สลักไว้ในกระดูกของฉัน

วันที่ 30 เดือน 10 ปี 2024

นั่นเป็นวันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2009 ตอนหกโมงเย็นกว่าๆ ผมไปแบ่งปันข่าวประเสริฐ กับคุณหลี่ผู้เคร่งศาสนา แต่ว่า เขาไม่เปิดรับ ซ้ำยังกล่าวหา ว่าผมทำร้ายแม่ของเขา เขาตามคนในหมู่บ้านกว่า 20 คน มารุมซ้อมผม แล้วตามคนถือศาสนาอีกสิบกว่าคน ให้มาทำร้ายผม แล้วก็แจ้งความ ผมสะบักสะบอมทั้งตัว ถึงขั้นหมดสติ จากนั้น ผมกำลังมึนงงอยู่ แต่จำได้ว่าตำรวจหิ้วผมขึ้นรถแล้วพาไปโรงพยาบาล หมอคนหนึ่งเปิดเปลือกตาผม แล้วส่องไฟฉายเข้าไปที่ตาผม เขาพูดอะไรกับตำรวจไม่รู้ครับ แล้วก็ผละไป ยี่สิบนาทีต่อมา หรือราวๆ นั้น ผมก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติ ทั่วทั้งตัวผม เจ็บปวดไปหมดเลยครับ พอรู้ตัวว่าถูกจับกุม ผมรู้สึก หวาดกลัวอย่างที่สุด ผมไม่รู้เลยว่า พวกตำรวจจะทำอะไร เพื่อทรมานผม คนน่ากลัวพวกนั้นเพิ่งทำร้ายผม ดังนั้นถ้าพวกตำรวจทรมานอะไรผม ผมก็คงตายหรือเจ็บหนักแน่ และถ้าผมทนไม่ได้ และขายพี่น้องชายหญิง ก็จะทำให้ผมเป็นยูดาส พอคิดได้แบบนี้ ผมก็อธิษฐานต่อพระเจ้า “พระเจ้า ข้าพระองค์กลัวทนการทรมานของตำรวจไม่ไหว โปรดทรงมอบความเชื่อและความเข้มแข็งให้ที” หลังอธิษฐาน ผมจำได้ถึงบางวจนะที่ว่า “ความเชื่อเป็นเหมือนสะพานไม้ซุงต้นเดียว กล่าวคือ พวกที่ยึดติดอยู่กับชีวิตอย่างยอมจำนนจะประสบความลำบากยากเย็นในการข้ามสะพานนั้นไป แต่บรรดาผู้ที่พร้อมจะพลีอุทิศตัวพวกเขาเองจะสามารถข้ามไปได้ด้วยเท้าที่มั่นคงและปราศจากความกังวล  หากว่ามนุษย์เก็บงำความคิดที่ขลาดอายและเกรงกลัว นั่นก็เป็นเพราะซาตานได้หลอกพวกเขา ด้วยกลัวว่าพวกเราจะข้ามสะพานแห่งความเชื่อเพื่อเข้าสู่พระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6)  พระวจนะให้ความรู้แจ้งและผมรู้ว่า ซาตานต้องการใช้ความอ่อนแอทางเนื้อหนังเพื่อโจมตีผม ให้กลัวตายจนทรยศพระเจ้า ผมรู้ว่าจะตกเป็นเหยื่ออุบายของมันไม่ได้ ลมหายใจของผมมาจากพระเจ้า ความเป็นความตายของผมย่อมเป็นการทรงเรียก ผมพร้อมนบนอบต่อสิ่งที่ทรงจัดไว้ ผมนึกถึงการที่โยบมีความเชื่อแท้จริง ยืนหยัดเป็นพยานแด่พระเจ้า ให้มารซาตานอับอาย ผมอยากพึ่งพิงพระเจ้า ชนะซาตานด้วยความเชื่อ และให้คำพยานสมดังพระทัย พระวจนะช่วยให้ผมสงบใจลง ความเชื่อและความเข้มแข็งถาโถมจนไม่กลัวอีกต่อไป คืนวันนั้น ตอนประมาณตีหนึ่ง ผมตื่นขึ้นไปเข้าห้องน้ำ จังหวะที่เดินออกจากห้อง เจ้าหน้าที่สองคนปรี่ออกมาจากมุมมืด ล็อคตัวผมไว้แล้วพูดว่า “คิดจะหนีเหรอ? เราจับตัวแกได้แล้ว อย่าได้ฝันไปเลย ถ้าไม่บอกเรื่องคริสตจักรมาให้หมด พอถึงสถานี เราจะจัดการแกเอง” แล้วก็เตะผมร่วงลงไปกองกับพื้น ผมใส่อารมณ์กลับไป “เรื่องอะไรมาจับผมซ้อมนี่? กักขังคนโดยไม่มีหลักฐานแบบนี้ มันละเมิดสิทธิมนุษยชนนะ” หนึ่งในนั้นพูดว่า “เราจับแกมาซ้อมแล้วจะทำไม? ความเชื่อของแกน่ะผิดกฎหมาย และเป็นการต่อสู้กับพรรค เรากระทืบแกจนตายได้ ไม่ผิดกฎหมายเลย ถ้าเป็นยุคของท่านเหมาละก็ แกคงโดนยิงเป้าไปแล้ว”

หลังจากนั้นพวกเขาก็พาผมไปสถานีตำรวจ และประมาณ 9 โมงเช้าวันถัดมา หัวหน้าสถานีก็เข้ามา กับเจ้าหน้าที่กองพันความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อสอบปากคำผม หนึ่งในนั้นตรงเข้ามา ฉุดตัวผมให้ลุกขึ้น แล้วตะคอกว่า “คริสตจักรแกมีสมาชิกกี่คน? พวกแกสื่อสารกันยังไง? พูด!” พอผมพูด ว่าไม่รู้ เขาก็ตบหน้าผม ทั้งสองข้างอย่างแรงข้างละหนึ่งที ทำให้ผม แสบร้อนที่หน้าด้วยความเจ็บปวด แล้วเขาก็สั่งให้ผมพูด “บอกมา! ถ้าไม่บอกวันนี้แกตายแน่!” ผมคิดว่า ถึงพวกมันจะซ้อมผมจนตาย ผมก็จะไม่เป็นยูดาสและทรยศพระเจ้า พอเห็นว่าผมยังไม่ยอมพูดอะไรเลย เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้น เขาหยิบขวดน้ำผสมพริกขึ้นมา แล้วพ่นใส่หน้าผม น้ำเผ็ดๆ นั่น กระจายเต็มหน้า เข้าจมูกและปากผม ตาของผมแสบร้อนมาก เจ็บปวดแสนสาหัส แล้วผมก็ดิ้นรนด้วยกำลังทั้งหมดที่มี นายสถานีเข้ามาดึงทึ้งผมของผมอย่างแรง เพื่อไม่ให้ผมดิ้นไปมา แล้วก็พ่นน้ำผสมพริกนั่นใส่ตาผมต่อ ผมสำลักจนหายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจ ผมคิดถึง เรื่องที่ตำรวจ ใช้ลูกเล่นที่โหดร้ายและน่ารังเกียจมาทรมานผม และเรื่องที่ถ้าผมตายตรงนั้น ครอบครัวก็คงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น แล้วถ้าพวกเขาทำผมตาบอดจริงๆ ผมจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง? ผมรีบกล่าวคำอธิษฐานต่อพระเจ้า แล้วก็นึกถึงคำที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงสามารถทำลายทั้งจิตวิญญาณและกายในนรกได้(มัทธิว 10:28)  พระวจนะให้ความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ผม พระเจ้าทรงครองทุกสิ่ง และชีวิตของผมอยู่ในพระหัตถ์ หากไม่ทรงยอม ก็ไม่มีใครคร่าชีวิตผมไปได้ ตำรวจนั่นพ่นน้ำผสมพริกใส่ตาของผม และอยากเห็นผมตายจนเต็มแก่ แต่ไม่ว่าเขาจะทรมานผมยังไง ก็ทำลายได้แค่เนื้อหนังของผม ส่วนวิญญาณผมอยู่ในพระหัตถ์ ถ้าผมกลัวทุกข์กายแล้วทรยศพระเจ้า เหมือนกันกับยูดาส นั่นจะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า และวิญญาณผมจะถูกลงโทษ แต่ถ้าผมยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระเจ้า ถึงผมจะถูกทรมานจนตาย วิญญาณของผมจะรอด และได้รับการทรงเห็นชอบ พอคิดแบบนั้น ผมก็หายกลัวเป็นปลิดทิ้ง และตั้งปณิธานอยู่ในหัวใจ ว่าถึงวันนั้นผมจะตาบอด ก็จะไม่ทรยศพระเจ้า

พอเห็นว่าผมยังไม่ยอมพูด เขาก็หยิบน้ำผสมพริกขวดนั้นขึ้นมาด้วยความเดือดดาล และใช้มันกระทุ้งหน้าผมแรงมากๆ แล้วตะคอกว่า “บอกมา! ไม่อย่างนั้นเรามีเครื่องมือเจ๋งๆ กว่านี้ให้แกได้สนุกแน่!” ผมร้องหาพระเจ้าในใจไม่หยุดว่า “พระเจ้า! ตำรวจจะใช้เครื่องมือทรมานที่เลวร้ายกว่านี้กับข้าพระองค์ และข้าพระองค์กลัวจะทนความเจ็บปวดไม่ไหว โปรดทรงมอบความเชื่อและความเข้มแข็งให้ข้าพระองค์เอาชนะซาตานได้ที” หลังอธิษฐาน ผมก็นึงถึงพระวจนะเหล่านี้ “ในระหว่างวันสุดท้ายเหล่านี้พวกเจ้าต้องเป็นคำพยานต่อพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าควรต้องเดินไปจนถึงวาระสิ้นสุด และแม้กระทั่งถึงลมหายใจสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น)  แล้วผมก็เข้าใจว่านี่เป็นเวลาที่พระเจ้าทรงต้องการให้ผมยืดหยัดเป็นพยาน และแม้ว่าร่างกายผมจะถูกตำรวจชั่วพวกนั้นทรมานอย่างป่าเถื่อน ผมก็มีโอกาสให้คำพยานต่อพระเจ้าอยู่เบื้องหน้าซาตาน พระเจ้าทรงอนุญาต และมันก็มีความหมายจริงๆ! สิ่งนี้ให้ ความเชื่อและกำลังที่ผมต้องการเพื่อเผชิญสถานการณ์นั้น หลังจากนั้น ความเจ็บปวดในดวงตาของผมก็ค่อยๆ ทุเลาลง และผมรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงตอบรับคำอธิษฐานของผม พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างคอยปกปักษ์รักษาผม ทรงเมตตาความอ่อนแอของผม รวมแล้ว ตำรวจใช้น้ำผสมพริกกับผมไปประมาณหนึ่งปอนด์ แต่พวกมันก็ยังไม่ได้อะไรจากปากของผมแม้แต่คำเดียว ก็เลยต้องยอมล้มเลิก ผมได้ยินคนหนึ่งพูดพึมพำอยู่ข้างๆ ว่า “นี่มันแปลกชะมัดเลย! ผู้เชื่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คนนี้ ทำไมทรหดนัก? ไม่อยากจะเชื่อว่า โดนของที่แสบร้อนขนาดนี้เข้าไปเต็มๆ ตา ก็ยังไม่สะทกสะท้านเลย!” หลังจากนั้น พวกมันก็สีหน้าบูดบึ้งผละออกไปทีละคน ผมขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อเห็นว่าปีศาจพวกนั้นปราชัยและอับอายยังไง ผมนึกถึงพระวจนะบทตอนนี้ “หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทุกอย่างในชีวิตของเขาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม ทุกสิ่งและทุกอย่าง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตาม พระดำริของพระเจ้า  นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงปกครองสรรพสิ่ง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์)  ผมเห็นได้จากประสบการณ์จริงว่า ทุกสิ่งเป็นไปตามการเตรียมการของพระเจ้า และความเชื่อในพระเจ้าของผมก็เติบโตขึ้น

พวกเขาพาผมไปถึงกองความมั่นคงสาธารณะตอนบ่ายสองโมงกว่าวันนั้น พวกเขาลากผมขึ้นไปเหวี่ยงลงกับพื้นบนชั้นสามของที่นั่น ผู้กองตำรวจคนหนึ่งเข้ามาสอบปากคำผมว่า “เราจะให้โอกาสแกอีกหนึ่งครั้ง บอกทุกอย่างที่แกรู้มาให้หมด แล้วเราก็จะปล่อยแกกลับบ้านทันที แต่ถ้าแกไม่บอก เราจะส่งแกไปสถานกักกัน แกจะติดคุก!” ผมบอกว่า “ยังไงผมก็ไม่มีทางยอมทรยศพระเจ้า และขายพี่น้องชายหญิงอย่างแน่นอน” พอเห็นว่าผมหนักแน่นแค่ไหน เขาก็ทำเสียงอ่อนพูดอย่างปลอบโยนว่า “คุณก็ดูเป็นคนฉลาดนี่นา ทำไมถึงดื้อดึงนักล่ะ? ที่นี่เป็นแดนของพรรคคอมมิวนิสต์แล้ว คุณเชื่อในพระเจ้า จึงเป็นที่ต้องการตัวของรัฐ โลกนี้ไม่มีพระเจ้าหรอกนะ ที่คุณเชื่อเป็นแค่คนเท่านั้น” ผมรู้ว่าพวกเขาถืออเทวนิยม เป็นคนของซาตาน และไม่มีทางเข้าใจ คำพยานต่อพระเจ้า ผมก็เลยไม่เสียเวลาตอบ แล้วพวกตำรวจก็เปลี่ยนท่าทีอีกครั้ง ตรงเข้ามาหาและเตะต่อยผมไม่ยั้ง พวกมันเตะเข้าที่กรามขวาของผมแรงมาก นับไม่ถ้วนเลยว่าผมโดนเตะไปกี่ครั้ง จนกางเกงของผมขาดวิ่น ขาก็เจ็บมากเหมือนว่ากระดูกหักเสียแล้ว ตอนนั้น ผมกองอยู่กับพื้นร้องเรียกหาพระเจ้าไม่หยุด ขอให้พระองค์ทรงมอบความเชื่อและความเข้มแข็งให้ผมผ่านการทรมานไปได้ จากนั้น นายสถานีก็เติมน้ำร้อนจัดลงในแก้วแบบใช้แล้วทิ้งทั้งหมดสี่แก้วด้วยกัน ถือแก้วหนึ่งเดินมาที่ผม ค้อมหัวให้แล้วเสแสร้งพูดอย่างสุภาพว่า “คุณเจอมาหนัก นี่ ดื่มน้ำให้สบายใจก่อนสิ” ผมรู้ว่า เขาไม่ได้มีเจตนาดีแน่ๆ จึงนึกสงสัยว่าเขาจะใช้ไม้ไหนมาทรมานผมอีก ตอนกำลังคิดอยู่ จู่ๆ เขาก็กรอกน้ำร้อนแก้วเข้าไปในหูซ้ายของผม มันแสบร้อนมากจนผมผลุดลุกขึ้นนั่งสะบัดหัวร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เขาไปเอาน้ำร้อนอีกถ้วยมา แล้วเทมันเข้าไปในหูขวาของผม สบถพลางพูดว่า “คิดว่ารอดเหรอ? ถ้าแกไม่พูด ฉันจะเทน้ำร้อนทั้งสี่ถ้วยนี้ใส่แก ดูซิจะพูดไหม!” นำร้อนนั่นทำให้หน้ากับหูของผมปวดแสบราวกับถูกไฟลวก ผมคิดว่า “ถ้าฉันเสียโฉมหรือพิการทางสมองจะทำยังไง?” ผมไม่สามารถทนการทรมานอันโหดร้ายแบบนั้นได้อีกต่อไป ผมทุกข์ทรมานอย่างที่สุดครับ ตอนนี้เองที่ผมนึกถึงพระวจนะของพระเจ้า “เจ้ารู้ว่าทุกอย่างในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเจ้าล้วนมีอยู่เพราะการยอมอนุญาตของเรา ทุกอย่างเราเป็นคนวางแผนไว้ทั้งหมด  จงมองให้ชัดเจนและทำให้เราพึงพอใจในสภาพแวดล้อมที่เรามอบให้เจ้า จงอย่ากลัว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จอมทัพจะอยู่กับเจ้าอย่างแน่นอน พระองค์ทรงอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า และพระองค์คือโล่ของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 26)  ผมจำได้ ว่าทุกสิ่ง ทุกเหตุการณ์อยู่ในพระหัตถ์ แม้แต่พวกตำรวจก็เช่นกัน ถึงวันนั้นผมจะเสียโฉมหรือสมองพิการ ก็จะไม่ขอให้ซาตานกรุณา จากนั้น พวกมันก็เทน้ำร้อนสองถ้วยที่เหลือเข้าไปในหูของผม ผมได้แค่กัดฟันทนความเจ็บปวด ร้องหาพระเจ้าตลอดเวลา ตอนนั้นเอง เพลงสรรเสริญแห่งพระวจนะก็ผุดขึ้นมา “ความเชื่อและความรักอย่างถึงที่สุดเป็นสิ่งที่พวกเราพึงต้องมีในพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย  พวกเราอาจจะสะดุดจากความเลินเล่อแม้เพียงเล็กน้อยที่สุด ด้วยว่าช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจแตกต่างไปจากช่วงระยะก่อนหน้านี้ทั้งหมด กล่าวคือ สิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อมก็คือความเชื่อของมวลมนุษย์ ซึ่งการนี้ทั้งมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้  สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำคือทรงแปลงพระวจนะเป็นความเชื่อ เป็นความรักและเป็นชีวิต  ผู้คนต้องไปให้ถึงจุดที่พวกเขาได้ทนฝ่ากระบวนการถลุงนับหลายร้อย ครั้ง และครองความเชื่อที่ยิ่งใหญ่กว่าของโยบ  พวกเขาต้องทนฝ่าความทุกข์อันเหลือเชื่อ และการทรมานทุกลักษณะโดยไม่เคยจากพระเจ้าไปเลย  เมื่อพวกเขานบนอบตราบจนสิ้นชีพ และมีความเชื่ออันยิ่งใหญ่ในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจของพระเจ้าก็จะครบบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เส้นทาง… (8))  ผมเข้าใจจากพระวจนะ ว่าพระองค์ทรงใช้สิ่งแวดล้อมแบบนั้นเพื่อทำให้ความเชื่อและความรักต่อพระเจ้าของผมเพียบพร้อม ผมต้องมีความเชื่อในพระเจ้า ยืนหยัดเป็นพยาน และหมิ่นเกียรติซาตาน ตอนนั้นเป็นเวลาห้าโมงกว่า พวกมันเห็นว่าผมปิดปากเงียบ ก็เลยนำตัวผมไปที่สถานกักกัน เมื่อไปถึง พวกมันลากผมออกจากรถตำรวจ ผมเจ็บมากจนยืนไม่ไหว ร่วงไปกองกับพื้น คนของที่นั่นเห็นว่าสภาพผมแย่แค่ไหน จึงไม่รับผมไว้ในตอนแรก เพราะไม่อยากยุ่ง หลังจากเจรจากัน สุดท้ายพวกเขาก็ยอมรับผมไว้

ในสถานกักกัน หัวหน้านักโทษชี้ผมแล้วพูดว่า “บอกมาว่าผู้นำคริสตจักรของแกเป็นใคร แล้วแกจะไม่เป็นไร ถ้าไม่อย่างนั้น แกจะโดนหนักแน่!” พอผมไม่ยอมพูดสักคำ เขาก็พูดขึ้นอย่างเดือดดาลว่า “พูดตรงๆ เลยนะว่า เจ้าหน้าที่ให้ฉันเค้นข้อมูลจากแก และถ้าฉันทำไม่สำเร็จ ฉันจะเสียตำแหน่งไป เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์สั่งมา อย่าโทษฉันละ” จากนั้น เขาก็ใช้มือซ้ายจิกผมของผม แล้วใช้มือขวาตบผม ข้างหนึ่งก่อนแล้วก็อีกข้าง แล้วก็ให้นักโทษคนอื่นๆ มาตบผมด้วย ผมไม่รู้ว่าถูกตบไปกี่ครั้ง แต่หน้าของผมบวมเป่ง และฟันกรามซี่หนึ่งก็โยกคลอน จากนั้น พวกมันก็ถอดเสื้อผ้าผมแล้วบังคับให้ผมอาบน้ำเย็น เวลานั้นเป็นกลางฤดูหนาว อากาศจึงเย็นจัด แต่พวกมันก็ราดน้ำเย็นใส่หัวผมถังแล้วถังเล่า ผมหนาวสั่นตั้งแต่หัวจดเท้า ฟันก็กระทบกัน พวกมันให้ผมยืนเท้าเปล่าบนพื้นซีเมนต์ด้วย และในเวลากลางคืน ผมก็ต้องนอนอยู่ข้างๆ โถส้วม เวลาใครลุกมาใช้ห้องน้ำ ก็จะจงใจฉี่มาทางผม ผมเริ่มรู้สึกเหมือนไม่อาจทนการลบหลู่และการทรมานของนักโทษพวกนั้นได้อีกต่อไป และผมคิดกับตัวเอง ว่าพวกมันไร้มนุษยธรรมพอๆ กับพวกตำรวจเลย ผมจึงไม่รู้ว่าพวกมันจะทำอะไรอีกเพื่อทรมานผม ผมทุกข์ใจจริงๆ ครับ แล้วผมก็นึกถึงเพลงสรรเสริญแห่งพระวจนะนี้ “พระเจ้าทรงมีความลำบากยากเย็นมหาศาลในการดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—แต่พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งของพระองค์ผ่านทางความลำบากยากเย็นนี้ อันเป็นการสำแดงพระปัญญาของพระองค์และกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ และทรงใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ครบบริบูรณ์  พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์และการพิชิตชัยของพระองค์ผ่านทางความทุกข์ของผู้คน ผ่านทางขีดความสามารถของพวกเขา และผ่านทางอุปนิสัยเยี่ยงซาตานทั้งปวงของผู้คนในแผ่นดินอันโสมมนี้ เพื่อที่พระองค์อาจได้รับพระสิริจากการนี้ และเพื่อที่พระองค์อาจได้รับบรรดาผู้ที่จะเป็นพยานให้แก่กิจการของพระองค์  ดังนี้คือนัยสำคัญทั้งหมดของการเสียสละทั้งปวงที่พระเจ้าได้ทรงกระทำเพื่อผู้คนกลุ่มนี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?)  ผมได้เห็นว่า การมีความเชื่อในประเทศจีนที่พรรคปกครอง หมายถึงเราถูกผูกมัดให้ซาตานกดขี่และทำร้าย และพระเจ้าทรงใช้การกดขี่และความทุกข์ลำบากนี้เพื่อทำให้ความเชื่อของเราเพียบพร้อม เพื่อให้เราได้รับความจริง นี่คือพระพรจากพระเจ้าครับ ความทุกข์ของผมมีคุณค่า และมีความหมาย ผมยังคิดอีกด้วย ถึงการที่พระเจ้าได้เสด็จมายังโลกสองครั้งแล้ว เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ทรงทุกข์ทนกับการหมิ่นเกียรติทุกรูปแบบ ถูกฝ่ายปกครองกล่าวโทษและไล่ล่า ถูกผู้คนบอกปัดและใส่ร้าย แต่พระองค์ไม่เคยหยุดแสดงความจริงและทรงงานเพื่อช่วยพวกเราให้รอด พระองค์รักเรายิ่งนัก! แล้วจะเป็นอะไรไปถ้าคนเสื่อมทรามอย่างผมต้องทนทุกข์เล็กน้อย? ผมถูกพรรคคอมมิวนิสต์ข่มเหงเพราะความเชื่อ แต่ก็เพื่อความชอบธรรม ที่จริงจึงนับเป็นเกียติ ผมรู้ว่าไม่ควรหวั่นไหว และนบนอบต่อการทรงจัดวางเรียบเรียง ตลอดสามวันต่อมา เจ้าหัวหน้าไม่ยอมให้ผมกินหรือดื่มอะไรเลย พวกนักโทษก็จงใจเอาอาหารที่เหลือมาร่อนอวดผ่านหน้าผม พูดว่า “หิวเหรอ? ถ้าแกอยากกิน ก็บอกสิ่งที่พวกเราต้องการรู้มาสิ แล้วเราจะให้แกกิน ไม่งั้น เราก็จะโยนทิ้งให้หมด” จากนั้น พวกมันก็ขยำขนมปังที่กินเหลือแล้วโยนลงในโถส้วม ผมรู้ว่านี่เป็นอุบายหนึ่งของซาตาน ที่มันต้องการใช้อาหารนี่ลองใจให้ผมทรยศพระเจ้า ผมนึกถึงข้อพระคัมภีร์นี้ “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า(มัทธิว 4:4)  ผมไม่เคยบอกอะไรพวกเขา ไม่ว่าจะถูกลองใจแค่ไหน สองสามวันนั้นผมแทบไม่รู้สึกหิว กินอะไรไม่ลงเลย สุดท้าย นักโทษคนหนึ่งก็พูดอย่างจนปัญญาว่า “แกนี่มันล่อตัวหนึ่งชัดๆ วัวสิบตัวก็ลากแกออกนอกทางไม่ได้” เมื่อเห็นว่าซาตานพ่ายแพ้เสียแล้ว ผมก็ขอบคุณพระเจ้าในหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สองสามวันต่อจากนั้น เจ้าหน้าที่กองพันความมั่นคงแห่งชาติสามคนมาสอบปากคำผมหลายครั้ง เค้นข้อมูลคริสตจักร ปลอบบ้าง ขู่ให้ผมกลัวบ้าง แต่ผมหุบปากสนิท แล้วเช้าวันที่ 18 มีนาคม พวกมันพาผมไปห้องสอบสวนแล้วใส่กุญแจมือผมกับม้านั่งเสือ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ดูเป็นหัวหน้าส่งสายตาให้พวกมัน แล้วคนอื่นก็ออกไปหมด เขาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเบามาก “ผมมาที่นี่แทนเพื่อนของคุณ ที่จะมาเพื่อรับผิดชอบแทนคุณ” ผมได้ยินแบบนี้ ผมก็รู้สึกตื่นเต้นมาก คิดว่า พี่ชายของผมอาจจะใช้เส้นสายเอาผมออกมา ผมอยากรีบออกจากสถานที่เลวร้ายนั้นใจแทบขาด แต่แล้วเขาก็พูดอย่างไม่จริงใจว่า “นี่ไม่ต้องเป็นเรื่องใหญ่เลย คดีของคุณจะใหญ่ก็ได้ จะเล็กก็ได้ บอกทุกอย่างที่คุณรู้มาเถอะ จากนั้นผมพูดแค่คำเดียวก็พาคุณออกไปจากที่นี่ได้” ผมจึงตระหนักว่า เขาหลอกล่อให้ผมทรยศพระเจ้า และขายพี่น้องชายหญิง มันฉลาดแกมโกงจริงๆ แล้วเขาก็พูดต่อว่า “ผมได้ยินว่าคุณเคยเป็นนักธุรกิจ ทำไมทิ้งธุรกิจดีๆ แบบนั้นล่ะ? คุณเป็นที่เคารพนับถือ ทุกคนชื่นชมยกย่องคุณ คุณมีลูกสองคนซึ่งเป็นเด็กนักเรียนที่ดี แต่ตอนนี้ เพราะความเชื่อของคุณ ทั้งครูและเพื่อนร่วมห้องของลูกคุณไม่ดีกับพวกเขาเหมือนเดิมแล้ว โอกาสเข้ามหา ลัย เข้าร่วมกองทัพ และเป็นฝ่ายบริหารก็ริบหรี่ และภรรยาคุณไม่อยู่บ้าน ครอบครัวคุณที่เคยดีๆ ตอนนี้บ้านแตกสาแหรกขาด ลองคิดดูนะ ถ้าคุณไม่เป็นผู้เชื่อจะมาเจออะไรแบบนี้เหรอ?” การได้ยินเขาพูดแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกแย่มาก เพราะว่าผมถูกจับ ลูกสองคนของผมจึงพลอยติดร่างแหไปด้วย และผมรู้สึกว่าติดค้างพวกเขาจริงๆ ผมตระหนักเลยว่าตัวเองไม่อยู่ในสภาวะที่ดี จึงรีบอธิษฐานต่อพระเจ้า และคิดว่าชะตากรรมของลูกๆ อยู่ในพระหัตถ์ พระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วว่าพวกเขาจะทำอะไรได้เมื่อโตขึ้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์ ซาตานต้องการใช้อนาคตของลูกๆ ผมเพื่อกดดันให้ผมทรยศพระเจ้า ช่างน่าขยะแขยง! ลูกๆ ของผมโดนรังแก ส่วนภรรยาก็ต้องหนีไปเรื่อย เป็นการกระทำของพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งนั้น แต่พวกมันปัดความรับผิดชอบว่าเป็นเพราะความเชื่อของผม พวกมันกลับผิดให้เป็นถูก! พอผมไม่ตอบอะไร เขาก็เผยอีกด้านพูดว่า “แกคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องเล็กเหรอ? บอกให้เอาบุญ แกไปทำผิดเรื่องอื่นยังจะดีกว่า คิดว่าการพนัน ขายตัว หรือการดื่มเป็นเรื่องใหญ่เหรอ? เรื่องพวกนั้นน่ะไม่นับหรอกนะ” พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ผมก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก พรรคคอมมิวนิสต์ชั่วเหลือเกินจริงๆ! จากนั้น เขาก็เตือนผมว่า “อย่าดื้อรั้นนักเลย แค่บอกเราเรื่องคริสตจักรแกมาให้หมด แล้วแกก็เชื่อพระเจ้าต่อไป จากนั้นเวลาแกมีข่าวเรื่องคริสตจักร ก็รีบมาบอกเราทันที และทำตามที่เราบอก เราจะทำให้ง่ายสำหรับแก เราให้ค่าจ้างแกได้ ให้แกได้รางวัล เป็นความมีหน้ามีตาและเงินทอง จะว่าไง?” ผมคิดว่า ซาตานมีกลอุบาลเยอะจริงๆ ถึงขั้นอยากใช้เงินติดสินบนผม ผมจะได้ทรยศพระเจ้าเหมือนยูดาส ผมรู้ว่าไม่มีทางรับใช้ซาตาน ถึงจะต้องตายลงวันนั้นก็เถอะ เขาเห็นว่าผมไม่ตกหลุมพราง ก็เลยพูดข่มขู่ว่า “คุณหลี่แจ้งความจับแกนะ บอกว่าแกฆ่าแม่ของเขา โดนสองข้อหาพร้อมกันหมายถึงโทษประหาร แกจะโดนยิงเป้า” จากนั้น ก็แสร้งเห็นอกเห็นใจว่า “เรื่องนี้ใครเป็นพยานให้แกได้บ้าง? แกจะโดนปรักปรำจนตายนะ แกไม่ใช่คนโง่ ลองคิดดูก็แล้วกัน” เขาพูดต่อว่า เขาจะให้เวลาผมอีก 15 นาที ถ้าจะอธิษฐานก็ไม่เป็นไร จากนั้น เขาก็เดินออกไป การได้ยินเขาพูดว่าคุณหลี่โกหกเกี่ยวกับผมแบบนั้น และผมโดนแจ้งหลายข้อหา ผมรู้สึกไม่เป็นธรรมและทุกข์ใจในแบบที่อธิบายไม่ได้ ผมคิดว่า ผมไม่มีทางทำร้ายแม่ของเขา แต่เขากำลังใส่ร้ายผม พูดว่าผมได้ฆ่าแม่ของเขา ถ้าเรื่องที่ผมโดนสองข้อหาเป็นความจริง ผมก็จะโดนนำไปยิงเป้า พอคิดแบบนี้ผมก็ไม่สบายใจจริงๆ แล้วพระวจนะเหล่านี้ก็ผุดขึ้นมา “ในทุกเวลา ประชากรของเราควรเตรียมพร้อมต่อต้านกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน พิทักษ์ประตูบ้านของเราเพื่อเรา… เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในกับดักของซาตาน ซึ่งในเวลานั้นก็คงจะสายเกินกว่าจะเสียใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 3)  พระวจนะย้ำเตือนผม ว่าซาตานกำลังข่มขู่ผมด้วยความตายเพื่อให้ผมทรยศพระเจ้า จนผมเกือบตกหลุมพรางของมัน แต่พญานาคใหญ่สีแดงไม่อาจชี้เป็นชี้ตายผม มันขึ้นอยู่กับพระเจ้า ผมพร้อมจะเชื่อฟังการเตรียมการของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นหรือตายครับ ผมเริ่มฮัมเพลงสรรเสริญแห่งพระวจนะของพระเจ้ากับตัวเอง “ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงขอสิ่งใดจากเจ้า เจ้าเพียงแค่จำเป็นต้องทำมันให้ได้ด้วยพละกำลังทั้งหมดของเจ้า และเราหวังว่าเจ้าจะสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและมอบการอุทิศสูงสุดแด่พระองค์ในบทอวสาน  ตราบเท่าที่เจ้าสามารถมองเห็นรอยแย้มพระโอษฐ์แห่งความสมดังใจหมายของพระเจ้าขณะที่พระองค์ประทับบนพระบัลลังก์ของพระองค์ ต่อให้ชั่วขณะนี้เป็นเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการตายของเจ้า เจ้าก็ควรมีความสามารถที่จะหัวเราะและยิ้มได้เมื่อเจ้าหลับตาของเจ้า  ในระหว่างเวลาของเจ้าบนแผ่นดินโลก เจ้าต้องทำหน้าที่สุดท้ายของเจ้าเพื่อพระเจ้า  ในอดีต เปโตรได้ถูกตรึงกางเขนโดยห้อยหัวลงเพื่อประโยชน์แห่งพระเจ้า แต่เจ้าควรทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในบทอวสาน และใช้พลังงานทั้งหมดของเจ้าให้หมดไปเพื่อประโยชน์ของพระองค์  สิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างสามารถทำสิ่งใดในพระนามของพระเจ้าได้?  เพราะฉะนั้น เจ้าควรยอมถวายตัวเจ้าเองต่อพระเจ้าโดยเร็วแทนที่จะเป็นภายหลัง เพื่อให้พระองค์ทรงจัดการกับเจ้าตามที่พระองค์ทรงปรารถนา  ตราบเท่าที่มันทำให้พระเจ้าทรงมีความสุขและพอพระทัย ตราบนั้นก็ปล่อยให้พระองค์ทรงทำตามที่พระองค์ทรงประสงค์กับเจ้า  พวกมนุษย์มีสิทธิ์อันใดที่จะกล่าวคำร้องทุกข์เล่า?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 41)  เปโตรบากบั่นที่จะรักและนบนอบต่อพระเจ้า และสุดท้ายของถูกตรึงกางเขนเพื่อพระเจ้า เป็นพยานที่ดังกึกก้อง ผมต้องทำตามเขา และพลีอุทิศยืนหยัดเป็นพยานเพื่อสนองพระเจ้า หลังจากนั้น ผมก็ไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป และกล่าวอธิษฐานต่อพระเจ้าในหัวใจเงียบๆ “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ข้าฯ ขอบคุณและสรรเสริญพระองค์! วจนะพระองค์ ได้นำข้าพระองค์มาตั้งแต่ถูกจับ และทรงประทานความเชื่อและกำลังให้ ขณะที่ปีศาจพวกนั้นทรมานข้าพระองค์ พระองค์ก็ทรงเฝ้าดูและคุ้มครองข้าพระองค์ ข้าฯ ได้ประจักษ์กิจการพระองค์ พระเจ้า ข้าพระองค์ได้เห็นความรักของพระองค์อย่างแท้จริงจริงๆ แล้ว และตอนนี้เป็นเวลาตอบแทนความรักของพระองค์ ข้าพระองค์พร้อมอยู่ในพระหัตถ์โดยสมบูรณ์ ถึงพวกตำรวจประหารข้าพระองค์วันนี้ ข้าฯ ก็จะไม่ทรยศพระองค์ ข้าฯ จะพลีอุทิศ และไม่กลับคำ!” การไตร่ตรองความรักของพระเจ้า ทำให้ผมตื้นตันใจมาก แล้วน้ำตาก็เริ่มไหล 15 นาทีนั้นผ่านไป แล้วพอเจ้าหน้าที่นั่นกลับมาเห็นผมร้องไห้ ก็คิดว่าผมตกหลุมพรางของเขาแล้ว เขาเอารูปถ่ายของพี่น้องชายหญิงออกมา ถามว่าผมรู้จักไหม ผมพูดห้วนๆ ว่า “ไม่” พอเห็นท่าทีของผม เขาก็ลุกเป็นไฟ เห่าตะคอกว่า “หวังว่าแกคงจะแน่ใจนะ แกกำลังเจอโทษประหารอยู่รอมร่อ!” ผมว่า “ประหารผมเลยสิ ผมไม่รู้จักพวกเขา” เขาฉุดผมขึ้นมาจากม้านั่งเสือ แล้วกระแทกผมลงกับพื้นอย่างแรง แล้วอีกหลายคนก็เข้ามา เตะต่อยผมพลางสบถใส่ผมไปด้วย มีคนหนึ่งในพวกมันเอาหัวของก้านร่มมาทิ่มแทงผมไม่ยั้ง หลังจากพวกมันซ้อมผมอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ทั่วตัวผมฟกช้ำดำเขียวไปหมด และสุดท้ายก็หมดสติไป พวกมันลากผมเข้าไปในห้องขัง โยนผมลงกับพื้น แล้วก็ออกไป

แล้วเช้าวันที่ 21 มีนาคม ตำรวจสามคนมาโบกสำเนาคำตัดสินตรงหน้าผมแล้วพูดว่า “แกจะโดน รับการศึกษาใหม่ผ่านการใช้แรงงานหนึ่งปี ข้อหาเผยแผ่ศาสนาอย่างผิดกฎหมาย ทำให้สังคมวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ และบ่อนทำลายการบังคับใช้กฎหมาย” แล้วพูดต่อว่า “แกคิดว่าไม่พูดอะไรแล้วเราจะทำอะไรไม่ได้เหรอ? เรายังเอาแกเข้าคุกได้อยู่ดี!” แล้วพวกมันก็ดึงมือผมไปพิมพ์ลายนิ้วมือบนสำเนาคำตัดสินนั่น พวกมันชี้ไปที่รถตำรวจซึ่งจอดอยู่ข้างนอกห้องสอบสวนแล้วพูดว่า “เห็นไหม รถมารับแล้ว เราจะให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย บอกพวกเราเรื่องคริสตจักรแกมาให้หมดแล้วแกก็กลับบ้านได้ทันที” ผมโกรธมากเมื่อเห็นความไร้ยางอายของพวกมัน จึงพูดขึ้นว่า “ถ้าผมไม่กลัวการถูกยิงเป้า จะกลัวติดคุกเหรอ? ไม่มีทางเสียหรอกที่ผมจะทรยศพระเจ้า!” พวกมันผลักผมยัดใส่รถอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วส่งผมไปค่ายให้การศึกษาใหม่ผ่านการใช้แรงงาน คนที่ค่ายแรงงานเห็นว่าผมถูกซ้อมมาหนักแค่ไหน และไม่อยากรับผมไว้ เจ้าหน้าที่กองพันความมั่นคงแห่งชาติโทรศัพท์ไปหลายที่ ก่อนที่คนของค่ายแรงงานจะรับผมไว้อย่างเสียไม่ได้ ตอนที่ผมถูกตรวจร่างกาย พวกมันถอดเสื้อผ้าผมออกจนล่อนจ้อนเพื่อทำการตรวจตอนหน้าทุกคน หมอเห็นผมฟกช้ำไปทั่วตั้งแต่หัวจดเท้า และถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง รีบแทรกขึ้นว่า “เขาแค่ล้มน่ะ”

ผมถูกทารุณ อย่างร้ายกาจในค่ายแรงงานนั่น ผมต้องลุกจากเตียงแต่ไก่โห่ทุกเช้าเพื่อขานชื่อ และด้วยความที่ถูกน้ำร้อนทำลายการได้ยินของผม ผมก็มักจะไม่ได้ยินคนที่อยู่ตรงหน้าผม พวกเจ้าหน้าที่ก็จะเตะต่อยผม เวลาผู้คุมเรือนจำส่งพวกเราออกไปขุดเจาะ พวกมันจะให้ผมทำงานมากกว่าคนอื่นเป็นสองเท่าเสมอ และทั้งหมดเป็นหน้างานก่อสร้างเก่า พื้นก็เลยอัดแน่นเกินไปจนขุดไม่ได้ ผมได้แต่ใช้มือขูดดิน จนมือผมพุพองไปหมด เดือนมิถุนายนนั้นร้อนจริงๆ เมื่อคนอื่นทำงานเสร็จและพักได้ ผมถูกทิ้งไว้คนเดียวข้างนอกนั่น ต้องทำเสร็จจึงพักได้ ผมไม่ได้แค่ต้องใช้แรงงานที่นั่น แต่ผมต้องท่องกฎของเรือนจำ และร้องเพลงสรรเสริญพรรคทุกวันด้วย ถ้าผมไม่ทำ ไม่แค่โดนซ้อม แต่จะโดนเพิ่มโทษ ช่วงเวลานั้น ผมได้แต่พึ่งพิงพระเจ้าและอธิษฐาน ผมผ่านมันมาได้ ด้วยความเข้มแข็งที่พระองค์ทรงมอบให้ ครบหนึ่งปีผมก็พ้นโทษ ถูกปล่อยกลับบ้าน หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่กองพันความมั่นคงฯ กับพวกตำรวจในพื้นที่ก็คอยไปตรวจดูผมที่บ้านเป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าผมเลิกเชื่อและไม่ร่วมชุมนุม เพื่อที่จะทำหน้าที่โดยไม่ถูกจับตามอง ผมเลยออกจากพื้นที่

ประสบการณ์การจับกุมและการข่มเหงนี้ ผมได้เห็นแก่นแท้ชั่วของพรรคฯ ว่าเกลียดความจริงและพระเจ้า ผมปฏิเสธมันสุดหัวใจ และทิ้งมันไป ผมสามารถรู้สึกถึงความรักของพระเจ้าได้ ผมถูกทรมานอย่างโหดร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก และเมื่อผมอ่อนแอ เจ็บปวด คิดว่าตายเสียดีกว่า ผมก็พึ่งพิงพระเจ้าและอธิษฐาน ผมผ่านมันมาด้วยการพึ่งพาพระวจนะและการทรงนำ ผมได้เห็นพลังและสิทธิอำนาจของพระวจนะ และประสบด้วยตัวเองว่าพระเจ้าคือเสาหลักเดียวที่ทรงช่วยผมเสมอ มีเพียงพระเจ้าที่รักเรา ช่วยเราให้รอดได้ ผมขอบคุณในความรักและความรอดของพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เมื่อแม่ถูกจองจำ

โดย โจว เจี๋ย, ประเทศจีน ฉันอายุ 15 ตอนที่ฉันกับแม่หนีจากบ้าน ฉันจำได้ว่าเราออกมากลางดึกคืนหนึ่งในปี 2002 อยู่ๆ...

ความเจ็บปวดสุดพรรณนา

โดย จาง หลิน, ประเทศจีน บ่ายวันหนึ่ง เดือนธันวาฯ ค.ศ. 2012 ฉันนั่งรถโดยสารไปนอกเมืองเพื่อทำหน้าที่ให้ลุล่วง...

ชั่วนิรันดร์แห่งความทุกข์ทรมาน

โดย Huigai, ประเทศจีน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “วิญญาณทั้งหมดที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามนั้นถูกจับเป็นทาสอยู่ในแดนครอบครองของซาตาน...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger