การหนีจากความทุกข์ยากลำบากอันเลวร้าย

วันที่ 30 เดือน 10 ปี 2024

วันหนึ่งในเดือนพฤษภาคมปี 2003 ฉันกับพี่สาวคนหนึ่งไปประกาศข่าวประเสริฐแก่คนจากนิกายศาสนาหนึ่ง เขาไม่ยอมรับ ทำร้ายเราจนปางตาย แล้วแจ้งความ ตำรวจมานำตัวเราไปสำนักความมั่นคงสาธารณะ พอเราไปถึง พวกเขาก็ลากเราลงจากรถและเหวี่ยงลงกับพื้น จากนั้น ตำรวจนั่นก็จี้ถามฉัน “แกมาจากไหน? ผู้นำของแกเป็นใคร?” ฉันไม่ได้ตอบ พวกมันซ้อมฉันเป็นพักๆ อยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง จากนั้นฉันก็เวียนหัวและรู้สึกเจ็บ ตอนนั้น พวกตำรวจนำตัวพี่สาวที่ถูกจับพร้อมฉันเข้ามา พอฉันเห็นว่าเธอเดินกะเผลก เนื้อตัวเต็มไปด้วยแผล ฉันก็อดที่จะร้องไห้ไม่ได้ ฉันตระหนักว่าถ้าแค่หลังจากจับเรา พวกมันทรมานเราแบบนี้แล้ว ก็ไม่ต้องพูดถึงว่าต่อไปพวกมันจะทรมานเรายังไง หรือฉันจะทนไหวไหม ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงมอบความเชื่อและกำลังแก่ฉัน หลังจากอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “พวกคนเหล่านั้นที่มีอำนาจอาจดูเหมือนเลวทรามจากภายนอก แต่จงอย่าได้กลัวไปเลย ด้วยเหตุที่นี่เป็นเพราะว่า พวกเจ้ามีความเชื่ออันน้อยนิด  ตราบเท่าที่ความเชื่อของพวกเจ้าเติบโตขึ้น จะไม่มีอะไรลำบากยากเย็นเกินไป(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 75)  จริงสิ ทุกการคุกคามของตำรวจอยู่ในพระหัตถ์ หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต พวกมันก็เอาชีวิตฉันไม่ได้ การคิดแบบนั้นให้ความเชื่อและกำลังแก่ฉัน และฉันตั้งปณิธานว่าจะยืนหยัดและให้คำพยานแก่พระเจ้าแม้ต้องแลกด้วยชีวิต ตำรวจใส่กุญแจมือเรากับรถ และเราถูกให้ยืนย่อขาอยู่นานประมาณสามชั่วโมง ประมาณบ่ายสองโมง ผู้ชายตัวใหญ่สี่คนก็เข้ามา ทุกคนถือกระบองไฟฟ้า และดึงแขนเราลากขึ้นไปชั้นบน หนึ่งในนั้นตะโกนว่า “อย่าคิดว่าเราจะปรานีนะ! ถ้าไม่พูด จะโดนกระบองนี่เข้าให้” พอพูดจบ เขาก็เอากระบองฟาดปากฉัน ฉันเริ่มมีเลือดออกจมูกปาก แล้วก็สลบไป หลังจากฉันฟื้น ฉันก็รู้สึกมึนงง ตำรวจสองคนจับแขนของฉันไว้ และฉันเห็นว่าพี่คนนั้นก็อยู่ในท่าเดียวกัน ฉันส่งสายตายให้เธอว่าเราควรยืนหยัดเป็นพยาน แม้ว่าเราจะพูดไม่ได้ เราก็เข้าใจกันดีว่าต้องทำอะไร

ตำรวจลากพี่เขาขึ้นไปห้องสอบสวนที่ชั้นสอง ขณะที่ลากฉันไปชั้นสาม และเหวี่ยงฉันลงกับพื้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสวมแว่นตาจ้องฉันแล้วพูดว่า “แกมาจากไหน? บ้านแกอยู่ไหน? ผู้นำแกเป็นใคร?” ฉันไม่ได้ตอบ เขาเดินมาหาฉัน แล้วก็พูดพลางเตะและกระทืบฉันว่า “ถ้าแกไม่พูด แกตายแน่!” หลังจากซ้อมฉันอยู่ราวหนึ่งชั่วโมง พอเห็นว่าฉันไม่พูด เขาโกรธมากจนหยิบกระบองไฟฟ้ามาฟาดปากฉันถึงสองครั้ง แล้วจากนั้นเขาก็เตะและต่อยฉันอีก ฉันเจ็บระบมไปทั้งตัว เจ็บจนฉันกรีดร้องออกมา ฉันร้องเรียกหาพระเจ้าในหัวใจซ้ำแล้วซ้ำอีก “พระเจ้า เนื้อหนังของข้าพระองค์อ่อนแอเกินไป ข้าพระองค์ไม่อยากกลายเป็นยูดาส โปรดทรงคุ้มครองหัวใจและช่วยให้ผ่านความยากลำบากนี้ไปด้วยเถิด” หลังอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “เมื่อผู้คนพร้อมที่จะพลีอุทิศชีวิตของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นไม่สลักสำคัญ และไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้  สิ่งใดจะสามารถสำคัญกว่าชีวิตได้?  ด้วยเหตุนั้น ซาตานจึงกลายเป็นไม่สามารถทำสิ่งใดมากขึ้นอีกในผู้คน ไม่มีสิ่งใดที่มันสามารถทำกับมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 36)  พระวจนะให้กำลังแก่ฉัน ฉันรู้ว่าละโมบชีวิตและกลัวตายไม่ได้ ฉันต้องแขวนชีวิตบนเส้นด้ายเพื่อยืนหยัดเป็นพยานแก่พระเจ้า และทำให้ซาตานอับอาย เจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อมฉันสักพัก แต่ฉันก็ยังไม่พูดอะไร เขาจึงใช้เท้าที่สวมรองเท้าหนังกระทืบหน้าฉันอย่างแรง ขยี้จมูกและปากฉัน พร้อมกับสบถใส่ฉันไปด้วย ความเจ็บปวดทำให้ฉันกลิ้งไปมาบนพื้น ตอนนั้นเองที่ฉันได้ยินพี่สาวกรีดร้องจากชั้นล่าง และยิ่งรู้สึกรวดร้าว

ผ่านไปสักพัก ตำรวจสองคนก็เข้ามาพูดกับฉันว่า “ผู้หญิงที่ชั้นล่างบอกเราจนหมดเปลือกแล้ว ดังนั้นถึงแกไม่พูดอะไรเราก็รู้ทุกอย่าง สารภาพมา ไม่งั้นจะเจอหนักกว่านี้!” ฉันคิดว่า “พวกปีศาจอย่างแกมีเล่ห์เหลี่ยมเยอะนัก คิดว่าฉันไม่ได้ยินพี่สาวร้องไห้และกรีดร้องหรือ? ถ้าเธอสารภาพแล้ว แกจะยังทรมานเธอหรือไง? ฉันแน่วน่าว่าแม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็จะไม่ทรยศพระเจ้า เพราะงั้นแกจะไม่ได้ข้อมูลอะไรจากฉันหรอก!” พอเห็นฉันไม่พูด เจ้าหน้าที่ตำรวจที่สวมแว่นตา ก็โกรธเกรี้ยวคว้าเสื้อฉุดตัวฉันขึ้นแล้วพูดว่า “ดูเหมือนต้องโดนซ้อมอีกหน่อยนะ ถ้าไม่ซ้อมแกจนคางเหลืองก็คงไม่สารภาพ” เขาพูดพลางเตะและกระทืบฉันต่อ มันเจ็บปวดมากจนฉันยืนไม่อยู่ ร่วงลงไปกองกับพื้น ปากของฉันบวมเป่งจนยื่นออกมาเกินจมูกเสียอีก และฉันก็ร้องเรียกพระเจ้าในหัวใจต่อไปว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ทนมาถึงขีดจำกัดแล้ว ไม่รู้ว่าพวกตำรวจจะทำอะไรกับข้าพระองค์ต่อ ขอพระองค์ทรงนำให้ข้าพระองค์ยืนหยัดในคำพยานของตนได้ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็นึงถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “ในระหว่างวันสุดท้ายเหล่านี้พวกเจ้าต้องเป็นคำพยานต่อพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าควรต้องเดินไปจนถึงวาระสิ้นสุด และแม้กระทั่งถึงลมหายใจสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น)  ขณะนึกถึงพระวจนะ ฉันก็พบความเชื่อและกำลัง ไม่ว่าฉันจะอยู่หรือตาย ฉันก็จะยืนหยัดเป็นพยานและทำให้ซาตานอับอาย เมื่อฉันแน่วแน่ที่จะแขวนชีวิตของฉันไว้บนเส้นด้าย ไม่ว่าฉันจะโดนเตะหรือต่อยยังไง มันก็ไม่เจ็บปวดมากแล้ว มันเหมือนฉันนอนหลับไปเลย

หลังจากเวลาผ่านไปเท่าไรไม่ทราบได้ เสียงตำรวจสองสามคนหัวเราะร่วนก็ปลุกฉันตื่น ฉันได้ยินพวกมันคนหนึ่งพูดว่า “ดูคนที่อยู่ในห้องสิ กางเกงมันฉีกเปิดแล้ว” ตอนนั้นเอง ฉันก็ตระหนักว่ากางเกงของฉันขาดตั้งแต่น่องถึงหัวเข่า จนเผยให้เห็นกางเกงลองจอนด้านใน การได้ยินเสียงหัวเราะของพวกมัน ทำให้ฉันอับอายเป็นพิเศษ ฉันเกลียดปีศาจพวกนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ เย็นวันนั้นราวห้าโมงครึ่ง ตำรวจก็พาฉันกับพี่คนนี้ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ตอนนั้นเนื้อตัวเรามีแต่แผล หน้ากับปากฉันบวมเป่ง ฉันถูกซ้อมจนกางเกงขาดเป็นริ้วๆ เสื้อผ้าก็เปรอะเปื้อนเลือด ขณะที่เรากะเผลกไปทางห้องผู้ป่วยนอก คนไข้คนอื่นก็มองเราอย่างตกใจและกระซิบกันว่า “พวกเธอทำผิดอะไรถึงถูกซ้อมแบบนี้? ทนดูไม่ได้เลย” พอคิดว่าพวกเราแค่เชื่อในพระเจ้าและประกาศข่าวประเสริฐ แต่ต้องเจอการหมิ่นเกียรติและข่มเหงโดยพรรคคอมมิวนิสต์แบบนี้ ขณะที่ฆาตกร นักวางเพลิง โจร และขโมยวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้ฉันแค้นใจมากค่ะ ตอนนี้เองที่ฉันนึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง ใน “งานและการเข้าสู่ (8)” “เช่นนั้นแล้วก็ไม่น่าฉงนนักที่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ยังคงซ่อนเร้นอย่างมิดชิด กล่าวคือ  ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม กษัตริย์แห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร?  มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร?  ข้ารับใช้พวกนี้!  พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันเริ่มปฏิบัติต่อพระเจ้าประหนึ่งศัตรูมานานแล้ว พวกมันล่วงเกินพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนอย่างที่สุด พวกมันไม่เคารพพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันจี้ปล้นและช่วงชิง พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่ความสิ้นสำนึกรับรู้  เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ?  บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ?  พวกเขาล้วนต่อต้านพระเจ้า!  การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย!  เสรีภาพทางศาสนาหรือ?  สิทธิ์และผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ?  ทั้งหมดนั้นคือเพทุบายเพื่อที่จะปิดบังบาป!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า)  ขณะที่ภายนอกพรรคคอมมิวนิสต์โบกธงแห่งเสรีภาพในการเชื่อศาสนา แต่กลับข่มเหงคริสเตียนอย่างโหดร้ายเป็นการลับ พวกมันพยายามขับผู้ที่เชื่อในพระเจ้าสู่ความตาย อีกทั้งรบกวนและทำลายพระราชกิจของพระเจ้า พรรคคอมมิวนิสต์เป็นเพียงกลุ่มวิญญาณชั่วและปีศาจที่ต้านทานพระเจ้า ตำรวจทรมานและทำร้ายฉันทุกวิถีทางเพื่อบังคับให้ฉันทรยศพระเจ้า แต่ฉันจะไม่ยอมให้การสมคบคิดของพวกมันสำเร็จ

ค่ำวันนั้น ตำรวจก็ส่งพวกเราไปที่สถานกักกัน ตำรวจหญิงคนหนึ่งนำพวกเราเข้าไปในห้องและบอกให้เราถอดเสื้อผ้าเพื่อการตรวจสอบ แถมตัดกระดุมบนเสื้อผ้าและเข็มขัดของเราทิ้งด้วย แล้วพาเราไปที่ห้องขังของเรา คืนนั้น พวกเราทั้งคู่นอนบนเตียงคอนกรีตเปลือยเปล่า เพราะฉันไม่ได้กินมาทั้งวัน และเนื่องจากเจ็บปวดไปทั้งตัว ฉันจึงนอนไม่หลับ และไม่กล้าให้ก้นกบโดนพื้นเตียง ฉันทำได้แค่ขดตัวนอนตะแคงข้าง ฉันทุกข์ใจมาก ทุกอย่างยากเกินทานทน ฉันไม่รู้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จะตั้งข้อหาอะไรพวกเรา ถ้าฉันต้องเข้าคุกนานแปดถึงสิบปี นั่นไม่แปลว่าฉันจะใช้ชีวิตที่เหลือในคุกเหรอ? ฉันจะไม่ได้เห็นครอบครัวหรือพี่น้องชายหญิงที่คริสตจักรอีก ฉันรู้สึกอ่อนแอมาก จึงอธิษฐานต่อพระเจ้า “พระเจ้า โปรดทรงขอมอบความเชื่อและกำลัง และทรงนำข้าพระองค์ให้เข้าใจน้ำพระทัยด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง ใน “พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?” “พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระเจ้า และฉะนั้น ในแผ่นดินนี้ เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าจึงตกอยู่ภายใต้การเหยียดหยามและกดขี่… เนื่องจากพระราชกิจเริ่มเปิดตัวในแผ่นดินที่ต่อต้านพระเจ้า พระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าจึงเผชิญอุปสรรคมหาศาล และการทำให้พระวจนะมากมายของพระองค์สำเร็จลุล่วงย่อมใช้เวลา  ด้วยเหตุนั้น เป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนจึงได้รับการถลุง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์  พระเจ้าทรงมีความลำบากยากเย็นมหาศาลในการดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—แต่พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งของพระองค์ผ่านทางความลำบากยากเย็นนี้ อันเป็นการสำแดงพระปัญญาของพระองค์และกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ และทรงใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ครบบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า)  จากพระวจนะ ฉันได้เข้าใจ ว่าเพราะพรรคคอมมิวนิสต์เป็นศัตรูของพระเจ้า มันจึงเกลียดพระเจ้าและความจริงเป็นพิเศษ มันจึงทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อกันไม่ให้เราเชื่อในพระเจ้า และใช้การทรมานทุกรูปแบบเพื่อบังคับให้เราทรยศพระเจ้า เมื่อเราเชื่อในพระเจ้าในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง เราก็ถูกกำหนดให้ทนทุกข์การข่มเหงนี้ แต่การสู้ทนความทุกข์นี้มอบโอกาสเราได้ให้คำพยานให้แก่พระเจ้า นี่จึงเป็นพระพรสำหรับฉัน และเป็นสิ่งอันรุ่งโรจน์ คิดย้อนถึงประสบการณ์ตั้งแต่ฉันถูกจับ ฉันเห็นว่าพระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำฉันด้วยพระวจนะ เพื่อให้ฉันเอาชนะการทารุณและทรมานของซาตานได้ ฉันเห็นว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเพื่อคุ้มครองฉันเสมอ และฉันรู้สึกว่าไม่ว่าฉันจะถูกตัดสินจำคุกหรือไม่ ฉันก็เต็มใจเชื่อฟังการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และพึ่งพาพระองค์เพื่อยืนหยัดเป็นพยาน! พอฉันเข้าใจเรื่องนี้ ก็ไม่รู้สึกว่าทุกอย่างยากลำบากนัก

เพราะฉันถูกซ้อมจนฟันโยก และปากก็บวมเป่ง มันเจ็บปวดมากจนฉันเปิดปากหรือกินไม่ได้ หลังจากไม่ได้กินอยู่สามวัน ฉันก็หิวมากจนรู้สึกอ่อนแอและวิงเวียน ฉันทำได้แค่ฉีกหมั่นโถวเป็นชิ้นเล็กๆ เท่านิ้วเล็บมือ แล้วเอาเข้าปากทีละน้อย และฉันไม่กล้าเคี้ยว ก็เลยต้องกลืนด้วยการดื่มน้ำ ถึงแบบนั้น ผู้คุมก็ไม่ปล่อยฉันไว้ลำพัง พวกมันผลัดกันเฝ้าพวกเรา และให้งานเพิ่มเพื่อให้พวกเราตื่นอยู่ตลอดคืน เนื่องจากร่างกายอ่อนแอและทำงานหนัก ฉันเป็นลมไปสองครั้ง เพราะทนไม่ไหวแล้ว ครั้งที่สาม หมอที่นั่นพูดกับตำรวจว่า “เธอจะอยู่ได้อีกไม่นาน และถ้าคุณไม่ปล่อยตัวเธอ ชีวิตเธอจะเป็นอันตราย” ตำรวจกลัวว่าฉันจะตายในนั้น และต้องรับผิดชอบ พวกมันก็เลยส่งฉันออกมา ตอนประมาณบ่ายสามโมง ตำรวจสองคนพูดขู่ฉันว่า “เข้าไปในกระโปรงหลังรถ เราจะลองลงโทษให้หนักขึ้น ดูซิว่าแกจะพูดไหม!” ฉันปีนเข้าไปในรถอย่างยากลำบาก และตำรวจสองคนนั้นก็ขังฉันไว้ข้างใน ฉันห่อตัวกลม หัวก็ปวดร้าวไปหมด มันหายใจได้ลำบากมากจนฉันรู้สึกเหมือนจะขาดอากาศ ฉันเจ็บปวดมากและใจสลาย รู้สึกเหมือนกำลังจะตาย ฉันจึงร้องหาพระเจ้าในหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนั้น ฉันตระหนักว่าพระเจ้าทรงอนุญาตให้พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงฉัน เป็นเครื่องมือให้ฉันยืนหยัดเป็นพยานต่อหน้าซาตาน เพื่อทำให้ความเชื่อและการเชื่อฟังของฉันเพียบพร้อม และอนุญาตให้ฉันเห็นแก่นแท้ชั่วของพญานาคใหญ่สีแดงอย่างชัดเจน เพื่อว่าฉันจะไม่เป็นทุกข์จากการหลอกลวงและพันธนาการของมันอีกต่อไป นี่คือความรักของพระเจ้าสำหรับฉันค่ะ การคิดเรื่องนี้ทำให้ฉันตื้นตันและให้ความเชื่อแก่ฉันด้วย ฉันรู้สึกพร้อมพึ่งพาพระเจ้าเพื่อเผชิญสิ่งที่จะเกิดขึ้น ตอนนั้นเอง ฉันไม่ปวดหัว ไม่อ่อนเพลียอีกต่อไป และไม่รู้สึกทุกข์ใจแล้ว

ฉันไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ แต่ไม่ช้ารถก็ขับขึ้นไปบนสะพาน ตำรวจสองคนนั่นพูดบางอย่างที่จับความไม่ได้กับคนบนสะพาน แล้วพวกเขาก็ขับต่อไป ไม่นานนัก รถก็หยุดลง ฉันมองรอบๆ ดูเหมือนเราอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยว และมีสุสานอยู่ใกล้ๆ ตำรวจที่สวมแว่นตาด่าฉันว่า “แกสร้างปัญหาให้เราตั้งเยอะโดยที่เราไม่ได้อะไร แถมเสียเงินเพราะแกด้วยซ้ำ” แล้วเขาก็ถามอีกว่าผู้นำคริสตจักรฉันคือใคร แต่ฉันส่ายหน้าอย่างหนักแน่น ไม่บอกอะไรเขาสักอย่าง เขาใช้กระบองไฟฟ้าตีฉันอย่างแรงด้วยความโกรธและพูดว่า “จะตายอยู่รอมร่อยังจะไม่พูดอีกเหรอ?” ฉันโดนฟาดจนร่วงไปกองกับพื้น เขาชี้ไปที่สุสานตรงหน้าแล้วบังคับให้ฉันเดินไปที่นั่น ฉันเดินไปทางนั้นประมาณสองร้อยเมตร แล้วหันลงใต้ พอตำรวจเห็นแบบนั้น เขาก็พูดว่า “อย่าไปทางใต้เชียว ตรงไปตะวันตกซะ!” ฉันต้องไปตะวันตกอย่างเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาเฝ้าดูฉันประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนจะขับออกไป ฉันลากสังขารที่เหนื่อยล้าและอ่อนแอขณะที่เดินไปอีกประมาณห้าสิบเมตร แล้วก็เห็นชาวนาชราทำงานอยู่ในทุ่ง เขาบอกว่าข้างหน้ามีเขื่อนแม่น้ำขนาดใหญ่ และเป็นทางตัน เขาพูดด้วยว่าฉันอยู่ไม่ได้ เพราะหลายวันก่อนมีผู้หญิงอีกคนตายที่นั่น ตอนนั้นฉันหวั่นใจมาก หัวใจรวดร้าวและหวาดกลัว ร่างกายของฉันใกล้จะพังทลาย และฉันไม่รู้ว่าจะรอดไปจากที่นี่ได้ไหม ถ้าฉันตายที่นี่ ครอบครัวและพี่น้องชายหญิงที่คริสตจักรจะไม่มีวันรู้เลย ฉันจะต้องตายที่นี่อย่างไม่เป็นธรรมจริงๆ หรือ? นี่คือตอนที่ฉันนึกถึงพระวจนะ “จงอย่ากลัว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จอมทัพจะอยู่กับเจ้าอย่างแน่นอน พระองค์ทรงอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า และพระองค์คือโล่ของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 26)  พระวจนะให้ความเชื่อและกำลังแก่ฉัน มีพระเจ้าทรงหนุนหลังแล้วฉันจะต้องกลัวอะไร? ฉันเดินย้อนกลับไปเกือบสามกิโลตรงทางที่มาถึง พอฉันไปถึงสะพาน ก็เห็นคนสี่หรือห้าคนกำลังตรวจซาร์สอยู่บนสะพาน ผู้ชายคนหนึ่งตะโกนมาที่ฉันว่า “มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย ข้ามสะพานไม่ได้! ไปซะ ไม่งั้นเราจะไล่แกไปเอง!” ฉันพูดอย่างอ่อนแรงว่า “คุณใจแข็งจนไม่สนว่าจะมีคนตายที่นี่เลยเหรอ?” ผู้ชายคนนั้นพูดถมึงทึงว่า “อยากโดนฆ่าเหรอ กลับไปซะ! คิดว่าตัวเองยังทนทุกข์ไม่พอเหรอ อยากทนทุกข์อีกหรือไง?” พอได้ยิน ฉันก็รู้ทันที นี่เป็นสาเหตุที่ตำรวจลงจากรถไปคุยกับใครบางคนระหว่างทางมานี่ พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกันเพื่อขังฉันไว้ในสุสานนั่น แต่ฉันคิดถึงการที่พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง และพระเจ้าทรงควบคุมชีวิตและความตายของฉัน ไม่ใช่ซาตาน ฉันจึงเต็มใจพึ่งพาพระเจ้าเพื่อประสบกับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้น ฉันจึงซ่อนตัวอยู่ในป่าเล็กๆ ใกล้กับฝั่งแม่น้ำ ยุงกับแมลงส่งเสียงหึ่งๆ และกัดฉันไม่หยุด แถมพวกกิ่งไม้ที่มีหนามก็บาดผิวฉัน จนทั้งเจ็บและคัน ฉันรอจนกระทั่งมืด แล้วตัดสินใจกลับไปยังสถานที่คุ้นเคย เพราะมีตำรวจเฝ้าดูสะพานอยู่ ทางออกเดียวจึงเป็นการเดินลุยข้ามแม่น้ำห่างจากสะพานออกมาร้อยเมตร แม่น้ำนั่นกว้างประมาณห้าสิบเมตร ฉันค่อยๆ เดินฝ่าแม่น้ำไปอย่างช้าๆ ก้าวเท้าไปทีละก้าว มีเศษเล็กๆ อย่างแก้ว อิฐ และหินที่ก้นแม่น้ำ ฉันจึงต้องระวังที่สุดในแต่ละก้าว จนในที่สุดก็ฝ่าไปถึงอีกฝั่งแม่น้ำ ฉันตื่นเต้นมากจนน้ำตาไหล และคุกเข่าลงเพื่อขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า

จากนั้น ฉันก็มุ่งหน้าต่อไป ฉันเห็นตำรวจลาดตระเวน และแสงไฟหน้ารถก็ส่องไปไกล ฉันกลัวว่าจะถูกพบตัว จึงเดินต่อไปอย่างระวัง ผ่านทุ่งข้าวสาลี ไม่นาน ฉันก็พบแม่น้ำอีกสายกั้นทางข้างหน้าอยู่ ฉันเดินลงไปในแม่น้ำได้ประมาณสามสี่เมตร และสังเกตว่าน้ำสูงถึงเอวของฉันแล้ว ฉันจึงรีบถอยกลับ บนฝั่งแม่น้ำ ฉันพบต้นไม้อ่อนที่สูงสองเมตรกว่าๆ ฉันจึงปักต้นไม้ลงไปในน้ำเพื่อดูความลึก และพบว่าน้ำลึกลงไปเรื่อยๆ ฉันตระหนักว่าไม่สามารถฝ่าข้ามแม่น้ำไปได้ ทำได้แค่กลับไปที่ฝั่งแม่น้ำ หลังจากนั้น ฉันเดินไปตามตลิ่งที่เป็นหลุมเป็นบ่อ และฉันไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดออกไปได้ไหม ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า แล้วนึกถึงพระวจนะ “หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทุกอย่างในชีวิตของเขาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม ทุกสิ่งและทุกอย่าง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตาม พระดำริของพระเจ้า  นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงปกครองสรรพสิ่ง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์)  ใช่ค่ะ พระเจ้าคือแหล่งของชีวิตมนุษย์ ฉันเพียงแค่ต้องพึ่งพาพระเจ้า และพระเจ้าจะทรงนำและนำทางฉัน! ในตอนนั้น ฉันไม่ได้กินมาสามวัน แต่ในตอนนั้นฉันไม่รู้สึกหิวและกระหาย อีกทั้งไม่เหน็ดเหนื่อย พอเห็นว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างและคุ้มครองฉันเสมอ ฉันก็มีเรี่ยวแรงอีกครั้ง และเดินหน้าต่อไป หลังจากเดินและพักเป็นระยะ ประมาณตีสามฉันก็หยุดในที่สุด แต่ฉันไปถึงจุดตรวจซาร์สอีกแห่งหนึ่ง ฉันไม่รู้ว่าคนที่จุดตรวจนี้ได้รับการเตือนเกี่ยวกับฉันไว้ และจะให้ฉันหันกลับหรือไม่ ฉันเป็นกังวลมาก จึงทำได้แค่กลับไป เนื่องจากความเจ็บป่วยของฉันที่สถานกักกันและการเดินทั้งคืน ฉันจึงหิวและกระหาย ฉันรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปต่อ ฉันต้องหยุดพักทุกสองสามก้าว ฉันรู้สึกว่าพระเจ้าเป็นองค์หนึ่งเดียวที่ฉันพึ่งพาได้ และฉันร้องหาพระเจ้าในหัวใจครั้งแล้วครั้งเล่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่มีที่ให้ไปแล้ว และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป โปรดทรงนำและช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังอธิษฐาน ฉันก็เกิดความคิดขึ้นมา ว่าไม่ว่าอย่างไร ฉันก็ไปข้างหน้าได้เท่านั้น ไม่ใช่กลับหลัง ดังนั้น ฉันจึงพักสักหน่อย แล้วพอรุ่งเช้า ฉันก็เก็บตะกร้าไม้ไผ่จากข้างถนน และแสร้งทำเป็นคนขายผักที่อยากนั่งรถผ่านจุดตรวจนั้น ฉันรออยู่เกือบสองชั่วโมงแต่ไม่มีรถมาเลย ฉันอธิษฐานต่อไป ขอให้พระเจ้าทรงเปิดทางให้ฉัน จากนั้น ชายชราที่ทำงานไร่เห็นฉันไม่สามารถโบกให้รถหยุดได้ เขาจึงหยุดรถม้าให้ฉัน ฉันขึ้นรถ แล้วผ่านจุดตรวจซาร์สนั้นมาได้สำเร็จค่ะ เป็นเวลาเที่ยงตอนที่ฉันเดินเข้าไปในเมือง ฉันไม่ได้กินมาสี่วัน และไม่อาจเดินได้อีกต่อไป ฉันไปที่ร้านอาหารขอบางอย่างกิน และเจ้าของร้านก็รินน้ำให้ฉันหนึ่งถ้วย ในตอนนั้น ฉันเห็นคนหลายคนยืนอยู่รอบสถานีขนส่งฝั่งตรงข้ามถนน เจ้าของร้านพูดว่า “พวกเขาตรวจรถทุกคน ไม่ว่าจะมาจากไหน ทุกคนที่มาจากทางปักกิ่งกับเหอเป่ยจะถูกนำลงมาแล้วขังในห้องเล็กๆ” ฉันจึงตระหนักว่าการที่ฉันโบกรถไม่ได้ก่อนหน้านี้เป็นพระเจตนาดีของพระเจ้า ถ้าฉันอยู่ในรถ ก็คงถูกตำรวจพบตัวเข้า ฉันเห็นว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้าง และคอยเฝ้าดูความปลอดภัยให้ฉันเสมอ ฉันจึงรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการเดินทางต่อไป

หลังจากหลบหนีอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน ในที่สุดฉันก็ไปถึงบ้านของพี่น้องชายหญิงที่คริสตจักรอย่างปลอดภัย เมื่อพี่ชายและพี่สาวเห็นสภาวะของฉัน ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ พี่สาวรีบทำอาหารให้ฉัน และต้มน้ำอ่างใหญ่ให้ฉันล้างตัวและพักผ่อนได้โดยเร็ว พอฉันถอดถุงเท้า เท้าของฉันก็เปรอะไปด้วยเลือด ถุงเท้าและเนื้อตรงเท้าของฉันแห้งติดกิน และเล็บเท้าสี่เล็บก็หลุดติดออกมากับถุงเท้า ทำให้ฉันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด หลังจากพักฟื้นอยู่ระยะหนึ่ง ร่างกายของฉันก็ฟื้นตัว ฉันจึงไปอีกภูมิภาคเพื่อทำหน้าที่

หลังจากประสบการข่มเหงและความยากลำบากนี้ แม้ฉันจะทนทุกข์เล็กน้อย เมื่อฉันคิดย้อนไปถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ฉันรู้ว่าหากไม่มีการคุ้มครองดูแลของพระเจ้า และไม่มีความเชื่อและกำลังที่ได้จากพระวจนะ ฉันก็คงถูกตำรวจทรมานจนตาย หรือตายในสุสานรกร้าง ที่ฉันรอดจากอุปสรรคและได้มาพบพี่น้องชายหญิงอีกครั้ง ล้วนเป็นเพราะความรักและความเมตตาของพระเจ้า และหัวใจของฉันก็เต็มไปด้วยความขอบคุณต่อพระเจ้า ฉันรู้สึกว่าพระเจ้าทรงรักผู้คนที่สุด และพระเจ้าเท่านั้นทรงช่วยผู้คนให้รอดได้ ทำให้ฉันมีความเชื่อในการติดตามพระเจ้ามากขึ้น ตอนนี้ ฉันหวังเพียงไล่ตามความจริง และทำหน้าที่เพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ผ่านการทรมานที่ไม่หยุดยั้ง

โดย อู๋หมิง, ประเทศจีนวันหนึ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2000 ประมาณห้าโมงเย็น ตอนที่ผมกับภรรยาและพี่น้องชายหญิงอีกสองคนกำลังชุมนุมกันอยู่ที่บ้าน...

ชีวิตบนขอบเหว

โดย หวังฟาง, ประเทศจีนในปี ค.ศ. 2008 ฉันรับผิดชอบการขนส่งงานตีพิมพ์ของคริสตจักร...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger