สิบเก้าปีแห่งเลือดและน้ำตา

วันที่ 31 เดือน 10 ปี 2024

โดย หวางยู่เฟิ่ง, ประเทศจีน

ฉันพร้อมด้วยพ่อแม่ของฉันเป็นผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย  ตอนที่ฉันอยู่ในวัย 30 สามีของฉันตายจากความเจ็บป่วย ทิ้งให้ฉันเลี้ยงลูกชายสองคนและกับลูกสาวอีกคนมาตามลำพัง  ต้องขอบคุณพระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ปรากฏว่าลูกๆ ของฉันประสบความสำเร็จในอาชีพการงานและกลายเป็นผู้ที่ร่ำรวยมากพร้อมด้วยครอบครัวที่มีความสุข  จากนั้นใน ค.ศ. 1999 ทั้งครอบครัวของฉันก็ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และพวกเราก็เริ่มเผยแผ่และเป็นพยานให้แก่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรอย่างมีใจกระตือรือร้น  อย่างไรก็ตาม การถูกจับกุมแบบไม่มีเค้ามาก่อนได้ทำให้ชีวิตอันสงบสุขของครอบครัวเราแตกสลายลง

คืนหนึ่งในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2002 ฉันพบว่าตำรวจได้ไปที่ทำงานของลูกชายคนโตของฉันเพื่อจับกุมเขา แต่เขาใช้ช่วงที่ตำรวจเผลอแอบหนีไปได้  พวกนั้นมองหาเขาไปทั่ว  เมื่อฉันได้ยินข่าวนี้ ฉันก็วิตกกังวลและเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น  พวกนั้นจะได้ตัวลูกชายฉันหรือไม่?  ถ้าเขาถูกจับกุมจริงๆ  แน่นอนว่าพวกนั้นจะทรมานเขาและทำให้เขาพังย่อยยับจริงๆ  เราเคยเป็นครอบครัวเปี่ยมสุขซึ่งมีทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องมี  ลูกๆ ของฉันล้วนเป็นผู้เชื่อและทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างแข็งขัน—ที่ผ่านมานั้นช่างวิเศษนัก!  แต่ตอนนี้ตำรวจกำลังตามล่าตัวลูกชายของฉัน เขาเสียงานไปและไม่กล้ากลับบ้าน  ครอบครัวของพวกเราแตกกระสานซ่านเซ็น  ฉันไม่รู้เลยว่าพวกเราจะทำอย่างไรดี  ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งกลัดกลุ้มมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นฉันจึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงเฝ้าดูลูกชายของฉันและทรงนำให้ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์  หลังการอธิษฐาน ฉันนึกได้ถึงบางอย่างที่พระเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “จงอย่าท้อแท้ จงอย่าอ่อนแอ และเราจะทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนแก่เจ้า  ถนนสู่ราชอาณาจักรมิได้ราบเรียบนัก ไม่มีอะไรเรียบง่ายเช่นนั้นหรอก!  เจ้าต้องการให้พรมาถึงเจ้าอย่างง่ายดายมิใช่หรือ?  ในวันนี้ ทุกคนจะต้องเผชิญกับบททดสอบอันขมขื่น  หากปราศจากการทดสอบเช่นนี้ หัวใจรักของพวกเจ้าที่มีต่อเราก็จะไม่เติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้น และพวกเจ้าก็จะไม่มีรักแท้ต่อเรา  แม้ว่าการทดสอบเหล่านี้ก็แค่ประกอบด้วยรูปการณ์แวดล้อมเล็กน้อยทั้งหลายเท่านั้น แต่ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าความลำบากยากเย็นของบททดสอบย่อมจะผิดแผกกัน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันรู้ว่าการมีความเชื่อและติดตามพระเจ้าไม่ใช่ถนนที่ราบรื่น  ทุกคนต้องก้าวผ่านความยากลำบากและบททดสอบ  การที่ตำรวจไล่ล่าตัวลูกชายของฉันเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น  พระองค์กำลังทรงใช้สถานการณ์อันเจ็บปวดชนิดนี้เพื่อทำให้ความเชื่อและความรักของพวกเราเพียบพร้อม—ความทุกข์นี้คือพระพรจากพระเจ้า  ฉันรู้สึกสงบขึ้นเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ในหนทางนั้น และฉันก็กล่าวคำอธิษฐาน พร้อมแล้วที่จะฝากลูกชายของฉันไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้าและนบนอบต่อการทรงปกครองและการจัดการเตรียมการของพระองค์

ต่อมา เมื่อตำรวจรู้ว่าลูกชายของฉันได้ทำการจัดพิมพ์หนังสือพระวจนะของพระเจ้าในคริสตจักรมาโดยตลอด พวกนั้นก็ขึ้นบัญชีเขาว่าเป็นอาชญากรซึ่งเป็นที่ต้องการตัวระดับชาติ และระดมกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนมากเพื่อค้นหาตัวเขา โดยป่าวประกาศว่าพวกเขาจะจับตัวลูกชายฉันให้จงได้โดยใครก็ห้ามขวาง  ข่าวนี้ทำให้ฉันวิตกกังวลและเป็นห่วงมาก—เขาจะหลบหนีการจับกุมไปได้อย่างไรถ้าพรรคคอมมิวนิสต์ตั้งให้เขาเป็นเป้าหมายสำคัญอันดับต้นๆ?  ฉันเพิ่งจะได้ยินเรื่องพี่น้องชายคนหนึ่งซึ่งถูกจับกุมและจากนั้นก็ถูกตำรวจซ้อมจนตาย  ด้วยความที่พรรคคอมมิวนิสต์เกลียดบรรดาผู้เชื่ออย่างมาก ถ้าพวกนั้นได้ตัวลูกชายของฉันไปไว้ในเงื้อมมือ พวกเขาจะไม่ทรมานเขาจริงๆ หรอกหรือ?  ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งขวัญผวามากขึ้นเท่านั้น ใช้ชีวิตอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนในทุกเมื่อเชื่อวัน  ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับ และทุกครั้งที่ได้ยินเสียงหวอของรถตำรวจ หัวใจของฉันก็เต้นตูมตามไม่เป็นส่ำ  ฉันอยู่ในสภาวะที่วิตกกังวลมากในช่วงเวลานั้น หนำซ้ำสุขภาพร่างกายก็ไม่แข็งแรง  สองสามวันต่อมา ตำรวจโทรมาที่บ้านเราถึงสองครั้งเพื่อสอบถามเรื่องที่อยู่ของลูกชายฉันและพูดอย่างข่มขู่คุกคามว่า “ถ้าพวกคุณไม่มอบตัวเขาให้เรา นั่นจะเป็นการให้ที่หลบซ่อนแก่อาชญากร และสมาชิกครอบครัวของคุณจะไม่รอดแม้แต่คนเดียว!”  เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉันก็ตกใจกลัวจริงๆ และไม่รู้ว่าเมื่อไรตำรวจจะโผล่มาค้นบ้านของพวกเราและอาจจะจับกุมฉัน ลูกชายคนเล็กกับภรรยาของเขา  ฉันยิ่งห่วงกังวลมากขึ้นว่าพวกนั้นจะได้ตัวลูกชายคนโตของฉันเมื่อไร  ฉันเฝ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ขอให้พระองค์ทรงมอบความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ฉัน และขอให้พระองค์ทรงดูแลลูกชายคนโตของฉันเพื่อให้เขาเข้มแข็งอยู่ได้  หลังการอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงบางอย่างจากพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เจ้าไม่ควรกลัวสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้าอาจเผชิญความยากลำบากและภยันตรายมากเพียงใด เจ้าสามารถจะยังคงมั่นคงอยู่ต่อหน้าเราได้ โดยไร้อุปสรรคใดๆ กีดขวาง เพื่อที่เจตจำนงของเราจะได้รับการดำเนินการโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น  นี่คือหน้าที่ของเจ้า… บัดนี้เป็นเวลาที่เราจะทดสอบเจ้า เจ้าจะมอบความรักภักดีแก่เราหรือไม่?  เจ้าสามารถติดตามเราอย่างรักภักดีไปจนสุดทางได้หรือไม่?  จงอย่ากลัวเลย ด้วยการสนับสนุนของเรา ใครเล่าจะสามารถขวางกั้นถนนสายนี้ได้?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10)  พระวจะของพระเจ้าทำให้ความเชื่อของฉันแข็งแกร่งขึ้น—พระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์และทุกสรรพสิ่งล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ดังนั้นชะตากรรมของทุกคนในครอบครัวเราก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ด้วยไม่ใช่หรือ?  หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต ตำรวจย่อมไม่สามารถทำอะไรพวกเราได้  ความห่วงกังวลว่าสมาชิกครอบครัวของเราจะถูกจับกุม และการที่ฉันใช้ชีวิตอยู่ในภาวะแห่งความหวาดกลัวตลอดเวลาก็แปลว่าฉันขาดความเชื่อที่จริงแท้ในพระเจ้า  ด้วยการนำจากพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงรู้สึกสงบลง  หากมีพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้าง ฉันก็ไม่มีอะไรต้องกลัว—ฉันพร้อมจะฝากทั้งครอบครัวของเราไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ และฉันตกลงใจว่าต่อให้ฉันจะถูกจับกุม ฉันก็จะไม่มีวันหักหลังพี่น้องชายหญิงของพวกเรา ไม่มีวันทรยศพระเจ้า!

สองสามเดือนต่อมา เมื่อตำรวจยังไม่พบตัวลูกชายของฉัน พวกมันก็เริ่มข่มขู่ว่าจะจับกุมเราทั้งครอบครัว  ฉัน ลูกชายคนเล็กของฉัน และภรรยาของเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกจากบ้านไปหลบซ่อนตัว  ก่อนทิ้งบ้านมาฉันว้าวุ่นใจอย่างที่สุด ด้วยคิดว่าลูกชายคนโตของฉันกำลังหนีหัวซุกหัวซุนและฉันไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ที่ไหน และตอนนี้ที่เราต้องเตลิดหนีออกจากบ้านของเรา ครอบครัวที่มีความสุขสมบูรณ์กำลังถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนพรากให้จากกันโดยสิ้นเชิง  ฉันตรอมใจมากเหลือเกิน  การมีความเชื่อและนมัสการพระเจ้ามันผิดตรงไหน?  พรรคคอมมิวนิสต์มุ่งมั่นที่จะบังคับให้เราไปถึงจุดแห่งความย่อยยับ  พวกเขาไม่ต้องการให้บรรดาผู้เชื่อเหลือหนทางใดที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปเลยจริงๆ—พรรคคอมมิวนิสต์ช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน!  ฉันเป็นหม้ายในวัย 30 และต่อสู้ดิ้นรนเลี้ยงดูลูกทั้งสามคนตามลำพัง  ฉันทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาเกือบทั้งชีวิตและผ่านมันมาได้ในที่สุด  ฉันไม่เคยคิดว่าในวัยใกล้ฝั่งเช่นนี้ ฉันจะถูกพรรคคอมมิวนิสต์บังคับให้ต้องหนีหัวซุกหัวซุน  การที่ทิ้งมาแบบนั้น พรรคจะไม่ยึดบ้านและทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเราหรอกหรือ?  แล้วเราจะอยู่ต่อไปอย่างไร?  ความคิดเหล่านี้เจ็บปวดสำหรับฉันจริงๆ  ฉันจึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  ในหัวใจข้าพระองค์ไม่อาจปล่อยมือจากทรัพย์สินของพวกเราได้ และข้าพระองค์เป็นกังวลว่าจากนี้ไปข้าพระองค์จะอยู่อย่างไร  โปรดทรงนำข้าพระองค์ให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด”  หลังจากอธิษฐาน ฉันก็นึกขึ้นได้ถึงข้อความหนึ่งจากองค์พระเยซูเจ้าได้ ความว่า “ทุกคนในพวกท่านที่ไม่ได้สละสิ่งสารพัดที่มีอยู่จะเป็นสาวกของเราไม่ได้(ลูกา 14:33)  บรรดาสาวกขององค์พระเยซูเจ้าสามารถสละทุกอย่างที่พวกเขามีเพื่อติดตามพระองค์  ฉันนึกถึงมัทธิว—เขาเป็นคนเก็บภาษี แต่เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงเรียกใช้เขา เขาก็สละทรัพย์สมบัติทั้งหมดและพลีอุทิศทุกสิ่งที่มีเพื่อติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า  และเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเรียกใช้เปโตร เขาก็ล้มเลิกงานของเขาในฐานะชาวประมงเพื่อติดตามพระองค์  แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการกดขี่ของพรรคคอมมิวนิสต์ ฉันก็ไม่สามารถแม้แต่จะปล่อยมือจากสิ่งของของตนเพียงไม่กี่อย่างได้  ฉันช่างขาดความเชื่อเหลือเกิน  หมู่นกในฟ้าอากาศไม่เคยหว่านเพาะหรือเก็บเกี่ยว แต่พระเจ้าทรงดูแลพวกมัน แล้วมนุษย์อย่างพวกเราเล่า?  ความคิดนี้ช่วยทุเลาความห่วงกังวลของฉัน  ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และกำลังทรงแสดงความจริงเพื่อชำระพวกเราให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอด  ฉันช่างวาสนาดีนักที่สามารถติดตามพระเจ้าและได้รับความจริงและชีวิตได้—การเป็นทุกข์เล็กน้อยก็คุ้มค่าดี!  ความจริงเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่อาจซื้อได้ไม่ว่าด้วยทรัพย์สมบัติเชิงวัตถุจำนวนเท่าใด และฉันรู้ว่ามันจะคุ้มค่ากับความทุกข์ลำบากไม่ว่าปริมาณใดในภายภาคหน้า

หลังจากพวกเราทิ้งบ้านไป ตำรวจก็ได้เรียนรู้ว่าฉันกับทั้งครอบครัวเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และเริ่มปฏิบัติการค้นหาพวกเราไปทั่วเมือง  เรากำลังพากันย้ายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเพื่อพยายามหลบหนีการจับกุม บางคราวก็ย้ายหลังจากอยู่ในที่ใดที่หนึ่งได้ไม่ทันถึงเดือน  ฉันจะหมดเรี่ยวหมดแรงและปวดหลังทุกครั้ง  ด้วยกลัวว่าจะถูกตำรวจพบเข้า เราจึงต้องพักอยู่ในบ้านสร้างเองส่วนตัวชั้นเดียวหลังเล็กๆ  ในฤดูหนาวนั้น ภายในตัวบ้านเย็นมากจนน้ำเป็นน้ำแข็ง และแม้แต่หลังจากที่จุดเตาไฟต่อเนื่องเป็นสัปดาห์แล้ว บ้านก็ยังไม่อบอุ่น  มือฉันแตกด้วยความหนาวและเมื่อสัมผัสกับน้ำกับเจ็บแสบมากๆ  สถานที่สุดท้ายที่เราย้ายเข้าไปเป็นกระท่อมหลังเล็กๆ ในหมู่บ้าน เป็นที่สำหรับให้ไก่ออกไข่ ซึ่งทั้งมืดและอับชื้น เกลื่อนไปด้วยพวกแมลง  มันน่าคลื่นไส้มากจนฉันกินไม่ลง  ฉันหวนนึกถึงวันเวลาที่พวกเราอยู่ที่บ้าน ในอะพาร์ตเมนต์ดีๆ ที่อบอุ่นและน่าชูใจ  การเปรียบเทียบวันเวลาเหล่านั้นกับรูปการณ์แวดล้อมปัจจุบันของเราทำให้ฉันทุกข์ระทมจริงๆ  ฉันไม่รู้เลยว่าวันคืนเหล่านั้นจะจบลงเมื่อไร  เมื่อตระหนักว่าฉันไม่อยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง ฉันจึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าทันที ขอให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำฉันให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์  หลังการอธิษฐาน บางอย่างจากพระวจนะของพระเจ้าก็ผุดขึ้นในใจฉัน ความว่า “เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—แน่นอนว่าเจ้าควรนมัสการพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย  หากเจ้าไม่นมัสการพระเจ้า แต่กลับใช้ชีวิตภายในเนื้อหนังอันโสมมของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้ามิได้เป็นเพียงสัตว์ป่าในคราบมนุษย์หรอกหรือ?  ในเมื่อเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าก็ควรสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์ทุกอย่าง!  เจ้าควรยอมรับความทุกข์เล็กน้อยที่เจ้าต้องมีในวันนี้และใช้ชีวิตที่มีความหมายอย่างยินดีและอย่างมั่นใจดังเช่นโยบและเปโตร… พวกเจ้าคือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาเส้นทางที่ถูกต้อง เป็นผู้ที่แสวงหาการปรับปรุงให้ดีขึ้น  พวกเจ้าคือผู้คนที่ผงาดขึ้นมาในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง เป็นผู้ที่พระเจ้าตรัสเรียกว่าชอบธรรม  นั่นไม่ใช่ชีวิตที่มีความหมายที่สุดหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (2))  พระวจนะของพระเจ้าหนุนใจฉันจริงๆ  ฉันนึกถึงการที่ซาตานทดลองโยบ—โยบสูญเสียทรัพย์สินของครอบครัวเขาจนหมดสิ้นและลูกๆ ของเขาก็ถูกบ้านทับจนตาย  ตัวเขาเองก็มีฝีปกคลุมทั่วทั้งตัว  แม้ด้วยความทุกข์มหาศาลขนาดนั้น เขาก็ยังสรรเสริญพระนามพระเจ้าและเป็นพยานที่ดังกึกก้องแด่พระเจ้า  พระเจ้าทรงเห็นชอบในตัวโยบและอวยพรเขา  การไล่ตามเสาะหาของเปโตรเป็นไปเพื่อที่จะรักและรู้จักพระเจ้า  เขาก้าวผ่านหลายร้อยบททดสอบโดยไม่เคยสูญสิ้นความเชื่อ และในท้ายที่สุดก็ถูกตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้า  เขาสามารถนบนอบจนตาย ให้คำพยานที่งดงามและใช้ชีวิตตามชีวิตซึ่งเปี่ยมความหมายอย่างมาก  แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันไม่สามารถแม้แต่จะยืนหยัดกับการต้องย้ายที่อยู่ไม่กี่ครั้งและทนทุกข์เล็กน้อยได้  ฉันไม่มีความนบนอบที่แท้จริงต่อพระเจ้าเลย!  ความทุกข์ตรมที่ฉันสู้ทนในตอนนั้นล้วนเป็นเพราะการข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดงทั้งสิ้น  แทนที่จะเกลียดพญานาคใหญ่สีแดง ฉันกลับเกิดความคิดลบและโอดครวญ—ฉันช่างไร้เหตุผลอะไรเช่นนี้!  การถูกพญานาคใหญ่สีแดงไล่ล่าก่อความทุกข์ให้ฉันระดับหนึ่งทีเดียว แต่ฉันกำลังได้รับวิจารณญาณเหนือแก่นแท้ของมัน มองเห็นได้อย่างชัดเจนถึงแก่นแท้เยี่ยงซาตานของมันที่การเกลียดชังและต่อต้านพระเจ้า  พระเจ้าทรงสร้างพวกเราขึ้นมา ดังนั้นการนมัสการพระองค์จึงถูกต้องและเหมาะสม  นั่นเป็นการเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต และการเผยแผ่ข่าวประเสริฐก็เป็นไปเพื่อช่วยให้ทุกคนได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและยอมรับความจริง พวกเขาจึงสามารถได้รับการช่วยให้รอด  แต่พรรคคอมมิวนิสต์กดขี่พวกเราและยืนขวางทางพวกเราทุกจังหวะเวลา แม้แต่การพรากแม่ไปจากลูก  ฉันเห็นได้จริงๆ ว่ามันเป็นพรรคที่ชั่วและเป็นศัตรูคู่อาฆาตของพระเจ้า  ฉันเกลียดมันและสาปแช่งมันจากก้นบึ้งของหัวใจ  หวกฉันไม่ได้รับประสบการณ์กับความเจ็บปวดนั้น แต่แค่ใช้ชีวิตสงบสุขที่บ้านต่อไป ฉันก็คงจะมองแก่นแท้ของพญานาคใหญ่สีแดงไม่ออก และคงจะไม่สามารถละทิ้งและปฏิเสธมันจากหัวใจ  ณ จุดนั้น ฉันเป็นทุกข์มากพอดูเพื่อติดตามพระเจ้า แต่ฉันก็กำลังได้รับความจริงและชีวิต ความทุกข์นั้นมีความหมายอย่างเหลือเชื่อ  พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เสด็จมาทรงพระราชกิจในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง ถูกพรรคคอมมิวนิสต์ข่มเหงและไล่ล่า ไม่มีแม้แต่หมอนให้อิงพระเศียร  ความทุกข์ยากที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์ไปนั้นไม่อาจคณานับได้  ตอนนี้ครอบครัวของพวกเราติดตามพระเจ้า ถูกพรรคคอมมิวนิสต์ข่มเหงและต้องหนีหัวซุกหัวซุน อันเป็นการร่วมรับรู้ความยากลำบากของพระคริสต์  นี่คือการยกชูของพระเจ้า!  ฉันตกลงใจอย่างเงียบๆ ว่าไม่ว่าฉันต้องทนทุกข์มากขนาดไหน ฉันก็จะติดตามพระเจ้าจนถึงวาระสุดท้าย

ต่อมา ลูกสาวของฉันลงเอยด้วยการถูกตำรวจจับตามองและติดตามระหว่างออกไปแบ่งปันข่าวประเสริฐ  เธอพยายามจนสลัดพวกมันหลุดได้ด้วยการเข้าไปในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่และเปลี่ยนเสื้อผ้าของเธอ  หลังจากนั้นเธอก็ถูกบังคับให้เตลิดออกจากพื้นที่  ก่อนที่พวกเราจะรู้ตัว ครอบครัวของพวกเราก็แตกกระสานซ่านเซ็น หนีหัวซุกหัวซุนอยู่หนึ่งปีเต็ม  ฉันคิดอยู่ตลอดเวลาว่าลูกชายคนโตและลูกสาวของฉันจะอยู่ในรูปการณ์แวดล้อมแบบไหน เป็นกังวลเสมอว่าพวกเขาจะถูกจับ  ฉันแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน และโรคหอบหืดของฉันก็กำเริบ  ฉันเริ่มเสียสมาธิง่ายๆ และบ่อยครั้งที่จมอยู่กับความคิด  ลูกชายคนเล็กของฉันไม่อาจทนเห็นฉันเป็นแบบนั้นได้ เขาจึงตัดสินใจเสี่ยงกลับไปที่บ้านและดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น  หลังจากที่เขาไปแล้ว ฉันก็เฝ้ารอด้วยความหวัง… เมื่อถึงเวลาหนึ่งทุ่มกว่าๆ และฉันยังไม่เห็นเขากลับมา ฉันก็เริ่มวิตกกังวล  ฉันนึกสงสัยว่า เขาอยู่ที่ไหน?  ตำรวจได้ตัวเขาไปแล้วหรือ?  ไม่นะ หลังจากผ่านมาปีกว่า พวกมันไม่สามารถที่จะยังซุ่มดูบ้านของพวกเราอยู่ได้หรอก?  แต่ฉันรออยู่ทั้งคืนและเขาก็ยังไม่กลับมา  ฉันรู้สึกแน่ใจว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น เพราะเขาไม่มีที่อื่นใดให้ไปอย่างแน่นอน  ถ้าเขาถูกจับไปแล้วจริงๆ ฉันก็ไม่รู้เลยว่าตำรวจจะใช้วิธีน่าสะพรึงกลัวแบบไหนเพื่อทรมานเขา  พวกมันอาจจะซ้อมเขาจนพิการด้วยซ้ำ  เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ฉันก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้  ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวัน จะเอาแต่นั่งอยู่บนเตียง จ้องมองออกไปข้างนอกอย่างเหม่อลอย  ฉันเจ็บปวดแสนสาหัสเหลือเกิน—ฉันรู้สึกราวกับถูกมีดแทงเข้าที่หัวใจ ไม่มีทางบอกได้เลยว่าลูกชายของฉันตายแล้วหรือมีชีวิตอยู่ ฉันไม่รู้เลยว่าลูกสาวของฉันอยู่ในอันตรายหรือไม่ และตอนนี้ลูกชายคนเล็กของฉันถูกจับกุมไปแล้วหรือยัง  ฉันจะทำอย่างไรดี?  ในความเจ็บปวดและอับจนหนทางของฉัน ฉันมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และแล้วพระวจนะเหล่านั้นของพระองค์ก็ผุดขึ้นในใจว่า “ชะตากรรมของมนุษย์ถูกควบคุมโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า  เจ้าไม่สามารถควบคุมตัวของเจ้าเองได้ กล่าวคือ ทั้งที่มนุษย์สาละวนเร่งรีบและทำตัวให้ยุ่งวุ่นวายเพื่อตัวเขาเองอยู่เสมอ เขาก็ยังคงไม่สามารถควบคุมตัวเขาเองได้  หากเจ้าสามารถล่วงรู้ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเจ้าเอง หากเจ้าสามารถควบคุมชะตากรรมของเจ้าเองได้ เจ้าจะยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอยู่อีกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์)  เมื่อคิดทบทวนเรื่องนี้ ฉันเห็นได้เลยว่าชะตากรรมของผู้คนล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เราทนทุกข์ปานใดและเราอาจจะเผชิญสถานการณ์ใดก็ตามล้วนลิขิตไว้แล้วโดยพระเจ้า  ฉันจะเป็นกังวลแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้  ฉันกล่าวอธิษฐานภายในหัวใจ ตั้งใจฝากลูกๆ ของฉันไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  ต่อมา ลูกสะใภ้ของฉันก็รู้จากพี่น้องหญิงคนหนึ่งในคริสตจักรว่าลูกชายคนเล็กของฉันได้ถูกตำรวจที่ซุ่มดูบ้านเราอยู่จับตัวไป  ตำรวจนำตัวเขาไปที่สถานี ทุบตีและตะคอกใส่เขา เรียกร้องให้บอกที่อยู่ของพวกเรา  เขาไม่พูดอะไร ตำรวจจึงกักกันเขาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนาน 15 วันก่อนจะปล่อยตัวเขาในที่สุด  เขาเพียงแค่ถูกปล่อยไป  เห็นได้ชัดว่าตำรวจเสียใจที่ปล่อยเขาไปและจึงได้เริ่มมองหาตัวเขาอีกครั้ง  ด้วยความที่ลูกชายของฉันกลัวว่าจะนำทางพวกมันมาหาเรา จึงไม่เคยกล้ากลับไปที่บ้าน ได้แต่อยู่นอกบ้านคอยหลบซ่อนไปเรื่อยๆ  เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ฉันก็โกรธจัด  พวกเราไม่ได้กลับบ้านนานกว่าหนึ่งปี แต่ตำรวจก็ยังพยายามแกะรอยพวกเรา จับตาดูพวกเรา พยายามทุกอย่างเพื่อหาตัวพวกเราให้เจอ  พวกมันต้องการถอนรากถอนโคนพวกเรา  พญานาคใหญ่สีแดงช่างชั่วนัก!  ยิ่งมันกดขี่ฉันมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งสามารถมองเห็นโฉมหน้าเยี่ยงมารของมันได้มากขึ้น และฉันก็ยิ่งตั้งปณิธานที่จะมีความเชื่อและติดตามพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น

ไม่นานนัก ด้วยความช่วยเหลือของเหล่าพี่น้องชายหญิง ลูกชายคนเล็กของฉันก็สามารถออกจากพื้นที่ได้  ไม่นานหลังจากนั้น  ฉันกับลูกสะใภ้ก็ได้ไปยังอีกจังหวัดหนึ่ง  เพื่อเห็นแก่ความปลอดภัยของพวกเรา เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากแยกจากฉันไปหลบซ่อนตัว  มันเจ็บปวดสำหรับฉันมากเหลือเกินเมื่อคิดถึงการที่ทั้งครอบครัวของพวกเราได้ถูกพรรคคอมมิวนิสต์ทำให้แยกกันไปคนละทิศคนละทาง  โดยเฉพาะเมื่อฉันเห็นบุคคลอื่นใส่ใจและเป็นห่วงเป็นใยพ่อแม่ของพวกเขามาก ฉันก็ยิ่งคิดถึงลูกๆ ของฉันมากขึ้นไปอีก  ฉันแทบจะทรงกายไม่อยู่แล้ว  ฉันจึงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหา และนึกถึงพระวจนะของพระองค์บทตอนนี้ที่ว่า “เส้นทางที่พระเจ้าทรงนำเราไปไม่ได้เป็นเส้นตรงตลอด แต่เป็นถนนคดเคี้ยวซึ่งเต็มไปด้วยหลุมบ่อ และพระเจ้าตรัสว่า ยิ่งถนนขรุขระมากขึ้นเท่าไร มันยิ่งสามารถเผยถึงหัวใจรักของพวกเราได้มากขึ้นเท่านั้น  แต่ไม่มีใครในพวกเราเลยที่สามารถเปิดเส้นทางเช่นนี้ได้  ในประสบการณ์ของเรา เราได้เดินบนเส้นทางขรุขระและเสี่ยงอันตรายมามากมาย และได้ทนฝ่าความทุกข์อันใหญ่หลวง บางคราวเราเคยถึงกับโศกาจาบัลย์เป็นที่สุดจนอยากจะร้องออกมา แต่เราก็ได้เดินบนเส้นทางนี้ต่อมาจนถึงทุกวันนี้ เราเชื่อว่านี่คือเส้นทางซึ่งทรงนำโดยพระเจ้า ดังนั้นเราจึงทนฝ่าความทรมานในความทุกข์ทนทั้งมวลแล้วไปต่อ เพราะนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงตั้งไว้ ใครเล่าจะหลีกพ้นได้?  เราไม่ได้ร้องขอเพื่อรับพรใดๆ ทั้งหมดที่เราขอคือให้เราสามารถเดินบนเส้นทางที่เราควรเดินซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เราไม่ได้มุ่งพยายามเลียนแบบคนอื่นหรือเดินบนหนทางที่พวกเขาเดิน ทั้งหมดที่เราแสวงหาคือการที่ได้อุทิศตนจนลุล่วงด้วยการเดินไปบนเส้นทางที่ถูกตั้งไว้ให้จนสุดทาง… พระเจ้าคือผู้ที่ทรงกำหนดว่าแต่ละบุคคลต้องทนทุกข์มากน้อยเพียงใดและพวกเขาต้องเดินไปบนเส้นทางของพวกเขาในระยะทางไกลแค่ไหน และไม่มีใครสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างแท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เส้นทาง… (6))  เมื่อคิดทบทวนพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เห็นได้ว่า พระเจ้าได้ทรงจัดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าบุคคลหนึ่งอาจได้รับประสบการณ์กับความทุกข์ปานใด พวกเขาจำเป็นต้องเดินบนเส้นทางไม่ว่าจะมากมายเพียงใด  ยิ่งเส้นทางของฉันเลี้ยวลดมากขึ้นเท่าไร วุฒิภาวะที่แท้จริงของฉันก็แสดงออกมาให้เห็นได้มากขึ้นเท่านั้น  ก่อนหน้านี้ ลูกๆ ของฉันล้วนอยู่ข้างกายฉัน และพวกเรามีครอบครัวที่สงบสุขเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์  ตอนนั้นฉันมีแรงขับเคลื่อนอย่างมากในการไล่ตามเสาะหา  แต่ตอนนี้เนื่องจากการกดขี่และไล่ล่าของพญานาคใหญ่สีแดง และลูกๆ ของฉันก็กำลังหนีหัวซุกหัวซุน ฉันตรอมใจ ซึมเศร้าและเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นร้องทุกข์  การกดขี่และความยากลำบากนั่นได้เปิดโปงฉัน  ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักว่าเหตุผลเดียวที่ฉันมีความเชื่อก็เพื่อให้ได้รับการทรงอวยพรและการประทานพระคุณจากพระเจ้า เพื่อสำราญในความชื่นบานทางเนื้อหนัง  ไม่ใช่เพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงหรือนบนอบต่อพระเจ้าเลย  นั่นสามารถเป็นความเชื่อแท้ได้อย่างไร?  หากสถานการณ์อันลำบากยากเย็นเหล่านั้นไม่ได้เปิดโปงฉันในหนทางนั้น ฉันก็คงไม่มีวันได้เห็นมุมมองที่ผิดพลาดต่อการไล่ตามเสาะหาในความเชื่อของฉัน  ฉันคงไม่อาจได้รับความเข้าใจเช่นนี้ได้ในสภาพแวดล้อมอันสงบสุข  ในที่สุดฉันก็เห็นว่าพระคุณคือพระพรประการหนึ่งจากพระเจ้า แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ความยากลำบากและบททดสอบก็เป็นพระพรของพระเจ้า  ฉันรู้ว่าไม่สำคัญว่าในภายภาคหน้านั้น เส้นทางของฉันจะยากลำบากแค่ไหน ฉันก็จำเป็นต้องผ่านมันไปด้วยการพึ่งพิงพระเจ้า—ฉันต้องนบนอบต่อการทรงปกครองและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  ฉันหมั่นอ่านพระวจนะของพระเจ้ากับพี่น้องหญิงคนอื่นๆ ต่อไปเป็นประจำ ทั้งยังชุมนุมและสามัคคีธรรมกันว่าด้วยพระวจนะของพระเจ้า  ฉันค่อยๆ เริ่มรู้สึกดีขึ้นมา

เวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง แล้วก็เป็นอีกครั้งที่พรรคคอมมิวนิสต์เริ่มการตามล่าและจับกุมเหล่าผู้เชื่ออย่างบ้าคลั่งทั่วไปหมด โดยส่งพวกหน่วยสอดแนม คนหาข่าว และ “สายลับแขนเสื้อแดง” ออกไปทุกหนทุกแห่ง  ฉันไม่ได้มาจากพื้นที่นั้น และฉันคือเป้าหมายหลัก  ในช่วงเวลานั้น ฉันกลัวว่าตนเองจะถูกจับกุม  และอยู่ในความหวาดกลัวตลอดเวลาว่าลูกๆ ของฉันจะถูกจับกุม  กลางคืนฉันนอนไม่หลับ และบางคราวฉันก็ถึงกับฝันร้าย  ฉันเคยฝันว่าตำรวจทรมานลูกๆ ของฉัน  เนื่องจากใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะแห่งความวิตกกังวลและความหวาดกลัวเป็นเวลานานมาก ซึมเศร้าอย่างมาก ฉันจึงเกิดต่อมไทรอยด์เป็นพิษและน้ำหนักลดลงมากจนเหลือแต่กระดูก  หัวใจของฉันเต้นอ่อนลงมากพอดูและการเดินก็ต้องใช้ความพยายามแสนเข็ญอย่างมากสำหรับฉัน  ฉันถึงขั้นต้องตะเกียกตะกายกว่าจะลุกออกจากเตียงได้  ฉันนึกถึงเมื่อตอนอยู่ที่บ้าน  เมื่อไรก็ตามที่ฉันป่วย ลูกๆ ทุกคนจะอยู่ตรงนั้นเพื่อฉัน คอยดูแลฉัน และหลานชายตัวน้อยของฉันก็จะตะโกนว่า “คุณย่าครับ! คุณย่าครับ!”  ทั้งหมดนั้นอบอุ่นมาก  แต่เราทุกคนถูกพรรคคอมมิวนิสต์บังคับให้แยกจากกันไป ฉันไม่อาจพบลูกๆ ได้ และไม่รู้เลยว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน  ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้เท่าไร ฉันก็ยิ่งกลัดกลุ้มมากขึ้นเท่านั้น  เพราะลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้ ฉันจึงแค่คุกเข่าอยู่บนเตียง ร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดและอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  ตอนนี้ข้าพระองค์กำลังกระเสือกกระสนอยู่จริงๆ!  ข้าพระองค์จวนเจียนแย่แล้ว  ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงมอบความแน่วแน่และความเชื่อให้ข้าพระองค์รับความทุกข์นี้ เพื่อให้ข้าพระองค์สามารถยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งด้วยเถิด”  หลังการอธิษฐาน ฉันอ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “ความเชื่อและความรักอย่างถึงที่สุดเป็นสิ่งที่พวกเราพึงต้องมีในช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจ  พวกเราอาจจะสะดุดจากความเลินเล่อแม้เพียงเล็กน้อยที่สุด ด้วยว่าช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจแตกต่างไปจากช่วงระยะก่อนหน้านี้ทั้งหมด กล่าวคือ สิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อมก็คือความเชื่อของมวลมนุษย์ ซึ่งการนี้ทั้งมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้  สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำคือทรงแปลงพระวจนะเป็นความเชื่อ เป็นความรักและเป็นชีวิต  ผู้คนต้องไปให้ถึงจุดที่พวกเขาได้ทนฝ่ากระบวนการถลุงนับหลายร้อย ครั้ง และครองความเชื่อที่ยิ่งใหญ่กว่าของโยบ  พวกเขาต้องทนฝ่าความทุกข์อันเหลือเชื่อ และการทรมานทุกลักษณะโดยไม่เคยจากพระเจ้าไปเลย  เมื่อพวกเขานบนอบตราบจนสิ้นชีพ และมีความเชื่ออันยิ่งใหญ่ในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจของพระเจ้าก็จะครบบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เส้นทาง… (8))  ฉันได้เห็นจากพระวจนะของพระเจ้าว่าพระราชกิจของพระองค์ในยุคสุดท้ายนั้นเป็นไปเพื่อทำความเชื่อของผู้คนให้เพียบพร้อม  ยามที่พวกเราได้รับประสบการณ์กับอาการป่วย พระเจตนารมณ์อันดีของพระเจ้าอยู่ในนั้น  พวกเราควรแสวงหาความจริงและเอาความเชื่อของโยบเป็นตัวอย่าง  โยบเผชิญหน้ากับบททดสอบอันเหลือเชื่อ และมีฝีแตกลามทั่วตัว และเมื่อเขารับไม่ไหวอีกต่อไป เขาก็นั่งในกองขี้เถ้าและใช้เศษหม้อแตกขูดตนเอง  เมื่อภรรยาของโยบรบเร้าให้เขาละทิ้งความเชื่อในพระเจ้า เขาก็พูดว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?” (โยบ 2:10)  โยบไม่มีความเข้าใจผิดหรือคำติเตียนชนิดใดเลยต่อพระเจ้า เขายังคงธำรงความเชื่อเอาไว้ต่อไป  แต่สำหรับฉัน ฉันติเตียนพระเจ้าทันทีที่ฉันเกิดไทรอยด์เป็นพิษ  ฉันได้เห็นว่าฉันมีความเชื่อในพระเจ้าน้อยแค่ไหน และฉันไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างไร  เพื่อจะช่วยพวกเราให้รอด พระเจ้าจึงทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมายังแผ่นดินโลก แบกความอัปยศอดสูมหาศาล สู้ทนการกดขี่และการปราบปรามของพรรคคอมมิวนิสต์ และการปฏิเสธของโลกศาสนา  พระเจ้าได้ทรงสละอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด แต่ฉันกลับกลายเป็นคิดลบจากความทุกข์เพียงแค่เสี้ยวนิดเดียว และฉันถึงกับติเตียนพระเจ้า  ฉันติดค้างพระเจ้ามากเหลือเกิน  จากนั้นฉันก็นึกถึงธรรมิกชนแห่งยุคก่อนๆ ที่ถูกข่มเหงและพลีชีพเพื่อพระเจ้า  พวกเขาได้เป็นพยานแด่พระเจ้าด้วยชีวิตจริงๆ ของพวกเขาเอง—ไม่มีอะไรมีเกียรติไปมากกว่านั้นแล้ว  แม้ว่าทั้งครอบครัวของพวกเรากำลังถูกพรรคคอมมิวนิสต์ข่มเหง พวกเราก็ได้มีโอกาสเป็นพยานแด่พระเจ้า  นี่คือการยกชูของพระเจ้า  จากพื้นฐานที่ตั้งอยู่บนความโสมมและเสื่อมทรามของพวกเราเอง จากพื้นฐานที่ตั้งอยู่บนอัตลักษณ์ของพวกเรานั้น พวกเราไม่คู่ควรที่จะให้คำพยานแด่พระเจ้า  เมื่อฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันก็ไม่รู้สึกแย่อย่างมากอีกต่อไป  พี่น้องหญิงคนหนึ่งได้รู้ถึงประเด็นปัญหาสุขภาพของฉันและนำยาจากในโรงพยาบาลมาให้ฉัน  ฉันเริ่มค่อยๆ ดีวันดีคืน  ขอขอบคุณพระเจ้าอย่างแท้จริง!

ฉันหนีหัวซุกหัวซุนอยู่ข้างนอกนั่นนานหลายปี และเพื่อหลีกเลี่ยงการค้นหาและจับกุมของตำรวจ ฉันจึงซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดินที่ใช้เก็บพวกลังและมันฝรั่ง และฉันก็ฉากหลบจนพ้นสถานการณ์อันตรายครั้งแล้วครั้งเล่าโดยผ่านทางการคุ้มครองอันปาฏิหาริย์ของพระเจ้า  ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008 ฉันถูกแจ้งจับเพราะการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  นั่นเป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียดมากทีเดียว—พวกนักบวชทางศาสนานำเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับกุมพวกเรา  ฉันเป็นที่ต้องการตัว ดังนั้นถ้าพวกเขาจับกุมฉันจริงๆ ตำรวจก็คงไม่ปล่อยฉันไปง่ายๆ แน่  พี่น้องชายหญิงจึงพาฉันไปที่หมู่บ้านลับเล็กๆ แห่งหนึ่งในทันที และพี่น้องหญิงหลี่ซินหยู่ก็นำอาหารกับเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นมาให้ฉัน  แต่หลังจากที่ผ่านไปได้สองสามเดือน จู่ๆ ซินหยู่ก็เลิกมาหา—ฉันไม่รู้ว่าทำไม  ในสถานที่นั้น พวกเขาเผามูลวัวแห้งกันเพื่อให้ความร้อน  ในเดือนธันวาคม อากาศหนาวเย็นและมีอุณหภูมิติดลบ 20 องศาเซลเซียส  ฉันใช้มูลวัวน้อยลงเมื่อดูเหมือนว่ามันใกล้จะถูกเผาจนหมดแล้ว  ข้างในนั่นหนาวมากจริงๆ และมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะบนผนัง  และตอนที่ฉันลุกจากเตียงในตอนเช้า ศีรษะของฉันก็มีน้ำแข็งปกคลุม  ฉันหวังว่าซินหยู่จะมาในไม่ช้า แต่ฉันก็ได้แต่รอแล้วรอเล่า และเธอก็ไม่เคยปรากฏตัวเลย  มันหนาวมากจนฉันเอาแต่เดินกระทืบเท้าอยู่ในบ้าน  ฉันคิดว่าฉันเป็นคนแปลกหน้าในสถานที่แห่งนั้น  ฉันไม่กล้าแม้แต่จะออกไปซื้อฟืนและไม่สามารถตามหาพี่น้องชายหญิงคนอื่นได้  พื้นที่นั้นปกคลุมไปด้วยหิมะและไม่มีทางให้ฉันออกไปเก็บฟืนได้เลย  หากซินหยู่ไม่มา ฉันจะทำอย่างไร?  ฉันจะแข็งตายอยู่ที่นั่นไหม?  ความคิดนั้นทำให้ฉันรู้สึกหนาวยะเยือกและอับจนหนทางจริงๆ  ฉันอธิษฐานและเรียกหาพระเจ้าในหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า  จากนั้นฉันก็คิดถึงผู้เผยพระวจนะเอลียาห์—เมื่อเขาอยู่ในถิ่นธุรกันดารไม่มีอะไรให้กินหรือดื่ม พระเจ้าทรงบัญชาให้ฝูงกานำขนมปังและเนื้อมาให้เขา  นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่พระเจ้าพระองค์เองทรงทำเมื่อนานมาแล้วหรอกหรือ?  ฉันขาดความเชื่อในพระเจ้าได้อย่างไร ในยามที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ประเภทนั้น?  ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระเจ้า และฉะนั้น ในแผ่นดินนี้ เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าจึงตกอยู่ภายใต้การเหยียดหยามและกดขี่… พระเจ้าทรงมีความลำบากยากเย็นมหาศาลในการดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—แต่พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งของพระองค์ผ่านทางความลำบากยากเย็นนี้ อันเป็นการสำแดงพระปัญญาของพระองค์และกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ และทรงใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ครบบริบูรณ์  พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์และการพิชิตชัยของพระองค์ผ่านทางความทุกข์ของผู้คน ผ่านทางขีดความสามารถของพวกเขา และผ่านทางอุปนิสัยเยี่ยงซาตานทั้งปวงของผู้คนในแผ่นดินอันโสมมนี้ เพื่อที่พระองค์อาจได้รับพระสิริจากการนี้ และเพื่อที่พระองค์อาจได้รับบรรดาผู้ที่จะเป็นพยานให้แก่กิจการของพระองค์  ดังนี้คือนัยสำคัญทั้งหมดของการเสียสละทั้งปวงที่พระเจ้าได้ทรงกระทำเพื่อผู้คนกลุ่มนี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?)  การอ่านสิ่งนี้ให้ความรู้แจ้งแก่ฉันในทันที  ในยุคสุดท้ายนั้น พระเจ้าทรงใช้พญานาคใหญ่สีแดงเป็นคนปรนนิบัติสำหรับพระราชกิจของพระองค์ในการทำให้กลุ่มผู้ชนะครบบริบูรณ์  ฉันเป็นคนเสื่อมทราม ดังนั้นการมีโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า เพื่อเป็นพยานให้แก่พระเจ้าภายใต้การกดขี่และจับกุมของพญานาคใหญ่สีแดงนั้นช่างเป็นเกียรติยิ่งนักจากพระเจ้า และมันก็คุ้มค่าไม่ว่าต้องเจอความทุกข์ขนาดไหน!  เมื่อตระหนักถึงเรื่องนั้น ฉันจึงกล่าวอธิษฐานต่อพระเจ้า พร้อมจะนบนอบต่อการทรงปกครองและการจัดการเตรียมการของพระองค์  ต่อให้ฉันแข็งตายอยู่ตรงนั้น ฉันก็จะไม่มีคำพร่ำบ่นร้องทุกข์อันใด  ทันทีที่ฉันนบนอบ พี่น้องหญิงอีกคนก็โผล่มาอย่างไม่คาดฝัน  ฉันจึงได้มารู้ว่าซินหยู่กำลังถูกตำรวจสะกดรอยตาม เธอจึงไม่กลับมา ด้วยกลัวว่าจะทำให้ฉันติดร่างแห  พี่น้องหญิงคนนั้นเห็นว่าสถานที่นั้นหนาวเย็นแค่ไหนจึงพาฉันกลับไปพักที่บ้านของเธอ  เธอบอกฉันว่าสามีของเธอไม่ใช่ผู้เชื่อและไม่ได้ทำงานมาหลายปีแล้ว  ตอนนี้เขามุ่งมั่นที่จะออกไปทำงานจนไม่อาจหน่วงเหนี่ยวไว้ได้  ถ้าสามีของเธออยู่ที่บ้าน ฉันก็ไม่มีทางได้อยู่ที่นั่น—นี่เป็นการที่พระเจ้าทรงเปิดทางให้ฉันจริงๆ!  เมื่อฉันได้ยินเธอพูดแบบนี้ ฉันก็ตื่นเต้นมากจนน้ำตาไหลพราก  ฉันเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสิ่งต่างๆ ไว้ให้ฉันแล้ว เพียงแค่ฉันขาดความเชื่อ ฉันคิดลบและอ่อนแอเมื่อเจอกับความลำบากยากเย็น  ความรักของพระเจ้านั้นจริงมากและฉันได้ลิ้มรสชาติที่แท้จริงของความรักนั้นแล้ว

ใน ค.ศ. 2014 พรรคคอมมิวนิสต์เพิ่มความถี่ในการข่มเหงคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ โดยระดมกำลังตำรวจเพื่อจับกุมคริสตชนทั่วประเทศอย่างบ้าคลั่ง  ฉันเริ่มรู้สึกเป็นห่วงลูกๆ อีกครั้ง  และฉันก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นพวกเขาเป็นอย่างไร  แล้วอยู่มาวันหนึ่งตอนที่ฉันกำลังรับชมวิดีโอกับบรรดาพี่น้องหญิง จู่ๆ ก็มีฉากหนึ่งแวบผ่านไป ซึ่งสำหรับฉันดูเหมือนลูกชายคนโตของฉันอาจจะอยู่ในนั้น  ฉันแทบไม่กล้าเชื่อสายตาของตนเอง—ฉันขยี้ตาและจ้องมองวิดีโอนั่นอีกครั้ง กลัวว่าฉันจะพลาดอะไรไป  ไม่นาน ลูกชายของฉันก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ถ่ายภาพไว้ได้ชัดเจน  ฉันแน่ใจว่าเป็นเขาแน่  ฉันตะโกนว่า “คุณพระช่วย!” และจากนั้นก็ตะโกนว่า “ลูกชายของฉัน ลูกชายของฉัน!  เขาได้ออกนอกประเทศไปแล้ว!”  ทันทีหลังจากนั้น ก็มีอีกฉากหนึ่งแวบผ่านไปให้ฉันเห็นลูกชายคนเล็กของฉัน  ฉันอิ่มเอมยินดีมากจนกระเด้งขึ้นจากที่นั่ง  พวกเขาออกจากประเทศจีนไปเมื่อไร?  พระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์จริงๆ!  ฉันดูต่อไปและเห็นลูกสะใภ้ของฉันอยู่ในนั้นเช่นกัน  พวกเขาทุกคนออกนอกประเทศไปแล้วและฉันไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเขาอีกต่อไป  ฉันตื้นตันใจมากจนสายตาพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตา และฉันก็ขอบคุณพระเจ้าอยู่เงียบๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า  บรรดาพี่น้องหญิงก็สรรเสริญพระมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าอย่างมีความสุข  ลูกชายทั้งสองคนของฉันและลูกสะใภ้ของฉันต่างเป็นที่ต้องการตัวโดยพรรคคอมมิวนิสต์ แต่พวกเขาหนีไปต่างประเทศแล้ว จากใต้จมูกของพรรคเลย นี่คือสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า  ก่อนหน้านั้น ฉันเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกๆ เสมอ แต่วันนั้นฉันได้เห็นว่า ไม่สำคัญว่าซาตานจะอำมหิตเพียงใด มันก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า  หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต ซาตานก็ไม่อาจยึดตัวพวกเขาเอาไว้ได้  การตระหนักเรื่องนี้ทำให้ความเชื่อในพระเจ้าของฉันแข็งแกร่งขึ้น

หลังจากหนีหัวซุกหัวซุนอยู่ 16 ปี ใน ค.ศ. 2018 ลูกสาวของฉันก็เสี่ยงกลับมาบ้านเพื่อดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง และนำข่าวที่น่าตรอมใจกลับมา—หลานชายวัย 12 ขวบของฉันไม่อาจทนการข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดงได้ จึงได้ฆ่าตัวตายไปแล้ว  หลังจากลูกชายคนโตของฉันหนีไป เห็นชัดเลยว่าตำรวจไปที่บ้านของฉันและที่โรงเรียนอย่างต่อเนื่อง ขู่และข่มขวัญหลานชายของฉัน พยายามบังคับให้เขาเปิดเผยที่อยู่ของพ่อ บอกว่าถ้าเขาไม่บอก พวกมันจะจับเขาเข้าคุกไปตลอดชีวิต  เขากลัวมาก จึงเริ่มฝันร้ายตลอดเวลา  ตำรวจยังให้พวกครูบอกเพื่อนร่วมชั้นของเขาให้เลิกคบและกลั่นแกล้งเขาด้วย  พวกครูและเพื่อนร่วมชั้นทำให้เขาตกใจกลัว และยิ่งตกใจกลัวขึ้นไปอีกที่เห็นว่าตำรวจทำทุกวิถีทางที่จะตั้งคำถามและทำให้เขาอับอาย  หลังจากความหวาดกลัวนานสี่ปีภายใต้การกลั่นแกล้งและข่มขวัญของตำรวจ สุดท้ายหลานชายของฉันก็ไม่อาจรับไหวแล้วจริงๆ  เขาแขวนคอฆ่าตัวตายที่บ้าน  พอฉันได้ยินข่าว ฉันก็หูอื้อตาลายแทบเป็นลมหมดสติ  ผ่านไปพักใหญ่จึงค่อยตั้งสติได้  พรรคคอมมิวนิสต์ เจ้าปีศาจเฒ่า พวกมันไม่เพียงขับให้ทั้งครอบครัวของเราต้องแยกกันไปคนละทิศละทาง แต่ยังไม่ละเว้นหลานชายตัวน้อยของฉันด้วยซ้ำ  เขาเพิ่งได้ 12 ขวบ อยู่ในวัยที่เต็มไปด้วยความชื่นบานและการเติบโต แต่กลับถูกพรรคคอมมิวนิสต์ขับให้ไปตาย  ฉันสลดหดหู่ใจไปหมด และเต็มไปด้วยความเดือดดาลต่อพรรคคอมมิวนิสต์ปีศาจนั่น  เมื่อลูกสาวของฉันเห็นว่าฉันเจ็บปวดมากขนาดไหน เธอก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ให้ฉันฟัง ความว่า “ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม กษัตริย์แห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร?  มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร?  ข้ารับใช้พวกนี้!  พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันเริ่มปฏิบัติต่อพระเจ้าประหนึ่งศัตรูมานานแล้ว พวกมันล่วงเกินพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนอย่างที่สุด พวกมันไม่เคารพพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันจี้ปล้นและช่วงชิง พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่ความสิ้นสำนึกรับรู้  เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ?  บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ?  พวกเขาล้วนต่อต้านพระเจ้า!  การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย!  เสรีภาพทางศาสนาหรือ?  สิทธิ์และผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ?  ทั้งหมดนั้นคือเพทุบายเพื่อที่จะปิดบังบาป!… บัดนี้ถึงเวลาแล้ว กล่าวคือ  มนุษย์ได้รวบรวมพละกำลังทั้งหมดของเขามานานแล้ว เขาได้อุทิศความพยายามทั้งหมดของเขาและได้จ่ายทุกราคาเพื่อการนี้ เพื่อฉีกใบหน้าอันน่าขยะแยงของมารตนนี้ออกมา และเปิดโอกาสให้ผู้คนที่ถูกทำให้มืดบอดและได้สู้ทนความทุกข์และความยากลำบากมาแล้วทุกรูปแบบ ได้ลุกขึ้นจากความเจ็บปวดของพวกเขาและต่อต้านมารชั่วที่แก่ชราตนนี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8))  พรรคคอมมิวนิสต์เป็นศัตรูของพระเจ้า มันคือปีศาจที่ต่อต้านพระเจ้าและกัดกินผู้คน  มันอยากมากที่จะรวบตัวผู้เชื่อทุกคนและกวาดล้างพระราชกิจของพระเจ้าให้สิ้น—มันอยากแทบตายที่จะควบคุมมนุษยชาติทั้งปวงไปตลอดกาล  พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด และพรรคคอมมิวนิสต์ก็พยายามหยุดยั้งการนั้นอย่างบ้าคลั่ง เพื่อทำให้การนั้นหยุดชะงัก  มันคลั่งกับการกวาดล้างผู้เชื่อทั้งหมดให้สิ้นซาก จนไม่แม้แต่จะปล่อยเด็กอายุ 12 ขวบไป  พวกมันข่มเหงพวกเราจนถึงจุดที่ครอบครัวของพวกเราไม่อาจกลับบ้านได้ จนพวกเราพรากกันไปคนละทิศละทางและหลานชายของฉันตาย  พรรคคอมมิวนิสต์ชั่วนัก ช่างประสงค์ร้ายโดยไม่คำนึงถึงชีวิตมนุษย์เลย  มันคือนายผีที่จะเข่นฆ่าผู้คนโดยไม่กระพริบตา  ฉันเกลียดมันจากก้นบึ้งของหัวใจ และยิ่งมันข่มเหงฉันในหนทางนี้มากขึ้นเท่าไร ฉันก็ยิ่งตั้งปณิธานแน่วแน่ขึ้นเท่านั้นที่จะติดตามพระเจ้าเพื่อทำให้มารเฒ่าตนนี้อัปยศอดสู

พรรคคอมมิวนิสต์ยังคงไล่ล่าครอบครัวของพวกเราอยู่กระทั่งทุกวันนี้  เมื่อมองย้อนไปถึงชีวิตที่หนีหัวซุกหัวซุน 19 ปีที่ผ่านมา พระวจนะของพระเจ้าทรงนำและให้ความรู้แจ้งแก่ฉันมาโดยตลอด ให้ความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ฉัน นำทางฉันจนถึงปัจจุบันนี้  หากปราศจากการคุ้มครองของพระเจ้า หากปราศจากพระวจนะของพระเจ้าคอยนำฉันและให้เสบียงอาหารแก่ฉัน ฉันเกรงว่าฉันคงจะจากโลกนี้ไปนานแล้ว ฉันคงจะตายหรือสติฟั่นเฟือนไปแล้ว  พรรคคอมมิวนิสต์ไล่ล่าพวกเราอย่างบ้าคลั่งในทุกหนทางที่เป็นไปได้ เพียงเพราะพวกเราเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า ทำให้ฉันไม่สามารถกลับบ้านได้และทำให้ครอบครัวของฉันแยกจากกันไปคนละทิศละทาง  พรรคคอมมิวนิสต์ช่างประสงค์ร้ายนัก มันเป็นปีศาจที่เกลียดชังและต่อต้านพระเจ้า  ฉันละทิ้งมันและปฏิเสธมันจากก้นบึ้งของหัวใจ!  การที่ฉันโชคดีพอจะอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ล้วนเป็นเพราะการดูแลและการคุ้มครองของพระเจ้า  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรักผู้คนอย่างแท้จริง และพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถช่วยผู้คนให้รอดได้จริงๆ  ฉันได้เห็นว่าพระเจ้าทรงน่ารักอย่างเหลือเชื่อเพียงใด และไม่ว่าจะลำบากยากเย็นปานใด สิ่งต่างๆ อาจหนักหนาขนาดไหน ฉันก็จะติดตามพระเจ้าไปจนถึงวาระสุดท้าย ทำหน้าที่ของฉัน และจ่ายคืนให้กับความรักของพระเจ้า!  ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ยี่สิบวันแห่งความทุกข์ทรมาน

โดย เย่หลิน, ประเทศจีนราวสี่โมงเย็นวันหนึ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2002 ขณะที่ผมยืนโทรศัพท์อยู่ริมถนน จู่ๆ ผมก็ถูกกระชากผมและแขนจากด้านหลัง...

การเติบโตขึ้นท่ามกลางพายุ

โดย หมี เสวี่ย, ประเทศจีน มีวันหนึ่ง เดือนมีนาคม ค.ศ. 2013 ฉันกับพี่น้องหญิงสองคนกำลังกลับบ้านจากการชุมนุม พอเราเดินเข้าบ้าน...

ประสบการณ์พิเศษในวัยเยาว์

โดย เจิ้งซิน, ประเทศจีนในค.ศ. 2002 ตอนผมอายุ 18 ปี ผมได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ....

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger