หลังจากถูกจับ
บ่ายวันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2013 ตอนที่ฉัน กำลังไปชุมนุมพร้อมพี่สาวอีกสามคน เราตระหนักได้ว่า มีรถสองคัน กำลังขับตามมา พอรู้แล้วว่า นั่นอาจจะเป็นตำรวจ เราเลยรีบหันหลังเดินหลบเข้าไปในตรอกเล็กๆ แต่ไปไม่ถึงไหน ก็มีคนสี่คนลงมาจากรถและตามจับเราไว้ได้ พวกเขาผลักและดันเราเข้าไปในรถ แล้วพาเราไปที่ห้องสอบปากคำ ที่กองความมั่นคงสาธารณะประจำมณฑล เจ้าหน้าที่สี่ถึงห้าคนเดินเข้ามา ค้นตัวเราแบบคร่าวๆ แล้วเอาโทรศัพท์ สมุดบันทึก รวมถึงต่างหู นาฬิกา และแหวนของฉันไป เจ้าหน้าที่หญิงสองคนเดินเข้ามา และพาฉันไปที่อีกห้องหนึ่ง แล้วให้ฉันถอดเสื้อผ้าเพื่อทำการตรวจค้น แถมให้นั่งยองๆ ตั้งหลายที ขณะที่พวกเธอมองดู เป็นเรื่องที่หยามเกียรติกันมากจริงๆ คนพวกนี้ มันชั่วจริงๆ ค่ะ ฉันเลยค่อนข้างกังวล ว่าพวกเขาจะทรมานฉันด้วยวิธีไหน แต่ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งกลัว ฉันเลยอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงดูแลหัวใจ ทรงมอบความเชื่อและเรี่ยวแรงให้ฉัน แล้วฉัน ก็นึกถึงพระวจนะเหล่านี้ขึ้นมา “จงอย่ากลัวเลย ด้วยการสนับสนุนของเรา ใครเล่าจะสามารถขวางกั้นถนนสายนี้ได้? จงจำการนี้ไว้! จงอย่าลืม! ทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนมาจากเจตนารมณ์ที่ดีของเราทั้งสิ้น และทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ภายในการเฝ้าสังเกตของเราทั้งสิ้น เจ้าสามารถทำตามคำพูดของเราในทุกๆ สิ่งที่เจ้าพูดและทำได้หรือไม่? เมื่อการทดสอบด้วยไฟมาถึงเจ้า เจ้าจะคุกเข่าลงและร้องเรียกให้ช่วยหรือไม่? หรือว่าเจ้าจะขลาดกลัว ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10) พระวจนะ ทำให้ฉันเปี่ยมด้วยความเชื่อ พระเจ้าทรงปกครองทุกสิ่ง พวกตำรวจก็อยู่ในพระหัตถ์เหมือนกัน มีพระเจ้าทรงหนุนหลังอยู่ ฉันยังต้องกลัวอะไรอีก ฉันรู้ว่าไม่ว่าพวกนั้นจะสอบปากคำยังไง และทรมานฉันหรือไม่ ฉันก็ไม่อาจทรยศต่อพระเจ้า หรือขายพี่น้องชายหญิงได้ หลังจากค้นตัว เจ้าหน้าที่ก็ใส่กุญแจมือล็อคฉันไว้กับเก้าอี้เสือ และถามว่า “แกชื่ออะไร อยู่ที่ไหน เริ่มนับถือศาสนาตั้งแต่เมื่อไหร่ พูด!” ฉันไม่พูดสักคำ เขาก็ถามต่อว่า “แกเป็นผู้นำคริสตจักรหรือเปล่า พวกแกเอาเงินไปเก็บไว้ที่ไหน” พอฉันไม่ยอมตอบ เขาก็ทำฟึดฟัด แล้วเดินกลับออกไป
ยันบ่ายวันถัดมาเลยค่ะ พวกเขาล็อกฉันไว้กับเก้าอี้เสือนั่นยี่สิบกว่าชั่วโมงรวด เท้าของฉันทั้งบวมและชา จนไม่รู้สึกอะไรเลย จากนั้น เจ้าหน้าที่ก็เดินเข้ามา และพูดแบบดูพอใจว่า “รู้ไหมว่าทำไมเราถึงเข้ามาถามแกตอนนี้” ฉันนึกไม่ออกและไม่รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงจะมาซักถามฉันอย่างนั้น หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่สามคนพาสามีฉันมาที่ประตู ฉันเลยตระหนักได้ว่า พวกเขาไปค้นที่บ้านและพาตัวสามีของฉันมาด้วย หลังสามทุ่มคืนนั้น ตำรวจเอาตัวฉันกับสามี และพี่น้องหญิงสามคนที่ถูกจับพร้อมฉัน ขึ้นรถของพวกเขา แล้วขับพาไปยังสถานกักกัน เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดว่า “แกลองคิดให้ดีนะ ลูกแกก็ยังเล็ก แถมที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่ดูแล หาข้าวให้กิน บอกทุกอย่างที่แกรู้มาดีกว่า แล้วเราจะปล่อยแกไป” ฉันรู้ว่า นี่คือเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน มันอยากให้ฉันทรยศพระเจ้าและขายคนอื่นๆ เพราะความรู้สึกที่ฉันมีต่อลูก ฉันทำเฉยใส่เขาไปค่ะ
ที่สถานกักกัน มีเจ้าหน้าที่สี่ห้าคนพาเราไปถอดเสื้อผ้าเพื่อค้นตัว แล้วส่งตัวเราไปเข้าห้องขัง การเห็นประตูเหล็กที่มีตำรวจยืนดูอยู่ มันน่าขนลุกขนพอง ฉันรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในนรก พอเข้าไปในห้องขัง กลิ่นเหม็นของอุจจาระก็ตีเข้าจมูกทันที ตอนกลางคืน ฉันต้องนอนบนพื้นคอนกรีตชื้นแฉะ เรามีผ้าห่มบางๆ กันแค่คนละผืน แถมหัวนอนฉันก็เป็นห้องน้ำอีก พวกเรากิน ดื่ม และพักผ่อนอยู่ในห้องนั้นห้องเดียว ฉันไม่สบายและเป็นไข้ขึ้นมา หลังถูกใส่กุญแจมือในห้องสอบปากคำอยู่สองวันหนึ่งคืน หมอคนที่เข้ามาตรวจร่างกาย บอกว่าฉันมีไข้ 39 องศา แต่พวกตำรวจบอกว่าฉันแกล้งทำ และไม่ให้ยาฉันมาเลย
ผ่านไปสองวัน เจ้าหน้าที่กองพันความมั่นคงแห่งชาติได้เข้ามาถามฉัน เขาเริ่มจากชวนคุยเรื่องจิปาถะ และพูดถึงครอบครัวของตัวเอง เขาบอก ว่าเราเป็นเพื่อนกันได้ เขาแนะนำว่า “ต่อให้คุณจะไม่คิดถึงตัวเอง ก็ต้องนึกถึงลูกบ้างนะ ถ้าคุณติดคุก ครอบครัวจะพาลเดือดร้อนไปหมดทั้งสามรุ่น ลูกของคุณจะไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัย หรือกองทัพ คิดดูนะ ความเชื่อของคุณมันคุ้มกับที่ต้องลากคนในครอบครัวมาเอี่ยวเหรอ ตอนนี้ครอบครัวของคุณถูกแยกจากกัน ถ้าไม่เป็นผู้เชื่อ เรื่องจะเป็นแบบนั้นไหม” คำพูดนั้นทำให้ฉันโกรธมาก พลางคิดว่า “ที่ครอบครัวฉันไม่ได้อยู่ด้วยกัน เป็นความผิดฉันเหรอ เราเป็นผู้เชื่ออยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง แต่คุณนั่นแหละเป็นคนมาจับเรา ทำลายครอบครัวแสนสุขของเราแบบนี้ คุณนั่นแหละตัวการที่ทำให้ครอบครัวต้องแตกแยก” แต่พอคิดถึง การที่ลูกๆ จะไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัย คิดถึงผลต่ออนาคตของพวกเขา ฉันก็สงสัยว่าลูกๆ จะเกลียดฉันไหม เรื่องนี้ยากสำหรับฉันมากๆ ค่ะ ฉันเลยอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ ขอพระองค์ทรงปกป้องหัวใจของฉัน แล้วฉันก็นึกถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “ในทุกเวลา ประชากรของเราควรเตรียมพร้อมต่อต้านกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน พิทักษ์ประตูบ้านของเราเพื่อเรา…เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในกับดักของซาตาน ซึ่งในเวลานั้นก็คงจะสายเกินกว่าจะเสียใจ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 3) คำนั้นให้ความรู้แจ้ง และช่วยให้ฉันเห็น ว่าสิ่งที่เจ้าหน้าที่พูดออกมา คือเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน ที่พยายามคุกคามฉันด้วยอนาคตของลูกๆ เพื่อให้ฉันทรยศพระเจ้า และขายพี่น้องชายหญิง ฉันไม่ตกหลุมมันหรอกค่ะ! เขาลองใช้กลยุทธ์อื่นเพื่อล้วงข้อมูลจากฉัน แต่ฉันก็ไม่ยอมพูดอยู่ดี ผ่านไปสักพัก เขาเลยพูดว่า “เราไปที่บ้านของคุณมา ลูกๆ คุณน่ารักมากเลยนะ เราอัดวิดีโอมาด้วย อยากดูไหม” วิธีนี้ จี้เข้าที่จุดอ่อนของฉันจริงๆ ฉันไม่อาจปล่อยวางความกังวลเรื่องลูกสองคนได้เลย ลูกชายอายุสิบสี่ ส่วนลูกสาวก็เพิ่งจะเก้าขวบ ตอนตำรวจไปค้นบ้าน เด็กๆ ต้องขวัญเสียมากแน่ แถมฉันกับสามีก็ยังถูกตำรวจจับอยู่ พวกเขาจะผ่านกันไปได้ยังไง จะมีใครแกล้งพวกเขาไหม ถ้าพวกเขาเกิดป่วยขึ้นมา ใครจะดูแล ถ้าพวกตำรวจไปข่มขู่เด็กๆ พวกเขาจะตกอยู่ในสภาพไหน พวกเขาจะยังได้ไปโรงเรียนไหม พวกเขาจะลงเอยอยู่ใต้ความดูแลของเดนสังคมหรือเปล่า ขบวนความคิดนี้ ทำให้ฉันทุกข์ใจขึ้นเรื่อยๆ ฉันจึงรีบอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า! โปรดทรงคุ้มครองหัวใจ ให้ข้าพระองค์ไม่หลงกลซาตาน และยืนหยัดเป็นพยานแก่พระองค์ได้ด้วยเถิด” แล้วจากนั้น ฉันก็นึกถึงพระวจนะนี้ขึ้นมา “ในบรรดาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาล ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย มีสิ่งใดหรือที่ไม่ได้อยู่ในมือของเรา?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 1) พอคิดแบบนี้ในใจ ฉันค่อยๆ ใจเย็นลง ไม่ว่าใครจะก้าวผ่านอะไรมา ไม่ว่าพวกเขาทนทุกข์แค่ไหน ก็ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ในประเทศจีนเมืองผีสิงนี้ ใครที่เชื่อและติดตามพระเจ้า ย่อมถูกกดขี่แน่นอน ต่างคนก็ช่วยกันไม่ได้ ฉันกับสามีถูกจับและทนทุกข์อยู่ในคุก ขณะที่เด็กๆ ก็ทนทุกข์อยู่ที่บ้านเช่นกัน กังวลไปก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดี ฉันอธิษฐาน และมอบลูกๆ ไว้ในพระหัตถ์ วอนพระเจ้าทรงดูแลและคุ้มครองพวกเขา ฉันจึงพูดกับเจ้าหน้าที่ไปว่า “เก็บคลิปนั่นไว้ดูให้สนุกเถอะค่ะ!” หลังจากนั้น พวกตำรวจก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก
ในสถานกักกัน ฉันต้องทนนอนอยู่บนพื้นคอนกรีตนั่นอยู่นาน เดือนกรกฎาคม ทั้งมือและเท้าของฉันเกิดระบม บวม และเจ็บแปลบขึ้นมา ไม่นานหลังจากนั้น ตามข้อต่อของฉันก็เจ็บมากจนไม่อาจทนน้ำเย็นได้ โดนแค่หยดเดียวก็รู้สึกเหมือนโดนเข็มแทง มันเจ็บเกินกว่าจะหลับลงในตอนกลางคืน จากนั้น สิ่งต่างๆ ก็เริ่มเบลอขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างมันวูบวาบ ฉันเวียนหัวมาก ฉันรายงานการป่วยถึงผู้อำนวยการ แต่เขาไม่สนว่าฉันจะเป็นหรือตาย ฉันรู้สึกอ่อนแอและทุกข์ใจมาก ถ้าตาบอดขึ้นมาฉันจะทำยังไง? ฉันร้องหาพระเจ้าอยู่ในหัวใจตลอด พร้อมฮัมบทเพลงสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้าที่ร้องว่า “จงอย่าท้อแท้ จงอย่าอ่อนแอ และเราจะทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนแก่เจ้า ถนนสู่ราชอาณาจักรมิได้ราบเรียบนัก ไม่มีอะไรเรียบง่ายเช่นนั้นหรอก! เจ้าต้องการให้พระพรมาถึงเจ้าอย่างง่ายดาย ในวันนี้ ทุกคนจะต้องเผชิญกับการทดสอบอันขมขื่น หากปราศจากการทดสอบเช่นนี้ หัวใจรักของพวกเจ้าที่มีต่อเราก็จะไม่เติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้น และพวกเจ้าก็จะไม่มีรักแท้ต่อเรา แม้ว่าการทดสอบเหล่านี้ก็แค่ประกอบด้วยรูปการณ์แวดล้อมเล็กน้อยทั้งหลายเท่านั้น แต่ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าความลำบากยากเย็นของการทดสอบทั้งหลายจะแปรผันไปตามแต่ละตัวบุคคลเท่านั้น” (“ความเจ็บปวดจากบททดสอบคือพระพรจากพระเจ้า” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ฉันรู้ว่า การที่ฉันอยู่ในความอ่อนแอและคิดลบ ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า แต่เป็นการทำให้ความเชื่อและความรักต่อพระเจ้าของฉันเพียบพร้อม ผ่านความทุกข์ลำบากและบททดสอบ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ฉันมีปัญญาแยกแยะ และมองเห็นความชั่วช้าเลวทรามของพญานาคใหญ่สีแดงชัดเจน เพื่อให้ฉันเกลียดและบอกปัดมัน จากก้นบึ้งของหัวใจได้ พอเข้าใจทั้งหมดแล้ว ความทุกข์ยากก็หายไปหมดเลยค่ะ
เดือนตุลาคม ฉันถูกนำตัวไปที่สถานกักกันของเทศบาล ที่นั่นอากาศหนาวกว่า อาการปวดข้อของฉันเลยแย่ลง แถมยังปวดหัวอยู่เนืองๆ ฉันไปขอยาจากเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ แต่เขาไม่ให้อะไรเลย อาการของฉัน แย่ลงทุกวัน แล้วบ่ายวันหนึ่ง ฉันก็ปวดหัวมาก จนสลบคาห้องขัง ประมาณสี่โมงกว่า ในที่สุดผู้คุมก็ให้นักโทษสองคนมาลากฉันไปที่ห้องพยาบาลเพื่อถ่ายเลือด พอถ่ายไปได้เกือบหนึ่งในสาม ตำรวจหญิงสองคนในหน้าที่ก็ออกไปกินข้าว และถอดเข็มออกเสียเฉยๆ แล้วส่งฉันตรงกลับไปที่ห้องขัง คืนนั้นช่วงสามทุ่ม ฉันก็กลับมาปวดหัวอีก ผู้คุมได้ส่งนักโทษสองคนมาคอยจับตาดูฉัน แต่ยังไม่ยอมให้ยาอยู่ดี วันรุ่งขึ้น ฉันก็สลบไปอีก ฉันรู้สึกถึงความอ่อนแออยู่บ้าง พอคิดถึงการที่ฉันถูกทรมาน จนถึงขั้นล้มป่วย และสงสัยว่าเมื่อไหร่มันจะจบเสียที ฉันสงสัยว่าจะตายในนั้นไหม ความคิดพวกนี้ ทำให้ฉันอ่อนแอและสิ้นหวังมาก ฉันจึงร้องหาพระเจ้าซ้ำๆ ขอพระองค์ทรงคุ้มครอง ให้ฉันเอาชนะทั้งหมดนี้ได้ แล้วฉัน ก็นึกถึงเพลงสรรเสริญพระวจนะที่ชื่อ “บททดสอบเรียกหาความเชื่อ” “ในขณะกำลังก้าวผ่านการทดสอบ เป็นปกติที่ผู้คนย่อมอ่อนแอ หรือมีความเป็นลบภายในตัวพวกเขา หรือขาดพร่องความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือเส้นทางของพวกเขาสำหรับการฝึกฝนปฏิบัติ แต่ไม่ว่าในกรณีใด เจ้าต้องมีความเชื่อในพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ปฏิเสธพระเจ้า เช่นเดียวกับโยบไม่มีผิด แม้ว่าโยบอ่อนแอและสาปแช่งวันเกิดของเขาเอง เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบทุกสรรพสิ่งในชีวิตมนุษย์ และพระยาห์เวห์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่จะนำพวกเขาทั้งหมดไปอีกด้วย ไม่สำคัญว่าเขาได้ถูกทดสอบอย่างไร เขาก็ได้ธำรงรักษาการเชื่อนี้ไว้ ในประสบการณ์ของเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าก้าวผ่านกระบวนการถลุงอะไรโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมวลมนุษย์ โดยสังเขปแล้ว คือความเชื่อของพวกเขาและความรักของพวกเขาต่อพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงทำให้มีความเพียบพร้อมโดยการทรงพระราชกิจในหนทางนี้คือความเชื่อ ความรักและความทะเยอทะยานของผู้คน พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการทำให้มีความเพียบพร้อมกับผู้คน และพวกเขาไม่สามารถมองเห็นมันได้ ไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ เจ้าพึงต้องมีความเชื่อ ผู้คนพึงต้องมีความเชื่อเมื่อบางสิ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเจ้าพึงต้องมีความเชื่อเมื่อเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเองได้ เมื่อเจ้าไม่มีความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าพึงต้องมีคือการมีความเชื่อและการมีทีท่าที่หนักแน่นและยืนหยัดเป็นพยาน เมื่อโยบได้มาถึงจุดนี้ พระเจ้าได้ทรงปรากฏต่อเขาและตรัสกับเขา นั่นคือเฉพาะจากภายในความเชื่อของเจ้าเท่านั้นนั่นเองที่เจ้าจะมีความสามารถมองเห็นพระเจ้าได้ และเมื่อเจ้ามีความเชื่อ พระเจ้าก็จะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) พอนึกถึงเพลงนี้ ฉันก็ได้เห็น ว่าพระเจ้าทรงอนุญาตให้สุขภาพของฉันย่ำแย่ เพื่อทำความเชื่อของฉันให้เพียบพร้อม มันคือพระพรจากพระเจ้าค่ะ ฉันนึกถึงตอนที่ โยบก้าวผ่านบททดสอบ และทั้งตัวมีแต่ฝี เขาทรมานมาก แต่เขากลับนั่งอยู่บนกองขี้เถ้า เอาเศษหม้อมาขูดตัว ไม่เคยตำหนิพระเจ้าเลย ในที่สุด เขาก็พึ่งพาความเชื่อ และมอบคำพยานให้แก่พระเจ้า ฉันอยากเป็นเหมือนโยบ และผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยความเชื่อเช่นกันค่ะ ฉันรู้ว่า ทุกลมหายใจ ล้วนมาจากพระเจ้า ถึงพระองค์จะทรงอนุญาตให้ฉันตาย ฉันก็เต็มใจนบนอบ ตราบใดที่ยังหายใจ ฉันก็พร้อมจะยืนหยัดเป็นพยานและทำให้ซาตานอับอายค่ะ ฉันประหลาดใจ ที่พอฉันพร้อมจะนบนอบแล้ว อาการปวดข้อและปวดหัว ก็ค่อยๆ ดีขึ้นค่ะ มันทำให้ฉันเห็นว่า ความรักที่แท้จริงของพระเจ้าเป็นยังไง ทำให้เห็นว่าพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างและดูแลฉันเสมอ ความคิดนี้ หนุนความเชื่อที่ฉันมีต่อพระองค์จริงๆ
ในเดือนธันวาคม ปี 2013 พรรคคอมมิวนิสต์ตั้งข้อหาฉันว่า “จัดแจงและใช้องค์กรลัทธิเพื่อเป็นบ่อนทำลายการบังคับใช้กฎหมาย” และสั่งจำคุกฉันสี่ปี เดือนมกราคมปี 2014 ฉันถูกส่งไปที่เรือนจำหญิงเพื่อรับโทษ ฉันรู้สึกกังวลอยู่ตลอดเวลาที่อยู่ในเรือนจำ จะกิน ทำงาน นอนหลับ หรือแม้แต่เข้าห้องน้ำ ก็มีคนจับตาอยู่ตลอด ห้องขังหนึ่งห้องมีนักโทษสิบสองคน ที่คอยจับตาดูกันและกัน ถ้ามีใครสักคนก่อเรื่อง ก็จะถูกทำโทษด้วยกันหมด ถ้าเป็นเรื่องร้ายแรง เราจะถูกจับขัง แต่สิ่งที่แย่ที่สุด คือการใช้แรงงานหนัก ผู้คุมทำกับเราเหมือนเป็นเครื่องจักรผลิตเงิน เขาให้เราเย็บ รีด และบรรจุเสื้อผ้าทุกแบบทั้งวันทั้งคืน เราต้องทำเสื้อผ้าทีวันละหลายร้อยตัว รวมถึงเครื่องแบบตำรวจทหาร และลูกจ้างของการรถไฟจีน งานมันเยอะมาก จนพวกเราครึ่งหนึ่งทำไม่เสร็จ ตอนนั้นฉันสายตาสั้นแค่ 20/200 มันเลยมองไม่ชัด และผู้คุมก็คอยตะคอกใส่ฉันอยู่ตลอด พวกเราสองคนในทีมรีดผ้า ต้องแขวนเสื้อผ้าบนโต๊ะรีดผ้าขนาดโรงงานต่อกันหกตัว วิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน ทำงานวันละสิบกว่าชั่วโมง ฉันเป็นแผลพุพองที่เท้าตลอด ซึ่งหนองจะซึมออกมาติดอยู่บนถุงเท้า ไม่ว่ามันจะเจ็บแค่ไหน วันรุ่งขึ้นฉันก็ต้องทำงานต่อ ถ้าทำไม่เสร็จก็จะถูกเฆี่ยนตี ผ่านไปสามเดือน ผู้คุมก็ให้ฉันเริ่มทำงานรีดผ้า ฉันจึงต้องถือเตารีดที่หนักเกือบสามกิโล และรีดผ้าวันละสิบกว่าชั่วโมง หลังจากทำงานจนเกือบเที่ยงคืนนานๆ เข้า สุขภาพของฉันก็เริ่มแย่ลงมาก ฉันเป็นลมไปถึงสองครั้งในโรงงาน แล้วพอฟื้นขึ้นมา ฉันก็ต้องทำงานต่อ การอยู่ในนั้นทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตกนรก มันเลวร้ายมาก
ฉันเฝ้าคิดถึง พระวจนะและความรักของพระเจ้าอยู่บ่อยๆ บทตอนหนึ่งที่ฉันนึกถึงก็คือ “พวกเจ้าเคยยอมรับพรทั้งหลายที่พวกเจ้าได้รับหรือไม่? พวกเจ้าเคยแสวงหาสัญญาทั้งหลายที่ทำไว้ให้แก่พวกเจ้าหรือไม่? ภายใต้การนำแห่งความสว่างของเรา พวกเจ้าจะฝ่าพ้นอำนาจกดขี่แห่งกำลังบังคับของความมืดอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะไม่สูญเสียความสว่างที่นำทางพวกเจ้าในท่ามกลางความมืดอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะเป็นนายแห่งสิ่งสร้างทั้งปวงอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะเป็นผู้ชนะต่อหน้าซาตานอย่างแน่นอน เมื่อราชอาณาจักรของพญานาคใหญ่สีแดงล่มสลาย พวกเจ้าจะยืนหยัดท่ามกลางฝูงชนมากมายนับไม่ถ้วนเพื่อเป็นพยานให้แก่ชัยชนะของเราอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะตั้งมั่นและไม่หวั่นไหวอย่างแน่นอนในแผ่นดินแห่งซีนิม พวกเจ้าจะสืบทอดพรของเราโดยผ่านทางความทุกข์ที่พวกเจ้าทนฝ่า และจะฉายสง่าราศีของเราไปทั่วทั้งจักรวาลอย่างแน่นอน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 19) บทตอนนั้นช่วยให้ฉันเข้าใจ ว่าผู้ชนะถูกสร้างขึ้นในบททดสอบและความทุกข์ยาก ไม่ว่าจะเจ็บปวดหรือทุกข์ยากยังไง พวกเขาก็นบนอบและอุทิศตนเพื่อพระเจ้าไปถึงตอนจบได้ การมีโอกาสยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระเจ้า สำหรับฉันคือพระคุณและพระพรของพระองค์ และไม่ว่าร่างกายจะอ่อนล้าหรือทนทุกข์แค่ไหน ฉันต้องพึ่งพาพระเจ้าเพื่อยืนหยัดเป็นพยาน และนำความอัปยศมาสู่ซาตานให้ได้! การนำของพระวจนะ มอบความเชื่อและเรี่ยวแรงให้ฉัน ในที่สุดฉันก็ผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายในเรือนจำมาได้ค่ะ
วันที่ได้ออก พวกเขาพาฉันไปสำนักตุลาการท้องถิ่น รองเลขาธิการบอกว่า สามีของฉันถูกปล่อยตัวตั้งแต่อยู่ในเรือนจำได้แค่สี่สิบวัน แล้วเขาก็ถูกจับอีกในเดือนกันยายนปี 2014 และถูกตัดสินจำคุกสามปีครึ่ง เขาบอกฉันว่า “ตอนนี้คุณได้ออกแล้ว ดูแลลูกให้ดี และลืมเรื่องพระเจ้าไปซะ เด็กๆ ต้องอยู่กันเองมาตลอด เพราะคุณสองคนเป็นผู้เชื่อ และพวกเขาต้องไปอยู่ที่บ้านน้องชายคุณตลอดหลายปีมานี้” ฉันโมโหมากที่ได้ยินเขาพูดแบบนี้ เราถูกจับ ติดคุก และครอบครัวต้องแตกแยก แค่เพราะเราสองคนเป็นผู้เชื่อ ไม่มีเหตุผลอื่นเลย พรรคคอมมิวนิสต์จีนถึงขั้นสร้างเรื่อง และบอกว่าเราไม่สนใจครอบครัวหรือลูก เพราะเป็นผู้เชื่อ พวกเขาบิดเบือนความจริง!
พอกลับมาบ้าน ฉันก็เห็นสนามหน้าบ้านมีวัชพืชขึ้นรกไปหมด แถมทั้งโต๊ะ เก้าอี้ และจานชาม ก็ถูกโยนระเกะระกะยู่บนหญ้า ฉันเดินไปจับโต๊ะตั้งขึ้น แต่พอจับ มันก็พังทันที ที่ทางเข้าห้องนั่งเล่น พอผลักประตูเข้าไป ฉันก็เห็นโซฟากับตู้ล้มไม่เป็นท่า ไม่มีที่จะให้เดินด้วยซ้ำ มีฝุ่นหนาเตอะเกาะอยู่ทั่วทุกที่ ฐานห้องครัวยุบลงไปตั้งเกือบนิ้ว บนผนังมีรอยร้าวกว้างประมาณหนึ่งนิ้วมือ พอเห็นสภาพทั้งหมด ตอนนั้น สำหรับฉันมันยากมากๆ ฉันเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด พอได้เห็นหน้าลูกชาย ฉันก็ถามเขาว่า สองสามปีมานี้เขาเป็นยังไงบ้าง เขาสำลักแล้วพูดว่า “แม่ คนในหมู่บ้านเจอผมทีไร ก็จงใจจะถามเรื่องพ่อกับแม่ ผมพยายามเลี่ยงและไม่ตอบอะไร ผมพยายามไม่ออกนอกบ้านไปเจอใคร เพื่อนร่วมชั้นหลายคนล้อผม และบอกว่าผมเป็นลูกอาชญกรมีคดี ผมไม่อยากไปโรงเรียนอีกแล้ว” ตอนนั้น พอได้ยินสิ่งที่ลูกเล่า ฉันก็ได้แต่กลั้นน้ำตา เขายังเด็กอยู่เลย แต่กลับต้องมาเจอการแบ่งแยกจากคนในหมู่บ้าน ถูกเพื่อนร่วมชั้นล้อ แค่เพราะฉันเป็นผู้เชื่อ ฉันเกลียดพรรคนั่นสุดๆ เลยค่ะ!
หลังกลับบ้านมาได้ไม่นาน ก็มีครูฝึกจากสำนักความมั่นคงแห่งชาติ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสองคน พาช่างภาพวิดีโอมาที่บ้าน พวกเขาเริ่มถ่ายตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้าน โดยไม่ขออนุญาตฉันสักคำ พวกเขาเอาฟุตเทจที่ถ่ายในบ้านฉันไปทำเป็นวิดีโอ แล้วพากษ์เสียง เล่าเรื่องโกหกพกลมทั้งเพ พวกเขาบอกว่า เหล่าผู้เชื่อไม่ดูแลสนามหญ้าเลย บอกว่าเราไม่ดูแลครอบครัว ไม่ดูแลคนแก่ ไม่เลี้ยงดูลูกๆ แถมบอกว่าลูกของเราที่อยู่ม.ต้น ต้องลาออกจากโรงเรียน พยายามดิ้นรนเอาตัวรอด หาเลี้ยงชีพด้วยงานจิปาถะ แล้วพวกเขาก็เอาวิดีโอนั่นไปเปิดบนจอขนาดใหญ่กลางแจ้งที่อยู่ริมถนน และฉายบนจอขนาดใหญ่ บนรถที่ขับวนไปทั่วเมือง มันถูกฉายไปทุกที่ที่รถขับผ่าน หลังจากเป็นเป้าหมายของข่าวลือและการใส่ร้ายเหล่านี้ เกือบทุกคนในเมืองก็รู้กันหมด ว่าพวกเราถูกจับติดคุก เพราะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คนในครอบครัวและเพื่อนฝูง พากันหลบหน้าและไม่กล้าคุยกับฉัน พรรคคอมมิวนิสต์เอาวิดีโอนี้ไปเปิดที่โรงเรียนของลูกๆ ฉันด้วย และพวกครูก็บอกนักเรียนว่า ถ้าใครเห็นคนเผยแผ่ข่าวประเสริฐกับพ่อแม่ ควรแจ้งตำรวจจับคนพวกนั้นทันที ลูกสาวฉันกลับบ้านมาร้องไห้ บอกว่าโดนเด็กคนอื่นล้อ ว่าเป็นลูกของคนมีคดี เธอเก็บตัวร้องไห้อยู่ที่บ้านสองสามวัน ไม่ยอมกลับไปโรงเรียน เธอมักจะเป็นเด็กที่สดใสและพูดเก่ง เป็นเด็กที่มีความสุขและกระฉับกระเฉงอยู่เสมอ แต่ตอนนี้เธอกลายเป็นเด็กเก็บตัว และไม่เคยอยากพูดเลย ลูกชายของฉันก็หดหู่มาก ยังไม่หมดนะคะ พวกเขายังจัดประชุมหมู่บ้าน แสร้งทำเป็นหารือกับบ้านที่ต้องการความช่วยเหลือ และบอกว่า เราโดนคดีข้อหาทำลายระเบียบสังคม เพราะเราเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เราจึงหาเลี้ยงครอบครัวไม่ได้ และต้องการเงินบริจาคจากคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน บางคนก็หลงเชื่อ และวิจารณ์ที่ฉันไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง พวกเขา ยังใช้น้องชาย น้องสะใภ้ เพื่อนบ้าน และผู้นำหมู่บ้าน มาคอยจับตาและติดตามฉันไว้ ช่วงนั้น ฉันออกไปเจอพี่น้องชายหญิงไม่ได้เลย ฉันจึงไม่อาจนำชีวิตของคริสตจักร หรือทำหน้าที่ได้ มันเหมือนถูกขังอยู่ในบ้าน ฉันทุกข์ใจมากเลยค่ะ และเกลียดพรรคนั่นทุกอณูในตัวเลยจริงๆ
จากนั้น ฉันก็ได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะ “ที่นี่ได้เป็นแผ่นดินแห่งความโสโครกมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว มันสกปรกเหลือทน ความทุกข์ระทมดาษดื่น พวกผีวิ่งอาละวาดไปทั่วทุกแห่งหน ลวงล่อและหลอกลวง ตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล[1] เหี้ยมโหดและชั่วช้า เหยียบย่ำเมืองผีนี้และทิ้งให้มันกลาดเกลื่อนไปด้วยศพ กลิ่นสาบสางของซากที่เสื่อมสลายปกคลุมแผ่นดินและตลบอบอวลในอากาศ และมันถูกพิทักษ์อย่างแน่นหนา[2] ผู้ใดจะสามารถมองเห็นพิภพเหนือโพ้นฟ้าได้? มารมัดร่างของมนุษย์ทั้งหมดอย่างแน่นหนา มันคลุมดวงตาสองข้างของเขา และปิดผนึกริมฝีปากของเขาแน่น ราชาแห่งพวกมารได้อาละวาดมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วจนกระทั่งถึงทุกวันนี้เมื่อมันยังคงเฝ้าดูเมืองผีนี้อย่างใกล้ชิด ราวกับเป็นวังของพวกปีศาจที่ไม่อาจผ่านเข้าไปได้ ในขณะเดียวกัน สุนัขยามฝูงนี้ก็ถลึงตาจ้องเขม็ง เกรงกลัวอยู่ลึกๆ ว่าพระเจ้าจะทรงจับพวกมันโดยไม่ทันรู้ตัวและกวาดล้างพวกมันไปทั้งหมด ทิ้งให้พวกมันไม่มีสถานที่แห่งสันติสุขและความสุข ผู้คนแห่งเมืองผีเช่นเมืองนี้จะเคยสามารถมองเห็นพระเจ้าได้อย่างไร? พวกเขาเคยได้ชื่นชมความน่ารักและความดีงามของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขามีความซึ้งคุณค่าใดในเรื่องราวของโลกมนุษย์? พวกเขาคนใดสามารถเข้าใจน้ำพระทัยที่กระตือรือร้นของพระเจ้าได้? เช่นนั้นแล้วก็ไม่น่าฉงนนักที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ยังคงซ่อนเร้นอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม ราชาแห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร? มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร? ข้ารับใช้พวกนี้! พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันได้ดูถูกเหยียดหยามพระเจ้ามานานแล้ว พวกมันหยามเหยียดพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนสุดขีด พวกมันไม่มีการคำนึงถึงพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันจี้ปล้นและช่วงชิง พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่ความสิ้นสำนึกรับรู้ เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ? บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ? พวกเขาทั้งหมดต่อต้านพระเจ้า! การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย! เสรีภาพทางศาสนาหรือ? สิทธิและผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ? สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นเพทุบายเพื่อปิดบังบาป!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) ผ่านการกดขี่และความยากลำบากนี้เอง ฉันถึงได้เห็นว่า พรรคนี่ คือฝูงปีศาจที่เกลียดพระเจ้าและทำลายล้างผู้คน ฉันได้มาดูหมิ่น และเลิกแล้วต่อมันโดยแท้จริง และในเวลาเดียวกันนั้น ฉันก็ได้เห็นถึงความรักของพระเจ้า ตอนที่ฉันถูกซาตานกระทำและทรมาน พระวจนะของพระเจ้า ก็มอบความเชื่อและเรี่ยวแรงให้ฉัน นำฉันผ่านมันมาได้ทีละก้าว ส่วนตัวฉันได้ประสบกับสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพแห่งพระวจนะ จนความเชื่อในพระเจ้าของฉันเติบโตขึ้นด้วย การได้รับทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นความรักและพระพรของพระเจ้าทั้งสิ้น! ขอบคุณพระเจ้า!
เชิงอรรถ:
1. “ตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล” อ้างอิงถึงวิธีการที่มารใช้เพื่อทำอันตรายผู้คน
2. “พิทักษ์อย่างแน่นหนา” บ่งบอกว่า วิธีการที่มารใช้ก่อความทุกข์ร้อนให้ผู้คนนั้นชั่วช้าเป็นพิเศษ และควบคุมผู้คนมากเสียจนพวกเขาไม่มีที่ให้ขยับ
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ