การทรมานในห้องสอบปากคำ

วันที่ 28 เดือน 01 ปี 2021

โดย เซี่ยวหมิ่น ประเทศจีน

ใน ค.ศ. 2012 ฉันก็ได้ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมในระหว่างที่ฉันกำลังประกาศข่าวประเสริฐอยู่ ใกล้ค่ำของวันที่ 13 กันยายน ฉันกลับบ้าน และจอดรถสกูตเตอร์ไฟฟ้าของฉันไว้ด้านนอก แล้วก็กดออดอย่างที่ฉันทำเสมอ ฉันต้องตกใจที่ทันทีที่ฉันเปิดประตู ผู้ชายร่างใหญ่สี่คนก็กระโจนใส่ฉันเหมือนหมาป่า พวกเขาบิดแขนฉันไปข้างหลังและใส่กุญแจมือฉัน จากนั้นก็ผลักฉันลงบนเก้าอี้และตรึงฉันไว้ตรงนั้น ตำรวจหลายนายเริ่มค้นกระเป๋าฉันทันที เมื่อเผชิญหน้ากับการแสดงกำลังแบบเกรี้ยวกราดดุดันและฉับพลันเช่นนี้ ฉันก็อึ้งตะลึงงันไปด้วยความหวาดกลัว และรู้สึกเหมือนเป็นลูกแกะที่น่าสงสารซึ่งถูกหมาป่าสารเลวจับได้โดยไร้เรี่ยวแรงอันใดที่จะต้านทาน จากนั้นพวกเขานำตัวฉันไปไว้หลังรถซีดานสีดำ ภายในรถคันนั้น หัวหน้าตำรวจซึ่งดูเป็นผู้ชายที่ตัวเล็กจนน่าสมเพชที่มัวเมาอยู่กับความสำเร็จของเขาเองหันมาแสยะยิ้มให้ฉันแบบเหลี่ยมจัดพร้อมพูดว่า “อะฮ่า! เธอรู้ไหมว่าพวกเราจับเธอได้อย่างไร?” ด้วยความกลัวว่าฉันอาจจะพยายามวิ่งหนี ตำรวจสองนายจึงจับฉันกดตรึงไว้ทั้งสองข้างราวกับฉันเป็นอาชญากรอันตราย ฉันรู้สึกทั้งโกรธและตื่นตระหนก และฉันเดาไม่ออกเลยว่าพวกตำรวจจะทรมานฉันอย่างไร ฉันกลัวอยู่ลึกๆ ว่าฉันจะไม่มีความสามารถที่จะทานทนต่อการทรมานของพวกเขา และจะกลายเป็นยูดาสและทรยศพระเจ้า แต่แล้วฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ตราบเท่าที่เจ้าอธิษฐานและอ้อนวอนต่อหน้าเราบ่อยๆ เราจะมอบความเชื่อทั้งหมดให้แก่พวกเจ้า บรรดาคนเหล่านั้นที่มีอำนาจอาจดูเหมือนเลวทรามจากภายนอก แต่จงอย่าได้กลัวไปเลย ด้วยเหตุที่การนี้เป็นเพราะว่า พวกเจ้ามีความเชื่ออันน้อยนิด ตราบเท่าที่ความเชื่อของพวกเจ้าเพิ่มพูนขึ้น จะไม่มีอะไรยากจนเกินไป(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 75) พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ความเชื่อและความแข็งแกร่งกับฉัน และสิ่งเหล่านี้ค่อยๆ ช่วยให้ฉันสงบลง “ใช่” ฉันคิด “ไม่ว่าพวกตำรวจเลวจะอำมหิตและดุร้ายสักแค่ไหนก็ตาม พวกเขาเป็นแค่เบี้ยหมากรุกในพระหัตถ์ของพระเจ้า และพวกเขาอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า ตราบเท่าที่ฉันอธิษฐานและเรียกหาพระเจ้าด้วยหัวใจที่แท้จริง เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าย่อมจะสถิตอยู่กับฉัน และไม่มีอะไรต้องกังวล หากพวกตำรวจเลวเหล่านี้ทรมานและทุบตีฉันอย่างโหดร้าย นั่นก็จะเป็นแค่การที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทดสอบความเชื่อของฉัน ไม่ว่าพวกเขาอาจจะทรมานเนื้อหนังของฉันอย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่มีวันสามารถหยุดหัวใจของฉันไม่ให้ฝากความหวังไว้กับพระเจ้าและเรียกหาพระเจ้าได้ ต่อให้พวกเขาฆ่าเนื้อหนังของฉัน พวกเขาก็ไม่อาจฆ่าดวงจิตของฉันได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเป็นนั้น ได้รับการเกาะกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า” เมื่อฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ไม่เกรงกลัวมารซาตานอีกต่อไป และฉันกลับกลายเป็นแน่วแน่ที่จะยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้า ดังนั้น ฉันจึงร้องเรียกออกไปในหัวใจของฉันว่า “โอ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ไม่ว่าพวกเขาทำอะไรกับข้าพระองค์ในวันนี้ ข้าพระองค์เต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับมันทั้งหมด แม้ว่าเนื้อหนังของข้าพระองค์นั้นอ่อนแอ แต่ข้าพระองค์ก็ปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่โดยพึ่งพาพระองค์ และไม่ให้โอกาสซาตานแม้สักครั้งที่จะแสวงประโยชน์จากข้าพระองค์ ได้โปรดทรงอารักขาข้าพระองค์ ทรงอย่าปล่อยให้ข้าพระองค์ทรยศพระองค์ และทรงอย่าปล่อยให้ข้าพระองค์กลายเป็นยูดาสผู้น่าละอาย” ขณะที่รถกำลังขับพาพวกเราไป ฉันก็ขับร้องบทเพลงสรรเสริญของคริสตจักรเพลงหนึ่งอยู่ในใจอยู่ตลอดเวลาว่า “โดยอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ฉันจึงพบกับความทุกข์ยากและก้าวผ่านบททดสอบ ฉันสามารถท้อใจ ฉันสามารถหลบซ่อนได้อย่างไรกัน? พระสิริของพระเจ้าย่อมมาเป็นที่หนึ่ง ในความทุกข์ยาก พระวจนะของพระเจ้านำฉันและความเชื่อของฉันได้รับการทำให้เพียบพร้อม ฉันถวายการอุทิศอันเป็นที่สุดแด่พระเจ้า สำคัญอะไรเล่าหากฉันจะตายไป น้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่สูงกว่าทั้งมวล” (“ฉันขอเพียงให้พระเจ้าพึงพอพระทัย” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ขณะที่ฉันขับร้องไปเงียบๆ หัวใจของฉันก็ถูกเติมเต็มด้วยความแข็งแกร่ง และฉันกลายเป็นมุ่งมั่นที่จะพึ่งพาพระเจ้าในการยืนหยัดเป็นพยานและทำให้ซาตานอัปยศอดสู

เมื่อพวกเขานำฉันเข้าไปในห้องสอบปากคำ ฉันแปลกใจที่เห็นว่าพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ปฏิบัติหน้าที่เดียวกันกับฉันในคริสตจักรกับผู้นำคริสตจักรก็อยู่ที่นั่นเช่นเดียวกัน พวกเขาทั้งหมดถูกจับเหมือนกัน! เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งเห็นฉันมองพี่น้องหญิงในคริสตจักรของฉัน เขาจึงจ้องฉันถมึงและตะคอกฉันว่า “มองหาอะไร? เข้าไปในนั้นเลย!” พวกตำรวจขังพวกเราไว้ในห้องสอบปากคำคนละห้องเพื่อกันไม่ให้พวกเราคุยกัน พวกเขาค้นตัวฉันอย่างคร่าวๆ ปลดเข็มขัดของฉันและลูบค้นไปทั่วร่างฉัน มันรู้สึกเหมือนเป็นการหยามหมิ่นที่หยาบช้ามาก และฉันมองเห็นแล้วว่า พวกลิ่วล้อปีศาจของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนนั้นช่างร้ายกาจ น่าดูหมิ่นและชั่วอย่างแท้จริงเพียงใด ฉันรู้สึกโกรธจัด แต่ฉันต้องกลั้นความโกรธของฉันไว้ เพราะในถ้ำของสัตว์ประหลาดแห่งนี้ไม่มีที่ให้เหตุผลอยู่ หลังจากที่พวกเขายึดสกูตเตอร์ไฟฟ้าคันใหม่ซึ่งเป็นของคริสตจักรและเงินกว่า 600 หยวนที่ฉันมีอยู่ในตัวไปแล้ว พวกเขาก็เริ่มตั้งคำถามกับฉัน “เธอชื่ออะไร? เธอมีตำแหน่งอะไรในคริสตจักร? ผู้นำของเธอคือเป็นใคร? ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน?” ฉันไม่ตอบ ดังนั้นตำรวจนั่นจึงตะคอกใส่ฉันว่า “เธอคิดหรือว่าพวกเราจะหาคำตอบไม่ได้ถ้าเธอไม่บอกพวกเรา? เธอไม่รู้หรอกว่าพวกเราทำอะไรได้บ้าง! เธอน่าจะรู้นะว่าพวกเราก็จับกุมผู้นำระดับสูงของเธอมาแล้วด้วย!” จากนั้นพวกเขาก็เดินหน้าต่อด้วยการไล่รายชื่อสองสามชื่อ และถามว่าฉันรู้จักรายชื่อเหล่านั้นบ้างหรือไม่ แล้วพวกเขาก็ตั้งคำถามกับฉันต่อว่า “เงินทั้งหมดของคริสตจักรของเธอเก็บอยู่ที่ไหน? บอกพวกเรามา!” ฉันบอกปัดทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูด โดยพูดว่า “ฉันไม่รู้จักใครเลย! ฉันไม่รู้อะไรเลย!” เมื่อพวกเขาเห็นว่าการซักถามรอบแรกของพวกเขาล้มเหลว พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะทิ้งไพ่ใบเด็ด และเริ่มต้นสับเปลี่ยนกันสอบปากคำและทรมานฉันด้วยความพยายามที่จะทำให้ฉันยอมอ่อนลง เนื่องจากในวันแรกนั้น พวกตำรวจทำไม่สำเร็จที่จะเอาข้อมูลที่พวกเขาต้องการจากฉัน พวกเขาจึงอับอายจนกลายเป็นโมโหขึ้นมา และหัวหน้าในกลุ่มของพวกเขาพูดกับฉันอย่างดุร้ายว่า “ฉันจะไม่ยอมให้กับนิสัยพยศดื้อด้านของเธอแน่ ทรมานหล่อนซะ!” พวกตำรวจเอามือฉันที่ใส่กุญแจมือและยังไพล่อยู่ด้านหลังฉันไปมัดไว้กับโต๊ะที่หักพังตัวหนึ่ง แล้วพวกเขาก็บังคับให้ฉันค้างอยู่ในท่าย่อตัวลงกึ่งนั่งยองๆ พวกเขาส่งสายตามองฉันอย่างไม่เป็นมิตรและกดดันฉันด้วยคำถาม “ผู้นำของเธออยู่ที่ไหน? เงินทั้งหมดของคริสตจักรอยู่ที่ไหน?” พวกเขากำลังต้องการแทบทนไม่ไหวที่จะให้ฉันหมดความอดทนภายใต้แรงกดดันของการทรมานนั้นและยกธงยอมพวกเขา หลังจากที่พวกตำรวจเลวทำการทรมานนี้ต่อไปประมาณครึ่งชั่วโมง ขาของฉันก็เริ่มเจ็บและสั่นระริก หัวใจของฉันเต้นแรงและแขนของฉันก็เจ็บอย่างมากเช่นกัน ฉันมาถึงขีดจำกัดของการสู้ทนของฉัน และฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันไม่สามารถยืนระยะต่อไปได้อีกแม้อึดใจ ดังนั้นฉันจึงเรียกหาอย่างจริงจังจริงใจในหัวใจของฉันว่า “โอ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ได้โปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดทีเถิด ข้าพระองค์รับมันไม่ไหวอีกแล้ว ข้าพระองค์ไม่ต้องการทรยศต่อพระองค์ในฐานะยูดาส ได้โปรดทรงมอบความแข็งแกร่งให้ข้าพระองค์ที” เมื่อนั้นเอง พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าก็เข้ามาในจิตใจของฉันว่า “เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังมันทั้งหมดคือการสู้รบ…เมื่อพระเจ้าและซาตานทำการสู้รบในอาณาจักรฝ่ายจิตวิญญาณ เจ้าควรทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างไร และเจ้าควรตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าต่อพระองค์อย่างไร? เจ้าควรรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเจ้าเป็นการทดสอบที่ยิ่งใหญ่และเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงจำเป็นต้องให้เจ้าเป็นคำพยาน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) พระวจนะของพระเจ้าได้ปลุกฉันให้ตื่นและทำให้ฉันตระหนักว่า ซาตานกำลังทรมานฉันในหนทางนี้เพื่อทำให้ฉันทรยศพระเจ้าและยอมแพ้ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง นี่คือการต่อสู้ที่เดิมพันในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ กล่าวคือ นี่คือการที่ซาตานพยายามที่จะทดลองฉัน และยังเป็นหนทางที่พระเจ้าทรงทดลองฉันด้วยเช่นกัน นี่คือชั่วขณะที่พระเจ้าทรงต้องการให้ฉันเป็นพยาน พระเจ้าทรงมีความคาดหวังจากฉัน และทูตสวรรค์มากมายก็กำลังมองฉันอยู่ในตอนนี้ ทั้งหมดกำลังรอให้ฉันประกาศแถลงฐานะของฉัน มารซาตานก็เช่นกัน ฉันไม่อาจยอมแพ้และนอนลงไปเฉยๆ ได้ และฉันไม่อาจยอมจำนนให้ซาตานได้ ฉันรู้ว่าฉันจำเป็นต้องยอมให้พระราชกิจของพระเจ้าได้รับการดำเนินการผ่านตัวฉันเพื่อสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า โดยหลักธรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปรได้ นี่จึงเป็นหน้าที่ที่ฉันควรกำลังปฏิบัติในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—นี่คือการทรงเรียกของฉัน ณ หัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญยิ่งยวดนี้ ท่าทีของฉันและพฤติกรรมของฉันจะต้องมีผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถของฉันในการที่จะเป็นพยานอย่างมีชัยชนะแด่พระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น จะต้องมีผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถของฉันที่จะกลายเป็นคำพยานแห่งการที่พระเจ้าทรงทำให้ซาตานปราชัย และการทรงได้รับพระสิริของพระองค์ ฉันรู้ว่าฉันไม่อาจทำให้พระเจ้าทรงตรมพระหฤทัยหรือทำให้พระองค์ทรงผิดหวัง และฉันไม่อาจยอมให้กลอุบายอันฉลาดแกมโกงของซาตานในอันที่จะทำให้ฉันทุกข์ร้อนนั้นประสบความสำเร็จได้ เมื่อมีความคิดเหล่านี้ ความเข้มแข็งก็พลันเกิดขึ้นในหัวใจของฉัน ฉันจึงพูดอย่างองอาจว่า “พวกคุณสามารถเฆี่ยนตีฉันจนตายเลยก็ได้ แต่ฉันก็ยังคงไม่รู้อะไรอยู่ดี!” ในตอนนั้นเอง ตำรวจหญิงคนหนึ่งก็เข้ามาในห้องพอดี พอเธอเห็นฉันก็พูดว่า “ปล่อยเธอลงมาเร็ว พวกนายกำลังพยายามทำอะไรกันนี่ ฆ่าเธอหรือไง? พวกนายซวยแน่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ!” ฉันรู้ในหัวใจของฉันว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้สดับการอธิษฐานของฉัน และได้ทรงพิทักษ์รักษาให้ฉันปลอดภัยจากการทำอันตรายในชั่วขณะแห่งภยันอันตรายนี้ พอพวกตำรวจเลวปล่อยฉันลง ฉันก็พับลงกับพื้นทันที ฉันยืนไม่ไหว และแขนและขาของฉันก็ไม่รู้สึกอะไรเลย ฉันแทบไม่มีเรี่ยวแรงที่จะหายใจ และสูญเสียความรู้สึกทั้งหมดของแขนขาทั้งสี่รยางค์ไปแล้ว ตอนนั้นฉันตื่นกลัวมากและน้ำตาก็ไหลออกจากตาของฉันไม่หยุด ฉันคิดว่า “สุดท้ายแล้วฉันจะพิการหรือเปล่า?” ถึงอย่างนั้นก็แล้ว ทั้งที่เป็นแบบนี้ พวกตำรวจเลวก็ยังไม่ปล่อยฉันไป พวกเขาเข้าประกบฉันข้างละคน แล้วจับแขนฉันลากเหมือนซากศพไปที่เก้าอี้พังๆ ตัวหนึ่ง แล้วผลักฉันให้นั่งลงไปบนเก้าอี้ตัวนั้น ตำรวจนายหนึ่งพูดอย่างสารเลวว่า “ถ้าหล่อนไม่พูด ก็เอาเชือกมาแขวนหล่อนไว้!” ตำรวจเลวอีกนายรีบหยิบเชือกไนลอนบางๆ มาเส้นหนึ่งอย่างเร็วมาก แล้วใช้มันแขวนมือของฉันซึ่งใส่กุญแจมืออยู่เข้ากับท่อความร้อน แขนของฉันถูกยืดตรงทันที และไม่นานนัก หลังและหัวไหล่ของฉันก็เริ่มเจ็บ พวกตำรวจเลวถามคำถามฉันต่อไปเรื่อยๆ ว่า “เธอจะบอกสิ่งที่พวกเราอยากรู้กับพวกเราไหม?” ฉันยังคงไม่ตอบ พวกเขาโกรธมากจนสาดน้ำใส่หน้าฉันถ้วยหนึ่ง พูดว่านั่นเพื่อปลุกฉันให้ตื่น จนถึงตอนนี้ ฉันได้ถูกทรมานจนถึงจุดที่ฉันไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแม้เพียงสักหยดแล้ว และดวงตาของฉันก็อ่อนล้ามากจนฉันลืมตาไม่ขึ้นแล้ว เมื่อเห็นว่าฉันยังคงเงียบ ตำรวจเลวนายหนึ่งก็ใช้มือของเขาบังคับให้ฉันเปิดตาขึ้นอย่างใจร้ายและไร้ยางอายเพื่อเล่นสนุกล้อเลียนฉัน ในหลายชั่วโมงของการสอบปากคำ พวกตำรวจเลวก็ได้ใช้ทุกเล่ห์กลในตำราของพวกเขา แต่ความพยายามทั้งหมดของพวกเขาที่จะทำให้ฉันพูดล้วนจบลงตรงความล้มเหลว

เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่สามารถได้ข้อมูลอะไรจากฉันโดยการตั้งคำถาม พวกตำรวจเลวจึงตัดสินใจนำแผนร้ายเยี่ยงมารมาใช้ นั่นคือ พวกเขาให้ใครบางคนจากในเมืองที่เรียกตัวเขาเองว่า “ผู้เชี่ยวชาญการสอบปากคำ” มาจัดการกับฉัน พวกเขาพาฉันไปอีกห้องหนึ่งแล้วสั่งให้ฉันนั่งบนเก้าอี้โลหะ จากนั้นพวกเขาก็เอาโซ่มาล่ามข้อเท้าฉันจนแน่นติดกับขาเก้าอี้ และล่ามมือของฉันไว้กับที่เท้าแขนของเก้าอี้ ไม่นานหลังจากนั้น ผู้ชายใส่แว่นที่ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้าคนหนึ่งก็เข้ามาพร้อมกับกระเป๋าเอกสาร เขายิ้มกว้างให้ฉัน และปลดโซ่ที่ยึดมือและข้อเท้าของฉันไว้กับเก้าอี้ออกอย่างเสแสร้งทำเป็นนิสัยดี และอนุญาตให้ฉันนั่งบนเตียงพับทางด้านหนึ่งของห้อง ประเดี๋ยวเดียวเขาก็กำลังเทน้ำให้ฉัน แล้วจากนั้นเขาก็เอาขนมหวานมาให้ฉัน เขาเดินมาหาฉันและพูดแบบแสร้งแสดงความเป็นมิตรว่า “ทำไมถึงทุกข์ทนแบบนี้ล่ะครับ? คุณทุกข์ทนมามากแล้ว แต่อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย บอกสิ่งที่พวกเราอยากรู้มา แล้วทุกอย่างจะโอเค...” เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใหม่นี้ ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำอย่างไร ดังนั้นฉันจึงรีบอธิษฐานถึงพระเจ้าในหัวใจของฉัน และเรียกหาพระองค์เพื่อให้ประทานความรู้แจ้งกับฉันและทรงนำฉัน เพิ่งจะตอนนั้นเองที่ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ว่า “พวกเจ้าต้องตื่นและรอคอยอยู่เสมอ และเจ้าต้องอธิษฐานต่อหน้าเราให้มากขึ้น เจ้าต้องระลึกรู้ถึงแผนร้ายสารพัด และกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน ระลึกรู้ถึงจิตวิญญาณทั้งหลาย รู้จักผู้คน และมีความสามารถที่จะหยั่งรู้ในผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทุกประเภท(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 17) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็นเส้นทางของการปฏิบัติและช่วยให้ฉันตระหนักว่า มารจะเป็นมารเสมอ และมารไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้เยี่ยงปีศาจของมันที่ต้านทานพระเจ้าและเกลียดพระเจ้าได้ ไม่ว่าพวกเขาจะใช้กลเม็ดที่แข็งกร้าวหรือกลเม็ดที่อ่อนโยน เป้าหมายของพวกเขาก็คือ การทำให้ฉันทรยศพระเจ้าและละทิ้งหนทางที่แท้จริงเสมอ เพราะคำเตือนของพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงมามีวิจารณญาณเกี่ยวกับกลอุบายอันฉลาดแกมโกงของซาตานขึ้นมาบ้าง ความนึกคิดจิตใจของฉันได้รับการทำให้ชัดเจน และฉันสามารถที่จะตั้งมั่นอยู่ได้ จากนั้นผู้สอบปากคำก็พูดกับฉันว่า “รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนห้ามไม่ให้ผู้คนเชื่อในพระเจ้า หากคุณเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไป ทั้งครอบครัวของคุณจะถูกดึงเข้ามาพัวพันด้วย และมันจะส่งผลต่ออนาคต โอกาสในการจ้างงาน และโอกาสในการเป็นข้าราชการพลเรือนของลูกหลานในครอบครัวของคุณ คุณควรคิดเรื่องนี้ให้รอบคอบนะครับ” หลังจากที่เขาพูดเช่นนี้ การสู้รบก็เริ่มโหมกระพือขึ้นภายในตัวฉัน และฉันรู้สึกถูกรบกวนจิตใจเป็นสองเท่า ขณะที่ฉันกำลังรู้สึกหลงทาง พลันฉันก็นึกขึ้นได้ถึงประสบการณ์ของเปโตรตอนที่เขายืนหยัดเป็นพยานต่อหน้าซาตานได้สำเร็จ เปโตรพยายามเข้าใจพระเจ้าผ่านกลอุบายอันฉลาดแกมโกงทุกอย่างที่ซาตานโยนใส่เขาเสมอ และดังนั้น ลึกๆ ในหัวใจของฉัน ฉันฝากความหวังไว้กับพระเจ้าและไว้วางใจมอบถวายทุกสิ่งทุกอย่างให้กับพระองค์ และฉันแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า โดยที่ฉันไม่ทันตระหนักรู้ พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็เข้ามาในจิตใจของฉันว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างโลกนี้ขึ้นมา พระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์นี้ขึ้นมา และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเป็นสถาปนิกแห่งวัฒนธรรมกรีกโบราณและอารยธรรมมนุษย์ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงปลอบประโลมมวลมนุษย์นี้ และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงดูแลเอาใจใส่มวลมนุษย์นี้ทั้งคืนและวัน พัฒนาการและความก้าวหน้าของมนุษย์นั้นไม่สามารถแยกออกจากอำนาจอธิปไตยของพระเจ้าได้ และประวัติศาสตร์และอนาคตของมวลมนุษย์เองก็หาได้พ้นไปจากการออกแบบของพระเจ้า หากเจ้าเป็นคริสตชนแท้คนหนึ่ง เจ้าย่อมจะเชื่ออย่างแน่นอนว่า ความรุ่งเรืองและความตกต่ำของประเทศใดหรือชนชาติใดก็ตามอุบัติขึ้นตามการออกแบบของพระเจ้า พระเจ้าแต่เพียงลำพังเท่านั้นที่ทรงรู้ชะตากรรมของประเทศหรือชาตินั้น และพระเจ้าเพียงลำพังเท่านั้นที่ทรงควบคุมครรลองของมวลมนุษย์นี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง) พระวจนะของพระเจ้าเติมความสว่างให้กับฉัน “ใช่เลย!” ฉันคิด “พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างและชะตากรรมของพวกเราในฐานะมวลมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า มารซาตานเป็นจำพวกที่ท้าทายพระเจ้า หากพวกมันไม่สามารถแม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของพวกมันเองที่ถูกชี้ชะตาให้ไปลงนรก แล้วพวกมันจะปกครองชะตากรรมของมนุษย์ได้อย่างไร? โชคชะตาของมนุษย์ได้รับการทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าโดยพระเจ้า และไม่ว่าลูกหลานของฉันอาจจะทำงานอะไรในอนาคต และไม่ว่าความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของพวกเขาจะเป็นอย่างไรนั้น เป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า—ซาตานไม่มีการควบคุมเหนือสิ่งเหล่านี้แต่อย่างใดเลย” เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันกลายเป็นมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกว่า ซาตานและพวกปีศาจนั้นน่าดูหมิ่นและไร้ยางอายเพียงใด ดังนั้น เพื่อบังคับให้ฉันไม่ยอมรับพระเจ้าและปฏิเสธพระเจ้า มันจึงกำลังใช้กลเม็ดที่เคลือบแฝงและสามานย์—“สงครามประสาท” เหล่านี้—เพื่อล่อให้ฉันหลงกล หากไม่ใช่เพราะความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในเวลาที่เหมาะเจาะแล้ว ฉันคงจะถูกโค่นล้มและถูกซาตานจับไปเป็นเชลยแล้ว มาถึงตอนนี้ที่ฉันรู้แล้วว่า ซาตานชั่วและน่าดูหมิ่นเพียงใด ความมั่นใจของฉันที่จะไม่ยอมให้กับกลอุบายอันฉลาดแกมโกงของมันก็ได้รับการทำให้แข็งแกร่งขึ้น ในท้ายที่สุด ตำรวจเลวนายนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกและไปต่อไม่เป็น และดังนั้น เขาจึงจากไปด้วยความหดหู่

ในวันที่สาม หัวหน้ากองตำรวจอาชญากรรมเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ข้อมูลใดเลยจากฉัน จึงเกิดเดือดดาลขึ้นมา โดยบ่นว่าลูกน้องของเขาไร้สมรรถภาพ เขาจึงมาหาฉัน และพูดเหน็บแนมฉันพร้อมด้วยรอยยิ้มแค่นบนใบหน้าของเขาว่า “ทำไมเธอยังไม่ยอมสารภาพอีก? เธอคิดว่าเธอเป็นใคร หลิวหูหลานหรือ? เธอคิดว่าพวกเราเอาจริงไปแล้วใช่ไหมเธอถึงไม่กลัว หา? ทำไมพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของเธอไม่มาช่วยเธอล่ะ?” ขณะที่เขาพูด เขาทำให้ฉันขวัญผวาด้วยการโบกกระบองไฟฟ้าที่ส่งเสียงปะทุและมีแสงสีฟ้ากะพริบอยู่ตรงหน้าฉัน จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่กระบองไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่กำลังชาร์จไฟอยู่ แล้วข่มขู่ฉันว่า “เธอเห็นนั่นไหม? อีกไม่นานกระบองอันเล็กนี่ก็จะไฟหมด แล้วอีกประเดี๋ยวฉันก็จะใช้กระบองไฟฟ้าอันใหญ่ที่ชาร์จไฟจนเต็มนั่นมาจี้เธอ แล้วพวกเราจะได้เห็นกันว่าเธอจะพูดไหม! ฉันรู้ว่าถึงตอนนั้นเธอจะเริ่มพูด!” ฉันมองไปที่กระบองไฟฟ้าอันใหญ่นั่น แล้วฉันก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มตื่นตระหนกว่า “ตำรวจเลวคนนี้ช่างดุร้ายและเป็นเหมือนพวกมาร สุดท้ายเขาจะฆ่าฉันไหม? ฉันจะมีความสามารถที่จะสู้ทนกับการทรมานนี้ได้ไหม? ฉันจะถูกจี้ไฟฟ้าจนตายไหม?” ในชั่วขณะนั้น ความอ่อนแอ ความขี้ขลาด และความเจ็บปวดกับความอับจนหนทางที่ฉันรู้สึกทั้งหมดประดังท่วมท้นจิตใจของฉัน ฉันรีบเรียกหาพระเจ้าว่า “โอ้ พระเจ้า ขอได้โปรดอารักขาข้าพระองค์และมอบความเชื่อและความเข้มแข็งให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด” จากนั้น ข้อความหลายบรรทัดจากบทเพลงสรรเสริญแห่งพระวจนะของพระเจ้าก็ลอยเข้ามาในจิตใจของฉันว่า “ความเชื่อเป็นเหมือนสะพานไม้ซุงท่อนเดียว กล่าวคือ พวกที่ยึดติดอยู่กับชีวิตอย่างน่าสังเวชใจจะประสบความลำบากยากเย็นในการข้ามสะพานนั้นไป แต่บรรดาผู้ที่พร้อมจะสละตัวพวกเขาเองจะสามารถผ่านไปได้ ด้วยเท้าที่มั่นคงและปราศจากความกังวล หากว่ามนุษย์เก็บงำความคิดที่ขลาดกลัวและเกรงกลัว นั่นก็เป็นเพราะซาตานได้หลอกพวกเขา ด้วยกลัวว่าพวกเราจะข้ามสะพานแห่งความเชื่อเพื่อเข้าสู่พระเจ้า(“จุดเริ่มต้นของโรคภัยไข้เจ็บคือความรักของพระเจ้า” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) พระวจนะเหล่านี้ขององค์พระเยซูเจ้าก็เข้ามาในจิตใจด้วยเช่นกันว่า “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้สามารถทรงทำลายทั้งจิตวิญญาณและกายในนรกได้(มัทธิว 10:28) พระวจนะของพระเจ้าทำให้น้ำตาของฉันไหลออกมาเอง—ฉันรู้สึกได้รับการดลใจอย่างไม่อยากจะเชื่อ ความเข้มแข็งในหัวใจของฉันเป็นเหมือนกับไฟที่โหมกระพือ “ถึงแม้ว่าวันนี้ฉันตาย” ฉันคิด “แล้วมีอะไรหรือที่ต้องกลัว? การตายเพื่อพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีสง่าราศี และฉันจะสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อต่อสู้กับซาตานจนตาย!” ในตอนนั้นเอง ข้อความบางบรรทัดจากบทเพลงสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้าอีกเพลงหนึ่งก็เข้ามาในจิตใจว่า “บนถนนสู่เยรูซาเลม พระเยซูทรงอยู่ในความเจ็บปวดร้าวราน ประหนึ่งมีดด้ามหนึ่งกำลังถูกบิดคว้านอยู่ในพระทัยของพระองค์ กระนั้นพระองค์ก็มิได้มีเจตนารมณ์ที่จะทรงคืนวาจาของพระองค์เลยแม้แต่น้อย ตลอดเวลานั้นมีกำลังอันทรงพลังอำนาจบีบให้พระองค์จำยอมไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลาไปยังที่ที่พระองค์จะทรงถูกตรึงกางเขน ในท้ายที่สุด พระองค์ก็ถูกตอกตรึงกับกางเขนและกลายเป็นสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป เป็นการเสร็จสิ้นพระราชกิจในการทรงไถ่มวลมนุษย์ พระองค์ได้ทรงหลุดพ้นจากโซ่ตรวนแห่งความตายและแดนคนตาย เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ความตาย นรก และแดนคนตายสูญเสียพลังอำนาจของตน และได้ถูกกำราบโดยพระองค์(“จงเอาอย่างองค์พระเยซูเจ้า” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ฉันร้องเพลงไปเรื่อยๆ ในหัวใจของฉัน และน้ำตาก็ไหลอาบแก้มของฉันไม่หยุด ฉากเหตุการณ์ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงถูกตรึงกางเขนปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาของฉัน องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกเย้ยหยัน ด่าว่า และใส่ร้ายโดยพวกฟาริสี เพชฌฆาตหวดโบยพระองค์ด้วยแส้ที่มีหัวตะกั่วติดอยู่ตรงปลาย จนกระทั่งพระองค์ทรงปกคลุมไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำ จนในท้ายที่สุดพระองค์ได้ทรงถูกตอกตรึงเข้ากับกางเขนอย่างโหดร้าย กระนั้นพระองค์ไม่เคยทรงส่งเสียงเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงผ่านนั้น ทรงทุกข์ทนเพื่อประโยชน์ของความรักที่พระองค์ทรงมีให้กับมวลมนุษย์ และความรักนี้เอาชนะความรักที่พระองค์ทรงมีให้กับชีวิตของพระองค์เอง ในชั่วขณะนั้น หัวใจของฉันได้รับแรงบันดาลใจและได้รับการดลใจจากความรักของพระเจ้า และฉันเต็มไปด้วยความเข้มแข็งและความเชื่ออย่างมาก ฉันรู้สึกไม่กลัวอะไร และฉันรู้สึกเหมือนว่าการตายเพื่อพระเจ้าจะเป็นสง่าราศี ในขณะที่การเป็นยูดาสจะเป็นความอัปยศอันใหญ่หลวงที่สุด ฉันแปลกใจที่เมื่อฉันตัดสินใจว่าฉันจะยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้าแม้ต้องแลกด้วยชีวิตของฉันเอง ตำรวจเลวคนหนึ่งก็ได้วิ่งเข้ามาในห้องแล้วพูดว่า “มีปัญหาที่จัตุรัสในเมือง พวกเราต้องระดมกำลังตำรวจไปปราบปรามและรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของประชาชน!” พวกตำรวจเลวรีบเร่งออกไป พอถึงตอนที่พวกเขากลับมามันก็ดึกมากแล้ว และพวกเขาไม่มีพลังงานที่จะสอบปากคำฉันอีก พวกเขาพูดกับฉันอย่างสารเลวว่า “ในเมื่อเธอไม่ยอมพูด พวกเราก็จะส่งเธอไปสถานกักกัน!” ในตอนเช้าของวันที่สี่ พวกตำรวจเลวถ่ายรูปฉัน แล้วคล้องคอฉันด้วยป้ายสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มีชื่อของฉันเขียนไว้บนนั้นด้วยแปรง ฉันรู้สึกเหมือนเป็นอาชญากรที่ถูกประณาม ถูกเย้ยหยันและเยาะเย้ยจากพวกตำรวจเลว ฉันรู้สึกเหมือนตัวฉันกำลังอยู่ภายใต้การเหยียดหยามอันใหญ่หลวงที่สุด และภายในฉันรู้สึกอ่อนแอเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ฉันตระหนักว่าสภาวะจิตใจของฉันไม่ถูกต้อง และดังนั้นฉันจึงรีบเรียกหาพระเจ้าเงียบๆ ในหัวใจของฉันว่า “โอ พระเจ้า! ได้โปรดทรงอารักขาหัวใจของข้าพระองค์ และทำให้ข้าพระองค์สามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ และไม่ตกเป็นเหยื่อของกลอุบายอันฉลาดแกมโกงของซาตาน” หลังจากที่อธิษฐาน พระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของฉันว่า “เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—แน่นอนว่าเจ้าควรนมัสการพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย หากเจ้าไม่นมัสการพระเจ้าแต่ใช้ชีวิตภายในเนื้อหนังอันโสมมของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มิได้เป็นเพียงแค่สัตว์เดียรัจฉานในเครื่องแต่งกายของมนุษย์หรอกหรือ? เนื่องจากเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าควรสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์ทุกอย่าง! เจ้าควรยินดีและแน่ใจยอมรับความทุกข์เล็กน้อยที่เจ้าต้องมีในวันนี้ และใช้ชีวิตที่มีความหมาย ดังเช่นโยบ และเปโตร…พวกเจ้าคือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาหนทางที่ถูกต้อง คือบรรดาผู้ที่แสวงหาการปรับปรุง พวกเจ้าคือผู้คนที่ลุกขึ้นในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกขานว่ามีความชอบธรรม นั่นไม่ใช่ชีวิตที่มีความหมายมากที่สุดหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (2)) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันสามารถเข้าใจว่า การมีความสามารถที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและมีชีวิตเพื่อนมัสการพระเจ้าและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเป็นชีวิตที่มีความหมายและมีค่ามากที่สุด การมีความสามารถที่จะถูกจับกุมและกักขังในวันนี้เพราะความเชื่อในพระเจ้าของฉัน การทุกข์ทนกับการเหยียดหยามและความเจ็บปวดทั้งหมดนี้ และการมีความสามารถที่จะแบ่งปันในความทุกข์ลำบากของพระคริสต์ไม่ใช่สิ่งที่น่าอับอาย แต่เป็นสิ่งที่มีสง่าราศี ซาตานไม่นมัสการพระเจ้า ในทางตรงกันข้าม มันทำทุกอย่างที่มันสามารถทำได้เพื่อขัดจังหวะและกีดขวางพระราชกิจของพระเจ้า และนี่คือสิ่งที่น่าอับอายและน่าดูหมิ่นที่สุด เมื่อนึกถึงความคิดเหล่านี้ ฉันกลับกลายเป็นเต็มไปด้วยความเข้มแข็งและความชื่นบาน พวกตำรวจเลวเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของฉันและเพ่งมองฉันอย่างประหลาดใจ แล้วพูดว่า “เธอมีอะไรให้ต้องมีความสุข?” ฉันตอบอย่างเป็นเหตุเป็นผลและหนักแน่นว่า “การเชื่อในพระเจ้าและนมัสการพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีเหตุผลสมควรอย่างไม่มีที่ติ การทำแบบนั้นไม่มีอะไรผิดโดยสิ้นเชิง แล้วทำไมฉันถึงไม่ควรมีความสุขล่ะ?” เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ พวกเขาไม่พูดอะไรเลย ภายใต้การทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า ฉันสามารถพึ่งพาพระเจ้าในการเอาชนะซาตานได้อีกครั้ง

จากนั้นฉันถูกนำเข้าไปในสถานกักกัน ทุกสิ่งทุกอย่างในที่แห่งนั้นหมองหม่นและน่าหวาดผวายิ่งขึ้นไปอีก และฉันรู้สึกเหมือนฉันได้ตกลงสู่นรกอะไรบางอย่าง ในอาหารทุกๆ มื้อ ฉันได้รับขนมปังนึ่งสีดำชิ้นเล็กๆ หนึ่งชิ้น และแกงจืดที่มีผักกวางตุ้งไม่กี่ใบลอยอยู่ด้านบน ฉันหิวมากตลอดทั้งวันทุกวัน ท้องของฉันร้องหาอาหาร อย่างไรก็ตาม ทั้งที่เป็นแบบนี้ ฉันก็ยังคงต้องทำงานราวกับสัตว์พาหนะ และหากฉันทำไม่ได้ตามปริมาณที่ฉันถูกกำหนดไว้ ฉันก็ถูกทุบตีหรือถูกบังคับให้ยืนเฝ้ายามเพื่อเป็นการลงโทษ เพราะพวกตำรวจชั่วได้ทรมานฉันอย่างโหดร้ายอยู่นานหลายวัน ฉันจึงฟกช้ำและบาดเจ็บไปหมดแล้วตั้งแต่หัวจรดเท้า และแม้แต่การเดินก็กลายเป็นเรื่องยากลำบาก แต่ผู้คุมก็ยังบังคับให้ฉันหิ้วขดลวดทองแดงหนักๆ เพราะงานที่หนักนี่เอง แผ่นหลังที่ได้รับบาดเจ็บของฉันก็กลายเป็นเจ็บปวดจนทนไม่ไหว และทั้งหมดที่ฉันสามารถทำได้เมื่อแต่ละวันสิ้นสุดลงก็คือ การคลานขึ้นไปบนเตียงของฉัน ทั้งที่เป็นแบบนั้น ผู้คุมนั่นก็ยังบังคับให้ฉันยืนเฝ้ายามนักโทษในเวลากลางคืน และนี่ทำให้อิดโรยเกินไป คืนหนึ่งขณะที่ฉันทำหน้าที่เฝ้ายาม ฉันฉวยโอกาสจากการที่ตำรวจเลวไม่อยู่ และฉันแอบลงนั่งยองๆ ด้วยหวังว่าจะพัก อย่างไรก็ตาม โดยที่ไม่คาดคิด ผู้คุมเลวคนหนึ่งเห็นฉันบนหน้าจอในกล้องวงจรปิด และย่ำปึงปังมาหาฉันแล้วแผดเสียงว่า “ใครบอกว่าเธอนั่งลงได้?” หนึ่งในนักโทษคนอื่นๆ กระซิบกับฉันว่า “รีบขอโทษเขาเร็ว ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะบังคับให้เธอนอนบนเตียงไม้นะ” ที่เธอพูดเช่นนี้ เธอหมายถึงการทรมานที่มีการนำบานประตูไม้เข้าไปในห้องขังของนักโทษ ล่ามโซ่ที่ขาและเท้าของพวกเขา และใช้เชือกผูกข้อมือของเขาไว้กับบานประตู จากนั้นนักโทษจะถูกยึดไว้กับแผ่นไม้และไม่ได้รับอนุญาตให้เคลื่อนไหวอีกเป็นเวลาสองสัปดาห์ เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉันเต็มไปด้วยทั้งความโกรธและความเกลียดชัง แต่ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถแสดงออกถึงการต้านทานแม้เพียงน้อยนิดที่สุดได้—ทั้งหมดที่ฉันทำได้คือการกล้ำกลืนความโกรธของฉันไว้ ฉันพบว่าการกลั่นแกล้งและการทรมานเช่นนั้นเป็นสิ่งซึ่งยากที่จะทน คืนนั้น ฉันนอนบนเตียงอันเย็นเฉียบของฉัน แล้วร้องไห้ให้กับความอยุติธรรมของเรื่องทั้งหมด หัวใจของฉันเต็มไปด้วยข้อร้องทุกข์และข้อเรียกร้องต่อพระเจ้า โดยคิดว่า “เมื่อไหร่นี่จะจบลงเสียที? แค่วันเดียวในสถานที่นรกนี่ก็มากเกินพอแล้ว” จากนั้นฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หากเจ้าเข้าใจนัยสำคัญของชีวิตมนุษย์และได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิตมนุษย์ และหากในอนาคตเจ้านบนอบต่อการออกแบบของพระองค์โดยไม่มีการร้องทุกข์หรือมีตัวเลือกอันใดไม่ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร และหากเจ้าไม่มีข้อเรียกร้องอันใดต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ในหนทางนี้เจ้าจะเป็นบุคคลที่มีคุณค่า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรเดินบนเส้นทางระยะสุดท้ายอย่างไร) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันละอายในตนเอง ฉันนึกถึงการที่ฉันพูดอยู่เสมอว่า ฉันจะเสาะแสวงที่จะเชื่อฟังพระเจ้าเหมือนดั่งที่เปโตรทำ โดยไม่สำคัญว่าความเจ็บปวดหรือความยากลำบากนั้นจะใหญ่หลวงเพียงใด และการที่พูดเสมอว่า จะไม่ตัดสินใจหรือเรียกร้องอันใดเพื่อประโยชน์ของฉันเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อการข่มเหงและความยากลำบากมาตกแก่ฉัน และฉันต้องทุกข์ทนและจ่ายราคา ฉันพยายามที่จะคิดเกี่ยวกับหนทางออก ฉันไม่มีความเชื่อฟังเลยแม้แต่น้อย! เพียงตอนนั้นเองที่ฉันก็เข้าใจเจตนารมณ์อันดีของพระเจ้าในที่สุดว่า พระเจ้ากำลังทรงยินยอมให้ความทุกข์ระทมนี้ตกแก่ฉันก็เพื่อกล่อมเกลาความแน่วแน่ของฉันในการที่จะสู้ทนกับความทุกข์ และเพื่อให้ฉันสามารถเรียนรู้ว่าจะเชื่อฟังอย่างไรยามที่ตัวฉันอยู่ในความทุกข์ เพื่อที่ฉันจะมีความสามารถที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และมีคุณสมบัติที่จะได้รับพระสัญญาของพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้ากำลังทรงทำกับฉันนั้น กำลังได้รับการทรงทำมาจากความรัก และนั่นกำลังได้รับการทรงทำเพื่อช่วยฉันให้รอด หลังจากนั้นหัวใจของฉันรู้สึกว่าได้รับการปลดเปลื้องให้เป็นอิสระ และฉันไม่รู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมหรือเจ็บปวดอีกต่อไป ทั้งหมดที่ฉันต้องการคือการนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การยืนหยัดเป็นพยานและทำให้ซาตานอัปยศ

หนึ่งเดือนหลังจากนั้นฉันก็ถูกปล่อยตัว อย่างไรก็ตาม พวกเขาตราหน้าฉันด้วยข้อกล่าวหาว่า “ขัดขวางการบังคับใช้กฎหมายและมีส่วนร่วมในองค์กรเซี่ยเจียว” เพื่อจำกัดอิสรภาพส่วนตัวของฉัน ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเมืองหรือมณฑลของฉันเป็นเวลาหนึ่งปี และฉันต้องพร้อมรับคำสั่งตำรวจเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาต้องการฉัน หลังจากที่ฉันกลับถึงบ้านแล้วเท่านั้น ฉันจึงได้พบว่าสิ่งของทั้งหมดที่ฉันเก็บไว้ที่บ้านถูกพวกตำรวจปล้นเอาไปไม่เหลือ นอกเหนือจากนี้ พวกตำรวจเลวยังได้รื้อค้นบ้านของฉันราวกับพวกโจร และข่มขู่ให้ครอบครัวของฉันเอาเงินให้พวกเขา 25,000 หยวนก่อน พวกเขาจึงจะปล่อยตัวฉัน แม่สามีของฉันไม่สามารถทนความตระหนกตกใจทั้งหมดนั้นได้และเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว และหลังจากที่ได้รับการนำตัวส่งโรงพยาบาลและต้องรับการรักษาด้วยค่าใช้จ่ายมากกว่า 2,000 หยวนนั่นเองจึงได้ฟื้นตัว ในท้ายที่สุด ครอบครัวของฉันถูกบีบให้ต้องไปถามทุกคนที่รู้จักเพื่อขอยืมเงินให้สามารถรวบรวมได้ 3,000 หยวนสำหรับตำรวจ และถึงตอนนั้นเองฉันจึงค่อยได้รับการปล่อยตัว เนื่องจากการทรมานอันโหดร้ายที่พวกตำรวจเลวทำกับฉัน ร่างกายของฉันถูกทิ้งให้ทุกข์ทนกับผลพวงที่ตามมานั่นคือ แขนและขาของฉันมักบวมขึ้นและเกิดปวดแสบปวดร้อน เนื่องจากความตึงเครียดรุนแรงที่ถูกนำมาใช้กับแขนขาของฉันในระหว่างการจองจำ ฉันไม่สามารถทำได้แม้กระทั่งการยกผักหนักสองกิโลครึ่งหรือซักเสื้อผ้าของฉัน และฉันสูญเสียความสามารถที่จะทำงานไปแล้วอย่างสมบูรณ์

ประสบการณ์ในการถูกจับกุมและถูกข่มเหงนั้น ได้ให้ทรรศนะที่ชัดเจนแก่ฉันเกี่ยวกับพรรคคอมมิวนิสต์ เกี่ยวกับโฉมหน้าเยี่ยงซาตานชั่วของมันซึ่งเกลียดชังความจริงและเกลียดชังพระเจ้า นั่นสะกิดยั่วความรังเกียจที่ฉันมีต่อซาตานและต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งวิปริตเยี่ยงปีศาจที่วิ่งสวนทางกับฟ้าโดยทั้งสิ้นทั้งมวล ฉันยังมีประสบการณ์ส่วนตัวที่จริงแท้เกี่ยวกับการที่พระราชกิจของพระเจ้านั้น สัมพันธ์กับชีวิตจริงและมีปัญญาเพียงใดด้วยเช่นกัน การถูกจับกุมและถูกข่มเหงโดยพรรคคอมมิวนิสต์ได้พัฒนาวิจารณญาณของฉัน นั่นยังได้กล่อมเกลาความแน่วแน่ของฉันและทำให้ความเชื่อของฉันเพียบพร้อมด้วยเช่นกัน อันเป็นการเปิดโอกาสให้ฉันเรียนรู้วิธีที่จะฝากความหวังไว้กับพระเจ้าและพึ่งพิงพระเจ้า ฉันยังได้ลิ้มรสชาติพลังอำนาจและสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้าด้วยเช่นกัน โดยเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถเป็นแหล่งที่มาหนึ่งของความช่วยเหลือซึ่งอยู่เคียงข้างพวกเราเสมอ ฉันได้เห็นว่าพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรักมนุษย์ และพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทรงช่วยมนุษย์ให้รอดได้ ฉันได้เข้าใกล้พระเจ้าในหัวใจของฉันมากขึ้น ฉันได้เก็บเกี่ยวบำเหน็จทั้งหมดเหล่านี้จากการก้าวผ่านความยากลำบากและบททดสอบ ฉันขอกล่าวคำขอบคุณแด่พระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

หลังจากถูกจับ

โดย โจว ลี่, ประเทศจีน บ่ายวันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2013 ตอนที่ฉัน กำลังไปชุมนุมพร้อมพี่สาวอีกสามคน เราตระหนักได้ว่า มีรถสองคัน...

การเติบโตขึ้นท่ามกลางพายุ

โดย หมี เสวี่ย, ประเทศจีน มีวันหนึ่ง เดือนมีนาคม ค.ศ. 2013 ฉันกับพี่น้องหญิงสองคนกำลังกลับบ้านจากการชุมนุม พอเราเดินเข้าบ้าน...

ความเจ็บปวดสุดพรรณนา

โดย จาง หลิน, ประเทศจีน บ่ายวันหนึ่ง เดือนธันวาฯ ค.ศ. 2012 ฉันนั่งรถโดยสารไปนอกเมืองเพื่อทำหน้าที่ให้ลุล่วง...

ติดต่อเราผ่าน Messenger