ความทุกข์ทนอันทรงค่า

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

ครั้งแรก คือเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมปี 1997 ในตอนนั้น ผมกำลังยืนรอใครบางคนอยู่ริมถนน พร้อมกับกล่องหนังสือพระวจนะของพระเจ้าสองกล่อง ก็มีตำรวจคนหนึ่งเดินผ่านมา แล้วสั่งให้ผมยกกล่องไปตรวจที่ป้อมตำรวจ ตอนนั้นผมกังวลมาก คิดว่า “ถ้าพวกตำรวจรู้ว่าฉันมีหนังสือพระวจนะของพระเจ้าพวกนี้ พวกนั้นจะทรมานฉันแบบไหน” ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ ขอให้พระองค์ทรงเฝ้าดูหัวใจ ให้ผมมีความเชื่อที่จะเผชิญกับสถานการณ์นี้ พอไปถึงป้อมตำรวจ พวกเขาก็เปิดกล่องออกมา หยิบหนังสือพระวจนะของพระเจ้าขึ้นมาเปิดดู พลางตะคอกผมด้วยตาจ้องเขม็งว่า “แกกล้าขนส่งหนังสือทางศาสนาพวกนี้ต่อหน้าฉันเหรอ เดี๋ยวได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร” จากนั้น เขาก็หยิบกุญแจมือขึ้นมาแล้วล็อกผมไว้ แล้วหยิบกระบองยางที่ยาวประมาณหนึ่งเมตรขึ้นมา และเริ่มฟาดที่ต้นขาข้างขวาของผมอย่างบ้าคลั่ง ผมรู้สึกเหมือนกระดูกต้นขาจะแตกเป็นสองเสี่ยง และร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด พอเห็นผมเป็นแบบนั้น เขาก็ลากผมออกมานอกป้อม และล็อกมือผมไว้กับรั้วคอนกรีตกลางแดดเปรี้ยงๆ หลังตากแดดอยู่แบบนั้นได้ราวหนึ่งชั่วโมง ตำรวจอีกสามคนก็มา และพาผมไปที่สำนักงานย่อยความมั่นคงประจำมณฑล พอเราไปถึงที่นั่น หนึ่งในเจ้าหน้าที่ก็ถามผมอย่างขึงขังว่า “แกมาจากไหน แกชื่ออะไร แกเอาหนังสือพวกนี้มาจากไหน” ผมบอกว่า คนอื่นฝากผมมาส่งอีกที แต่ผมไม่รู้ว่าหนังสือพวกนี้มาจากไหน ตำรวจยืนขึ้นแล้วทุบโต๊ะด้วยความโกรธ เดินเข้ามาตบผมแรงมากๆ แล้วเตะอีกหนึ่งจนผมร่วงลงไปกอง แล้วพูดอย่างชั่วช้าเลวทรามว่า “บอกมาว่าหนังสือพวกนี้มาจากไหน ไม่งั้นฉันจะอัดแกให้ตาย!” เจ้าหน้าที่อีกคนกระชากที่ผมให้ผมลุกขึ้น แล้วขู่ผมว่า “ทำตัวดีๆ ถ้าแกไม่บอกสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ เราจะจัดการแกให้สาสมเลย” พอผมยังปิดปากเงียบ เขาก็ฟาดโต๊ะดังปังแล้วตะโกนว่า “ถึงแกจะเงียบเราก็ไม่ห่วง แค่ส่งแกเข้าคุก แกก็จบแล้ว” จากนั้นเขาก็ขยิบตาให้คนอื่นๆ ที่ปรี่เข้ามาเตะผมจนล้มไปกับพื้น แล้วทั้งรุมเตะและต่อยผม มันเจ็บมากจนรู้สึกเหมือนกระดูกกำลังจะหัก ปวดร้าวไปทั่วทั้งตัว ต่อจากนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกระชากคอเสื้อผมขึ้น ขณะที่อีกคนก็ใช้กระบองยางนั่นกดที่หลังหัวผม ขณะที่พูดหลอกล่อผมว่า “พูดมาเถอะ ในเมื่อหนังสือนี่ไม่ใช่ของแก จะยอมรับโทษไปทำไม ถ้าแกไม่พูด แกจะติดคุกเอานะ ไม่อยากอยู่กับลูกเมียเหรอ แค่พูดออกมา ตอนบ่ายเราพาแกไปส่งถึงบ้านเลย” ผมก็ไม่พูดอะไร เขาเลยพูดต่อว่า “อย่าโง่ไปเลย ต่อให้แกไม่พูด เราก็จะบอกว่าแกสารภาพหมดแล้วอยู่ดี ถึงเวลาออกไป คริสตจักรก็ไม่ต้องการตัวแกแล้ว” แล้วผมก็คิดว่า “พระเจ้าทรงเห็นทุกอย่าง พระองค์จะทรงรู้ว่าฉันเป็นพวกยูดาสไหม แต่ถ้าไม่พูด ฉันต้องเจอโทษจำคุกแน่ ลูกสาวฉันเพิ่งจะสามขวบ ถ้าติดคุกสักสองสามปี เมียฉันก็ต้องดูแลลูกคนเดียว เธอคงลำบากน่าดู แต่การพูดคือการเป็นพวกยูดาส นั่นคงเป็นการทรยศพระเจ้า” ด้วยความปั่นป่วนในใจ ผมร้องหาพระเจ้าไม่หยุด ขอให้พระองค์ทรงนำ แล้วจากนั้น ผมก็นึกถึงบทเพลงสรรเสริญแห่งพระวจนะของพระเจ้าเพลงนี้ขึ้นมา “เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ชีวิตครอบครัวอันสงบสุข และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วยาม เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น(“เจ้าควรละทิ้งทั้งหมดเพื่อความจริง” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) พระวจนะของพระเจ้าช่วยเตือนผม ว่าพวกตำรวจต้องการใช้อารมณ์ของผมมาล่อลวงให้ผมทรยศพระเจ้า ผมจะหลงกลมันไม่ได้ ผมไม่อาจเป็นพวกยูดาสที่น่าอัปยศเพื่อความสบายทางเนื้อหนังอันน้อยนิดของครอบครัวได้ แต่ต้องยืนหยัดเป็นพยาน และทำให้พระเจ้าพอพระทัย ผมนึกถึงเรื่องที่พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง และอนาคตกับชะตากรรมของทุกคน อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ไม่ว่าผมจะต้องรับโทษหรือไม่ ภรรยากับลูกอาจต้องทนทุกข์ยังไง พระเจ้าก็ทรงเป็นผู้ตัดสินทั้งหมด ต่อให้ผมจะกังวลหรือหัวเสียไป ก็ไม่ได้ช่วยอะไร พอตระหนักแบบนี้ได้ ผมก็รู้สึกถึงสันติสุข

พอผมเอาแต่เงียบ พวกตำรวจสองสามคนก็ชี้หน้าผากผมแล้วพูดอย่างต่ำตมว่า “แกมันไอ้งั่งคลั่งศาสนา ดื้อรั้นพอกันหมด ดูท่า เราจะต้องส่งแกเข้าคุกแบบไม่มีทางเลือก ฉันถามแกอีกที แกจะพูดหรือไม่พูด” ผมตอบว่า “ผมบอกคุณไปหมดแล้ว ถึงคุณจะถามอีกร้อยหน ผมก็จะตอบคำเดิม” เขาพูดกับอีกสองคนด้วยความฉุนเฉียวว่า “เอามันไปไว้กลางสนาม ให้แดดเผาจนสุกตายไปเลย” จากนั้น พวกเขาก็ล็อกข้อมือผมไว้ที่สนาม กลางแดดพอดี ตอนนั้นเดือนกรกฎาคม อากาศเลยร้อนมาก ผมโดนแดดเผาจนเหงื่อไหลท่วมตัว ตอนที่เหงื่อไหลไปโดนแผลบนตัวผม มันยิ่งเจ็บแสบมากเป็นพิเศษ แถมยุงยังมารุมกัดหน้ากัดเท้าผมเป็นฝูง มันเลวร้ายสุดเลยละ ผมชักจะทนไม่ไหว จึงเรียกหาพระเจ้าไม่หยุด ขอพระองค์ทรงมอบใจตั้งมั่นที่จะทนทุกข์ ให้ผมยืนหยัดเป็นพยานได้ หลังอธิษฐาน ผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ขึ้นมา “จงอย่าท้อแท้ จงอย่าอ่อนแอ และเราจะทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนแก่เจ้า ถนนสู่ราชอาณาจักรมิได้ราบเรียบนัก ไม่มีอะไรเรียบง่ายเช่นนั้นหรอก! เจ้าต้องการให้พรมาถึงเจ้าอย่างง่ายดายมิใช่หรือ? ในวันนี้ ทุกคนจะต้องเผชิญกับการทดสอบอันขมขื่น หากปราศจากการทดสอบเช่นนี้ หัวใจรักของพวกเจ้าที่มีต่อเราก็จะไม่เติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้น และพวกเจ้าก็จะไม่มีรักแท้ต่อเรา แม้ว่าการทดสอบเหล่านี้ก็แค่ประกอบด้วยรูปการณ์แวดล้อมเล็กน้อยทั้งหลายเท่านั้น แต่ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าความลำบากยากเย็นของการทดสอบทั้งหลายจะแปรผันไปตามแต่ละตัวบุคคลเท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41) พระวจนะนี้ช่างชูใจ และทำให้ผมเห็น ว่าพระเจ้าทรงใช้สภาพแวดล้อมอันโหดร้ายเหล่านี้ ทำให้ความเชื่อและใจตั้งมั่นที่จะทนทุกข์ของเราเพียบพร้อม นี่คือพระพรจากพระเจ้าครับ ตั้งแต่แปดโมงเช้ายันเที่ยงวันนั้น สี่ชั่วโมงเต็ม ที่พวกเขาทรมานผมด้วยการทุบตี สอบปากคำ ข่มขู่ และล่อลวงผม และพระเจ้าก็ทรงนำผมให้ผ่านมาได้ ในช่วงเวลาเช่นนั้น ผมยิ่งต้องเชื่อในพระเจ้ามากกว่าเดิม และผมรู้ว่า ไม่ว่าพวกเขาจะทารุณผมยังไง ผมก็ต้องยืนหยัดเป็นพยานและทำให้พระเจ้าพอพระทัย ผมอยู่ตรงนั้นราวสี่ชั่วโมงตลอดช่วงบ่ายครับ ผมทั้งหิวทั้งกระหาย รู้สึกเวียนหัว และรู้สึกเหมือนเพลียความร้อน

ต่อมา พวกเขาได้พาผมไปยังสถานกักกัน โดยผู้อำนวยการ ได้มอบ “การดูแลพิเศษ” ยิ่งกว่าเดิมให้ผม เขาไม่ลืมจะบอกหัวหน้าห้องขังว่า “แก ‘ดูแล’ รายนี้ให้ดีๆ เลยนะ” จากนั้น ผู้ต้องขังสิบกว่าคนก็รีบกรูเข้ามาล้อมผมไว้ พร้อมง้างหมัดรอ คนที่เป็นหัวหน้าสั่งให้ผมถอดเสื้อผ้าออก ทั้งตัวผมเต็มไปด้วยรอยช้ำ แผลหนึ่งที่ขายังมีเลือดซึมอยู่เลย นักโทษสองสามคนเอาน้ำเย็นจัดใส่กะละมังมาสาดใส่ผม แล้วก็เอาผงซักฟอกมาขัดที่หลังของผม จนผมแสบแผลไปหมด ราวกับโดนมีดแทง แล้วพวกเขาก็สั่งให้ผมยืนพิงกำแพงและชูมือขึ้น พร้อมกับลืมตา และอ้าปากไว้ พร้อมสาดน้ำเย็นจัดอีกสามกะละมังใส่ผมไม่หยุด น้ำที่สาดมา เข้าจมูกเข้าปากผมไปหมด ผมสำลักน้ำเยอะมากจนโลกหมุน ผมเกือบจะเป็นลม จากนั้น พวกเขาก็ให้ผมลุกขึ้นยืนอีก และชกอกผมอย่างแรงสามครั้ง พร้อมตะโกนว่า “เครื่องอัดหัวใจ!” ผมยังไม่ทันจะได้ฟื้นตัวจากความเจ็บ พวกเขาก็ชกเข้าที่หลังผมอีกสองที ผมร่วงลงไปกับพื้นอย่างทรงตัวไม่อยู่ แล้วความเจ็บที่หลังและหน้าอก ก็วิ่งจี๊ดเข้าถึงกระดูก หัวหน้าคนนั้นยังไม่ยอมปล่อยผมไป เขาให้ผมเอามือยันพื้นไว้ข้างหนึ่ง ก่อนจะคร่อมมาบนหลังผม แล้วบอกให้ผมทำท่าเครื่องบินและหมุนไปรอบๆ ผมหมุนไปได้แค่รอบเดียวก็ล้มลงอีก แล้วจากนั้น ผู้ต้องขังอีกคนก็ดึงผมขึ้นและพูดพลางหัวเราะว่า “ดูสิ แค่สามอย่างก็รับไม่ไหวซะแล้ว ถ้าเราจัดให้แกทุกกระบวนท่า แกไม่รอดแหง” พอได้ยินแบบนี้ผมก็กลัวมาก และคิดว่า “แค่สามอย่างนั้นก็แทบตายแล้ว ถ้าพวกเขาทำทุกอย่าง ฉันไม่มีทางรอดไปได้แน่ หรือพวกเขาจะตีฉันให้ตายอยู่ในนี้เลย?” พอคิดแบบนั้น ผมก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ด้วยความทุกข์ระทม ผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งขึ้นมา “ความเชื่อเป็นเหมือนสะพานไม้ซุงต้นเดียว กล่าวคือ พวกที่ยึดติดอยู่กับชีวิตอย่างยอมจำนนจะประสบความลำบากยากเย็นในการข้ามสะพานนั้นไป แต่บรรดาผู้ที่พร้อมจะพลีอุทิศตัวพวกเขาเองจะสามารถข้ามไปได้ด้วยเท้าที่มั่นคงและปราศจากความกังวล หากว่ามนุษย์เก็บงำความคิดที่ขลาดอายและเกรงกลัว นั่นก็เป็นเพราะซาตานได้หลอกพวกเขา ด้วยกลัวว่าพวกเราจะข้ามสะพานแห่งความเชื่อเพื่อเข้าสู่พระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6) พอไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าดู ผมก็รู้สึกละอายใจ พอเผชิญกับข้อเท็จจริง ผมก็เห็นถึงความจริงอันน่าเกลียด ว่าผมขี้ขลาดและขาดความเชื่อ พระเจ้าทรงปกครองทุกสิ่ง รวมถึงชีวิตและความตายของเรา ไม่ว่าพวกเขาจะทุบตีผมจนตายหรือไม่ ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขา แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า ผมรู้ว่า ผมต้องเชื่อว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และไม่หลงกลเล่ห์เหลี่ยมซาตาน พอปรับความคิด ผมก็ต้องประหลาดใจที่หัวหน้าคนนั้นพูดอย่างเหนื่อยหน่ายว่า “พอเถอะ เก็บแรงไว้ดีกว่า” ได้ยินอย่างนี้ ผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่และขอบคุณพระเจ้า

สองสามวันต่อมา ช่วงกลางวันที่ผมกำลังนอนอยู่ จู่ๆ ผมก็รู้สึกเจ็บที่หลังอย่างรุนแรง พอลืมตามาดู ผมก็เห็นผู้ต้องขังสี่คนจุดไฟที่ห่อพลาสติกจากกล่องบุหรี่ แล้วเอามาจี้หลังผม ผมกลิ้งไปมาด้วยความเจ็บปวด และคิดว่า “พวกตำรวจใช้นักโทษมาทำร้ายฉัน ให้ฉันทรยศพระเจ้า! พวกนี้มันชั่วจริงๆ! ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ถึงไม่ตาย สุดท้ายก็จะพิการอยู่ดี” ยิ่งคิดเรื่องนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกกลัวและสิ้นหวัง ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าซ้ำๆ ขอพระองค์ทรงนำผม ให้มีใจตั้งมั่นที่จะผ่านเรื่องนี้ไปได้ แล้วจากนั้น ผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งขึ้นมา “เมื่อผู้คนพร้อมที่จะพลีอุทิศชีวิตของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นไม่สลักสำคัญ และไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้ สิ่งใดจะสามารถสำคัญกว่าชีวิตได้? ด้วยเหตุนั้น ซาตานจึงกลายเป็นไม่สามารถทำสิ่งใดมากขึ้นอีกในผู้คน ไม่มีสิ่งใดที่มันสามารถทำกับมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 36) พรรคคอมมิวนิสต์จีน ใช้กลยุทธ์ทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อทรมานผมทางกาย เพื่อให้ผมทรยศพระเจ้า และผมจะยอมให้มันทำสำเร็จไม่ได้ ถ้าผมพร้อมจะพลีอุทิศชีวิตแล้ว จะมีอะไรที่ผมทนทุกข์ไม่ได้อีก พระเจ้าทรงปกครองทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าผมจะอยู่หรือตาย ก็ขึ้นอยู่กับพระองค์ ผมนึกถึงตอนที่องค์พระเยซูเจ้ากำลังทรงพระราชกิจ และลาซารัสได้ตายไปแล้วสี่วัน ร่างของเขาเริ่มเน่าแล้วด้วยซ้ำ แต่องค์พระเยซูเจ้ากลับฟื้นชีพเขาได้ด้วยพระวจนะไม่กี่คำ นั่นคือการสำแดงแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า ผมรู้สึกพร้อม ที่จะวางตัวเองไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และถ้าผมรอดไปได้ ผมก็จะยังแบ่งปันข่าวประเสริฐและทำให้พระองค์พอพระทัย เมื่อผมตั้งมั่นว่ายินดีที่จะมอบชีวิตแล้ว พระเจ้าก็ทรงจัดการเตรียมการสิ่งต่างๆ เพื่อเปิดทางออกให้ผม ผมถูกปล่อยตัวในบ่ายวันที่ 21 กรกฎาคม พอกลับมาถึงบ้าน ผมก็พบว่า ภรรยายัดเงินให้ใครบางคนไป 1200 หยวน ใช้เส้นสาย เพื่อพาผมออกมา ตลอดยี่สิบวันนั้น ผมถูกทรมานจนถึงขั้นผอมเหลือแต่กระดูก ทั้งที่อายุสี่สิบกว่า แต่กลับดูเหมือนคนแก่อายุหกสิบเจ็ดสิบ ผมรู้ว่าที่รอดมาได้ เป็นเพราะการคุ้มครองของพระเจ้าเท่านั้น ผมขอบคุณพระองค์จากหัวใจเลยครับ

ครั้งนั้นคือวันที่ 27 มีนาคม ปี 2003 ผมเพิ่งกลับถึงบ้านที่มาขอเขาอยู่ หลังออกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐ กลับมาได้ไม่นาน เจ้าหน้าที่หกคนก็พังประตูเข้ามา เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจับผมเอามือไพล่หลังแล้วใส่กุญแจมือ โดยที่ผมไม่ทันได้ตอบโต้ เขาถีบผมจนล้มไปกับพื้น ก่อนจะเริ่มใช้กระบองไฟฟ้ามาช็อตผมซ้ำๆ พลางเตะผมแบบไม่ยั้ง ผ่านไปไม่นาน ผมก็น้ำลายฟูมปาก และได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่พูดแว่วๆ ว่า “ไอ้เวร แกล้งตายเหรอ!” แล้วเขาก็เอารองเท้าหนังเหม็นๆ ของเขามาจ่อที่ปากผม และใช้ส้นขยี้สองสามครั้ง ผมได้กลิ่นคาวเลือดคลุ้งขึ้นมา และหลังจากนั้นไม่นานก็สลบไป ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ก่อนที่ผมจะตื่นขึ้นเพราะเสียงกรีดร้องของพี่กัว ผมคิดว่า “พวกนั้นทุบตีเราจนเกือบตายขนาดนี้แล้ว ใครจะรู้ว่าถ้าพาเราไปถึงสถานีตำรวจ พวกเขาจะทำยังไงกับเราบ้าง แถมฉันก็เคยมีคดีอยู่ คราวนี้พวกเขาจะตีฉันจนตายเลยหรือเปล่า” ความคิดนี้ทำให้ผมกลัว ผมเลยรีบอธิษฐานต่อพระเจ้า แล้วผมก็นึกถึงพระวจนะบรรทัดนี้ขึ้นมา “จงอย่ากลัว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จอมทัพจะอยู่กับเจ้าอย่างแน่นอน พระองค์ทรงอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า และพระองค์คือโล่ของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 26) พระวจนะนี้ ทำให้ผมมีความเชื่อและมีเรี่ยวแรง พอคิดว่าผมมีพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้าง ความรู้สึกเสียขวัญก็ลดน้อยลง พวกตำรวจค้นทั้งบ้านจนเละเทะไปหมด และเจอหนังสือพระวจนะของพระเจ้าร้อยสามสิบกว่าเล่ม รวมถึงเพจเจอร์กับเงินสดอีกกว่าสองร้อยหยวน พวกเขาเอาไปหมด พวกนั้นจับเราขึ้นรถตำรวจ และพาเราไปที่สถานีตำรวจประจำเมือง

วันถัดมาราวๆ สี่โมง นายสูจากกองพันตำรวจอาชญากรรมก็มาสอบปากคำผม เขาถามว่า ผมรู้จักกับพี่กัวและเสี่ยวจาง ที่ดูแลกิจการต่างๆ ของคริสตจักรไหม ผมบอกว่าไม่รู้จัก เขาเลยตบผมจนหน้าหัน และเตะผมจนร่วงไปกับพื้น แล้วพูดอย่างโหดเหี้ยมว่า “อยากรู้นักว่าปากแกจะเปิดยากแค่ไหน! ฉันจับตาดูแกมาหลายเดือนแล้ว คราวก่อนแกไม่ได้รับโทษ แต่คราวนี้ ขนาดพวกกรรมการกลางพรรคเทศบาลยังรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ แกจะไม่มีวันได้เห็นหน้าครอบครัวและเพื่อนฝูงอีก” ทันใดนั้นเอง ตำรวจอีกคนก็ใช้กระบองกระหน่ำตีผม นายสูกัดฟันกรอด และถามผมว่า “หนังสือพวกนั้นมาจากไหน แกมาเจอคนพวกนี้ได้ยังไง” ผมตอบว่า “ผมไม่รู้ว่ามาจากไหน แล้วผมก็ไม่รู้จักคนที่คุณถามถึงด้วย ผมแบ่งปันข่าวประเสริฐอยู่คนเดียว” จากนั้น พวกเขาก็พาผมไปที่สำนักงานความมั่นคงสาธารณะประจำมณฑล ผมเห็นเครื่องทรมานสารพัดอยู่ในห้องสอบปากคำ ทั้งกระบองไฟฟ้า กระบองยาง กุญแจมือ กุญแจข้อเท้า มีเก้าอี้เสือด้วย พอเห็นของพวกนั้นผมก็กลัวมาก แล้วนายสูก็ชี้ไปที่นายจาง ที่ดูแลกองบังคับการตำรวจอาชญากรรม แล้วถามว่า “แกรู้ไหมว่านี่คือใคร เขาคือหัวหน้าฝ่ายสอบปากคำที่หน่วยนี้ และคอยดูแลตรวจสอบคดียากๆ แปลกๆ ด้วย หวังว่าแกจะยอมร่วมมือกับเรา และบอกสิ่งที่แกรู้ กับที่ๆ แกเคยไปมาซะ ไม่งั้นแกเจอดีแน่!” พอได้ยินที่เขาพูด ผมก็อดวิตกไม่ได้ ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าในหัวใจ แล้วจากนั้น นายสูก็ตะคอกใส่ผมว่า “แกก็รู้ว่าถ้าแบ่งปันข่าวประเสริฐแล้วจะโดนจับ ทำไมยังทำอีก” ผมตอบว่า “นั่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าประสงค์ และ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘พวกท่านจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน(มาระโก 16:15) การแบ่งปันข่าวประเสริฐ คือการช่วยให้ผู้คนได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และถูกช่วยให้รอด นี่คือการช่วยคนให้รอด มันเป็นสิ่งวิเศษ ทำไมพรรคคอมมิวนิสต์ถึงอยากจับกุมเรานัก” เขาพูดด้วยความโกรธว่า “โลกนี้ไม่มีพระผู้ช่วยให้รอดหรอก พรรคคอมมิวนิสต์ต่างหากคือพระเจ้า พรรคทำให้แกอิ่มท้อง แต่แกกลับเชื่อในพระเจ้าและประกาศไปทั่ว สิ่งนี้เป็นปฏิปักษ์กับพรรค เราจะจัดการแกให้เข้ารูปเข้ารอยเอง!” ผมโกรธที่ได้ยินคำหมิ่นประมาทพวกนั้น เลยโต้กลับไปว่า “พระเจ้าทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ก่อนกาลแล้ว ข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้าแผ่ไปไกลจนสุดขอบโลก ทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้ ถ้าเราเป็นผู้เชื่อกันหมด ก็คงไม่มีใครทำเรื่องเลวร้าย…” พอจบคำ นายจางก็ขยิบตาให้หนึ่งในเจ้าหน้าที่ ที่เดินเข้ามา แล้วทั้งตบหน้า ทั้งถีบผมจนล้มลงไปกับพื้น แล้วพูดอย่างเลวทรามว่า “ไอ้เวร นี่แกถึงขั้นเล่าเรื่องข่าวประเสริฐใส่เราเหรอ!” จากนั้นเขาก็หยิบกระบองยางขึ้นมา แล้วเริ่มตีผมอย่างบ้าคลั่ง วินาทีนั้นเอง เพจเจอร์ของผมที่อยู่บนโต๊ะก็ร้องขึ้นมา ผมรู้สึกวิตกขึ้นมาทันที นั่นคงเป็นพี่น้องชายหรือหญิงสักคน นายสูโทรกลับไปที่เบอร์นั้นทันที แต่พวกเขาก็ตัดสายทันที ผมเลยค่อยๆ สบายใจขึ้น เขาโกรธมาก ที่โทรติดต่อกลับไปไม่ได้ และเริ่มตบหน้าผมทั้งซ้ายและขวา พร้อมตะคอกใส่ผมว่า “ฉันไม่คิดว่าแกแค่แบ่งปันข่าวประเสริฐหรอก ฉันว่าแกคือตัวผู้นำใหญ่ของคริสตจักรนี้เลยละ ไอ้กัวที่มากับแกมันบอกว่ารู้จักแก แต่แกกลับยืนกรานว่าไม่รู้จักมัน สงสัยอยากโดนอัด!” เจ้าหน้าที่สามคนเดินเข้ามา เตะอัดผมอย่างแรง และเริ่มทั้งเตะ ทั้งกระทืบผม ปลายรองเท้าในเครื่องแบบของพวกเขาคนหนึ่ง อัดเข้าที่ชายโครงของผม มันเจ็บมากจนต้องกลั้นหายใจ เป็นอย่างนี้สักพัก นายสูก็แผดเสียงดุร้ายใส่ผมว่า “แกไม่อยากพูดจริงๆ สินะ แต่ถึงแกจะใจแข็งเหมือนเพชร ฉันก็จะง้างปากแกให้เปิดให้ได้!” ผมกลัวมาก ที่เห็นเขาโหดร้ายแบบนั้น และคิดว่า “ถึงพวกนั้นจะไม่ฆ่า ถ้าโดนซ้อมแบบนี้ต่อไป ฉันก็พิการอยู่ดี ฉันเป็นเสาหลักของครอบครัวนะ ถ้าฉันพิการขึ้นมา พวกเขาจะอยู่ยังไง” พอคิดแบบนี้ ผมก็เริ่มอ่อนแอ เลยอธิษฐานต่อพระเจ้า วอนขอพระองค์ให้ทรงมอบความเชื่อและใจตั้งมั่นที่จะอดกลั้นต่อความทุกข์ทนนี้ แล้วจู่ๆ พระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ก็ผุดขึ้นมา “เมื่อโมเสสทุบก้อนหิน และน้ำที่พระยาห์เวห์ประทานได้ผุดออกมา มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา เมื่อดาวิดได้เล่นพิณตั้งเพื่อสรรเสริญเรา พระยาห์เวห์—ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความชื่นบานยินดีของเขา—มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา เมื่อโยบสูญเสียปศุสัตว์ของเขาซึ่งเต็มภูเขาทั้งหลายและความมั่งคั่งมากมายเกินบรรยาย และร่างกายของเขาได้กลายเป็นถูกปกคลุมไปด้วยฝีที่เจ็บปวด มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา เมื่อเขาสามารถได้ยินเสียงของเรา พระยาห์เวห์ และเห็นสง่าราศีของเรา พระยาห์เวห์ มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา การที่เปโตรสามารถติดตามพระเยซูคริสต์ได้ก็เป็นเพราะความเชื่อของเขา การที่เขาสามารถถูกตอกตรึงกับกางเขนเพื่อเห็นแก่เราและมอบคำพยานอันรุ่งโรจน์ก็เป็นเพราะความเชื่อของเขาเช่นกัน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (1)) ผมได้เห็นจากพระวจนะของพระเจ้า ว่าโยบประสบกับบททดสอบเหล่านี้ และได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าได้ เพราะเขามีความเชื่อที่แท้จริงต่อพระเจ้า เปโตรก็ยืนหยัดเป็นพยานต่อพระเจ้าได้ เพราะความเชื่อของเขาเหมือนกัน พระเจ้าทรงเห็นชอบในความเชื่อของพวกเขา และให้พระพร แต่ทุกครั้งที่ผมตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ผมกลับกลัวจะถูกทุบตีจนตาย หรือกลายเป็นผู้พิการ ผมคิดถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว ผมไม่ได้มีความเชื่อที่แท้จริงต่อพระเจ้า หรือตั้งมั่นที่จะก้าวผ่านความทุกข์ทน ผมจะเห็นกิจการของพระเจ้าในทางนั้นได้ยังไง ผมรู้ว่าผมต้องมีความเชื่อในพระเจ้า และวางทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์ และไม่ว่าพวกเขาจะทรมานผมยังไง ผมก็ไม่อาจทรยศพระเจ้า หรือขายพี่น้องชายหญิงได้ พวกเขาเห็นว่าผมยังไม่ยอมพูด ตำรวจเลยพาผมไปที่สถานกักกัน แล้วสอบปากคำผมทุกสองสามวัน ตลอดสามเดือน ผมถูกสอบปากคำไปยี่สิบกว่าครั้ง พวกเขาพยายามล่อลวงผม ข่มขู่ผม ทุบตีผมอย่างโหดเหี้ยม และทรมานผมทุกวิถีทาง พวกเขาตีผมจนผมบาดเจ็บไปทุกส่วน ทั้งภายนอกและภายใน ทุกสัมผัสเหมือนโดนไฟช็อต มันเจ็บจนทนไม่ไหว ตอนกลางคืน การนอนลงไปมันระทมมาก แต่การยืนก็แย่เหมือนกัน แถมยังมีการทรมานทางจิตใจ ผมมักจะตื่นเพราะฝันร้ายเสมอ

มีคืนหนึ่งในช่วงกลางเดือนมิถุนายน ที่ฝังในความทรงจำผมแน่น เจ้าหน้าที่สามคนยัดผมเข้าไปในรถตำรวจ แล้วพาไปยังที่ที่ไกลมากๆ บนทางคดเคี้ยวจนนับโค้งไม่ได้ พวกเขาพาผมไปที่ห้องหนึ่งบนชั้นห้า ขนาดประมาณเจ็บสิบหรือแปดสิบตารางฟุต ข้างนอกหน้าต่าง ผมเห็นภูเขาลูกเล็กๆ ที่มีต้นไม้อยู่มากมาย หลังจากนั้น นายสูก็เดินเข้ามาพร้อมกับกระบองไฟฟ้าที่ยาวประมาณห้านิ้ว และพูดเยาะเย้ยผมว่า “ไอ้งั่งคลั่งศาสนา คืนนี้ถึงแกไม่พูดฉันก็ไม่ห่วง ต่อให้ปากแกจะแข็งเหมือนเหล็ก ฉันก็จะแงะมันออกให้ได้ ตะโกนให้ตายก็ไม่มีใครได้ยินแกหรอก ถึงฉันจะตีแกจนตาย เราแค่ฝังแกไว้สักที่บนเขา ก็ไม่มีใครรู้แล้ว” ผมค่อนข้างกลัวเมื่อเขาพูดแบบนี้ และคิดว่า “ปีศาจพวกนี้ทำอย่างที่พูดแน่ คืนนี้พวกเขาจะตีฉันจนตายจริงๆ เหรอ” ด้วยเหตุนั้น ผมจึงอธิษฐานทันที แล้วพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิด “สิ่งที่เราปรารถนาคือความจงรักภักดีและการเชื่อฟังของเจ้า ณ บัดนี้ ความรักและคำพยานของเจ้า ณ บัดนี้ แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะไม่รู้ว่าคำพยานคืออะไรหรือความรักคืออะไร เจ้าก็ควรจะนำพาทุกอย่างของเจ้ามาให้เรา และส่งมอบทรัพย์สมบัติเดียวที่เจ้ามีให้แก่เรา นั่นก็คือ ความจงรักภักดีและการเชื่อฟังของเจ้า เจ้าควรรู้ว่าคำพยานถึงการทำให้ซาตานพ่ายแพ้ของเรามีอยู่ภายในความจงรักภักดีและการเชื่อฟังของมนุษย์ เช่นเดียวกับคำพยานถึงการพิชิตมนุษย์โดยบริบูรณ์ของเรา หน้าที่แห่งความเชื่อในเราของเจ้าก็คือการเป็นพยานแก่เรา การจงรักภักดีต่อเราและไม่จงรักภักดีต่อสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น และการเชื่อฟังไปจนถึงที่สุด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?) พอนึกถึงพระวจนะนี้ ผมก็รู้สึกอายจริงๆ ตอนที่ผมไม่ได้เผชิญกับการทรมาน ผมก็พร่ำพูดเพื่อยืนหยัดเป็นพยาน และทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่พอเป็นสถานการณ์เรื่องความเป็นความตาย ผมกลับคิดถึงแต่ความปลอดภัยส่วนตัว นั่นไม่ใช่การนบนอบต่อพระเจ้าหรืออุทิศตนเลย ยิ่งคิดถึง ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดและเสียใจ และรู้ว่าผมไม่อาจทำให้พระเจ้าทรงเสียพระทัยหรือผิดหวังได้อีก แต่คราวนี้ต้องทำให้พระองค์พอพระทัย พอคิดแบบนี้ ผมเลยพูดออกไปว่า “พวกแกถามฉันมาตั้งนาน ฉันก็พูดทุกอย่างไปหมดแล้ว แกถามต่อก็ได้ แต่ฉันก็พูดได้เท่านั้นแหละ” ด้วยความโกรธ พวกตำรวจเลยให้ผมยืนยองๆ และยืนมือออกมา แล้วพาดกระบอกยางไว้บนแขนของผมที่ยื่นออกมา แล้วห้อยบางอย่างที่หนักราวหนึ่งปอนด์ไว้ที่ปลายทั้งสองข้าง นายสูใช้กระบองของเขามาช็อตที่ปากผมไม่หยุด และทุกครั้งเขาจะถามว่า “แกเอาหนังสือมาจากไหน ผู้นำคริสตจักรของแกคือใคร” การถูกช็อตที่ปากแบบนั้นทำให้ผมชาไปทั้งตัว และมุมปากก็กระตุก ผมร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ไม่ถึงห้านาที เสื้อผ้าของผมก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เจ้าหน้าที่ข้างหลังผม เฝ้าเตะข้อพับขาผมอยู่เป็นครั้งคราว ทำให้ผมล้มลงไปกับพื้น แล้วเขาก็ลากผมขึ้นมาให้นั่งยองๆ อยู่แบบนั้น ในตอนนั้น พวกเขาสลับไปมาระหว่างการทรมานกับสอบปากคำ และพวกเขาก็ต่อยเข้าที่หัวเพราะผมไปยอมตอบอะไรเลย พวกเขาเตะผมจนร่วงอีกครั้ง ทั้งเตะทั้งต่อยผม นายจางพูดข่มขู่ผมว่า “ถ้าแกไม่ยอมปริปาก เราจะตีแกจนตายแล้วฝังแกไว้ข้างหลังนี่แหละ” คราวนี้ผมคิด “ถึงพวกเขาจะทำแบบนั้น ฉันก็จะไม่พูด” พอผมรู้สึกพร้อมจะสละชีวิตแล้ว เวลาที่เขาช็อตหรือเตะผม ผมก็ไม่เจ็บปวดอีกต่อไป ผมรู้ว่าพระเจ้าทรงบรรเทาความทุกข์ทนของผม แล้วเจ้าหน้าที่อีกคนก็พูดว่า “จัดให้มันเห็นหน่อยว่าลอยกลางอากาศเป็นยังไง” จากนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็จับมือผมไว้ ขณะที่อีกคนจับเท้า ก่อนจะยกผมขึ้นกลางอากาศ นับถึงสาม แล้วโยนผมกระแทกลงกับพื้น ทำอยู่แบบนี้เจ็ดหรือแปดทีติดกัน ผมรู้สึกเหมือนหัวจะแยกออกเป็นส่วนๆ และสับสนไปหมด ก้นของผมบวมมาก จนผมขยับไม่ได้ เป็นขนาดนี้ พวกเขาก็ยังไม่ปล่อยผม แต่สั่งให้ผมยืนพิงกำแพงโดยไม่ยอมให้หลับ พอผมหลับตา พวกเขาก็ใช้กระบองมาช็อตผม หรือใช้หนังสือฟาดหัว ผมกำลังจะขาดใจตายเพราะโดนทรมาน และพวกเขาก็อยากรู้อยู่นั่นว่าผู้นำคริสตจักรคือใคร แต่ผมไม่ปริปากสักนิด พวกเขาตระหนักได้ว่า คงไม่ได้อะไรจากผมแล้วจริงๆ เลยตัดสินให้ผมรับการศึกษาใหม่ผ่านการใช้แรงงานเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่งด้วยข้อหา “ก่อความวุ่นวายให้ระเบียบของสังคม” พอผมไปถึงค่ายบังคับใช้แรงงาน หัวหน้าผู้ต้องขังที่นั่นบอกให้ผมนอนคว่ำหน้าลง แล้วตีก้นผมราวสามสิบครั้ง และไม่ยอมให้ผมร้องออกมาเลย หลังจากนั้น ผมนั่งไม่ได้ด้วยซ้ำ

ต่อมา ผมได้รับการฝึกร่างกายราวหนึ่งเดือน และด้วยความที่ตำรวจสอบปากคำและทรมานผมมาสามเดือน ปฏิกิริยาและความจำผมก็แย่ลงมาก ผมไม่สามารถเรียนรู้ท่าออกกำลังกายได้ ผู้คุมเลยด่าทอผมอยู่เป็นประจำ ส่วนหัวหน้าผู้ต้องขังโหดกว่านั้น เขาตีเท้าผมด้วยเสาไม้ไผ่ ทำให้เท้าผมบวมและแดง เขาถึงขั้นตีจนท่อนไม้นั่นแตกเลย เราต้องไปวิ่งที่สนามหนึ่งชั่วโมงราวหกโมงเช้า ยืนท่าทหาร และออกกำลังกายกระโดดกบใต้แดดร้อนๆ หลังการฝึกร่างกายหนึ่งเดือนผ่านไป พวกเขาก็ให้ผมไปอยู่โรงงานผลิตหลอดไฟสี ซึ่งผมต้องทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้ายันสี่ทุ่ม และต้องทำไฟนั่นให้ได้ราวหนึ่งพันฟุตทุกวัน ตาผมไม่ค่อยดี ไฟพวกนั้นก็ดวงเล็กมาก ลวดข้างในก็บอบบางมาก ผมเลยไม่มีทางทำให้เสร็จได้ ถ้าทำไม่เสร็จผมจะโดนลงโทษ ผมต้องยืนอยู่โถงตรงทางเดินและโก้งโค้งตัวเก้าสิบองศา ทำให้ผมปวดหลังมาก สายตาพร่ามัว กลางคืนก็นอนแทบไม่หลับ ผมถึงกับกินข้าวไม่ลง และต้องอาบน้ำเย็นจัดตลอดทั้งปี ผมเป็นหวัดอยู่ตลอดเวลา และสุดท้ายก็เป็นโรคเกาต์ ต่อมา พวกเขาสั่งให้เราไปก่อสร้างห้างสรรพสินค้าใต้ดิน และในหนึ่งคืน คนสามคนต้องขุดดินให้ได้มากกว่าร้อยตะกร้า พวกมันใหญ่มากด้วย แต่ละใบจุได้ราวร้อยปอนด์ พวกเราขุดกันอยู่แบบนั้นวันละสิบสองชั่วโมง มันทั้งแย่และเหน็ดเหนื่อยกว่าการทำไฟมาก ตอนที่ทำงาน ผมจะอธิษฐานต่อพระเจ้าและพึ่งพิงพระองค์ครับ แล้วผมก็ฮัมเพลงสรรเสริญอยู่คนเดียวไม่หยุด ตอนนั้นเพลง “วิธีที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อม” พิเศษสำหรับผมมากครับ “เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับความทุกข์ เจ้าต้องมีความสามารถที่จะวางความกังวลสนใจต่อเนื้อหนังไว้ก่อนและไม่ทำการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงซ่อนเร้นพระองค์เองจากเจ้า เจ้าต้องมีความสามารถที่จะมีความเชื่อที่จะติดตามพระองค์ ที่จะธำรงรักษาความรักก่อนหน้านี้ของเจ้าโดยไม่เปิดโอกาสให้มันกระท่อนกระแท่นหรือสูญสลาย ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด เจ้าต้องนบนอบต่อการออกแบบของพระองค์และตระเตรียมที่จะสาปแช่งเนื้อหนังของเจ้าเองแทนที่จะทำการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระองค์ เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับการทดสอบ เจ้าต้องทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย แม้ว่าเจ้าอาจร่ำไห้อย่างขมขื่นหรือรู้สึกอิดออดที่จะไปจากวัตถุอันเป็นที่รักบางอย่าง สิ่งนี้เท่านั้นคือความรักและความเชื่อที่แท้จริง(ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ทุกครั้งที่ร้องจบ ผมจะรู้สึกมีแรงบันดาลใจมาก และคิดว่าการก้าวผ่านความยากลำบากทั้งหมดนี้ล้วนมีความหมาย พระเจ้าทรงใช้การณ์นี้เพื่อทำให้ความเชื่อของผมเพียบพร้อม ไม่ว่าหลังจากนั้นผมจะทนทุกข์ยังไง ผมรู้ว่าผมต้องพึ่งพาพระเจ้า และยืนหยัดเป็นพยาน แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม มันเป็นเพราะผมถูกขับเคลื่อนด้วยพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ที่ทำให้ผมมีความเชื่อ และแข็งแกร่งจนผ่านเรื่องนั้นมาได้ทีละก้าว

ในเดือนสิงหาคม ปี 2004 ผมก็พ้นโทษและได้รับการปล่อยตัว ในที่สุดผมก็เดินออกจากคุก ที่เป็นขุมนรกของพรรคคอมมิวนิสต์มาได้ การก้าวผ่านการจับกุมและข่มเหงแบบนั้นจากพรรคคอมมิวนิสต์มาได้ ทำให้ผมเห็นชัดเจนจริงๆ ว่ามันคือรูปจำแลงของมารซาตานยังไง มันอ้างว่าเคารพเสรีภาพทางศาสนา แต่ความจริงกลับปราบปราม จับกุม และข่มเหงชาวคริสเตียนอย่างบ้าคลั่ง พี่น้องชายหญิงนับไม่ถ้วนไม่ได้กลับบ้าน ครอบครัวต้องแตกแยก และมีหลายคนที่ถูกทุบตีจนเสียชีวิตหรือพิการ คำพูดสวยหรูแต่การกระทำแสนเลว มันทำให้ตัวเองมีชื่อเสียงที่ดีด้วยคำโกหก และชั่วร้ายอย่างเหลือเชื่อ อีกอย่าง เรื่องนี้ทำให้ผมได้ประสบว่า ความรักของพระเจ้านั้นจริงแค่ไหน ด้วยการทรงดูแลคุ้มครองจากพระเจ้า และการนำจากพระวจนะ ก็ทำให้ผมผ่านพ้น ความยากลำบากทุกขั้นมาได้ ยิ่งพญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงผมเท่าไหร่ ความเชื่อของผมก็หนักแน่นขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับผม ผมก็จะทำหน้าที่ เผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานแก่พระเจ้าครับ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เมื่อฉันอายุ 20 ปี

โดย หลิวเสี่ยว, ประเทศจีน ตอนอายุยี่สิบ ฉันถูกตำรวจจับกุมและทรมาน เพราะเชื่อในพระเจ้า ฉันไม่มีวันลืมประสบการณ์อันเจ็บปวดนั้น...

ชีวิตบนขอบเหว

โดย หวังฟาง, ประเทศจีนในปี ค.ศ. 2008 ฉันรับผิดชอบการขนส่งงานตีพิมพ์ของคริสตจักร...

ติดต่อเราผ่าน Messenger