่ที่จริง พวกเรารู้คำตอบอยู่แล้ว พวกเราแค่ยืนยันข้อมูลเท่านั้น คนอื่นหักหลังแกเรียบร้อยแล้ว แล้วการรับโทษแทนคนอื่นมันจะคุ้มค่าจริงหรือ?  อายุเท่านี้ ทำไมต้องมาผ่านความทุกข์ทั้งหมดนี่เล่า?  มันจำเป็นจริงๆ หรือ?  ก็แค่ศาสนาหนึ่งเท่านั้นเองใช่ไหม?  บอกสิ่งที่แกรู้มาแล้วพวกเราจะปล่อยแกทันที แกจะได้ไม่ต้องทุกข์ยากมากมายนัก”  แล้วพวกมันก็พูดคำหมิ่นประมาทบางอย่าง  การได้ยินคำพูดโสมมของพวกมันและเห็นสีหน้าป่าเถื่อนของพวกมันทำให้ฉันเดือดดาลมาก  พวกมันเปลี่ยนกลยุทธ์มาล่อลวงฉัน เพื่อที่จะจับกุมพี่น้องชายหญิงเพิ่มและยึดเงินของคริสตจักร  พวกมันช่างชั่วร้ายเลวทรามจริงๆ!  ไม่ว่าจะมีคนอื่นได้หักหลังฉันหรือไม่ ฉันก็จะยังคงยืนปักหลัก และไม่ทรยศพระเจ้าหรือพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ อย่างแน่นอน  หลังจากนั้น ผู้กองนั่นก็ใช้ลูกสาวของฉันมาข่มขู่ฉัน  แสร้งยิ้มมองหน้าฉันแล้วพูดว่า “ลูกสาวแกอยู่ในปักกิ่งไม่ใช่หรือ?  พวกเราจับเธอมาทรมานตรงหน้าแกได้เลยนะ  ถ้าแกไม่พูด พวกเราจะโยนแกสองคนเข้าเรือนจำชายและให้หนุ่มๆ พวกนั้นย่ำยีพวกแกจนตาย  ฉันทำแบบนั้นกับแกได้ด้วยการดีดนิ้วแค่ทีเดียว และฉันพูดจริงทำจริง”  ฉันรู้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์สามารถทำอะไรก็ได้ และฉันก็ไม่กลัวการถูกทุบตีจนตาย แต่ฉันทนไม่ได้กับความคิดที่ว่าฉันกับลูกสาวจะถูกโยนเข้าเรือนจำชาย  ฉันยอมถูกทุบตีจนตายเสียดีกว่าถูกหลู่เกียรติแบบนั้น  นี่เป็นความคิดที่น่าหวาดหวั่นสำหรับฉันจริงๆ ดังนั้นฉันจึงรีบร้องหาพระเจ้าว่า “พระเจ้า โปรดทรงคุ้มครองหัวใจของข้าพระองค์ และไม่ว่าพวกมันจะทรมานหรือทำให้ข้าพระองค์อับอายอย่างไร ข้าพระองค์ก็ไม่สามารถเป็นยูดาสได้”  หลังจากอธิษฐาน ฉันนึกถึงเรื่องที่ดาเนียลถูกโยนเข้าไปในถ้ำสิงโต สิงโตพวกนั้นไม่ได้กินดาเนียลเพราะพระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้พวกมันทำร้ายเขา  ฉันจำเป็นต้องมีความเชื่อในพระเจ้า  ตำรวจชั่วพวกนั้นก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเหมือนกัน ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถทำอะไรฉันได้ถ้าพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต  ในเมื่อฉันยังไม่ยอมพูด พวกมันคนหนึ่งก็ตะโกนใส่ฉันอย่างป่าเถื่อนด้วยความเดือดดาลว่า “ถ้าแกไม่ยอมพูด พวกเราจะตีแกให้ตายวันนี้แหละ!”  ขณะที่พูด เขาถอยไปสองก้าว กำหมัด แล้วพุ่งตรงเข้าหาฉันด้วยแววตาดุดัน แล้วต่อยหมัดเข้าที่อกของฉัน  ฉันล้มหัวทิ่มลงกับพื้น หายใจไม่ออกไปพักใหญ่  รู้สึกเหมือนเครื่องในและกระดูกแหลกละเอียดไปหมด และรู้สึกเหมือนหัวใจโดนคีมกระชากออกไป  ฉันไม่กล้าหายใจแรงเกินไปเพราะความเจ็บปวด  หัวฉันทิ่มกับพื้น เหงื่อไหลไปทั้งตัว ฉันอยากร้องออกมาแต่ก็ร้องไม่ออก รู้สึกเหมือนมีอะไรมาอุดลำคอไว้  ฉันอยากร้องไห้ แต่น้ำตาก็ไม่ยอมไหลออกมา  ตอนนั้นเอง ฉันรู้สึกเหมือนตายไปเสียคงจะดีกว่าจริงๆ  ฉันอ่อนแอลง รู้สึกเหมือนร่างกายได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว และคิดกับตัวเองว่าถ้าพวกมันยังทุบตีฉันแบบนั้นต่อไป ตายไปเสียให้จบๆ คงจะดีกว่า  แล้วพวกมันก็จะหยุดสอบสวนและทรมานฉัน และฉันก็จะเป็นอิสระ  ฉันพิจารณาว่าจะบอกเรื่องทั่วๆ ไปกับพวกมัน แต่แล้วฉันก็รู้ว่า พวกมันต้องได้คืบจะเอาศอกแน่ และจะยิ่งเริ่มสอบสวนฉันอย่างดุดันมากขึ้นอีก  ไม่ ไม่ว่าอย่างไรฉันก็ไม่อาจหักหลังพี่น้องชายหญิงให้พวกเขาทนทุกข์การทรมานแบบนั้นได้  ฉันร้องหาการทรงคุ้มครองของพระเจ้าอย่างเงียบๆ  ตอนนั้นเอง บางอย่างจากพระวจนะของพระเจ้าก็ผุดขึ้นในใจฉันอย่างชัดเจนว่า  “กับบรรดาผู้ที่ไม่ได้แสดงให้เราเห็นความจงรักภักดีแม้แต่น้อยในระหว่างช่วงเวลาของความทุกข์ลำบาก เราจะไม่ปรานีอีกต่อไป เพราะความปรานีของเราขยายเวลามาเพียงถึงตอนนี้เท่านั้น  ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่มีความชอบให้กับใครก็ตามที่ครั้งหนึ่งเคยทรยศเรา นับประสาอะไรที่เราจะชอบเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดาผู้ที่ขายผลประโยชน์ของผองเพื่อนของตน นี่คืออุปนิสัยของเรา  ไม่ว่าบุคคลคนนั้นอาจเป็นใครก็ตาม(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า)  พระวจนะของพระเจ้าเตือนใจฉันในเวลาที่เหมาะเจาะว่าพระอุปนิสัยชอบธรรมของพระองค์จะไม่ทนยอมรับการล่วงเกินของมนุษย์  พระเจ้าทรงรังเกียจ พระองค์เกลียดคนที่ทรยศพระองค์ และคนแบบนั้นจะทนทุกข์การลงโทษไปชั่วนิรันดร์ ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ  ตลอดหลายปีที่ฉันเชื่อมา ฉันได้เพลิดเพลินกับความรักของพระเจ้าและการค้ำจุนจากพระวจนะของพระองค์อย่างมากมาย และตอนนี้ก็เป็นเวลาให้ฉันยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระเจ้า จะไม่เป็นการไร้มโนธรรมหรอกหรือที่จะทรยศพระองค์เพื่อให้ฉันยื้อชีวิตไว้อย่างละโมบได้?  ฉันคงจะไม่คู่ควรกับการเป็นมนุษย์!  ดังนั้นฉันจึงสาบานว่า ต่อให้นั่นจะหมายถึงความตายของฉัน ฉันก็จะไม่กลายเป็นยูดาส  ฉันจะไม่ทรยศพระเจ้า แต่จะให้คำพยานอย่างแน่นอน!

ตอนนั้นเองผู้กองที่น่ากลัวนั่นก็เตะฉันพลางตะคอกว่า “ลุกขึ้น! อย่าแกล้งตายนะ โธ่เว้ย!”  แต่ฉันไม่มีเรี่ยวแรงที่จะดึงตัวเองให้ลุกขึ้น  เจ้าหน้าที่สองคนดึงตัวฉันขึ้น  ฉันอยู่ในอาการมึนงง สมองว่างเปล่าและมีเสียงหึ่งๆ ในหัว หน้าอกฉันเจ็บมากจนฉันกลัวที่จะหายใจ และฉันเห็นภาพซ้อนไปทุกที่  พวกมันยังกระหน่ำถามคำถามฉัน  คลื่นความโกรธพลุ่งขึ้นในตัวฉันและฉันรวบรวมพละกำลังทั้งหมดเพื่อพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะตาย! ทุบตีฉันให้ตายไปเลยแล้วกัน!”  พวกมันตะลึงงันไปเลย แต่ละคนจ้องมองฉันด้วยแววตาว่างเปล่า  ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงมอบคลื่นความกล้าแกร่งนั้นให้ฉัน และฉันขอบคุณพระองค์ในหัวใจ  แรกเริ่มพวกมันวางแผนจะผลัดเวรกันสอบสวนฉันโดยใช้การทรมาน แต่ประมาณหลัง 17.00 นาฬิกา พวกมันได้รับโทรศัพท์ จากฝ่ายความมั่นคงสาธารณะจังหวัดที่บอกให้พวกมันไปรายงานผลการสอบปากคำ พวกมันจึงหยุดการสอบสวนชั่วคราว  ฉันนั่งพิงกำแพงไม่ไหวติงอยู่บนพื้น ร้องไห้ด้วยสำนึกขอบคุณต่อพระเจ้า  การที่พระเจ้าทรงคุ้มภัยฉันได้เปิดโอกาสให้ฉันผ่านมาได้ ไม่อย่างนั้นด้วยสภาพร่างกายของฉัน ฉันก็คงตายไปนานแล้ว  หลังจากนั้น พวกเจ้าหน้าที่คนที่เหลือก็ออกไปยกเว้นเจ้า “ค้อนปอนด์”  เขามองฉันแล้วพูดว่า “นี่ป้า ฉันไม่เคยต่อยผู้หญิงเลยนะ ป้าเป็นคนแรกเลย แล้วไอ้พวกผู้ชายตัวใหญ่แข็งแรงพวกนั้นไม่มีใครทนให้ฉันต่อยได้ถึง 30 ครั้ง  ป้ารู้ไหมว่าฉันต่อยป้าไปกี่ครั้งแล้ว?  มากกว่า 30 ครั้งแล้วนะ  ฉันไม่เคยนึกเลยว่าสุภาพสตรีวัยป้าจะสามารถทนได้ แล้วป้าก็ไม่ปริปากบอกสิ่งที่พวกเราต้องการรู้สักคำ  ฉันเป็นตำรวจอาชญากรรมมาเป็นสิบปี แต่ไม่เคยสอบสวนสักคดีแบบป้าเลย”  เมื่อฉันได้ยินแบบนั้นฉันก็ต้องขอบคุณพระเจ้า  การไม่ถูกทุบตีจนตายล้วนเป็นการทรงคุ้มครองของพระเจ้า

หลังหนึ่งทุ่มค่ำวันนั้น พวกมันนำตัวฉันกลับไปสถานกักกันและเตือนฉันว่า “กลับไปที่นั่นแล้วแกห้ามบอกใครเด็ดขาดนะว่าพวกเราทุบตีแก  ถ้าปากโป้งละก็ ครั้งต่อไปที่พวกเราสอบปากคำแกมันจะเลวร้ายกว่านี้อีก”  ระหว่างที่พูด พวกมันก็หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดฝุ่นที่กางเกงของฉัน จัดเสื้อผ้าและผมของฉันให้เรียบร้อย จากนั้นก็ใช้ผ้าขนหนูเปียกมาเช็ดหน้าฉันจนสะอาด  หลังจากพาฉันกลับไปที่ห้องขัง พวกมันก็โกหกผู้คุมว่าฉันไม่สบายเพราะโรคหัวใจกำเริบ  ฉันโกรธมาก  พวกมันช่างน่ารังเกียจและไม่รู้จักอายจริงๆ!  กลับไปที่ห้องขังฉันนอนบนเตียง ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้  หนังหัวฉันไวต่อความรู้สึกมากจนฉันไม่กล้าแตะและหูซ้ายของฉันไม่ได้ยินเลยสักนิด  ปากของฉันบวมจนเปิดไม่ได้ และแก้มของฉันก็เขียวช้ำไปหมด  ฉันฟกช้ำไปทั่วทั้งตัว ทั่วทั้งขา และมีรอยกำปั้นสีม่วงบนอกของฉันชัดเจนมาก  หัวไหล่ข้างซ้ายของฉันหลุด ฉันจึงต้องรองรับมันไว้ด้วยมือขวา  การตรวจร่างกายหลังจากนั้นพบว่ากระดูกหน้าอกของฉันหักหลายแห่ง กระดูกสันหลังของฉันก็เคลื่อนอีกด้วย  ฉันกลัวที่จะนอนเหยียดยาวและโดยเฉพาะการลุกขึ้นนั่ง  การหายใจลึกๆ ทำให้หัวใจและช่องอกของฉันรู้สึกเหมือนถูกเศษแก้วทิ่มแทง  การหายใจออกช้าๆ ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดเล็กน้อย  เมื่อหมอประจำเรือนจำเห็นฉันในสภาพนั้น เขาก็บอกพวกผู้ต้องขังที่เฝ้าเวรกลางคืนให้เฝ้าตรวจสอบจมูกของฉันทุกสองชั่วโมง เพื่อดูว่าฉันยังหายใจอยู่หรือไม่  เมื่อพวกเจ้าหน้าที่เรือนจำมาทำงานทุกเช้า พวกนั้นจะถามเป็นอย่างแรกว่าฉันตายหรือยัง  ฉันไม่กินหรือดื่มเป็นเวลาสองวันติดต่อกัน และคนอื่นๆ ในห้องขังก็คิดว่าฉันไม่มีทางรอดแน่  ฉันแอบได้ยินผู้ต้องขังสองคนที่อยู่โยงตอนกลางคืนแสดงความคิดเห็นกันเงียบๆ  พวกนั้นคนหนึ่งพูดว่า “พวกเขาไม่พาเธอไปรักษาหรือแจ้งครอบครัวของเธอด้วยซ้ำ  ฉันคิดว่าเธอได้แต่รอความตายอยู่ที่นี่”  อีกคนหนึ่งพูดว่า “เจ้าหน้าที่เรือนจำนั่นพูดว่าพวกฆาตกร นักวางเพลิง และโสเภณีล้วนติดสินบนให้ปล่อยตัวได้ มีแต่ผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ออกไปไม่ได้  เธอคงรอดได้อีกแค่สองสามวันเท่านั้นแหละ”  การได้ยินพวกเธอพูดอะไรแบบนั้นมันเลวร้ายมาก  “ฉันจะตายอยู่ในนี้แบบนี้จริงๆ หรือ?  ฉันยังไม่ได้เห็นวันแห่งความรุ่งโรจน์ของพระเจ้าเลย  ถ้าฉันตายในนี้ เหล่าพี่น้องชายหญิงก็คงไม่รู้ ลูกสาวของฉันก็ด้วย”  การคิดถึงลูกสาวทำให้ฉันเศร้าจับใจ จนฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  บนประตูแห่งความตาย ฉันไม่มีครอบครัว พี่น้องชายหรือหญิงคนใดอยู่เคียงข้าง  ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้ฉันก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น ฉันทำได้แต่ร้องหาพระเจ้า  แล้วฉันก็ได้ยินผู้ต้องขังสองคนนั้นพูดว่า “ถ้าเธอตายในนี้จริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น?”  อีกคนตอบคำถามนี้ว่า “เอาผ้าคลุมเตียงผืนไหนก็ได้ที่สกปรกและเก่าที่สุดมาห่อตัวเธอ แล้วโยนลงหลุมฝังเธอเสีย”  การได้ยินแบบนี้ทำให้วิญญาณฉันอ่อนแอลงจริงๆ  ร่างกายฉันก็รับไม่ไหวอีกแล้ว และด้วยความทุกข์ใจและสิ้นหวังสุดขีดนี่เพิ่มเข้าไปอีก ฉันยิ่งรู้สึกปวดใจยิ่งขึ้น ฉันรู้สึกเหมือนว่าความตายคงจะดีกว่านั้น  ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับพระเจ้า ฉันจึงแค่ร้องหาพระเจ้าอย่างเร่งด่วนว่า “พระเจ้า ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดด้วย! โปรดทรงช่วยเหลือข้าพระองค์ด้วยเถิด!  ทรงมอบความเชื่อและความกล้าหาญให้ข้าพระองค์ผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้  ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่ข้าพระองค์รู้ว่าชีวิตและความตายของข้าพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์”  ตอนนั้นเอง พระวจนะของพระเจ้าข้อความหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจฉัน ความว่า “ในระหว่างวันสุดท้ายเหล่านี้พวกเจ้าต้องเป็นคำพยานต่อพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าควรต้องเดินไปจนถึงวาระสิ้นสุด และแม้กระทั่งถึงลมหายใจสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น)  ฉันเกิดกำลังใจอย่างมาก และรู้สึกเหมือนว่าพระเจ้าพระองค์เองทรงอยู่เคียงข้างฉัน กำลังทรงปลอบโยนและทรงกระตุ้นให้ฉันไปต่อ  ฉันยังคิดถึงบรรดาธรรมิกชนทั้งหมดตลอดทุกยุคทุกสมัยที่พลีชีพเพื่อประโยชน์ของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า และแม้แต่วันนี้ พี่น้องชายหญิงมากมายเหลือเกินได้สละชีวิตตัวเองเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า  ความตายของพวกเขามีความหมายและคุณค่า และพระเจ้าทรงระลึกถึงพวกเขา  ฉันถูกจับกุมเพราะเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของฉัน  ต่อให้ฉันจะถูกข่มเหงจนตาย นั่นก็เพื่อประโยชน์ของความชอบธรรมและจะเป็นสิ่งที่มีสง่าราศี  ฉันจะยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระเจ้าโดยไม่คำนึงถึงว่าวันนั้นฉันจะอยู่หรือตายและต่อให้ฉันจะตายจริงๆ ชีวิตของฉันก็จะไม่สูญเปล่า  ความคิดนี้ทำให้ฉันรู้สึกสงบมาก และไม่โศกเศร้าหรือสิ้นหวังอีกต่อไป  ฉันกล่าวอธิษฐานอีกว่า “พระเจ้า มัจจุราชกำลังปรากฏขึ้นลางๆ เบื้องหน้าข้าพระองค์ ถ้ามันมาจริงๆ ข้าพระองค์ก็พร้อมที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์  ถ้าข้าพระองค์มีชีวิตผ่านพ้นเรื่องนี้ ข้าพระองค์ก็จะยังคงทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเพื่อทำให้พระองค์พอพระทัย  ข้าพระองค์จะถวายตัวให้พระองค์โดยสิ้นเชิง และอุทิศตนจนถึงปลายทาง”  หลังจากคำอธิษฐานนั้น ฉันได้รับสำนึกรับรู้ถึงสันติสุข ไม่รู้สึกถูกจำกัดโดยความคิดถึงความตายอีกต่อไป และความเจ็บปวดทางร่างกายก็เบาบางลงด้วย  ฉันผ่านวันหนึ่งไปได้โดยทางนั้น แล้วก็วันที่สอง แล้วก็วันที่สาม… ฉันยังไม่ตาย!  ฉันรู้อยู่ลึกๆ ว่านี่คือพระคุณและการทรงคุ้มครองของพระเจ้าทั้งสิ้น

สามวันต่อมา คนจากกองพลความมั่นคงแห่งชาติมาเอาตัวฉันไปสอบปากคำเพิ่ม  ฉันได้ยินเจ้าหน้าที่เรือนจำตะโกนชื่อฉันก่อนที่ประตูห้องขังจะเปิดออกเสียอีก  ตอนนั้นอาการของฉันย่ำแย่ที่สุด และทันทีที่ผู้ต้องขังคนอื่นได้ยินเสียงนั้น พวกเขาต่างก็เริ่มโห่ร้อง ยืนขึ้นตะโกนทันที พูดอะไรอย่างเช่น “เธออยู่ในสภาพแบบนี้แล้วพวกแกจะสอบปากคำเธอเพิ่มหรือ?  พวกแกนี่โหดร้ายจริงๆ  จะเอาเธอไปสอบปากคำทั้งที่เธอถูกทุบตีจนอยู่ในสภาพนี้นะหรือ?”  ในนั้นมีคนประมาณ 60 คน และมากกว่าครึ่งก็กำลังพูดออกมาเพื่อฉันด้วยความแค้นเคือง  ทั้งห้องขังสับสนอลหม่านไปหมด  เมื่อเห็นแบบนี้ พวกตำรวจก็ตัดสินใจไม่สอบปากคำฉัน  ฉันตื้นตันใจจนน้ำตาไหล รู้สึกขอบคุณการทรงคุ้มครองของพระเจ้าอย่างมาก  ต่อมาแม้แต่หัวหน้าผู้ต้องขังยังพูดว่า “ฉันอยู่ที่นี่มาสองปียังไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นเลย”  ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอยู่หลังฉากเพื่อทรงคุ้มครองฉัน ทรงจัดการเตรียมการให้ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ มาช่วยฉัน และเปิดโอกาสให้ฉันรอดมาได้หวุดหวิด ฉันขอขอบคุณพระเจ้า!

ฉันเจ็บปวดทรมานไปทั้งตัวจนนอนหลับตอนกลางคืนไม่ได้ไปพักใหญ่ ดังนั้นฉันจึงใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า  ครั้งหนึ่งฉันนึกถึงบทสวดสรรเสริญที่ชื่อ “ความรักพระเจ้าของเปโตร” ซึ่งเกี่ยวกับการที่เปโตรอธิษฐานต่อพระเจ้าตอนที่เขาอยู่ในจุดที่อ่อนแอที่สุด ความว่า “โอ พระเจ้า!  ไม่ว่า ณ เวลาใดหรือแห่งหนใด พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์จำพระองค์ได้เสมอ  ไม่สำคัญว่า ณ เวลาใดหรือแห่งหนใด พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์ต้องการรักพระองค์ แต่วุฒิภาวะของข้าพระองค์นั้นด้อยเกินไป ข้าพระองค์อ่อนแอและไร้พลังอำนาจเกินไป ความรักของข้าพระองค์ถูกจำกัดเกินไป และความจริงใจของข้าพระองค์ที่มีต่อพระองค์นั้นน้อยนิดเกินไป  เมื่อเปรียบเทียบกับความรักของพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ก็แค่ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่ ข้าพระองค์ปรารถนาเพียงว่าชีวิตของข้าพระองค์นั้นไม่สูญเปล่า และปรารถนาว่าข้าพระองค์ไม่เพียงสามารถตอบแทนความรักของพระองค์ แต่ที่มากกว่านั้นก็คือ ปรารถนาว่าข้าพระองค์สามารถอุทิศทั้งหมดที่ข้าพระองค์มีให้กับพระองค์  หากข้าพระองค์สามารถทำให้พระองค์พึงพอพระทัยได้แล้วไซร้ ในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ข้าพระองค์ก็ย่อมจะมีจิตใจที่สงบสุขและจะไม่ขออะไรอีกแล้ว  แม้ตอนนี้ข้าพระองค์อ่อนแอและไร้พลังอำนาจ ข้าพระองค์ก็จะไม่ลืมคำเตือนสติของพระองค์ และข้าพระองค์จะไม่ลืมความรักของพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)  เพลงสรรเสริญนั้นประทับใจฉันอย่างเหลือเชื่อ  ตลอดประสบการณ์การถูกทรมานอย่างไร้ความปรานีนั้น เมื่อไรก็ตามที่ฉันอธิษฐานและพึ่งพิงพระเจ้าเมื่อฉันรู้สึกเปราะบางและเจ็บปวด พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำฉันด้วยพระวจนะของพระองค์และทรงเปิดทางออกให้ฉัน  พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างฉัน ทรงดูแลและคุ้มครองฉัน  การประสบสภาพแวดล้อมแบบนั้นแสดงให้ฉันเห็นความทรงมหิทธิฤทธิ์และกฎเกณฑ์ของพระเจ้า แล้วความเชื่อในพระเจ้าของฉันก็เติบโต  ฉันยังเห็นอย่างแท้จริงถึงแก่นแท้เยี่ยงปีศาจในการต่อต้านพระเจ้าและทำลายผู้คนของพญานาคใหญ่สีแดงอีกด้วย ฉันปฏิเสธและละทิ้งมันจากหัวใจ และหันหัวใจของฉันเข้าหาพระเจ้า  พระเจ้าทรงช่วยฉันให้รอดจากกำลังบังคับของซาตานในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตอย่างยิ่ง  ฉันกล่าวอธิษฐานด้วยความสำนึกบุญคุณพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยมว่า ไม่ว่าฉันจะอยู่หรือตาย ฉันก็พร้อมจะมอบทั้งชีวิตให้พระองค์และยอมรับอะไรก็ตามที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการ  ต่อให้นั่นจะหมายถึงความตายของฉัน ฉันก็จะติดตามพระเจ้าจนถึงปลายทาง!  ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา ฉันรู้สึกภายในหัวใจได้ว่า ฉันสามารถทำได้โดยไม่มีอะไรเลย แต่สิ่งที่ฉันไม่อาจทำได้ก็คือการแยกจากพระเจ้า  ขณะที่ฉันคิดทบทวนพระวจนะของพระเจ้า ฉันรู้สึกได้ว่าหัวใจของฉันใกล้ชิดพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ  ภายใต้การทรงดูแลและการทรงคุ้มครองของพระเจ้า อาการบวมรอบๆ การบาดเจ็บของฉันลดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจของฉันไม่เจ็บปวดมากนักเวลาที่ฉันหายใจ และหลังผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ฉันก็สามารถเดินได้โดยพยุงตัวไปกับกำแพง  ทุกคนในคุกต่างพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ดูสิ เธอต้องเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้แน่ๆ!”  ฉันรู้ว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพราะฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และรู้ว่าพระองค์ได้ทรงนำฉันกลับมาจากขอบเหวแห่งความตายและทรงมอบชีวิตที่สองให้ฉัน  ฉันขอบคุณจากหัวใจสำหรับความรอดที่พระเจ้าทรงให้ฉัน!

หลังจากถูกขังอยู่ในสถานกักกันสี่เดือน พรรคคอมมิวนิสต์ก็ตัดสินให้ฉันรับการศึกษาใหม่ผ่านการใช้แรงงานเป็นเวลาหนึ่งปีเนื่องจากทำลายระเบียบสังคม  เมื่อฉันได้รับการปล่อยตัว ตำรวจก็เตือนฉันว่า “ถ้าแกยังถูกจับเพราะทำกิจกรรมทางศาสนาอีก แกจะโดนโทษหนัก”  แต่พวกนั้นเหนี่ยวรั้งฉันไม่ได้  ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าในหัวใจว่า “ไม่ว่าหลังจากนี้ข้าพระองค์จะเผชิญการกดขี่หรือความทุกข์ยากมากแค่ไหน ข้าพระองค์ก็จะติดตามพระองค์ตลอดไป!”

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

หลังจากถูกจับ

โดย โจว ลี่, ประเทศจีน บ่ายวันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2013 ตอนที่ฉัน กำลังไปชุมนุมพร้อมพี่สาวอีกสามคน เราตระหนักได้ว่า มีรถสองคัน...

หนึ่งวันที่ไม่มีทางลืม

โดย หลี่ ชิ่ง, ประเทศจีน ในเดือนธันวาฯ ค.ศ. 2012 ประมาณ 9 โมงเช้า ฉันเผยแผ่ข่าวประเสริฐอยู่กับพี่น้องชายหญิง แล้วก็มีรถตำรวจมาจอดตรงหน้าเรา...

ยี่สิบวันแห่งความทุกข์ทรมาน

โดย เย่หลิน, ประเทศจีนราวสี่โมงเย็นวันหนึ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2002 ขณะที่ผมยืนโทรศัพท์อยู่ริมถนน จู่ๆ ผมก็ถูกกระชากผมและแขนจากด้านหลัง...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger